มาโพสแทนคุณพี่ปุ้ยชั่วคราว

หลังจากละเลยหน้าที่มาเป็นเวลานาน(มาก)
ไปอ่านพร้อมกันเลยฮ้าาา

................................................
Improbable 39 : เริ่ม..ความวุ่นวาย
เดินออกมาจากห้องของพัศดีในยามบ่ายแก่ๆ หลังจากภารกิจทั้งหมดทั้งมวลลุล่วงไปได้ด้วยดี ผมก็เดินตามหาพี่โต เพื่อจะเล่าเรื่องที่ตนเองทำลงไปให้ขาใหญ่ฟังโดยละเอียด แต่วนซ้ายวนขวาตามหาหลายที่ก็แล้วยังไม่เจอ จะเรือนนอนตัวเอง แปลงเกษตร ห้องพยาบาล เรือนเพาะชำ หรือโรงหาหารก็ไม่พบ ชวนให้งวยงงปนประหลาดใจว่าพี่โตหายไปไหนกันแน่
ท้องเริ่มร้อง หิวก็เริ่มหิว แต่ยังควานหาคนเจ้าแผนการณ์ไม่เจอผมจึงเริ่มหน้ามุ่ยแล้วดินว่อน
"โว้ย อะไรของมึงเนี่ย เกะกะจริง" เสียงบ่นของพี่กิตทำให้ผมชะงัก ไอ้เนมที่เพิ่งรู้ว่ายืนขวางชาวบ้านหัวเราะแหะๆ หลีกทางให้พี่ๆในเรือนนอนอย่างง่ายดาย
"ทำอะไรอยู่ หิวก็ไปกินข้าวสิว่ะ" พี่เบิร์ดออกปากบ่น พลางส่ายหัวอย่างนึกระอา
"เดี๋ยวก่อน รอพี่โต"..เพราะผมมีเรื่องจะคุยด้วย
"หูย..ออกกำลังกายก่อนทานอาหารเหรอว่ะ? กินแล้วมาทำนี่กลัวจุกรึไงมึง" ไอ้คุณพี้เบิร์ดปากมอมเริ่มเอ่ยแซวอย่างขบขัน แต่ใจความทำเอาผมค้อนขวัก
"เปล่าเว้ย มีเรื่องจะคุย" ทำหางเสียงตวัดห้วนๆด้วยนะผมน่ะ
"ฮื่อ..คุยอะไรกัน ตอนนี้สี่โมงกว่าแล้ว เขารอทานข้าวกันหมดแล้วมึง" พี่กิตส่ายหัว รายนั้นหันมามองหน้าผมแล้วเอื้อมมือกระชากคอเสื้อไอ้เนมแบบไม่เบานัก...แล้วลาก "ไป...ไปกินข้าว ไปรอเฮียโตที่โน่น"
" อะไรวะ " ไอ้เนมออกปากบ่น แต่ก็ยอมตามเพราะตัวเองก็หิวเหมือนกัน แหะๆ
"โหยไอ้กิต ยังประคบประหงมเหมือนเดิม ระวังเฮียมาเจอแล้วมึงโดนดี ริอาจทำตาหวานใส่เมียมันเข้า"
"ปากดีจริงนะ ไอ้ห่า"
"โถ่ ก็จริงนี่หว่า กูยังจำได้นะ ว่ามาคืนแรกมึงละเมอกรีดแขนตัวเองใส่หน้ามันน่ะ "
ฟังเสียงพี่เบิร์ดกับพี่กิตเถียงกันแซ่งแล้วก็แก้เบื่อได้พอควร ไอ้เนมเดินตามหลังบรรดาเฮียๆไปยังโรงอาหารเงียบๆ หานัยน์ตายังกวาดมองทั่ว สมองยังคงครุ่นคิด อยากรู้เสียจริงๆว่าพี่โตหายไปที่ไหนกันแน่ ก็ปกติรายนั้นถ้าผมไปพบพัศดี ถ้าไม่ยืนรอแถวๆทางเข้า ก็จะรออยู่แถวเรือนนอน เพื่อจะเข้ามาถามไถ่ห่วงใยอยู่เสมอ..
