"มานั่งทำอะไรตรงนี้?" คำถามที่ดังขึ้นเบื้องหลังทำให้ผมชะงัก ละสายตาออกจากภาพต้นมะม่วงที่กำลังถูกเลื่อยตัดเพื่อเอากิ่งใหญ่บางกิ่งออกด้วยฝีมือเหล่านักโทษ ผมหันไปหาคนตัวโตที่ช่วงนี้ยิ้มค่อนข้างบ่อย อาจจะเพราะอารมณ์ดี อาจจะเพราะไม่มีเรื่องกวนใจ หรืออาจจะเพราะไม่ต้องคอยพินอบพิเทาทำตามคำสั่งคนนั้นคนนี้แล้วก็ได้
"ไม่มีอะไรทำนี่..แล้วนี่อบรมเสร็จแล้วเหรอ?" ไอ้เนมออกปากถาม ส่วนคนฟังพอได้ยินคำว่า"อบรม"ปุ๊บ ก็หาวปั๊บ
"น่าเบื่อชิบหาย"พี่โตบ่นงึมด้วยสีหน้าหน่ายเซ็ง พลางเกาหัวแกรกๆ
"อะไรกัน จะได้ออกไปแล้วแท้ๆยังมาทำเบื่อ ที่อบรมนั่นเค้าก็หวังดีทั้งนั้นนะ" ผมว่าใส่ การอบรมที่พี่โตไปเข้าร่วมนั้นคือหลักสูตรสำหรับ"เตรียมตัว"เพื่ออกไปใช้ชีวิตข้างนอกอีกครั้งของกรมราชทัณฑ์ รายละเอียดก็ไม่มีอะไรมาก ตามที่พี่โตเล่ามาก็เป็นการอบรมเกี่ยวกับการใช้ชีวิตข้างนอก เรื่องมุมมองของคนที่มีต่อนักโทษ พวกวิทยากรที่มาส่วนใหญ่จะเป็นนักโทษที่
ออกไปข้างนอกแล้วและอาสาจะมาเล่าเรื่องราวของตัวเองและพูดคุยเพื่อเป็นการเตรียมใจสำหรับคนที่จะได้ออกไปใช้ชีวิตข้างนอก รวมทั้งบอกเล่าปัญหาต่างๆที่ตนเองพบเจอเพื่อเป็นอุทาหรณ์ด้วย แล้วก็ยังมีพระอาจารย์สอนเรื่องธรรมมะ มีการสอบถามเรื่องวิชาชีพที่ตั้งใจจะออกไปทำ ผมก็ว่ามันน่าสนใจดีนะ แต่คนข้างๆนี้บอกว่าน่าเบื่อตลอดเวลา
"ก็ดีอยู่หรอก แต่แม่งไปทุกวัน มันก็ต้องมีเบื่อบ้างล่ะวะ แต่ละคนมาก็พูดเรื่องเดิมๆ" พี่โตยังส่ายหน้าต่อ
"ก็ส่วนใหญ่ คงเจอปัญหาไม่ต่างกันล่ะมั้ง ต่อให้จะซ้ำซาก มันก็เป็นเรื่องจริง" ผมว่าพลางนั่งคิดสะระตะไปพลาง เมื่อนึกถึงเรื่องปัญหาหรือสิ่งที่พบเจอหลังจากออกไปใช้ชีวิตข้างนอก ส่วนใหญ่ก็คงไม่พ้น การยอมรับ และสายตาของคนภายนอก ทัศนะคติที่พวกเขามีต่อเหล่าอดีตนักโทษ ทั้งอคติ ทั้งการตั้งข้อรังเกียจ คนที่ออกไปก็คงพบเจอมแล้วทั้งนั้น
"...กูสนใจเรื่องข้างในนี้มากกว่า" จู่ๆพี่โตก็เปรยขึ้นมาพลางยกมือลูบหัวผมเบาๆ ด้วยสีหน้าคร่นคิด "ยังไม่ค่อยสงบ"
"อะไรล่ะนั่น "ฟังแล้วไอ้เนมส่ายหัว จริงๆก็พอรู้อยู่หรอกว่ายังมีหลายเรื่องที่เป็นที่ค้างคาใจ และเรื่องพรรคพวกตลอดจนคนที่ตายไปพวกนั้นอีก "คิดเรื่องตัวเองเถอะ อีกไม่นานพี่ก็จะออกไปแล้ว"
ผมเอ่ยบอกคนข้างกายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากต้องปวดหัวกับเรื่องราวต่างๆ ทั้งจากที่ผมทำ คนรอบข้างเอามาฝากหรือคำสั่งพิสดารของพวกป๋า มาตอนนี้พี่โตควรจะดีใจที่ตัวเองจะได้ออกไปเสียที ไม่ควรจะมากลุ้มอกกลุ้มใจแทนผมหรือว่าคนที่อยู่ข้างในให้ปวดหัวอีก
