ความจริงที่ว่านักขัตต้องไปทำงานต่างประเทศเป็นเวลาหนึ่งปีไม่ได้เป็นตัวลดทอนความสุขของคนทั้งสอง เพราะพวกเขาเคยห่างเคยจาก เวลาเพียงปีเดียวไม่ได้มีความหมายอะไรอีกแล้ว ต่อเมื่อหัวใจของคนสองคนผูกพัน ถึงแม้จากนี้ไปจะต้องจากกันอีกสิบปีก็ไม่กลัว
“ไม่เห็นเป็นไรเลยตั้ม วินมีเงินเก็บอยู่ ว่างๆบินไปหาก็ได้” วันชนะมองหน้าคนรักอย่างเต็มตา ทดแทนที่ก่อนนี้แม้แต่นึกอยากจะมองยังต้องทำแข็งใจ
“คิดอะไรอยู่” วันชนะยิ้ม “มองหน้าวินอยู่นั่นแหละนะ”
“อยากให้บอกเหรอว่าคิดอะไร” นักขัตยิ้มเจ้าเล่ห์
“ทะลึ่ง” วันชนะทำท่าจะเอาส้อมควักตา
หลังจากที่เขาจูงมือวันชนะเดินไปทั่วห้างแล้วสุดท้ายก็มาจบที่ร้านอาหารที่นี่ หลังจากนี้ก็คงจะไปดูหนังต่อ รวมถึงอีกหลายๆอย่างที่คนรักทำด้วยกัน เพื่อทดแทนเวลาที่หายไปและที่กำลังจะหมดลง
“ตั้ม” วันชนะเอ่ยขึ้น สีหน้าบอกว่าเรื่องที่จะพูดเป็นเรื่องซีเรียส “วินขอตั้มอย่างหนึ่งนะ”
นักขัตเลื่อนมือไปจับมือของวันชนะเอาไว้เสียก่อน
“ถ้าจะขอว่าอย่าถามถึงเรื่องที่ผ่านมาล่ะก็ ตั้มจะไม่พูดถึงมันหรอก วินสบายใจได้ เพราะต่อจากนี้อะไรจะเกิดเราก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นไป”
นักขัตกล่าวซึ้งจนวันชนะน้ำตาเริ่มคลอ
“ขอบใจนะ”
ถึงตอนนี้วันชนะก็ยังเลือกที่จะเก็บเอาไว้เรื่องหนึ่ง...สาเหตุที่ทำให้เขาต้องทิ้งนักขัต คงไม่ดีแน่ถ้าจะบอกออกไป
อย่างที่นักขัตว่าต่อจากนี้อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เขาพร้อมที่จะเผชิญกับมันเพราะไม่ใช่เพียงแค่ตัวเขาเองที่จะต้องเผชิญหากจะมีนักขัตร่วมด้วย แต่ลึกแล้ววันชนะอยากจะให้เขากับนักขัตมีความสัมพันธ์ลับๆอย่างนี้ตลอดไปโดยเฉพาะกับพ่อแม่ของนักขัต
เพียงแต่สิ่งที่วันชนะกลัวที่จะเผชิญนั้นไม่ได้รอให้เขาได้ตั้งตัวรับสถานการณ์นานนัก...
วันชนะนอนพิงหลังกับอกหนาของนักขัต โดยมีมือโอบกอดร่างอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับกลัวว่าพอปล่อยวงแขนออกแล้ววันชนะจะหายไปจากโลกนี้อย่างนั้น นานกว่าชั่วโมงที่ไม่มีใครพูดอะไร แต่นั่นก็อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างให้กันและกันได้รับรู้เป็นอย่างดี ภาษาร่างกายอบอุ่นและหอมหวานมากกว่าสิ่งใด จูบที่หวนหา สัมผัสร่างกายของกันและกัน บดเบียดจนแทบจะรวมเป็นคนเดียวกัน จดจำทุกสิ่งอย่างที่จะเก็บเอาไว้ได้แม้กระทั่งกลิ่นของเส้นผม
“ตัว T นี่หมายถึงตั้มเหรอ” นักขัตไล้นิ้วที่หลังล็อกเก็ต
“อืม” วันชนะยิ้มรับ
นักขัตรู้ว่าสร้อยนี่เป็นของสำคัญของวันชนะที่คุณแม้ให้มาก่อนที่ท่านจะจากไป
“วินพาตั้มไปไหว้แม่ของวินได้มั้ย” นักขัตจูบที่เส้นผม
“ได้สิ แต่ว่าจะทันเหรอ ตั้มจะบินพรุ่งนี้แล้วนะ” วันชนะเงยหน้าไปข้างหลัง
“นั่นสิ ลืมไปเลย” เขาว่าพลางกอดวันชนะแน่นขึ้นอีก
“แม่ครับได้ยินรึเปล่า คนที่อยู่กับวินตอนนี้เขาอยากคุยด้วยแน่ะครับ” วันชนะแกะฝาล็อกเก็ตออก
นักขัตจึงได้เห็นรูปเล็กๆในนั้น รูปคุณแม่ของวันชนะยิ้มอย่างใจดี จากนั้นวันชนะจึงถอดสร้อยนั้นออกแล้ววางที่มือของนักขัต
“คุณแม่ครับ ผมชื่อตั้มนะครับ ผมขอสัญญาว่าผมจะรักและดูแลลูกของคุณแม่ตลอดไป คุณแม่ไม่ต้องห่วงเขานะครับ” นักขัตพูดด้วยเสียงจริงจังก่อนจะส่งสร้อยคืนให้วันชนะ
ร่างที่นั่งพิงอยู่จึงขยับตัวแล้วหันหน้าเข้าหากันแล้วสวมสร้อยเส้นนั้นที่คอของนักขัต
“แม่ครับ ปกป้องคนที่วินรักด้วยนะครับ”
“จะดีเหรอวิน ของสำคัญของวินนะ” นักขัตจับมือเอาไว้ก่อนที่จะสวมเสร็จ
วันชนะเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้แล้วจูบริมฝีปากหยักอย่างอ่อนโยนแล้วจึงมองนักขัตอย่างเต็มตา “ตอนนี้ตั้มคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับวินแล้วนะ”
นักขัตยกมือขึ้นลูบแก้มวันชนะอย่างอ่อนโยนจากนั้นก็คว้าวันชนะมากอด
“ตั้มจะขอสละสิทธิ์ไปทำงานต่างประเทศ” เขากระซิบข้างหู
วันชนะรีบดันตัวเขาออกแล้วพูดว่า “ไม่ได้นะตั้ม มันคือความก้าวหน้าในการงานของตั้มนะ”
“แต่ตั้มอยากอยู่ที่นี่กับวินมากกว่านะ”
“ไม่ได้นะตั้ม” วันชนะพูดจริงจัง
“แต่...” นักขัตอยากจะบอกว่าลึกๆเขาก็กลัววันชนะจะกลับไปหาภัทร เวลาตั้งหนึ่งปีขณะที่เขาอยู่ไกลแต่ภัทรอยู่ใกล้กว่า แต่เขาก็เลือกที่จะไม่พูด
“เชื่อใจวินเถอะนะ” เหมือนวันชนะจะรู้เลยพูดอย่างนั้น
นักขัตมองวันชนะอีกครั้งเพื่อจารึกคำมั่นที่คนตรงหน้าพูดไว้ จากนั้นจึงดึงร่างนั้นมากอดอีกครั้ง ตามด้วยจูบที่ร้อนแรงเพื่อเริ่มบทรักอีกครั้ง
“จะทำอีกเหรอ” วันชนะถามอย่างเริ่มกังวลถึงสภาพตัวเอง “สามรอบไปแล้วนะ”
“ไม่ไหวแล้วเหรอ” นักขัตเงยหน้าจากต้นคอวันชนะ
“พูดมาได้นะ” วันชนะรู้สึกเขินพิกลที่จะต้องตอบ
“ครั้งแรกสำหรับวินกลับมาหาตั้ม ครั้งที่สองสำหรับความคิดถึงที่ผ่านมา ครั้งที่สามสำหรับความรักของเรา และครั้งนี้เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของวิน” นักขัตพูดกว้าง
“โหย...” วันชนะเอาแขนคล้องคอเขาไว้ “อย่างนี้ต้องมีครั้งที่ห้า หก เจ็ดด้วยรึเปล่าเนี่ย”
“ไม่ต้องห่วง ตั้มมีเหตุผลให้จนถึงเช้าเลยล่ะ”
จนเมื่อตะวันเลื่อนตั้งฉากกับพื้นนั่นแหละนักขัตถึงได้รู้สึกตัวตื่นเพราะคนในอ้อมแขนดิ้นขลุกขลัก พอลืมตาก็เห็นสีหน้าเหมือนคนหลับฝันดีของวันชนะเบียดหน้าเข้าหาอกของเขา เกรงว่าถ้าเขาขยับหน่อยอาจจะทำลายฝันดีของคนรัก นักขัตจึงทำตัวนิ่งๆเป็นหมอนข้างพลางสังเกตใบหน้าของวันชนะเงียบๆ
“ตื่นนานแล้วเหรอ” ขนตาดำขลับเรียงเป็นแพขยับเล็กน้อยแต่ก็ยังหลับตาอยู่
“จ๊ะ ที่รัก” นักขัตตอบ
“รู้สึกดีจังที่ถูกเรียกว่าที่รัก” วันชนะยิ้มทั้งยังหลับตา
นักขัตลูบที่หัวไหล่วันชนะเล่นไปมา “หิวหรือยังที่รัก คิดว่าน่าจะเที่ยงแล้วนะ”
“นิดหน่อย ตั้มล่ะ” วันชนะลืมตาขึ้น
“เหมือนกัน งั้นเราก็ยังพอมีเวลาอาบน้ำแล้วค่อยไปหาอะไรอร่อยๆกินกัน” นักขัตว่าพลางดันตัวเองลุกขึ้น “ป่ะ”
“อะไร” วันชนะทำหน้างง
“ไปอาบน้ำกัน” นักขัตยิ้มสัพยอกขณะยื่นมือให้วันชนะพยุงตัวลุกขึ้น
สองชั่วโมงต่อมาทั้งคู่จึงนั่งอยู่ในร้านอาหารค่อนข้างจะหรูแห่งหนึ่ง วันชนะเพลิดเพลินกับสิ่งรอบตัวที่ดูจะเป็นสีชมพูไปเสียหมดโดยไม่ได้สังเกตอาการเหมือนรอคอยนัดของนักขัตจนกระทั่งมีสายโทรเข้ามือถือ
“ครับ” นักขัตยกมือถือขึ้นรับก่อนจะเอามือปิดเอาไว้แล้วหันมากระซิบกับวันชนะ “เดี๋ยวมานะ”
“อืม” วันชนะพยักหน้ารับ ใจเต้นตึกตักอย่างไม่รู้สาเหตุ
แล้ววันชนะจึงได้รู้สาเหตุของอาการนั้น เมื่อนักขัตกลับมาพร้อมกับผู้ให้กำเนิด
“นั่งก่อนครับพ่อ แม่” ลูกชายรีบเลื่อนเก้าอี้ให้บุพการีทั้งสอง
วันชนะใจหล่นไปอยู่ที่ไหนไม่รู้ตั้งแต่ที่เห็นหน้าสมภพกับอุษา กะทันหันเกินไปที่ต้องเผชิญหน้ากันแต่ก็ยกมือไหว้คนทั้งสองด้วยสายตาหลบเลี่ยงอย่างคนทำผิด สมภพกับอุษารับไหว้ตามมารยาท สำหรับอุษาหล่อนรู้สึกคลับคล้ายคลับคลากับเพื่อนของลูกคนนี้จริงๆ จนเมื่อนักขัตพูดว่า
“พ่อครับ แม่ครับ นี่วินไงครับที่เคยไปเที่ยวบ้านเราตอนตั้มอยู่ปีสี่”
เพราะไม่รู้เรื่องราวระหว่างวันชนะกับสมภพและอุษาแม้แต่น้อย นักขัตจึงไม่ได้บอกวันชนะว่าวันนี้พ่อแม่ของเขาจะมาหาก่อนที่เขาจะบินไปทำงานต่างประเทศ เพราะเห็นว่าวันชนะก็เคยพบพวกท่านมาก่อน และก็อยากให้วันชนะเข้าได้กับพ่อแม่ของเขามากขึ้นจึงนัดมาทานข้าวด้วยกันเสียเลย แม้แต่ตอนที่นักขัตพูดจบเขาก็ยังไม่ทันสังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของสมภพกับอุษา
“หนู...” อุษารู้สึกเหมือนมีตะกอนอยู่ในใจที่โดนกวนจนขุ่นขึ้นมา
ขณะที่สมภพลดมือที่รับไว้ลงอย่างรวดเร็ว สีหน้าบอกความไม่ชอบใจแต่ก็ควบคุมอารมณ์เอาไว้ สมภพเป็นผู้ใหญ่มากพอที่จะไม่เกรี้ยวกราดใส่ ที่เขาไม่ชอบใจนักคงเป็นเพราะยังเห็นวันชนะวนเวียนในชีวิตลูกชายของเขาอีกทั่งที่เคยคุยกันแล้ว
บรรยากาศที่โต๊ะทานข้าวดูจะเงียบไป ต่างคนต่างพูดเท่าที่จำเป็นยกเว้นนักขัตที่เป็นฝ่ายชวนคุยนั่นนี่อยู่คนเดียว
“แล้ววินล่ะจ๊ะ ที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้าง” อุษาเอ่ยถามอย่างประหยัดคำ หล่อนอยากผ่อนสถานการณ์ที่ตึงๆนี้ให้หย่อนลงบ้างแต่ก็เกรงสามีตัวเองอยู่ด้วยจึงพูดอะไรมากไม่ได้
“ก็ดีครับ” วันชนะก้มหน้าก้มตาตอบ
“ตอนนี้ทำงานอะไร ที่ไหนจ๊ะ” หล่อนชวนคุยอย่างน้ำเสียงเป็นกันเอง
“วินเป็นครูที่โรงเรียน...ครับ” วันชนะกล้อมแกล้มตอบ
อุษาต้องหยุดบทสนทนาเอาไว้เมื่อสามีตัวเองออกอาการไม่พอใจที่หล่อนชวนวันชนะคุย
“แม่เป็นไรครับ” นักขัตสังเกตได้
“ไม่มีอะไรจ้ะ อาหารคงจะเผ็ดไปหน่อย” หล่อนแกล้งยกน้ำขึ้นจิบ แล้วจึงเสเปลี่ยนเรื่อง “แล้วเราล่ะเก็บข้าวของรึยัง”
“เก็บไปบ้างแล้วครับ” นักขัตตอบพลางตักกับข้าวจานหนึ่งให้วันชนะอย่างเคยมือ
กริยานั้นทำให้สมภพไม่ชอบใจหนักแต่ก็ไม่ได้เปิดเผยออกมา เพียงแต่ลุกขึ้นพรวดพราดบอกว่าจะออกไปสูบบุหรี่ข้างนอก
“แม่ๆ ทะเลาะอะไรกับพ่อรึเปล่าอ่ะ เห็นหน้างอตั้งแต่มาถึงแล้ว” นักขัตทำท่ากระซิบกระซาบ
“เปล่าจ้ะ” อุษาตอบสั้นๆ แต่ในใจเคร่งขึงไม่น้อย
สิ้นคำของอุษาวันชนะก็ทำช้อนหล่นจากมือจนกับข้าวหกเลอะเสื้อ นักขัตที่นั่งข้างๆหวังดีเลยหยิบทิชชู่มาเช็ดให้ แต่วันชนะกระดากเกินกว่าที่จะปล่อยให้เขาทำแบบนั้นต่อหน้าคนที่เคยห้ามปราม
“เอ่อ...เราไปเข้าห้องน้ำดีกว่านะ” ว่าแล้วก็ลุกออกไป ปล่อยให้นักขัตแปลกใจกับท่าทางลุกลี้ลุกลนนั้น
“ตั้ม...มีอะไรจะบอกแม่รึเปล่า” อุษายิงคำถาม หล่อนยังอยากจะฟังทุกสิ่งที่ลูกพูดแต่ว่าบางส่วนใน จิตใจยังไม่พร้อมที่จะรับรู้
นักขัตเริ่มรู้สึกผิดสังเกตกับคำถามนั้นและหวนนึกถึงตลอดเวลาตั้งแต่เริ่ม “ครับ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เครียดขึ้น “ตั้มมีเรื่องอยากจะบอกพ่อกับแม่...แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอกครับ”
อุษานึกโทษตัวเองที่เลี้ยงลูกมาให้มีอิสระมากเกินไป แต่เพราะความรักลูกมากหล่อนจึงไม่คาดคั้น “เอาเถอะจ้ะ พร้อมตอนไหนก็ค่อยบอกแม่ แต่ก่อนที่ตั้มจะตัดสินใจอะไรคิดให้ดีก่อนนะลูก”
วันชนะมองตัวเองผ่านกระจกในห้องน้ำเหมือนจะเรียกความกล้าออกมา ซึ่งดูเหมือนจะยากเอาการ แล้วสายตาก็แลเลยเงาตรงหน้าไปเมื่อสมภพจ้องเขม็งมาจากประตูทางเข้า เขาถอนหายใจยาวทีหนึ่งเพื่อรวมความกล้าที่จะเผชิญหน้า
“คุณลุงครับ...” วันชนะเอ่ยแทบกลั้นใจ
พอดีกับมีคนอื่นเข้ามาใช้บริการ วันชนะเลยโดนลากตัวออกไปคุยกันข้างนอก
“แต่ก่อนที่ตั้มจะตัดสินใจอะไรคิดให้ดีก่อนนะลูก” คนเป็นแม่เงียบเสียงไปครู่ก่อนตัดสินใจเอ่ยต่อ
“...พ่อเป็นโรคหัวใจ”
“อะไรนะครับ!” นักขัตแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“ที่จริงแม่ก็ยังไม่อยากจะบอกลูกตอนนี้หรอก...” หล่อนละที่จะไม่พูดต่อว่าเพราะสถานการณ์ตอนนี้หมิ่นเหม่เหลือเกินที่ลูกจะทำร้ายพ่อทางอ้อม “พ่อเริ่มมีอาการเมื่อปีก่อน แต่เราตัดสินใจยังไม่บอกลูก...จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม”
นักขัตเริ่มเป็นห่วงพ่อขึ้นมาทันที “แต่ก็ยังสูบบุหรี่อยู่น่ะเหรอครับ”
“แม่ก็คอยเตือนอยู่เหมือนกัน แต่พักหลังนี้ก็เพลาไปมากแล้วล่ะ”
“งั้นเดี๋ยวตั้มไปดูพ่อหน่อยดีกว่าครับ” เขาเห็นว่าพ่อหายไปนานก็ร้อนใจขึ้นทันที “แม่อยู่คนเดียวไปก่อนนะครับ เดี๋ยววินคงมา”
นักขัตลุกไปเลยจนคนเป็นแม่ก็ไม่ทันจะรั้งตัวเอาไว้...
TBC.