คิด..แล้วพาลนึกถึงเรื่องเลวร้ายที่เคยทำลงไป หัวใจเจ็บแปลบด้วยความอดสูไม่น้อย เมื่อคิดถึงสีหน้าจริงจัง แววตาห่วงหาของพี่โตที่มีให้กันอย่างสม่ำเสมอเรื่อยมา
คำพูดหนึ่งของพี่โตแล่นเข้าในใจ ..คนที่บอกว่ารู้...รู้ว่าเป็นคนเลว แต่ก็ขอเป็นคนดีในสายตาของผมบ้าง
และต่อให้เขาเลว พี่โตก็จะไม่มีวันทำร้ายไอ้เนมคนนี้
ความจริงที่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอด ทว่าผมไม่เห็น มองข้ามมันไปเพื่อมองและสนใจสิ่งที่จะทำร้ายจิตใจของตัวเองมากกว่า
ยิ่งคิด...ยิ่งรู้สึก ยิ่งเห็นชัด ว่าการกระทำของตัวเองมันโง่งมและงี่เง่าเพียงใด
ถอนหายใจอย่างช้าๆ สิ่งที่ผ่านไปแล้วไม่อาจหวนกลับมา รวมทั้งการกระทำของผมด้วยก็เช่นกัน ตอนนี้คิดได้แล้ว ว่าส่งที่เคยทำมามันเลวร้ายเพียงไหน สิ่งที่จะทำได้ ตอนนี้ก็เป็นเพียงการจดจำความผิดพลาดนี้ไว้เพื่อย้ำเตือนตัวเองไม่ให้เป็นแบบเดิม และ....เชื่อใจพี่โตให้มากกว่าที่ผ่านมา
กำลังนิ่งคิด หากร่างของนักโทษรายหนึ่งที่เดินตัดหน้าไปทำให้ผมชะงัก หัวคิ้วพลันขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นแผ่นหลังที่แสนคุ้นตา นักโทษรายหนึ่งที่ผมคุ้นแบบไม่อยากจะคุ้น ไอ้คนที่ชอบเหลือเกินที่จะมาเสือกเรื่องของชาวบ้าน ซ้ำยังทำหน้าตากวนประสาท ชวนให้ส้นเท้ากระดิกนักหนา เจ้าคนที่ชอบทำลับๆล่อๆชวนสงสัยแบบที่ตัวมันทำอยู่อย่างนี้ และสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้ผมต้องตามมันไป นั่นคือ นักโทษคนนี้เพิ่งเดินออกจากห้องพัศดีก่อนผมเมื่อครู่
ไอ้เป้มันกำลังไปทำอะไรที่แดนสิบ?
ผมจ้องมองมันด้วยความสงสัย และเพราะความสงสัยนี้เองทำให้ฝ่าเท้าของผมก้าวตามมันตามใจคิด ไอ้เนมหันหลังกลับไปดูพรรคพวก บรรดาเฮียๆที่นำมาก่อนเพียงครู่เดียวแล้วก็หันมาตามไอ้เป้ต่อ พวกพี่เบิร์ดพี่กิตพากันเดินไปโรงอาหารหมดแล้ว และคงไม่มีใครดินตามหลังผมอีกรอบ
ตามแผ่นหลังของเจ้าคนที่เดินพรวดๆเข้าไปในแดนสิบอย่างเคยคุ้นด้วยความงวยงงสงสัย ทั้งรู้สึกไม่เข้าใจ ว่าทำไมไอ้เป้ถึงได้คิดจะมาหาใครเอาตอนนี้ เวลานี้ก็สี่โมงกว่า ใกล้จะถึงเวลาอาบน้ำ และทานอาหารเย็นกันแล้ว นักโทษที่จะเหลือในเรือนอนก็มีน้อยกว่าน้อย นี่มันคิดจะไปเที่ยวหรือไปหาใครกันแน่?
