Imprison 42: Canon In D
เสียงตัวโน๊ตระดับเสียงต่างๆที่ดังคลอออกมาจากพื้นอาคารหลังหนึ่งทำให้ผมเบิกตากว้าง หัวใจเต้นกระหน่ำด้วยความตื่นเต้นระคนยินดี ส่วนฝีเท้าก็ก้าวยาวขึ้นเรื่อยๆ..ก้าวเร็วขึ้น เร็วขึ้นจนกลายเป็นวิ่ง..
...วิ่งไปหาความฝัน และความหวัง...
น้ำเสียงของพี่กันย์ยังดังก้องในหัว ไม่สำคัญว่ามันจะมาจากใคร แต่ข้อความนั้นทำให้ผมดีใจ..อาจจะดีใจที่สุด นับแต่มาอยู่ที่นี่
..ดีใจที่สุด..
ความคิดนั้นทำให้ร่างของผมชะงัก..ฝีเท้าชะลอลงอย่างรวดเร็ว..
กับคำว่าดีใจที่สุด..
ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่..ที่สุด...อีกต่อไป..
..เมื่อไหร่กันที่ผมเลิกคิดถึงไวโอลิน..เลิกคร่ำครวญหามันที่เป็นเหมือนชีวิตของผม..
เมื่อไหร่ที่ผู้คนและสถานที่แห่งนี้มีอิทธิพลต่อผม..มากกว่าเสียงดนตรีที่คอยขับกล่อมประโลมใจผมตลอดมา..
และเมื่อไหร่กัน..ที่ใครสักคน..
เริ่มก้าวเข้ามามีความสำคัญ..มากขึ้น...มากขึ้นเรื่อยๆ...
ใคร..คนที่ผม...
ผมเงยหน้าขึ้นจากพื้นดินเมื่อมองเห็นพื้นซีเมนต์สีหม่น ความคิดทุกอย่างหลันหยุดชะงักเมื่อแว่วเสียงหวานกังวานใสของไวโอลินสีไม้มะฮอกกานีที่อยู่ในมือของนักโทษคนอื่น..และ...มองสบสายตาของชายที่หันมามองหน้า..
ผมว่าผมจำได้ ว่าเขาคือ “อาจารย์ธีระ” ครูสอนดนตรีคนนั้น..
แววตาคู่นั้นสบมองผมพลางตวัดลงไปมองฝ่ามือ..นั่นทำให้ผมเกร็งมือแน่นขึ้น กำมือซ้ายของตัวเองแน่น..
“..สวัสดีครับ..” ชายคนนั้นทักผมเรียบๆพลางหันมายิ้มให้..นั่นทำให้ผมสูดลมหายใจลึก..เพื่อเรียกกำลังใจให้กับตัวเอง..
“..ผมอยากเล่นไวโอลิน..”
“..ครับ..ก็พอทราบมาบ้าง..” เขารับคำ พลางกวาดตามองผมนับแต่หัวจรดเท้า ราวกับจะประเมินค่าสินค้าชิ้นหนึ่ง ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับลูกศิษย์คนหนึ่งที่เล่นเสร็จแล้ว และนำไวโอลินมาคืน..
“..คิดว่าคงมีประสบการ์ณ..งั้นลองเล่นให้ฟังสักเพลงสิครับ...” อาจารย์ธีระว่า พลางยื่นไวโอลินให้ผม..ผมเดินเข้ามาในห้องสายตาจับจ้องกล่องไม้สีสวยนั้นอย่างเหม่อลอย..รู้สึกถึงหัวใจตัวเองที่เต้นโครมคราม..
..มือไม้สั้นระริกยามได้แตะต้องคันชักและตัวเครื่องสี..ผมได้แต่เบิกตากว้าง อื้อใจลอย รู้สึกอยากตบหน้าตัวเองแรงๆให้ผมรู้ว่าไม่ได้ฝัน..รู้ว่าน้ำหนักของเครื่องสีในมือไม่ใช่แค่จินตนาการ...
..ในที่สุด...โอกาสก็กลับมาหาผมอีกครั้ง..
