Improbable 6 : พายุก่อตัว
ถ้าถามผมว่าไอ้เด็กใหม่ได้คำสั่งของป๋ามาว่ายังไง ผมขอบอกว่าไม่รู้ แต่ถ้าถามว่า"มัน"กำลังทำตัวยังไง ในรูปแบบไหนล่ะก็ ไอ้เนมคิดว่าตัวเองรู้ดีเลยทีเดียว..
มันกำลังก่อกวน ...กำลังสร้างความวุ่นวายชวนปวดหัวในแดนสิบสอง..
...เริ่มจากที่มันทำสนิทกับคนอื่นเขาไปทั่ว แถมนอกจากจะสนิทแล้ว มันยังไปกิ๊กกับชาวบ้านเขาไปทั่วอีดต่างหาก...
เออออ...ครับ อ่านไม่ผิดหรอก มันไปกิ๊ก กับชาวบ้าน...
...ไอ้เป้มันวิ่งว่อนแทบจะควงคนโน้นคนนี้ไปทั่วแดนล่ะครับ ปากก็บอกว่าเอาไว้ป้องกันตัว เพื่อความปลอดภัย แต่ทำไมไอ้เนมแอบเห็นมันยิ้มดีใจตอนชาวบ้านตบตีกันแย่งมันล่ะคร้าบบบบ โอ้ยยย ไม่ไหวเหอะ ไอ้บ้านี่
ผมเคยตั้งคำถามกับไอ้เมฆเล่นๆว่าไอ้เป้มันเอาความคิดจากไหนมาที่ว่าต้องมี"พี่"ในเรือนจำถึงจะปลอดภัย เมฆมันส่ายหน้านิดหน่อย หลังจากนั้นก็บอกสั้นๆว่า"จากมึงและพี่โต" มันบอกว่าพฤติกรรมของผมกับพี่โตเป็นต้นเหตุให้ไอ้เป้คิดว่าการมีคู่ในคุก ทำให้ตัวเองสบายและไม่ถูกรังเเก
อยากบอกมันนัก ว่ามันไม่สบายเลยน่ะเฟ้ยยย อยู่กับพี่โตแกเนี่ย !! แต่เรื่องนั้นไอ้เป้มันคงไม่คิดจะสน ผมก็คงไม่สนหรอก ถ้าไอ้เมฆมันจะไม่บอกว่าคนที่ถูกจ้องตาเป็นมันจะไม่ใช่พี่โต...
..มันบอกว่าพี่โตกำลังถูกยั่ว...ยั่วอะไรว่ะ ยั่วโมโห? เพราะทุกที่เจอกันไอ้เป้แทบจะโดนพี่โตยำตีน ข้อหาสอดรู้อวดดีมากไปหน่อย
ผมขมวดคิ้ว คิดว่าสำหรับคนเป็นเด็กใหม่แล้ว ไอ้เป้มันออกจะงี่เง่าและแสดงตัวอะไรชัดเจนไปหน่อย มันเคยเข้าคุกมาแล้ว ก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่เหรอว่าอะไรเป็นอะไร ทำไมถึงชอบมากวนตีนและอวดดีกับคนที่คุมแดนอยู่ล่ะ จะว่าป๋าให้ทายมันเรอะ? คนอย่างพวกนั้นน่ะจะสนรึไงถ้ามีคนของตัวเองโดนกระทืบไส้ไหลไปสักคน สันดานของเจ้าพวกข้างบนนั้นเป็นยังไงพวกเราก็รู้เช่นเห็นชาติมันมานักต่อนักแล้ว และอย่างไอ้เป้ มันจะเชื่อ...ไม่สิ มันจะสำคัญขนาดที่ป๋าจะขอไปเก็บไว้เลยเหรอ? เป็นไปไม่ได้หรอกครับ ทฤษฎีนี้ ถ้าบอกว่าป๋าส่งของเล่นใหม่มามาป่วนแดน อันนั้นยังจะทำใจเชื่อได้มากกว่าอีก
ไอ้เมฆยังมาย้ำๆอีกว่าไอ้เป้กำลังหมายตาตัวเป้งๆในแดนนี้ไปคุ้มหัวมันอยู่ มันบอกว่าคนที่เสี่ยงที่สุดคือพี่กันย์พี่ชายสุดที่รักของมัน... และยังพล่ามเรื่องความแรด...เอ๊ย...ความสนิทของเป้กับพี่กันย์ด้วยความไม่พอใจไปเรื่อยๆจนผมต้องดักทางมันว่าใครกันแน่เป็นแฟนมัน นั่นล่ะไอ้บ้านี่ถึงจะยอมหยุด..
...ผมมองตามหลังมันที่เดินไป อยากจะบอกมันว่า..ไอ้ที่มันควรห่วงสุด ไม่ใช่ว่าพี่กันย์จะไปกิ๊กกับไอ้เป้ แต่ควรห่วงว่า...ผู้ชายสองคนที่มันรัก จะกิ๊กกันเองต่างหาก
...หึหึหึ ไม่คิดใช่มั้ยล่ะว่าผมจะรู้ คิดล่ะเซ่ ว่าผมจะเซ่อแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
แต่คนเรามันต้องพัฒนาน่ะครับ จะมาซื่อๆแบบเดิมได้ยังไง เพราะสายตาพี่โตมองพี่วิทย์ตอนอยุ่กับพี่กันย์(น่าจะเรียกว่าทะเลาะกันมากกว่า)มันทำให้ผมสงสัย...สงสัยจนออกปากถาม นั่นล่ะ ถึงได้คำตอบที่ทำให้รู้เรื่องนี้ขึ้นมา..
รู้....ว่าพี่กันย์เคยทำอะไรไว้เมื่อสามปีก่อน..
ผมไม่คิดจะสนใจเรื่องราวพวกนี้หรอกครับ ถ้าคนพวกนั้นจะไม่ใช่คนใกล้ตัวของเราแบบนี้ เมฆ..มันก็เป็นเพื่อนผม...พี่วิทย์ก็เป็นเพื่อนพี่โต...ส่วนพี่กันย์ก็ดีกับพวกเรา...แล้วแบบนี้ จะให้ผมไม่สนก็คงไม่ได้
แต่เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องส่วนตัวครับ ห่วงแค่ไหน อย่างมากก็ได้แค่เฝ้ามองดูห่างๆเท่าน้น..
โดยเฉพาะเมื่อตอนนี้เรื่องของผมมันก็ใช่ว่าจะ"สงบและเรียบร้อย"อะไรเท่าไหร่..
นั่นเลยเป็นสาเหตุให้ผมมานั่งคิดอะไรเงียบๆอยุ่ตรงนี้ไงล่ะครับ..
ก๊อกๆ
"เสร็จรึยัง กูหิวแล้วนะ..." เสียงเคาะประตูเบาๆทำให้ผมชะงัก เงยหน้าขึ้นจากไวโอลินสีน้ำตาลในมือ มองเห็นพี่โตยืนเก๊กหน้านิ่งมองหน้าผมอยู่ตรงประตูโรงฝึกที่เปิดอ้าพร้อมกับเอามือเคาะประตูเบาๆให้เกิดเสียง
" แปปนึงพี่.." ผมตะโกนตอบ เอาไวโอลินที่กำลังขัดๆถูๆอยู่เดินเข้าไปเก็บในกล่อง บอกลาอาจารย์ธีระเจ้าเดิมที่พยักหน้าให้ แล้วเดินออกมาหาพี่โต ที่กำลังหน้ามุ่ย หัวเสีย
" หิวข้าว...ทำอะไรอยู่ นานนัก.." บ่น บ่นแบบนี้ประจำเวลาผมมาขลุกอยู่ที่นี่ตั้งแต่บ่ายจนเย็น ทำยังกับตัวเองไม่เคยหายไปไหนนานๆอย่างนั้นล่ะ
" ซ้อมไงเล่า ไม่ได้เอาเวลาไปดูดบุหรี่หรอก.."ว่าแล้วก็แอบกัดซักนิด
" เหอะ...บุหรี่มันไม่ได้มีให้ดูดทุกวันนี่ ของหายาสกได้มาก็ต้องรีบใช้สิ.." พี่โตยักไหล่ และลากผมออกจากอาคารฝึก เพื่อไปทานข้าวเย็นก่อนจะหมดไม่มีให้แดก
"พี่..........." ผมอ้าปากจะเรียก แต่พี่โตชะงักฝีเท้ากึก ทำให้ผมขมวดคิ้ว มองเห็นสายตาคู่นั้นจ้องไปที่หน้าห้องพยาบาล ซึ่งมีร่างของชายหนุ่มสองคนยืนอยู่..
