Improbable 36 : ประโยชน์ของคนโง่
ไอ้เป้มันมาทำอะไรที่นี่?
จ้องมองแผ่นหลังของนักโทษในชุดสีเดียวกันที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ มันเหลือบตามามองผมแล้วยักคิ้วให้ จากนั้นก็เขียนอะไรบางอย่างลงในกระดาษ ผมยืนนิ่งมองคนสองคนตรงหน้าอย่างงวยงง กระทั่งพัศดีบอกให้ไอ้เป้ออกไปได้ แล้วมันหันมายักคิ้วให้ผมอีกรอบนั่นแหละ ไอ้เนมถึงจะกลับมาทำหน้างงใส่พัศดีได้อีกครั้ง
"นั่งสิครับ" พัศดีว่าพลางชี้มือไปที่เก้าอี้พลาสติกสีแดงตรงหน้า ผมก้าวลงไปนั่งจังหวะเดียวกับที่ได้ยินเสียงประตูปิดลง และทำให้ภายในห้องเหลือเพียงผมและพัศดีปรมัตถ์เท่านั้น
"หน้าไปโดนอะไรมา?" คำถามแรกก็เล่นเอาผมพูดไม่ออกเสียแล้ว ไอ้เนมหรี่ตาลงจ้องสบแววตาพินิจพิเคราะห์ของพัศดีปรมัตถ์ ผมกลืนน้ำลายลงคอช้าๆก่อนจะเอ่ยปาก
"ก็..มันเป็นเรื่องปกติของนักโทษไม่ใช่เหรอครับ" เรื่องการชกต่อย มีเรื่องหรือทะเลาะวิวาทกัน ต่อให้ผู้คุมจะไม่รู้ ต่อให้ไม่เกิดรอยแผลให้เห็น ก็ใช่ว่ามันจะไม่เกิดขึ้น
"ถ้าเป็นคนอื่นผมคงเชื่อ แต่กับคุณน่ะไม่" พัศดีปรมัตถ์ส่ายหน้า ยิ้มมุมปากบางๆ "คุณเป็นแบบนี้"เขา"จะยอมได้รึไง"
ไม่ต้องบอกว่าเป็น"เขา"ไหนผมก็พอรู้ ไอ้เนมยิ้มเหย หันไปสบตาพัศดีเงียบๆ "พี่โตไม่ได้อยู่กับผมตลอดเวลา"
"งั้นเหรอ?..ผมก็ได้ข่าวว่าช่วงนี้ตัวติดกันเสียตลอดเวลานี่" คำพูดของพัศดีนั้นทำให้ผมกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ
"คนเรามันก็ต้องมีเวลาเผลอเรอกันบ้าง พี่โตไม่ได้..."
"พอได้แล้ว แผลนี้ได้มาตอนไปที่แดนพิเศษใช่ไหม" คำถามเจาะจงราวกับรู้ทันนั้นทำให้ผมสะดุ้ง สีหน้าจืดเจื่อนอย่างบ่งชัดว่าหวาดกลัวที่จะถูกรู้ทัน ขณะเดียวกันนั้นก็ขยับตัวหลุกหลิก
นัยน์ตาคมปราบของพัศดีปรมัตถ์จ้องมมองตามกริยาของผมไม่กระพริบ..เขาขมวดคิ้ว ก่อนจะพ่นลมหายใจแรง
"รู้ไหมว่าตัวคุณน่ะโกหกได้ง่อยเสียยิ่งกว่าเด็กอายุสิบห้าเสียอีก" พัศดีปรมัตถ์ส่ายหน้า เขาใช้ดวงตาคู่นั้นจ้องผมเขม็ง " เลิกโกหกและบอกมาตามตรงได้แล้ว ใช่ว่าจะมีเวลาว่างมาคุยไร้สาระได้นาน"