มือของผมลูบไล้กล่องไม้สีสวยในมืออย่างเหม่อลอย.. รอยยิ้มกว้างจนรู้สึกว่าปากแทบจะฉีก วินาทีนี้สารพัดสารพันความคิด ความสับสนต่างก็หายไปจากสมอง..มีเพียงความสงบนิ่งและอื้ออึงด้วยความเปรมปรีดิ์เหลือล้น..
“...ผม...”
“...เพลง Canon In D ครับ..” อาจารยธีระบอกสั้น ด้วยรอยยิ้ม..แต่พอผมฟังแล้วกลับชะงัก..รอยยิ้มเหมือนจะหยุดกึกไป “..เป็นเพลงที่ไม่ยากเท่าไหร่ สำหรับคนที่เรียนมา..คิดว่าคงได้..”
..แต่ไม่มีโน้ต !!!
ผมเม้มปากแน่น แทจะแยกเขี้ยวขึ้นกัดลำคอของอาจารย์สอนดนตรีคนนี้ให้ขาดแหว่ง เพลงที่ให้ผมเล่นไม่ใช่เพลงที่ยากเกินไปก็จริง แต่ไม่มีโน้ตดนตรีให้ดูแถมไม่ให้เวลาทำความคุ้นเคยกับเครื่องคนตรีในมือเนี่ย..มันหมายความว่ายังไง?
..จะแกล้งกันใช่มั้ยว่ะ !!
ผมมมองหน้าตาเรียบเฉยเหมือนไม่รู้สึกรู้สาของคนตรงหน้าแล้วชักจะเริ่มเข้าใจอารมณ์ของพวกที่กระทืบคนเพราะความโมโห โอเคมันเป็นแบนี้สิน่ะ..เพราะไอ้คนนนั้นมันกวนตีนแบบนี้สิน่ะ..
ฮึ่ย...แต่คิดเหรอว่าผมจะยอม..
ผมหลับตาลง ๆม่มองใบหน้ายียวนกวนประสาทนั่นให้เสียอารมณ์อีก.. สูดหายใจเข้าลึกๆ พ่นลมหายใจออกยาวๆทำสมาธิสงจิตสงบใจจากความโมโหและความตื่นเต้นยินดีที่ประเดประดัง.. ในมือถือคันชักและไวโอลินไว้ สัมผัสผิวไม้เรียบลื่นช้าๆ...ปลายนิ้วลูบไล้..แตะตรงสายเอ็น..และกล่องไม้สีสวยอย่างทะนุถนอม...
..ในสมองนึกถึงโน้ตเพลง Canon In D ที่เคยฝึก..แม้มันจะนานมาแล้ว แต่มันก็เป็นอีกเพลงที่ผมมักจะหยิบมาเล่นเสมอ..เพลงที่มีเนื้อหาเศร้าสร้อย..เนิบช้า..ก่อนจะค่อยเปลี่ยนเป็นรื่นเริงกังวาน..ราวกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาบนพื้นดินหลังจากเมฆครึ้มพัดผ่าน..
..เพลงที่ให้ความรู้สึกของความยินดี..เพลงที่เป็นดั่งฟ้าหลังฝน..
ผมลืมตาขึ้นช้าๆ...รอยยิ้มประดับบนริมฝีปาก..ยามคิดทบทวนถึงเรื่องราวหลากหลายที่พบเจอ..เปรียบดังเมฆครึ้มที่พัดพาสายฝนแห่งความโศกเศร้าเสียใจเข้ามา..ก่อนทุกอย่างจะเริ่มกระจ่างแจ้ง..ด้วยแสงแห่งดวงอาทิตย์..เหมือนกับสิ่งที่ผมพบเจอตอนนี้..
...ผมเบือนหน้าจากอาจารย์ธีระที่ยินมองอยู่..เปลี่ยนมาหันไปมองภาพต้นไม้สีเขียวและท้องฟ้าสดใสเบื้องนอก..
...พาดตัวไวโอลินลงบนไหล่ขวา ขยับใบหน้าและมุมคางให้เหมาะเจาะกับที่วาง แล้วเหยียดแขนออกจนสุด...ก่อนจะงอเข้าหาตัวเล็กน้อย แตะปลายนิ้วลงบนเส้นเอ็นสีขาว ใช้อุ้งมือรับส่วนปลายยาวแกะสลักเป็นคันรับงอนงามเอาไว้..