......คนแรกคือพี่กันย์ เจ้าของสถานที่
...ส่วนอีกคน...คือไอ้เป้ ไอ้น้องใหม่คนนั้น
ท่าทีของพวกเขาสองคนดูผิดไปจากปกติ นั่นคือพี่กันย์ก็เงียบ ใบหน้าไร้รอยยิ้ม และมีท่าทีเคร่งขรึมแปลกตา
ส่วนไอ้เป้ก็แสยะยิ้มออกปากอธิบายอะไรซักอย่างด้วยสีหน้าท้าทาย ซึ่งมันไน่าจะทำเลย ต่อหน้าพี่กันย์ที่มีท่าทีเหมือนกำลังข่มอารมณ์โกรธแบบนั้น..
ผมขมวดคิ้ว หันไปมองหน้าพี่โต..
พี่โตเม้มปากแน่น แล้วจ้องมองสองคนนั้นด้วยท่าทีครุ่นคิด..
" เนม..." พี่โตเรียกผมเบาๆ
"ครับ?"
" ไปกินข้าวก่อน ..เดี๋ยวจะตามไป..." ว่าแล้วก็ออกแรงดันแผ่นหลังของผมให้เดินต่อ ผมขมวดคิ้ว ออกปากจะค้านเพราะอยากอยู่ด้วย แต่พี่โตหันมาจ้องหน้าแล้วส่ายหัว..นั่นเป็นท่าทางที่รู้กันดีว่าผมไม่ควรเข้าไปยุ่ง..
" กูกับไอ้กันย์ จะจัดการเรื่องนี้เอง.." ว่าแล้วก็รุนหลังผมให้เดินไปอีกครั้ง ไอ้เนมขมวดคิ้ว อยากจะออกปากทักท้วง แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ และเดินออกไปแต่โดยดี
ถึงผมจะอยากรู้ ถึงผมจะแอบกังวล
...แต่เมื่อพี่โตบอกไว้แบบนั้น ผมก็ควรจะฟัง และนั่งรีออยู่ด้วยความเชื่อมั่นว่าจะได้รับรู้เรื่องราวที่"ควรรู้"จากปากพี่โต
นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้ ในการอยู่ร่วมกับคนๆนนี้
เขาจะคิดคำนวนทุกอย่าง และหาทางที่ดีที่สุดสำหรับปัญหาที่เข้ามา
บางครั้งเราอาจจะต้องไม่รุ้เรื่อง อาจจะต้องเป็นคนโง่ อาจจะทำอะไรไม่ได้นอกเหนือจากคำสั่ง
แต่หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดจบไป..เราก็จะได้รู้ ว่าวิธีนั้นคือวิธีที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว
ขอเพียงแต่เชื่อ...
.............................................
...............................
ผมนั่งมองพี่ๆที่กำลังดูหนังกันอยู่ในห้องขณะที่คนข้างกายดูไปก็ขมวดคิ้วไป ทั้งที่มันเป็นหนังตลกแท้ๆ พี่โตขมวดคิ้ยวมุ่น ท่าทีครุ่นคิดอย่างมาก ใบหน้าจ้องอยู่ที่จอโทรทัศน์ก็จริง แต่ผมว่า ทั้งสายตา ทั้งสมอง ไม่ได้จดจ่อหรือสนใจหนังที่กำลังฉายอยุ่ซักนิด..เรียกว่าเหม่อ จนไม่รู้จะเหม่อยังไง
มือพี่โตกำแน่นวางอยู่บนเข่า บีบแล้วคลายอยู่แบบนั้น ท่าทีว้าวุ่นใจมากแบบที่ผมไม่เคยพบเจอ..
นี่คุยเรื่องออะไรกันนะ?
ผมขมวดคิ้ว มองไปทางพี่กันย์ที่อยู่ไม่ไกล และพบว่ารายนั้นก็มีท่าทีเครียดขึ้ง คิดหนักไม่แพ้กัน..
ดังนั้นผมจึงหันไปมองอีกคนที่อยู่ตรงนั้น ...และเป็นอย่างที่คิด ไอ้เป้มันกำลังยิ้ม หัวเราะกับหนังตลกแบบไม่ระหยี่..
...มันทำอะไร? หรือพูดอะไร?
มีอะไรที่เกิดขึ้นงั้นเหรอ? ถึงได้ทำให้ลูกพี่ทั้งสองคนเกิดอาการเครียดจัดขึ้นมาแบบนี้..
ผมเม้มปากแน่น..ขมวดคิ้วขึ้นอีก...
...ท่าทางแบบนี้ บรรยากาศแบบนี้ ไม่ชอบเลยจริงๆ..
และเหมือนจะไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่รู้สึกได้ พี่ๆบางคนก็เริ่มรู้สึกถึงท่าทีประหลาดๆของทั้งสองคน พี่วิทย์มองหน้าพี่โตแล้วขมวดคิ้วตามบ้าง หลายคนทำท่าจะอ้าปากถามผม แต่พอไอ้เนมส่ายหัว ต่างก็ได้แต่มองหน้ากันแล้วกระพริบตาปริบๆ
ผมมองหน้าพี่โตแบบลังเลไม่น้อย อยากจะออกปากถามให้ความสงสัยจางหาย แต่ดูจากท่าทีเคร่งเครียดนั่นแล้ว ไม่รู้ว่าพี่โตจะบอกผมรึเปล่า
ความสงสัยนี้ยังคงตกตะกอนค้างคาอยู่ในหัวใจไม่หาย และเพิ่มทวีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลานอนแล้ว พี่โตยังเงียบและมีท่าทีครุ่นคิดไม่หายเสียที
ไฟถูกปิด พวกเราต่างล้มตัวนอน แต่ท่ามกลางแสงไฟสลัว ผมกลับมองเห็ยนดวงตาของพี่โตที่เปิดค้าง และมือที่เผลอยกขึ้นก่ายหน้าผากอย่าลืมตัว
เสียงลมกรรโชกอยู่เบื้องนอกดังเข้ามาพร้อมกับเสียงฝนเทกระหน่ำ ผมเงยหน้ามองเพดานสีหม่น เม้มปากเข้าหากัน
...พายุงั้นเหรอ?
" พี่โต "
"............"
" พี่โต..พี่...."
" อะไร? " พี่โตชะงัก หันมามองหน้าผมเมื่อรู้สึกตัวในที่สุดว่าโดนเรียก
" พี่ต่างหากสมควรถูกถาม ว่ามีอะไร?" ผมออกปากถาม ท่ามกลางเสียงลมและเสียงฝนที่เริ่มตกกระหน่ำ..
".........."คราวนี้พี่โตเงียบ ไม่พูดอะไร
"มีข่าวอะไร? ใครจะก่อเรื่องอีก " ผมถามพลางจ้องสบตาคู่นั้นเข็มง..
".........." พี่โตถอนหายใจเป็นคำตอบ พลางยกมือลูบหัวผมเบาๆ
" รู้ไม่ได้เหรอ? " ผมถาม ขยับตัวไปซุกอกพี่โตอย่างคุ้นเคย
" ...มัน " พี่โตขมวดคิ้ว ท่าทีครุ่นคิด "...ต้องตกลงใจให้ได้ก่อน ถึงจะบอกมึงได้..."
" เรื่องสำคัญมาก " ผมถามต่อ
" ...ใช่..." พี่โตรับคำ ก่อนจะสบตาผม พลางถอนหายใจยาวๆ "และเป็นเรื่อง...ที่กูกลัวตัวเองตัดสินใจพลาดมากที่สุด "
"พี่....."
" นอนเถอะ" พูดตัดบทสั้นๆ เอามือลูบหัวผมเบาๆแล้วหลับตาลง แต่รอยย่นตรงหว่างคิ้วยังคงปรากฏชัดเจน..
ผมยกมือวางบนแผ่นอกหนา รับรู้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจผ่านมือนั้น ขณะที่ใบหน้าจ้องมองเสี้ยวหน้าของพี่โตผ่านเสียงฟ้าร้องและแสงสว่างอันเลือนราง
กลัวตัวเองตัดสินใจผิด?
คนอย่างพี่โต...กลัวเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอ?
................................................................................................
แต่พอผ่านพ้นไปหนึ่งวัน ที่ท่าเครียดๆของพี่โตที่เคยเกิดขึ้นมันแทบจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง ราวกับว่าสีหน้าเครียดๆที่ทางขรึมๆนั้นมันแค่ภาพลวงตาที่ผมคิดไปเองมากกว่า ดูแล้วชักเสียใจนิดๆที่ทำเครียดแทนพี่แกไปด้วย
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสองกว่าๆ ท่ามกลางการทำงานอย่างทุกทีที่เราเคยทำกัน จู่ๆเมฆมันก็เดินมาหาผมด้วยสีหน้าไม่พอใจ รายนั้นเอื้อมมือมาหา แล้วดึงแขนไอ้เนมแรงๆ ให้ลุกจากใต้ต้นมะม่วงที่เพิ่งจะลงไปนั่งหมาดๆ
" อะไรว่ะ ? "ผมเลิกคิ้ว ถามมันกลับ
" พี่โต" ไอ้เมฆงึมงัม สีหน้าไม่พอใจอย่างยิ่งยวด
" พี่โตอะไร? " ผมเลิกคิ้ว ออกปากถาม
" ไอ้พี่โตของมึงไปหาไอ้เป้ที่กลุ่มกู แม่งเรียกมันไปคุยด้วย " ไอ้เมฆมันว่าด้วยสีหน้าไม่พอใจ " ว่าแล้วไง...กูว่าแล้วไง ไอ้เวรนั่น มันจะแดกใกห้หมดแดนเลยสินะ เหี้ยเอ๊ย..."
" มึงแน่ใจเหรอ? ว่าไม่ได้ไปเรียกเพื่อมาทำอย่างอื่น "ผมยังสงสัยไม่เลิก
" ทำอย่างอื่นน่ะ...ทำแน่ " เมฆว่าพลางถอนใจแรง "ลากกันไปแบบนั้นจะไปทำอะไรล่ะ มึงมาเลย ถ้าไอ้พี่โตแม่งเอาใหม่นะ มึงจิกหัวถีบตกบ่อไปเลย !! "
" ........" คราวนี้ผมเงียบ มองเสี้ยวหน้าที่แสดงความไม่พอใจออกมาของเมฆ และมองโดยรอบอย่างครุ่นคิด เมฆมันพาผมมาที่เรือนเพราะชำด้านหลังโรงฝึกงาน ก่อนจะดึงพรวดพาผมเข้าไปหลบอยู่ข้างต้นไม้
" เมฆ....มึงแน่ใจ? "ผมถามกลับ เพราะหลังจากเห็นท่าทางเครียดๆของพี่โตกับท่าทีของพี่กันย์เมื่อวานแล้ว คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าพี่โตจะไปมีชู้ที่ไหน ยังไง กับไอ้เป้ได้
" ดีกว่าไม่รู้ไม่ใช่รึไง? " เมฆมันว่า พร้อมกับดึงผมให้เดินเลาะเข้าไปใกล้อีก
" ไหน? ไม่เห็นมีใคร? "ผมถามกลับงงๆ
" เดี๋ยวสิ กูเห็นอยู่น่า อ๊ะ...นั่นไง " เมฆชี้ไปที่ห้องเก็บอุปกรณ์การเกษตรที่อยู่ใกล้เรือนเพราะชำ พี่โตยืนหน้าเคร่ง คุยอะไรกับไอ้เป้อยู่ตรงนั้น ซึ่งดูยังไง๊ ยังไง ก็แทบจินตนาการหาท่าทีสวีตหวานแหววจากสองคนนี้ไม่ได้เลย
" ไปดิ" เมฆหมันรุนหลังผม แล้วเดินห่างออกมา
" อ้าว?.. "ไอ้เนมเหวอ ครางออกมางงๆ ลากกันมาถึงตรงนี้ แล้วตัวเองก็แจ้นหนีเนี่ยนะไอ้เมฆ ?
" มึงเป็นเมียพี่โต " เมฆมันกอดอก บอกผมสีหน้าเคร่งๆ " แต่กูไม่ใช่ ถ้าโดนจับได้ กูซวยกว่ามึง กูไม่อยากยุ่งกับมัน"
......... ที่มึงพามานี่ไม่ได้เรียกว่ายุ่งเลยนะเมฆ เฮ้ออออออ..
"แล้วจะไปไหน?" ผมเลิกคิ้ว ถามมันกลับบ้าง
"...ไป......." เมฆมันมองหน้าผม ก่อนจะหรุบตาลงช้าๆ " ไปคุยกับพี่กันย์"
".........." ผมขมวดคิ้ว มองมันแต่ไม่พูดอะไร
" กูไปนะ " มันว่าแล้วเดินหนี ผมมองตามหลังมันแล้วขมวดคิ้ว ช่วงนี้ไอ้เมฆออกจะวุ่นๆยุ่งๆอะไรกับเรื่อง"ผู้ชายสองคน"นั่นมากนักหนา..มีอะไรเกิดขึ้น หรือมีอะไรที่มันรู้ระเเคะระคายรึเปล่า?
แต่เสียงพูดคุยกันของพี่โตกับไอ้เป้ก็ทำให้ผมลากสติกลับมาสนใจเรื่องตรงหน้าก่อนเป็นอันดับแรก ไอ้เนมเอนตัวแนบผนังปูน เงี่ยหูฟังทั้งสองคนคุยกันด้วยความอยากรู้..
ไม่ได้หึงหวงหรือไม่พอใจ แต่กันไว้ก่อนโว้ยยยย...
"..ตกลงพี่จะเอาไง ? "เสียงที่ผมจับใจความได้คือเสียงของไอ้เป้ มันออกปากถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ
"....กูจะคุยกับพวกป๋าก่อน.." นั่นคือเสียงพี่โตตอบกลับ ซึ่งแสดงความลังเลอย่างชัดเเจ้ง
" พี่ก็คุยมาแล้ว.....คุยมาสองรอบแล้วก็ยังไม่ตอบอะไร จะเอาไงก็บอกมาสิพี่ " เสียงไอ้เป้ดังขึ้นมาแว่วๆ " จะไปไม่ไปทำไม่ทำก็บอกมา ...การที่ป๋าย้ายผมมานี่ไม่ได้ทำเพื่อให้ลอยไปลอยมาอยู่ทุกวันนะ.."
" เหรอ? กูเห็นมึงทำแบบนั้นอยู่นี่... " พี่โตกัดใส่ซะทีนึงด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
" หึ....อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เสียเรื่องไปซักเท่าไหร่หรอก การตัดสินใจเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับพี่...ว่าไง..." ไอ้เป้มันลากเข้าเรื่องเดิมแล้วออกปากถามแบบไม่ให้ตั้งตัวทัน
".......กู.."
" ก่อนที่พี่จะตอบ "เสียงไอ้เป้แทรกเสียงพี่โตขึ้นมา " ขอบอกไว้ก่อน ว่าเรื่องนี้...พวกป๋าน่ะวางแผนมานานแล้ว...วางแผนมาหลายปี แน่นอนว่าไม่ต้องการให้ผิดหลาด ไม่ต้องการให้เรื่องนี้รั่วไหลไปถึงหูคนอื่น.."
" ขู่กูงั้นเหรอ? "น้ำเสียงพี่โตส่อแววอันตราย
" เปล่าพี่...แค่จะบอกเรื่องจริงให้ได้รู้ก็เท่านั้น.."
" จะบอกว่ายังไงกูก็ไม่มีทางเลือก นอกจากจะยอมทำตามอย่างนั้นล่ะสิ " พี่โตเปรยขึ้นมาเบาๆ
"แน่นอน"
" แล้วจะมาถามกูทำไม! " น้ำเสียงนั้นตวัดห้วนอย่างเริ่มไม่พอใจ
"ก็ให้พี่ลองคิดดู....เผื่อว่าเวลาที่ผ่านมานานพอดูเนี่ย จะทำให้หลายๆอย่างเปลี่ยนไป ทั้งเรื่องความฉลาด ทันคน หรือแม้แต่การทำงานที่เคยมีประสิทธิภาพ..." น้ำเสียงไอ้เป้ลากยาว.. " ที่ป๋าให้มาถามก่อน ก็แค่อยากรู้ ว่าพี่จะ"กล้า"และ"ใจเด็ด"พอจะทำรึเปล่า...เท่านั้นเอง..."
" หึ "
"....ถ้าพี่ไม่มีปัญญา...เอ๊ย ไม่สิ....ไม่ใจถึงเหมือนที่ผ่านมา กับไอ้เรื่องนี้เนี่ย..ผมก็พอจะเข้าใจนะ เพราะถ้าพลาดไปก็อาจจะถึงตายได้...เพราะงั้น..."
" หุบปาก !! " พี่โตตวาดเสียงดัง "ไอ้ลูกกระจ๊อกแบบมึงไม่มีสิทธิ์มาเห่าแบบนี้ใส่กูหรอกนะไอ้เป้....มีงานอะไรก็ทำไป...ถูกสั่งมาให้ทำอะไรก็ทำ อย่าก้าวก่าย อย่าเสือก..."
" ...นี่ผมก็ทำงานอยู่ไง " ไอ้เป้ตอบ
" นี่ไม่ใช่งานของมึง ! ...อย่ามาเสือกทำเป็นรู้ดี..." พี่โตตวาดเสียงห้วน " เรื่องนี้กูจะตอบพวกมันด้วยตัวเอง...ไม่จำเป็นต้องเอาคำตอบผ่านไอ้กระจอกแบบมึง..
" หึหึ....เอางั้นก็ตามใจพี่..." ไอ้เป้หัวเราะเบาๆ ผมไม่ได้เห็นกหน้ามัน แต่จากน้ำเสียง ไม่พ้นมันคงทำหน้าตากวนประสาทอีกแน่ๆ " แต่ขอบอกไว้อย่างนะ ว่าถ้าผมกระจอกจริง คงไม่ถูกสั่งมาแดนนี้..มาร่วมแผนนี้หรอก.."
" ลำพองมากก็ระวังจะเจ็บหนักแล้วกัน " พี่โตเข่นเคี้ยว พูดเสียงเข้ม
"...ไอ้คำนั้นน่ะ.... บอกตัวเองดีกว่าพี่...." ไอ้เป้มันตอบด้วยน้ำเสียงระรื่น
"เพราะตอนนี้...ผมว่าพี่ชักจะสนิมขึ้นแล้วว่ะ"
ผมรีบขยับตัวหลบเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า แต่โชคดีที่ไอ้เป้มันเดินไปอีกฝั่ง ไอ้เนมค่อยชะโงกมองที่เดิม พบว่าพี่โตยืนนิ่ง กำมือสองข้างแน่น ด้วยสีหน้าเครียดเขม็ง...
ไอ้เนมทรุดตัวลงบนพื้น...ผมขมวดคิ้ว ครุ่นคิดกับคำพูดเหล่านั้นอย่างถี่ถ้วน หากแต่ก็ไม่ได้เข้าใจอะไรมากขึ้นเลย..
...ในหัวมีแต่คำถามเดียว..สั้นๆ....
พวกป๋ากำลังจะทำอะไร?
.....................................
กลับมาแล้วค่าาาา
หลังจากหายหัวไป....อ่า ไม่นับวันดีกว่า (

)
ตอนนี้พายุเริ่มก่อตัวแล้วนะเออ กางร่มเตรียมไว้ ณ บัดนาวนะค่ะพวกเธอทั้งหลายยยยยยยย อย่าหาว่าคนเขียนไม่เตือน

ปล. แจ้งข่าวสารและอัพเดทคอลเล็คชั่นหนังสือ ทางนี้ค่ะ
http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=524334&chapter=80