ไม่สิ...ความจริง ถ้าต้องการไปหาใครสักคน เวลานี้ก็ถือว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว
คิด พลางใช้สายตาจับจ้องแผ่นหลังของไอ้เป้ไม่ห่าง ไม่อยากจะคลาดสายตาในเวลาที่มีเหล่านักโทษเดินสวนออกมาหลายคนแบบนี้ ผมเดินผ่านหน้าผู้คุมที่เฝ้าอยู่ ผ่านเรือนนอนหลังแรก ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ ไปจนถึงนักโทษกลุ่มสุดท้ายที่เดินผ่านมา แต่ไอ้เป้มันก็ไม่ยอมหยุดฝีเท้า หลายครั้งที่มันหันหลังกลับ ทำท่าเหมือนจะรู้ว่าถูกตามอยู่ อย่างเช่นครั้งล่าสุดที่ผมอาศัยหลับอยู่ในกลุ่มนักโทษที่เดินผ่าน ถึงสามารถหลบสายตามันได้
แต่ก็นั่นแหละท่าทีมีพิรุธระแวงระวังมองไปมองมามันน่าสงสัย ยิ่งทวีความคลางแคลงใจในตัวไอ้เป้อีกนับสิบเท่า ผมก้าวเท้าตามมันไปจนถึงเรือนนอนหลังท้ายสุด ทันได้มองเห็นร่างของผู้คุมเดินบิดตัวแบบเมื่อยจัดผ่านไปแล้วหลบวูบทัน พร้อมกับเห็นร่างของพี่ทินประจำแทนผู้คุมด้วยสีหน้าเคร่งอีกด้วย
จากมุมที่ผมมองเห็นสามารถเห็นได้ทั้งพี่ทินที่ยืนอยู่ตรงหน้าเรือนนอน และไอ้เป้ที่ย่องผ่านด้านหลังเรือนนอนไปได้อย่างชัดเจน ภาพที่เห็น พฤติกรรมของชายสองคนที่ผมรู้จักทำให้ต้องขมวดคิ้ว หนึ่งคือพี่ทินที่เหมือนกำลังยืนเฝ้าอะไรสักอย่าง และสอง..คือไอ้เป้ที่กำลังย่องไปด้านหลังเรือนนอนและหยิบกุญแจขึ้นมา?????
ภาพไอ้เป้ที่ยืนล่อกแล่กซ้ายขวาพร้อมทั้งหยิบกุญแจมาจากกระเป๋ากางเกง มันสะบัดพวงกุญแจนั้นพลางก้มดูลูกกุญแจ ก่อนจะเลือกหยิบมาดอกหนึ่งและเอื้อมมือไปหาแม่กุญแจที่อยู่ตรงหน้า ภาพการกระทำทั้งหมดที่อยู่ในสายตาทำให้สมองของผมกรีดร้องให้หาทางห้ามปราม แม้อยากจะดูว่าไอ้เป้กำลังจะทำอะไรต่อ แต่การกระทำของมันตอนนี้ไม่ใช่เรื่องดีแน่ ก็ปกติด้านหลังเรือนนอนจะถูกปิดไว้เสมอ มันเอากุญแจจากไหนมาไขเข้าไป และสอง มันจะเอากุญแจไขเข้าไปทำไม ไปทำอะไร ถ้าบอกว่าทำตามแผนของป๋า ทำไมพี่ทินที่อยู่กลุ่มเดียวกันถึงมีท่าทีไม่รู้ไม่เห็นต่อการกระทำที่เกิดขึ้น
เร็วเท่าความคิด ผมขยับตัว นัยน์ตาจ้องมองไอ้เป้ขณะที่ฝ่าเท้าก็ก้าวไปหาพี่ทินที่ยืนเฝ้ายามอยู่ตรงประตูหน้า นัยน์ตาผมจ้องการกระทำของไอ้เป้เขม็ง หากฝ่าเท้าขยับ เพื่อจะรีบเดินไปบอกพี่ทินให้มาจัดการมันโดยเร็วที่สุดแบบไร้เสียง
แกร่ก...
สะดุ้งเฮือก ชักข้าออกพร้อมกับถลาเข้ามามุมเดิมแทบไม่ทันเมื่อเผลอไปเหยียบกิ่งไม้เข้าจนมันเกิดเสียง ไอ้เนมนั่งแช่งชักตัวเองที่ซุ่มซ่ามอย่างหงุดหงิด ขณะที่ดวงตาจ้องมองคนสองคนตรงหน้าเขม้ง ผมเห็นไอ้เป้สะดุ้งสุดตัวทันทีที่ได้ยินเสียงนั้นแต่ก็ยังพยายามไขกุญแจเรือนนอนอย่างต่อเนื่อง และพี่ทินที่สะดุ้งเช่นกัน แต่เป็นการสะดุ้งที่มาพร้อมกับนัยน์ตาซึ่งกราดมอง และค่อยย่องมาด้านหลังที่ร่างของไอ้เป้กำลังขะมักเขม้นอยู่อย่างเงียบกริบ
เหตุการณ์ที่เป็นไปอย่างที่อยากให้เป็นแม้จะไม่มาจากฝีมือตัวเองแต่ก็ทำให้ผมใจชื้นขึ้นไม่น้อย ไอ้เนมจ้องมองพี่ทินเขม็ง และเมื่อร่างนั้นโผล่พรวด เพื่อกระชากแขนไอ้เป้และตะคอกถามสุดแรง ไอ้เนมก็แทบจะร้องเฮในใจให้ลั่น
"ทำเหี้ยอะไรของมึง??"
เสียงห้วนกระชากของพี่ทินดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าถมึงทึง ร่างของไอ้เป้ถูกลากคอไปโดยฝีมือพี่ทินอย่างรวดเร็วทำให้ผมพอวางใจ แต่เพราะมองอยู่ ผมถึงได้เห็น ว่าไอ้เป้มันทิ้งกุญแจในมือมันลงบนพงหญ้าใกล้ๆนั้นอย่างรวดเร็ว
มองตามเสียงพูดคุยเอะอะที่หายไป ไอ้เนมก้าวออกมาจากที่ซ่อน ก่อนจะเดินดุ่มเพื่อก้มลงไปกุญแจของไอ้เป้อย่างรวดเร็ว
........................
ดวงอาทิตย์ลอยต่ำ แทบจะถูกยอดไม้บดบังแสงสว่าง เรือนนอนที่ผมเดินเข้ามาจึงยิ่งมืดทึบ มึนไร้แสงไฟและไร้สิ่งมีชีวิตใดจนเงียบกริบคล้ายแดนสนธยา และ...ภาพวินาทีดับจิตที่ตรงเข้าสู่คลองจักษุนั้นทำให้ดวงตาของผมเบิกกว้าง..
เสียงทึบๆเหมือนของหนักบางอย่างกระทบซีเมนต์ดังลั่นไปทั่วห้องขังที่ร้างไร้ผู้คน เสียงครางอย่างทรมานของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย ไม่ได้ดังไปมากกว่าเสียงหัวเราะของผู้ชนะที่กำลังมองภาพนั้นอย่างสุขสันต์อยู่เบื้องหน้า
นัยน์ตาของผมเบิกกว้าง มองฝ่าความมืดสลัวไปยังร่างของคนที่ผมรัก ชายหนุ่มที่เคยคุ้นซึ่งบัดนี้ทำให้ผมกลัวจับจิต สีหน้าเหี้ยมโหด แววตาที่เต็มไปด้วยความพึงใจ ความสาแก่ใจ ความอมหิตที่แสดงออกมาทั้งสีหน้า แววตาและการกระทำเรียกให้เลือดในกายเย็นเฉียบ
เสียงหัวเราะนั้นแทบเเช่เเข็งให้ฝีเท้าที่จะก้าวไป ทั้งเสียงเรียกที่กำลังจะเอ่ยอยู่ในลำคอชะงักค้าง ผมไม่คิดว่าจะได้เจอพี่โตอยู่ที่นี่ ความจริงการตามหลังไอ้เป้มาก็แค่เป็นความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น เพราะฉะนั้นผมจึงไม่คิดวาจะได้เห็นภาพนี้ และสีหน้าแววตาเช่นนี้ของคนที่ผมรัก มันกระตุ้นความทรงจำเลวร้ายที่เคยฝังกลบอยู่ในสมองให้ผุดขึ้นมาเป็นระลอก ระลอก และกวนเศษตะกอนที่ทับถมอยู่ในใจให้หัวใจขุ่นมัวขึ้นมาอีกครั้ง
สีหน้าหวาดหวั่น แววตาสิ้นหวังของไอ้เป้ และใบหน้าสาแก่ใจของคนรอบกาย เหมือนกับภาพในวันนั้นเสียเหลือเกิน เรื่องราวที่ผมเคยพบเจอถูกทาบซ้ำ ถูกภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้ากระตุ้นให้คิดคะนึงหา และคิดไปกระท่งวาผมเป็นไอ้เป้ เป็นคนที่ครึ่งหนึ่งก็เคยถูกเหยียบย่ำ ทำร้าย เช่นเดียวกับมัน
กลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผาก ริมฝีปากที่อ้าค้างหุบลงและเงียบนิ่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาผมเบิกกว้าง จ้องมองร่างของไอ้เป้ที่ครางออกมาเบาๆพร้อมขยับกายด้วยแรงเฮือกสุดท้าย และที่สุดดวงตาของมันก็ปิดพับลง ร่างกายแน่นิ่ง เหลือเพียงสีของโลหิตที่ไหลออกมาจากศีรษะของมันไม่หยุด..
ผมเคยโกรธมัน เคยเกลียดมัน เคยชังน้ำหน้าและนึกรำคาญ แต่...แต่มันก็แค่นั้น แต่มันก็เป็นเพียงเท่านั้น เพียงความรู้สึกที่ไม่ได้รุนแรงขนาดอยากจะฆ่าให้ตายหรืออยากจะให้มันแดดิ้นลงไปต่อหน้า
ชีวิตนี้ทั้งชีวิต คนที่โกรธ คนที่เคืองใจ เคียดแค้นมันจนอยากจะฆ่าให้ตายมีเพียงคนเดียวก็พอแล้ว คนๆเดียว ที่ผมฆ่าลงไปเพราะความแค้นเคือง มีแค่คนเดียวก็มากเกินพอแล้ว..
แล้วตอนนี้ ไอ้เป้มันกลับ..
"เนม" เสียงทักของพี่โตทำให้ผมรู้สึกตัว ไอ้เนมสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกฝ่ามือหนาแตะลงที่ต้นแขน ดวงตาที่เบิกค้าง ร่างที่นิ่งงันเหม่อลอยเสียจนไม่รู้ว่าตนเองถูกพบเจอตอนไหน และพี่โตมาถึงตัวเมื่อไหร่
"..........." และเพราะปฏิกิริยานั้นของผม ทำให้พี่โตชะงัก เงียบเสียงลงและจ้องมองผมเงียบๆ
ผมกลืนน้ำลายช้าๆมองหน้าพี่โต จ้องหน้าคนที่เคยหัวเราะอย่างป่าเถื่อน และกระทำการอย่างโหดร้ายไร้หัวใจเมื่อครู่
หัวใจสั่นไหว เต้นโครมครามด้วยความหวาดกลัวและหวาดหวั่น เสี้ยวหนึ่งความกลัวทำให้อยากจะวิ่งหนี
พี่โต..ที่น่ากลัวเหมือนในวันนั้น
พี่โตที่โหดร้าย พี่โตที่ทำร้ายคนอื่นได้อย่างหน้าตาเฉย
.......แต่เมื่อได้มองเห็นดวงตาคู่นั้นความรู้สึกทั้งหมดก็แปรเปลี่ยนไป
"เอ่อ...ผมตามไอ้เป้มา" ไอ้เนมพูด พลางหัวเราะแหะๆ
"ก็นั่นสินะ ว่าอยู่อย่างมึงจะมาถึงนี่ได้ยังไง" คำพูดของพี่โตทำให้ผมค้อนขวัก
"ก็เห็นมันลับๆล่อๆ" ว่าไปแล้วถอนหายใจเฮือก "ไม่นึก...ว่าจะได้เจอ...." พูดแล้วไอ้เนมก็ยักไหล่
"....มานี่สิ"
แทนคำตอบทุกอย่าง พี่โตมองหน้าผมที่เปลี่ยนท่าทีจากนิ่งอึ้งเป็นยิ้มแย้มเช่นเคยก็เอ่ยปากปากเรียกแล้วดึงเเขนผมเข้าไปร่วมวง กลิ่นคาวเลือดที่ยังอวลอยู่ในเรือนนอนและโชยออกมาจากมือของพี่โตทำให้รู้สึกไม่ดีและหัวใจตุ้มๆต่อมๆไม่น้อย ทว่า ผมก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าการเดินตามพี่โตไปด้วยสีหน้าปกติหรือพยายามให้มันเป็นปกติ
ในใจผมยังกลัว..ใช่..
พี่โตในบุคลิกลักษณะเช่นนี้ทำให้ผมหวาดหวั่น..ก็ใช่อีก
แต่...ผมจะไม่ระแวงไม่เชื่อใจว่าสักวันตัวเองจะถูกทำร้ายอีกแล้ว
ฝ่ามือของผมบีบกระชับฝ่ามือของพี่โตไว้ ไม่ได้รู้สึกไปเองว่ามันร้อนผิดปกติ และไม่ได้รู้สึกไปเองเช่นกัน ว่านัยน์ตาของพี่โตเมื่อครู่ ก็มีความหวาดหวั่นปรากฏยู่..
พี่โตคงจะรู้ว่าผมคิดยังไง และรู้ดีว่าผมรู้สึกแบบไหน ภาพที่ผมสะดุ้งเฮือก ผละออกจากเขาอย่าลืมตัวคงยังติดตาและสร้างความหวาดหวั่นในใจได้ไม่แพ้กัน
บาดแผลที่เราสร้างให้กันนั้นยังคงสดใหม่และปรากฏอยู่อย่างชัดเจนเสียงจนเราต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะประสานร่องรอยแตกร้าวนี้ พี่โตคงจะกลัว แบบที่ผมกลัวว่าเรื่องมันอาจจะเป็นแบบเดิม ผมอาจจะหวาดกลัวและไม่เชื่อใจ ส่วนพี่โต ก็อาจจะต้องเจ็บปวดกับสิ่งที่ตัวเองทำไปเพื่อปกป้องผม เพียงแต่ผมไม่รู้และไม่เข้าใจ
แต่ตอนนี้ผมจะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้น
คำพูดที่ผมเคยพูด เคยบอกตัวเองไว้ในไม่กี่นาทีที่ผ่านมา วนเวียนมากระซิบบอก ตอกย้ำให้จำถึงความจริงเรื่องหนึ่งที่ไม่ว่าอย่างไรก็จะเป็นแบบนั้นอยู่เสมอ
ต่อให้พี่โตจะโหดร้ายกับใคร ต่อให้จะทำร้ายใครมากแค่ไหน แต่คนเดียวที่พี่โตจะปกป้องและไม่ทำอันตราย ก็คือผมคนนี้
ดังนั้น ตอนนี้ที่ผมควรจะทำ ไม่ใช่การหวาดกลัวหรือมัวแต่คิดว่าทำไมพี่โตไม่เป็น"คนดี"อย่างที่ตัวเองเองอยากให้เป็น เอาแต่คิดว่าทำไมพี่โตถึงทำแบบนี้โดยไม่มองไม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมโดยรอบ สิ่งที่ผมควรจะทำ คือการเชื่อใจ และเป็นกำลังใจให้คนที่ผมรักต่างหาก