OH!! Bad Guy รักร้ายๆของผู้ชายในคุก!! [by Silence_Serin] บทส่งท้าย Update 30.09.54
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: OH!! Bad Guy รักร้ายๆของผู้ชายในคุก!! [by Silence_Serin] บทส่งท้าย Update 30.09.54  (อ่าน 2063907 ครั้ง)

chantana

  • บุคคลทั่วไป

+1  ให้จร้า

เราเองก็หายไปนาน เพราะไม่สบาย

และลืมรหัสเข้าจร้าาาาาาา

อ่านแล้วตื่นเต้นจัง   :m31:

ไอ้ป๋า แหม่งงงงงน่าตายวะ   :beat:

รออยู่จร้าาาาาาาาาาาาา   :call:

ออฟไลน์ puchi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 762
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-5
รอ......แบบลุ้นสุดๆอยากรู้แผนพี่โต??

ออฟไลน์ MADWHALE

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เปิดตัวมาก็มึนละ ภาษาคดีเต็มไปหมด =[]=

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12

donjai11

  • บุคคลทั่วไป
หายไปนานจังเลย

Supermimt

  • บุคคลทั่วไป
ง่าาาาาาาาาาาาาาาา  เข้ามารอ นานแล้วนะ

แล้วเนม มาได้ไง ก็เห็นพัศดี ขับได้

โอ๊ยยย งงอ่า
รอๆๆๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
Improbable 44 : สุดทางของหมาจนตรอก

...............

 หมาจนตรอก...เวลาแพ้จะต้องทำยังไง?



    คำๆนี้ดังขึ้นในหัวของผมทันทีที่ร่างของพัศดีเดินออกมาจากกลุ่มชายชุดดำ มองสีหน้ามั่นอกมั่นใจจนแสนหมั่นไส้นั่นแล้วนึกอยากจะบ่นดังๆ ไอ้การขนหน่อยคอมมานโดพ่วงกระบอกปืนมาล้อมนักโทษมือเปล่าตีนเปล่าแบบนี้มันก็แสดงความเหนือกว่ามากพอแล้ว จำเป็นไหมที่พัศดีปรมัตถ์ต้องจงใจจะเหยียบหัวบรรดานักโทษทั้งผู้ใหญ่ผู้น้องทั้งหลายให้จมดิน ตัวเองก็มีหนี้แค้นถุกต่อต้าน ยิ่งทำแบบนี้จะยิ่งเป็นการรนหาที่สิไม่ว่า


     ไอ้เนมบ่นในใจเบาๆขณะที่ยืนนิ่ง ยังคงทำหน้าช๊อคอยู่อย่างนั้น จริงๆก็ไม่ได้แกล้งหรอก ผมก็ตกใจจริงๆ แม้ว่าผมจะเคยเจอมาแล้วและตัวเองก็ได้"ตกลง"อะไรบางอย่างกับพัสดีปรมัตถ์ไปแล้วก็ตาม ยังไงก็ต้องช็อค ..ใครจะไม่ตกใจได้ล่ะ ในเมื่อตอนนี้มีปกระบอกปืนล้อมอยู่รอบตัวชวนให้ผวา และคิดตามว่า"ความเสี่ยง"ของแผนการที่ตกลงกันได้สดๆร้อนๆไม่ถึงชั่วโมงที่ผ่านมานั้นมีมากแค่ไหน..มากกว่าแผนที่พี่โตคิดไว้เยอะ


     เพราะสาเหตุนั้นเองที่ทำให้ใบหน้าของผมยิ่งซีดจัด หลังจากบิดเบี้ยวด้วยคงวามเหนื่อยอ่อนกังวลมาแล้ว  ผมคงจะออกอาการมากกว่านี้ ถ้าไม่มีฝ่ามือที่บีบไหล่ไว้ แล้วกระชับแน่น กดย้ำดั่งต้องการให้กำลังใจ


    ผมหันไปมองพี่โต มองดวงตาคู่นั้นที่ฉายแววกังวลเด่นชัด ก่อนจะเหลือบตามองข้างกายอีกเล็กน้อย เพื่อจะสบตาสื่อความในใจกับไอ้เมฆ ผู้ซึ่งยืนมองมาที่ผมก่อนแล้วด้วยสีหน้าซีดเซียวไม่ต่างกัน แววตาของมันไหวระริก แฝงไว้ซึ่งความไม่แน่ใจ และความหวาดหวั่น ซึ่งแน่นอน..หากมองจากสายตาคนภายนอกหรือแม้กระทั่งในกลุ่มของเรา ใครก็ต้องคิดว่ามันเกิดจากความกลัว กลัวสภาพที่เกิดขึ้น กลัวปากกระบอกปืนและบุรุษในชุดหน่วยจู่โจมตั้งท่าพร้อมสังหาร ในสถานการณ์แบบนี้ คงไม่มีใครคิดอย่างอื่น..หรือคิดไปว่าสีหน้าแบบนั้นเป็นเพราะความไม่มั่นใจและต้องการความเชื่อมั่นจากตัวผม


       ...จากปากไอ้เนมที่เสนอ"ทางเลือก"อีกทางให้มันร่วมเดิน


      ผมจ้องสบตาไอ้เมฆด้วยแววตามั่นคง ต่อให้ผมจะกลัว แต่กับเรื่องนี้จะทำให้ไอ้เมฆมันเห็นไม่ได้ เพราะถ้ามันไม่ยอมร่วมมือกับผม นั่นมันหมายถึงความพ่ายแพ้ !


        "ก้มตัวลง..หมอบราบลงกับพื้นและยกมือขึ้นเหนือศรีษะ" คำสั่งสั้นๆดังมาจากปากพัศดี มันไม่ได้ดังมากนัก แต่จากความเงียบแล้ว มันมีอนุภาพมากพอที่จะทำให้ลมหายใจที่เคยสะดุดไหวของทุกคนกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง แม้การกลับมาหายใจที่ว่า จะเป็นการหายใจภายใต้คำสั่งของพัศดีปรมัตถ์ก็ตาม


        แต่ใครเล่าจะอยากหยุดหายใจ คนมีชีวิตที่ไหนต้องการจะตายกัน


     ผมมองร่างของบรรดานักโทษซึ่งเคยยืนนิ่ง บัดนี้พวกเขาค่อยๆหมอบราบลงไปตามคำสั่ง แม้สีหน้าของทุกคนยังฉายแววตกใจ มึนงง ไม่เข้าใจ และความรู้สึกอื่นๆอีกมากาย แต่ทว่าก็ไม่มีใครกล้าขัดขืน...กระบอกปืน


     นั่นจะรวมพวกผมไหม? กลุ่มคนเพียงหนึ่งกลุ่มที่ยังยืนนิ่งอยู่ด้วยท่าทีประสงค์จะท้าทายอำนาจของพัศดีปรมัตถ์และอาจรวมถึงอำนาจความเป็นความตายในกระบอกปืนที่จับจ้อง แต่ผมก็รู้ดีว่าเราไม่ได้มีความมุ่งมั่นหรือความยิ่งใหญ่อะไรเลย เป็นเพียงแค่กลุ่มนักโทษที่กำลังจะแหกคุกหนีความผิดออกไปสู่โลกภายนอกเท่านั้นเอง


          เสียงสูดหายใจลึกและการขยับตัวอีกครั้งของคนด้านหลังทำให้ผมรู้สึกตัว ก่อนจะระลึกได้ถึงความจริงอีกอย่างที่ว่าด้านหลังของผมตอนนี้มีใครอยู่ และตอนนี้เขากำลังวางมือลงบนไหล่ของผม บีบแล้วดันเบาๆให้เข้ามาใกล้ ในขณะที่พี่โตขยับห่างออกไปอย่างรู้สัญญาณ  ไม่ได้เดินออกไป แต่รักษาระยะออกมาในท่าทีเตรียมพร้อม คอยเป็นปราการด่านแรกสำหรับกลุ่มคนที่เราต้องคุ้มกัน


        ป๋า ผู้พัน ลุงชาติ คนสาคนที่เป็นนายใหญ่ ลูกพี่ที่ผมและทุกคนต้องช่วยกันแหกคุกเพื่อให้เขาได้ออกไป บัดนี้ยืนอยู่ด้านในสุด มือของแต่ละคนคว้าร่างของนักโทษใกล้ตัวมาใกล้ แสดงออกอย่างชัดเจนว่าประสงค์จะทำมันเป็น"เกราะกำบัง" รักษาชีวิตตัวเองโดยไม่ได้ถามหาความสมัครใจจากผม ไอ้เมฆ หรือพี่คมเลยสักนิด


         ...นี่น่ะเหรอ ลูกพี่ที่จะไปอยุ่ด้วย คนที่ให้สัญญาว่าจะคุ้มครองดูแลไปตลอดชีวิตหากได้ออกไป


        คิดแล้วอยากจะหัวเราะให้ฟันหักกับความโง่เง่าในอดีต อดจะประชดประชันไม่ได้เมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นแบบนี้ ความเงียบ..สีหน้าเด็ดเดี่ยวของทุกคนและความตึงเครียดของสถานการณ์ต่างก็บ่งบอกได้ดี ว่ามันคงไม่อาจมี"จบลงแบบมีความสุข" ได้..


        งานนี้...ไม่ใครก็ใครที่จะต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ สูญเสีย


         "ผู้คุมที่ยังทำงานได้ รบกวนคุมตัวนักโทษไปที่โรงอาหารก่อนครับ ส่วนนักโทษกลุ่มนี้ ผมจะเป็นคนคุยเอง" พัศดีปรมัตถ์เอ่ยขึ้นมาสั้นๆพลางโบกมือเรียกลูกน้องมาสั่งการ ทันทีที่คำพูดนั้นดังขึ้น ผุ้คุมที่เหลืออยู่ก็เดินเข้ามา จัดการสั่งให้นักโทษที่กำลังหมอบราบลุกขึ้นในท่าเอามือประสานไว้ตรงท้ายทอยเช่นเดิมและค่อยๆเดินแถมตามหลังกันเป็นพรวน ควันไฟคละคลุ้งที่ทำให้ทัศนะวิสัยโดยรอบย่ำแย่ บัดนี้ ถูกราดน้ำลงไปหยุดการเผาไหม้ และบางส่วนก็ค่อยๆรื้อลวดหนามที่ถูกดึงร่นออกไปมายังที่เดิม แสดงออกโดยไม่มีคำพูดว่า...ทุกอย่างกำลังกลบมาเป็นเหมือนเดิม


         ซึ่งนั่นหมายความว่าแผนการนี้..ปฏิบัติการนี้ไม่สำเร็จ


         ผิดพลาด พ่ายแพ้ ถูกจับกุม ถูกตัดสินโทษ ไม่ว่าอย่างไรทางออกนี้ก็ไม่ดีขึ้นสักนิด


         ลมหายใจสั่นของผู้ชายที่อยู่ด้านหลังดังชัดจนผมสัมผัสได้ ฝ่ามือที่กำไหล่แน่นซึมชื้น แสดงถึงอารมณ์หวั่นโดยไม่ต้องบอกออกมาเป็นคำพูด ไม่ต้องหันไปมองตา แค่เท่านี้ก็บ่งชัด ว่าเขาเป็นคนเช่นไร


         ..ลูกพี่ที่สั่งลกน้องทำงานเพื่อเป็นทางผ่านให้ตน เจ้านายที่กำลังรั้งตัวลูกน้องเป็นเกาะกำบัง คนที่บอกว่าเกร่งกล้ามีอิทธิพล แล้วไงล่ะ...สุดท้าย พอเจอแบบนี้ก็ต้องถอย


         พวกเขาอาจจะมีอิทธิพลก็จริง อาจจะมีคนคอยสนับสนุนข้างนอกก็จริง แต่บัดนี้ทุกอย่างมันจบลงแล้ว


        นักโทษที่อยู่ใต้การควบคุม คนที่ถูกใช้เป็นเบี้ยก่อความวุ่นวายนับร้อย พรรคพวกที่บอกจะภักดี บัดนี้พอมีกระบอกปืนเล็งมา ทุกคนก็ได้เพียงเงียบกริบและจำยอม อิทธิพลของพวกเขาน่ะหรือ มันไม่อาจใช้ได้ยามที่ถูกจับว่าทำความผิดอย่างเด่นชัดและกำลังหนีเอาตัวรอดได้อีกแล้ว..


          "คงไม่ต้องให้ผมบอก ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไง" พัศดีปรมัตถ์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ หากกังวานหนักแน่น "ทางเลือกของพวกคุณมีแค่วางอาวุธและยอมให้เราจับกุมเสียแต่โดยดีเท่านั้น"


        กรอด...


            แว่วเสียงกัดฟันคำรามในลำคอของผู้พัน ที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ผมหันไปมองหน้าคนข้างๆทันควัน ที่มองไม่ใช่แค่เพราะเสียงคำรามนั้น แต่เป็นเพราะมือของไอ้เมฆนั้นสั่นระริกจนปัดเข้ามากระทบกับฝ่ามือของผมต่างหาก


        แม้เพียงครู่เดียว แต่ความเย็นชืด..ฝ่ามือสั่นไหวและหยาดเหงื่อที่ได้สัมผัสนั้นทำให้อดกังวลใจไม่ได้


              ใบหน้าที่ว่าขาวอยู่แล้วของไอ้เมฆซีดกว่าเดิมจนแทบเผือดสี บอกไม่ได้ว่าเพราะกลัวปืนหรือกลัวคนข้างหลังมันกันแน่ ผมถึงกับนิ่งงันไปด้วยความตกใจเมื่อเห็นปฏิกริยานั้น เพราะชัดเจนว่ามันไม่ใช่ความกลัวปกติ ดวงตาที่สั่นระริกไหวล่อก แล่กของไอ้เมฆบ่งชัดว่ามันกำลังใกล้สติหลุด  เนื้อตัวของมันสั่นสะท้านไปหมดอย่างเห็นได้ชัดเพราะคนที่อยู่ข้างหลังวางฝ่ามือแตะลงบนไหล่ของมันพร้อมยึดไว้แน่น กริยานั้นไปกระตุ้นความหวาดกลัวที่แฝงลึกๆให้ปะทุออกมา


      ผมไม่รู้หรอกว่าเมฆมันเจออะไรมาบ้าง ไม่รู้เลยว่าผู้พันทำอะไรมันแบบไหน มันถึงมีท่าทีผวาขนาดนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้จักดี คือความฝังใจและความทรงจำเลวร้ายที่มีติดตัว...


       ผมยังจำได้ดีถึงวินาทีที่ฟาดไวโอลินสุดที่รักลงบนร่างนั้น จำได้ถึงเสียงหนักๆและร่างที่ทรุดลงบนพื้นอันเจิ่งนองไปด้วยเลือด ใบหน้าของคนตายที่เบิกตาค้างจ้องมองมาบางคราก็ยังตามมาหลอกหลอนในความฝัน


        ความทรงจำอันไม่น่าอภิรมย์ ความรู้สึกที่แสนอัดอั้นและพยายามหลบหลีกมันไปให้พ้น ทำไมผมจะไม่รู้ แต่ตอนนี้ก็ทำได้เพียงมองมันอย่างสงสาร ไม่อาจช่วยเหลือไอ้เมฆหรือใครในที่นี้ได้เลย...


         ผมตกลงกับพัศดี มันตกลงกับผม พี่โตตกลงกับผม พี่ทิน พี่คมก็ด้วย แต่...แต่ก็ไม่มีใครรู้เลยว่าผลมันจะออกมาเช่นไร สุดท้ายแล้วความพยายามของเราจะสำเร็จผลหรือทุกอย่างอาจจะล่มสลายลงก็ได้


         "โต!" เสียงคำรามห้วนด้านหลังทำให้ผมละออกจากภวัง ถ้อยคำเคร่งเครียดกึ่งกระซิบจากป๋านั้นถูกถ่ายทอดออกมาเฉพาะกลุ่มเราให้ได้รู้ "มึงออกไปกันซะ ใกล้แค่นี้ เดี๋ยวพวกกูจะออกไป!"


          ผมแทบอ้าปากค้าง นี่ยังจะหนีโดยไม่สนว่าใครจะตายหรือตัวเองจะเจ็บบ้างเลยเหรอ?


      "แต่....."


          "ไป!กูสั่งให้มึงเดินออกไป!" พี่โตไม่ทันจะอ้าปากปฏิเสธด้วยซ้ำ ป๋าก็ยิ่งสั่งสำทับอย่างเคร่งเครียด  ถ้อยคำนั้นยิ่งทำให้ผมร้อนรน มันจะบ้ากันไปใหญ่แล้ว ให้พี่โตออกไปก็เท่ากับให้พี่โตไปตาย ไปรับลูกกระสุนแทน คนพวกนี้จะบ้าไปถึงไหน อยากออกไปมากจนไม่คิดถึงคนอื่น อยากออกไปมากจนให้คนอื่นไปตายแทนงั้นเหรอ?


         "ผมคนเดียว..." พี่โตเอ่ยค้านเบาๆ สีหน้าที่มองเห็นเพียงด้านข้างนั้นแสนเคร่งเครียดจนผมอดใจเสียไม่ได้


          "ไอ้กันย์ ไอ้วิทย์ ไป!" คราวนี้คำสั่งจากป๋ายิ่งเอาใหญ่ ผมหันขวับไปมองหน้าคนสองคนที่ได้รับคำสั่ง และเป็นสองคนที่ว่าง อยู่ตอนนี้ เพราะผม พี่คมและไอ้เมฆต่างก็ถูกจับล็อคไว้ในฐานะตัวกันกระสุนหมดแล้ว


           "นี่มัน...." ทั้งสองคนมีสีหน้าลังเลไม่ต่าง


          "งั้นก็ช่วยไม่ได้!!" สิ้นเสียงคำรามนั้นผมก็รู้สึกถึงท่อนแขนแข็งเเร็งที่รัดลำคอแน่น พร้อมกับกระบอกปืนจากไหนไม่รู้จ่อตรงขมับ เปลี่ยนจากการดึงตัวพวกเราเป็นที่กำบัง มาเป็นการล็อคคอจับเป็นตัวประกันในทันที!


       ร่างของผม ไอ้เมฆ พี่คมถูกปืนจ่อศรีษะ ป๋าจัดการลากผมด้วยเรียวแรงของตัวเองด้วยสีหน้ามีชัย ไม่ต่างกับผู้พันที่กระชับตัวไอ้เมฆไว้แน่น และลุงชาติก็เช่นกัน..


       ร่างของพี่โต พี่วิทย์และพี่กันย์ถึงกับผงะ..ต่างจ้องมองร่างของพวกเราที่ถูกจับไว้ด้วยสีหน้าไม่เชื่อสายตา


            "ป๋า...." พี่วิทย์ถึงกับคราง จ้องมองไปยังไอ้เมฆที่ดิ้นรนด้วยสีหน้าปานจะขาดใจตายอยู่รอมร่อ ทั้งจากปืนแต่คงน้อยกว่าความหวาดกลัวอ้อมแขนของผู้พัน ขณะที่พี่โตจ้องผมเขม็ง พลางสะบัดหน้าออกไปมองพวกพัศดีซึ่งก็นิ่งอึ้งไม่ต่างกัน


      ...การจับพวกเดียวกันเป็นตัวประกัน ใครจะคิดว่าคนพวกนี้กล้าทำถึงขนาดนี้




          แล้วปืน...ปืนนี่ได้มาจากไหน?


            "อุตส่าห์จะให้มึงเป็นไพ่ตายนะกันย์ แต่คงไม่ทันว่ะ" ป๋าเอ่ยพร้อมกับยิ้มแสยะ จ้องมองหน้านักโทษอีสามรายที่ยืนนิ่งด้วยไม่รู้จะทำตัวอย่างไร ใบหน้าของคนเป็นนายพยักเพยิดมายังกลุ่มของพัศดีเบื้องหน้าอย่างเหนือกว่า ทั้งกับเหล่าหน่วยคอมานโด กับกระบอกปืน หรือแม้แต่กับคนของตัว..


           "ว่าไง?" สีหน้าเหนือกว่า คิ้วที่เลิกขึ้นและน้ำเสียงยียวนแสนเจ้าเล่ห์ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้คนๆนี้สามารถไต่เค้าขึ้นมาเป็นนายใหญ่ในเรือนจำแห่งนี้ได้ดังขึ้นใกล้ๆ ขณะที่ร่างของผมยังถูกล็อคแน่น ขยับอย่างไรก็ไม่อาจหลุด


          และ...โดยไม่มีคำพูดใด พี่โต พี่กันย์ และพี่วิทยืก์หันกลับไปอีกครั้ง...หันกลับไปประจัญหน้ากับพัศดี และใช้ร่างของตัวเองบังร่างของพวกผมไว้ด้วย


        ไม่นะ !!


       ไอ้เนมกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคงหัวใจเต้นระทึก ได้แต่กรีดร้องโวยวายในใจ ไม้กล้าแม้แต่จะออกปากห้ามปรามพี่โตเสียด้วยซ้ำ


        ผมไม่อยากให้พวกเขาทำแบบนี้ ทั้งที่สถานการณ์เป็นใจให้ถอนตัวแล้ว ถ้ากลับมามันจะสายเกินแก้ !


          "วางปืนลง ไม่งั้นกูจะสอยพวกมัน" ป๋าเอ่ยปากบอกกับพัศดีด้วยสีหน้าเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด


           "ฝังเฟื่องจังนะครับ นักโทษแหกคุกที่จับพวกเดียวกันเป็นตัวประกัน...นี่จะแสดงตลกให้ผมหัวเราะเหรอ?” ดวงตาของพัศดีปรมัตถ์วาววับกับคำท้าทายนั้น ชักทำให้ผมใจหายว่าเขาอาจะปล่อยให้เรื่องมันเดินไปแบบนี้แล้วจับทุกคนเข้าปิ้งเดียวกันหมดจริงๆ


          "ตลกไม่ตลกไม่รู้...รู้แต่ถ้าอีกสามนาที ยังไม่เอาปืนลงล่ะก็ได้เห็นกันแน่" ป๋าว่าพลางกดประบอกปืนลงบนขมับผมแรงๆ เป็นการขู่


          "กูขอจัดการมันก่อนได้มั้ย ไอ้ห่า ดิ้นหาพ่อมึงเหรอ!!" เสียงตะโกนจากข้างกายทำให้ผมชะงัก  ผู้พันสถบด่าพลางใช้แขนข้างที่ลเอคคอเมฆไว้นั้นเขย่าไปมา "ตัวสั่นทำท่ายังกับจะเป็นจะตาย อยากโดนดีอีกรึไง!"


           น้ำเสียงกร้าวดังขึ้นต่อท้ายด้วยเสียงหัวเราะโรคจิตที่ฟังแล้วชนหนาวสันหลัง  ผมมองผู้พันใช้ปืนกระบอกนั้นจ้ำลงไปที่แก้มของเมฆ แล้วก็ขยับมาเป็นหู ขมับ เล่นไปเรื่อยๆเหมือนสนุกนักหนาด้วยสีหน้าเหยเก ยิ่งมองเมฆที่ห้าซีดอยู่แล้วยิ่งนึกสงสารมันนัก


          ผมหันไปมองหน้าพี่วิทย์กับพี่กันย์ ทั้งคู่ก็มีสีหน้าร้อนรนไม่ต่างกัน ฝ่ามือของพี่กันย์เอื้อมมาแตะที่ข้างเอว อัปกริยานั้นทำให้ผมขมวดคิ้ว..เมื่อมองเห็นวัตถุทรงคล้ายกระบอกปืนอยู่ตรงนั้น


          แต่นักโทษจะเอาปืนมาได้ยังไง?


        ไม่สิ..ตอนนี้พวกป๋ายังมี นับประสาอะไรกับพี่กันย์เล่า..


           "ผมรู้นะคุณพัศดี..ว่างานนี้ทำไมมึงถึงกล้าเอาพวกชุดดำมา" ขณะที่เงียบรอเวลาต่อรองกันอยู่นั้น ป๋าก็หัวเราะแล้วเริ่มสาธยาย "คงกลัวพวกกูจะออกไปจนตัวสั่นล่ะซี..กับพวกที่พลาดแล้วพลาดอีกอย่างมึง"


           "หึ..อย่าพยายามหว่านล้อมเลย ไม่เป็นผลหรอก" พัศดีปรมัตถ์มีสีหน้าคล้ายขบขัน "ตอนนี้เรื่องตลกของคุณมันใช้ไม่ได้แล้ว"


            "งั้นเหรอ...นี่...ถ้ากูยิงตายไปสาม แล้วมึงยิงคนของกูไปอีก รู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น..." ป๋าว่าพลางหัวเราะเบาๆ "เข้ามาประจำไม่กี่เดือน ทำนักโทษก่อจลาจลไม่พอ ยังมีเรื่องแหกคุก นักโทษถูกฆ่า รับรองเลยล่ะว่าพวกนักสิทธิมนุษยชนคงรุมทึ้งมึงแน่ๆ..หนำซ้ำ..พอผลสอบออกมาบอกว่าเป็นเพราะพัศดีใช้วิธีการปกครองแบบเผด็จการ คงได้งามหน้าทั้งกระทรวง"


            "............" วาจานั้นทำให้พัศดีเงียบกริบ


           "แต่พัสดีก็รู้ ว่าเราน่ะตกลงกันได้" ป๋าว่าพลางหัวเราะเบาๆ "นักโทษแค่สามรายออกไปก็ออกไปแค่ตัว ยังเหลือชื่อไว้ ยังมีพวก"ตัวการ"ก่อเรื่องให้ครบ แบบนี้ไม่เรียกว่าคุ้มเหรอ?"


          "คนพวกนี้น่ะ..ของคุณทั้งนั้น"


          "งั้นเหรอ...แต่พวกมันลงมือกันเองนะ ผมมันคนแดนพิเศษไม่มีโอกาสติดต่อกับนักโทษปกติด้วยซ้ำ..จะทำได้ยังไง" วาจานั้นทำให้ผมยิ่งอ้าปากค้าง..นี่เจ้านายกำลังขายลูกน้องอย่างพวกผม จะป้ายสีใส่คนที่ทำตามคำสั่งตัวมาตลอดงั้นเหรอ?


          "หึ ประกาศขายกันโต้งๆเลยนะ ลูกน้องคุณคงซาบซึ้งจนน้ำตาไหลแน่ๆ" พัศดีว่าพลางยิ้มมุมปาก หางตาเหลือบมองแถวนักโทษที่เบิ่งตามองพวกเราด้วยสีหน้าตกตะลึง..การนำตัวนักโทษจากลานนี่ไปโรงอาหารยังไม่เสร็จเลย และแทบไม่ต้องเดา ข้อความนี้ต้องถูกเผยแพร่ไปแล้วแน่ๆ


          ..และพอคิดถึงเรื่องที่"คุย"กับพัศดีไว้ ผมก็สูดหายใจลึก


          "เบี้ยที่ไร้ประโยชน์ เอามันไปก็เท่านั้นแหละ จริงไหม?" แววตาของป๋าเริ่มวาววับ เมื่อมองเห็น"ทางออกอยู่ร่ำไร ก่อนจะแสร้งถอนใจเบาๆ "นี้ถ้ารู้ว่าคุยกันง่าย คงไม่จำเป็นต้องสร้างสถานการณ์ถึงขนาดนี้....”


          "แนบเนียนมาก" พัศดีเอ่ยชม พลางกอดออกเข้าหากัน "แต่น่าเสียดาย....."


          "....... "ป๋าหรี่ตาลงเงียบๆไม่พูดอะไร


         "ลดปืนลง ปล่อยให้พวกกูออกไป แล้วทุกอย่างจะดีเอง" คนที่ล็อคคอผมไว้เอ่ยสั้นๆ ก่อนจะขึ้นไกปืนดังกริ๊ก "ต่อความยาวสาวความยืดกันมานานแล้ว พอซะที"


         "เสียใจ..ผมไม่ทำ" พัศดีตอบรับด้วยท่าทีปกติ


          "งั้นเหรอ..." ปืนในมือของป๋าถูกเล็งยังขับผมแบบแนบแน่นอีกครั้ง ก่อนเจ้าตัวจะหัวเราะเบาๆ  "ก็ลองดู..."


         " หนึ่ง..."         


          เสียงขึ้นนกดังตามมาจากปืนของผู้พันและลุงชาติ ดังอย่างชัดเจนภายในความเงียบที่มีแต่เสียงหายใจ


         "สอง..."



          คราวนี้พี่โตหันมามองหน้าผม ก่อนจะหันไปสบตาพี่กันย์และพี่วิทย์ ซึ่งสองคนนั้นก็จ้องตอบด้วยแววตาเเบบเดียวกัน ก่อนที่ทุกคนจะขยับตัวเข้าล้อมรอบร่างของป๋าและพวกผม ร่างของโล่มีชีวิตที่ขยับได้ทั้งสามยังคงยืนป้องกัน ยืนกำบังให้พร้อมแสดงชัดว่าจะเป็นปราการแรกที่จะถูกจัดการตามคำสั่งดั่งเดิมของป๋า งานนี้ใครมาเห็นเป็นต้องสรรเสริญความแน่วแน่ ขณะ
ที่ป๋ามองแล้วขยิบตาให้ เหมือนจะส่งสัญลักษณ์ว่า"อย่าห่วง"


         จะบอกว่านี่ถือเป็นแผนงั้นเหรอ?


          ผมมองท่าทีนั้นด้วยสีหน้าไม่เชื่อสายตา จะขำก็ขันไม่ออก ภาพพจน์เจ้านาย ลูกพี่ผู้องอาจมันหายวับไปแล้วกับคำต่อรองสารพัดและการขายลูกน้องอย่างไม่ไว้หน้านั้น มาตอนนี้จะมาแสร้งทำเหมือนเป็นแค่แผนงั้นเหรอ ใครจะรับได้กัน!


          ร่างของผมถูกลากเบาๆพร้อมเอาทำเกราะกำบังเต็มที่ ผมไม่รู้ว่าสีหน้าของป๋าเป้นแบบไหน แต่ให้เดา มันคงไม่ต่างจกหน้าตากระเหี้ยนกระหือรือของผู้พันแน่นอน..


           พวกที่ใช้คนอื่นเป็นเบี้ย เป็นของเล่น มาจนบัดนี้แล้วยังไม่เคยเห็นค่าใครนอกจากตัวเอง!


           แล้วทำไม เพราะอะไรต้องมาเสียสละให้มันด้วย!!


             นัยน์ตาของผมวาววับ สบมองดวงตาพี่โตที่เราทั้งคู่ต่างก็รู้ความนัยน์กันดี นี่ไม่ใช่การสู้กันระหว่างนักโทษกับผู้คุมอีกแล้ว แต่เป็นเรื่องระหว่างนักโทษต่อนักโทษ ระหว่างผู้มีอิทธิพลกับคนที่ต้องถูกหลอกใช้แทบไม่เป็นผุ้เป็นคน


            ผมพยายามมาตลอด ทั้งลำบากใจเรื่องถูกวานเป็นสาย ทั้งทะเลาะกับพี่โต โกรธ เกลียด เสียใจ ระแวง กว่าจะคิดได้ก็เกือบสาย ทุกอย่าง..เรื่องราวทั้งหมดมันเกิดเพราะคนพวกนี้ทั้งนั้น


             มาจนถึงขั้นนี้ ใครมันจะไปยอมให้จบแบบนี้กันเล่า!



            "สาม!!"



           ผลั่วะ!



              "อึ่ก!" เสียงครางดังขึ้นพร้อมเสียงสิ่งของหนักๆกระทบพื้น ในวินาทีที่สัญญาณเลขสามถูกพูดขึ้น ร่างของพี่โตที่เคยยืนประจัญหน้ากับพวกพัศดีอย่างเป็นอริ ทำท่าว่าพร้อมจะแลกชีวิตได้เพื่อเจ้านายกลับหันขวับ พี่โตหันกลับมาเข้าชาร์ตตัวป๋าไว้อย่างรวดเร็ว ฝ่ามือของขาใหญ่แห่งแดนสิบสองตรงเข้าแย่งปืนออกจากมือนั้น กำแล้วบิดล็อคทันควัน ประจวบเหมาะกับที่ผมสะบัดตัวออก และแทงศอกลงไปยังด้านหลัง เหวี่ยงใส่ตัวป๋าอย่างรุนแรง!


           ไกปืนไม่ได้ถูกเหนี่ยว เพราะแน่ชัดว่าคนทำเพียงแคขู่เท่านั้น คงไม่คิดจะทำลายทางออกสุดท้ายของตัวเองเป็นแน่ แต่กับผมแล้วไม่ใช่ ทันทีที่นับถึงเลขสาม นี่คือสัญญาณสำคัญที่บอกให้รีบโต้กลับ....


          บิดตัวออกแล้วแทงศอกลงไปเต็มรัก ขยับห่างขณะที่พี่โตตรงเข้าประชิด แย่งปืนออกมาแล้วจับแขนไพล่หลัง กดร่างของป๋าลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว ไอ้เนมรีบหันไปมองอีกสองคน และยังทันได้เห็นลุงชาติที่ถูกพี่คมจัดการซัดจนหมอบได้อย่างง่ายดาย ความดีใจพุงพรวดทำให้ผมยิ้มก่อนระจหันไปหาไอ้เมฆแต่ทว่าสิงที่เกิดต่อจากนี้ไปต่างหากที่ทำให้ผมถึงกับค้าง...


        ร่างของเมฆถูกผู้พันล็อคคอไว้อย่างแน่นหนา มันคงพยายามดิ้นหนีมาตลอด ผู้พันจึงใส่ใจจะควบคุมมันมากกว่าผมและพี่คุมที่ยืนนิ่งๆให้ความร่วมมือเหมือนรุ้แผนการณ์ แต่สำหรับเมฆแล้ว ความกลัวที่มีต่อผู้พันกลับมีอำนาจเหนือกว่า เมื่อมันเริ่มดิ้นหนักขึ้น ผู้พันก็ยิ่งระวังแจในการคุมตัวมัน ..


        และเมื่อคำนับสามออกมาจากปากของป๋า พี่วิทย์ก็รีบหันกลับไปหาเมแบบไม่มีลังเล..แน่นอนว่าคงจะใช้วิธีเดียวกับพี่โต นั่นก็คือเข้าชาร์จและเอาเมฆออกมา ทว่า...มันกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น..


                  ปัง! ปัง!         


       เสียงกระสุนปืนดังขึ้นสองนัดทำให้หัวใจกระตุกไหว  วินาทีที่พี่วิทย์กระโจนเข้าไปหาเมฆ แทบจะเป็นวินาทีเดียวกับเสียงลั่นของกระสุนปืน ไม่ใช่เพียงหนึ่ง แต่เป็นถึงสอง และ...ไม่ได้มาจากกระบอกปืนเดียวกัน


        ทั้งที่ฝีเท้านั้นหมุนกลับมาเร็วรี่ แต่มือของพี่วิทย์ที่แตะลงบนข้อมือของผู้พันเพื่อแย่งปืนให้เมฆหลุดออกไปจากวงแขนนั้นกลับไร้เรี่ยวแรง...


       ไม่ได้อ่อนแอหรือกลัวจนมือสั่น แต่สิ่งที่ทำให้ไม่อาจไปถึง กลับเป็นกระสุนปืนที่แล่นเข้าบริเวณขาขวาอย่างจังจนร่างนั้นทรุดฮวบ และวินาทีต่อมา กระสุนอีกนัดจากปลายกระบอกปืนที่น่าหวาดหวั่นที่สุดก็แล่นออกจากรังเพลิงไปยังแผ่นหลังของเมฆทันควัน..


       ไม่  ไม่ ไม่ ไม่


            ผมอ้าปากค้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึงและคาดไม่ถึง ขณะที่ภาพเบื้องหน้าแปรเปลี่ยนเป็นความสับสน ชายในชุดดำต่างกรูกันเข้ามาควบคุมตัวเหล่านักโทษผู้ก่อการอุกอาจไว้ แว่วเสียป๋าสถบก่นด่าสาปแช่ง เสียงด่าทอคับแค้นและเสียงสั่งการดังลั่น  ทว่าภาพของนักโทษสองคนที่ทรุดฮวบลงบนพื้นด้วยลุกกระสุนที่ฝังอยู่บนร่างนั้นตรึงสายตาผมให้มองตรงนั้น


        มือปืน..ชายผู้เหนี่ยวไกปืนในมือต่างถูกรวบตัวไว้อย่างแน่นหนา อาวุธถกริบเก็บ ร่างถูกจับมัดไพล่หลังกระแทกพื้น แต่ทว่าแววตาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงของชายคนนั้นยังชัดเจน


         ปืนในมือพี่กันย์...ที่แล่นเข้าเจาะขาขวาของพี่วิทย์..


         กระสุนพลาด..พลาดงั้นเหรอ? มันพลาดหรือตรงตามเจตนารมย์ของผู้แล่นไกกันแน่


             ยังจำได้ชัดเจนถึงแววตาตกตะลึงของพี่วิทย์ ยามหันมามองเจ้าของกระสุนปืนนัดนั้น มันทั้งงวยงงและเต็มไปด้วยความผิดหวังอย่างที่สุด


            สายเกินไปแล้ว..


          แค่เพียงวินาทีที่กระสุนนักนั้นเจาะลงไปบนท่อนขาของพี่วิทย์ ร่างที่ทรุดฮวบลงอย่างไม่รู้ตัวกลับพรากโอกาสของใครอีกคนไปด้วย


         ...โอกาสที่จะหลุดออกจากฝ่ามือของผุ้พัน โอกาสที่จะรอดพ้นจากคมกระสุนปืนของเมฆ


            โอกาส..ที่จะได้ยิ้มอยู่ภายใต้ท้องฟ้าแห่งนี้



         ผมรู้สึกถึงความร้อนที่ขอบตาและฝ่ามือที่สั่นระริกของตัวเอง จำชัดถึงวินาทีที่ผุ้พันลั่นกระสุนทะลุแผ่นหลังของเมฆ  จะถือว่าเป็นโชคดีได้ไหมที่มือของพี่วิทย์ยังอุตส่าห์รั้งแขนของผุ้พันไว้ได้นิด เป้าหมายนั้นจึงไม่ใช้ขมับหรือกลางหน้าผาก  จะถือว่าเป็นเรื่องตลกไหม ที่เราต่างก็ก็ช้าไปแค่เสี้ยววินาที


            กว่าจะรู้ตัว ร่างของเมฆก็ทรุดฮวบลงกับพื้น พร้อมกับรอยเลือดที่สาดกระเซ้นใบหน้าของพี่วิทย์และผู้พัน


           ช้า....เพียงแค่กระสุนนัดเดียว


             แว่วเสียงร้องเหมือนสัตว์ที่บาดเจ็บของพี่วิทย์และอาการกระเสือกกระสนพยายามเข้าไปพยุงตัวเมฆไว้อย่างน่าอนาถ ขณะที่เจ้าของกระสุนปืนที่ฝังอยู่ในท่อนขาจ้องมองทั้งสองคนด้วยสีหน้าราวกับโลกแตกสลาย พังยับ..


          พลาด...ไปแล้ว


...........................

   
ตอนต่อไปขอเวลาแก้คำผิดสักครู่ค่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-06-2012 23:04:06 โดย Serin »

ออฟไลน์ MilkTea

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +103/-4
อ๊าาา รอแก้คำผิดค่า จะขาดใจแล้ว  :serius2:

ออฟไลน์ puchi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 762
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-5
ค้างงงงงงง ลุ้นจะตายแว้วววว

Supermimt

  • บุคคลทั่วไป
ใจจะขาดเหมือนกัน รอๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ yaoigirl

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

PAAPAENG~

  • บุคคลทั่วไป
แกคำผิดนานไปป่ะคะ
ฮือ... รอจนจะไม่ไหวแล้วค่ะ

เครียด!!

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
Improbable 45 : อนาคตนอกกรงขัง


       เหตุการณ์ต่อจากนั้นเป็นไปต่ออย่างรางเลือน จำได้ว่าพี่โตรั้งผมไว้ไม้ให้เข้าไปคลุกวงในดูอาการไอ้เมฆและพี่วิทย์ เหล่าหน่วยคอมมานโดชุดดำรีบปรี่เข้มาควบคุมสถานการณ์ คนเจ็บทั้งสองคนนั้นถูกหามลงเปลพยาบาลอย่างเร่งด่วน ขณะที่เสียงเป่านกหวีดให้สัญญาณดังลั่น ร่างของ"นาย"ทั้งสามคนของผมถูกล็อคตัวไว้ ไม่ต่างจากผม พี่โต พี่คม และพี่กันย์..


            พวกเรา รวมทั้งพี่ทินถูกควบคุมตัวไว้สอบสวนแบบแยกเดี่ยวถึงสองวัน และออกมาพร้อมกับสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง...กระดาษสีขาวในมือ...บอกรายละเอียดและถ้วยคำบ่งชัด รวมทั้งจ่าย่อหน้าไว้อย่างเรียบร้อย..


            มันถูกเขียนว่า "ฏีกาขอพระราชทานอภัยโทษ"


            ความดีใจปะปนกับความสับสนไม่น้อย ผมกลับไปยังแดนสิบสองและก็ได้พบกับพี่โตที่ยืนนิ่งรออยู่ตรงปากทางเข้าเรือนนอน สีหน้าห่วงหานั้นยังชัดเจนในแววตา และของที่อยู่ในมือก็ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่อยู่ในมือผมเช่นกัน


            ผมดีใจ...ดีใจ แต่ยังมีความรู้สึกผิดซุกซ่อนอยู่


                จากเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด มีนักโทษที่เสียชีวิต จากการถูกวิสามัญโดยหน่วยคอมมานโดชุดดำแปดราย ส่วนใหญ่เป็นตัวเอ้ของแต่ละแดนที่ไปรวมกันที่โรงอาหาร พี่โตเล่าว่าพวกเขาเอาตัวผู้คุมเป็นตัวประกันและผลคือถูกสอยเรียบแทบไม่เหลือ และมีรายงานนักโทษบาดเจ็บประมาณสิบกว่าคน ถูกขังถูกสอบสวน ถูกควบคุมความประพฤติไม่น้อยกว่าหกสิบคน บาดเจ็บสาหัสหนึ่งคนและจากเหตุการณ์นั้น มีผู้ได้รับความดีความชอบ ฐานช่วยเหลือผู้คุมป้องกันการหลบหลีออกจากเรือนจำทั้งสิ้น 7 คน


              ผมรู้สึกเหมือนสิ่งที่ตัวเองได้รับมา เป็นการเหยียบย่ำบนความตายของบรรดาเพื่อนร่วมห้องขังและเคราะห์กรรมที่หลายคนต้องเผชิญ


              เพราะความโชคดี..โชคดีมากๆนับแต่ผมได้คุยกับพัศดีในฐานะ"สายลับ"แล้ว ยังรวมถึงเรื่องที่ผมถูกส่งไปในห้องทำงานของพัศดีเพื่อค้นหาเอกสารตามคำสั่งพี่โต และดันไปหลบอยู่ในตู้นับสาชั่วโมงจนสลบไปนั่น เมื่อฟื้น ผมก็ได้เจรจาตกลงขอโอกาสไปทำตามแผนให้สำเร็จ โดยความร่วมมือของพี่โตและไอ้เมฆที่ผมบอกมันไป รวมทั้งต้องขอบคุณ การแสดงจนถึงวินาทีสุดท้ายของพี่โตและการเปลี่ยนใจของพี่วิทย์กับพี่กันย์


                สองคนที่ตอนนี้...อยู่ในสภาพที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง


             สภาพของเมฆ ในวันที่มันถูกยิงนั้นร่อแร่เสียจนน่าเป็นห่วง ถูกหามไปในเปลพยาบาลและเลือดท่วมเสียจนน่ากลัวว่าจะจากไป


            โชคยังดี..คือเมฆไม่ได้จากไป แต่โชคร้าย คือมันก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมาเช่นกัน


             บางที...บางทีเมฆมันอาจจะขี้คร้านลุกขึ้นมาใช้ชีวิตในนี้หรือบางที..มันอาจจะนึกรำคาญคนสองคนที่ทะเลาะเรื่องมันไม่หายก็ได้ บางที..ถ้ามันฟื้นขึ้นมามันอาจจะตกใจ ว่าผู้ชายสองคนที่รักมัน ทำไมถึงเปลี่ยนไป ทำไมถึงได้มีเรื่องราวพลิกผัน
กลับตัลปัตรได้ขนาดนั้น..


              พี่ชายของมัน และผู้ชายที่มันรัก ซึ่งบัดนี้ได้เปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง


               พี่วิทย์ถูกยิงที่ขา ออกมาหลังจากพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลกลางของเรือนจำประมาณสี่สัปดาห์ กระสุนถูกเส้นเอ็นแต่ไม่ได้ร้ายแรงถึงขนาดต้องตัดขา เพียงแต่ต้องใช้ไม้คำยันในการเดินและต้องทำกายภาพบำบัดทุกอาทิตย์   แต่ข่าวร้าย..พี่โตบอกว่าพี่วิทย์ไม่อาจจะ"เดินตรงๆ"ได้แบบคนอื่นอีกแล้ว


              ทว่า...สิ่งเที่เปลี่ยนไปไม่ได้มีแค่ขา หรือลักษณะการเดินเท่านั้น


               ผมรู้ เห็นและเข้าใจดีว่าหากต้องอยู่ในสภาพแบบนั้น สภาพที่แค่ปลายนิ้วมือเดียวก็จะสมารถช่วยคนรักได้นั้นมันคับแค้นใจเพียงใด และเจ็บปวดทรมารมากแค่ไหนที่ต้องทนเห็นคนที่ตัวเองรักถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตา...


              เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นเปลี่ยนแปลงพี่วิทย์ไป แม้คนอื่นอาจจะบอกว่าไม่มาก พี่วิทย์ยังยิ้มได้ แม้จะไม่บ่อยนัก ยังหัวเราะได้กับมุกล้อเรื่องขาของตัวเอง ยังดูปกติ มันก็ใช่กับคนอื่น แต่ไม่ใช่กับอีกคน


             คนอีกคน..ที่ตอนนี้ต่างก็ถูกขนานนามวา"ไอ้ขี้แพ้"


             คนที่แพ้...พ่ายแพ้ต่อชีวิตของตัวเอง



              ผู้ชายที่เคยมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า คนที่เคยเป็นจอมวางแผน คนที่เคยเป็นหนึ่งในขาใหญ่ผู้ทรงอิทธิพล ซึ่งบัดนี้ แทบไม่เหลืออะไรเลย


            จริงๆ จะบอกว่าไม่เหลืออะไรก็ยังดีเกินไป....


             เขากลายเป็นคนขี้แพ้ กลายเป็นคนขี้ขลาด ขลาดเขลาและหวั่นกลัวต่อการเผชิญหน้ากับความเกลียดชัง ความรู้สึกอันรุนแรงที่มาจากปากของคนอีกคนหนึ่ง


               พี่กันย์ คือคนที่พ่ายแพ้คนนั้น


             ผู้ชายคนนั้นแปรเปลี่ยนจากวันแรกที่ผมมาถึงเรียกได้ว่าจากหน้ามือเป็นหลังเท้า ไม่มีใครรู้ว่าเพราะอะไร จะความสะเทือนใจที่มาจากอาการบาดเจ็บสาหัสของเมฆ หรือจะด้วยคำด่าทอสาปแช่งจากพี่วิทย์ ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ นับจากที่ถูกส่งกลับมายังเรือนนอน หลังจากถูกสอบสวนและคุมขังกว่าสามวัน พี่กันย์ก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย


              ...ราวกับทุกอย่างมันพลิกผันกันเสียอย่างนั้น


              ภาพที่คุ้นชินของทุกคนคือการทะเลาะทุ่มเถียงกันของพี่กันย์กับพี่วิทย์โดยมีเมฆอยู่ตรงกลาง บัดนี้คนที่อยู่ตรงกลางทำได้เพียงนอนอยู่บนเตียงพยาบาลในสภาพไม่รู้สึกเนื้อตัว ทิ้งให้คนสองคนเผชิญหน้ากันด้วยความเกลียดชังที่ถกขุดโหมเข้าใส่อย่างไม่ยอมแพ้


             แต่ครั้งนี้..คนที่ต้องพ่ายแพ้ และบ่ายหน้าหนีกลับเป็นพี่กันย์


             ทุกครั้งที่สองคนนี้พบเจอกับ พี่วิทย์จะกลับกลายเป็นคนละคนจากที่เคยเป็น คนๆนั้นจะเอ่ยคำด่าทอว่าร้ายด้วยความอาฆาต พร้อมกับสาปแช่งว่าคนที่ทำให้เมฆเป็นแบบนั้นคือตัวพี่กันย์เอง ทั้งยังสถบสาบานว่าไม่มีวันจะให้อภัยไปตบลอดชีวิต ความโกรธเกลียดเคียดแค้นในดวงตาของพี่วิทย์นั้นชัดแจนและรุนแรงเสียจนผมอดจะขนลุกไม่ได้ มันไม่ต่างกับดวงตาของผมในอดีตที่เกลียดชังพี่โตเลยเลย..ไม่สิ พี่โตบอกว่ามันเหมือนกับแววตาของเมฆ ดวงตาของเมฆในวันที่กลับออกมาจากเรือนจำพิเศษ แววตาของคนที่แล้งหวังและถูกความโหดร้ายของโชคชะตาถล่มใส่อย่างรุนแรงเสียจนไม่มีสิ่งใดยึดถึงนอกจากความแค้น...ความเกลียดชังที่ไร้คำว่าให้อภัย..


           อภัยให้ไม่ได้..โดยเฉพาะกับลูกกระสุนนัดนั้น


            จนป่านนี้..ทุกคนก็ยังกังขา ผมก็ยังตะขิดตะขวงใจ ไม่แน่ใจ และยังไม่เข้าใจถึงสาเหตุที่พี่กันย์ลั่นไกปืนลงไปอยู่ดี..


            จะบอกว่าทำเพื่อช่วยแต่ดันเล็งผิดงั้นเหรอ? หรือจะบอกว่าคิดจะฆ่าพี่วิทย์จริงๆ?


           ..แต่ไม่ว่าจะทำลงไปด้วยสาเหตุใด ผลของผมก็ออกมาแล้ว ลูกปืนแล่นออกไปจากปลายกระบอกแล้วไม่มีทางหวนกลับ พิษของกระสุนหนึ่งนัด ได้แปรเปลี่ยนคนสามคนอย่างไม่มีทางเป็นเหมือนเดิมอีก


           พี่กันย์ คนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บใด แต่ทว่าทางใจแล้วผมคิดว่าเขาคงเจออะไรที่หนักหนาไม่ต่างกัน พี่กันย์เอาแต่เก็บตัวเงียบ ใบหน้าไร้รอยยิ้ม แววตาแห้งผาก สีหน้าเหมือนคนใกล้ตาย ไม่มีกะจิตกใจจะทำอะไรเลยทั้งการเป็นขาใหญ่หรือแม้กระทั่งการทำงานที่ห้องพยาบาล คนๆนั้นวางมือจกทุกสิ่ง ด้วยสภาพที่ราวกับหุ่นผุๆตัวหนึ่งอันเต็มไปด้วยความว่างเปล่า  ปรากฏอารมณ์ความเสียใจและความเจ็บร้าวขึ้นก็เมื่อได้พบเจอพี่วิทย์และถูกคนๆนั้นประณามสาปแช่งเท่นั้น


            คนที่เคยยิ่งใหญ่ องอาจผ่าเผย บัดนี้กลับต้องกลายเป็นคนที่พ่ายแพ้..แพ้ต่อทุกสิ่งทุกอย่างไม้กระทั่งตัวเอง


              ไม่ต่างอะไรเลยกับสามคนนั้น..


           อดีตเจ้านายของพวกผม..ป๋า ผุ้พัน และลุงชาติ


              จากการกระทำและคำพูดจากที่ป๋าเอ่ยออกมาให้ได้ยินกันในวันนั้น มันสามารถทำลายความนับถือและความเชื่อมั่นในใจของเหล่นักโทษได้อย่างง่ายดาย คำพูดสดๆและการพุดถึงเรื่องนี้แพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้พวกเราสามารถอยู่อย่างปลอดภัยต่อไปโดยไม่เจอข้อกล่าวหาว่าทรยศหรือหลอกใช้ เพื่อทำดีเอาหน้า เพราะทุกคนได้ยินถ้วยคำแล้งน้ำใจนั้น เรื่องที่พวกผมหักหลังป๋าจึงไม่มีใครคิดต่อว่าหรือต่อต้านใดๆ


             ขณที่สามคนนั้น หลังจากถูกจับไปแล้วพวกเขาถูกย้ายไปยังเรือนจำอื่น ผมมารู้ข่าวอีกครา ก็ตอนที่ผู้คุมถือหนังสือพิมพ์มาอ่านใกล้ๆและในนั้นก็ลงข่าวถึงการก่อจลาจลครั้งนี้ นั่นรวมทั้งเรื่องของผลการตัดสินความผิด


             ...ทั้งสามคนถูกลงโทษประหารชีวิต


             จากเดิมที่เคยถูกจำคุกตลอดชีวิต ยังสามารถมีชีวิตต่ออีกนาน ยังสามารถขออภัยโทษหรือทำความดีลบล้างได้ แต่ตอนนี้ เหลือแค่เดินเข้าหลักประหารเท่านั้น..


            ข่าวนี้ก็แพร่หลายในเรือนจำเช่นกัน นักโทษที่ได้รู้ต่างก็แสดงอารมณ์ต่างออกไป บ้างก็สังเวช บ้างก็สะใจหรือไม่ก็ระมัดระวังในการก่อเรื่องมากขึ้น ขณะที่ผมนึกไปถึงเรื่องพี่พวกเขาวาดฝันไว้ให้ ได้ออกไปใต้ฟ้ากว้าง ได้ใช้ชิวิตอิสระ ไม่ต้องถูก
ข่มขู่และทนทุกข์อยู่ในคุก


            สิ่งทีทุกคนอยากได้ สิ่งที่พวกเขาเอามาเป็นข้ออ้างเพื่อหลอกใช้และสั่งการพวกเรา


            ใครจะคิด ว่าการต่อต้านอิสรภาพที่มีโซ่ล่ามไว้เช่นนั้น จะได้อิสระอีกหนึ่งทางมาแทนที่


            อิสรภาพที่แท้จริง สามารถเดินอยู่ใต้ฟ้าได้อย่างภาคภูมิ


            อิสระภาพ..ที่ได้มาจากการทำความดี



......................................

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8



            "มานั่งทำอะไรตรงนี้?" คำถามที่ดังขึ้นเบื้องหลังทำให้ผมชะงัก ละสายตาออกจากภาพต้นมะม่วงที่กำลังถูกเลื่อยตัดเพื่อเอากิ่งใหญ่บางกิ่งออกด้วยฝีมือเหล่านักโทษ  ผมหันไปหาคนตัวโตที่ช่วงนี้ยิ้มค่อนข้างบ่อย อาจจะเพราะอารมณ์ดี อาจจะเพราะไม่มีเรื่องกวนใจ หรืออาจจะเพราะไม่ต้องคอยพินอบพิเทาทำตามคำสั่งคนนั้นคนนี้แล้วก็ได้


             "ไม่มีอะไรทำนี่..แล้วนี่อบรมเสร็จแล้วเหรอ?" ไอ้เนมออกปากถาม ส่วนคนฟังพอได้ยินคำว่า"อบรม"ปุ๊บ ก็หาวปั๊บ


             "น่าเบื่อชิบหาย"พี่โตบ่นงึมด้วยสีหน้าหน่ายเซ็ง พลางเกาหัวแกรกๆ


              "อะไรกัน จะได้ออกไปแล้วแท้ๆยังมาทำเบื่อ ที่อบรมนั่นเค้าก็หวังดีทั้งนั้นนะ" ผมว่าใส่  การอบรมที่พี่โตไปเข้าร่วมนั้นคือหลักสูตรสำหรับ"เตรียมตัว"เพื่ออกไปใช้ชีวิตข้างนอกอีกครั้งของกรมราชทัณฑ์ รายละเอียดก็ไม่มีอะไรมาก ตามที่พี่โตเล่ามาก็เป็นการอบรมเกี่ยวกับการใช้ชีวิตข้างนอก เรื่องมุมมองของคนที่มีต่อนักโทษ พวกวิทยากรที่มาส่วนใหญ่จะเป็นนักโทษที่
ออกไปข้างนอกแล้วและอาสาจะมาเล่าเรื่องราวของตัวเองและพูดคุยเพื่อเป็นการเตรียมใจสำหรับคนที่จะได้ออกไปใช้ชีวิตข้างนอก รวมทั้งบอกเล่าปัญหาต่างๆที่ตนเองพบเจอเพื่อเป็นอุทาหรณ์ด้วย แล้วก็ยังมีพระอาจารย์สอนเรื่องธรรมมะ มีการสอบถามเรื่องวิชาชีพที่ตั้งใจจะออกไปทำ ผมก็ว่ามันน่าสนใจดีนะ แต่คนข้างๆนี้บอกว่าน่าเบื่อตลอดเวลา


              "ก็ดีอยู่หรอก แต่แม่งไปทุกวัน มันก็ต้องมีเบื่อบ้างล่ะวะ แต่ละคนมาก็พูดเรื่องเดิมๆ" พี่โตยังส่ายหน้าต่อ


               "ก็ส่วนใหญ่ คงเจอปัญหาไม่ต่างกันล่ะมั้ง ต่อให้จะซ้ำซาก มันก็เป็นเรื่องจริง" ผมว่าพลางนั่งคิดสะระตะไปพลาง เมื่อนึกถึงเรื่องปัญหาหรือสิ่งที่พบเจอหลังจากออกไปใช้ชีวิตข้างนอก ส่วนใหญ่ก็คงไม่พ้น การยอมรับ และสายตาของคนภายนอก ทัศนะคติที่พวกเขามีต่อเหล่าอดีตนักโทษ ทั้งอคติ ทั้งการตั้งข้อรังเกียจ คนที่ออกไปก็คงพบเจอมแล้วทั้งนั้น


                "...กูสนใจเรื่องข้างในนี้มากกว่า" จู่ๆพี่โตก็เปรยขึ้นมาพลางยกมือลูบหัวผมเบาๆ ด้วยสีหน้าคร่นคิด "ยังไม่ค่อยสงบ"


                "อะไรล่ะนั่น "ฟังแล้วไอ้เนมส่ายหัว จริงๆก็พอรู้อยู่หรอกว่ายังมีหลายเรื่องที่เป็นที่ค้างคาใจ และเรื่องพรรคพวกตลอดจนคนที่ตายไปพวกนั้นอีก "คิดเรื่องตัวเองเถอะ อีกไม่นานพี่ก็จะออกไปแล้ว"


                    ผมเอ่ยบอกคนข้างกายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากต้องปวดหัวกับเรื่องราวต่างๆ ทั้งจากที่ผมทำ คนรอบข้างเอามาฝากหรือคำสั่งพิสดารของพวกป๋า มาตอนนี้พี่โตควรจะดีใจที่ตัวเองจะได้ออกไปเสียที ไม่ควรจะมากลุ้มอกกลุ้มใจแทนผมหรือว่าคนที่อยู่ข้างในให้ปวดหัวอีก


                  อย่างที่บอกว่าผมได้รับการเสนอชื่อในฏีกาขอพระราชทานอภัยโทษ พี่โตเองก็เช่นกัน สาเหตุก็เนื่องมาจากเรื่องที่เราทำล่าสุด นั่นก็คือการต่อสู้ขัดขวางการหลบหนีออกจากเรือนจำ ผลของแผนการต่อต้านป๋าของผม พี่โต พี่ทิน พี่คม และยังพ่วงเอาพี่กันย์ พี่วิทย์ และไอ้เมฆมากด้วย


              แผนการงี่เง่าที่แทบไม่มีทางเป็นไปได้ ผลของการกระทำที่ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าการย้อนเกล็ดด้วยความแค้นเคืองและไม่พอใจที่ถูกหลอกใช้ ใครจะคาดคิด ว่าพวกผมจะได้รับสิ่งตอบแทนที่สูงค่าขนาดนี้  ทั้งได้รับการเสนอชื่อในฏีกาขอพระราชทนอภัยโทษ ทั้งได้ลดโทษ  ได้ความดีความชอบอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะได้สักนิด


             เดิมทีพวกเราทำๆกันโดยไม่คิดจะพึ่งพัศดีด้วยซ้ำ ต่างก็คิดว่าพัศดีเองก็อันตรายไม่แพ้พวกป๋า เรื่องนี้จะบอกว่าจริงก็คงใช่ แต่ผมก็ดีใจที่ในที่สุด ตัวเองก็ได้มีโอกศตกลงและขอความร่วมมือ ไม่สิ..ขอความเชื่อมั่นจากพัศดีปรมัตถ์ว่าจะสามารถจัดการเรื่องนี้ไปได้ ให้เขาเชื่อว่าผมมาเพื่อจะ"หยุด"การกระทำของคนพวกนั้น แม้การเจรจามันจะทุลักทะเลบ้าง แถมทำเอาผมต้องติดแหง่กอยู่ในตู้ตั้งสามชั่วโมงก็เถอะ


              คิดถึงตอนนั้นแล้วก็ต้องหัวเราะหึๆ ไม่รู้จะเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของผมกันที่ไปซ่อนตัวในตู้เอกสรของพัศดี แม้จะซวยนิดหน่อยที่เจออากาศหายใจน้อยๆเข้าไปถึงกับสลบเหมือนแต่พัศดีก็ยังมีแก่ใจทำให้ผมฟื้น และรับฟังแผนการทั้งหมดจากผม และยอมทำตามที่ผมร้องขอ ทำให้แผนการนี้สำเร็จไปด้วยดีจนได้


             ผมยังจำได้ว่าตัวเองจ้องมองตัวอักษรนั้นด้วยอารมณ์ดีใจกึ่งๆกับคาดไม่ถึง สารพัดถ้อยคำถามและสารพันความข้องใจอัดแน่นอยู่ภายใน  คาดไม่ถึงว่ามันจะเป็นแบบนี้ ผมคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะออกมแบบนี้ ไม่คิดว่าจะได้รับ ไม่คิด..ว่าจะได้โอกาสที่ไม่กล้าจะฝันถึง...


           ฝ่ามือของผมสั่นน้อยๆขณะที่จ้องมองไปยังคนที่นั่งอยู่ยังฝั่งตรงข้าม นั่นก็คือพัศดีปรมัตถ์ ซึ่งมีตาบวมคล้ายหมีแพนด่าและอากรเมื่อยล้าเหมือนจะบอกว่าทำงานหนักมานาน


            ไม่ต้องบอกก็รู้ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะสร้างปัญหาและเรื่องราวหนักหนาให้เขามากแค่ไหน ทว่าสีหน้าแววตายามมองผมนั้น บัดนี้ไม่ได้ฉายแววเหยียดหยามหรือดูถูกเหมือนก่อนแล้ว


            สีหน้าผ่อนคลายและรอยยิ้มอ่อนบางถูกแต้มลงบนใบหน้านั้นขณะที่รอให้ผมอ่านรายละเอียดจนจบ และเมื่อผมวาง
กระดาษลง เขาก็เลิกคิ้วขึ้นเชิงประหลาดใจ


               "ไม่ดีใจเหรอ?"


               "ก็..ดีใจ  แต่..ผมไม่ได้คิดถึงขั้นนี้" ไอ้เนมบอกไปตามตรง เรื่องดีใจที่ตัวเองได้ความดีความชอบได้ลดโทษได้ออกจากคุกเร็วๆก็ดีอยู่ แต่เอาจริงๆแล้วผมก็แทบไม่คิดว่าจะได้รับการตอบแทนขนาดนี้ คิดแค่เพียงไม่ต้องเพิ่มโทษให้ตัวเอง และสามารถอยู่ในคุกชดใช้ความผิดของตัวเองไปเงียบๆก็เท่านั้น ไม่ได้หวังยิ่งใหญ่ขนาดจะตั้งตนเป็นกลุ่มพิทักษ์ความดีคอยขัดขวางคนชั่วเลยสักนิด


               "ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับความทุ่มเท..และเรื่องที่คุณตัดสินใจทำ" พัศดีบอกด้วยรอยยิ้มบาง "คนที่จะได้รัยการเสนอชื่อในฏีกาขอพระราชทานอภัยโทษ..จากเรื่องนี้ก็มี เจ็ดคน คุณ..นายธรณินธร์ นายไวทยา นายศรัทธากร นายทินกร นายคมกริช อ้อ... แล้วก็ นายณเมฆา"


                ได้ยินคนชื่อสุดท้ายแล้วผมใจหวิวๆ "แล้ว..เอ่อ....ที่มันนอนป่วยอยู่นี่"


                 "อ้อ ไม่ต้องกลัว " พัศดีคงรู้ว่าผมกำลังกลัวอะไรอยู่ "เรื่องค่าใช้จ่าย เรื่องนี้เขาเป็นเหยื่อจากความรุนแรงของคนพวกนั้น ทั้งยังสละตัวช่วยไม่ต่างกับพวกคุณ เราไม่ทอดทิ้งแน่นอน แต่ก็เพราอาการค่อนข้างหนัก การรักษาเลยใช้ค่าใช้จ่ายมากทางเรือนจำจึงตกลงจะออกให้ครึ่งนึง อีกครึ่งก็เงินของเขา แต่ดูเหมือนที่บ้านก็พอมีฐานะ ไม่ต้องห่วงหรอกว่าจะปล่อยให้เป็นอะไรไป ต่อให้จะอยู่ในสภาพแบบนั้นก็เถอะ"


                 "ครับ.."ผมรับคำด้วยสีหน้าหมองไม่น้อย นึกสงสารเจ้าคนที่มันอุตส่าห์ยอมรับ อุตส่าห์ตกลงกันได้แล้ว หลังจากผมวิ่งไปเจอเมฆมันใกล้ๆที่กำลังชุมนุม มันก็ตั้งท่าจะมาเอาเรื่องกับผม แต่ที่สุดพอคุยกันแล้วไอ้เมฆมันถึงได้ยอมรับปากจะร่วมเดินตามทางเดียวกัน  มันอุตส่าห์ช่วยกลบเกลื่อนเรื่องที่ผมทำเพื่อที่เราจะได้เข้าใกล้พวกป๋าตามแผน ทั้งที่มันก็ทุ่มเทมากมาย ตอนนี้ทุกคนกำลังได้ดี กำลังมีอิสระมันกลับต้องถูกพันธนาการอยู่บนเตียงด้วยสังขารแบบนั้น


                  "เอาล่ะ มาพุดถึงเรื่องการถวายฏีกาดันต่อ" พัศดีเอ่ยปากเข้าเรื่องเมื่อเห็นผมเงียบไป "ต่อให้มีชื่อในฏีกาก็ใช่จะปล่อยตัวเลย ตามกฏของทางราชทัณฑ์ คนที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษจะต้องรับโทษไปแล้วอย่างน้อยหนึ่งในสามหรือกึ่งหนึ่ง ซึ่งในกรณีของคุณ...ดูจากพฤติกรรมที่ผ่านๆมาก็ไม่มีอะไรเสียหาย ถือเป็นนักโทษชั้นดี รับโทษมาแล้ว สามปีเก้าเดือน กับอีกสิบแปดวัน ปัญหาคือระยะเวลาคุมขัง 15 ปี คุณยังรับโทษไม่ถึงหนึ่งในสามซึ่งก็คือ รับโทษไม่ถึงห้าปี ฉะนั้น จะถูกจำคุกอีกหนึ่งปีกับอีกสามเดือนโดยประมาณ..เข้าใจไหมครับ?"


                  "ครับ" ผมคิดตามแล้วพยักหน้าหงึก แต่ในใจน่ะเหรอตนนี้ระริกระรี้แทบตาย หนึ่งปีกับอีกสามเดือน! ผมจะได้ออกไปจากที่นี่ในอีกปีกว่าๆ แทนที่จะเป็นอีกสิบกว่าปี แค่นี้ก็ดีใจจนเนื้อเต้นแทบจะร้องบอกพี่โตไม่ไหวแล้ว! "แล้วคนอื่น.."


              ผมเอ่ยปากถาม พอนึกถึงพี่โต จึงคิดขึ้นมาได้ว่ารายนั้นน่าจะออกไปก่อนผม...รึเปล่า?


                  "อ้อ คนที่จะได้ออกเป็นรายแรกก็..นายธรณินธร์" คำพูดของพัศดีทำให้ผมยิ้มรับทันควัน "เขาถูกคุมขังมาเกินกว่าระยะเวลาหนึ่งในสามของโทษแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อถวายฏีกาแล้วก็จะออกไปได้...ก็น่าจะประมาณอีกหกเจ็ดเดือน เพราะเราจะทูลเกล้าฯขอพระราชทานอภัยโทษในวันที่ 12 สิงหาน่ะ"


                 "แล้วหลังจากนั้นก็เป็นนายทินกร กับนายไวทยา สองคนนี้ออกไล่เลี่ยกันก็ไปก่อนคุณไม่กี่เดือน แล้วหลังจากคุณก็นายศรัทธากร..รายนี้น่าเสียดายนะ อุตส่าห์ทำดีมามาก ทั้งช่วยงานผู้คุม ทั้งทำงานที่ห้องพยาบาล แต่ดันมาเสียตอนใช้อาวุธซะได้ ไม่รู้คิดอะไรของเขาถึงได้ยิงพวกเดียวกันแบบนั้น แล้วตอนนี้ก็ลาออก ไม่ทำที่ห้องพยาบาลอีกแล้ว เลยต้องหาคนมาประจำจนได้" เสียงบ่นของพัศดีแว่วเข้าหูทำให้ผมทำหน้าสลด "แล้วก็..นายคมกริชนี่นานหน่อย เพราะเจอคดีไม่ธรรมดา ก็เลยออกช้ากว่าใครเขา แต่สำหรับเขาก็ถือว่าดีมากแล้วล่ะ"


                "ขอบคุณมากนะครับ" ผม เอ่ยปากขอบคุณพัศดีด้วยสีหน้าซาบซึ้งสุดใจ "ถ้าพัศดีไม่ฟังผมตอนนั้น ก็คง......."


               "ผมก็ต้องขอบคุณพวกคุณด้วย..ถ้าพวกคุณไม่เปลี่ยนใจมาช่วย เรื่องมันคงแย่ ได้กลายเป็นคดีประวัติศาสตร์เหมือนเจ้าพวกนั้นมันทายทักไว้แน่ๆ แล้วหน้าที่การงานของผมก็คงจบ" พัศดีปรมัตถ์ว่า ก่อนจะพ่นลมหายใจ "จริงๆจากเรื่องนี้ผมก็โดนสอบวินัยด้วยนะ แต่คงไม่มีอะไรมาก ที่จริง...พอมาคิดๆถึงรู้ว่าตัวเองก็ผิดอยู่เหมืนกัน  เพราะเข้มงวดรุนแรงไป เรื่องมันถึงบานปลายกลายเป็นแบบนี้"


               "เราก็ได้บทเรียนกันทุกคนแหละครับ" ฟังคำพูดนั้นแล้วนึกถึงไอ้เมฆก็อดจะถอนใจยาวๆไม่ได้



          ก๊อกๆ



              สียงเคาะประตูทำให้ผมกับพัศดีปรมัตถ์ชะงัก พอคำเชิญดังขึ้นประตูก็ถูกผลักออก และคนที่เดินเข้ามาก็ทำให้ผมนิ่งไปอีกรอบ..


         หน้าตากวนๆ ท่าทางกวนตีนไม่สร่างซา จอมเสือกจอหาเรื่องที่ไปได้ทุกที่ในเรือนจำ...ก็ว่าผมลืมนึกถึงใครไป



            ไอ้เนมส่งสายตาไปมองไอ้เป้ที่เดินมานั่งเก้าอี้อีกตัวที่ว่างอย่างสบายๆด้วยสีหน้าสงสัย จริงๆก็อยากจะถามนะ ว่ามันหายไปไหนในช่วงที่ชาวบ้านชุลมุนกันอยู่ รึแผลหกล้ม(?)ที่พี่โตบอกนั่นยังไม่หาย รึอะไรยังไงกันแน่


               "เขียนรายงานเสร็จรึยัง?" เสียงพัศดีดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวลุกขึ้นค้นเอกสารในห้องกุกกัก


               "ยัง...ว่าแต่ให้มันรู้จะดีเหรอ?" ไอ้เป้ว่าพลางส่งสายตามาหาผม หือ?..รู้อะไร?


               "ตอนนั้นเห็นกอดแฟ้มประวัติแกซะแน่น  ไม่รู้ก็ต้องรู้แหละ" พัศดีคุยกับไอ้เป้อย่างเป็นกันเอง พลางโยนแฟ้มอะไรบางอย่างใส่มันปึกหนึ่ง ส่วนไอ้คนโดนโยนงานใส่ตวัดสายตามามองผมด้วยสีหน้ากังขาไม่หน่อย


              "รู้แล้วเหรอ?"


               "......." รู้อะไรล่ะ เรื่องการได้ออกคุกเร็วขึ้น? เรื่องอาการไอ้เมฆ? หรือเรื่องพี่โต?


               "ทำหน้าแบบนั้น มันไม่มีรู้แน่นอน" ไอ้เป้ว่าพลางเดาะลิ้นเบาๆ "กูฟังธงเลย มันไม่รุ้"


               "พุดจาสุภาพๆหน่อย! แล้วถ้าไม่รู้ก็บอกเค้าซะ" พัศดีปรมัตถ์สวดใส่ไอ้คนที่ทำหน้ากวดตีนไม่หายนี่ แว่วเสียงไอ้เป้ครางจิ๊กจั๊ก ก่อนมันจะถอนหายใจเฮือก


              "ตกลงว่ามีอะไรเหรอครับ?" ผมอยากทราบว่านี่จะเล่นละครปาหี่กันอีกนานไหม ใครรู้ใครไม่รู้ใครอะไรยังไง เมื่อไหร่จะจบ?


               "เห็นคุณไปค้นของในตู้เอกสาร หยิบแฟ้มประวัติออกมาก็นึกว่ารู้แล้วเสียอีก " พัศดีว่า ก่อนจะพ่นลมหายใจพรู "แต่เอาเถอะ ผมแนะนำเขาให้คุณรู้จักอีกรอบก็แล้วกัน...นี่นายเป้..เป็นสายของทางเรา"


              "ห๊ะ!" อันนี้ตกใจจริงไม่ติงนัง ผมหันไปมองหน้าไอ้เป้เหมือนพบว่าจู่ๆมันก็มีเขางอกขึ้นมาสามเขาไม่สิ..บางทีคนที่เขางอกคงจะเป็นไอ้เนมเอง..รวมพรรคพวกด้วย


               " ฮ่าๆ ขนาดพัศดีบอกเองมึงยังไม่เชื่อเลย ฮาว่ะ" ไอ้เป้ว่าพลางหัวเราะเบาๆ ด้วยท่าทีขบขัน ขณะที่ผมหน้านิ่ว มองไอ้เป้ตั้งแต่หัวจรดเท้า เท้าจรดหัว มองยังไง คิดถึงพฤติกรรมมันยังไง ก็ไม่อาจอุปมาได้ว่ามันอย่ฝั่งเดียวกันสักนิด-*-


            แบบนี้น่ะเหรอเป็นสายของพัศดี สายของทางเรือนจำ คนที่คอยสังเกตการณ์แล้วเอาไปแจ้งพัศดี มันเนี่ยนะ..มันที่ เอ่อ...ทำตัวได้แบบลูกน้องที่ดีโคตรๆของป๋ามากๆเนี่ยนะ


               "หึ..ทำหน้าไม่เชื่ออีก รู้ไหม ว่ากูน่ะเป็นคนที่ทำให้พวกมึงได้ออกคุก จำไว้แล้วขอบคุณซะด้วย" ๆไอ้เป้ว่าพลางถอนใจระอา


               " เขาเป็นคนคอยสืบข่าว รวมทั้งสอดส่องพฤติกรรมนักโทษที่อยุ่ในรายการควรจับตามองมาเขียนรายงาน ...ซึ่งแน่นอนว่ามีชื่อคุณ" คำเฉลยจากปากพัศดียิ่งทำให้ผมไม่อยากเชื่อเข้าไปใหญ่ "ที่แนะนำให้รู้จักไม่ใช่อะไรหรอก เพราะจริงๆแล้วรื่องเส้นสายของคนพวกนั้นก็ยังมีอยู่ ผมเลยจะให้เป้แทรกตัวไปอีก แต่มาติดที่อืม...นาธรณิธร์นั่นน่ะ..เค้ากันเป้ออกไป ไม่ยอมให้เข้าไปแถวแดนสิบสองเลย เพราะฉะนั้นถึงอยากให้คุณช่วยไปบอกเขาหน่อย"


                "................" เอาจริงดิ? ผมอ้าปากค้าง มองไอ้เป้ที่กำลังร้องขอกาแฟจากพัศดีแบบโคตรสนิทสนมแล้วกระพริบตาปริบๆมองมันแล้วนึกถึงตอนที่ตัวเองเจอมันในที่ต่างๆ


         ถ้า...จะบอกว่าไอ้เป้มันเป็นสาย


          เพราะแบบนี้ใช่ไหมถึงชอบเสือกเรื่องชาวบ้าน? เพราะแบบนี้ใช่ไหมถึงได้รู้จักใครเขาไปทั่ว?


            นึกถึงการพบเจอมันในที่ต่างๆ ทั้งในห้องนี้ ในกลุ่ม ที่มันคอยไปคลุกคลีกับคนนั้นคนนี้ เสียงบ่นไอ้เมฆที่ว่าไอ้เป้มันคอยไปยุ่งกับพี่กันย์ไม่ก็พี่วิทย์แล้วยังขาใหญ่คนอื่นๆ รวมทั้งเรื่องพี่โตด้วย และยังเรื่องกุญแจพวงโตที่มันได้มา จากที่เคยสงสัยว่าได้มาตอนไหน อย่างไร พอมาเทียบความจริงแบบนี้แล้ว ทุกอย่างเลยแจ่มชัด!


             แต่...


            "แล้วเรื่องเอ่อ...ที่ป๋าสั่ง.." ผมจ้องหน้ามัน ข้องใจมาก มากถึงมากที่สุดว่าสายลับแบบมันนี่ทุ่มเทมากขนาดนั้นเลยเหรอ ทั้งแรกกายแรงใจ ทั้งร่างกายก็ด้วย...ทำตามคำสั่งหมดว่างั้น?


            "อ้อ..ที่กูขอนอนกับพี่โตน่ะเหรอ" คำพูดของไอ้เป้ทำเอาพัศดีปรมัตถ์ที่กำลังจิบกาแฟอยู่ถึงกับสะดุ้ง เหลือกตามามองคนพูดแบบอึ้งๆ ขณะที่ไอ้เมฆยักไหล่ ตอบด้วยสีหน้าที่ผมบอกได้ชัดเจนว่า "ด้านโคตรๆ"


             "ก็แล้วไงอ่ะ หนึ่งเลยคือพวกไอ้ป๋าสั่งมากูก็เลยทำตาม แล้วก็ที่สำคัญ...กูเป็นเกย์ และพี่โตของมึงก็สเปกกูพอดี แบบโหดๆเถื่อนๆโคตรเร้าใจน่ะ มีโอกาสสักครั้งทำไมจะไม่ลองล่ะ หึหึหึ" วาจาของไอ้เป้ทำเอาผมขนลุกวาบ พอๆกับหนาวสันหลังขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ


              "กูไม่ใช่ทื่อๆแบบมึงนี่หว่า เห็นกูเป็นสาย ทำความดีเพื่อราชการแบบนี้เลยนึกว่ากูเป็นเทวดารึไง กูก็คนปกติ กูก็มีชีวิตของกุนะ ไอ้เนม..จะรักใครชอบใครอยากเอาใครหรืออยากให้ใครเอา มันเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ ในเมื่อกูก็ทำงานของกูเสร็จ" ไอ้เป้ยักไหล่ด้วยสีหน้าโคตรชิล "จริงๆกูก็ยังชอบพี่โตอยู่นะ ขอบใจมันนิดนึงด้วยที่ช่วยเอาหัวกูกระแทกซีเมนต์ ถึงมันจะเจ็บนิดหน่อยตอนโดน แต่กูก็ได้ข้ออ้างมานั่งสังเกตการณ์แผนพวกมึงสบายเลย".


          อ่า...ฟังแล้วสันนิษฐานได้อีกอย่างว่าไอ้หมอนี่เป็นพวกมาโซคิสม์


           “แล้วรายงานที่กูเขียน ก็เอามาประกอบกับเรื่องที่พวกมึงทำ พวกมึงเลยได้ออกจากคุกเร็วขึ้นตั้งหลายปีไงล่ะ”


               "กู...นึกว่ามึงกับพี่กันย์" คือผมคิดว่าว่าไอ้เป้อาจจะร่วมมือกับพี่กันย์ทำอะไรก็ได้ เพราะช่วงหลังเห็นสนิทกันมากออกขนาดนั้น


               "เพราะไอ้นั่นล่ะที่ทำให้กูได้เรื่องมาเยอะ " ไอ้เป้มันวา "มึงรู้ไหมว่าถ้าพวกป๋ามันออกไปได้จะทำยังไง ปืนที่ไอ้กันย?ได้น่ะมึงเอ๊ย...มันสั่งให้ไอ้กันย์ระวังหลังแล้วซัดใส่คนละนัดเลย  อุตส่าห์ให้ไอ้ครูไวโอลินของมึงลอบเอาปืนเข้ามาให้ แต่สุดท้าย..ใครจะนึกว่ามันจะเอามายิงขาชาวบ้านเขาซะงั้น"


             คำพูดนั้นของไอ้เป้ทำให้ผมอ้าปากค้างไม่ต่ำกว่าสามรอบ แต่สมองก็ยังคิดตามลิ่วๆถึงเรื่องที่มันว่า ทั้งเรื่องแผนของป๋า เรื่องการได้ปืนมาจากอาจารย์ธีระ และอีกหลายๆอย่าง


             ผมมองหน้าไอ้เป้ที่ยื่นมือขอกาแฟจากพัศดีด้วยสีหน้าเริงรื่นแล้วอดจะยิ้มเจื่อนไม่ได้ บอกตัวเองว่าต่อให้ผมรู้ว่าเนื้อแท้มันเป็นคนยังไง และรู้สาเหตุที่มันกระทำว่าเป็นไปเพราะอะไร มันช่วยเหลือๆผมไว้ด้วยรายงานอะไรที่ว่าแค่ไหนแต่ผมก็ยังคงทำใจให้ชอบมันไม่ได้อยู่ดี


               ..แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างไปคุยกับพี่โตให้เลิกเขม่นมันเนี่ย ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก


               "เนม.."


              "เนม"


              "ไอ้เนม!" สียงตะโกนใส่ใกล้ๆทำเอาผมสะดุ้งเฮือก หันมาจ้องหน้าไอ้คุณพี่โตที่ขยับมาใกล้อย่างตกใจไม่น้อย ใบหน้าหล่อเข้มของขาใหญ่แดนสิบสองจ้องมองผมด้วยสีหน้างวยงงปนขัดใจ ก่อนที่เจ้าตัวจะจิ้มปลายนิ้วลงบนหน้าผากผมแล้วออกแรงผลักเบาๆ "เหม่ออะไรไปถึงไหน ถามแล้วไม่ตอบ"


              "หือ..อ่ะ ถามอะไร?"


               "ถามว่า...ออกไปแล้ว มึงจะทำอะไร ยังไง" คำถามนั้นทำให้ผมชะงัก นิ่งไปพักหนึ่ง


               "ก็...ก็คงช่วยแม่แหละ "ผมตอบสั้นๆ พลางนึกถึงผู้ให้กำเนิด แม่ผมที่พอได้ข่าวนั้นก็รีบมาหาทันทีด้วยความเป็นห่วง
แล้วพอได้ข่าวผมที่จะได้ออกไปจากคุกเร็วขึ้นก็ดีใจจนร้องไห้ แม่พร่ำว่าดีใจแค่ไหนที่ผมไม่ได้ทำเรื่องไม่ดี และภูมิใจที่ผมยังไม่
เปลี่ยนไป ยังเป็นลุกชายคนดีของแม่ตาที่แม่สอน แล้วบอกด้วยน้ำตาว่าจะรอผมอย่างใจจดใจจ่อ


                "แล้วพี่ล่ะ?" ผมเอ่ยถามพี่โตบ้าง ระยะนี้พี่โตดูจะมีญาติพี่น้องและคนเข้าเยี่ยมถี่กว่าแต่ก่อน อาจจะเป็นเพราะข่าวที่ออกไปและเรื่องที่พี่โตบอกพวกเขา ว่าจะได้ออกไปข้างนอกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ทุกคนก็คงจะมาพูดคุย แสดงความยินดี


            ..รวมทั้ง ผุ้หญิงคนนั้น


             แค่ได้คิดถึงอะไรบางอย่างขมๆก็ทิ่มเข้าที่ลำคอแบบไม่ปราณีปราศัย ความดีใจจากการจะได้สัมผัสอิสระภาพนั้นทำให้ผมเริ่มนึกถึงอนาคตอย่างจริงจังมากกว่าเดิม จากเดิมอนาคตที่มีแต่รั้วหนามทำให้ผมไม่อยากจะนึกถึงวันข้างหน้า แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว อีกปีกว่าเองที่ผมจะได้ออกไป นั่นรวมทั้งความจริงบางย่างที่ผุดขึ้นมาในใจอย่างเงียบงัน


                ผมมองหน้าพี่โต หันไปยังเสี้ยวหน้าคมเข้มที่สะท้อนแสงอาทิตย์ อดจะปวดใจแปลบไม่ได้ เมื่อคิดถึงรอยยิ้มของผู้หญิงคนนั้นและความผูกพันธ์ที่พวกเขามีให้กัน


              ที่ผ่านมา ตลอดมาผมยังวางใจได้ เบาใจได้ บอกกับตัวเองว่านี่เป็นเรื่องปกติ ปกติที่ใครจะมีคนรัก ใครจะมีอดีตสักคนสองคนนั้นไม่ใช่ปัญหา ปลอบใจตัวเองว่ายังไงผมก็ได้อยู่ใกล้ๆอยู่ข้างๆพี่โต  ในนี้คือคุก คือเรือนจำที่มีแต่ผุ้ชาย ฉะนั้นผมก็ได้เป็นหนึ่งเดียวอยุ่แล้ว


          แต่สำหรับข้างนอกนั่น  มันไม่ใช่


         ความจริงที่ผุดขึ้นมาทิ่มแทงใจอย่างเงียบๆปรากฏขึ้นชักเจนทุกที แม้ผมจะทำเป็นไม่เห็น จะยิ้มยินดีและพอใจกับท่าทีมีความสุขของพี่โต ดวงตาที่เป็นประกายความหวัง ปากที่พูดคุยเรื่องอนาคต แต่..แต่อีกส่วนหนึ่งนั้นก็เอ่ยถามถึงสิ่งที่ผมรุ้ดีแก่ใจ


          ....เราจะเป็นเหมือนเดิมไหม?



           ผมรักพี่โตและพี่โตก็บอกว่ารักผม ความรู้สึกนี้คอยเยี่ยวยาหัวใจและหล่อเลี้ยงให้เรายืนอยู่ข้างกันได้ท่ามกลางความโหดร้ายนี้ก้จริง แต่ว่าข้างนอกล่ะ? นอกเรือนจำที่ไม่ได้มีแต่ผู้ชาย มีผู้หญิงสวยๆ มีคนอื่นมากมาย มีพี่กิ้ง มีอดีตแฟน มีสาวคนใหม่มาติดพัน มีคนนั้นคนนี้วนเวียนมาไม่ขาดสาย


               ถ้าออกไปแล้ว พี่โตจะลืมนักโทษผู้ชายตัวเหม็นๆ หน้าตาโง่ๆเซ่อๆแบบนี้ไปรึเปล่า?


           "เนม...คืนนี้มึงจะทำอะไร?" เสียงทักของพี่โตดังขึ้นทำให้ผมชะงัก


           "ก็...เปล่า" ผมส่ายหน้าช้าๆ


           "งั้นไปรอกูที่หลังโรงอาหารนะ " เอ๋?...คำพูดนั้นทำให้ผมงวยงงไม่น้อย แต่ก่อนจะได้ถามอะไรพี่โตกลับลุกพรวด และเดินดุ่มๆออกไม่หันกลับมา โดยทิ้งความสงสัยคาไว้ในหัวใจของผม


         มีอะไรงั้นเหรอ?



     ..........................................


                 
มาแล้วววและกำลังแก้ตอนต่อไป  :z2:

ออฟไลน์ ishiya

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
อย่าบอกนะว่า จะมาทีเดียว 4 ตอนรวดดดด บร๊ะเจ้า!!!! น้องปุ้ยเอาจริงวุ้ยย  :กอด1:

กรี๊ดดดด......จะรอไว้อ่านทีเดียวเลยจ้าาาาา  :z2:

ออฟไลน์ ๛ナーリバス๛

  • ~~~๛NaaribuS๛~~~ ~ [TBL-081-588]
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +898/-26
    • NaaribuSS
อะไรว้า  ปวดประสาท กันย์แม่งจะยิงวิทย์ทำไม ประสาทไปกันใหญ่แล้ว

โอ๊ย .........

รอๆๆ

ออฟไลน์ jenjad99

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนสุดท้าย  โดนใจมาก ๆ  ๆ  ๆๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
ยิ่งยาวยิ่งชอบ

เรื่องนี้แต่งได้สุดยอด  ..... เป็นเรื่องที่ประทับใจไม่รู้ลืมเลยคะ

Supermimt

  • บุคคลทั่วไป
เค้าอยากเก็บเรื่องนี้ ไม่ทันแล้วดิ T^T ตังก็ไม่มีเซงง

ออฟไลน์ Serin

  • หุ่นซากุยังไงก็ไม่มีวันเป็นกันดั้มไปได้หรอก ไอ้พวกสมองถั่ว!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +621/-8
Improbable 46 : คำสัญญาจากเศษลวด


   หลังโรงอาหาร...


         มืดแล้ว...หลังจากทานข้าวเย็นเสร็จผมก็นั่งดูโทรทัศน์กับคนอื่นไปเงียบๆ ขณะที่พี่โตหายไป ปากบอกว่าจะไปทำเรื่องอะไรสักอย่างเกี่ยวกับการออกไปนั่นแหละ ระยะนี้พี่โตวุ่นเรื่องนี้อยู่เป็นประจำ แต่จะว่ายังไงล่ะ ถ้าถึงตาผมได้ออกไปบ้าง ก็คงตื่นเต้นพอก็นั่นแหละ


        พอดูทีวีเบื่อๆไป ดูนาฬิกาบอกเวลาทุ่มครึ่งผมก็เดินออกมาจากโรงอาหารและไปยืนรออยู่ที่หลังโรงอาหารตามคำพูดของพี่โต


       ปลายเท้าของผมเหยียบๆเขี่ยๆขยะบนพื้นแก้เบื่อ แสงรางๆจากด้านในโรงอาหารพอจะสาดส่องมาให้เห็นลานโล่งๆด้านหลังซึ่งเป็นที่สำหรับตากผ้าได้ เชือกไนล่อนขึงไว้เป็นแนวยาวสำหรับตากผ้าและทำเป็น"โรงแรม"สำหรับเหล่านักโทษกับคู่รัก ผมยิ่งนิ่งทบทวนความทรงจำของตัวเองเกี่ยวกับสถานที่นี้เงียบๆ จำได้ว่าครั้งแรกถูกกระทืบจนอานที่นี่ นั่งกินข้าวคลุกดินที่นี่ แล้วหลังจากนั้นก็มานั่งเฝ้ากางเกงใน แล้วก็ถูกพี่โตลากมาเข้าโรงแรมตอนกลางๆวันแสกด้วย  ไม่นับเรื่องหนีเหล่ากะเทยเจ้ๆทั้งหลายอีกนะ


     คิดถึงความทรงจำเกี่ยวกับมันซึ่งมักมีใครอีกคนร่วมด้วยเสมอแล้วอดจะหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ แต่เสียงหัวเราะนั้นมีอาการตื้อในอกประกอบไม่น้อย ทั้งก้อนเข็งๆที่กลืนไม่ลงในลำคอ รวมทั้งจมูกที่ร้อนจัด..


      ทั้งๆที่เกลียดที่นี่ ๆไม่ชอบ ไม่เคยอยากจะอยู่ อยากออกไป อยากมีอิสระภาพ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผูกพันธ์


        ไม่ต่างกับผู้ชายคนนั้น คนที่ผมเคยต่อต้าน ไม่ยอมรับ เกลียดชัง ไม่เข้าใจ จนมาถึงตอนนี้...ตอนที่ผมรัก รักเขาจนหมดหัวใจ


       ความเปลี่ยนแปลงที่มาเยือน หอบเอาทั้งความดีใจและความหวาดกลัวเข้าหากันเสียจนผมอดหวาดหวั่นไม่ได้


         "ขอโทษที่ช้า" เสียงพี่โตดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวทำให้ผมละออกจากภวังค์ หันไปยิ้มให้เงียบๆก่อนจะเอ่ยปากถาม


          "มีอะไรเหรอ?"


              พี่โตไม่ตอบ แต่เอาเท้าปัดๆเศษแก้มชามบิ่นๆตลอดจนเศษลวดและไม้แห้งๆออกไป แล้วเดินพรวดไปดึงผ้าปูโต๊ะที่ตากไว้มาปูนั่งหน้าตาเฉย


         ผมมองอัปกริยานั้นด้วยความงวยงง ก่อนจะรู้ตัวก็ถูกดึงแขนให้นั่งลงบนตักพี่โตแล้ว แต่กระนั้นก็อดคิดอย่างหวั่นไม่ได้ว่า ที่เรียกมานี่ก็เพื่อจะเรียกมากดกันกลางแจ้งหลังโรงอาหาร อ้ากกกกก ผมไม่เอานะ ถ้าใครมารู้เข้าล่ะก็อายตายแน่ๆ


             "เมื่อกี้กูไปเจอไอ้ไม้มา" ..ไม้..ชื่อนี้คือใครผมไม่รู้จัก ไอ้เนมหันไปทำสายตางวยงงไม้พี่โตเป็นคำตอบ


             "..คนที่แดนพิเศษน่ะ มึงคงไม้รู้จักหรอก" คำตอบนั้นทำให้ผมชะงัก สายตาเต็มด้วยความไม่เข้าใจ


             "เรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้น" พี่โตซุกจมูกลงบนไหล่ผมนิ่งๆสองสามนาทีก่อนจะเอ่ยปาก "พวกป่ามันถูกย้ายไปขังที่อื่น
แล้วก็จริง ตอนนี้เราเป็นอิสระไม่ต้องทำตามคำสั่งใคร พวกลูกน้องมันก็เทินดทูนกูก็จริง แต่..มันไม่ง่ายขนาดนั้นเนม...ไม่ง่าย
เลย"


              ".........."


              "พอพวกป๋าไป ไม่นานมันก็มีป๋าคนใหม่ขึ้นมาอีก เป็นแบบนี้ไปซ้ำไม่รู้จักจบนั่นแหละ แล้วนี่ คนมาขึ้นแทนก็เป็นไอ้แม้..ลุงแก่อายุห้าสิบกว่าที่ติดคุกมาเกือบครึ่งชีวิต จะมาเป็นนายคนใหม่ของเรา" สิ้นคำนั้นพี่โตก็ถอนหายใจยาว ขณะที่ผมฟังแล้วหน้านิ้ว นิ่งไปกับความจริงที่ไม่อาจโต้แย้งใดๆ "สำหรับกู อีกไม่นานกุก็จะได้ออกไป แต่กับพวกมึงไม่ใช่ มึงยังต้องอยู่ที่นี่ ไอ้วิทย์ ไอ้ทินก็ด้วย ...ถ้าลูกพี่อย่างกูไม่ไปหามัน แล้วสุดท้ายพอกูออกไปแล้วพวกมึงต้องถูกกดขี่กูคงขำไม่ออก"


              "มึงเข้าใจใช่ไหม? "พี่โตเอ่ยถาม


              "ครับ...ผมรู้ " ผมพยักหน้ารับช้าๆ เข้าใจพอๆกับเห็นใจสิ่งที่เราต่างก็ต้องเจอ ที่พี่โตพูดน่ะถุกแล้ว ต่อให้ล้มป๋าได้ ต่อให้พวกมันไม่อาจจะแผ่อิทธิพลที่นี่ได้อีกแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ป๋าออกไปก็มีคนใหม่ พวกเขาต้องหาลุกพี่คนใหม่ ไม่งั้นพอพี่โตออกไป ผมและคนอื่นๆก็อาจจะโดนทำร้ายบ้างก็เป็นได้ ในเมื่อความแค้นเคืองที่กลุ่มอื่นมีต่อเราก็ใช่จะน้อยๆ จะทำลอยตัวเหนือทุกอย่างก็เป็นไปไม่ได้แน่


                "แล้วยังข้างนอก....." เอ่ยมาถึงตอนนี้ พี่โตก็ถอนหายใจยาว


                ผมฟังแล้วหรุบตาลงช้าๆ ร้ดีว่าพี่โตจะพูดอะไร


           ข้างนอก..


          อิสระ แต่ก็มีความหายอีกอย่างว่าอันตราย



              สำหรับเหล่านักโทษแล้ว คุกที่คุมขังมันอาจจะเป็นดังนรก ทว่าสิ่งหนึ่งที่วางใจได้เสมอ คือไม่ว่าอย่างไรเราก็จะมีชีวิตรอด มีชีวิตอยู่แม้ลำบากหน่อย แต่ก็จะไม่ตายหรือถูกใครตามฆ่าง่ายๆ


             ผิดกับข้างนอก สำหรับนักโทษที่เข้ามาเพราะทำผิด เมื่ออกไปแล้วนอกจากจะต้องเจอกับสายตาสาดประณามและอคติของคนทั่วไปแล้ว ยังมีโอกาสพบเจอกับโจทย์เก่า คนที่คุณไปฆ่าญาติพี่น้องเขา หรือแแต่กูกน้องของลูกพี่ที่ถูกพวกผมทรยศจัดการ..ลูกน้องของป๋าที่มีอยู่ข้างนอกนั่น..


           สิ่งนี้ใช่ผมจะไม่รู้ พอรู้ว่าจะได้ออกไปภายในไม่นานนี้ พี่โตก็เรียกทุกคนที่จะได้ออกไปมาคุยกันอีกครั้ง แม้เรื่องที่เกิดขึ้น เราจะไม่ถูกตราหน้าว่าทรยศอย่างเต็มปากเต็มคำเพราะการกระทำของป๋ามันก็ชวนให้ลุกขึ้นมาต่อต้าน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า คนของพวกป๋าข้างนอกจะคิดแบบนั้น เส้นสายของป๋าและพรรคพวกมีมากมาย ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะบอกคนของตัวเองที่รออยู่ข้างนอกให้ตามจัดการพวกเราก็ได้ ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหาออกไปแล้ว และนั่นหมายถึงความปลอดภัยในชีวิตของ
พวกเราทุกคน



              ถ้าอยู่ในคุกยังวางใจได้ เพราะก่อเหตุอะไรทำได้ไม่ง่าย รวมทั้งมีพรรคพวกคอยสนับสนุนอยู่ แต่ข้างนอกนั่นความเสี่ยงผิดแผกกันโดยสิ้นเชิง..


               "เนม..."นิ่งอยู่ในภวังค์สักพัก พี่โตก็เรียกชื่อผมเบาๆ ไอ้เนมครางตอบในลำคองึมงัม ขณะที่จมอยู่ในห้องคิด


               "อีกไม่ถึงปี กูก็จะได้ออกไป..." พี่โตเอ่ยปากช้าๆ จากเรื่องที่เกิดขึ้นในปลายเดือนมกราคม มาจนถึงตอนนี้เป็นปลายเดือนกุมภาพันธ์เข้าแล้ว พี่โตที่มีกำหนดจะออกจาคุกหลังวันที่ 12 สิงหาคม ก็เหลือเวลาในนี้อีกไม่มาก


               "กลัวไหม?"


               "อะไร.." ผมเอ่ยถามกลับคำถามที่น่างวยงงนั้นเบาๆ


               "กลัว...ว่าทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม" พี่โตตอบเบาๆกับไหล่ของผม  รู้สึกโดยไม่ได้หันไปสบตาเลยว่าดวงตาคู่นั้นกำลังจ้องมองใบหน้าของผมชนิดไม่กระพริบ แสงจันทร์สาดส่องมากระทบเสี้ยวหน้าคมสันของพี่โตอย่างอ่อนโยน ทำให้น่ามองขึ้นมากว่าเดิม ขณะที่ผมนิ่ง..เงียบเสียงลงเมื่อได้ยินคำนั้น


               "ผมดีใจ..." ริมฝีปากของผมค่อยขยับ และเอ่ยออกมาเบาๆ "ดีใจ..ที่ได้ออกไป ดีใจที่เรื่องที่เราทำ เรื่องงี่เง่าดื้อด้านของผม เรื่องที่ทำให้ลำบากใจเป็นสิบเท่าของผม ทำให้เราได้อะไรที่ดีกว่าการนั่งรอความหวังอยู่เงียบๆในเรือนจำ ....แต่ก็อย่างที่พี่พุดไป ผมก็กลัว..กลัวการเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน.."


              "ช่วงนี้ผมนอนไม่ค่อยหลับ "ไอ้เนมสารภาพออกมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ใบหน้าก้มต่ำ "ชอบสะดุ้งตื่นมาตอนกลางคืนบ่อยๆ เพราะเอาแต่คิด..คิดว่าถ้าพี่ออกไปผมจะทำยังไง คิดว่าถ้าผมออกไปแล้วจะมีชีวิตแบบไหน ผมได้แต่ฝันร้าย...ฝันที่ว่าที่สุดแล้วผมก็เหลือคนเดียว ไม่ว่าพี่หรือใครๆก็ไม่อยู่ มีผมคนเดียวยืนอยู่ท่ามกลางสายตาประณามหยามเหยียดของคนอื่น."


               "และฝันที่ร้ายที่สุด...คือ...คือความฝัน ที่ผมฝันว่าพี่ไม่ได้อยู่กับผมอีกต่อไป" ผมกลืนน้ำลายลงคอช้าๆขณะที่หันไปสบตาโตด้วยแววตาสั่นไหว "พี่โต...ถ้าพี่ออกไปแล้ว เราจะได้เจอกันอีกไหม? พี่จะยังรักผมอยุ่หม? หรือว่าพี่จะหันไป..."


             "ชู่ว.." พี่โตแตะปลายนิ้วลงกับริมฝีปากของผมเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ แล้วใช้มือสองข้างจับแก้มผม ดึงใบหน้าผมให้หันไปมองด้านหน้า พร้อมดันด้นปลายคางให้เชิดขึ้น เพื่อจะได้มองท้องฟ้าที่มีดวงตาพร่างพรายให้เต็มตา


             อ้อมกอดของร่างกายแกร่งที่โอบล้อมอยู่ด้านหลังกระชับแน่น เต็มไปด้วยไออุ่นชวนให้ร่างสะท้านไหว ผมจ้องมองดวงดาวบนท้องฟ้า ริมฝีปากเม้มแน่น ขณะที่พี่โตกอดผมไว้แน่น...แน่นเสียจนอ้อมแขนนั้นกลายเป็นอุ่นร้อน หากไม่ได้ร้อน
เท่ากับหยดน้ำตา..


            ทั้งๆที่ไม่ได้โศกเศร้า ไม่ได้ถูกทำร้ายจิตใจ ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงเลยสักนิด ทั้งที่ควรยิ้มยินดี แต่ริมฝีปากผมกลับสั่นไหว ทำได้เพียงกลั้นเสียงแล้วปล่อยให้น้ำตาแห่งความหวาดหวั่นไม่แน่นอนไหลอาบปลายคาง


             กลัว..


           ผมกำลังกลัว ...กลัวทุกสิ่งทุกอย่าง กลัวว่าถ้าออกไปแล้วจะมีชีวิตแบบไหน ทำตัวอย่างไร กลัวว่าออกไปแล้วอาจจะมีเรื่องยุ่งยากรออยุ่ แต่ที่กลัว..กลัวที่สุดกลบกลายเป็นเรื่องของผมกับพี่โต




            พี่โตจะออกไปก่อนผมนับปี ในขณะที่เขาออกไป ผมก็เป็นเพียงนักโทษคนหนึ่งในนี้ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น "ความรัก"ที่มันผลิบานอยู่ในนี้ พออกไป มันจะจางหายและสลายไปเหมือนสายหมอกรึเปล่า


           จะรักกันเหมือนเดิมงั้นหรือ รึว่าอาจจะต้องพลัดพราก อาจจะกลายเป็นคนแปลกหน้า ไม่พบเจอ ไม่รู้จักกันอีกตลอดชีวิตก็ได้


             อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น....


                  "กูมีเรื่องสำคัญจะบอก..."พี่โตเอ่ย พลางสูดหายใจลึก ฝ่ามือนั้นเกลี่ยน้ำตาบนผิวแก้มผมเบาๆ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากปลุกปลอบใดๆ "ถ้ากูออกไปแล้ว...เนม กูจะไม่ติดต่อมาอีก"


              คำพูดนั้นทำให้เลือดในกายเย็นเฉียบ...


               "จะไม่มาเยี่ยม จะไม่ส่งจดหมายมาหา จะไม่..." ถ้วยคำโหดร้ายยังคงดำเนินต่อไปและก็คงจะเอ่ยต่อไปแล้ว หากว่าโตไม่เห็นสีหน้าเจ็บดปวดเหลือคณาของคนรัก และร่างของมันที่เขากอดไว้สั่นไหวขึ้นเรื่อยๆ


              แต่ถึงอย่างนั้นเสียงร้องไห้กลับไม่หลุดออกมาซักแอะ มันทำได้เพียงสะอื้นในลำคอเบาๆและน้ำตาไหลพรากเท่านั้น แต่มองแล้วกลับทำให้หัวใจอ่อนยวบและรู้สึกสงสารขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


              แต่ถึงสงสารแค่ไหน เรื่องที่ควรพูดก็ต้องพูด เรื่องที่ต้องทำ เขาก็ยังต้องทำ


                ไม่มาเยี่ยม ไม่มาหา ไม่พบหน้าพบทำ ทำเหมือนคนไม่รู้จัก..


               ทบทวนถ้อยคำที่แสนโหดร้ายและซึมซับเข้าสมองเงียบๆ ผมอยากจะตะโกนด่า ประณามให้พี่โตพูดอกมาตรงๆว่าเลิกตัวงี่เง่า เลิกร้องไห้แล้วลืมตากลับมาพบความจริง ในนี้คือคุก ในนี้ไม่มีผู้หญิง และผมเป็นเพียงของที่ทดแทนเพื่อขับแรงปราถนาทางเพศ  และข้างนอก..ข้างนอกนั่นมันไม่ใช่แบบนั้น ที่สุดแล้วผุ้ชายก็ต้องคู่กับผุ้หญิง ต่อให้จะรักหรือรู้สึกอย่างไร พอออกไปแล้ว ก็ต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิมอยู่ดี


                  บอกกันตรงๆให้จำไว้แบบนี้ยังจะดีเสียกดว่า


               ผมจิกเล็บสั้นๆของตัวเองลบบนแขนแล้วกำแน่น เม้มปากปนสะอื้นด้วยไม่อยากจะทำอะไรให้พี่โตระคาย ตา แต่คำพูดที่แสนโหดร้ายที่มาพร้อมอ้อมแขนอุ่นๆมันเหมือนกำลังจะฆ่ากันให้ตายอยู่รอมร่อ


               ถ้าจะไม่รักก็อย่ากอด ถ้าบอกว่าจะไม่เจอ ไม่มาหา ไม่อยากเห็นหน้า ก็อย่ามาทำปลอบใจกันแบบนี้!


                "รู้แล้ว" ผมกล้ำกลืนก้อนสะอื้นที่จุกค้างในลำคอให้ไหลลงไปพร้อมกับรับคำสั้นๆ "รู้แล้วครับ ผมเข้าใจแล้ว..เข้าใจ...ดี....ผม......อึ่ก.."


              เสียงกลั้นสะอื้นที่ถูกกักเก็บเอาไว้อย่างยากเย็นทำให้คนฝืนใจเเข็งต้องอ่อนยวบอีกครั้ง โตถอนหายใจเฮือก เอื้อมมือมาหาพร้อมกับดึงเจ้าคนขี้แยไปกอดไว้แน่น


               "ขอโทษ..."คำขอโทษนั้นดังอยู่ข้างหู แต่ถ้อยคำที่ไม่ได้ปฏิเสธหรือบอกปัดความเข้าใจใดๆทำให้หัวใจเจ็บร้าวยิ่งนัก "ขอโทษที่ต้องทำแบบนี้ แต่มึงอย่าร้องไห้สิ"


              "........." คำตอบของผมคือการเบือนหน้าหนี ไม่อาจคำพูดใดๆ


              พี่โตมองท่าทีผมแล้วถอนหายใจเฮือก "ฟังกันก่อนสิเด็กดี..มันไม่ใช่อย่างที่คิดนะ"


             "แล้วแบบไหน...." ผมเงยหน้าขึ้นถามดวงดวงตาแดงก่ำ "ทำไมถึงจะมาหา ไม่ติดต่อ ถ้าไม่รัก..."


                "เพราะรัก" คำพูดนั้นอุดปากผมได้ชะงัด "เพราะรัก ถึงไม่มา เพราะรัก ถึงต้องอดทน ไม่ติตต่อ ไม่เห็นหน้า ไม่...จนกว่าทุกอย่างจะลงตัว"


                "ทุกอย่างมันคืออะไร?" ผมถามกลับเสียงเครืออย่างไม่เข้าใจ


                "ข้างนอก เนม...ข้างนอก "พี่โตบีบไหล่ผมแล้วถอนหายใจเฮือก "คนของป๋า"


                "ลำพังกูออกไป ก็อาจจะโดนพวกป่ามันตามมาจัดการแล้ว แต่ถ้ากูมหามึง มึงอาจจะเจอดีอีก จริงอยุ่ที่ว่าป๋ามันรู้จักพวกเราดีและรู้ว่าใครเป็นใคร ทำอะไร ยังไง แต่นั่นมันไม่เหมือนกัน ถ้ากูออกมาแล้วแล้งไม่สน ไม่แยแส พวกป่ามันจะวางมือจากมึง มาเล่นงานกูคนเดียว เพาะกูเป็นหัวหน้าใหญ่ ยิ่งทำท่าไม่สนใจมึงแค่ไหน พวกมึงก็จะปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น"


                   "แต่............." แบบนั้นแล้วพี่โตเล่ามันไม่โหดร้ายไปหน่อยหรือที่จะปล่อยให้พี่โตต้องเผชิญอันตรายคนเดียว


                  "กุเอาตัวรอดได้ ไม่รู้จักขาใหญ่แดนสิบสองรึไง" พี่โตยักไหล่ ทำหน้าทำตาเหมือนไม่แยแสต่อสิ่งที่จะเกิดกับตัวเอง แต่แววสั่นไหวในแววตาที่ปรากฏทำให้ผมรู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น


              เพระยังหวาดหลัว เพราะยังเกรงกริ่ง ถึงได้ปกปิด ถึงได้ปกป้อง..


              ทั้งๆที่ทำไปแล้ว คนที่จะต้องลำบากคือตัวเอง


                   "แล้วเมื่อไหร่ ...." ผมเอ่ยถามอีกครั้งอย่างระทดระท้อ ถ้าเจอไม่ได้ พบไม่ได้ ติดต่อไม่ได้แล้วจะได้เจอกันตอนไหน
ตอนที่ผมออกไปแล้วเหรอ? หรือตอนไหนกันแน่


                 "ตอนที่ป๋ามันตาย..."พี่โตเอ่ยเสียงเครียด "จนกว่าพวกมันจะถูกประหาร จนกว่ามันจะหายไปจากโลกนี้ ถ้ามันยังอยู่ เราจะไม่มีวันมีความสุข ต่อให้มึงออกมา แต่ถ้ากูไปหา คนที่อันตรายจะไม่ใช่แค่มึงกับกู แต่จะเป็นน้องมึง แม่ ครอบครัวของมึง มึงยอมได้เหรอแนม จะให้เขามาเดือดร้อนอีกงั้นหรอ?"
 

                "........" ผมส่ายหน้า..แน่อยู่แล้วว่าไม่ แต่การรอคอยที่ไม่รู้เมื่อไหร่ มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน


                 "กูสัญญา จะกลับมาหา"พี่โตกำมือผมแน่น ก่อนจะหันไปมองรอบกาย ฝ่ามือความสะเปะสะปะ เหมือนตามหาบางอย่าง ทำให้ผมขมวดคิ้วมุ่น


                 "ตามหา...."กำลังถาม แต่ฝ่ามือที่กำบางอย่างชูขึ้นมาทำให้ผมชะงัก


                พี่โตหยิบเส้นลวดเส้นยาวประมาณคืบหนึ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สบตาผม ก่อนจะดึงนิ้วหนึ่งของผมให้ยื่นไปหา สีหน้าตั้งอกตั้งใจนั้นทำให้ผมอยากรู้ว่าเขาจะทำอะไร ก่อนที่ปลายนิ้วนั้นจะเริ่มนำเส้นลวดนั้นมาขดรอบวงนิ้วผมเป็นวงกลม สอดเกี่ยวพันรั้งกันจนเหมือนแหวนวงหนึ่ง...


               แหวน...ที่ถูกสวมลงบนนิ้วมือของผม


           ผมหัวเราะ..มองแหวนงี่เง่าที่เกาะอยู่บนนิ้วของตัวเอง ทั้งที่ควรจะขันด้วยความสมเพช ไม่รู้เพราะอะไร ผมถึงได้..ร้องไห้


           จะว่าเหมาะดีไหม นักโทษในคุก กับแหวนที่ทำมาจากเส้นลวดเล็กๆดูไร้ราคา




                 "สัญญานะ...กูสัญญา "สีหน้าของพี่โตก็บิดเบี้ยวด้วยความทรมารไม่ต่างจากผม ฝ่ามือนั้นสั่นไหว "กูจะมาหา กูจะ
ทำทุอย่าง จะปูทางให้มึงออกมาได้อย่างมีความสุข ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกพวกเหี้ยนั่นลากไปไหน ไม่ต้องกลัวอะไรถ้าอยุ่กับกู..กูสัญญานะเนม.."


                  เจ้าของคำสัญญาว่าแล้วก็กำมือผมแน่น ผมมองแหวนหลวมๆที่สวมนิ้วนางไม่ได้จนต้องเปลี่ยนมาสวมนิ้วก้อยแทน ผมมองเส้นลวดที่ถูกขดเป็นแหวนทุเรศๆบนนิ้ว อย่างชวนขัน ทั้งขนาดนี้ไม่พอเหมาะ สัมผัสสากระคาย เส้นลวดเหลือใช้และด้อยค่า


              แค่ลวดเส้นเล็กๆ...แต่ตอนนี้มันสำคัญกับผมเหลือเกิน


             ใบหน้าของคนที่กำมือผมไปบอกให้ผมเชื่อ บอกให้ผมรับฟังคำพูดของเขาจ้องเขม็ง แสงจันทร์สอดไล้ใบหน้าคมนั้นให้อ่อนโยนยิ่งนัก โดยเฉพาะกับรอยยิ้มที่มีให้ผมคนเดียวนั่น


               ผมพยักหน้ารับ ยิ้มให้กับการรอคอย...


               อาจจะนาน...อาจจะต้องใช้เวลา แต่ว่า พี่โตก็ทำเพื่อผม เพื่อให้เราได้อยู่ท่ามกลางฟ้ากว้างด้วยรอยยิ้มและใช้ชีวิตอย่างไร้กังวล..


                    ผมหลับตาลงช้าๆ ใบหน้าซบลงบนไหล่หนาขณะที่ริมฝีปาหนาค่อยกดทาบทับ แนบชิดแสดงความรักอย่างลึกซึ้ง


              เสียงลมหายใจรินรดผิวไหล่แสดงถึงสัญญาณชีวิต ร่างที่กอดซบผมแน่นิ่งนั้นไม่เอ่ยคำใด ไม่มีท่าทีจะทำอะไรไปมากกว่ากอด..กอดที่แน่น ราวกับว่านี่เป็นวันสุดท้าย กอดที่หวังจะซึมซับไออุ่นของผิวกายให้ตราตรึงไว้ในใจ



              ผมเอนหลังผิงแผ่นหลังกว้าง เงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่ลออยู่บนฟ้า หัวอกที่ปวดแปลบยังคงบีบรัด ทั้งดีใจ ทั้งเสียใจ แต่ผมก็ยังยิ้ม...


              ยิ้ม...ให้กับท้องฟ้าและดวงดาวที่จ้องมองตอบมาเช่นกัน


              ยิ้ม..พร้อมกับสัญญากับตัวเองอย่างหนักแน่นว่า จะรอคอย..



                                   ..............................

.     
           
รอแก้ตอนจบอีกสักพักนะค้า~  :z2: :z2:

ออฟไลน์ ishiya

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
บีบหัวใจเเละลุ้นจนปวดตับเเล้ววว  :z3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






bencup9443

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ puchi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 762
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-5

ออฟไลน์ eaey

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 280
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-0
อ่านแล้วเกิดอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก :dont2:

Supermimt

  • บุคคลทั่วไป
หวั่นใจ ตอนจบ จัง ฮู้ววววววว

ออฟไลน์ ๛ナーリバス๛

  • ~~~๛NaaribuS๛~~~ ~ [TBL-081-588]
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +898/-26
    • NaaribuSS
รอๆๆ วันที่จะได้ออกไปอยู่ด้วยกัน พี่โตจะจัดการกับคนรักยังไงอ่ะ เขาอุตส่าห์รอตั้งนาน

แล้วอีกนานไหมกว่าป๋ษจะถูกประหารอ่ะ

จะรอตอนจบนะคะ



ออฟไลน์ Bong

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 144
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
รอๆๆ..รอตอนสุดท้าย..

ออฟไลน์ jenjad99

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ยาววววววววววววววไปปปปปปปปปปปปป .......เลยลูกพี่

ออฟไลน์ evz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
เกือบร้องไห้ตามเนมแล้วที่พี่โตบอกขะไม่มาหาไม่มาเจอ เป็นใครโดนพูดอย่างนั้นก็ร้องแหละ แต่พี่โตก็รักเนมมากกกกกกกกกกกกแหละเนอะถึงทำแบบนั้น แถมยังมีแหวนหมั้นจากเศษลวดด้วยอ่ะโรแมนติกเนอะพี่โตเนี่ย 5555

ออฟไลน์ yaoigirl

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ Bong

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 144
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
 :call: :call: :call: รอนู๋เนมกับเฮียโต

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด