Improbable 40 : บันทึกเหตุการณ์ ฉบับที่หนึ่ง
บันทึกเหตุการณ์ฉบับที่1-4/25XX
วันที่ 18 มกราคม 25XX
เรื่อง การก่อจลาจลเพื่อหลบหนีของนักโทษ แดนสิบสอง เรือนจำXX จังหวัดXX
เรียน (ข้อมูลปกปิด)
สำเนาถึง (ข้อมูลปกปิด) อธิบดีกรมราชทัณฑ์
เวลา 04.00 นาฬิกา เกิดเหตุนักโทษทำร้ายร่างกายผู้คุม สอบสวนพบว่ามีผู้ร่วมขบวนการลักลอบนำเอากุญแจไขเปิดเรือนนอน เพื่อดักซุ่มโจมตีผู้คุมโดยใช้ท่อนเหล็กเป็นอาวุธ และกลุ่มนักโทษผู้ก่อเหตุ ได้ยึดกุญแจสำหรับไขเปิดประตูใหญ่ และอาวุธประจำตัวของผู้คุม อันประกอบด้วย กระบองถือ 2 อัน และปืนพก 3.7 แมกนั่ม 2 กระบอก นำออกจากเรือนนอนเพื่อไปก่อการจลาจล
ผู้ร่วมก่อเหตุ : นักโทษในเรือนจำ แดนสิบสอง แดนสิบเอ็ด แดนสิบ และแดนเก้า รวมทั้งเรือนจำพิเศษ ประมาณ 300 คน (กำลังอยู่ระหว่างสืบสวนหาผู้ก่อเหตุ)
อาวุธ : ปืนพกขนาดเล็ก ท่อนเหล็ก ไม้กระบอง รวมไปถึงหน้าไม้และของมีคมอื่นๆ
สถานที่เกิดเหต : แดนสิบสอง แดนสิบเอ็ด แดนสิบ แดนเก้า และเรือนจำพิเศษ..
...................
ร่างของผู้คุมที่ถูกลากเข้ามาในเรือนนอน พร้อมด้วยสีหน้าสาแก่ใจของทุกคน เป็นการเปิดฉากการ"ก่อจลาจล" ครั้งนี้อย่างเต็มรูปแบบ ร่างของนักโทษที่ถูกปล่อยออกมาจากเรือนนอน ต่างก็ตาลีตาลานวิ่งขึ้นเพื่อไปสมทบกับกลุ่มของผู้นำ สีหน้าของทุกคนเปื้อนยิ้มสาใจ เวลานี้ ไม่ว่าจะใคร ก็ต่างฮึกเหิมและคำรามด้วยความพอใจ ความคั่งแค้นในอก ความเกลียดชัง รวมทั้งความปราถนาที่จะเป็นอิสระ ความหวังที่ถูกจุดขึ้นในใจทำให้ฝีท้าของทุกคนต่างมุ่งไปที่จุดๆเดียว ต่างก็เดินตามหลังชายที่เป็นผู้นำของพวกเขาไปด้วยดวงตาวาวโรจน์ เต็มไปด้วยความพอใจ
ผมจ้องมองร่างของ"ผู้นำ"ที่ทุกคนให้การเคารพนับถือด้วยความรู้สึกแปลกๆ ใจหนึ่งก็รู้สึกฮึกเหิม ยินดีกับทุกคนเช่นกันที่"นักโทษ"อย่างเราได้ลุกขึ้นสู้ เพื่ออิสระของตน ทว่าอีกใจหนึ่ง เพราะปมรู้ว่าตัวเองกับพี่โตจะทำอะไร หัวใจจึงเต้นแกว่งด้วยความหวาดหวั่นสะท้านลึก
ผุดลุกขึ้นยืน เดินตามหลังบรรดาพี่ๆในเรือนจำไปอย่างรวดเร็วเมื่อพบว่าคนในนี้ต่างก็กรูกันออกไปแทบจะหมด และ..ร่างของผู้คุมสองนายที่ถูกลากเข้ามานั้นกำลังถูกบรรดานักโทษที่กักเก็บความอัดอั้นตันใจไว้ภายในเข้าไปรุมทำร้ายกันอย่างเมามันส์