".........." ผมเงียบ..จ้องมองนัยน์ตาของพัสดีปรมัตถ์ ดวงตาคู่นั้นจ้องตอบผมเขม็ง แต่ยิ่งมองเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งมีท่าทีอึกอักหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น ที่สุดเขาก็เขาก็ถอนหายใจ ส่ายหน้าแล้วลุกจากเก้าอี้ของตนเพื่อหยิบเอกสารบางอย่างที่ไอ้เป้เซ็นไว้ไปใส่ในแฟ้มเงียบๆ
แต่ไม่ได้เร็วพอที่จะทำให้ผมไม่เห็น หัวกระดาษที่ขึ้นเป็น"รายชื่อการเลื่อนชั้นนักโทษ"
..สำหรับพวกเราเหล่านักโทษแล้ว การได้เป็นนักโทษชั้นดีถือว่าเป็นอภิสิทธิ์พิเศษอย่างหนึ่ง จะได้วันลดโทษ จะได้ออกจากเรือนจำเร็วขึ้น ทำอะไรก็จะมี"สิทธิพิเศษ"อยู่เช่นตัวพี่กันย์ที่สามารถจะพกพวกของมีคมร่อนไปไหนมาไหนได้โดยที่ไม่โดนตรวจ หรือพี่โตที่อู้งานได้แบบที่ผู้คุมไม่กล้าว่า ไม่ใช่แค่เพราะมีอิทธิพล แต่เพราะพวกเขาเป็นนักโทษ"ชั้นดี"
สำหรับนักโทษที่เข้ามาใหม่แล้ว ทุกดคนจะถูกจัดอยู่ในชั้นกลาง เรื่องการได้เลื่อนชั้น จะต้องให้เวลาผ่านไปเป็นปี และสามารถทำได้ในช่วงเดือนมิถุนายนของแต่ละปีเท่านั้น ทั้งยังต้องพยายามทำงานอย่างดี ทำตัวให้เรียบร้อยเพื่อจะได้ผ่านการอนุมัติเลื่อนขั้น เปรียบได้ดั่ง"รางวัล"สำหรับคนที่ทำตัวดีและไม่ก่อเรื่อง เป็นดั่งแรงจูงใจที่ผลักให้มีความหวัง
เพราะความสำคัญของมันคือสิ่งเห่ลานี้ ดังนั้นเมื่อพัศดีประกาศจะลดขั้นนักโทษที่ทำผิดกฏของเรือนจำเพียงเล็กน้อย โทษทัณฑ์ที่รุนแรงทำให้พวกนักโทษเกิดการต่อต้านอย่างที่เคยผ่านมา ก็สิ่งนี้ไม่ได้มาง่ายๆ แต่เมื่อกี้..ผมไม่ได้ตาฝาดที่เห็นว่าไอ้เป้มันได้รับการอนุมัติ"เลื่อนชั้น"
เลื่อนชั้นทั้งที่เพื่งมาอยู่ไม่นาน เลื่อนชั้นทั้งที่ยังไม่ถึงวันเวลาที่จะทำได้ ทั้งที่ตัวมันก็ไม่ได้มีความดีความชอบอะไร ความผิดปกติเหล่านั้น..มันหมายความว่าอย่างไร?
จะบอกว่าเป็นเด้กป๋า..? พวกพี่โตไม่ได้ทำตัวดีขนาดจะได้เป็นนักโทษชั้นหนึ่ง ที่ได้มาส่วนหนึ่งเพราะอิทธิพลของป๋าก็จริง แต่พวกเขาก็ยังต้องรอถึงวันเวลาที่เหมาะสมไม่ใช่หรือ ไม่ได้มีใครเพิ่งเข้ามาแล้วได้เลื่อนพรวดพราดแบบนี้สักคน จะว่าเรื่องที่มันเคยเข้าคุกมาก่อนแล้วเอาความดีนั้นมานับก็ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ ทำผิดครั้งที่สองความผิดมันยิ่งเพิ่มขึ้นไม่ใช่หรือ?
