ชีวิตหลังจากนั้นเป็นยังไง?
ถ้าถามว่าเป็นยังไง ผมก็ไม่รู้จะเล่าแบบไหน เอาเข้าจริงแล้วผมพบว่าความลำบากกายในคุก บางครั้งยังดีกว่าความลำบากใจที่พบเจอจากโลกภายนอกที่มีต่อสายตาหวาดระแวงและอคติของคนรอบข้าง ทั้งผมพอจะทำใจมาก่อนหน้าแล้ว ทั้งที่ผมก็รู้แล้วเข้าใจดีว่าตัวเองต้องถูกปฏิบัติด้วยแบบไหน แต่เมื่อเดินเข้าไปในซอยแล้วพบกับสายตาหวาดระแวงของเพื่อนบ้าน คนที่เคยพูดคุยกันกลับเบือนหน้าหนี ท่าทีหวั่นระแวงและระวังตัวแจมองผมราวกับเป็นสัตว์ประหลาด สิ่งเหล่านั้นจะอย่างไรก็ไม่คุ้นชิน
จะบอกว่าโชคดีได้ไหม ที่อย่างน้อย..น้อยที่สุดผมก็มีคนยอมรับ คนที่เข้าใจและอยู่เคียงข้างผมไม่ว่าเมื่อไหร่ ต่อให้กระแสหวาดระแวงและการตอบรับจากเพื่อนบ้านในละแวกเดียวกันชวนให้หัวใจลีบฝ่อ แต่ผมก็พยายามอดทน ทนทำดีและไม่ก่อปัญหาเพิ่มอย่างที่ได้รับการอบรมมา อดทนต่อสายตาที่เต็มไปด้วยอคติและความหวาดระแวงของผู้คน อดทน..เพื่อที่สักวันพวกเขาจะเข้าใจผมและยอมรับให้ผมกลับเข้ามาในสังคมอีกครั้ง
สิ่งแรกที่ผมเข้ามาในบ้านคือการจุดธูปบอกกับ”พ่อ”ให้รู้ว่าผมกลับมาแล้ว ทั้งนี้ไม่ใช่แค่พ่อของผม แต่รวมไปถึงชายอีกคนนึ่งนั้น คนที่ผมลงมือฆ่าเขา ทั้งๆที่เขาอยู่ในฐานะพ่อบุญธรรม
ผมจ้องมองกรอบรูปของคนๆนั้นที่วางอยู่พร้อมกับอัฐิ แม่บอกว่าเขาก็ไร้ญาติขาดมิตรเช่นกันจึงได้แต่เก็บเอาไว้ ตอนแรกแม่ยังคิดว่าผมจะโกรธ แต่ผมไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้น ผมจ้องมองใบหน้าของเขาและนึกถึงเรื่องที่ตัวเองทำ ก่อนจะเอ่ยปากขอขมาลาโทษต่อดวงวิญญาณของชายที่ล่วงลับ
ความผิด ยังไงก็คือความผิด ผมฆ่าเขา เรื่องนี้จะไม่มีวันเปลี่ยน ไม่ว่าเขาจะทำอะไรลงไปก็ตาม
โกรธไปให้ได้อะไรขึ้นมา แค้นไปทำไมในเมื่อเขาตายไปแล้ว ที่ทำได้ตอนนี้มีเพียงการยกโทษให้เขาและขอขมาต่อสิ่งที่ผมทำลงไป โดยหวังว่าเขาจะให้อภัยผมบ้างเช่นกัน
หลังจากนั้นผมก็พยายามหางานทำ ขณะเดียวกันก็เก็บใบปริญญาจากหารเรียนมหาวิทยาลัยหลักสูตรในเรือนจำไว้แปะฝาบ้าน งานที่พยายามหาเพื่อจะนำรายได้มาช่วยจุนเจือครอบครัวนั้นหาได้ยากยิ่ง เมื่อผมมีประวัตอาชญากรรมติดตัวแบบนี้ แต่ก็ยังดีที่บ้านผมเปิดขายข้าวแกงอยู่หน้าบ้าน อย่างน้อย..ต่อให้ผมไม่ได้งานก็ยังสามารถเอาเวลานั้นมาช่วยแม่ ซึ่งได้บอกผมอย่างอ่อนโยนว่าหางานไม่ได้ไม่เป็นไร มาช่วยแม่ทำกับข้าวขายดีกว่า
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมก็ไม่อยากจะงอมืองอเท้าอยุ่ดี ลำพังแค่เป็นนักโทษคดีร้ายแรงพ้นโทษออกจากคุกก็ถือว่าเป็นเดนสังคม เดนคนอยู่แล้ว ผมไม่อยากจะเพิ่มความไร้ค่าของตัวเองด้วยการงอมืองอเท้าให้คนในบ้านซึ่งมีแต่ผู้หญิงตัวเล็กๆสองคนหาเลี้ยงหรอก
และที่สุด..ผ่านระยะเวลาที่แสนยกลำบากในสี่เดินแรกมา ผมก็ได้งานจนได้
มันใช่งานอะไรเลิศหรูแต่ก็ยังดีกวาจะอยู่เฉยๆ ด้วยวุฒิม.6 ที่ผมนำมาสมัครงานนั้นก็ทำให้หางานได้ในประเภทนี้ ต่อให้ผมจะมีปริญญา แต่การไปขอแข่งขันใครคงไม่ไหว โดยเฉพาะหากรู้ประวัติว่าผมเรียนมาจากไหน ผู้คนเขาคงขยาดที่จะให้อดีตนักโทษอย่างผมเข้าไปร่วมงานด้วย แค่ได้งานเป็นพนักงานเซเว่นใกล้บ้าน เท่านี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว
ผมยังถือว่าตัวเองโชคดีมากนักที่มึครอบครัวเข้าใจและคอยเคียงข้าง งานที่ได้มาก็ไม่ได้เลวร้ายนัก ถือเป็นความปราณีอย่างที่สุดที่ได้รับแล้วในฐานะอดีตนักโทของผม ตราบาปที่ติดตัวอยู่ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้โดยง่าย โชคดีทีเจ้าของเซเว่นให้โอกาสผมได้ทำงาน
กิจวัตรประจำวันก็ไม่มีอะไรมาก ผมตื่นเช้าประมาณตีห้าเพื่อช่วยแม่ซื้อของมาทำกับข้าว ก่อนจะเปลี่ยนชุดเพื่อไปทำงานที่เซเว่นหน้าปากซอย ตกเย็นเลิกงาน ก็กลับมาช่วยแม่ขายขอต่ออีกนิดก่อนจะปิดร้านและเก็บของ ชีวิตผมก็วนเวียนอยู่แบนี้ จวบจนครึ่งปีแล้วถือว่ามันก็เป็นไปตามปกติ
ความหวั่นระแวงที่ชาวบ้านมีให้ผมเริ่มลดลง พฤติกรรมของผมที่ไม่ได้ผิดแผกไปจากเดิมมากนักทำให้หลายคนเริ่มวางใจ ประกอบกับต่างก็รุ้เหตุผลที่ผมทำเรื่องแบบนั้นลงไปดี ผู้คนรอบกายจึงเริ่มเป็นมิตรกับผมมากขึ้น แม้บางคราจะมีอคติบ้าง มีการกล่าวหาเมื่อมีเหตุลักเล็กขโมยน้อยหรือโจรขึ้นบ้านบ้าง แต่ที่สุดเมื่อพิสูจน์ตัวเองได้ผมก็ไม่มีอะไรจะต้องหวาดกลัว น้องสาวสุดที่รักของผมซึ่งตอนนี้เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่งในชั้นปีสอง บอกว่ารอยยิ้มซื่อๆของผมทำให้ทุกคนค่อยวางใจและเริ่มมองผมในสายตาดีขึ้น "ความเป็นคน"ที่กลับมาอีกครั้งในสายตาชาวบ้าน ทำให้ชีวิตของผมดีขึ้นและเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างเมื่อก่อน
"มันต้องใช้เวลา"คำที่แม่บอกมาก็จริง เวลาจะช่วยพิสูจน์ว่าใครเป็นอย่างไร ผมจะดีขึ้นหรือเลวขึ้น เรื่องแบบนี้ต้องให้เวลาตัดสิน แม่ปลอบผมอยุ่เสมอ ว่าท่าทีรังเกียจหรือเป็นอริของชาวบ้านนั้นเป็นเพราะพวกเขากำลังไม่แน่ใจและกำลังทดสอบอยุ่ว่าเราอดทนได้แค่ไหน คำพูดของแม่ยิ่งทำให้ผมทุ่มเทกับการทำตัวดีให้มากขึ้น เพราะผมอยากได้รับการยอมรับเช่นคนปกติธรรมดาทั่วไป
และหากพูดถึงชีวิตของผม ก็มีใครอีกหนึ่งคนที่หายไป...
ช่องว่างที่กลวงโบ๋ในหัวใจ ความเดียวดายที่รู้สึกในบางคราที่นั่งเงียบในห้องชวนให้คิดถึงคนที่บอกว่าจะทำเพื่อผมคนนั้น เส้นลวดที่เคยถูกใช้เป็นแหวนไร้ราคา ยังถูกผมเก็บไว้จนบัดนี้ บางครั้งผมจะหยิบมันมาดู แล้วพบว่ามันช่างดูกระจอกงอกง่อยและไร้ค่าเสียเหลือเกิน คงไม่ต่างอะไรกับตัวผมและคำสัญญาที่บัดนี้..มันยังไม่ปรากฏ
หลากหลายสีหน้าของเหล่นักโทษที่มองผมอย่างนึกสงสารในบางครั้งที่มีญาติมาเยี่ยมแต่ไม่มีคนชื่อโตในนั้น หลายคนยังพูดคุย ซุบซิบว่าสัมพันธ์ของผมและพี่โตได้จบลงแล้วเมื่อเขาออกไปข้างนอก ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ชีวิตในคุกที่ตัดขาดจากโลกภายนอกทำให้เราทำตัวอย่างไรก็ได้ รสนิยมแบบไหนไม่มีปัญหา แต่ข้างนอกนั้นต่างกัน คนถูกตีค่า เพิ่มราคาด้ววัตถุที่สวมใส่และเม็ดเงินในกระเป๋า กรอบจารีตและวัฒนธรรมตลอดจนสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมาให้สอดคล้องกันนั้นก็บ่งชัดแล้ว่าที่สุดผู้ชายคนหนึ่งก็จะกลับไปเป็นปกติตามธรรมชาติของเขา
บางครั้งที่ผมคิดถึงเขา ผมบอกตัวเองให้ทำใจขณะเดียวกันก็บอกตัวเองให้เฝ้ารออย่างอดทน คำสัญญาของพี่โตยังคงเด่นชัดในความทรงจำ ความจำเป็น..สาเหตุที่ทำให้เงียบหายทำให้ผมต้องนิ่ง แต่ขณะเดียวกัน จิตใจที่ชั่วร้ายก็มักจะกระซิบบอกให้รับรู้และรับฟังเสมอ ว่าเรื่องราวทั้งหมดจบไปแล้ว
ในหัวใจมีความลังเลและกังวลแฝงอยู่แน่นชัด กังขาและถามตัวเองว่าความอารีย์นั้นเป็นจริงหรือ? พี่โตจะทำเพื่อผม พยายามเพื่อผมจริงไม่ หรือเพียงแต่เอ่ยเป็นข้ออ้าง เป็นคำพูดเห็นแก่ตัวที่ใช้หลอกลวงกันในยามต้องการจากลาเท่านั้น
แต่จนแล้วจนรอดผมก็ไม่ได้ทำอะไร ที่สุดแล้วผมก็ทำได้เพียงนิ่งเงียบและรอคอยเท่านั้น แม้จะมีผู้หญิงมาข้องแวะพยายามสานสัมพันธ์ แต่หัวใจที่ด้านชาของผมกลับไม่ยินดียินร้าย ปล่อยโอกาสให้ผ่านไปและใช้ชีวิตอยู่กับคำว่ารอแม้จะรู้ว่าความหวังนั้นริบหรี่แค่ไหนก็ตาม
"ไอ้เนม...เหม่ออะไรเนี่ย" เสียงทักข้างหลังทำให้ผมชะงัก "ไปดูของให้หน่อย
คนที่เอยปากใช้งานนั้นคือพนักงานเซเว่นอีกรายหนึ่งที่ทำงานร่วมกันกับผม ไอ้เนมทิ้งจากอาการเหม่อเดินเข้าไปในโกกดังเก็บของเพื่อเช็คสต๊อกตามี่มันบอกไว้ พนักงานเมื่อครู่มีชื่อว่าทิม ไอ้ทิมเป็นคนในละแวกใกล้ๆที่มาทำงานก่อนหน้าผมไม่นาน ด้วยความอนุคราะห์ของเจ้าของเซเว่นนั่นก็คือคุณอาสินธร พ่อของนิ่มที่เคยไปเยี่ยมผมในเรือนจำเมื่อก่อนหน้า
ผมขนของกุกกักสักพัก ก็เดินกลับมาที่เคาท์เตอร์เมื่อไม่มีใครประจำอยู่ ก้มหน้าก้มคิดเงินทำงานไปเรื่อยๆขณะที่มองเห็นช่างหลายรายเริ่มเข้ามาวนเวียน ขนข้าวของและจัดรังวัดกันให้วุ่น
"เริ่มงานวันนี้แล้วเหรอ?"
"เปล่า พรุ่งนี้มั้ง" ไอ้ทิมตอบคำถามผมสั้นๆ งานที่ว่าคืองานปรับปรุงและขยายพื้นที่ของร้านสะดวกซื้อแห่งนี้ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น เนื่องจากคนที่เข้ามาใช้บริการมีจำนวนมาก รวมทั้งข้าวของที่เอามาจัดวางได้น้อย ทำให้คุณอาสินธรตัดสินใจปรับปรุงและขยายร้านนี้ตามจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น เป็นผลให้ร้านสะดวกซื้อแห่งนี้จะปิดปรับปรุงเป็นเวลาสามอาทิตย์ และพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันเริ่มงานวันแรก
"ช่วงที่ปิดนี่มึงไปไหนเปล่า?" ไอ้ทิมออกปากถามผม มือก็กดคิดเงินลูกค้าเป็นระวิง
"ช่วยแม่อยู่บ้านมั้ง แล้วมึง?" ผมเอ่ยถามมันต่อ ก่อนจะเงยหน้าไปหาลูกค้า "ทั้งหมดสองร้อยสิบบาทครับ"
"ว่าจะไปทำงานเป็นเด็กปั้มชั่วคราว" ไอ้ทิมตอบ ขณะที่ผมหยิบตังค์ทอนยื่นส่งให้ลูกค้าด้ยรอยยิ้ม ตามด้วยสโลแกน "รับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มมั้ยครับ?"
"ขอโทษครับ ขอมาร์โบโลซองเขียวหน่อย" เสียงคนขอซื้อบุรี่ดังขึ้น แต่คำพูดแสนคุ้นหูนั้นทำให้ผมชะงัก
่ร่างสูงในชุดกางเกงยีนส์เสื้อเชิ๊ตสีดำสนิทยืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าคมเข้มที่ผมรู้จักดียืนส่งรอยยิ้มอยู่ก่อนแล้วทำให้ผมนิ่งไปอย่างไม่รุ้จะทำอะไร แว่วเสียงบ่นของไอ้ทิมที่เป็นฝ่ายเดินไปเอาบุหรี่มาให้ลูกค้าเองแล้ววางแปะลงบนเคาท์เตอร์ให้ผมคิดเงิน
ผมหยิบบุหรี่ซองเขียวนั่นขึ้นมาอีกครั้ง เอ่ยถามขณะที่หัวใจเต้นโครามครามเสียจนมือสั่น "ยังสูบอยู่เหรอครับ?"
"อืม...เป็นบางทีน่ะ "คำตอบนั้นดังขึ้นพร้อมกับแบงค์ร้อยที่ถูกวางไว้บนเคาท์เตอร์ ผมหยิบเงินมาแล้วยื่นซองบุหรี่ให้ไปพร้อมกับเงินทอน หากแต่รู้สึกถึงลำคอที่ตีบตันและร่างที่สั่นไหว
"เจ้าของร้านอยู่ไหมครับ?" คำถามนั้นดังขึ้นขณะที่ผมเอื้อมมือรับของจากลูกค้าคนต่อไป
"ไม่ครับ มีธุระติดต่ออะไรเหรอครับ?" ไอ้ทิมถามดังขึ้นแว่วๆ
"ผมเป็นผู้รับเหมา มาคุยงานเรื่องปรับปรุงซ่อมแซมที่นี่น่ะ" คำตอบนั้นยิ่งทำให้หัวใจเต้นรัวขึ้น และหูเริ่มอื้อ ผมรุ้สึกได้ถึงฝ่ามือที่สั่นระริก
"งั้นรอสักครู่นะครับ ผมจะโทรบอกผุ้จัดการ" ไอ้ทิมตอบมาขณะที่มันหันไปกดโทรศัพท์ ผู้รับเหมารายนั้นบอกว่าจะไปรอข้างนอก ขณะที่ผมกวาดตามองร้านค้าที่ตอนนี้เหลือคนเพียงไม่กี่คน
กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอตัวเอง ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ "ออกไปข้างนอกแปปนะ"
"อ้าว..เดี๋ยวสิ ไอ้เนม เฮ้ย!" เสียงทักท้วงของไอ้ทิมไม่ได้เป็นผลเมื่อผมเดินออกจาเคาท์เตอร์ และผลักประตูออกไปด้วยฝ่ามือที่สั่นเทา หันซ้ายหันขวาเพื่อดูว่าคนที่ตามหาอยู่ที่ไหน ขณะที่เสียงหัวใจเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรงเสียจนสะท้านไปทั้งร่าง
"ผู้จัดการมาหรือยังครับ" คำถามแสนนุ่มหูดังขึ้นเบื้องหลัง แต่มันอ่อนโยนเทียบเท่ากับฝ่ามือที่แตะลงบนไหล่ไม่ได้เลย ผมรู้สึกถึงก้อนสะอื้นที่จุกคอหอย ขณะที่เจ้าของฝ่ามือนั้นยกขึ้นบีบจมูกผมเบาๆอย่างล้อเลียน
ผมหันกายไปปะทะร่างสูงใหญ่ที่ยิ้มอย่างเป็นกันเองมาให้ ใบหน้าคมนั้นอยู่ใกล้เพียงลมหายใจคั่น เส้นผมที่ระใบหน้านั้นทำให้ดูแปลกตาไปบ้างแต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะรอยยิ้มนี้ และแววตานี้มันยังคงเหมือนเดิม ยังคงเป็นใบหน้าและดวงตาที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจของผมเสมอ
ฝ่ามือที่บีบจมูกเบาอย่างหยอกล้อนั้นเปลี่ยนมาเป็นลูบหัวผม สัมผัสที่แสนคิดถึงทำให้ร่างสั่นสะท้าน และกว่าจะรู้ตัว น้ำตาที่กลั้นไว้ก็พังทลายอย่างอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป..
"ขอโทษที่ทำให้รอนาน" เสียงกระซิบแผ่วดังขึ้นริมหู มันสั่นน้อยๆเหมือนกับว่าเจ้าของคำพูดนั้นต้องใช้ความอดทนในการกลั้นอารมณ์เหลือล้น ฝ่ามือนั้นดึงไหล่ผมเข้าหาตัวและจ้องมองใบหน้าของผมด้วยสีหน้าคล้ายจะร้องไห้
"ยังรออยู่ไหม?" คำถามนั้นดังขึ้นจากปากคนที่มั่นใจตัวเองนักหนา อารมณ์หวั่นไหวไม่แน่ใจในแววตาคู่นั้นทำให้ผมรู้ว่าเขาก็รู้สึกไม่แตกต่างกัน
การรอคอย ความคาดหวัง ความพยายามและการทุ่มเทอย่างสุดชีวิตเพื่อคนที่รัก
ทุกอย่างมันปรากฏชัดในแววตาของคนๆนี้
"พูดอย่างกับไม่รู้ ว่าผมไปไหนไม่รอด แต่ไหนแต่ไรไอ้เนมมันก็เป็นปลิงควายติดตัวพี่ตลอดอยู่แล้วนี่"
ผมพูดตอบอู้อี้ ขณะที่เจ้าคนฟังนั้นหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะรั้งตัวผมเข้าสู่อ้อมกอดอันอับอุ่น
..หัวใจที่รอคอยมาเนิ่นนานของผมร่ำร้องอย่างยินดี มันกำลังเต้นระรัวด้วยความสุขสมเจียนคลั่ง
ริมฝีปากอุ่นที่แนบชิดใบหู กระซิบถ้อยคำที่ทำให้ผมรู้สึก ว่าหัวใจที่ว่างเปล่า แห้งแล้วหลังได้พบอิสระกลับมาเต็มตื้นเป็นครั้งแรก
"กลับมาแล้ว"
ใช่...กลับมาแล้ว
กลับมา..เพื่อสานต่อคำสัญญาและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันตลอดไป
มีอิสระเสรี และก้าวเดินไปพร้อมๆกัน ภายใต้ท้องฟ้าสีสันสดใสไร้ลวดหนามปิดกั้นอย่างที่เคยผ่านมา และสามารถเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พร้อมกับส่งรอยยิ้มไปให้ดวงอาทิตย์อย่างไม่เกรงกลัวต่อความร้อนใดๆ
แค่เพียงจับมือกันไว้และผ่านมันไปด้วยกัน
.......................... NEVER END .....................