มือข้างซ้ายจับปลายคันชักให้มั่น ผมขยับนิ้วโป้งช้าๆรู้สึกโล่งใจที่อาการติดขัดหายไปจนแทบไม่รู้สึก ก่อนจะสอดปลายนิ้วลอดใต้สายชัก กุมคันไม้สีสวยให้มั่น...
หัวใจเต้นกระหน่ำด้วยความยินดีปนเคยคุ้นค่อยสงบลงยามที่ผมผ่อนลมหายใจยาว..และค่อยๆหลับตาลงช้าๆ..ยามที่บรรเลงโน้ตเพลงตัวแรก ฟังเสียงใสกังวานให้ผ่านไปด้วยความยินดี..
..เปี่ยมด้วยความคาดหวัง...
.......Oh bad Guy!! รักร้ายๆของผู้ชายในคุก.......
หงุดหงิด..
ยอมรับก็ได้ว่าเขารู้สึกหงุดหงิด..
โต ถอนใจเบาๆ สายตาจับจ้องพรรคพวกที่กำลังรดน้ำผักที่แปลงเกษตรหลังโรงฝึกงาน..
ไม่ไกลจากหลังห้องพยาบาล..ไม่ห่างจากบ่อน้ำที่กลายเป็นแหล่งฝังวิญญาณไอ้นพสักท่าไหร่..
..สายตาของเขากวาดมองไปที่ไหน..มองหน้าไอ้พวกลูกน้องคนใด..ก็ได้แต่มองเห็นแววหม่นเศร้า..ไม่แน่ใจ..และ..ไม่กล้าสบมองตาเขาเสียด้วยซ้ำ...
นัยน์ตาสีเข้มหรุบต่ำลงอย่างครุ่นคิด..รู้ดีว่าเรื่องที่เกิดไม่ใช่สิ่งที่จะยอมรับกันง่ายๆ นักโทษในคุก แม้ใครต่อใครจะด่าทอว่าจิตใจกร้านหยาบเปี่ยมไปด้วยความชั่วร้ายและกิเลสตัณหา..แต่..อย่างน้อย..ทุกคนก็ยังเป็นมนุษย์ ยังเป็น”คน” ที่มีความรู้สึก..ความรักใคร่และผูกพันในฐานะคนหนึ่งคนที่มีต่อกัน ไม่ใช่เรื่องที่จะลบไปง่ายๆ..และ..ให้มันหายไปได้เฉยๆ..
...เหมือนกับการฆ่า..หรือกำจัดใครสักคนให้ไปจากโลกนี้ด้วยน้ำมือของตนไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ...
โดยเฉพาะหากรู้จัก..และ..เคยผูกพันกับคนๆนั้น..ไม่ว่าจะทางไหนก็ตาม..
แล้วการที่จู่ๆตัวเขามีคำสั่งให้”ฆ่า”ไอ้นพ..ลูกน้องในกลุ่ม..ทำร้ายมันเสียเฉยๆโดยที่ไม่มีใครรร่วมรับรู้สาเหตุที่แท้จริงที่เกิดขึ้น ไม่มีใครรู้ความผิดของมัน ไม่มีใครรรู้ที่มาของความไม่พอใจหรือเหตุผลที่ต้อง”ฆ่า”....
..ไม่มีใครรู้เพราะไม่อาจจะให้รับรู้..
ดังนั้น ไม่แปลกที่ต่างคนต่างไม่สบายใจ..หลายคนมีสีหน้าหม่นซึมยามต้องสังหารเพื่อนในกลุ่ม..
...แต่...ยังไงก็ปล่อยมันไม่ได้อยู่ดี..
แล้วยังเรื่องของ.. “มัน..”
เรื่องของไอ้เจ้าคนที่เขาคิดว่ามันโง่เหมือนควายและซื่อสัตย์เหมือนหมาที่คอยตามเจ้าของต้อยๆ..