ผมหรี่ตาลงช้าๆ จ้องมองพัศดีที่กำลังเรียงเเฟ้มใส่ชั้นวางด้วยสายตาครุ่นคิด พยายามนึกทบทวนและจดจำข้อความในบันทึกนั้นให้ได้มากที่สุด และไม่รู้ว่าเพราะจ้องมาไปหรือเปล่า ร่างของพัศดีจึงหันขวับ สบตาผมทันควัน
"ว่าไง จะตอบได้หรือยัง" เสียงทักนั้นทำให้ผมสะดุ้งโหยง
"ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก" ไอ้เนมเลี่ยงตอบพลางเสหลบตาด้วยสีหน้าเจื่อนๆ
"ไม่ได้ถามเพราะเป็นห่วง แต่ถามว่าพวกมันพูดอะไรบ้าง!!" เสียงตวาดไม่เบานักทำให้ผมสะดุ้งเฮือก สบตาพัศดีอย่างตกใจไม่น้อย สีหน้าของชายในชุดสีกากีคนนั้นฉายความอยากรู้เต็มพิกัดแบบปิดไม่มิด ดวงตาของเขาวาววับ จ้องหน้าผมอย่างคาดคั้นเต็มที่
"ผมไม่ได้เข้าไปด้วย..." ไอ้เนมบอกเสียงอ่อย "ผมแค่ถูกสั่งให้รออยู่ข้างนอก ให้อยู่เป็นเพื่อนผู้พันแค่นั้น"
"ผู้พัน..?..อ้อ...ไอ้ตึ๋ง" พัศดีขมวดคิ้ว ก่อนจะเอ่ยพึมพัมเบาๆ ไอ้เนมฟังแล้วชัดสีหน้างงๆ คือ..อยู่มานานผมเพิ่งรู้ว่านั่นคือชื่อของผู้พัน ตกลงผู้พันไม่ได้ชื่อผู้พันหรอกเรอะ??
"ไม่รู้จักล่ะสิ" พัศดีหรี่ตาลงช้าๆ มองสบตาผมแล้วถอนหายใจพรู "ไอ้ตึ๋ง..สมโพช ท้าวทอง ปัจจุบันอายุสี่สิบสี่ ชื่อในวงการเรียกกันว่าผู้พัน มันเคยรับราชการทหาร แต่ที่เรียกไม่ใช่เพราะมันมียศผู้พันหรอกนะ ..แต่เพราะมันไปฆ่าทหารยศผู้พันคนนึงตายต่างหาก.."
"............" ฟังประวัติแล้วผมได้แต่เงียบ..กลืนน้ำลายลงคอช้าๆ
"ไอ้ตึ๋งเคยเป็นทหารฝีมือดีของกองทัพ เส้นใหญ่ สมองดี แต่สันดานเหี้ย มาพลาดท่าเอาก็ตอนที่มันไปฆ่าทหารคนนั้นตาย..เพราะต้องการปล้นอาวุธจากคลังสรรพวุธทหารที่จังหวัดXXX ไปให้พรรคพวกของมันที่กำลังตั้งกลุ่มค้าอาวุธกันอยู่..สิบปีให้หลังมันถูกจับ โดนจับตอนอายุสามสิบ จำคุกมาสิบสี่ปี ที่จับได้เพราะมันเสือกไปฆ่าคนที่เส้นใหญ่กว่าตัวเอง มาอยู่ในนี้สงสัยจะแค้นจัด เลยสร้างอิทธิพลจนตัวเองขึ้นมาเป็นใหญ่ได้"
"............" ผมไม่รู้จะพุดอะไร
"ส่วนอีกคน.." พัศดีเปิดแฟ้มในมือมาพลิกดู ผมเหลือบเห็นรูปถ่ายหน้าตรงแปะอยุ่ด้วย คลับคล้ายว่ามันน่าจะเป็นแฟ้มประวัตินักโทษ ผมจำได้ดีว่าตัวเองก็เคยถ่ายเช่นกัน "ไอ้ปราชญ์..ปราชญ์ เกียรติเทพ ในนี้เรียกว่าอะไรนะ..ป๋าใช่ไหม?..รู้รึเปล่าว่าทำไมถึงเรียกแบบนี้..เพราะไอ้ปราชญ์มันค้าผู้หญิง เป็นนายใหญ่ เป็น"ป๋า"ของเด็กทุกคนในซ่องของมัน และมันก็ยังค้าเฮโรอีน มีโรงงานในประเทศเพื่อนบ้านส่งผ่านชายแดนมาขายในประเทศตัวเอง โดนจับฐานฟอกเงิน..แต่ความผิดฐานฟอกเงินไม่มากเท่าค้ายาเสพติดและค้าประเวณี แต่ถึงตัวมันจะอยู่ในคุก พวกลูกน้อง เครือข่ายของมันก็ยังทำงานอยู่ โดยใช้เรือนจำนี้นี่แหละ เป็นที่สั่งการ ถ่ายทอดคำสั่งของตัวมันออกไปข้างนอก"
"..........." อ่า... ช่างเป็นการจับคู่ที่แสนเพอร์เฟกต์ดีแท้..ไอ้เนมเหลือกตาขึ้นยามคิดถึงสิ่งที่เจ้านายของผมทั้งสองนั้นมีและทำ ผู้พันค้าอาวุธ ฆ่าคนเป็นว่าเล่น ส่วนป๋าค้ายา ค้าเนื้อสด ในคุกก็จับมือกันเป็นใหญ่ แล้วนอกคุกถ้าสองคนนี้ออกไป อิทธิพลและสิ่งที่มีในมือคงทำให้พวกเขาสามารถก้าวขึ้นเป็นเจ้าพ่อในวงการมืดได้อย่างง่ายดาย
..ครู่หนึ่งผมคิดถึงสิ่งที่พี่โตบอกว่าเป็นข้อเสนอ ป๋ากับผุ้พันบอกว่าถ้าออกไปได้ พี่โตจะได้เป็นลูกน้องและจะได้รับการคุ้มครองตลอดชีวิต..
..แต่พอคิดถึงเรื่องที่คนสองคนนั้นทำและสิ่งที่พวกเราจะได้เจอหลังจากพวกเขาออกไปได้จริงๆ การคลุกคลีอยู่กับเรื่องแบบนั้น น่ากลัวเสียยิ่งกว่าการอยู่ในคุกแบบนี้เสียอีก
"ส่วนเรื่องไอ้ชาติ...." พัศดีพลิกกระดาษไปอีกหน้า อ้าปากจะบอกต่อ
"เดี๋ยวๆ...พอเถอะครับ.." ไอ้เนมบอกอย่างหมดแรง ฟังพัศดีนั่งอ่านแล้วทั้งเครียดทั้งกลัว และยิ่งไม่เข้าใจว่าเขาจะมาเล่าให้ผมฟังเพื่ออะไร?
"ทำไมล่ะ..กลัวหรือไง?" พัศดีเลิกคิ้วถาม เขาจ้องหน้าผมครู่หนึ่งก่อนจะพ่นลมหายใจช้าๆ "ที่จริงไอ้ชาติก็ไม่มีอะไรหรอก มันเป็นเจ้าของซุ้มมือปืน เป็นเจ้าพ่อคุมบ่อนที่พลาดถูกจับก็เท่านั้น..ประวัติของพวกมันว่าทำอะไรมาบ้าง คงไม่สำคัญเท่ากับว่าเพราะอะไร พวกมันถึงอยากจะแหกคุก..รู้ไหมว่าทำไม?"
