แค่มีนาย by โอนนิมารุ *Rebirth*
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แค่มีนาย by โอนนิมารุ *Rebirth*  (อ่าน 240888 ครั้ง)

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
Re: [story] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #150 เมื่อ20-03-2007 21:00:28 »

เมื่อไหร่ต้นจะเข้าใจความรู้สึกตัวเองเนี่ย  :monkeycry4:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [story] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #151 เมื่อ20-03-2007 21:41:24 »

ทำไมมันเศร้า ๆ อย่างนี้ล่ะ  :monkeysad:

jammy

  • บุคคลทั่วไป
Re: [story] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #152 เมื่อ20-03-2007 22:32:42 »

นายเอกชีวิตเเสนรันทดเคราะห์ซํากำซัดอีกตะหาก เเย่เเย่  :dont2:

ออฟไลน์ Lucifer

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Re: [story] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #153 เมื่อ20-03-2007 22:37:11 »

 :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ออฟไลน์ A GE

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
Re: [story] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #154 เมื่อ21-03-2007 11:50:19 »

เมื่อไหร่ต้นน้ำกับนิติจะกล้าที่จะแสดงออกถึงความในใจซ้าทีคับ :myeye: :myeye: :myeye: :myeye:

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
Re: [story] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #155 เมื่อ21-03-2007 15:59:54 »

“นี่...นาย” เสียงหนึ่งดังขึ้นกลางบันไดเดินขึ้นชั้นบน
คนที่เดินกับวันชนะเมื่อกี้หันมาก็พบกับชายหนุ่มหน้าตาดีหุ่นหนา จ้องมานัยน์ตาเอาเรื่องอยู่ในที...
“ครับ!?” คนหยุดอยู่บนขั้นเหนือกว่ากล่าวโดยอัตโนมัติแต่ก็ยังคงความสุภาพเป็นนิสัย ชายร่างหน้าผุดรอยยิ้มที่มุมปาก
“ครับ!?” เนตรกล่าวซ้ำเมื่ออีกฝ่ายยังไม่แจ้งความประสงค์ที่เรียกตน สายตาคู่นั้นเหมือนจะสำรวจเขาอยู่ในที


...


วันชนะทำได้ดีทีเดียวกับคำสัญญาที่ให้กับตัวเอง ถ้าเป็นเมื่อก่อน ป่านนี้ในหัวเขาคงจะมีแต่นักขัต นักขัต คิดในสับสนไปร้อยแปด...เพียงแค่หลับตา กำหนดลมหายใจเข้าออกสองสามรอบและกำหนดสติขิงตัวเองเอาไว้ว่า...ตั้งใจเรียน...

จนเมื่อเวลาผ่านไปสองชั่วโมง การเรียนก็หมดลง เพื่อนคนอื่นๆแยกย้ายกันกลับแต่วันชนะเลือกที่จะไปห้องสมุด เขาพยายามทำตัวให้ไม่ว่าง...จะได้ไม่ต้องคิดถึงสิ่งอื่น

“วิน ไปห้องสมุด?” เพื่อนร่วมภาควิชาเอ่ยตามหลังจากที่วันชนะเดินออกมาไม่กี่ก้าว กรรณิการ์เดินกึ่งวิ่งตาม

“อืม แจนไปด้วยกันไหม?” วันชนะยิ้มชักชวน

“เดินไปด้วยจ้ะ แจนจะเอาหนังสือไปคืนน่ะ แต่คงไม่นั่งอ่านหรอก วันนี้ที่บ้านให้กลับไว” หญิงสาวแจง “แล้ววินล่ะเป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้เห็นวินเครียดๆ อ่านหนังสือถึงไหนแล้วอีกห้าวันก็จะเริ่มสอบตัวแรกแล้วนะ”

“ก็ทบทวนเรื่อยๆน่ะ บางตัวยังไม่ได้ดูเลย แจนล่ะเตรียมตัวถึงไหนแล้ว” วันชนะพูดปนหัวเราะอย่างยอมรับว่าตัวเองยังอ่านหนังสือไม่จบ สอบวิชาแรกจะเริ่มขึ้นในวันเสาร์ที่จะถึง แม้เจ้าตัวจะพูดติดขำแต่ก็มีแววกังวลอยู่ในน้ำเสียงไม่น้อย

ปกติแล้ววันชนะเป็นคนตั้งใจเรียนในชั่วโมงเรียน ความเข้าใจและสงสัยจึงเกิดตั้งแต่ตอนนั้น พอใกล้สอบเพียงทบทวนความเข้าใจนิดหน่อยก็ต่อปะติดปะต่อได้ไม่ยาก การเรียนแบบนี้เป็นประสิทธิผลมากกว่าการเข้าไปนั่งฟังแบบเข้าหูหนึ่งแล้วออกอีกหูตรงข้าม จิตใจไม่ได้เปิดรับสิ่งที่อาจารย์สอน พอใกล้สอบค่อยมาตามอ่าน ซึ่งในเวลาที่จำกัดยิ่งทำให้คนอ่านรู้สึกร้อนๆหนาวๆ ผลคือไปสอบทั้งที่รู้บ้างไม่รู้บ้าง

แต่ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้มีเรื่องหนักๆประเดประดังเข้าหาเขามากเหลือเกิน จนวันชนะเองก็อดหวั่นไม่ได้
จึงตั้งมั่นว่า...เอาเรียนไว้ก่อนนะ

“แจนก็ยังอ่านไม่จบเลย เหลืออีกตั้งเยอะ กลัวก็แต่เจน เคมฯ (General Chemistry I) ยากมากๆเลย” กรรณิการ์โอดครวญ
เดินมาได้ครึ่งทาง หญิงสาวก็หน้าม่อยลง...เป็นอารมณ์ที่แท้จริง...ราวกับรอยยิ้มที่เบิกบานเมื่อสักครู่เป็นเพียงหน้ากากที่เคลือบเอาไว้เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน เพราะว่าการปรากฏของใครคนหนึ่งใกล้เข้ามาตรงหน้า

“อ้าว...แจน วิน ไปอ่านหนังสือห้องสมุดหรือจ้ะ” สุวรรณาเอ่ยทักทันทีเมื่อเห็นเพื่อนเดินมา
“หลิน” วันชนะทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย เพราะเมื่อกี้ยังเรียนอยู่ห้องเดียวกันแต่ตอนนี้หญิงสาวผู้มีตำแหน่งเป็นดาวมหาวิทยาลัยกลับเดินสวนทางมา

หญิงสาวเหมือนรู้คำถามในใจวันชนะจึงยิ้มน้อยๆแต่สว่างไสวไปทั้งใบหน้าก่อนกล่าวน้ำเสียงไพเราะว่า “ หลินรีบวิ่งลงมาก่อนน่ะ ต้องเอาหนังสือไปคืนห้องสมุดก่อน หลินมีนัดจ้ะ” หล่อนยกหนังสือเล่มบางในมือขึ้นปิดครึ่งหน้าอย่างอายๆ “เอาไว้เจอกันพรุ่งนี้นะจ้ะ”
เดินต่อมาได้อีกสักพักวันชนะถึงได้สังเกตว่าคนที่เดินมาด้วยกันเงียบไป

...เพราะนายคนนั้นอีกแล้ว...ทำไมนะ วันชนะถึงหนีนักขัตไม่พ้นเสียที รอบตัวมีแต่เงาของเขาแฝงซ่อนอยู่เต็มไปหมด
“แจนเป็นอะไรไป” วันชนะถามอย่างเป็นห่วง ทำเป็นไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดกรรณิการ์ถึงเปื้อนน้ำตา ทั้งที่เข้าใจจิตใจของหล่อนเป็นอย่างดี
กรรณิการ์ไม่ปาดน้ำตาแม้แต่หยด เพราะมันล้นบ่อแล้ว เกินที่จะเก็บเอาไว้ หลายวันที่ต้องข่มใจไม่ให้บอบช้ำมากไปกว่าที่เป็น

ภาพบาดตานั้นอยู่ใกล้ตัวเกินไป...จากเพื่อนของเธอเอง หญิงสาวช้ำใจทุกครั้งที่เห็นสุวรรณามีความสุข แม้ลึกลงไปแล้วไม่ได้มีความเกลียดชิงชังเพื่อนคนนี้อยู่เลย เรื่องที่เธอชอบนักขัตนั้นกรรณิการ์ยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำ คงเป็นเพราะความน้อยเนื้อต่ำใจ...ที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนที่ยืนข้างชายคนที่เธอรัก ท่าทางเอียงอายของสุวรรณาเมื่อพูดถึงนัดเมื่อกี้ บอกได้ทันทีว่าคนที่หล่อนนัดด้วยคือใคร

ใต้ร่มศรีตรังข้างทางมีม้านั่งหินอ่อนอยู่ กรรณิการ์เดินข้ามพุ่มไม้เตี้ยที่ปลูกไว้แทนรั้วอย่างไม่ใยดี คงเพราะเธอเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว...วันชนะจึงต้องตามเธอไปด้วยเพราะเป็นห่วง

“แจน...” วันชนะไม่กล้าพูดอะไรมากนัก...เหมือนมองเห็นเงาสะท้อนของตัวเองอยู่ตรงหน้า
“ขอโทษนะวิน...ทั้งที่แจนอดทนมาได้ตลอดแท้ๆ...ทั้งที่ไม่อยากให้ใครรู้” หญิงสาวสะอื้น ก่อนจะพรั่งพรูความอัดอั้นทั้งหมดให้เพื่อนฟัง...คงจะเหลืออดเต็มที หล่อนถึงได้ระบายสิ่งที่เป็นเสี้ยนค้างในอกให้เพื่อนที่เพิ่งรู้จักกันเพียงไม่กี่เดือนฟัง
ทุกถ้อยคำ ทุกความรู้สึกที่หล่อนกล่าว...ทุกถ้อยคำ ทุกความรู้สึกที่วันชนะกล่าวปลอบ...ทำให้คนที่ “อาการดีกว่า” อดไม่ได้ที่จะอึ้งขึงไปพอกัน


...


“นี่...นาย” น้ำเสียงเอาเรื่อง ความหงุดหงิดทบเป็นทวี เมื่อคนตรงหน้ายืนขวางทางอยู่ ไม่ว่าเขาจะหลีกไปทางซ้ายหรือขวา คนตรงหน้าก็เปลี่ยนตำแหน่งไปยืนยืดอกหนาๆกันทางเอาไว้ เหมือนหาเรื่อง

“เอ้ะ!” คนที่โดนขวางทางโกรธจัด พร้อมท้าสู้ ความโกรธทำให้หูตามืดมัวเป็นเรื่องจริง เขาลืมพิจารณาใบหน้านั้นให้ดี...กว่าที่เค้าโครงใบหน้าหล่อเหลานั้นจะผุดขึ้นมาเป็นความจำได้...หมัดแรกก็แหวกผ่านอากาศ รวดเร็ว ไร้เสียงเตือน

คนหาเรื่องก่อนไม่ได้ตรงเข้าไปซ้ำทันทีตอนอีกฝ่ายเสียหลัก เขารอให้ชายหนุ่มคนนั้นตั้งหลัก แล้วทางแคบๆรกด้วยพุ่มไม้แตกกิ่งก้านสูงไร้ผู้คนสัญจรนั้นก็กลายเป็นสังเวียน ประลองทั้งกำลังและอารมณ์...


...

วันชนะปิดหนังสือลงหลังจากนั่งอ่านได้เพียงไม่นาน...แทบจะไม่ได้อ่านเสียด้วยซ้ำ เพราะตั้งแต่หน้าแรกกางออกก็ยังไม่มีหน้าที่สอง กรรณิการ์อาการดีขึ้นมากก่อนที่หล่อนจะกลับไป...มากกว่าวันชนะเสียอีกในตอนนี้
ยิ่งรวบรวมสมาธิเท่าใดเหมือนจะยิ่งฟุ้งซ่านมากขึ้นเท่านั้นจนวันชนะยอมแพ้ ขอไปตั้งหลักที่ห้องก่อนดีกว่า

ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู วันชนะคิ้วขมวดสงสัยว่าเพียงห้าโมงเศษแต่ตะวันโพล้เพล้เหมือนหกโมงเสียแล้ว
เดินเรื่อยเอื่อยมาจนใกล้ถึงหอพัก ร่างหนึ่งเดินโซเซผ่านหน้าไป เสื้อนิสิตสีขาวเหมือนโดนเอาไปถูกับพื้นมา ทั้งยับทั้งเปื้อนฝุ่น

“เป็นอะไร...” วันชนะถามด้วยความอยากช่วย แต่พอจำได้ว่าเป็นเพื่อนร่วมคณะก็รีบวิ่งเข้าไปพยุงทันที

“เนตร! ไปทำอะไรมา”

คนโซเซพยายามทรงตัวบนขากระเผกๆ “วิน ไม่มีอะไร เราตกบันได โอ้ะ...โอ้ย!” เขายกมือขึ้นจับที่ขอบฝาก ลูบเบาๆเลยไปถึงขมับ รอยเขียวช้ำนูนเด่นขึ้นมาที่มุมปากมีเลือดไหลซิบๆ

“ไปโรงพยาบาลไหม? วินไปเป็นเพื่อน ตอนนี้สถานพยาบาลคงปิดแล้วล่ะ” วันชนะอาสา
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวให้เพื่อนเนตรไปส่งก็ได้ นัดกันไว้ใกล้ๆนี่เอง”
“แน่ใจ?” วันชนะถาม

“นั่นไงเพื่อนเนตร” เขาชี้ “ไม่น่าซุ่มซ่ามเลย ไปก่อนนะ” น้ำเสียงขำปนสมเพชตัวเอง
วันชนะมองตามอย่างเป็นห่วง ได้แต่หวังว่าเนตรคงจะไม่เป็นอะไรมากจนกระทบการสอบ


...


หน้าห้องเดิม...609 วันชนะล้วงหากุญแจจากกระเป๋าสะพายของตัว
เสียงฝีเท้าเป็นจังหวะคุ้นเคยดังเบาๆ ใกล้เข้ามา มือหนึ่งจับลูกกุญแจสอดค้าง วันชนะตกใจกับภาพที่เห็นจนชะงัก
นักขัตเดินมาตามปกติ แต่...ที่หางคิ้วมีรอยแตกเลือกยังซึม มุมปากคล้ำแดงคล้ำเขียว เสื้อยับย่นเปื้อนไม่แพ้...เนตร

เนตร!
นักขัต!

ภาพเมื่อตอนบ่ายก่อนชั่วโมงเรียนเริ่ม...ทั้งสองหยุดพูดอะไรกันที่บันไดผุดขึ้นมา!
ทำไม!?...เนตรเป็นเด็กเรียน...เรียบร้อย
“นายไปตีกับใครมา?” หางเสียงกร้าว แฝงด้วยความโกรธ
นักขัตมองหน้าวันชนะเรียบเฉย
“นายไปตีกับใครมาใช่ไหม?” วันชนะมองใบหน้าเรียบเฉยนั้นตาไม่กระพริบ...แข็งกร้าว
“ใช่” นักขัตยอมรับแต่เพียงเบาๆ
ใช่แน่แล้ว...ภาพเมื่อตอนบ่ายก่อนชั่วโมงเรียนเริ่ม...ทั้งสองหยุดพูดอะไรกันที่บันไดแจ่มชัด! ทบซ้ำด้วยภาพน้ำตานองหน้าของกรรณิการ์...ทั้งของตัวเอง

“นายมันเลว...อย่ามาให้เห็นหน้าอีกนะ!”
วันชนะบิดข้อมือ ประตูเปิดออก

ประตูห้อง 609 ปิดดังปังสนั่นเหมือนจะหลุดออกไปจากกรอบ
นักขัตยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สีหน้าเรียบเฉย...แต่สิ่งที่วันชนะพูดยังดังก้องไม่ยอมหยุด

“นายมันเลว...อย่ามาให้เห็นหน้าอีกนะ”


...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-05-2007 11:54:09 โดย หมูพูห์ »

meemewkewkaw

  • บุคคลทั่วไป
Re: [story] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #156 เมื่อ21-03-2007 16:21:55 »

ต่อยกันทำม๊ายยยยยยยยยย :serius2:

รึศึกชิงนายจะเกิดขึ้นน๊อ สงสัยต้นน้ำจะหึงนิติ :monkeysad2:

ออฟไลน์ tsuyu

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
Re: [story] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #157 เมื่อ21-03-2007 16:44:50 »

ช่ายยยย จะต่อยกันทำมัยเนี่ย

มีไรทำไมไม่คุยกันให้รู้เรื่องก่อน
 :serius2:

gobgab

  • บุคคลทั่วไป
Re: [story] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #158 เมื่อ21-03-2007 16:50:47 »


...............“นายมันเลว...อย่ามาให้เห็นหน้าอีกนะ”

......................แล้วนิตินะ...ทำได้รึปล่าว....ที่จะไม่เห็นหน้าเขา... :เฮ้อ:

ออฟไลน์ LonelyBoiZ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 309
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
Re: [story] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #159 เมื่อ21-03-2007 17:05:08 »

อืมอืม รออ่านต่อไปคับ  :yeb:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [story] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
« ตอบ #159 เมื่อ: 21-03-2007 17:05:08 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: [story] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #160 เมื่อ21-03-2007 17:13:40 »

 :เฮ้อ: เหนื่อยใจ




รออ่านต่อนะ :give2:

ออฟไลน์ A GE

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
Re: [story] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #161 เมื่อ21-03-2007 19:39:24 »

อ้าว  ยังไม่ได้คุยให้รู้เรื่องเลยนะคับ :o  สรุปจะได้คุยกันดีๆมั๊ยครับเนี่ยะ :angry2:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [story] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #162 เมื่อ21-03-2007 21:42:54 »

ถามดูก่อนดีมั๊ย  :serius2:  :serius2: อย่าทะเลาะกันเลย  :dont2:

ออฟไลน์ Lucifer

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Re: [story] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #163 เมื่อ21-03-2007 22:02:52 »

 :o ต่อยกันจริงอ่ะ ไปช่วยกันมารึเปล่า ?????

ขอคำอธิบายด่วนนนนนนนนนนนน  :serius2: :serius2: :serius2:

kYos

  • บุคคลทั่วไป
Re: [story] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #164 เมื่อ22-03-2007 01:55:37 »

ง่ะ... อารายกานเนี่ย... สับสนเล็กน้อย   เหอๆ..  แล้วจะรักกันได้ยังงาย  :serius2:

MyLoveMyBabe

  • บุคคลทั่วไป
Re: [story] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #165 เมื่อ22-03-2007 11:14:26 »

แล้วนี่มานอารายย งงงงงงงงง  :serius2:


ศึกชิงนายเหรอ  หรือว่าอารายยย แล้วนิติกับต้นน้ำ เมื่อไหร่จะได้ลงเอยกันหล่ะนี่  :pandalaugh:

wee

  • บุคคลทั่วไป
Re: [story] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #166 เมื่อ05-04-2007 15:05:35 »

รอนายนิติ กะ นายต้นน้ำ คร๊าบบบบผม.... :myeye: :myeye: :myeye:

ออฟไลน์ Lucifer

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Re: [story] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #167 เมื่อ05-04-2007 23:26:59 »

อืมม เรื่องนี้ขอคิดแป้บนึง

รู้สึกว่าก่อนเล้าล่มจะถึงตอนประมาณ ต้นน้ำไปรับนิติจากสถานีตำรวจนะคับ

ถ้าจำไม่ผิด  :really2: :really2:

สู้ๆ ร่วมกันกอบกู้เล้าค้าบบบ  :loveu: :loveu:

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
Re: [story] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #168 เมื่อ06-04-2007 12:44:15 »

     “นายมันเลว...อย่ามาให้เห็นหน้าอีกนะ”

    ผ่านมาหลายวันแล้วแต่พอว่างเมื่อไรคำพูดนั้นจะดังขึ้นในหัวตลอดเวลา วันชนะรู้สึกสำนึกอยู่เหมือนกันที่เอ่ยคำแรงออกไป แต่หลายอย่างค่อยๆชัดเจนขึ้น ภาพนักขัตคนเดิมที่เคยนึกถึงแล้วชุ่มชื้นในใจก็ค่อยๆลบเลือนไป...ความสำนึกผิดที่แล่นขึ้นก็พลอยสลายตามไปด้วย

    ทำไมนะ...นายถึงเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้

    คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ ต้องใช้เวลากว่าที่จะเผยตัวตนที่แท้ออกมา...แต่ก็ดีแล้วที่เห็นตัวจริงเขาตอนนี้ ที่รู้จักกันเพียงไม่กี่เดือน เพราะหากรู้เมื่อสายไปคงจะแย่กว่านี้มาก
    วันชนะสลัดเรื่องของคนข้างห้องออกไปก่อนจะสนใจกับหนังสือบนโต๊ะ...ทิ้งแม้กระทั่งเรื่องที่นักขัตเคยช่วยเขาเอาไว้

    ตีสองกว่าของคืนสุดท้ายก่อนที่จะเริ่มการสอบวันแรกพรุ่งนี้...วันชนะนั่งบนโต๊ะประจำในห้อง ขีดๆเขียนๆสูตรต่างๆทบทวนและจดจำ ลองเอาโจทย์ที่เป็นข้อสอบเก่าๆมาลองทำดู จนล่วงเข้าตีสามจึงรู้สึกปวดที่ต้นคอเลยออกไปสูดอากาศเย็นบริสุทธิ์ที่ระเบียง พระจันทร์สุกปลั่งกลมโตเหนือศีรษะทอแสงนวลตา

    ทอดอารมณ์อยู่นานกว่าจะรู้ตัวว่าที่ระเบียงห้องข้างๆห่างออกไปเพียงสองเมตรมีคนยืนอยู่ด้วย เพราะหางตาเห็นการเคลื่อนไปของเงาร่างคน นึกว่าเป็นนักขัตจึงหันหลังกลับ

    “อ้าว จะไปแล้วหรือวิน” น้ำเสียงบอกว่าไม่ใช่บุคคลที่ไม่อยากพบ
    “โตโต้ อยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไรน่ะ” วันชนะหยุดความคิดจะกลับเข้าห้อง เปลี่ยนเป็นยืนเกาะราวระเบียงคุยกับเพื่อนข้างระเบียง
    “สักพักหนึ่งละ ก่อนวินจะออกมานิดเดียว อ่านหนังสืออยู่หรือ นอนดึกเชียว?” คนที่อยู่ระเบียงถัดไปถาม “ตะกี้เห็นวินกำลังดื่มด่ำกับลมเย็นๆเลยไม่กล้าขัดจังหวะ”

    “อืม แวบออกมาพักชมจันทร์บ้าง เดี๋ยวค่อยเข้าไปต่ออีกสักชั่วโมง พรุ่งนี้สอบตั้งบ่ายสอง” วันชนะตอบแล้วจึงถามกลับ “โตโต้ล่ะ”
    “สอบตัวแรกพรุ่งนี้เหมือนกันบ่ายสองครึ่ง ตอนแรกจะเข้าไปอ่านต่ออยู่ แต่ง่วงแล้วล่ะ เห็นตั้มหลับอุตุเลยชักง่วงตาม” คนพูดมองเข้าไปในห้องของตน “พอวินออกมามันก็เดินตรงไปขึ้นเตียงเลย” เขาต้องการสื่อว่านักขัตก็เพิ่งจะเข้าไปนอนได้ไม่นานนี่เอง “หลับไวจริงๆ”

    หากว่าวันชนะเข้าใจไปอีกทาง...ว่าคนที่ถูกกล่าวถึงก็คงไม่อยากเจอเขาเหมือนกัน...พอเขาเดินออกมาก็เลยรีบกลับเข้าไปนอนเสีย
    ฮึ...เชิญเถอะ เราก็ไม่ได้สนใจนายแล้ว...จะทำอะไรก็ช่างนาย

    ****************************************************************************************************************

    สอบวันแรกผ่านไปด้วยดี วันชนะมั่นใจว่าตนทำได้มากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ที่หวั่นคือวันมะรืนนี้ต้องสอบถึงสามวิชา ดังนั้นพอสอบเสร็จจึงรีบกลับห้องไปนอนพักเอาแรงไว้ท่องหนังสือคืนนี้ ก่อนจะถึงที่พักก็แวะซื้อกับข้าวที่โรงอาหารกลาง

    “เอาเส้นใหญ่ผัดขี้เมาอีกหรือเปล่าจ้ะ” เจ้าของร้านถามเสียงเจื้อยแจ้วอย่างคุ้นเคย เพราะเป็นร้านประจำของวันชนะ
    “เอาครับ แต่ไม่ใส่มะเขือเทศนะครับ” วันชนะบอก

    “อ้าว ไม่กินมะเขือเทศแล้วหรือจ้ะ” แม่ค้าถามต่อเพราะที่ผ่านมาก็ใส่มะเขือเทศมาตลอด

    “ทุกทีก็ไม่ได้กินหรอกครับ ขี้เกียจเขี่ยออกแล้ว เลยบอกเอาไว้ดีกว่าครับ” วันชนะหัวเราะแหะ แหะ

    เขาไม่ได้พูดความจริงเลยสักนิด...จากคนเกลียดมะเขือเทศจนสามารถกินได้ปกติ...ก็เพราะค่อยๆเอาไปหั่นเป็นชิ้นเล็กๆค่อยๆกินพร้อมกับเส้นใหญ่และผักคะน้าในสัดส่วนหนึ่งต่อสิบ จนวันหนึ่งก็ทานได้เป็นคำละครึ่งลูก...ก็เพราะมีแรงบันดาลใจ