..คิดแบบนั้นมาตลอด..
แม้ตอนนี้จะไม่ใช่แบบนั้น..แต่เรื่องความไว้ใจที่มันมีให้..นั่นเป็นสิ่งที่เขาคิดว่ายังคงจะมีอยู่เช่นเดิม..
...แต่นึกไม่ถึง..ว่ามันกลับหายไปเสียเฉยๆ..
ยามที่เจ้าตัวออกปากถาม..แววตาที่มองมาทั้งคลางแคลงไม่แน่ใจ..และฉายแววหวาดหวั่น
..ไม่ใช่แววตาของคนที่เคยเชื่อในสิ่งที่เขาพูดเช่นเดิม..ไม่ใช่แววตาของเด็กที่เคยไว้ใจเขานับแต่วันแรกที่พบหน้า..
มันไม่ใช่...ไม่ใช่...มันเปลี่ยนไป..
..หรืออาจะทั้งตัวเขา..และมัน..ที่เปลี่ยนไปจากเดิม..
มือหนาแตะลงบนข้างเอวที่ผ้าพันแผลปะทับอยู่ สัมผัสอุ่นวาบย่ามที่เจ้าตัวแตะต้องยังไม่จางหายทั้งความเจ็บแปลบยามถูกทำร้าย หรือความรู้สึกหวานๆปนขมปะแล่มยามที่เจ้าตัวนั่งทำแผลให้..
การกระทำที่ขัดกัน..แต่...ก็ดูเข้ากันดีอย่างไม่น่าเชื่อ ยามที่ตัวมันได้ทำ..
โดยเฉพาะ..เมื่อมันทำให้เขา..
เพราะอย่างนั้น..ทำไม..มันถึงได้..แตกต่าง..
ทำไม เพราะเป็นแค่ไอ้เนม..ควายตัวนึงที่เขาปรามาส หมาตัวนึงที่แคยเหยียบย่ำ..ทำไมมันถึงได้เปลี่ยนไปและการเปลี่ยนแปลงนั้นก็มีอิทธิพลกับตัวเขาอย่างไม่น่าเชื่อ..
เสี้ยวหนึ่งเสียงกระซิบในหูบอกว่าดีแล้ว..ที่มันเปลี่ยนไป...เปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่จะเชื่อฟังและทำประโยชน์ให้..
แต่อีกครึ่งหนึ่งในใจ กลับอยากให้มันเป็นเหมือนเดิม...
เสียงอะไรบางอย่างดังกังวานทำให้ชะงักจากห้วงคิด นัยน์ตาสีเข้มมองไปยังโรงฝึกงานอีกหลังที่อยู่ห่างกันไม่ไกล เสียงดนตรีที่เขาพอจะรู้ว่าไอ้เด็กคนนั้นมันรักนักหนาดังขึ้น..
...แต่เสียงเพลงนั้นกลับทำให้เขาชะงัก..
...เสียงแผ่วเบา..ราวกับลอยไหลระเรื่อยไปกับสายลม..
จากกรีดแว่ว..บาดหู..
เศร้าสร้อย..เนิบช้า...สิ้นหวัง..
ค่อยถี่กระชั้น..เปลี่ยนเป็นรื่นเริง..หวานแผ่ว...
สัมผัสได้ถึงความสุขและความสบายใจของคนเล่น..สัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ละเมียดละไมซึ่งสื่อออกมา..
อะไรไม่รู้..ทำให้เขาเผลอคิดไปถึง..ใบหน้าของเจ้าเด็กคนนั้น...
..และรอยยิ้ม...ที่จะปรากฏออกมาเมื่อฟังเพลงนี้...
นั่นทำให้ร่างสูงลุกพรวด..เดินก้าวยาวๆไปยังอาคารฝึกงานซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกนักโทษที่มีพรสวรรค์ด้านดนตรีและชื่นชอบด้านนี้จะไปฝึกซ้อมกันอยู่ที่นั่น..
..แค่คิดว่าอยากจะเห็นหน้าคนเล่น..และ..รู้สึกถึงบางอย่างที่แปลกออกไปจากที่เคยได้ยิน..
เหมือนคุ้น..ทั้งที่ไม่เคยตั้งใจฟัง
เหมือนอยากจะฟัง..ทั้งที่ไม่เคยสน...
.....แปลกจริงน่ะ..
นัยน์ตาสีเข้มมองไปยังบานประตูของห้องฝึกงาน..มองไปยังร่างของใครสักคนที่ยืนอยู่กับไวโอลินสีน้ำตาลงเงาวับ..ยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับหลับตาพริ้ม..ดวงหน้าระบายยิ้มสุขสม..
มือขาวบางเคลื่อนที่ไปตามเส้นเอ็นสีขาว แตะพรมลงไปอย่างอ่อนโยนและว่องไว พอดีกับเส้นเอ็นอีกคู่ทาบลงไป กดเสียดสี.. กลายเป็นจังหวะเพลงที่รื่นเริงมีความสุข..
..นัยน์ตาคู่นั้นหลับพริ้มลง..ไม่ได้มองสิ่งใดหรือใครที่ไหน รอยยิ้มนั้นช่างมีความสุข..สุขเสียจนมองแล้ว..
...อดจะยิ้ม...ให้กับอารมณ์ที่สื่อออกมาไม่ได้..
..กับความสุขที่ราวกับจะล่องลอยอยู่ในความฝันที่ต้องการ..
พร้อมกับรอยยิ้มอ่อนหวานยินดี..ที่ส่งมาให้ยามโน้ตตัวสุดท้ายสิ้นสุดลง..
....สุข... อย่างที่ไม่เคยได้เห็นที่ไหน...
....สุข...เสียจนต้องยิ้มออกมา..
...สุข...เสียจนไม่กล้าเอื้อมมือแตะต้อง..หรือทำลายมันอีกต่อไป..
แปะๆ...
เสียงปรบมือดังขึ้นเบาๆ ราวกับจะทำลายบรรยากาศที่เปี่ยมด้วยมนต์สเน่ห์ให้หายไป...แววตาสองคู่ที่สบมองกันเงียบๆชะงักงัน ร่างเพรียวหันไปมองหน้าอาจารย์ธีระซึ่งละมือลงไปแล้ว..รอยยิ้มประดับบนริมฝีปากของชายคนนั้น เต็มไปด้วยความพอใจ..
..”ครับ...เพราะมาก...ขอต้อนรับเข้าสู่วงดนตรีของเรือนจำเรา...พรุ่งนี้เป็นต้นไป..คุณจะเป็นหนึ่งในนี้..”
“...อ่ะ...ขอบคุณครับ..” ผมเบิกตากว้าง..ยิ้มออกมาอย่างดีใจเมื่อได้เข้าร่วมเล่นและฝึกซ้อมที่นี่ได้..
ดีใจที่ได้ทำตามความต้องการของตัวเองอีกครั้ง..
..ดีใจที่ทำได้...จนต้องหันไปยิ้มให้กับคนที่อยู่ข้างๆอย่างดีใจ..
ก่อนจะชะงักวูบ..หลบตาพร้อมกับแก้มที่ร้อนผ่าว..
...ทำไมคนเรามันเขินกันได้รุนแรงขนาดนี้เนี่ย !!!
ผมเม้มปากแน่น..หลังจากบอกลาและเดินออกจากเรือนฝึกงานด้วยความดีใจ..ดีใจสิที่ทำตามที่ตัวเองหวังได้แล้ว..แต่...แต่ในสมองกลับยังคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น..
ผมที่กำลังล่องลอยอยู่ในความสุขของตัวเอง..และยินดีที่ทุกสิ่งเป็นไปตามที่คาดหวัง..
ผมยิ้ม..ก่อนจะลืมตา..ได้เฝ้าของทุกสิ่งทุกอย่างให้ผมพบกับสิ่งที่ดีขึ้น..พบกับอะไรดีๆ..
สิ่งที่ผมคาดหวังคือภาพของต้นไม้เขียวชอุ่ม..ท้องฟ้าสีสดใสทอประกายด้วยแสงแดด..ที่ผมมองเห็นก่อนจะหลับตา..
แต่ทว่า..ใครจะคิด..