"......" ผมส่ายหน้า..เหตุผลที่อยากออกไปมีเป็นร้อยเป็นพัน ว่ากันตามปกติ คนที่ติดคุกถูกกัดขัง ไม่มีอิสระภาพก็ย่อมอยากออกไปข้างนอกอยู่แล้ว
"เคยบอกแล้วว่าพวกมันสามคนเส้นใหญ่..โดนความผิดหลายกระทง และบางเรื่องยังอยู่ในขั้นไต่สวนหาหลักฐาน พยายามอุทธรณ์หลายครั้งบ้าง พยายามจะแตะถ่วงเวลาให้คดีหมดอายุความบ้าง แต่ละคนพยายามดิ้นรนเต็มที่.." พัศดีเอ่ย ก่อนจะพ่นลมหายใจเบาๆ "แต่ล่าสุด..เมื่อสักครึ่งปีที่แล้ว...คำตัดสินของศาลอุทธรณ์ ยืนยันตรงกันกับศาลชั้นต้นว่า จำเลยซึ่งก็คือ นายสมโภช นายปราชญ์และนายชาติชาย ถูกพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต"
"..จำคุก..ตลอดชีวิต"
"ใช่..." พัศดียักไหล่ "ที่จริงศาลชั้นต้นพิพากษาออกมาก่อนหน้าแล้ว ไอ้สมโพชจำคุกร้อยยี่สิบปี ไอ้ปราชญ์ร้อยห้าสิบปี ส่วนไอ้ชาติก็ร้อยเจ็ดสิบปี..พวกมันก็ขออุทธรณ์กัน แต่ศาลอุทธรณ์ก็ยืนคำพิพากษาตามศาลชั้นต้น นั่นคือจำคุกตลอดชีวิต"
ไอ้เนมกระพริบตาปริบๆเมื่อได้ฟังพัศดีเล่า ไม่เข้าใจหนึ่งคือเวลาติดคุกที่มัน..เอ่อ..ร้อยปีขึ้น? ซึ่งแน่นอนว่ามนุษย์ปกติไม่มีทางอายุยืนถึงขนาดนั้น แล้วพออุทธรณ์แล้วได้จำคุกตลอดชีวิต เหมือนจะดี..แต่ไปๆมาๆมันก็เท่าเดิมนี่..หมายความว่ายังไงก็ไม่ได้ออกไปอยู่ดีใช่ไหมล่ะ..
...นี่คือสาเหตุที่พวกเขาไม่พอใจ และต้องการออกไปงั้นหรือ? ไม่พอใจที่ต้องจำคุกตลอดชีวิต เลยคิดจะออกไปงั้นสินะ
"แล้วทำไมถึงบอกผมล่ะครับ" ไอ้เนมเงยหน้าสบตาพัศดี..
"ก็ในฐานะที่คุณยอมเป็นสาย เล่าให้ฟังแค่นี้จะเป็นไรไป นี่มันไม่ใช่ความลับอะไร.." พัศดีว่าเรียบๆ หากดวงตาของเขาวาววับ ไม่บอกก็รู้ว่าคำตอบนั้นไม่ได้เข้าทางความเป็นจริงสักนิด จริงที่ว่ามันไม่ใช่ความลับ แต่ก็ไม่ใชธุระอะไรที่จะบอกกับสายลับอย่างผม..ผมว่าที่เขาต้องการ คืออยากจะพูดวีรกรรมต่างๆของพวกป๋า ให้ผมนึกโกรธหรือเคืองขึ้นมาตามประสา"ผู้ผดุงความดี"เสียล่ะมากกว่า..
ไม่รู้พัศดีกำลังคิดอะไร ในสายตาเขาผมอาจจะเป็นคนดีมาก โง่มาก ซื่อบื้อมากก็เป็นได้ ตัวเขาเองถึงได้ใช้วิธีนี้เพื่อให้ผมยอมคายความลับเรื่องที่ผมไปพบพวกป๋าให้ฟัง..
...เขากำลังคิดผิด..
ผมไม่ใช่ซุปเปอร์ฮีโร่เสียหน่อย ฟังว่าใครเลวอย่างนั้นอย่างนี้แล้วจะได้โกรธหรือแค้นจนต้องไปจัดการ ผมมันก็คนธรรมดา คนที่ไม่มีใครมารังแกหรือมาทำอันตรายผม ไอ้เนมก็จะไม่เข้าไปยุ่งหรือเข้าไปขวาง พูดง่ายๆว่าถ้าพวกป๋าไม่นึกสนุกอยากจะพนันกับ”ชีวิต”ผมขึ้นมา ไม่ให้พี่โตเข้ามาหาผมในวันแรกที่ผมเข้ามา แล้วปล่อยให้ผมเป็นนักโทษธรรมดาๆไป ก็คงไม่มีไอ้เนมที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาขัดขวางแผนการณ์ อย่างเอาเป็นเอาตายในวันนี้หรอก
ผมสบตาคู่นั้น ไม่ผิดแน่ว่ามันกำลังพราวระยับด้วยความคาดหวัง พัศดีปรมัตถ์หมุนตัวหยิบแฟ้มเอกสารไปเก็บอีกครา เหมือนทุกครั้งที่เขามักจะเว้นช่องว่างไว้เพื่อกดดันและสังเกตผมเสมอ ก็ดีแล้วที่เขาหันหลังไป เพราะไม่อย่างนั้นผมคงเก็บรอยยิ้มไม่ได้ และคงจะเผลอเรอให้เขาได้เห็น..ช่วยไม่ได้ที่ผมจะอยากหัวเราะ ก็มันอดไม่ไหวที่พฤติกรรมของพัศดีนั้นตรงตามที่พี่โตคาดไปทุกอย่างเสียอย่างนี้...
....ใช่...ทุกอย่างเป็นแผนการณ์ และผมก็กำลังทำตามแผนของพี่โตอย่างใจเย็น
คนอย่างผมมันโกหกได้แย่เป็นที่สุดอย่างที่พัศดีบอก แต่พี่โตนั่นแหละที่ให้ผมใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้น แบบผมจะให้ไปนั่งพล่ามเรื่องที่ตัวเองรู้อยู่ว่าโกหกแบบ"เนียน"คงเป็นไปได้ยาก ในเมื่อมีแต่คนมองว่าผมมันซื่อจนโง่ ก็จงใช้ท่าทีนั้นของตัวเองให้เป็นประโยชน์ ไม่จำเป็นต้องทำนิ่งหรือทำเฉย ขอแค่ให้แสดงตัวไปตามปรกติ หรือจะผิดปรกติมากว่าเดิมเพื่อให้ถูกสงสัยก็ไม่เป็นไร
การแสดงอารมณ์และท่าทีทุกอย่างเป็นไปดั่งใจคิดทำให้ดูออกง่ายก็จริง แต่ถ้าหากสิ่งที่เราแสดงออกไป มันไม่ได้ตรงกับในจิตใจ คนท่าทางโง่ๆอย่างผมนี่แหละจะน่ากลัวที่สุด..
"คนอย่างมึงเรียกว่าโกหกหน้าซื่อๆ" พี่โตพูดแบบนั้นแล้วบีบจมูกผม
..ใช้ประโยชน์จากความโง่และความพลั้งพลาดของตนเองให้พัศดีวางใจ เขาไม่คิดจะไว้ใจหรือให้ผมเก็บความลับอยู่แล้ว แต่หากจะทำให้เขาคิดว่าผมมันเป็นแค่ตัวเบี้ยในมือน่ะไม่ใช่เรื่องยาก ในเมื่อผมเคย"พลาด"ต่อหน้าเขามาแล้ว คนเรามักจะไม่ระวังตัวกับคนที่ดูด้อยกว่าตัวเอง หรือต่อให้ระแวง คนที่เคยพลาดท่าให้เห็นก็ย่อมน่าหวั่นน้อยกว่าพวกที่ทำท่าทีเจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัดแต่แรก ก็เหมือนคนชนะที่จะไม่หันกลับไปมองผู้แพ้ เพราะถือว่ามันได้"พ่ายแพ้"ตนเองไปแล้ว และจะเฝ้าสนใจเป้าหมายใหม่ของตัวเองแทน
พี่โตบอกให้ผม"ชนะ"พัศดีด้วยวิธีนั้น แกล้งยอมแพ้ แกล้งพลาด ทำเป็นหวาดกลัวทำเป็นหลุดปากบอกข้อมูลให้เขาได้ใจ ทั้งที่ความจริงคำๆนั้นคือคำโกหกที่ผมพูดออกมาแบบตะกุกตะกัก โกหกแบบไม่ถนัด หลบตาและพลาดเหมือนทุกที..แต่ท่าทีนั้นของผมกลับทำให้คนมองเชื่อว่ามันเป็นความจริง เพราะตัวพัศดีนั้นเคยชินกับชัยชนะของตัวเอง เพราะเขาย่ามใจว่าสามารถจับจุดอ่อนของผมได้ และเคยได้ข้อมูลจากผมมาด้วยวิธีนี้แล้ว..