อย่างที่บอกว่าผมได้รับการเสนอชื่อในฏีกาขอพระราชทานอภัยโทษ พี่โตเองก็เช่นกัน สาเหตุก็เนื่องมาจากเรื่องที่เราทำล่าสุด นั่นก็คือการต่อสู้ขัดขวางการหลบหนีออกจากเรือนจำ ผลของแผนการต่อต้านป๋าของผม พี่โต พี่ทิน พี่คม และยังพ่วงเอาพี่กันย์ พี่วิทย์ และไอ้เมฆมากด้วย
แผนการงี่เง่าที่แทบไม่มีทางเป็นไปได้ ผลของการกระทำที่ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าการย้อนเกล็ดด้วยความแค้นเคืองและไม่พอใจที่ถูกหลอกใช้ ใครจะคาดคิด ว่าพวกผมจะได้รับสิ่งตอบแทนที่สูงค่าขนาดนี้ ทั้งได้รับการเสนอชื่อในฏีกาขอพระราชทนอภัยโทษ ทั้งได้ลดโทษ ได้ความดีความชอบอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะได้สักนิด
เดิมทีพวกเราทำๆกันโดยไม่คิดจะพึ่งพัศดีด้วยซ้ำ ต่างก็คิดว่าพัศดีเองก็อันตรายไม่แพ้พวกป๋า เรื่องนี้จะบอกว่าจริงก็คงใช่ แต่ผมก็ดีใจที่ในที่สุด ตัวเองก็ได้มีโอกศตกลงและขอความร่วมมือ ไม่สิ..ขอความเชื่อมั่นจากพัศดีปรมัตถ์ว่าจะสามารถจัดการเรื่องนี้ไปได้ ให้เขาเชื่อว่าผมมาเพื่อจะ"หยุด"การกระทำของคนพวกนั้น แม้การเจรจามันจะทุลักทะเลบ้าง แถมทำเอาผมต้องติดแหง่กอยู่ในตู้ตั้งสามชั่วโมงก็เถอะ
คิดถึงตอนนั้นแล้วก็ต้องหัวเราะหึๆ ไม่รู้จะเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของผมกันที่ไปซ่อนตัวในตู้เอกสรของพัศดี แม้จะซวยนิดหน่อยที่เจออากาศหายใจน้อยๆเข้าไปถึงกับสลบเหมือนแต่พัศดีก็ยังมีแก่ใจทำให้ผมฟื้น และรับฟังแผนการทั้งหมดจากผม และยอมทำตามที่ผมร้องขอ ทำให้แผนการนี้สำเร็จไปด้วยดีจนได้
ผมยังจำได้ว่าตัวเองจ้องมองตัวอักษรนั้นด้วยอารมณ์ดีใจกึ่งๆกับคาดไม่ถึง สารพัดถ้อยคำถามและสารพันความข้องใจอัดแน่นอยู่ภายใน คาดไม่ถึงว่ามันจะเป็นแบบนี้ ผมคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะออกมแบบนี้ ไม่คิดว่าจะได้รับ ไม่คิด..ว่าจะได้โอกาสที่ไม่กล้าจะฝันถึง...
ฝ่ามือของผมสั่นน้อยๆขณะที่จ้องมองไปยังคนที่นั่งอยู่ยังฝั่งตรงข้าม นั่นก็คือพัศดีปรมัตถ์ ซึ่งมีตาบวมคล้ายหมีแพนด่าและอากรเมื่อยล้าเหมือนจะบอกว่าทำงานหนักมานาน
ไม่ต้องบอกก็รู้ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะสร้างปัญหาและเรื่องราวหนักหนาให้เขามากแค่ไหน ทว่าสีหน้าแววตายามมองผมนั้น บัดนี้ไม่ได้ฉายแววเหยียดหยามหรือดูถูกเหมือนก่อนแล้ว
สีหน้าผ่อนคลายและรอยยิ้มอ่อนบางถูกแต้มลงบนใบหน้านั้นขณะที่รอให้ผมอ่านรายละเอียดจนจบ และเมื่อผมวาง
กระดาษลง เขาก็เลิกคิ้วขึ้นเชิงประหลาดใจ
"ไม่ดีใจเหรอ?"
"ก็..ดีใจ แต่..ผมไม่ได้คิดถึงขั้นนี้" ไอ้เนมบอกไปตามตรง เรื่องดีใจที่ตัวเองได้ความดีความชอบได้ลดโทษได้ออกจากคุกเร็วๆก็ดีอยู่ แต่เอาจริงๆแล้วผมก็แทบไม่คิดว่าจะได้รับการตอบแทนขนาดนี้ คิดแค่เพียงไม่ต้องเพิ่มโทษให้ตัวเอง และสามารถอยู่ในคุกชดใช้ความผิดของตัวเองไปเงียบๆก็เท่านั้น ไม่ได้หวังยิ่งใหญ่ขนาดจะตั้งตนเป็นกลุ่มพิทักษ์ความดีคอยขัดขวางคนชั่วเลยสักนิด
"ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับความทุ่มเท..และเรื่องที่คุณตัดสินใจทำ" พัศดีบอกด้วยรอยยิ้มบาง "คนที่จะได้รัยการเสนอชื่อในฏีกาขอพระราชทานอภัยโทษ..จากเรื่องนี้ก็มี เจ็ดคน คุณ..นายธรณินธร์ นายไวทยา นายศรัทธากร นายทินกร นายคมกริช อ้อ... แล้วก็ นายณเมฆา"
ได้ยินคนชื่อสุดท้ายแล้วผมใจหวิวๆ "แล้ว..เอ่อ....ที่มันนอนป่วยอยู่นี่"
"อ้อ ไม่ต้องกลัว " พัศดีคงรู้ว่าผมกำลังกลัวอะไรอยู่ "เรื่องค่าใช้จ่าย เรื่องนี้เขาเป็นเหยื่อจากความรุนแรงของคนพวกนั้น ทั้งยังสละตัวช่วยไม่ต่างกับพวกคุณ เราไม่ทอดทิ้งแน่นอน แต่ก็เพราอาการค่อนข้างหนัก การรักษาเลยใช้ค่าใช้จ่ายมากทางเรือนจำจึงตกลงจะออกให้ครึ่งนึง อีกครึ่งก็เงินของเขา แต่ดูเหมือนที่บ้านก็พอมีฐานะ ไม่ต้องห่วงหรอกว่าจะปล่อยให้เป็นอะไรไป ต่อให้จะอยู่ในสภาพแบบนั้นก็เถอะ"
"ครับ.."ผมรับคำด้วยสีหน้าหมองไม่น้อย นึกสงสารเจ้าคนที่มันอุตส่าห์ยอมรับ อุตส่าห์ตกลงกันได้แล้ว หลังจากผมวิ่งไปเจอเมฆมันใกล้ๆที่กำลังชุมนุม มันก็ตั้งท่าจะมาเอาเรื่องกับผม แต่ที่สุดพอคุยกันแล้วไอ้เมฆมันถึงได้ยอมรับปากจะร่วมเดินตามทางเดียวกัน มันอุตส่าห์ช่วยกลบเกลื่อนเรื่องที่ผมทำเพื่อที่เราจะได้เข้าใกล้พวกป๋าตามแผน ทั้งที่มันก็ทุ่มเทมากมาย ตอนนี้ทุกคนกำลังได้ดี กำลังมีอิสระมันกลับต้องถูกพันธนาการอยู่บนเตียงด้วยสังขารแบบนั้น
"เอาล่ะ มาพุดถึงเรื่องการถวายฏีกาดันต่อ" พัศดีเอ่ยปากเข้าเรื่องเมื่อเห็นผมเงียบไป "ต่อให้มีชื่อในฏีกาก็ใช่จะปล่อยตัวเลย ตามกฏของทางราชทัณฑ์ คนที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษจะต้องรับโทษไปแล้วอย่างน้อยหนึ่งในสามหรือกึ่งหนึ่ง ซึ่งในกรณีของคุณ...ดูจากพฤติกรรมที่ผ่านๆมาก็ไม่มีอะไรเสียหาย ถือเป็นนักโทษชั้นดี รับโทษมาแล้ว สามปีเก้าเดือน กับอีกสิบแปดวัน ปัญหาคือระยะเวลาคุมขัง 15 ปี คุณยังรับโทษไม่ถึงหนึ่งในสามซึ่งก็คือ รับโทษไม่ถึงห้าปี ฉะนั้น จะถูกจำคุกอีกหนึ่งปีกับอีกสามเดือนโดยประมาณ..เข้าใจไหมครับ?"