"ออกมาเร็วพวกมึง!อยากโดนขังต่อรึไง!" เสียงกระชากห้วนที่ดังขึ้นผมจำได้มั่นว่าเป็นเสียงของพี่วิทย์ หันไปมองร่างของไอ้เมฆที่ถูกลากถือติดมือมา ใบหน้าของพี่วิทย์มีเหงื่อชื้นนิดๆ แสดงว่ามาถึงที่นี่ด้วยความรีบร้อนเพราะความจริงพี่วิทย์อยู่คนละเรือนนอนกับพี่โต ผมได้ยินเสียงโห่ร้องพูดคุยและเสียงอึกทึกครึกโครม ความเคลื่อนไหวท่ามกลางความมืดมิดและยามเช้ามืดที่แสงอาทิตย์ยังไม่ฉายแสง ทำให้ผมรู้แล้วว่าแดนอื่นๆ ต่างก็กำลังทำเช่นเดียวกับพวกเรา
"มึงจะไปไหน?" พี่วิทย์ดึงแขนผมไว้ ออกปากเสียงแข็งไม่น้อยพลางออกแรงบีบแน่น กริยาท่าทางที่แปลกไปจากทุกทีทำให้ผมสะดุ้ง หันไปจ้องตาพี่วิทย์อย่างตื่นๆกับลางสังหรณ์ที่แล่นวาบ
หรือว่า...พี่วิทย์จะรู้!
"ผม...จะไปที่ทำการเรือนจำ"
"ไปทำไม? หรือมึงจะไปบอกพวกมัน!" พี่วิทย์กระชากเสียงห้วนกระซิบปนก่อนด่าใส่ผมอย่างเร่งร้อนด้วยดวงตาเครียดขึ้ง แรงบีบที่แน่นขึ้นและตาวาววับคู่นั้น ทำให้ผมแน่ใจถึงความคิดของตัวเอง
"ใครจะบอกกัน ผมจะทำงานของผม พี่ไม่มีสิทธิ์มายุ่ง!!" ไอ้เนมดึงแขนตัวเองออกจากมือพี่วิทย์อย่างแรงพลางเอ่ยเสียงห้วน สบตาที่วาววับคู่นั้นอย่างไม่กลัวเกรงราวกับว่าพี่วิทย์ที่ผมเคยหวั่นๆเมื่อก่อนเป็นแค่ความฝัน แต่ใครว่าผมไม่กลัว ความจริงน่ะกลัว แต่ความกลัวอย่างอื่นมันกลบไปเสียหมด
..ตอนนี้ที่ผมกลัวมากที่สุด คือการทำตามแผนของพี่โตไม่ทัน แล้วเราจะพังกันทั้งคู่!!
"นี่มึง.......!"
"พี่วิทย์ นี่มันอะระ..."
"ปล่อย เฮียวิทย์!"
ทันทีที่ผมดึงมืออก ดวงตาที่วาววับของพี่วิทย์ก็เบิกกว้าง ถมึงทึงขึ้นมาอย่างน่ากลัว ผู้ชายคนนั้นกัดฟันกรอก มองหน้าผมเหมือนไม่เคยเห็น เขาอ้าปากคำรามต่อว่า แต่ก็ถูกเมฆดึงแขนแรงๆเพื่อถามอย่างงวยงง และก่อนที่มันจะรู้อะไรมากกว่านั้น เสียงของพี่ทินก็เข้ามาหยุดทุกอย่าง
ร่างของพี่ทินไม่ได้สูงใหญ่เท่าพี่โตก็จริง แต่คงพูดได้ว่าสูงว่าพี่วิทย์ ซ้ำสีหน้าท่าทาง และอายุที่ดูจะมากกว่าพี่วิทย์และพี่โตทำให้ยามที่ร่างนั้นก้าวพรวดข้ามา เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อ ห้วนจัด พร้อมกับดึงผมไปซ่อนอยู่หลังตัวเอง กริยาท่าทางแสดงออกเต็มที่ว่ากำลังไม่พอใจ และจะปกป้องผมอย่างที่สุด ทำให้บรรยากาศคุระอุหยุดชะงัก
".........."ออกปากเรียกว่าเฮีย แต่สีหน้าพี่ทินไม่ได้อยู่ในขั้น"เคารพ"เสียด้วยซ้ำ เป็นจริงที่แม่พี่วิทย์จะเป็นหัวหน้า แต่ทว่าพี่ทินก็อายุมากกว่า ซ้ำตอนนี้พี่ทินถือว่าเป็นมือขวาของพี่คม ศักดิ์ศรีก็ย่อมเท่ากันกับพี่วิทย์ ที่ตอนนี้ถือเป็นคนสนิทของพี่โต เพราะเหตุผลเหล่านั้น พี่วิทย์จึงชะงัก พร้อมขมวดคิ้วเครียด
"รู้ตัวไหมว่ามึงทำอะไรอยู่ หรือว่ามึง...คิดจะเอาด้วย?" พี่วิทย์เอ่ยถาม เลิกคิ้วขึ้นคล้ายไม่เห็นขัน
"ถามตัวเองดีไหม ว่ามึงทำอะไรอยู่ ก่อนจะมาว่ากู เฮ้ยวิทย์" พี่ทินเอ่ยเสียงห้วน ดึงแขนผมที่ถูกลากไปหลบด้านหลังให้ออกมาเผชิญหน้าอีกครั้ง "ตอนนี้กูมีหน้าที่ดูแลเด็กนี่ มึงมีหน้าที่อะไรก็ควรจะไปทำ"
"..อึ่ก.." คำพูดนั้นทำให้พี่วิทย์ชะงัก สีหน้าพูดไม่ออก
"แต่มึงกำลั.."
"วิทย์!" เสียงห้วนจัดดังขึ้นเบื้องหลังทำให้ทุกคนต่างชะงัก ท่ามกลางคลื่นของเหล่านักโทษที่ทยอยออกมาจากเรือนนอนด้วยความยินดี ท่ามกลางเสียงโห่ของยังมีเสียงของผู้ชายอีกคนที่ชัดกว่า นั่นก็คือเสียงของพี่กันย์ ซึ่งก้าวพรวดเข้ามาด้วยสีหน้าถมึงทึง ร่างที่หอบน้อยๆแสดงว่ากำลังรีบเร่งอย่างหนัก และก็คงจะลืมแม้แต่คำสุภาพที่ใช้ติดปากด้วยซ้ำ คำพูดต่อมาถึงยิ่งกว่าห้วน
"มึงมีหน้าที่อะไร อย่าทำให้คนอื่นต้องเสียเวลา!"
"กูรู้!" พี่วิทย์หันไปตวาดสวนพี่กันย์อย่างดุเดือดไม่แพ้กัน ก่อนจะหันมามองหน้าผมกับพี่ทินอย่างคาดโทษ..สีหน้าลังเลพะว้าพะวงไม่น้อย ทางหนึ่งก็เป็นพี่กันย์ที่ยืนเร่ง ส่วนอีกทาง ก็เป็นผมกับพี่ทินซึ่งหากพี่วิทย์รู้ว่าเรากำลังทำอะไร เขาก็คงเหมาพวกผมเป็นศัตรูไปแล้วเรียบร้อย
"เมฆ" พี่วิทย์หันขวับ มาหาไอ้เมฆที่ยืนขมวดคิ้ว ทั้งอึ้งทั้งงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น "เดี๋ยวมึงอยู่กับไอ้เนม เข้าใจนะ"
"หา? ว่าไงนะ!" ไอ้เมฆพอได้ยินก็เริ่มโวยวาย "ไหนมึงว่าจะให้กูไปด้วย กูไม่ยอมให้มึงไปกับไอ้นี่แค่สองคนหรอก!"
"มันอันตราย มึงอยู่กับไอ้เนมน่ะดีแล้ว เดี๋ยวกูจะรีบมาหา ตามไอ้เนม จำไว้นะ!!" พี่วิทย์ไม่สนคำโวยนั้น หากแต่รีบรุนหลังเมฆให้เข้ามาหาผมกับพี่ทินอย่างรวดเร็ว ร่างของไอ้เมฆที่ถูกผลักมาทางผมจนเซเเซ่ดๆ หันไปจะมองหาพี่วิทย์ แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว เพราะมันเจอแต่คลื่นฝูงชนที่กำลังโห่ร้องมีชัยรอบๆตัว
"พวกมึง!" พอบี้กับคนอื่นไม่ได้ ไอ้เมฆก็หันมาหาผมและพี่ทิน "มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย!พวกมึงมีปัญหาอะไรกัน พี่วิทย์มึงถึงทิ้งกูแล้วไปกับไอ้นั่น!"