พอชนะก็เลยมองผ่าน..ฉะนั้นนี่แหละคือโอกาสของคนแพ้ที่ไม่ยอมตัดใจ!!
"ว่าไง?" ร่างของพัศดีหันกายมาหา ทำเอาไอ้เนมสะดุ้ง ดีที่ผมเก็บรอยยิ้มของตนเองได้ทันจึงไม่เสียแผน และคงทำให้พัศดีได้ใจมากกว่าเดิมกับอาการสะดุ้งของผมเมื่อครู่
"ผม...ขอถามอะไรอีกสักอย่างได้ไหม?" ไอ้เนมก้มหน้าก้มตา เอ่ยปากกุกกัก
"อะไร..?"
"เอ่อ...ไอ้เป้...มันเป็นพวกเดียวกับผมรึเปล่า" ผมเงยหน้าขึ้นสบตาพัศดี มองเห็นดวงตาคู่นั้นวาววับ พัศดีปรมัตถ์เท้าคางสบตาผมครู่หนึ่งก็ฉีกยิ้ม
"คิดว่าไงล่ะ"
"แต่...หมอนั่นเป็นพวกป๋า" ผมเอ่ยท้วง ลอบสังเกตสีหน้าท่าทีของพัศดีอย่างครุ่นคิด
"แล้วคุณล่ะ ไม่ใช่หรือไง? " คำถามยอกย้อนนั้นทำให้ผมชะงัก "ตอนนี้ไม่สำคัญว่าใครเป็นพวกใครหรอก..ในเมื่อคนเรามันเปลี่ยนกันได้ มีสายเยอะๆเสียอีกจะยิ่งดี เพราะจะได้เช็คข่าว ง่ายขึ้นไงล่ะ"
คำตอบนั้นทำให้ผมเงียบ จ้องหน้าของพัศดีอีกครั้ง เขามองสบแววตาผมตอบ รอยยิ้มยกขึ้นอย่างไม่รู้สึกรู้สากับแววตาที่ผมมองเขา...
..ได้คำตอบแล้วว่าทำไมพี่โตไม่อยากเข้าร่วมด้วย
คนแบบนี้เป็นคนละประเภทกับพี่โต ต่อให้เขาจะฉลาด รู้จักใช้สมอง หรือเก่งไม่แพ้กันก็เถอะ...
แต่พัศดีปรมัตถ์เป็นพวกที่"โลภ"เกินไป ทำอะไรแบบ"เร็ว"เกินไป และวู่วามเกินไป
เพราะอยากเข้าถึงตัวพี่โตที่เป็นผู้ต้องสงสัยถึงได้บังคับให้ผมเข้าร่วม เพราะอยากจับตัวพวกที่จะรวมหัวกันก่อความไม่สงบแบบรวดเร็วก็เลยใช้วิธีรุนแรงและรวบรัด แต่ทำให้พวกนักโทษไม่พอใจ และมาตอนนี้ เพราะเขาอยากได้ข่าวเร็วๆอยากได้ข่าวสารมากๆ จึงได้รับคนโน้นคนนี้เข้ามาเป็นสายโดยที่ไม่ได้คัดกรอง..การกระทำของเขาบ่งบอกว่ากำลังใจร้อนและอยาก"เอาชนะ"
ขนาด"คนโง่"อย่างผมยังรู้เลยว่า ข้อมูลน่ะ...ยิ่งมากแค่ไหนยิ่งหาความจริงได้ยากเท่านั้น
มีข่าวเยอะก็จริง มีสายเยอะก็จริง มีประโยชน์เรื่องการ"เช็ค"ว่าข่าวไหนลวงข่าวไหนจริงก็ใช่ แต่ถ้ามันมีข่าวตรงกันหลายอันล่ะ เข้าจะทำยังไง?
ข่าวลือไม่ได้มีแค่ข่าวเดียว และคนที่เชื่อข่าวนั้นก็ไม่ได้มีแค่คนเดียว สมมุติง่ายๆว่าหากเขามีสายสัดแปดคน มีคนปล่อยข่าวลือมาสี่ข่าว สายของพัศดีรายงานตรงกันมาสี่ข่าว ข่าวละสองคน แล้วแบบนี้เขาจะเบนเข็มไปทางไหน? ข้อนี้ถ้าป๋าหรือพี่โตรู้แกว ก็แกล้งให้คนของตัวเองปล่อยข่าวลวงๆไปเสียสี่ห้าข่าว แค่นั้นพัศดีก็ไปไม่เป็นแล้ว นี่ยังไม่นับว่า"สายข่าว"ของพัศดีเป็นคนแบบไหน เป็นพรรคพวกของใครบ้างด้วยนะ
ต่อให้คิดจะจับโกหกด้วยวิธีการหว่านแหเอาคนเยอะเพื่อหาข่าวจริงก็เถอะ แต่คิดเหรอว่าพวกเก๋าเกมส์อย่างป๋ากับผู้พันจะไม่รู้ทัน มีสายเยอะก็ดี แต่ถ้าเป็นแบบนี้ "ทางหลง"มันก็มีเยอะขึ้นด้วย ต่างกับพี่โตที่กำลังพยายามหาพวกอย่างใจเย็นแบบนั้นลิบลับ..ตอนนี้ผมกำลังดีใจอยู่เงียบๆที่ตัวเองไม่ได้"พลาด"แบบเดียวกับพัศดี ก็ถ้าพี่โตจะมาเข้ากับพัศดีจริงๆ ผมว่าอนาคตของเรามันมืดแน่ๆ
..ตอนนี้การหวังพึ่งพัศดีหรือผู้คุมเป็นไปได้ยากแล้ว..ที่สุด"ตัวเอง"ก็เป็นที่พึ่งสุดท้ายและหนึ่งเดียวเสมอ..
ไม่สิ..ตอนนี้คือผมกับพี่โต..เป็น"เรา"สองคน
"เอาล่ะ..." เสียงของพัศดีปรมัตถ์ดังขึ้นเหนือศรีษะทำให้ผมละออกจากภวังค์ พลางสบมองดวงตาวาวับของเขา "คุยเรื่องไร้สาระกันมามากแล้ว เข้าเรื่องกันดีกว่าว่ามันเกิดอะไรขึ้น"
ผมมองหน้าพัศดี กลืนน้ำลายลงช้าๆ ก่อนที่ริมฝีปากจะขยับ ปากพูดเรื่อง"โกหก"ที่ผู้พันกับป๋าแต่งให้ผมนำมาเล่าให้พัศดีฟังด้วยสีหน้าของคนโง่ที่เป็นมาอย่างคุ้นชิน ต่างก็แต่บัดนี้..ผมเป็นคนโง่ที่กำลังแทงมีดเข้าไปข้างหลังของพัศดีด้วยสีหน้าซื่อๆแบบที่เขาไม่อาจรู้ตัวได้เลย..
ไม่ใช่ว่าผมไม่สงสาร..ยังไงเขาก็ทำงานเพื่อชาติ ยังไงเขาก็หวังดีและเป็นคนดี แม้ว่าการกระทำจะเป็นเช่นไร
แต่ผมฝากชีวิตไว้กับเขาไม่ได้ รวมทั้งฝาก"ความหวัง"ของตัวเองให้คนอื่นถือไม่ได้อีกเช่นกัน
------------- O H B A D G U Y ------------