...พอลืมตาขึ้นมาแล้ว..
กลับเจอคนๆหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น..
ตาสบตา..พร้อมกับรอยยิ้มของเขา..ที่ผมไม่ได้พบเห็นบ่อยนัก..
รอยยิ้มอ่อนบาง เต็มไปด้วยความสุขและเปี่ยมไปด้วยความสบาย..
นั่น..เพราะดนตรีของผมรึไงกันน่ะ?..
“..เอ่อ... “ ผมเรียกขึ้นมาเบาๆ...เรียกพี่โตที่เดินนำอยู่ตรงหน้า..คนตัวสูงทำเหมือนไม่ได้ยิน เพราะแบบนั้นผมจึงตัดสินใจเอื้อมมือไปหา..คว้าฝ่ามือหนาตรงหน้าไว้..
...นั่นทำให้คนตัวโตตรงหน้าชะงัก..หันมามองหน้าผมและตวัดสายตาลงไปมองฝ่มทือที่กุมกันไว้..
ผมไม่ได้ปล่อยมือนั้นลง..ตรงข้ามกลับบีบมันแน่นขึ้นด้วยสองมือของตัวเอง..
..และมองสบดวงตาคู่นั้น..ที่ไม่ได้ฉาบฉายไปด้วยความโหดร้ายแข็งกร้าวเช่นที่เคยเป็นมาแล้ว..
“...อะไร..? “ ออกปากถามเจ้าคนที่คว้ามือเขาไว้ โตมองสบตาเจ้าคนตรงหน้า..ดวงตาสีนิลที่ยังคงสดใสและเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาเช่นที่เคยเป็น..
“...ผมเล่นไวโอลินเพราะรึเปล่า..? “ คำถามนั่น...ดังออกมาจากปากของเจ้าตัวพร้อมๆกับรอยแดงข้างแก้มที่ชัดเจนขึ้น..
...เหมือนเด็กน้อย..ที่กำลังขัดเขิน..และ...ต้องการคำชม..
มือขาวบางทั้งสองข้างบีบกระชับมือของเขาแน่นขึ้นอีกอย่างไม่มั่นใจ เมื่อยังไม่มีคำตอบออกมาจากปากของเขา..โตมองเห็นสีหน้าที่เริ่มยุ่งยากของเจ้าตัว..และ..คิ้วที่ขมวดมุ่น..ท่าทีไม่มั่นใจปนลังเล..จนน่าขำ..
“...อืม....” ตัดสินใจเลิกคิ้วพร้อมกับทำท่าครุ่นคิด.. นั่นทำให้เจ้าตัวซึ่งมีท่าทีหงอยเหงาลงไปชะงัก..หันมาเงยหน้ามองสบตาเขาอีดครั้ง..ด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง..
“.....เพราะมั้ย?..ชอบมั้ย?..” คำถามนั่นยังดังขึ้นมาอีก เจ้าตัวดูกระตือรือร้นเหมือนเด็กๆพร้อมกับเขย่ามือเขาเบาๆ..ท่าทางนั้นทั้งน่ารักและน่าขำจนต้องกลั้นหัวเราะเสียด้วยซ้ำ..
“..นี่...ตอบหน่อยสิ..ผมเห็นพี่ยิ้ม..นั่นยิ้มเพราะฟังเพลงที่ผมเล่นรึเปล่า....” นั่นคงจะหมายถึงรอยยิ้มที่มีขึ้นยามได้เห็นท่าทีและใบหน้าอันเปี่ยมสุขของเจ้าตัว..โตแสยะยิ้ม..บอกออกมาสั้นๆ..
“..หลงตัวเอง...”
“...อ่ะ....” ท่าทางคนฟังชะงักและคงจะบูดบึ้งด้วยความไม่พอใจ..โตยิ้มน้อยๆ..มองเจ้าตัวเล็กตรงหน้า..สมองคิดกระหวัดไปถึงยามที่มองเห็นเจ้าตัวกำลังเล่นไวโอลิน..ภาพที่เห็น..มันทำให้เขาได้รู้..รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน..
...รู้..ว่าเด็กคนนี้ บริสุทธิ์ สะอาด..เพียงใด..
...รู้...ว่าโลกของเด็กคนนี้..ยังคงสะอาดสดใสด้วยเสียงดนตรีที่คอยขับกล่อมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน..
..และรู้..ว่าต่อให้ต้องพบเจออะไร..ข้างใน..ในหัวใจดวงนี้..ก็ยังจะงดงามอยู่เสมอ..
..ภาพของเจ้าคนตัวเล็กสูงแค่ไหล่กำลังกำมือเขาแน่นด้วยแววตากระเง้ากระงอดปนใจเสีย ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเย็นที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้ม สาดทอเข้ามาช้าๆ..นัยน์ตาคู่นั้นหันมามองยามที่ฝ่ามือของเขาข้างหนึ่งลูบไล้บนศรีษะเจ้าตัวเบาๆ..ริมฝีปากขยับเอ่ยด้วยรอยยิ้ม..
“..แต่ก็จริง..”
“...............” ใบหน้าตื่นๆ และดวงตากลมๆเบิกโตขึ้นยามที่ได้ยินทำให้โตอดหัวเราะหึออกมาไม่ได้ ยิ่งเมื่อแววตาฉงนสงสัยราวกับไม่แน่ใจในคำตอบมองตรงมา..นั่น..ทำให้ริมฝีปากหนาหยักยิ้ม..พร้อมๆกับมือหนาที่แตะลงบนปลายคางเจ้าตัวเบาๆ..
นัยน์ตาคู่หวานมองสบ..ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจแรงกระหน่ำอยู่ในหู..สมองแว้บไพล่ไปคิดถึงใบหน้าของหญิงสาวคนรัก..แต่..ก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว..เมื่อดวงตายังคงสบตา..มองเห็นใบหน้าตนเองอยู่ในแววตาของร่างตรงหน้า..
ริมฝีปากหนาหยักเอื้อนเอ่ย..ห่างจากใบหน้าของคนที่กุมมือไว้เพียงลมหายใจคั่น..
“...เพราะมาก...”
...พร้อมกับปิดพับลง..ยามที่ริมฝีปากแตะประทับแผ่วเบา..
เพราะ...
ไพเราะ..และ..น่าฟัง...
น่าหลงใหล...จน..
อยากจะเก็บไว้ฟังคนเดียว..
.......Oh bad Guy!! รักร้ายๆของผู้ชายในคุก.......
แอ่ก......(ไรท์เตอร์นอนตายอนาถ..)
ตอนที่เหนื่อยที่สุด ไม่ใช่ตอนเครียดๆ แต่เป็นตอนหวานๆนนี่แหละ โฮกกกกก เขียนเสร็จแล้วอยากล้มไปร้องกรี้ดๆ..ไม่ใช่อะไรหรอก มันหวานเกิ๊น ~
เพิ่มเติมนิดนึง..
เพลง Canon In D เป็นเพลงบรรเลง มีหลากหลายเวอร์ชั่นเครื่องดนตรี สำหรับไวโอลิน นี่เป็นเพลงในระดับที่ 3 คือจะมีการขึ้นโพซิชั่นบ้างเล็กน้อย ไม่ก็ถ้าไม่ขึ้นอาจเป็นเพลงที่ค่อนข้างเร็วการโยงโบว์อาจมีมากและซับซ้อน ส่วนใหญ่คนที่จะเล่นโพซิชั่นนั้นควรจะเล่นแบบปกติให้คล่องก่อน ประมาณสามปี
เพลงนี้มีเนื้อเพลงที่บรรยายถึงความสุขและความทุกข์ของชีวิต ในตอนเริ่มต้นจะเป็นท่วงทำนองช้าๆ..เศร้าสร้อยและจะเริ่มเปลี่ยนเป็นดนตรีเร็วขึ้น กระชั้นร่าเริง เหมือนชีวิตที่ผ่านพ้นเมฆหมอกของความทุกข์ทรมารมาพบกับความสุขสมยินดีค่ะ..
อยากฟังมีอยู่ในยูทูปเน้อ เค้าเอาเพลงแปะไม่เป็น..แฮ่..