ฟังดูแลรู้สึกไอ้เมฆมันจะรักพี่ชายของมันมาก ถึงกับไม่ยอมเรียกชื่อ เอาแต่เรียกไอ้นี่ไอ้นั่นเชียว "เรื่องนี้มึง..."
"มึงไม่ต้องเสือก ไอ้เมฆ" พี่ทินเอยเสียงห้วน ตัดบทผมที่กำลังจะตอบมันไปทันควัน "ตามกูมา แค่นั้นพอ!"
"พี่ เอาจริง?" ผมหันไปถามพี่ทินเสียงเครียดอย่างไม่แน่ใจ แต่ก็ยังก้าวพรวดๆตามหลังพี่ทินไปอย่างว่าง่าย ฝ่าร่างของนักโทษที่ต่างบ่ายหน้ากันไป"รวมพล"ตามที่นัดแนะกันไว้อย่างรวดเร็ว ด้วยไม่อยากจะให้เป็นที่ผิดสังเกต ผมมองเห็นไอ้เมฆก้าวตามหลังพวกเรามาไวๆ รู้สึกหงุดหงิดกับพี่วิทย์ไม่น้อยที่เสือกขว้างเอากระดูกชิ้นโตมาขวางทาง ที่เขาสั่งให้เมฆตามผมและพี่ทินแบบนั้น คงเพราะรู้แน่ว่าเมฆที่อยากออกไป มันคงไม่มีทางยอมแน่ หากรู้ ผิดสังเกตหรือระแคะระคายว่าผมกำลังทำอะไรอยู่
และการจะต้องมาสู้รบปรบมือกับคนที่ผมเห็นมันว่าเป็นเพื่อน มันไม่ใช่เรื่องง่าย!
"ทำตามที่กูบอกก็พอ มึงทำตามหน้าที่มึง เรื่องไอ้เมฆกูจะจัดการเอง" พี่ทินตอบเสียงสั้น สีหน้าเครียดขึง บ่งชัดว่ากำลังจริงจังกับคำพูดของตัวเอง
"พี่..นั่นมันเมียพี่วิทย์นะ!" แถมไอ้เมฆมันก็เพื่อนผม จะยอมให้มันโดนพี่ทินจัดการได้รึไง
"กูรู้! พวกเดียวกัน ไม่มีเหตุผลที่จะต้องฆ่ามันซักหน่อย ห่า..ไอ้กระต่ายตื่นตูม" พี่ทินออกปากบ่นพลางตวัดสายตามองไอ้เมฆที่เดินตามหลังพวกเรามาอย่างกระชั้นชิด และสีหน้าของมันเริ่มขมวดมุ่น
"แล้วไงล่ะ เป็นใครก็ต้องกลัวสิ!" ผมส่ายหน้าตอบพี่ทินห้วนๆ นัยน์ตาก็ส่ายล่อกแล่ก ฝ่ามือกุมกระเป๋ากางเกงไว้ ไม่ให้กุญแจในนั้นมันแกว่งหรือส่งเสียงกรุ๋งกริ๋งจนมีใครรู้ได้
"กูไม่คิดจะทำอะไรมันหรอก มึงนั่นแหละทำตามที่เฮียแม่งสั่งดีๆ ตอนนี้ กูฝากชีวิตไว้กับแผนงี่เง่าของพวกมึงแล้วนะ!"
คำพูดนั้นทำให้ผมได้คิด ถึงหนึ่งปริศนาที่เกิดขึ่นในใจ ว่าด้วยทำไม...พี่ทินถึงมาปกป้องผมและเข้าร่วมกลุ่มกับผม ทั้งที่ไม่มีวี่เเววสักนิด?
"พี่..แล้วทำไมพี่ถึงได้.."
"เรื่องของกู!" พี่ทินตอบทันควันด้วยน้ำเสียงสั้นๆ ดวงตาคู่นั้นตวัดมามองหน้าผมครู่หนึ่งก่อจะเอ่ยปากต่อ "ไม่ต้องมาถามว่าทำไม กูเป็นลูกน้อง แม่งยังไงก็ต้องทำตามคำสั่งลูกพี่ อีกอย่าง..ถ้าลูกพี่แม่งบอกว่ามีทางออกให้กับกู..กูก็จะเชื่อ"
ทางออก?
ผมหันไปมองหน้าพี่ทินอย่างงวยงงไม่น้อย จำได้ว่าพี่โตเคยบอก"ฝากเรื่องไอ้ทิน"ให้พี่คมจัดการ แล้วนี่พี่คมไปทำยังไง พี่ทินถึงได้เชื่อง เอ๊ย ยอมร่วมด้วยได้?
"ห่า...มึงไม่ต้องทำหน้างง" พี่ทินตบหลังผมป้าบ ก่อนจะหยุดฝีเท้าลง ทำเอาเบรกตามแทบไม่ทัน
"ถึงทางผ่านไปอาคารที่ทำการแล้ว ตอนนี้กำลังมีจลาจล พวกผู้คุมแม่งต้องรี่ไปช่วยกันคุมนักโทษ มึงรีบไปได้เลย " ว่าแล้วก็รุนหลังผมให้หันไปมองประตูเหล็กที่ถูกปิดอยู่ "เรื่องไอ้เมฆกูจะจัดการเอง ไม่ต้องห่วงว่ามันจะตาย กูไม่ทำเหี้ยไรให้เสียแรงเปล่าหรอก แล้วก็มึง.."
พี่ทินมองหน้าผม พลางสุดหายใจลึก
"ที่มึงมาทำงานนี้ มึงเข้าใจดีใช่ไหม ว่าทำไมต้องเป็นตัวมึงเอง...ตอนนี้ กูร่วมหัวจมท้ายกับมึงแล้ว กูฝากชีวิตไว้กับแผนของมึงและเฮียเหี้ยๆกับไอ้ห่าคมนั่น ตอนนี้ถึงเวลาคนดีผู้พิทักษ์ความยุติธรรมอย่างมึงเริ่มงานแล้ว ทำให้ได้ล่ะไอ้เตี้ย!"
"ผมไม่ได้เตี้ยโว้ยยย นี่มาตรฐานชายไทยยยยยยย!!!"
"ถุย! ไอ้เตี้ย!"
ทินมองตามหลังไอ้เตี้ยที่ยังไม่ยอมรีบสักทีว่าตัวเองตัวเล็กกว้าชาวบ้านด้วยสีหน้าขบขัน หากรอยยิ้มที่มีเมื่อมองมันหายไปพร้อมกับร่างที่ลับไปยังหลังประตูเชื่อมห้องขังและที่ทำการเรือนจำอย่างรวดเร็ว แว่วเสียงฝีเท้าและเสียงหอบหายใจของตัวปัญหาที่มันไม่รู้ตัวว่าเป็นอีกหนึ่ง หันไปจ้องหน้าไอ้เมฆที่ก้าวพรวดพราดมาก่อนจะเม้มปากแน่น
ฝ่ามือหนากำแน่น สอดมือเข้าไปยังกระเป๋ากางเกง ที่มีเศษชามเก่าๆ ที่แตกเป็นเสี้ยวซึ่งเขาเอามาฝนและลับจนคมกริบเพื่อนำมาป้องกันตัว ทินถอนหายใจพรู นึกถึงคำพูดของไอ้เตี้ยที่วิ่งออกไปแล้วถอนหายใจเฮือก
มันก็เหมือนกับตอนที่ต้องเอาไอ้นพไปลงบ่อ
ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่อง...บางครั้ง ก็จำเป็นต้องสังหาร แม้ว่าจะเคยผูกพัน เคยกินข่าวด้วยกัน หรือเคยเป็นอะไรกันก็ตาม
................................................................
เวลา 06.00 นาฬิกา สถานการณ์เริ่มมีความตึงเครียด หลังจากเริ่มก่อความไม่สงบตั้งแต่เวลาสี่นาฬิกา นักโทษพากันรวมกลุ่มแหกการคุ้มกันจากผู้คุมเพื่อมารวมตัวกันบริเวณแดนสิบสอง ใกล้ทางเชื่อมไปยังเรือนจำพิเศษ ทำให้ต้องรีบนำเจ้าหน้าที่เรือนจำ และเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาดูแลรักษาความปลอดภัยเบื้องต้น กลุ่มนักโทษที่ออกมาเผาทำลายเรือนจำและก่อความไม่สงบนั้น มีข้อเรียกร้องให้ทางเรือนจำปลดพัศดีคนใหม่ที่เข้ามาประจำออก เนื่องจากเหล่านักโทษให้เหตุผลว่า พัศดีปรมัตถ์นั้นใช้ความรุนแรงและเข้มงวดเกินไปในการดูแลนักโทษ ทั้งนี้ นักโทษยังได้จับผู้คุมไปเป็นตัวประกัน รวมทั้งสิ้นห้าคน และเรียกร้องให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์เป็นผู้ออกมาเจรจา ขณะที่สายข่าวของทางเรือนจำ พยายามจะสืบหานักโทษที่เป็นผู้นำในการก่อจลาจลครั้งนี้ แต่เบื้องต้นยังไม่สามารถรู้ได้ เนื่องจากมีการปกปิดข่าวเป็นอย่างดี และมีการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา
รายชื่อผู้คุมที่ถูกนักโทษคุมตัวไว้ : (ข้อมูลปกปิด)
ระดับความรุนแรงของสถานการณ์ : 3 (สามารถควบคุมและเจรจาได้ แต่มีการเผทำลายสิ่งของและก่อความวุ่นวาย)
หมายเหตุ : พลแม่นปืนที่ประจำอยู่บนหอคอย พร้อมรอคำสั่ง
ตำรวจขนกำลังมาสบทบอีก 200 นาย
ได้มีการแจ้งขอความร่วมมือระหว่าง ผู้สื่อข่าวและรถรายงานสดของสถานีโทรทัศน์ ให้ระมัดระวังในการเสนอข่าวทั้งไม่รายงานถึงกำลังตำรวจและหน่วยแม่นปืนที่ประจำอยู่ในกรณีฉุกเฉิน เนื่องจากกลุ่มนักโทษอาจจะทราบข่าวและเกิดความไม่พอใจขึ้นได้
............................
กลิ่นควันรถยนต์โชยคลุ้ง เช่นเดียวกับกลิ่นเหม็นไหม้ของวัตถุสิ่งของอื่นๆซึ่งถูกประโคมลงไปบนกองไฟที่ลุกโชน ร่างของบรรดานักโทษที่รวมกลุ่มกันก่อความวุ่นวายยืนออกกันบริเวณทางเชื่อมระหว่างแดนสิบสองกันเรือนจำพิเศษ และทุกคนต่างก็กำลังโวยวาย ด่าทอและเรียกร้องให้ได้คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมทั้งเรียกร้องพัศดีคนใหม่ย้ายออกไป ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่โผล่พ้นขอบฟ้า ไล่เอาความมืดมิดออกไป เป็นความหวังใหม่ของบรรดานักโทษที่กำลังเรียกร้องและทุ่มเทกับอิสระ
ในโรงอาหารที่บัดนี้ถูกควบคุมโดยเหล่านักโทษร่างสูงใหญ่ ชายฉกรรจ์หลายนายกำลังนั่งปรึกษากันอย่างเครียดเคร่งบนโต๊ะทานข้าวที่ตอนนี้ไม่มีแม้เมล็ดข้าวสักเมล็ด โทรทัศน์ถูกเปิดทิ้งและมรการกดรีโมทเปลี่ยนช่องเพ่อดูข่าวความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง และไม่ไกลจากนั้น ก็มีร่างของพัศดีที่ถูกควบคุมตัวไว้ในสภาพถูกมัดมืดมัดเท้า และต่างก็มีสีหน้าย่ำแย่
"พี่..ช่องนี้มันบอกว่า ตำรวจขนคนมาแล้ววะ" เสียงนั้นทำให้คนฟังพยักหน้ารับ
"เริ่มโผล่กันมาแล้วสินะ" หนึ่งในผู้ร่วมประชุม เอ่ยเสียงเครียด
"อืม..แล้วทางนั้น .."
"ไอ้คม ไอ้กันย์ ไอ้เป้ กำลังนำพวกนักโทษอยู่ คิดว่าจะช่วยกันไปให้ถึงแดพิเศษได้" คำตอบเสียงเรียบนั้นถูกเอ่ยออกมา
"อย่างเพิ่งได้ใจ เวลาจะข้ามไป บอกพวกมันจะระวังให้ดี อย่างแสดงตัวเกินไป ไม่งั้นมึงโดนยิงเจาะกะโหลกแน่" โตสั่งเสียงเครียด "ตอนนี้พวกมันคงจะเริ่มขนคน พวกตำรวจแล้วก็หน่วยคอมมานโดมา บอกให้ไอ้กันย์กับไอ้คม คุมพวกนั้นให้อยู่ อย่าให้มันทำอะไรเกินกว่าเหตุ ไม่งั้นมันจะหาเหตุเป่าหัวเราได้ ให้มันอยู่ในขอบเขตของการ"จลาจล"เท่านั้นก็พอ จนกว่าพวกป๋าจะออกไป"
"แล้วตอนนี้ป๋า....." หนึ่งในตัวเอ้ของแดนเก้าเอ่ยถามเสียงเคร่ง
"กำลังเตรียมตัว ร่อท่า รอจังหวะ" โตตอบสั้น "ตอนนี้พวกแกนนำอย่างเรา ต้องรอฟังข่าวจากที่นี่ก่อน อย่าออกไปไหนสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่งั้นมึงอาจจะโดนส่องเอาได้ กูสั่งให้ไอ้ทินมันไปดูลาดเลาที่ทางเชื่อมไปเรือนทำการแล้วบางทีพวกมันอาจจะบุกกันมาทางนั้น ต้องระวังตัวให้ดี"
"งั้นตอนนี้เราต้องรอ?" ไอ้ศักดิ์ ลูกน้องจากแดนสิบถามเหมือนมันจะไม่ค่อยพอใจ
"หรือมึงอยากทะเล่อท่าล่าเดินว่อน และได้ตายก่อนออกไป?" ชายผู้วางแผนทั้งหมดเอ่ยถามอย่างหงุดหงิดไม่น้อย
"ห่า...กูแค่ถาม" คนฟังสถบหงุดหงิด ก่อนจะถอนใจพรู "ก็เครียดจะตายห่านี่หว่า รอเฉยๆเนี่ย"
"ซ้อมผู้คุมคลายเครียดไหมล่ะมึง" หนึ่งในนั้นเสนอด้วยสีหน้าขบขัน
"สัด..ไม่ขำ ในนี้มีกล้องวงจรปิด"
"เอาถุงดำไปคลุมแล้วไม่ใช่เหรอ?" ไอ้ศักดิ์ถามงงๆ
"คลุมแล้ว แต่อาจจะมีที่อื่นที่เราไม่รู้ กูบอกแล้วไงว่าอยู่เฉยๆ รอไปก่อน" โตว่า ก่อนจะหรี่ตาลงน้อยๆ "หรือถ้าว่าง ก็ออกไปเก็บตกแถวๆเรือนนอน อาจจะมีพวกสายของพัศดีเหลืออยู่ รอเก็บหลักฐาน"
"มึงคิดว่าเป็นใคร?"
"ไม่รู้ แต่มีน่ะ มีแน่ๆ" โตรับคำเบาๆ สีหน้าคาดหมาย "พวกที่ทะเล่อทะล่าเดินว่อนแล้วไม่อยู่รวมกลุ่ม มึงจับตาดูดีๆ"
"ก็ได้ เอางั้นกูไป" อีกสองรายพยักหน้ารับ แล้วเดินออกไป ทำให้ในวงสนทนาเหลือคนน้อยลง บทสนทนาที่เหลืออยู่ก็มีเพียงการสังเกตข่าวที่รายงานออกมา สำดับเหตุการณ์ภายนอก หรือเองกำลังพลที่เข้ามาล้อมจับ ทว่า นั่นก็แทบจะไม่เข้าหัวขาใหญ่แห่งแดนสิบสอง..
โตเม้มปากแน่น สีหน้าเครียดขึง แต่มาตอนนี้มันก็คงไม่มีใครแปลกใจ เพราะความเครียดนั้น ใครก็คงมองว่าเป็นปกติ เพราะพวกเขาลังอยู่ในระหว่างก่อเรื่อง กำลังอยู่ในช่วงการวางแผน"หลบหนี" ก็่ย่อมเครียดขึงเป็นธรรมดา
ทว่าความจริงแล้ว ตอนนี้ความคิดของโตกำลังลอยละล่องไปถึงเจ้าคนที่ไม่อยู่ตรงนี้ ผู้ร่วมแผนการณ์สำคัญที่เขาให้มันไปทำงานที่สำคัญไม่แพ้กัน
นั่นคือการทำลายหลักฐาน!!
ที่ให้ไอ้เนมลุยเข้าไปในนั้นเพ่อทำลายหลักฐานเกี่ยวกับการจลาจลครั้งนี้ ทั้งตัดสายควบคุมกล้องวงจรปิดและการเข้าไปสืบหาสายลับของพัศดีนั้น ไม่ใช่เพราะส่งไปอย่างไม่มีทางเลือก แต่เพราะงาน"ทางนั้น"เป็นงานที่สะดวกและปลอดภัยที่สุดแล้วในสถานการณ์เช่นนี้
ถ้าเพียงแต่ไอ้เนมมันผ่านจากที่นี่ไปถึงทีทำการเรือนจำได้ ทุกอย่างก็ถือว่าโล่งไปเปราะหนึ่ง ความจริงโตไม่คิดด้วยซ้ำ ว่ามันจะทำสำเร็จหรือไม่ เป้าหมายสำคัญกว่าการตัดสายวงจรปิด คือการตามหา"สายลับ"ที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่ม ไม่ใช่สายลับสั่วๆของพัสดี แต่เป็นสายลับที่มีมานานกว่านั้น ซึ่งโตคิดว่ามันจะต้องมีรายชื่อหรือหลักฐานอยู่ในนั้นเป็นแน่
นอกจากการค้นหาสายลับของพัศดี เขายังอยากให้มันหา”สาย”ของพวกป๋า
การที่ป๋ามันวางแผน ทำงานและส่งความช่วยเหลือมาในรูปแบบของอาวุธปืนหรือคนอำนวยความสะดวกนั้น บ่งชัดว่ามันต้องมีคนในคอยช่วยเหลือ ต้องมีคนของป๋าแทรกซึมอยู่ในกลุ่มของผู้คุมหรือผู้บริหารเรือนจำเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นการจะแหกคุก ป๋ามันคงไม่คิดง่าย วางใจได้ขนาดนั้น
และหากไอ้เนมมันสามารถหาพวกนั้นเจอ หรืออย่างน้อยก็พบพิรุธ เรื่องนี้แหละ ที้โตจะเอามาต่อรองเพื่อ”ทางออก”ของพวกเขา!
และที่สำคัญกว่านั้น คือการไปที่นั่น อย่างน้อยก็ยืนยันได้แล้วว่าไอ้เนมจะไม่เป็นไรจะอย่างไร หากมันถูกจับได้ พวกพัศดีไม่มีทางจับมันเป็นตัวประกัน หรือยิงนักโทษที่ออกมาตามใจอยู่แล้ว
การมาอยู่ที่นี่กับเขาในเวลานี้อาจจะปลอดภัย แต่มันเป็นความปลอดภัยแบบที่"ไม่ปลอดภัย"เท่าไหร่นักมากกว่า ก็ในเมื่อโตนั้นอาจจะถูกสอยร่วงเมื่อไหร่ก็ได้ มือแม่นปืนที่กำลังส่องสไนเปอร์เล็งพวกเขาอยู่บนหอคอยสูงริมรั้วหนามนั้นก็บอกได้ดีแล้ว
โตเชื่อว่าต่อให้ไอ้เนมถูกจับได้ แต่มันก็จะไม่เป็นอันตราย ไม่ตายไม่เจ็บ ไม่ทำให้เขาต้องห่วงหน้าพะวงหลังว่าจะเกิดอะไรขึ้น สามารถทุ่มเทให้กับสิ่งที่ตัวเองจะทำได้อย่างเต็มที่
และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เขาส่งมันไปยังไงเล่า!
...................................
รอตอนต่อปายยยยย...ครับท่าน