"ครับ" ผมคิดตามแล้วพยักหน้าหงึก แต่ในใจน่ะเหรอตนนี้ระริกระรี้แทบตาย หนึ่งปีกับอีกสามเดือน! ผมจะได้ออกไปจากที่นี่ในอีกปีกว่าๆ แทนที่จะเป็นอีกสิบกว่าปี แค่นี้ก็ดีใจจนเนื้อเต้นแทบจะร้องบอกพี่โตไม่ไหวแล้ว! "แล้วคนอื่น.."
ผมเอ่ยปากถาม พอนึกถึงพี่โต จึงคิดขึ้นมาได้ว่ารายนั้นน่าจะออกไปก่อนผม...รึเปล่า?
"อ้อ คนที่จะได้ออกเป็นรายแรกก็..นายธรณินธร์" คำพูดของพัศดีทำให้ผมยิ้มรับทันควัน "เขาถูกคุมขังมาเกินกว่าระยะเวลาหนึ่งในสามของโทษแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อถวายฏีกาแล้วก็จะออกไปได้...ก็น่าจะประมาณอีกหกเจ็ดเดือน เพราะเราจะทูลเกล้าฯขอพระราชทานอภัยโทษในวันที่ 12 สิงหาน่ะ"
"แล้วหลังจากนั้นก็เป็นนายทินกร กับนายไวทยา สองคนนี้ออกไล่เลี่ยกันก็ไปก่อนคุณไม่กี่เดือน แล้วหลังจากคุณก็นายศรัทธากร..รายนี้น่าเสียดายนะ อุตส่าห์ทำดีมามาก ทั้งช่วยงานผู้คุม ทั้งทำงานที่ห้องพยาบาล แต่ดันมาเสียตอนใช้อาวุธซะได้ ไม่รู้คิดอะไรของเขาถึงได้ยิงพวกเดียวกันแบบนั้น แล้วตอนนี้ก็ลาออก ไม่ทำที่ห้องพยาบาลอีกแล้ว เลยต้องหาคนมาประจำจนได้" เสียงบ่นของพัศดีแว่วเข้าหูทำให้ผมทำหน้าสลด "แล้วก็..นายคมกริชนี่นานหน่อย เพราะเจอคดีไม่ธรรมดา ก็เลยออกช้ากว่าใครเขา แต่สำหรับเขาก็ถือว่าดีมากแล้วล่ะ"
"ขอบคุณมากนะครับ" ผม เอ่ยปากขอบคุณพัศดีด้วยสีหน้าซาบซึ้งสุดใจ "ถ้าพัศดีไม่ฟังผมตอนนั้น ก็คง......."
"ผมก็ต้องขอบคุณพวกคุณด้วย..ถ้าพวกคุณไม่เปลี่ยนใจมาช่วย เรื่องมันคงแย่ ได้กลายเป็นคดีประวัติศาสตร์เหมือนเจ้าพวกนั้นมันทายทักไว้แน่ๆ แล้วหน้าที่การงานของผมก็คงจบ" พัศดีปรมัตถ์ว่า ก่อนจะพ่นลมหายใจ "จริงๆจากเรื่องนี้ผมก็โดนสอบวินัยด้วยนะ แต่คงไม่มีอะไรมาก ที่จริง...พอมาคิดๆถึงรู้ว่าตัวเองก็ผิดอยู่เหมืนกัน เพราะเข้มงวดรุนแรงไป เรื่องมันถึงบานปลายกลายเป็นแบบนี้"
"เราก็ได้บทเรียนกันทุกคนแหละครับ" ฟังคำพูดนั้นแล้วนึกถึงไอ้เมฆก็อดจะถอนใจยาวๆไม่ได้
ก๊อกๆ
สียงเคาะประตูทำให้ผมกับพัศดีปรมัตถ์ชะงัก พอคำเชิญดังขึ้นประตูก็ถูกผลักออก และคนที่เดินเข้ามาก็ทำให้ผมนิ่งไปอีกรอบ..
หน้าตากวนๆ ท่าทางกวนตีนไม่สร่างซา จอมเสือกจอหาเรื่องที่ไปได้ทุกที่ในเรือนจำ...ก็ว่าผมลืมนึกถึงใครไป
ไอ้เนมส่งสายตาไปมองไอ้เป้ที่เดินมานั่งเก้าอี้อีกตัวที่ว่างอย่างสบายๆด้วยสีหน้าสงสัย จริงๆก็อยากจะถามนะ ว่ามันหายไปไหนในช่วงที่ชาวบ้านชุลมุนกันอยู่ รึแผลหกล้ม(?)ที่พี่โตบอกนั่นยังไม่หาย รึอะไรยังไงกันแน่
"เขียนรายงานเสร็จรึยัง?" เสียงพัศดีดังขึ้นพร้อมกับเจ้าตัวลุกขึ้นค้นเอกสารในห้องกุกกัก
"ยัง...ว่าแต่ให้มันรู้จะดีเหรอ?" ไอ้เป้ว่าพลางส่งสายตามาหาผม หือ?..รู้อะไร?
"ตอนนั้นเห็นกอดแฟ้มประวัติแกซะแน่น ไม่รู้ก็ต้องรู้แหละ" พัศดีคุยกับไอ้เป้อย่างเป็นกันเอง พลางโยนแฟ้มอะไรบางอย่างใส่มันปึกหนึ่ง ส่วนไอ้คนโดนโยนงานใส่ตวัดสายตามามองผมด้วยสีหน้ากังขาไม่หน่อย
"รู้แล้วเหรอ?"
"......." รู้อะไรล่ะ เรื่องการได้ออกคุกเร็วขึ้น? เรื่องอาการไอ้เมฆ? หรือเรื่องพี่โต?
"ทำหน้าแบบนั้น มันไม่มีรู้แน่นอน" ไอ้เป้ว่าพลางเดาะลิ้นเบาๆ "กูฟังธงเลย มันไม่รุ้"
"พุดจาสุภาพๆหน่อย! แล้วถ้าไม่รู้ก็บอกเค้าซะ" พัศดีปรมัตถ์สวดใส่ไอ้คนที่ทำหน้ากวดตีนไม่หายนี่ แว่วเสียงไอ้เป้ครางจิ๊กจั๊ก ก่อนมันจะถอนหายใจเฮือก
"ตกลงว่ามีอะไรเหรอครับ?" ผมอยากทราบว่านี่จะเล่นละครปาหี่กันอีกนานไหม ใครรู้ใครไม่รู้ใครอะไรยังไง เมื่อไหร่จะจบ?
"เห็นคุณไปค้นของในตู้เอกสาร หยิบแฟ้มประวัติออกมาก็นึกว่ารู้แล้วเสียอีก " พัศดีว่า ก่อนจะพ่นลมหายใจพรู "แต่เอาเถอะ ผมแนะนำเขาให้คุณรู้จักอีกรอบก็แล้วกัน...นี่นายเป้..เป็นสายของทางเรา"
"ห๊ะ!" อันนี้ตกใจจริงไม่ติงนัง ผมหันไปมองหน้าไอ้เป้เหมือนพบว่าจู่ๆมันก็มีเขางอกขึ้นมาสามเขาไม่สิ..บางทีคนที่เขางอกคงจะเป็นไอ้เนมเอง..รวมพรรคพวกด้วย
" ฮ่าๆ ขนาดพัศดีบอกเองมึงยังไม่เชื่อเลย ฮาว่ะ" ไอ้เป้ว่าพลางหัวเราะเบาๆ ด้วยท่าทีขบขัน ขณะที่ผมหน้านิ่ว มองไอ้เป้ตั้งแต่หัวจรดเท้า เท้าจรดหัว มองยังไง คิดถึงพฤติกรรมมันยังไง ก็ไม่อาจอุปมาได้ว่ามันอย่ฝั่งเดียวกันสักนิด-*-
แบบนี้น่ะเหรอเป็นสายของพัศดี สายของทางเรือนจำ คนที่คอยสังเกตการณ์แล้วเอาไปแจ้งพัศดี มันเนี่ยนะ..มันที่ เอ่อ...ทำตัวได้แบบลูกน้องที่ดีโคตรๆของป๋ามากๆเนี่ยนะ
"หึ..ทำหน้าไม่เชื่ออีก รู้ไหม ว่ากูน่ะเป็นคนที่ทำให้พวกมึงได้ออกคุก จำไว้แล้วขอบคุณซะด้วย" ๆไอ้เป้ว่าพลางถอนใจระอา
" เขาเป็นคนคอยสืบข่าว รวมทั้งสอดส่องพฤติกรรมนักโทษที่อยุ่ในรายการควรจับตามองมาเขียนรายงาน ...ซึ่งแน่นอนว่ามีชื่อคุณ" คำเฉลยจากปากพัศดียิ่งทำให้ผมไม่อยากเชื่อเข้าไปใหญ่ "ที่แนะนำให้รู้จักไม่ใช่อะไรหรอก เพราะจริงๆแล้วรื่องเส้นสายของคนพวกนั้นก็ยังมีอยู่ ผมเลยจะให้เป้แทรกตัวไปอีก แต่มาติดที่อืม...นาธรณิธร์นั่นน่ะ..เค้ากันเป้ออกไป ไม่ยอมให้เข้าไปแถวแดนสิบสองเลย เพราะฉะนั้นถึงอยากให้คุณช่วยไปบอกเขาหน่อย"
"................" เอาจริงดิ? ผมอ้าปากค้าง มองไอ้เป้ที่กำลังร้องขอกาแฟจากพัศดีแบบโคตรสนิทสนมแล้วกระพริบตาปริบๆมองมันแล้วนึกถึงตอนที่ตัวเองเจอมันในที่ต่างๆ
ถ้า...จะบอกว่าไอ้เป้มันเป็นสาย
เพราะแบบนี้ใช่ไหมถึงชอบเสือกเรื่องชาวบ้าน? เพราะแบบนี้ใช่ไหมถึงได้รู้จักใครเขาไปทั่ว?
นึกถึงการพบเจอมันในที่ต่างๆ ทั้งในห้องนี้ ในกลุ่ม ที่มันคอยไปคลุกคลีกับคนนั้นคนนี้ เสียงบ่นไอ้เมฆที่ว่าไอ้เป้มันคอยไปยุ่งกับพี่กันย์ไม่ก็พี่วิทย์แล้วยังขาใหญ่คนอื่นๆ รวมทั้งเรื่องพี่โตด้วย และยังเรื่องกุญแจพวงโตที่มันได้มา จากที่เคยสงสัยว่าได้มาตอนไหน อย่างไร พอมาเทียบความจริงแบบนี้แล้ว ทุกอย่างเลยแจ่มชัด!
แต่...
"แล้วเรื่องเอ่อ...ที่ป๋าสั่ง.." ผมจ้องหน้ามัน ข้องใจมาก มากถึงมากที่สุดว่าสายลับแบบมันนี่ทุ่มเทมากขนาดนั้นเลยเหรอ ทั้งแรกกายแรงใจ ทั้งร่างกายก็ด้วย...ทำตามคำสั่งหมดว่างั้น?
"อ้อ..ที่กูขอนอนกับพี่โตน่ะเหรอ" คำพูดของไอ้เป้ทำเอาพัศดีปรมัตถ์ที่กำลังจิบกาแฟอยู่ถึงกับสะดุ้ง เหลือกตามามองคนพูดแบบอึ้งๆ ขณะที่ไอ้เมฆยักไหล่ ตอบด้วยสีหน้าที่ผมบอกได้ชัดเจนว่า "ด้านโคตรๆ"
"ก็แล้วไงอ่ะ หนึ่งเลยคือพวกไอ้ป๋าสั่งมากูก็เลยทำตาม แล้วก็ที่สำคัญ...กูเป็นเกย์ และพี่โตของมึงก็สเปกกูพอดี แบบโหดๆเถื่อนๆโคตรเร้าใจน่ะ มีโอกาสสักครั้งทำไมจะไม่ลองล่ะ หึหึหึ" วาจาของไอ้เป้ทำเอาผมขนลุกวาบ พอๆกับหนาวสันหลังขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
"กูไม่ใช่ทื่อๆแบบมึงนี่หว่า เห็นกูเป็นสาย ทำความดีเพื่อราชการแบบนี้เลยนึกว่ากูเป็นเทวดารึไง กูก็คนปกติ กูก็มีชีวิตของกุนะ ไอ้เนม..จะรักใครชอบใครอยากเอาใครหรืออยากให้ใครเอา มันเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ ในเมื่อกูก็ทำงานของกูเสร็จ" ไอ้เป้ยักไหล่ด้วยสีหน้าโคตรชิล "จริงๆกูก็ยังชอบพี่โตอยู่นะ ขอบใจมันนิดนึงด้วยที่ช่วยเอาหัวกูกระแทกซีเมนต์ ถึงมันจะเจ็บนิดหน่อยตอนโดน แต่กูก็ได้ข้ออ้างมานั่งสังเกตการณ์แผนพวกมึงสบายเลย".
อ่า...ฟังแล้วสันนิษฐานได้อีกอย่างว่าไอ้หมอนี่เป็นพวกมาโซคิสม์
“แล้วรายงานที่กูเขียน ก็เอามาประกอบกับเรื่องที่พวกมึงทำ พวกมึงเลยได้ออกจากคุกเร็วขึ้นตั้งหลายปีไงล่ะ”
"กู...นึกว่ามึงกับพี่กันย์" คือผมคิดว่าว่าไอ้เป้อาจจะร่วมมือกับพี่กันย์ทำอะไรก็ได้ เพราะช่วงหลังเห็นสนิทกันมากออกขนาดนั้น
"เพราะไอ้นั่นล่ะที่ทำให้กูได้เรื่องมาเยอะ " ไอ้เป้มันวา "มึงรู้ไหมว่าถ้าพวกป๋ามันออกไปได้จะทำยังไง ปืนที่ไอ้กันย?ได้น่ะมึงเอ๊ย...มันสั่งให้ไอ้กันย์ระวังหลังแล้วซัดใส่คนละนัดเลย อุตส่าห์ให้ไอ้ครูไวโอลินของมึงลอบเอาปืนเข้ามาให้ แต่สุดท้าย..ใครจะนึกว่ามันจะเอามายิงขาชาวบ้านเขาซะงั้น"
คำพูดนั้นของไอ้เป้ทำให้ผมอ้าปากค้างไม่ต่ำกว่าสามรอบ แต่สมองก็ยังคิดตามลิ่วๆถึงเรื่องที่มันว่า ทั้งเรื่องแผนของป๋า เรื่องการได้ปืนมาจากอาจารย์ธีระ และอีกหลายๆอย่าง
ผมมองหน้าไอ้เป้ที่ยื่นมือขอกาแฟจากพัศดีด้วยสีหน้าเริงรื่นแล้วอดจะยิ้มเจื่อนไม่ได้ บอกตัวเองว่าต่อให้ผมรู้ว่าเนื้อแท้มันเป็นคนยังไง และรู้สาเหตุที่มันกระทำว่าเป็นไปเพราะอะไร มันช่วยเหลือๆผมไว้ด้วยรายงานอะไรที่ว่าแค่ไหนแต่ผมก็ยังคงทำใจให้ชอบมันไม่ได้อยู่ดี
..แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างไปคุยกับพี่โตให้เลิกเขม่นมันเนี่ย ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก
"เนม.."
"เนม"
"ไอ้เนม!" สียงตะโกนใส่ใกล้ๆทำเอาผมสะดุ้งเฮือก หันมาจ้องหน้าไอ้คุณพี่โตที่ขยับมาใกล้อย่างตกใจไม่น้อย ใบหน้าหล่อเข้มของขาใหญ่แดนสิบสองจ้องมองผมด้วยสีหน้างวยงงปนขัดใจ ก่อนที่เจ้าตัวจะจิ้มปลายนิ้วลงบนหน้าผากผมแล้วออกแรงผลักเบาๆ "เหม่ออะไรไปถึงไหน ถามแล้วไม่ตอบ"
"หือ..อ่ะ ถามอะไร?"
"ถามว่า...ออกไปแล้ว มึงจะทำอะไร ยังไง" คำถามนั้นทำให้ผมชะงัก นิ่งไปพักหนึ่ง
"ก็...ก็คงช่วยแม่แหละ "ผมตอบสั้นๆ พลางนึกถึงผู้ให้กำเนิด แม่ผมที่พอได้ข่าวนั้นก็รีบมาหาทันทีด้วยความเป็นห่วง
แล้วพอได้ข่าวผมที่จะได้ออกไปจากคุกเร็วขึ้นก็ดีใจจนร้องไห้ แม่พร่ำว่าดีใจแค่ไหนที่ผมไม่ได้ทำเรื่องไม่ดี และภูมิใจที่ผมยังไม่
เปลี่ยนไป ยังเป็นลุกชายคนดีของแม่ตาที่แม่สอน แล้วบอกด้วยน้ำตาว่าจะรอผมอย่างใจจดใจจ่อ
"แล้วพี่ล่ะ?" ผมเอ่ยถามพี่โตบ้าง ระยะนี้พี่โตดูจะมีญาติพี่น้องและคนเข้าเยี่ยมถี่กว่าแต่ก่อน อาจจะเป็นเพราะข่าวที่ออกไปและเรื่องที่พี่โตบอกพวกเขา ว่าจะได้ออกไปข้างนอกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ทุกคนก็คงจะมาพูดคุย แสดงความยินดี
..รวมทั้ง ผุ้หญิงคนนั้น
แค่ได้คิดถึงอะไรบางอย่างขมๆก็ทิ่มเข้าที่ลำคอแบบไม่ปราณีปราศัย ความดีใจจากการจะได้สัมผัสอิสระภาพนั้นทำให้ผมเริ่มนึกถึงอนาคตอย่างจริงจังมากกว่าเดิม จากเดิมอนาคตที่มีแต่รั้วหนามทำให้ผมไม่อยากจะนึกถึงวันข้างหน้า แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว อีกปีกว่าเองที่ผมจะได้ออกไป นั่นรวมทั้งความจริงบางย่างที่ผุดขึ้นมาในใจอย่างเงียบงัน
ผมมองหน้าพี่โต หันไปยังเสี้ยวหน้าคมเข้มที่สะท้อนแสงอาทิตย์ อดจะปวดใจแปลบไม่ได้ เมื่อคิดถึงรอยยิ้มของผู้หญิงคนนั้นและความผูกพันธ์ที่พวกเขามีให้กัน
ที่ผ่านมา ตลอดมาผมยังวางใจได้ เบาใจได้ บอกกับตัวเองว่านี่เป็นเรื่องปกติ ปกติที่ใครจะมีคนรัก ใครจะมีอดีตสักคนสองคนนั้นไม่ใช่ปัญหา ปลอบใจตัวเองว่ายังไงผมก็ได้อยู่ใกล้ๆอยู่ข้างๆพี่โต ในนี้คือคุก คือเรือนจำที่มีแต่ผุ้ชาย ฉะนั้นผมก็ได้เป็นหนึ่งเดียวอยุ่แล้ว
แต่สำหรับข้างนอกนั่น มันไม่ใช่
ความจริงที่ผุดขึ้นมาทิ่มแทงใจอย่างเงียบๆปรากฏขึ้นชักเจนทุกที แม้ผมจะทำเป็นไม่เห็น จะยิ้มยินดีและพอใจกับท่าทีมีความสุขของพี่โต ดวงตาที่เป็นประกายความหวัง ปากที่พูดคุยเรื่องอนาคต แต่..แต่อีกส่วนหนึ่งนั้นก็เอ่ยถามถึงสิ่งที่ผมรุ้ดีแก่ใจ
....เราจะเป็นเหมือนเดิมไหม?
ผมรักพี่โตและพี่โตก็บอกว่ารักผม ความรู้สึกนี้คอยเยี่ยวยาหัวใจและหล่อเลี้ยงให้เรายืนอยู่ข้างกันได้ท่ามกลางความโหดร้ายนี้ก้จริง แต่ว่าข้างนอกล่ะ? นอกเรือนจำที่ไม่ได้มีแต่ผู้ชาย มีผู้หญิงสวยๆ มีคนอื่นมากมาย มีพี่กิ้ง มีอดีตแฟน มีสาวคนใหม่มาติดพัน มีคนนั้นคนนี้วนเวียนมาไม่ขาดสาย
ถ้าออกไปแล้ว พี่โตจะลืมนักโทษผู้ชายตัวเหม็นๆ หน้าตาโง่ๆเซ่อๆแบบนี้ไปรึเปล่า?
"เนม...คืนนี้มึงจะทำอะไร?" เสียงทักของพี่โตดังขึ้นทำให้ผมชะงัก
"ก็...เปล่า" ผมส่ายหน้าช้าๆ
"งั้นไปรอกูที่หลังโรงอาหารนะ " เอ๋?...คำพูดนั้นทำให้ผมงวยงงไม่น้อย แต่ก่อนจะได้ถามอะไรพี่โตกลับลุกพรวด และเดินดุ่มๆออกไม่หันกลับมา โดยทิ้งความสงสัยคาไว้ในหัวใจของผม
มีอะไรงั้นเหรอ?
..........................................
มาแล้วววและกำลังแก้ตอนต่อไป