    ...จะฝืนไปทำไม กลับมาเป็นตัวเองดีกว่า

    “สวัสดีจ้ะน้องรัก” เสียงใสดังขึ้นใกล้ตัวพร้อมกับความรู้สึกว่ามีนิ้วจิ้มที่ไหล่ วันชนะหันไปทางต้นเสียงก็พบกับหญิงสาวตัวเล็กและน่ารักด้วยรอยยิ้มสดใส

    สองมือยกขึ้นไหว้โดยอัตโนมัติ ทั้งที่ยังนึกชื่ออีกฝ่ายไม่ออกด้วยซ้ำ “พี่...เอ่อ...”
    “พี่เชอร์รี่จ้ะ” หล่อนเรียกชื่อตัวเอง “ไม่ค่อยเห็นน้องวินเท่าไรเลย จำพี่ๆได้ครบหมดทุกคนหรือยังจ้ะ” หล่อนถามรุ่นน้องอย่างไม่จริงจังกับคำตอบนัก ใบหน้าคงไว้ซึ่งรอยยิ้มแจ่มใสถึงแววตา

    วันชนะพยายามยิ้มไม่ให้หน้าเจื่อนลงไปเป็นคำตอบ
    การสนทนาเป็นไปอย่างออกรสสำหรับหญิงสาวเพราะความเป็นคนช่างพูดของหล่อน จนเป็นบุคลิกที่ทำให้เข้ากับคนอื่นได้ง่าย คุยอยู่หลายเรื่องก่อนจะแยกย้ายหล่อนก็นึกขึ้นได้

    “เออนี่ ไม่รู้มีใครบอกหรือยัง ว่าหลังสอบเสร็จเรามีนัดไปร้องคาราโอเกะกันนะจ้ะ” หล่อนหมายถึงรุ่นพี่ปีสองกับรุ่นน้องปีหนึ่ง “แล้วเราจะได้จับสลากพี่รหัส น้องรหัสกันด้วย”
    “อ้าวหรือครับ?” วันชนะทำหน้าเพิ่งรู้ “ขอบคุณพี่เชอร์รี่มากครับที่บอก เดี๋ยววินบอกต่อให้ครับ”
    “ดีมาก” หญิงสาวตัวเล็กยิ้มสดใสให้ก่อนแยกไป

    *****************************************************************************************************************


    ห้วงเหวของความมืดมิดค่อยๆคลี่สว่างขึ้น


    ...กระท่อม...? คำถามตั้งอยู่ในใจเมื่อเข้าไปใกล้มากขึ้น กระท่อมซอมซ่อหลังเล็ก ด้านหน้ามีลำคลองไหลเอื่อย ริมฝั่งปักคันเบ็ดอันสั้นสายเอ็นจมหายไปในสายน้ำเบื้องหน้า ทุ่นไม้อันน้อยกระเพื่อมตามคลื่นเล็กๆที่เกิดจากแรงลม

    ข้างๆเป็นแปลงเกษตร มีผักคะน้า ผักกาดกวางตุ้ง กะหล่ำปลีและผักอีกหลายแปลงที่เพิ่งจะแตกยอดอ่อนโผล่พ้นดินขึ้นมา
    มองอีกทางเป็นไร่...พอเข้าไปใกล้จึงเห็นชัดว่าเป็นต้นฝ้าย...แปลกใจ...ที่รู้ว่าเป็นต้นฝ้าย...ทั้งที่ยังไม่เคยได้เห็นของจริงเลยสักครั้ง รูปก็ดูเพียงผ่านๆ ต้นเตี้ยๆนั้นยังเป็นสีเขียว...ไม่มีแม้ฝ้ายสักดอก

    รู้สึกถึงใบสากๆระกายเมื่อเดินฝ่าไร่ฝ้ายหนุ่มนี้เข้าไป...เข้าไปใกล้อีก...ใกล้อีก...ใครสักคนอยู่ที่ตรงนั้น...
    หยุดเดิน...คนข้างหน้าอยู่ในชุดสีครามซีด ใส่หมวกสานใบใหญ่ หน้าตาแดงด้วยแดดเผา ที่รอยต่อระหว่างผิวหนังกับคอเสื้อแบ่งสีชัดเจน

    ใบหน้าคุ้นเคยละจากสำรวจต้นฝ้ายตรงหน้าเงยตรงมา สะดุ้งตกใจเมื่อเห็น เขาละงานในมือทุกอย่างรีบวิ่งเข้ามาประคอง มือแตกกร้านยกขึ้นจับแต่งผมที่ระลงมาปิดบังใบหน้าให้อีกฝ่ายที่เพิ่งเดินเข้ามา สายตาชื่นชมและห่วงใยอย่างจริงจัง

    “ออกมาทำไม... พี่บอกให้อยู่แต่ในบ้าน ข้างนอกแดดมันแรง เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งไป” มือกร้านแกร่งประคองกอดร่างบางไปใต้ร่มมะขามสอง-สามต้นที่อยู่ใกล้

    “พี่ก็...จะให้... เอาแต่อยู่ในบ้านได้ยังไง เดี๋ยวเป็นง่อยเอาหรอก” หล่อนพูดมีจริตเล็กๆ “พักดื่มน้ำดื่มท่าเสียก่อนเถิดพี่” เพิ่งรู้ตัวว่าในมือถือขันน้ำเย็นมาด้วย

    ใต้ร่มเงาไม้มีสายลมเย็นๆพัดต้องกายเป็นระยะ ไร่ฝ้ายข้างหน้ากินเนื้อที่ไม่มากนัก แมลงปอฝูงใหญ่บินว่อนเหนือทุ่งหญ้าที่ยังไม่ได้ถกถาง...ฤดูหลังเกี่ยวข้าว เหมาะที่จะปลูกฝ้าย
    ท้องฟ้าสีฟ้าสดใส...สงบ

    มือกร้านลูบวนอยู่ที่ท้องของเมียรักเบาๆ... เมีย...ความรู้สึกบอกว่าเขาเป็นสามี
    “เห่อไปได้นะนักขัต เพิ่งจะสองเดือนเอง” เมียสุดที่รักเอามือบางหยาบกร้านน้อยๆจับไปบนมือหนา ราวจะถ่ายทอดความรักทั้งหมดที่ตนมี
    “แหม...วินล่ะก็ ลูกเราทั้งคนนะ ไม่ให้เห่อได้ยังไง”

    เจ้าของมือกร้านน้อยค่อยๆมองไปยังใบหน้าของสามี...คิ้วเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน ปากได้รูป...นักขัต! ร่างบางตกใจ

    นักขัต!

    “เป็นอะไรไปวิน” คนตรงหน้าแปลกใจที่อยู่ๆเมียของเขามีกิริยาตกใจและถัดตัวหนี
    นักขัต!

    ...


    วันชนะตาเบิกโพลงสะดุ้งตื่นขึ้นมาในความมืด มือปาดเหงื่อชุ่มบนใบหน้า นี่เขาฝันไปหรอกหรือ
    เอื้อมมือไปหยิบนาฬิกามาดู สองทุ่มเศษแล้ว

    วันชนะยังนอนเหยียดบนเตียงนุ่ม ขี้เกียจลุก ขอต่อเวลาสบายอีกสักห้านาที...รอยยิ้มผุดขึ้นเมื่อนึกถึงความฝันที่จำได้อย่างแม่นยำ
    ดื่มด่ำกับฝันดีได้ไม่เท่าไรภาพนักขัตอีกคนที่วันชนะกล่าวหาว่าเป็นคนเลวก็แล่นขึ้น วันชนะได้แต่ถอนใจก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำเพื่อจะอยู่ท่องหนังสือคืนนี้

    วันชนะหัวเราะในลำคอเบาๆเมื่อเห็นหน้าหนังสือที่กางอยู่เป็นรูปสามี ภรรยาเกษตรกรกับบ้านไร่ที่กำลังช่วยกันเพาะปลูกที่อ่านค้างตั้งแต่เมื่อวาน ภาพประกอบนั้นอยู่ในหนังสือ มนุษย์กับสังคม อันเป็นหนึ่งในวิชาที่ต้องสอบวันมะรืน

    เที่ยงคืน...อดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงกระท่อมอุ่นหลังน้อยกับอ้อมกอดแกร่งของชายในฝัน คิดไปเสียว่าสามีแสนดีคนนั้นไม่ใช่นักขัต...แต่ลึกๆในดวงตาเรียกร้องว่า...ขอให้เป็นนักขัตเถอะ


    ...เพียงผนังกั้นเอาไว้...คนเลวของวันชนะกำลังขะมักเขม้นอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่เหมือนกัน ใบหน้าเครียดนิดๆเมื่อรู้สึกหงุดหงิดที่ใจของตัวเองเหมือนมีตะกอนที่ล่องลอยวนในน้ำเพราะถูกคุ้ยอยู่ตลอดเวลา...ใจไม่สงบ เพราะมัวแต่คิดถึง...เพียงผนังกั้นเอาไว้...

    นักขัตหงุดหงิดตัวเองนักที่ไม่สามารถรวบรวมสมาธิในการอ่านหนังสือตรงหน้า ไม่ง่ายเลยที่จะสลัดภาพใบหน้าผิดหวังและจงเกลียดของวันชนะเมื่อวันก่อนออกไปได้

    นี่เขาทำผิดมากนักเหรอ...? ทำไมวินถึงได้ยังปกป้องมันคนนั้นอยู่อีก...? ตอนนี้จะชังน้ำหน้าเขามากเท่าไรแล้วนะ...?
    จะเข้าไปหา ไปพูดคุยด้วยก็กลัวว่าจะโดนเกลียดเข้าหนักกว่าเดิม
    ...แต่ไอ้คนนั้นมันสมควรโดนแล้ว

    คิดวนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้ หนังสือตรงหน้าแม้จะถูกอ่านอย่างละเอียดแต่ไม่ได้บันทึกจดจำลงในหัวเลย...ต่อให้นักขัตจะหัวดีเป็นถึงนักเรียนทุนก็เถิด

    หนักเข้าจึงวางปากกาในมือแล้วเดินออกไปรับลมที่ระเบียง ลมเย็นๆยังมีอยู่แผ่วๆ คงสี่ทุ่มกว่าแล้วกระมัง คืนนี้มองหาพระจันทร์กลับเจอแต่เมฆเทาๆหม่นๆ มองไปยังช่องว่างประตูที่อ้าออกตรงระเบียงห้องข้างๆเห็นแสงไฟฉายทาบเป็นเงาประตูออกมา แสดงว่าวันชนะคงจะคร่ำเคร่งท่องหนังสืออยู่เป็นแน่


    วันชนะ...ชื่อนี้...คนนี้ ทำไมถึงมีอิทธิพลต่อเรามากนักนะ ตั้งแต่วันเกิดเหตุที่ร้านอาหารจิตใจก็เอาแต่ว้าวุ่นอยู่ตลอด
    เกย์...? ไม่อยากจะเชื่อ...เราเป็นเกย์หรือ...? แล้วหลินล่ะ...?


    ****************************************************************************************************************


    “นี่...นาย” น้ำเสียงมันเอาเรื่อง เมื่อนักขัตขวางทางอยู่ ไม่ว่ามันจะหลีกไปทางซ้ายหรือขวา นักขัตก็เปลี่ยนตำแหน่งไปยืนยืดอกหนาๆกันทางเอาไว้ จะหาเรื่อง

    “เอ้ะ!” มันโกรธจัด หน้าแดง ตาชั้นเดียวหรี่ลงอย่างไม่สบอารมณ์ คิ้วเส้นบางขมวดย่น พร้อมท้าสู้ ความโกรธทำให้มันจำนักขัตไม่ได้ มันคงลืมดูใบหน้านี้ให้ดี...

    กว่ามันจะรู้ตัว...นักขัตปล่อยหมัดแรกแหวกผ่านอากาศรวดเร็ว ใส่หน้ามัน...เจ็บมือ เกิดมายังไม่เคยต่อยตีกับใคร
    เร็วสิ...รออยู่แล้ว


    แล้วทางแคบๆรกด้วยพุ่มไม้แตกกิ่งก้านสูงไร้ผู้คนสัญจรนั้นก็กลายเป็นสังเวียน ประลองทั้งกำลังและอารมณ์...
    แค้นนัก...ที่วันนั้นมันทำกับวิน วันนี้เจอมันไวๆเลยตามมา ยิ่งเห็นมันเดินลอยหน้าลอยตาทำตัวปกติเหมือนไม่มีใครเอาความยิ่งเดือดปุดๆ ทนไม่ไหวจริงๆขอดวลกับมันสักครั้งเถอะ...ค่าที่มันทำวินเจ็บ
    ...ที่มันทำรอยอุบาทว์นั้น...

    “มึงตาย!” นักขัตคำราม...

    สมเย็นเอื่อยๆ นักขัตยันเท้าคางที่หลังระเบียง ร่องรอยวีรกรรมหายไปหมดแล้ว มองเห็นแสงไฟลอดมาจากประตูเปิดสู่ระเบียงของห้องข้างๆเลยนึกไปถึงสาเหตุที่โดนคนที่อยู่ข้างๆห้องเกลียด...มันชื่ออะไรนะ ไอ้คนนั้น

    เป็นรุ่นพี่ของวินล่ะสินะ...คุ้นๆว่าชื่อนัท

    ไอ้เลว คิดแล้วบีบกำปั้นแน่น

    แล้วก็ถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ จะปล่อยให้วันชนะเกลียดน้ำหน้าเขาอย่างนี้ต่อไปหรือ ครั้นจะเข้าไปอธิบายก็จะบอกว่าอย่างไรล่ะ ไม่รู้ด้วยว่าจะพูดอะไรดี...สับสนกับตัวเองเป็นทุนเดิม ขอเวลาอีกหน่อยเถอะวิน เราไม่ปล่อยให้เรื่องมันจบแบบนี้หรอก

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-05-2007 11:55:33 โดย หมูพูห์ »

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
Re: [story] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #169 เมื่อ06-04-2007 12:45:43 »

8 : ตัวอิจฉา


หลังจากสอบเสร็จ ที่หน้าห้องสอบในวันสุดท้าย เสียงเจื้อยแจ้วของนิสิตที่จับกลุ่มสนทนาถึงข้อสอบที่เพิ่งเจอมา ถามถึงข้อนั้นข้อนี้ว่าได้คำตอบตรงกันไหม แล้วทำอย่างไร หลายคนมีสีหน้าดีใจที่คำตอบเหมือนกับเพื่อนส่วนใหญ่ แต่หลายคนก็หน้าสลด วิตกถึงคะแนนที่จะได้เกรงว่าจะไม่ผ่าน ในขณะที่ยังเหลือบางคนนั่งอยู่ในห้องสอบกับเศษเวลาที่เหลือ

“หมดเวลาแล้วค่ะ ทุกคนวางดินสอ ปากกาให้หมดแล้วลุกเอาข้อสอบมาส่งที่หน้าห้องค่ะ” อาจารย์ที่คุมสอบกล่าวผ่านไมโครโฟน
เป็นจังหวะเดียวกับที่คำตอบข้อสุดท้ายถูกเขียนลงไป วันชนะถอนหายใจโล่งอกที่ทำเสร็จอย่างเฉียดฉิว ก่อนจะลุกขึ้นไปส่งข้อสอบที่หน้าห้องแล้วจึงเดินไปหยิบกระเป๋าของตัวเองที่กองอยู่รวมกันกับของคนอื่นที่หน้าห้อง

“วิน วิน ว่ายังไงทำได้บ้างไหม” ก้อยถามด้วยความอยากรู้ “ข้อ...ทำได้ไหม” ก้อยหาพวกที่ตอบเหมือนเธอ อย่างน้อยก็อุ่นใจว่าถ้าตอบผิดจะได้มีเพื่อน วันชนะทำท่าคิดนิดหนึ่งแล้วบอกไปตามตรงว่าคำตอบไม่ตรงกัน สังเกตสีหน้าของเพื่อนม่อยลงทันที

“แง ทำไมมีก้อยคนเดียวที่ตอบว่า X = 16 ล่ะ” หล่อนโอดครวญ เพราะว่าคนอื่นๆได้คำตอบเป็น 8

“ลืมหารสองหรือเปล่าก้อย” อาร์ทหาจุดบกพร่อง

“ไม่เป็นไรหรอกก้อย ข้อเดียวเอง ข้อนั้นแค่สองคะแนนเอง” หลินปลอบ

“แต่ว่า...ข้อง่ายๆยังผิดเลย แล้วที่เหลือจะเป็นยังไง” ก้อยทำหน้าเหมือนคนร้องไห้ แต่ไม่ได้ตั้งท่าจะร้องจริงจัง

ถกกันพอสมควร แต่ไม่มีใครสังเกตว่ามีกรรณิการ์ที่เอาแต่ฟังคนอื่นๆ จนคนหนึ่งในกลุ่มเสนอแนะว่าไปคุยกันต่อที่โรงอาหารกลาง ทานข้าวเย็นไปด้วยก่อนกลับ เพราะไหนๆวันนี้ก็เป็นสอบวันสุดท้ายแล้ว ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปจะหยุดเรียนถึงหนึ่งสัปดาห์ กลุ่มจึงค่อยๆเคลื่อนไป
ระหว่างทางสุวรรณาเป็นคนแรกที่สังเกตได้ถึงความมีตัวตนของกรรณิการ์ ใบหน้าของเพื่อนตั้งแต่สมัยมัธยมดูเครียดนิดๆ จึงเอ่ยคุยด้วยเพราะไม่อยากให้เพื่อนคิดมาก

“หยุดสัปดาห์หนึ่งแจนจะไปเที่ยวไหนบ้างจ้ะ” สุวรรณาถามอย่างสนิท
“อ้อ ไม่ได้ไปไหนหรอกจ้ะ คงนอนเล่นอยู่ที่บ้านแหละจ้ะ” หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย ใบหน้าเปลี่ยนจากอาการครุ่นคิดเป็นยิ้มแย้มแต่ทุกคนก็ดูออกว่ากลบเกลื่อนอารมณ์ที่แท้จริงเอาไว้

“เอ้อ เราลืมบอกไปเลยว่าวันเสาร์หน้าพี่ปีสองนัดไปร้องคาราโอเกะกันนะ” อาร์ทเปลี่ยนเรื่อง ทำให้บรรยากาศที่ดูตึงเครียดเล็กน้อยกลับสดใสขึ้น

“เราก็ว่าจะบอกทุกคนอยู่พอดี” วันชนะเพิ่งนึกขึ้นได้
“เสาร์หน้าเหรอ อืม...”ก้อยลากเสียงยาวตอนท้าย คิด อยู่ว่าตนจะว่างหรือไม่ “ไม่แน่ใจว่าจะไปได้ไหมนะ”
“เราว่าน่าจะได้นะ พี่บอกว่าหลังสอบคงมีบางคนกลับบ้านต่างจังหวัด เลยนัดวันเสาร์หน้าเพราะวันจันทร์ก็เริ่มเรียนปลายภาคกันแล้ว ป่านนั้นคงกลับมากันหมดแล้ว” อาร์ทบอก

พูดถึงตรงนี้ทุกคนซึ่งเลยหันมาถามวันชนะเพราะเป็นคนเดียวในกลุ่มที่มาจากต่างจังหวัด “แล้ววินจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัดหรือเปล่า? จังหวัดอะไรนะ?”

“แพร่ แต่วินยังไม่รู้ว่าจะกลับหรือเปล่านะ” ชายหนุ่มตอบ
“วินมาจากแพร่เหรอ เป็นหนุ่มเหนือนี่เอง มิน่าล่ะถึงได้ผิวขาว” ก้อยแซวเพราะอิจฉาวันชนะอยู่หน่อยที่ตนผิวคล้ำกว่า ไม่พูดเฉยหล่อนยังเอาปลายมือมาลูบๆที่ต้นแขนวันชนะ “เนียนด้วย”

“ไม่ทุกคนหรอกที่ขาว” วันชนะหันไปพูดกับเพื่อนสาว

การสนทนาหลังจากนั้นเป็นไปอย่างครื้นเครงในโรงอาหารกลาง จวบจนบรรยากาศเริ่มสลัวจึงแยกย้ายกันกลับ
วันชนะมุ่งหน้ากลับห้องของตนซึ่งอยู่ไม่ไกล นึกถึงการสอบแล้วก็โล่งเพราะว่าสอบไปหมดแล้ว เขาเองก็กังวลกับผลสอบอยู่เหมือนกันเพราะว่าไม่ค่อยจะมีสมาธิทบทวนเท่าไรนัก ที่ถกกันตอนออกจากห้องสอบก็ดูเหมือนว่าคำตอบจะไม่ตรงกับเพื่อนอยู่หลายข้อ แต่ก็ไม่อยากจะคิดให้รกพื้นที่ในหัวอีก ไหนๆก็ผ่านไปแล้ว แล้วค่อยรอฟังผลเอาละกัน แต่ตอนนี้ขอไปนอนพักเสียหน่อย นอนไม่เต็มคราบมาหลายวันแล้ว


เหมือนทุกครั้งที่เดินขึ้นบันไดมา พอสายตาพ้นขั้นสุดท้ายก็จะเห็นประตูห้องเรียงกันไป วันนี้มีสิ่งหนึ่งแปลกไป ที่หน้าห้องนักขัตมีรองเท้าคู่ที่ไม่คุ้นตาถอดวางอยู่...สภาพบอกการใช้งานมาบ้าง ไม่ใช่คู่ใหม่ของนักขัตหรือโตโต้แน่นอน

ยังไม่ทันจะก้าวพ้นขั้นสุดท้ายนั้น ประตูห้อง 610 ก็เปิดออกพร้อมกับใครคนหนึ่งที่วันชนะไม่เคยรู้จัก
บุคลิกไม่ต่างจากวันชนะเท่าไร ผอมบาง ตัวเล็กกว่าวันชนะหน่อย สะอาดสะอ้าน หน้าตาดูผ่องใสอยู่ในชุดนิสิตแขนสั้น แวบหนึ่งที่สายตาปะทะกัน เขามองวันชนะด้วยหางตาแล้วเหมือนจะสะบัดหน้าเล็กน้อยก่อนหันไปคุยกับคนที่ยังอยู่ข้างใน

เกย์...แสดงออกอย่างเปิดเผยในระดับที่มากพอสมควรและสายตาคมที่มองเหมือนจะเหยียดแบ่งระดับชั้นนั้นบอกได้ทันที วันชนะก็คงไม่สนใจอะไรมากไปกว่านั้น ถ้าคนที่อยู่หลังประตูนั้นไม่ใช่นักขัตแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากเดินทำหน้านิ่งผ่านไปเฉยๆ

คนที่อยู่หลังประตูนั้นดูตกใจเมื่อเห็นการมาของวันชนะจนชะงักไปเล็กน้อย จนคนตัวเล็กบางนั้นสังเกตเห็นแล้วหันมามองสิ่งที่ทำให้นักขัตสะดุด ก่อนพูดด้วยสำเนียงเนิบๆช้าๆ “แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะตั้ม”

ดวงตาคมกริบนั้นเหมือนจะฉายแววนัยอะไรสักอย่างขณะพยายามซุกเท้าเข้าไปในรองเท้าคู่นั้น ส้นรองเท้าหนาพอสมควรนั้นพลิกทำให้เจ้าของต้องโผร่างไปข้างหน้า สวมเข้ากับกอดที่เกิดอย่างอัตโนมัติของเจ้าของห้องได้พอดิบพอดี เจ้าของร่างที่เซไปซุกหน้าเข้าไปเต็มๆกับอกของนักขัต กิริยาที่เกิดดูไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลยในสายตาวันชนะ...เหมือนตั้งใจให้เกิด

แวบหนึ่งคนที่เดินผ่านเห็นเหตุการณ์นั้นได้เห็นรอยยิ้มผุดที่มุมปากเผยความมารยาของคนตัวเล็ก...เป็นยิ้มที่ส่งตรงมาให้วันชนะโดยเฉพาะ...เหมือนประกาศความเป็นเจ้าของ...และท้าทาย

เจอเข้าอย่างนี้วันชนะก็ใจเต้นตึกตักด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกเหมือนกัน มันปั่นป่วนอยู่ข้างใน แม้จะเคยสัญญากับตัวเองเอาไว้ว่าจะตัดนักขัตออกไปจากความคิดก็ตาม แต่ก็สามารถเก็บซ่อนอารมณ์เอาไว้ได้จึงตอบกลับด้วยรอยยิ้มเหยียดและสายตาสมเพสให้กับพฤติกรรมมารยาสาไถนั้น...และเหมือนจะบอกผ่านรอยยิ้มเย็นนั้นไปด้วยว่า...ชายคนนั้นไม่ได้มีอิทธิพลอะไรต่อวันชนะเลยสักนิดเดียว...

ก่อนสายตาจะละจากคนทั้งสอง คนตัวเล็กพยายามจะรั้งในตัวเองได้อยู่ในวงแขนของนักขัตให้นานขึ้น ในขณะที่วันชนะไม่สังเกตว่านักขัตเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้นจึงรีบผลักร่างเบานั้นออก


เสียงเคาะดังขึ้นที่หน้าประตูหลังจากที่วันชนะกลับเข้าห้องมาได้ราวสิบนาที ในใจคิดว่าวุฒิคงกลับมาแล้วจึงเดินไปเปิดประตูให้อย่างปกติ
“ไง วินเป็นยังไงบ้าง ไม่ได้เจอเสียหลายวัน” กลับเป็นนักขัตอยู่ที่หน้าห้อง

เออเนาะ ยามที่เราต้องการกำลังใจกลับไม่มา ตอนที่เราต้องโดดเดี่ยวกับรอยแผลอยู่คนเดียวเขาไปอยู่ที่ไหน จะมาทำไมเอาป่านนี้ ทั้งๆที่ห้องก็อยู่ติดกัน เดินหากันก็เพียงไม่กี่ก้าว

“สบายดี ตั้มล่ะ” วันชนะทำตัวเป็นปกติ
“เมื่อกี้เพื่อนตั้มที่คณะ เขามาขอยืมเลกเชอร์ส่วนที่เขาไม่ได้เข้าเรียนน่ะ” นักขัตบอก

“เหรอ” จะมาบอกเราทำไมกันนะ ไม่ได้อยากรู้ วันชนะเงียบเหมือนรอฟังเขาว่าจะพูดอะไรต่อ

“เอ่อ...ไปกินข้าวเย็นกันไหม” เขาชวน วันชนะคิดว่าชวนเพราะเขานึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรเสียมากกว่า

“เรากินกับเพื่อนมาแล้ว” วันชนะตอบน้ำเสียงปกติ

“งั้นพรุ่งนี้ล่ะ พรุ่งนี้ตั้มสอบวันสุดท้าย เย็นๆไปหาอะไรกินกันไหม” เขาถาม

“คงจะไม่ได้หรอก พรุ่งนี้วินจะกลับบ้านต่างจังหวัด” ไม่รู้ความคิดนี้ผุดขึ้นมาได้ยังไงที่ทำให้วันชนะพูดออกไปอย่างนั้น ทั้งที่จริงเขายังไม่ได้วางแผนเอาไว้เลย

“อ้าว...หรือ...” หางเสียงแฝงด้วยความผิดหวัง “อืม...อย่างนั้นเอาไว้คราวหน้าก็ได้”

ได้เห็นสีหน้าหม่นลงของคู่สนทนาก็ทำให้ลืมภาพที่เคยจินตนาการว่าเขาโหดร้ายก็อ่อนลง แล้วถามกลับด้วยเสียงอ่อนว่า “แล้ววินไม่กลับเชียงใหม่เหรอ”

เขายิ้มนิดๆก่อนตอบว่า “ตั้มยังไม่กลับหรอก หยุดแค่สัปดาห์เดียวเอง เอาไว้กลับตอนปิดเทอมแรก”

แล้วทั้งคู่ก็เงียบไปราวกับไม่มีเรื่องให้พูดคุยอีก แต่ที่จริงแล้วมีเรื่องตั้งมากมายที่อยากถามไถ่ในช่วงที่ไม่ได้เจอกันก่อนหน้านี้...เพราะต่างก็ปิดความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้

นักขัตเองก็นึกเจ็บใจตัวเอง ทั้งที่รวบรวมความกล้าอยู่นาน เพราะเกรงที่ตัวโดนวันชนะเกลียดถึงขั้นออกปากว่าอย่ามาพบหน้ากันอีก เขาไม่อยากให้วันชนะเข้าใจเมื่อกี้ผิด แต่พออยู่ต่อหน้ากลับพูดอะไรไม่ออก อึกอักติดขัดไปหมด

ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ จากความรู้สึกที่เริ่มอ่อนโยนขึ้นก็กลับตึง เมื่อมีคนเดินออกมาจากด้านหลังของนักขัต
สายตาคมกริบจ้องมาทางวันชนะราวกับจะหมายหัวเอาไว้ คนตัวเล็กบางคนนั้นยังอยู่

คนตัวเล็กท่าทางบอบบางแต่สายตาเชือดเฉือนผิดบุคลิกไม่พูดอะไร แต่มายืนเทียบติดร่างสูงของนักขัตที่หน้าประตูห้องวันชนะ
“อ้าว แซกส์!” นักขัตตกใจที่จู่ๆเพื่อนร่วมคณะก็มาอยู่ข้างๆ

“แซกส์ว่าแซกส์ลืมของเอาไว้นะ เลยกลับมาดูน่ะ” ในหน้าที่แบ่งพวกเมื่อกี้กลายเป็นยิ้มอ่อนหวานสดใสเมื่อหันไปคุยกับนักขัต
“เอ่อ...แล้วนี่...” คนช่างตีสองหน้าถามอย่างเกรงๆ
“อะ อ้อ นี่เพื่อนตั้มเอง ชื่อวิน” นักขัตแนะนำ “วิน นี่แซกส์เพื่อนที่วิศวะฯ”

“งั้นเดี๋ยวตั้มไปดูให้” นักขัตอยากจะอยู่คุยกับวินสองคนมากกว่าจึงรีบกลับเข้าห้องตัวเองไปหาของที่ว่าลืมเอาไว้ คิดว่าหาเจอแล้วเอามาคืนเพื่อนตัวเล็กจะได้คุยกันต่อ ลืมไปว่าปล่อยให้วันชนะเผชิญหน้ากับเพื่อนใหม่ลำพัง


เมื่อตัวกลางปลีกตัวออกไป คนสองหน้าจึงเริ่มถอดหน้ากากออก เปลี่ยนเป็นหน้าที่ใช้กำราบศัตรูของตน สายตาคมนั้นดูเย็นเยือก แต่วันชนะก็แกล้งคุมอารมณ์เอาไว้ บางทีอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิด จึงยิ้มให้อย่างเป็นมิตร หากแต่ฝ่ายตรงข้ามยังไม่แสดงทีท่าของมิตรตอบกลับมาแม้สักนิด

“นี่หล่อน อย่าริอาจมายุ่งกับตั้มเป็นอันขาดเชียว” เสียงเนิบช้านั้นแฝงด้วยอารมณ์ที่เหยียดหยัน สายตาของคนตัวเล็กบางมองวันชนะตั้งแต่หัวจรดเท้า


“แซกส์ๆ ลืมอะไรไว้เหรอตั้มหาแล้วไม่เห็นมี” นักขัตโผล่ออกมา
คนสองหน้ารีบถอดหน้ากากมารออกทันทีก่อนหันไปพูดกับนักขัตว่า “อ๋อ ขอโทษทีตั้มเราเอ๋อเองแหละ เจอละ อยู่ในกระเป๋าเราเองล่ะ” คนตัวเล็กหัวเราะร่วนสดใส...ไร้พิษสง

“แซกส์ว่าจะกลับแล้วล่ะ” เขาพูดก่อนจะหันมาทางวันชนะ
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับวิน หวังว่าเราคงจะได้เจอกันบ่อยๆนะ” นิสิตวิศวกรรมตัวเล็กกล่าวพร้อมกับยิ้มที่เป็นมิตร
“เช่นกันครับ” วันชนะตอบยิ้ม แววตาเป็นประกายกล้า

ภาพที่เห็นทำให้คนที่เพิ่งออกมาไม่รู้อีโหน่อีเหน่เห็นว่าคนทั้งสองคงจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ เลยยิ้มตาม

ลับหลังคนตัวเล็กไปนักขัตรีบกลับมาที่หน้าห้องวันชนะ แต่เจ้าของห้องกลับปิดประตูเข้าไปแล้ว ตอนแรกกะจะเคาะเรียก แต่คิดอีกทีก็เปลี่ยนใจ

ภาสกรหรือแซกส์ นิสิตวิศวกรรมตัวเล็กได้แต่ระบายออกทางกิริยาที่แสดงออกมาอย่างไม่จำกัด กระทืบเท้าแรงตลอดทางเดินลงมา เจ้าคิดเจ้าแค้น ใบหน้าฉายแววไม่พอใจที่ไม่ได้ตอกกลับ เพราะไม่นึกว่าอีกฝ่ายก็ “แรง” อยู่เหมือนกัน ภาพของนังคนนั้นยังจำติดในใจ...เจ็บใจนัก

“นี่หล่อน อย่าริอาจมายุ่งกับตั้มเป็นอันขาดเชียว” คนตัวเล็กบางนึกย้อนกลับไปตอนเปิดฉาก เห็นอีกฝ่ายผงะไปนิดหนึ่งก็นึกว่ามันจะหงอ มันกลับต่อกลับมา

“ตั้มน่ะหรือ” มันหัวเราะเยาะ ปากมันหยันเหมือนจะเยาะเย้ย “กอดเขาอุ่นดีนะ ถ้าเธออยากได้บ้างก็ลองมาแย่งดูสิ”
มันทำหน้าท้าทาย
คิดถึงประโยคที่โดนตอกกลับแล้วยิ่งร้อนปุดปุดในอก เพราะต้องเป็นฝ่ายหยุดทั้งที่จะต่อปากด้วย เพราะคนที่หมายตาดันออกมาพอดี


หน้าห้องระบุหมายเลข 619 เจ้าของห้องนั่งหันหลังพิงประตูซบหน้าเครียดเข้ากับสองแขนที่วางบนเข้า สับสนเข้ามาครอบงำจิตใจ นี่เขาสร้างศัตรูไปแล้วหรือนี่ ทั้งที่เขาไม่เคยพูดหรือแสดงท่าทางที่มันแสดงออกมากขนาดนั้นมาก่อน...

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-05-2007 11:56:55 โดย หมูพูห์ »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [story] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
« ตอบ #169 เมื่อ: 06-04-2007 12:45:43 »





ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
Re: [story] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #170 เมื่อ06-04-2007 12:47:07 »

9 : ด้วยแรงอธิษฐาน

“เฮ้ย บอมพรุ่งนี้ขอไปอยู่ด้วยสักสี่-ห้าวันสิ” วันชนะพูดผ่านโทรศัพท์ที่อยู่ข้างล่างหอพัก
“เออ มาสิ แล้วไม่กลับบ้านเหรอ ได้ข่าวว่าสอบหมดแล้วนี่” เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมที่มาเรียนอยู่ในกรุงเทพฯเหมือนกันแต่อยู่ต่างมหาวิทยาลัยกล่าวตอบ

“ยังหรอก กะจะกลับตอนปิดเทอมใหญ่เลย อีกสองเดือนเอง” วันชนะตอบคำถามก่อนค่อยถามเพื่อนสนิท “แล้วแกจะสอบเมื่อไร”
“เริ่มสอบสัปดาห์หน้า”
“อ้าว แล้วแบบนี้ฉันไปอยู่ด้วยจะกวนแกอ่านหนังสือไหมล่ะนั่น” วันชนะกังวล
“ก็อย่ามาชวนคุยตอนฉันอ่านหนังสือเท่านั้นแหละ”
“อืม” วันชนะเข้าใจ อพาร์ทเมนท์ของปริญญามีแบ่งเป็นห้องนอนกับห้องรับแขก เขาก็เคยไปนอนค้างอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อตอนก่อนเปิดเทอม ปริญญามีฟูกหนาปูนอนที่ห้องรับแขกได้


...


เอาล่ะ ทำให้แนบเนียนที่สุด วันชนะเตือนตัวเองขณะพับเสื้อผ้าลงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ จากนั้นคงต้องค่อยๆย่องออกไปให้เบาๆ หวังว่าคงจะไม่เจอนักขัตหรอกนะ แต่เจอสิดีจะได้เห็นว่าเรากลับบ้านจริงๆ

เปิดประตู ลากสัมพาระแล้วเหมือนนึกได้ว่าทำเกินไปหรือเปล่า กระเป๋าหนักอึ้ง ยืนลังเลอยู่ครู่ว่าจะเอาเสื้อผ้าออกบ้างดีไหมจะได้เบาขึ้น
“เฮ้ย วินจะกลับบ้านเหรอ” วุฒิเดินขึ้นมาพอดี

“อะ...อืม” นึกขึ้นได้ว่าลืมบอกวุฒิ “เพิ่งสอบเสร็จเหรอ?” สังเกตเห็นสีหน้าอิดโรยของเพื่อนร่วมห้อง
“เออ เหลือมะรืนอีกตัวก็หมดละ” รูมเมทกล่าว “แล้วนี่จะไปยังไงล่ะ?”

“ระ...รถทัวร์” วันชนะตะกุกตะกัก ไม่ได้เตรียมคำถามคำตอบเอาไว้ มัวแต่คิดว่าจะทำให้แนบเนียนที่สุด
“งั้นก็ไปดีมาดีนะ” วุฒิกล่าวอย่างจริงใจเพียงแต่แสดงออกไม่มากนัก
“ขอบใจวุฒิ”

วุฒิเดินอ้อมกระเป๋าใบใหญ่ที่ตั้งนิ่งบนพื้นขวางทางเข้า ใช้มือออกแรงผลักเบาๆหวังให้เคลื่อนออก แค่สัมผัสวุฒิก็รู้ว่าหนักมาก มองวันชนะที่กำลังตั้งท่าจะลากกระเป๋าใบหนักออกไป หนุ่มวิศวะเดินเข้าห้องไป วางกระเป๋าลงแล้วรีบออกมา


“มา วุฒิช่วย” คนพูดแย่งกระเป๋าไปจากมือวันชนะราวกับเบาเหลือเกิน แต่ลำแขนกลับเกร็งจนเส้นเลือดปูดนูนขึ้นมา
“ไม่เป็นไรวุฒิ วินถือไปเองได้” วันชนะเกรงใจ แม้ว่าของจะหนักแต่ก็ไม่เกินกำลังตนเอง

“เถอะน่า วินตัวบางจะแย่ เดี๋ยวเดินไปดีๆตัวหักกลางจะว่าไง” หนุ่มวิศวะพูดติดตลกเพื่อเบี่ยงเบนไม่ให้วันชนะแย่งคืน
รอยยิ้มบางๆมีให้เพื่อนคนนี้ แม้จะรู้จักกันเพียงครึ่งเทอมแต่ก็สนิทกันมากกว่าใคร เพราะที่รู้จักกันจากโรงเรียนเดิมมาเรียนที่นี่ก็มีแต่เขาคนเดียว คนอื่นก็ไปเรียนต่างมหาวิทยาลัย


เดินมาจนถึงประตูทางออกด้านหลังมหาวิทยาลัยวันชนะรอเรียกแท็กซี่ วุฒิยังยืนรอเป็นเพื่อนจนถึงยกกระเป๋าใส่ท้ายรถ
“ไปอโศกครับ” วันชนะบอกคนขับ แล้วขึ้นไปนั่งที่เบาะหลัง

“ขอบใจมากนะวุฒิ แล้วเจอกัน” พูดจบก็ปิดประตู รถค่อยๆออกตัวรอจังหวะเบี่ยงเข้าเส้นทาง
วุฒิเดินกลับ

“เอ้ะ เมื่อกี้วินบอกว่าไปอโศก” ไหนว่ากลับบ้านไม่ใช่หรือ บอกว่ากลับรถทัวร์ น่าจะไปที่สถานีขนส่งที่หมอชิต ได้แต่สงสัย ตลอดทางเดินกลับแต่พอมาถึงห้อง ความเพลียก็ทำให้ชายหนุ่มทิ้งกายลงนอนจิตเข้าสู่ห้วงฝันอย่างสนิท...


“โอ้โห นี่แกจะมาอยู่กี่เดือนเนี่ย!” ปริญญาอุทาน


...

ล่วงเข้าวันที่สี่ที่วันชนะพักอยู่กับปริญญา แม้จะอยู่ที่เดียวกันแต่ว่าเพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมดูจะเครียดอยู่กับการท่องหนังสือเตรียมสอบเสียมากกว่า วันชนะเกรงใจเพื่อนจึงพยายามไม่กวน ทั้งคู่จึงได้เจอกกันเฉพาะตอนออกไปทานข้าวหรือตอนที่ปริญญาออกมาพักสายตาเท่านั้น

...เบื่อ...ออกไปเดินเล่นข้างนอกดีกว่า

“บอม” วันชนะเรียกชื่อเพื่อนที่กำลังเคร่งท่องหนังสืออยู่อีกห้อง “จะออกไปข้างนอก จะเอาไรไหม?”
“ไม่ละ ขอบใจมาก” เสียงตอบดังผ่านประตู


เดินออกมาจากซอยพลางมองหาของกินไปด้วย คนพลุกพล่านเดินสวนทางวุ่นวาย วันชนะคิดถึงบ้านขึ้นมา ที่บ้านสงบไม่วุ่นวายแออัดเหมือนในกรุงเทพฯ ผู้คนก็ดูมีน้ำใจมากกว่าคนกรุงเทพฯ คิดไปคิดมาก็นึกได้ว่าตั้งแต่มาเรียนเขายังไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย ชีวิตอยู่แต่มหาวิทยาลัย จากตรงที่เขากำลังยืนรอพ่อค้าย่างไข่ปลาหมึกบนตะแกรงร้อนสามารถมองเห็นป้ายรถเมล์อยู่ไม่ไกล

...ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างดีกว่า...แต่ถ้าเจอนักขัตขึ้นมาจะว่าอย่างไรล่ะ...ใจหนึ่งขัด...คงไม่เจอหรอกกรุงเทพฯออกจะกว้าง
“เสร็จแล้วหนุ่ม สี่สิบบาท” พ่อค้ายื่นถุงไข่ปลาหมึกหอมฟุ้งมาให้

“ขอบคุณครับ” วันชนะจ่ายเงินแล้วเดินอ้อยอิ่งออกมา ไข่ปลาหมึกหมดพอดีเมื่อถึงป้ายรถเมล์
ว่าแต่จะไปไหนดีล่ะ ยังไม่เคยขึ้นรถเมล์เลยสักครั้ง...ลองนั่งไปเรื่อยๆ ขากลับก็นั่งสายเดิมคงไม่หลงไปนอกเส้นทางกระมัง

รถเมล์สายหนึ่งวิ่งมาหยุดที่ตรงหน้า วันชนะตัดสินใจก้าวขาขึ้นไป

ต้นทางรถเมล์สายธรรมดาวิ่งได้ฉิว ไม่มีติดขัด สายลมพัดกระทบใบหน้าร้อนผ่าว แต่ก็ยังดีกว่าตอนที่รถติด เหมือนอยู่ในเตาอบ เพราะตัวรถเป็นเหล็กพอโดนแสงอาทิตย์เพิ่มพลังเข้าไปจึงดูดซับแล้วแผ่รังสีความร้อนออกมา แต่วันชนะมัวแต่มองออกข้างทางตลอด เห็นตึกสูง คนมากมายไหลไปกับถนน เบียดเสียดกันวุ่นวาย ขอทานตัวดำขะมุกขะมอมนักยกมือไหว้คนที่ผ่านไปผ่านมาปะหลกๆ แม้แต่คุณยายที่อายุราวหกสิบกว่าก็ยังมานั่งตากแดดตากลมขอทานเขากิน ควันเขม่ารถยนต์ฟุ้งกระจาย เห็นคลองเต็มไปด้วยขยะ น้ำสีดำคล้ำไม่เหมือนที่บ้านต่างจังหวัดก็น่าใจหาย

มาถึงช่วงหนึ่งถนนแคบมีเพียงสองเลนรถเมล์ที่วันชนะนั่งมาก็ติดแหงก เวลาผ่านไปยาวนานรถขยับไปได้เพียงไม่กี่เมตร สองข้างทางเป็นตึกสองชั้นเก่าๆ ไม่มีอะไรให้ดู อากาศร้อนอบ ตาเริ่มปรือ หัวเริ่มหนักเอน เริ่มกึ่งรู้กึ่งตื่น แต่ตาหลับสนิท...

...รู้สึกตัวอีกทีเมื่อ รถเบรกกะทันหันทำเอาศีรษะกระแทกเบาๆกับขอบเหล็กที่หน้าต่างประตู มองออกไปข้างนอก เจดีย์สูงตระหง่านสะท้อนแสงแดดเป็นสีทองอร่าม...เคยเห็นรูปในหนังสือมาก่อน...ภูเขาทอง...

ก้าวขาเข้าเขตสัตบรรพต...ภูเขาทอง...ก็รู้สึกได้ถึงความสงบเย็นร่มรื่น แหงนหน้ามองเห็นยอดอยู่ลิบๆ ภูเขาทองไม่ได้สูงชันอย่างที่คิด เพียงไม่นานวันชนะก็ขึ้นไปถึงที่สักการะด้านบน ชาวต่างชาติสองสามคนถ่ายรูปวิวกรงเทพที่เห็นได้กว้าง วันชนะบริจาคเงินใส่หีบแล้วหยิบธูปเทียนดอกบัวมาที่สำหรับจุดบูชา แยกทองคำเปลวออกมาต่างหากแล้วจึงจุดเทียน ตั้งเทียนที่แท่นได้ก็จุดธูปจากเทียน สะบัดไฟให้ดับ ควันธูปลอยอ้อยอิ่งหอม หลับตาสวดมนต์ในใจ จากนั้นจึงเดินเข้าไปด้านในเพื่อปิดทอง

ก่อนจะคลี่กระดาษเล็กๆที่ห่อแผ่นทองคำเปลวออก วันชนะพนมมือหลับตาอธิษฐาน...พระบรมสารีริกธาตุเจ้า วันนี้ผมได้มีโอกาสมาสักการะถึงที่นี่แล้ว ขออำนาจบุญส่งให้ครอบครัวมีแต่ความสุขและเจริญ...นึกถึงมารดาที่ล่วงลับแล้วจึงอธิษฐานต่อว่า...ขอให้คุณแม่พบเจอแต่สิ่งสงบร่มเย็น...แล้วก็นึกถึงตัวเองขึ้นมา...ขอ...ขอให้ผมได้พบเจอกับรักที่ดี...สายลมเย็นพัดผ่านวูบหนึ่ง มาพร้อมกับกลิ่นธูปหอม เหมือนเป็นคำอวยพร วันชนะอิ่มเอิบใจก่อนจะลืมตาแล้วปิดทองลงไป...

ไหว้สาพระบรมสารีริกธาตุเสร็จก็ออกไปเกาะหน้าต่างชมทิวทัศน์ของกรุงเทพ ข้างบนนี้ลมโกรกเย็นสบาย มีทางขึ้นเล็กๆที่มุมด้านหนึ่ง วันชนะเดินขึ้นไปก็เจอดาดฟ้า เจดีย์ทองสะท้อนแสงเป็นทองสุกเหลืองอร่าม แม้แดดจะร้อน แต่สายลมดูจะเย็นกว่า
จิตใจสงบ...ปล่อยเรื่องวุ่นวายในชีวิตให้ลอยไปกับสายลม...


เดินออกมาจากภูเขาทอง หันกลับไปมองยังทึ่งในภูมิปัญญาของคนเก่าแก่ไม่ได้ ยังนึกเสียดายที่ไม่มีกล้องถ่ายรูป
ตะวันเริ่มคล้อยทำมุมแหลมกับทิศตะวันตก คงราวสักบ่ายสามโมงกว่า เดินไปตามทางรถมุ่งหน้าไป สักพักก็เจออนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก หยุดชมนิดหนึ่งค่อยเดินต่อ

กำแพงสูงสีขาวเห็นอยู่ไม่ไกล สนามกว้างใหญ่รอบๆปลูกต้นมะขามห่างๆ วันชนะรีบเดินเร็วขึ้นเพิ่งจะเคยเห็นพระราชวังเป็นครั้งแรก จะได้ไปไหว้พระแก้วมรกตด้วย

...อิ่มเอิบใจ ซาบซึ้งอย่างน้อยครั้งหนึ่งก็ได้มาไหว้สาพระพุทธรูปคู่เมือง...เดินชมทั่วๆวัดเลยไปจนถึงพระราชวัง ปราสาทต่างๆจนออกมาก็เริ่มโพล้เพล้ เดินอยู่ข้างสนามหลวงมองข้ามไปยังฝั่งกำแพงโบราณสูงยังตราตรึง เป็นภาพที่สวยงามมาก
เดินๆอยู่ในคอเริ่มเป็นผง รู้สึกแห้งๆ ข้างหน้ามีรถเข็นขายน้ำส้ม น้ำใบบัวบกจึงเดินเข้าไป

“ขอน้ำใบบัวบกครับ”
ยืนรอแม่ค้าตักน้ำสีเขียวมรกตใส่แก้วก็มีคนเดินเซมาชนจนวันชนะเกือบทรงตัวไม่อยู่ ชายแก่ราวห้าสิบ ท่าทางไม่แข็งแรง เนื้อตัวมอมแมมหันมายกมือเป็นเชิงขอโทษขอโพยแล้วเดินโซซัดโซเซต่อไป วันชนะไม่ติดใจเอาความกลับรู้สึกเวทนาเสียด้วยซ้ำ
“สิบบาทจ้ะ” แม่ค้ายื่นแก้วพลาสติกใส่น้ำใบบัวบกมาให้

“ครับ” วันชนะสอดนิ้วไปที่กระเป๋าหลังกางเกงจะล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมาจ่าย แต่...ว่างเปล่า...
“เฮ้ย!” วันชนะอุทาน ใจเสีย ก็เขาใส่ไว้ที่กระเป๋ากางเกงด้านหลังนี่ งมหาที่กระเป๋าด้านหน้าก็ไม่พบ มีเพียงเหรียญสิบตกค้างอยู่เหรียญเดียว ฉุกคิดขึ้นได้ต้องเป็นคนที่เดินมาชนเมื่อกี้แน่ๆ รีบกวาดตามองกลับไม่เห็นคนเดินโซเซคนนั้นเสียแล้ว มองดูแม่ค้าเหมือนขอที่พึ่ง ขอคำแนะนำกลับเจอใบหน้าบึ้งตึง ไม่พอใจ

“มีตังค์หรือเปล่าน้อง” น้ำเสียงเหมือนเหยียดหยัน และรอดูท่าที

“เอ่อ...ครับ” วันชนะจำใจให้เหรียญสิบที่มีให้แม่ค้าใจดำไป มิวายที่หล่อนจะบ่นอุบอิบให้พอได้ยินว่า...จะหลอกกินฟรีล่ะสิ ไม่ยอมเสียของหรอก

ทำยังไงดี...วันชนะเริ่มใจสั่น เพิ่งมาเป็นครั้งแรก ตอนก้าวขาขึ้นรถมามั่นใจนักหนาว่ากลับเองได้ มองไปที่ถนนตอนนี้ดูสับสนมึนตึงไปหมด จับทิศทางไม่ถูก

โอย...จะทำยังไงดีนะ ...วันชนะคราง ยืนหันรีหันขวางได้สักพักก็คิดได้ว่านั่งแท็กซี่กลับแล้วค่อยไปขอเงินจากปริญญามาจ่าย แต่ว่าเรียกแท็กซี่หลายต่อหลายคันไม่มีคันไหนยอมไปส่งเมื่อเขาบอกปลายทาง บ้างบอกว่าส่งรถไม่ทัน บ้างก็ขับรถหนีไปเลย

วันชนะมองสภาพจราจรที่ติดแน่นก็พอจะเดาออกว่าแท็กซี่คงจะเลี่ยงเส้นทางที่รถติด คงไม่คุ้มที่จะเสียเวลา จึงเดินคอตกกลับไปนั่งที่ม้านั่งใต้ต้นมะขาม แสงไฟส้มๆจากเสาไฟสูงติดพรึบ โคมไฟสีขาวหม่นก็ติดสลัวๆ...ค่ำแล้ว...ไม่เป็นไรรอให้รถซา ถนนโล่งหน่อยอาจจะมีแท็กซี่ยอมไปส่ง

ผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ ถนนเริ่มจะโล่งขึ้น ผู้คนที่ยืนๆรอรถเมล์ก็บางลงไปเยอะ วันชนะไม่ได้ร้อนใจเหมือนตอนแรกแล้วเพราะรู้วิธีกลับ ใจเย็นขึ้นก็เลยนั่งนึกคิดอะไรไปพลางๆ นึกถึงกระเป๋าที่หายไปก็เสียดาย แต่ยังดีที่ในนั้นมีเงินไม่กี่ร้อย หนักใจก็แต่บัตรสำคัญๆในนั้น จะไปแจ้งตำรวจก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนยังไงดี ถ้าแจ้งไปก็คงไม่ได้คืน เขาเองยังจำหน้าตาของคนที่มาชนไม่ได้เลย ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะใช่ เขาอาจจะทำตกไปที่ไหนก็ได้ ยุงเริ่มชุมกว่าตอนเริ่มดึกขึ้นทุกที วันชนะขอนั่งต่ออีกสักห้านาทีก็จะกลับแล้ว


รถหรูใหม่เอี่ยมคันหนึ่งค่อยๆขยับมาเทียบที่ริมถนน กระจกประตูข้างค่อยๆเลื่อนลงครึ่งหนึ่ง สักพักหนึ่งชายร่างสะโอด ท่าทางภูมิฐานด้วยชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวพอดีตัวกางเกงแสลกสีดำจับกลีบด้านหน้าเรียบร้อย เข็มขัดสีดำมันเข้ากับชุดและเนกไทสุภาพ ทว่าชายร่างสูงนั้นกลับใส่แว่นตาสีดำสนิททั้งที่ตอนนี้ไม่มีแดดแล้ว วันชนะไม่ทันได้สังเกตจนกระทั่งร่างนั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้า

“เท่าไรครับ” น้ำเสียงทุ้มนุ่ม เอ่ยอย่างสุภาพ
.
.
.
.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-05-2007 12:00:58 โดย หมูพูห์ »

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
Re: [story] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #171 เมื่อ06-04-2007 12:48:58 »

วันชนะเงยขึ้นมองใบหน้าในความสลัวนั้น ดูจากการแต่งกายรู้สึกขัดๆกัน เขาไม่ควรมาอยู่แถวนี้ น่าจะจับชายหุ่นสะองคนนี้ไปวางไว้ในห้างหรูๆมากกว่า

“ครับ?” วันชนะเอ่ยหลังจากมองรอบตัวจนแน่ใจว่าชายหนุ่มตรงหน้าพูดกับตน

ชายหนุ่มมีท่าทีมั่นใจแต่เหมือนดูขัดเขินอยู่ในทีเอ่ยซ้ำว่า “ไปกับผม เท่าไรครับ” น้ำเสียงเริ่มลังเล

วันชนะเข้าใจในทันทีว่าชายหนุ่มตรงหน้านี้คงคิดว่าเขาเป็น “เด็กขาย” กระมัง ค่ำคืนมานั่งรอแขกเรียก
“ขอโทษครับ ผมไม่ใช่แบบนั้น” วันชนะกล่าวตอบอย่างสุภาพพร้อมกับลุกขึ้นเตรียมปลีกตัว สายตาคอยมองหาคนที่อยู่ใกล้ที่สุดเผื่อว่าตัวเองจะไม่ปลอดภัย

ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไรต่อวันชนะก็ผละไป เสียงฝีเท้าวิ่งตามใกล้เข้ามาวันชนะหันไปมองอย่างไม่ไว้ใจ แต่มือของชายหนุ่มคนตะกี้จับที่บ่าทั้งสองของวันชนะเอาไว้

“ผมขอโทษครับ” ชายหนุ่มพูดหอบโยน “ตอนแรกผมนึกว่าคุณเป็น...เอ่อ...” เขาไม่พูดต่อ
“เด็กขายตัว” วันชนะต่อแทน

“ผมขอโทษครับ แต่...ผมชอบคุณจริงๆนะครับ” ใบหน้าจริงจัง

อยู่ตรงจุดที่สว่างก็ทำให้เห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจนขึ้น แว่นตาถูกถอดออกไปแล้ว
หล่อมาก! ...วันชนะหลงไปกับใบหน้าหล่อคมของคนแปลกหน้าคนนี้ไปครู่หนึ่ง พูดอะไรไม่ออก เพิ่งเคยเจอแบบนี้เป็นหนแรกที่มีคนมาบอกชอบตรงๆแบบนี้

“ผมขอเบอร์ได้ไหมครับ”
“อะ...เอ่อ ไม่มีครับ”

“อืม...คุณอาจจะยังไม่ไว้ใจผมสินะครับ” ชายหนุ่มยื่นกระดาษแผ่นเล็กให้ “นามบัตรผมครับ”
มือยื่นไปรับมาโดยอัตโนมัติ

เขาลังเลสักสิบวินาที ก่อนจะแสดงท่าทางเหมือนตัดสินใจได้ “แล้วก็...นี่ครับ” เขาจับมือของวันชนะยกขึ้นแล้ววางของบางอย่างลงไป แล้วจึงกุมมือของคนที่ยังยืนอึ้งอยู่ให้จับของสิ่งนั้นให้ดี

ชายหนุ่มสะโองยิ้มพรายราวกับมีความหวังเล็กๆก่อนเดินจากไป
วันชนะยังยืนนิ่งจนกระทั่งรถหรูคันนั้นขับจากไปจึงได้รู้สึกตัว นามบัตรกับโทรศัพท์มือถือราคาแพงมาอยู่ในมือตนได้อย่างไร
อยากเอาไปคืน ไม่อยากได้ของคนแปลกหน้า แต่สายไปเสียแล้ว

มองเวลาที่โชว์บนหน้าจอมือถือสามทุ่มกว่าแล้ว วันชนะเรียกแท็กซี่ได้แล้ว เข้าไปนั่งที่เบาะหลังแต่กำลังจะเอื้อมมือไปปิดประตูข้างตัว จู่ๆก็มีใครคนหนึ่งโผล่พรวดพราดเข้ามาด้วย วันชนะโวยวาย คนขับรถก็ตกใจ

“ออกรถ ออกรถ ขับไปก่อน” คนที่โผล่พรวดพราดเข้ามาพูดรีบร้อนสั่งให้ออกรถทั้งที่เขายัดตัวเข้ามาได้แค่ครึ่งตัว แต่คนขับไม่ยอมออกรถตามสั่งกลับเปิดประตูรถออกมาอีกทาง แสดงการปกป้องตัวเองว่าเขาไม่เกี่ยวข้องทั้งนั้นถ้าจะมีอะไรเกิดขึ้น
“นี่ นายจะทำอะไรน่ะ” วันชนะตะโกน

คนที่แทรกตัวเข้าเห็นคนขับลงรถไปแล้วจึงรีบถอยตัวออก เหมือนจะหนีไป ยังไม่ทันเอาหัวพ้นออกไป ชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับวันชนะก็ถูกชายสองคนเสียงกร้าวที่ตามมาทันล็อกตัวเอาไว้ ร่างของคนรุ่นเดียวกันโดนยกออกไปราวกับของเบาๆสักชิ้นทั้งที่ขัดขืนดิ้นรน
วันชนะนึกสงสัยปนสงสารแต่ก็โล่งใจ

“อ้าว น้องลงมาก่อนสิครับ” ชายหนึ่งในสองนั้นโผล่หน้าเข้ามา

“อะ...อะไรครับ” วันชนะใจเต้นตึกตัก

“ไปโรงพักกับพี่ก่อนสิน้อง”

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-05-2007 12:09:54 โดย หมูพูห์ »

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
Re: [story] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #172 เมื่อ06-04-2007 12:54:05 »

 “อะ...อะไรกันครับพี่” วันชนะปากสั่น มองหาพยานก็เห็นคนขับแท็กซี่ยืนมองเฉยอยู่นอกรถ

“อย่ามาไก๋สิน้อง เมื่อกี้ยังเห็นยืนขายกันอยู่หน้าตาแช่มชื่น ตอนนี้มาทำสั่น หลอกพี่ไม่ได้หรอกน้อง” เขาเอื้อมมือมาคว้าแขนวันชนะ
“ขะ...ขาย ขายอะไร” วันชนะยื้อแขนกลับ ใจคอไม่ดี หวังว่าคงไม่ได้หมายถึงผู้ชายคนที่มาขอซื้อเขาเมื่อกี้หรอกนะ
“จะอะไรเสียอีกล่ะน้อง รู้อยู่แก่ใจ มันกระดากปาก”

“เปล่านะครับ ผมไม่ใช่...” คนถูกกล่าวหาปฏิเสธเลิ่กลั่ก

“จะออกมาดีๆหรืออยากจะเจ็บตัว” ตำรวจนอกเครื่องแบบขู่เสียงกร้าว “เดี๋ยวยัดเยียดความเป็นผัวให้ฟรีเลยนี่”
วันชนะตัวสั่นเทิ้มค่อยๆมุดออกมาตามแรงดึง กลัวที่นายตำรวจนอกเครื่องแบบหนวดเฟิ้มขู่ยัดเยียดความเป็นสามีให้
“ไป!” เขาออกคำสั่ง พาวันชนะไปขึ้นหลังรถกระบะรวมกับพวกที่นั่งรออยู่แล้วสามคน

“ทำไมไม่หางานอื่นทำล่ะน้อง เดี๋ยวพลาดพลั้งติดโรคไปจะเสียอนาคตเปล่าๆเปลี้ยๆ แล้วไม่สงสารพ่อแม่บ้างเหรอ...” วันชนะนั่งฟังนายตำรวจเทศน์เสียยาว

“ผมไม่ใช่นะครับ อยู่ดีๆเขาก็มาขึ้นรถคู่กับผม” วันชนะชี้แจง
“อ้าว!? เอ้ะ!? ยังไง?” นายตำรวจอาวุโสนั่งฝั่งตรงข้ามหันไปมองหน้านายตำรวจนอกเครื่องแบบคนที่ออกไปล่ากลุ่มโสเภณีชายแถวสนามหลวงมา

“อย่าไปเชื่อมันพี่ พวกนี้ก็บอกว่าไม่ใช่ไว้ก่อนล่ะ บัตรประชาชนก็ไม่มี คร้านจะเป็นพวกกะเหรี่ยงหรือพม่าลักลอบเข้ามาอีก” คนถูกจ้องหน้าพูดอย่างที่เคยพบเจอมา

“ไม่ใช่นะครับ ผมโดนล้วงกระเป๋า ผมยังเป็นนิสิตอยู่นะ ไม่เชื่อโทรถามเพื่อนผมได้” วันชนะรีบไขความ นึกขึ้นได้ว่ามีโทรศัพท์มือถือที่หนุ่มหล่อแปลกหน้าให้มาก็รีบคว้ามากดเบอร์ที่ห้องของปริญญา
ไม่แน่ใจว่าจะโทรออกได้ไหม

ได้! มีสัญญาณ...แต่ไม่มีคนรับ

วันชนะกดวาง นึกอีกทีก็ไม่อยากกวนเพื่อนเพราะจะสอบอยู่รอมร่อ จึงตัดสินใจกดอีกเบอร์
นายตำรวจอาวุโสกับตำรวจหนุ่มหนวดเรียงทึบเหนือปากมองหน้ารอดูผล

...เจ้าประคุณ ขอให้มีคนรับทีเถอะ ขออาราธนาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระสังฆราช พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ พระ... วันชนะดีใจที่เสียงรอสายหายไปเป็นเสียงสิ่งแวดล้อมที่ปลายสาย ไม่เช่นนั้นพระอีกหลายองค์คงถูกอัญเชิญมาที่โรงพักแห่งนี้

“ พี่ต้อมเหรอครับ ผมวันชนะนะครับที่อยู่ห้อง 609 พี่ต้อมช่วยพูดกับตำรวจทีสิครับ” วันชนะรีบกรอกเสียงลงไปทันทีที่มีคนรับ
“อ้าววิน นี่ตั้มเอง ตะกี้ว่าไรนะ ตั้มฟังไม่ทัน มีธุระกับพี่ต้อมหรือ พี่ต้อมแกเมาฟุบอยู่ที่โต้ะนู่นแน่ะ” บังเอิญเสียจริงนะ คนรับกลายเป็นนักขัตไปเสียได้ พี่ต้อมบ้า เป็นคนเฝ้าหอพักได้ยังไงนะ เมาได้ทุกวี่วัน

“วินโทรมาจากแพร่เหรอ” ปลายสายถามมา เสียงสดใสดีใจที่ได้พูดคุย
“...แล้วตั้มมารับโทรศัพท์ได้ยังไง” คนเดือดร้อนเผลอนอกเรื่อง เพราะสงสัยในความบังเอิญ

“ลงมาหาอะไรกินน่ะ” คนตอบตอบตามปกติ คนฟังพอหายสงสัยก็รีบขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วยตั้ม...” ปลายเสียงแผ่ว ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร พอเรียบเรียงเหตุการณ์ได้จึงค่อยๆเล่า

“หา! อะไรนะ ขายตัว” นักขัตลืมตัวตะโกนผ่านสายโทรศัพท์จนวันชนะต้องเอามือขยี้หูที่อื้อไปชั่วขณะ
“แล้ววินไปขายตัวทำไม” นักขัตถามอย่างสงสัย

“โธ่! ก็บอกว่าเข้าใจผิด” วันชนะขึ้นเสียงสูง
“เป็นนิสิตแล้วขายตัวไม่ได้หรือ?” คนมีหนวดครึ้มยังเพ้อเจ้อขณะที่วันชนะรอใครมาช่วยอย่างร้อนอกร้อนใจ
นึกอีกทีดึกมากแล้วโทรไปบอกปริญญาเสียหน่อยดีกว่า เดี๋ยวจะเป็นห่วงไปกันใหญ่

“แกหายไปอยู่ไหนวะวิน” ปลายสายถาม “นึกว่าแกเชิดของห้องฉันหนีไปแล้วเสียอีก ดูอีกทีของแกก็ยังอยู่นี่หว่า”
“เออ เชิดมาอยู่ที่สถานีตำรวจนี่ไงเล่า”
“หืม แกว่าไงนะ”

หลังจากเล่าเหตุการณ์ให้เพื่อนฟังปลายสายก็หัวเราะเสียยกใหญ่ “สมน้ำหน้าแก อยู่ดีๆไม่ว่า อยากไปเดินแถวนั้นตอนกลางคืนทำไม ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ยังไม่หยุดหัวเราะ วันชนะชักเคือง

“ต้องให้ฉันไปรับไหมล่ะ” ปริญญาวางตัวเป็นผู้ปกครอง

“ไม่ต้องหรอก ฉันมีผู้ปกครองแล้ว เดี๋ยวคงมา” พูดเชิงขำๆแต่ก็เพื่อให้เพื่อนเบาใจจะได้ไม่ต้องเสียเวลามา

“เออ ขากลับขึ้นแท็กซี่มาก็โทรมาบอกด้วยจะออกไปจ่ายให้” น้ำเสียงจริงจังขึ้น “มีไรก็โทรมา ถ้าเรื่องไม่จบ” ปริญญาพูดแบบนี้เพราะสามารถทำให้จบเรื่องได้ เพราะมีญาติผู้ใหญ่ในกรุงเทพของเขาเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่อยู่หลายคน

“อืม ขอบใจว่ะ”

“วิน!”
เสียงเรียกมาถึงตัวก่อนจะได้ทันมองเห็นเสียอีก วันชนะดีดตัวผลุงดีใจที่มีคนมาช่วยยืนยันความบริสุทธิ์

“ชู่ว์” นักขัตยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากเป็นสัญญาณให้วันชนะเงียบไว้

“คุณตำรวจครับ ลูกผมไม่ได้ขายบริการนะครับ วันๆเอาแต่ท่องหนังสือจะเอาเวลาไปทำแบบนั้นได้ยังไง” คนที่ตามมาด้วยพูดเสียงขรึม ท่าทางการวางตัวสุขุมน่าเชื่อถือ

“ละ...ลูก” วันชนะหลุดปาก คิ้วขมวดสงสัย หันไปมองนักขัตส่งสัญญาณให้เงียบจึงได้คอยดูสถานการณ์ต่อไป
“แต่ตำรวจของเราเห็นเขาอยู่ในเหตุการณ์ด้วยนะครับ” คนพูดบ่ายหน้าไปทางคนที่จับตัววันชนะมา

“คุณครับ ลูกผมได้อธิบายไปแล้วมิใช่หรือ ว่าเป็นการเข้าใจผิด” น้ำเสียงยังสุขุม
“เป็นไปไม่ได้ ผมเห็นกับตา” ตำรวจนอกเครื่องแบบคนเดิมยืนพิงตู้เอกสารพูดเสียงราบเรียบมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าจับมาไม่ผิดตัว
“เห็นว่าลูกผมขายตัวอย่างนั้นหรือ?”

“ใช่”

“ลูกผมขายตัวยังไง?”

“ก็...เอ่อ...ก็ขายตัวนั่นแหล่ะน่า” เริ่มอึกอัก

“กล่าวหากันลอยๆอย่างนี้ผมฟ้องกลับนะคุณ” ดีมาก วันชนะเริ่มเห็นแสงที่ปลายอุโมงค์

...
...

ปะทะคารมกันอีกชั่วอึดใจทางฝ่ายตำรวจก็ยอมจำนน สรุปว่าทำเป็นเรื่องแจ้งความประจำวันโดนวิ่งราวและบัตรประชาชนหายแทน
ฝ่ายคนที่ช่วยพูดให้วันชนะยิ้มย่อง “ขอบคุณมากค่ะ” กระแทกเสียงนิดๆประกาศชัยชนะ “เอ้ย ครับ” แก้ตัวเบาๆแก้เขิน ดีที่ทางฝ่ายตำรวจไม่ทันสังเกตคำลงท้ายเสียงที่เปลี่ยนไป กับหนวดปลอมที่หมดยางกาวเด้งปลายออกมา นักขัตเห็นท่าไม่ดีจึงรีบพาทั้งวันชนะทั้งคนหนวดเด้งจะหลุดก้าวขาลงจากโรงพัก

“แล้ววินกลับมากรุงเทพฯตั้งแต่เมื่อไร” นักขัตถามเมื่อเห็นว่าออกมาจากโรงพักไกลพอสมควร

“อะ อ่อ วันนี้ๆเอง” วันชนะพูดเหมือนสำลักน้ำ ละอายใจที่ต้องโกหกซ้ำ “ว่าแต่นี่...” เขาเปลี่ยนเรื่อง
“ไงจ้ะหนู จำเจ๊ไม่ได้เหรอคะ” น้ำเสียงเริ่มคุ้นหู แต่ยังนึกไม่ออกจนกระทั่งคนถูกจ้องดึงหนวดออกเหลือแต่ใบหน้าเกลี้ยงเกลา “ไงจ้ะ หนูวันชนะ” เขาเรียกชื่อเต็ม

“หา! เจ๊ใหญ่ตึกสี่” วันชนะคาดไม่ถึง

“เจ๊อยู่ชมรมศิลปะการแสดงนะจ้ะ เห็นฝีมือรึยัง” คนพูดทำเสียงภูมิอกภูมิใจ
“แล้วพี่ใหญ่มากับตั้มได้ยังไงครับ” วันชนะสงสัย ยังไงๆก็ไม่น่าจะมาด้วยกันได้เลย

“เจ๊ก็เดินๆหาเหยื่ออยู่ดีๆ ไปตึกนู้นทีตึกนี้ที อยู่ๆผัวหนูก็มาขอให้เจ๊ช่วยยังไงล่ะ เสียเวลาหาชายหมดเลย เห็นว่าผัวหนูหล่อหรอกนะ เจ๊ถึงยอมลากสังขารอันงดงามมาที่นี่” เจ๊ใหญ่อธิบาย

“เจ๊ หนู เอ้ย ผมไม่ได้เป็นอะไรกับเขานะ เขาไม่ใช่ผัวหนูนะ เอ้ย ผัวผม เอ้ย ไม่ใช่” พูดไปก็งงกับตัวเอง หันไปมองคนที่ถูกเรียกว่าเป็นผัวกำลังหัวเราะคิก จนวันชนะต้องจิกตามองเขาถึงหยุด

“หมดเรื่องแล้ว วินขอบคุณพี่ใหญ่มากเลยนะครับ เดี๋ยววินจะกลับแล้วล่ะ” วันชนะไหว้รุ่นพี่อย่างขอบคุณ
“อ้าว ไม่กลับด้วยกันหรือ” นักขัตรีบพูดก่อนวันชนะจะปลีกตัว

“วันชนะดรถเพื่อนมาน่ะ ข้าวของยังอยู่ที่ห้องเพื่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยกลับตึก ตอนเย็นมีนัดคาราโอเกะกับรุ่นพี่ที่ภาคฯด้วย” ไม่ต้องห่วง กลับแน่

“งั้นคืนนี้ผัวหนู ขอเจ๊นะ” เจ๊ใหญ่กลืนน้ำลายดังเฮือก

“เอาไปเลยเจ๊”

นักขัตเสียววูบกับตาเป็นประกายของเจ๊ใหญ่

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-05-2007 12:29:33 โดย หมูพูห์ »

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
Re: [story] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #173 เมื่อ06-04-2007 12:54:53 »

มาต่อให้จนถึงตอนที่เล้าแตกแล้วนะครับ

ขอบคุณสำหรับการติดตามครับ

 :yeb:

gobgab

  • บุคคลทั่วไป
Re: [story] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #174 เมื่อ06-04-2007 13:17:21 »


.............โดนจับเข้าโรงพักซะงั้น...... :laugh5: :laugh5:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: [novel] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #175 เมื่อ06-04-2007 13:49:52 »

งานนี้ต้นน้ำจะเสร็จเจ๊ใหญ่มั้ยเนี๊ย :kikkik: นินะนิทิ้งต้นได้

ออฟไลน์ Lucifer

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Re: [novel] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #176 เมื่อ06-04-2007 21:58:38 »

[ งั้นคืนนี้ผัวหนู ขอเจ๊นะ” เจ๊ใหญ่กลืนน้ำลายดังเฮือก

“เอาไปเลยเจ๊” ]

ซะงั้นน่ะ :laugh5: :laugh5:

MyLoveMyBabe

  • บุคคลทั่วไป
Re: [novel] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #177 เมื่อ06-04-2007 22:47:30 »

 :give2: พระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยด้วย อิอิ

kYos

  • บุคคลทั่วไป
Re: [novel] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #178 เมื่อ07-04-2007 00:09:09 »

 :laugh5: แล้วจะเสียใจนะนิ ยกผัวหนูไปให้เค้าแบบนั้นอ่ะ  55+  :laugh5:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [novel] แค่มีนาย by โอนนิมารุ
«ตอบ #179 เมื่อ07-04-2007 05:42:04 »

หุหุ เอาไปเลยเจ๊  :laugh3:  :laugh3: แล้วจาเสียใจ  :laugh3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด