Improbable 35 : แผนใหม่
"นช.กันตธร พัศดีเรียกพบ"
เสียงเรียกของผู้คุมดังขึ้นทันทีที่ทานมื้อเช้าเสร็จ เหมือนจะเป็นเรื่องปกติเสียแล้วเพราะผมไม่ได้มีท่าทีสะดุ้งหรือหวาดกลัวเหมือนคราวแรกๆ ทว่านักโทษร่วมห้องขังหลายรายยังขมวดคิ้ว มองมาที่ผมด้วยสีหน้ากังวล ก่อนจะปรายตาไปมองพี่โตที่ขมวดคิ้วฉับ หน้าเคร่งทันทีที่ได้ฟัง
คำตอบก็มีแต่จะต้องพยักหน้ารับเท่านั้น ผมลุกจากโต๊ะทานข้าวในโรงอาหาร เดินตามผู้คุมต้อยๆอย่างเชื่อฟัง ทิ้งพี่โตให้นั่งทำตาวาวอยู่อย่างนั้น ทว่าตัวผมรู้ดีว่ามันเป็นการแสดง เช่นเดียวกับที่ผมกำลังจะทำอยู่
..จะไม่ให้กลัวได้ยังไง ไปเจอพัศดีทั้งที่มีแผนการจากฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ยัดเข้ามาเต็มหัวผม จะให้เฉยอย่างที่เป็นเมื่อกี้ ต้องตั้งสตติบอกตัวเองกี่รอบก็ไม่รู้
ส่วนของพี่โตนั้นก็ใช่จะไม่ห่วง แต่เพราะแผนการที่มีทำให้ขาใหญ่อย่างเขาต้องทำไปตามบทบาทที่ควรเป็น
หลังกลับมาจากแดนพิเศษ และปรับความเข้าใจกับพี่โต(แบบต้องเสียตัวเพื่อไถ่โทษ) เรียบร้อยแล้ว เราสองคนก็มานั่งคุยกันถึงเรื่องนี้ พี่โตวางแผนถึงสิ่งที่ผม"จะ"ทำ กับเรื่องที่ผม"ต้อง"ทำ ไว้อย่างเรียบร้อย แน่นอนว่าครั้งนี้พี่โตไม่ได้ตัดผมออกจากแผน หรือทำไม่บอกกล่าวอะไรเช่นเมื่อก่อน เพราะครั้งนี้ตัวผมก็เป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองที่เขาต้องใช้ ต่อให้จะเสี่ยงหรือลำบาก มันก็ต้องทำ
พี่โตวางแผนให้ผมเดินตามที่พวกป๋ากับผู้พันบอก เพราะแม้จุดมุ่งหมายของแผนการนี้จะไม่ประสงค์ดี ทว่าวิธีการนี้ผมก็สามารถนำมาปรับใช้ได้
เพราะเราไม่ไว้ใจพัศดี เพราะเราสองคนยังไม่อาจไว้ใจใคร กับแผนการที่คิดมาอย่างสดใหม่ การตัดสินใจครั้งใหม่ที่แปรเปลี่ยนให้คนรอบๆกายกลายเป็นศัตรูได้ทันทีที่ความจริงเปิดเผย ดังนั้น จึงต้องระวังตัวและทำตามแผนของพวกป่ากับผู้พันอย่างดี ไม่ให้ใครจับได้
เริ่มจากผม..พี่โตคาดเอาไว้แล้วว่าเร็วๆนี้ผมจะต้องถูกพัศดีเรียกพบ และมันก็เป็นอย่างที่คาดไว้ ประกอบกับการคาดการณ์ของพวกป๋า ที่บอกไว้ตรงๆแล้ว ว่ามี"สาย"แฝงตัวเข้ามา ทั้งฝั่งพัศดี ที่คาบข่าวของพัศดีมาบอกพวกป๋า กับพวกของป๋า ที่มีคนเอาข่าวไปแจ้งพัศดี
ก็เป็นอย่างที่พัศดีเคบบอกผม ว่าตัวเขามีสายมากกว่าหนึ่งคน และผมก็เป็นเพียงหนึ่งในนั้น แล้วในตอนนี้ เมื่อผมไปพบพวกป๋า "สาย"ที่แฝงตัวอยู่ในฝั่งของป๋า ก็จะนำข่าวมาแจ้งพัศดีและพัศดีจะต้องเรียกผมไปพบอย่างแน่นอน
เมื่อถุกเรียกพบ สิ่งที่ผมจะทำคือบอก"ข่าว"ที่พวกป๋าและพัศดีให้ผมพูด..ใช่แล้ว ผมต้องบอกข่าวลวงตามที่ป๋าสั่ง เพื่อจะให้"สาย"ของป๋าในกลุ่มของพัศดีนั้นรู้ข่าว นอนใจว่าผมทำตามที่สั่งไปไว้ไม่ผิดพลาด เพื่อจะเรียกความไว้ใจและให้คนของป๋าที่ทำหน้าที่สอดส่องผมคลายใจลง
ต่อไปที่ผมจะต้องทำคือการสังเกตท่าทีของพัศดี..พี่โตบอกว่ากระทั่งพัศดีก็ไว้ใจไม่ได้ เขาอาจจะเป็นคนดี หรืออาจะเป็นคนของป๋าที่ส่งมาก็ได้ แค่การกระทำหรือท่าทีภายนอกมันบอกไม่ได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นควรจะสังเกตคำสั่งของเขาและพยายามถามเลียบๆเคียงๆเรื่องของ"สาย"คนอื่นๆเท่าที่จะเป็นไปได้
ส่วนตัวพี่โต รายนั้นบอกว่าเขาจะพยายามหาสายของป๋าที่อยู่ในกลุ่มนักโทษด้วยกันก่อน พี่โตบอกว่าถ้ายังมีพวกนี้คอยจับตา และเราไม่รู้ว่ามันคือใครแบบนั้นจะทำอะไรก็ยาก หากพลาดไปแล้วอาจถึงตายได้ ทางที่ดี ควรจะหาตัวพวกมันให้พบ และคอยระวังท่าทีของมันให้ดี
และสอง..พี่โตพูดถึงส่วนยากที่สุดในแผนการนี้..นั่นคือการหาพรรคพวก
ไม่ใช่พรรคพวกที่เข้ากับพวกป๋าอย่างสุดโต่ง ต้องการจะออกไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น และไม่ใช่พวกที่ต่อต้านเรื่องนี้อย่างสุดๆ เข้าเป็นฝ่ายพัศดีเสียเต็มตัวเช่นกัน..
พี่โตบอกว่าตัวเองกำลังงมหา"จิ้งจก"
พวกที่อยู่"กึ่งกลาง"ของสองฝั่งนี้ คนที่แม้อยากออกไปแต่ก็ไม่อยากเข้ากับป๋า และแม้ไม่ชอบพวกป๋าแต่ก็ไม่อยากเข้าร่วมกับพัศดี
ในความคิดผม..พูดง่ายๆเลยว่าพี่โตอยากได้คนที่มีความคิดเหมือนและ"คล้าย"ตัวเองมากที่สุด แต่จะหาได้ง่ายนักหรือ? ในบรรยากาศที่มีแต่ผู้คนที่แบ่งแยก สาดความเกลียดชังเข้าหากันแบบนี้
แต่พบผมค้าน เหตุผลที่พี่โตยกมาก็ทำให้ผมพูดไม่ออก
ที่ต้องพยายาม เพราะเราทำเองนี้แค่สองคนไม่ได้ เพราะเราไม่มีพรรคพวก จากตาเห็น พี่โตอาจจะเป็นขาใหญ่ มีคนอยู่ใต้อำนาจ มีคนเป็นลุกน้องเยอะแยะ แต่มันก็รับประกันไม่ได้ ว่าหากคนพวกนั้นรู้ว่าพี่โตจะทำอะไรแล้วพวกเขาจะไปด้วย
ต่อให้ไม่ชอบวิธีของป๋า ต่อให้รุ้ว่าอยู่ใต้การควบคุมของคนพวกนั้นไม่ต่างอะไรกับการถูกมัดมือมัดเท้าเป็นแค่ตัวหมากที่ถูกจับวาง แต่น้อยนัก...ที่จะมีคน"กล้า"ต่อต้าน ด้วยรู้ดีแก่ใจ ในที่แห่งนี้การรู้จักรักษาเอาตัวรอดถือเป็นยอดดี อยู่กับกลุ่มที่มี
อิทธิพล ก็ดีกว่าแยกตัวออกมาและถูกรุมรังแกเป็นไหนๆ
และเมื่อคนเหล่านั้นรู้ว่าพี่โตกำลังต่อต้านป๋า กำลังงัดข้อกับกลุ่มอิทธิพลที่ใหญ่ที่สุดในเรือนจำแห่งนี้ จะมีกี่คนกันที่"กล้า"จะเดินตามพวกเราจริงๆ
และเหตุผลที่สำคัญกว่านั้นคือ"คนทรยศ"
การหาพรรคพวกในสถานการณ์แบบนี้ มันเสี่ยงพอๆกับการกระโดดลงเหว หากเอ่ยปากบอกให้รู้ ชักชวนให้มาเข้าร่วมผิดคนก็เท่ากับฆ่าตัวตาย ดังนั้นจึงต้องหาคนที่วางใจได้จริงๆ ซึ่งแน่นอนว่ามันยากยิ่งกว่ายาก
ในนี้จะมีใครเป็นสายของพัศดี...ผมก็ไม่รู้
ในนี้จะมีใครเป๋นสายของป๋า..พี่โตก็ไม่รู้
ในนี้ใครจะเอาด้วย ในนี้ใครจะต่อต้าน ในนี้ใครจะวางใจได้ ในนี้ใครจะเข้าร่วม..เราสองคนไม่รู้
ดังนั้นการเดินไปยังเส้นทางนี้จึงทั้งเสี่ยง และทั้งอันตราย เลี่ยงอะไรได้ก็ควรเลี่ยง ต้องระวังตัวและพยายามทำทุกอย่างให้เเนบเนียนที่สุด
ไอ้เนมนิ่งคิดทบทวนแผนการและถ้วยคำกำชับกำชาของพี่โตซ้ำไปซ้ำมาในสมอง ขณะก้าวเท้าตามหลังผู้คุมไปยังห้องของพัศดีปรมัตถ์ ผมกลืนน้ำลายลงคอช้าๆรู้ดีว่าตัวเองไม่ได้ฉลาดเฉลียวหรือรู้ทันคนแบบพี่โต ออกจะโง่และซื่อบื้อเสียด้วยซ้ำ แต่มาจนถึงขั้นนี้แล้ว กับเส้นทางที่ผมและคนรักของตัวเองเลือกจะเดินไป อย่างไรผมก็จะทำมันให้ดีที่สุด
เงยหน้าขึ้นจ้องมองบานประตูไม้สีน้ำตาลเข้มหน้าห้องทำงานอันคุ้นแสนคุ้น ร่างของผู้คุมที่ยืนนำอยู่ด้านหน้ายกมือเคาะประตูเบาๆ แว่วเสียงอนุญาตจากในห้อง ไหล่ของผมก็ถูกผลักเบาๆให้ก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้องนั้น ไอ้เนมก้มหน้าพยายามทบทวนเรื่องที่ตัวเองต้องทำในสมองอีกครั้งก่อนจะสุดหายใจลึก และเงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาของพัสดีปรมัตถ์ที่มองตรงมาอย่างหนักแน่น
...หากแต่ร่างของนักโทษอีกหนึ่งรายซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติกที่แสนคุ้นตากลับทำให้ดวงตาของผมเบิกค้าง ในเมื่อคนๆนั้นมัน..
ไอ้เป้?
.........................................
"มึงเรียกกูมา มีอะไรเหรอ?"
คำถามที่ดังมาจากปากของเพื่อนสนิท ทำให้ขาใหญ่แห่งแดนสิบสองชะงัก โตยืนนิ่งอยู่ใต้ต้นมะม่วงที่ไร้ดอกผล มีเพียงใบสีเขียวสดสะพรั่งเต็มต้น ชายหนุ่มหันไปมองหน้า สบตาของคนที่ถือว่ามันเป็น"เพื่อน" ก่อนจะหรี่ตาลงน้อยๆ ในสมองกำลังปั่นป่วน ครุ่นคิด
หันมาหามันเพราะมันเป็นคนที่"น่าจะ"เข้าใจเขาได้ดี มากกว่าคนอื่น แต่ก็ไม่มีข้อประกันใดๆว่ามันจะเลือกอยู่กับเขาจริงๆ
แต่..ถึงแม้มันจะไม่อยู่ฝั่งเขา โตก็เชื่ออย่างหนึ่งว่ามันจะไม่เอาเรื่องของเขาไปบอกกับใคร
"หรือมึงมีเรื่องอะไร?" วิทย์เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเพื่อนยังคงมีท่าทีนิ่งเงียบ "เมื่อวานมึงไปเจอป๋ามา หรือจะโดนด่าอะไรอีก?"
"ประมาณนั้น.."โตพยักหน้ารับ ก่อนจะขมวดคิ้วฉับ "เอามันมาทำไมว่ะ?"
เอ่ยถามถึงนักโทษอีกคนที่เดินท่อมๆตามหลังไอ้วิทย์มาไม่ไกล เหมือนไอ้นี่มันจะไม่รู้เลยว่าเขาจะคุยกับมันสองคน ไม่มีสาเหตุจำเป็นอะไรต้องให้คนอื่นมาคุยด้วย โดยเฉพาะคนคนที่เขาไม่ชอบหน้ามัน..ไอ้เมฆ
"จะเป็นอะไรไปเล่า" ไอ้วิทย์มันส่ายหน้า หันไปมองเด็กของตัวเองที่พอถูกเพื่อนตัวเองถลึงตาใส่มันก็หงอทีอย่างน่ารักเป็นที่สุดในสายตาตัวเอง
"ห่างกันซักนิดก็ไม่ตายมั้ง" โตบ่นใส่ไอ้วิทย์ที่หลังๆมันชักจะหลงเมียมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงมันจะถือเป็นเรื่องที่ดีก็เถอะ เพราะอย่างน้อยคงไม่มีเรื่องกับไอ้หมอลวงโลกนั่นอีกสักพัก
"ทีมึงล่ะ นี่ถ้าไม่โดนเรียกไปก็ตัวติดกันยังกะตังเม" วิทย์ส่ายหน้า เถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อนึกอะไรได้ "จริงสิ โต..กูเห็นช่วงนี้มึงทำตัวแปลกๆกับไอ้เนม มีอะไรรึเปล่าว่ะ?"
"เปล่า" โตส่ายหน้า พฤติกรรมที่ผ่านมาของเขาคงทำให้คนอื่นสงสัยไม่น้อยว่าเกิดอะไรขึ้น การทำตัวโง่ๆประชดประชันกันเพราะความโกรธมันคงจะ"ชัด"เสียจนใครก็มองเห็นได้ ขนาดคนอย่างไอ้วิทย์ออกปากถามก็สมควรแล้วที่เขาจะพลาดให้พวกป๋ามันรู้เรื่องจนได้
"จริงนะ ช่วงนี้พัศดีมันยิ่งเรียกเมียมึงไปบ่อยๆอยู่"
"เออ เซ้าซี้อะไรนัก" เพราะต่อให้มันเคยเกิดขึ้น แต่จากนี้ก็ไม่มีแล้ว ไม่จำเป็นต้องมานั่งเล่าให้คนอื่นฟังให้เสียเวลาอีก
"เหอะ ก็นึกว่ามึงหวง ไม่ก็ระแวงว่าพัศดีมันอาจจะ....."
"ไอ้เมฆ มึงไปรอที่อื่น" เสียงของไอ้วิทย์ขาดหาย มันทำหน้าตกใจ เบิกตาขึ้นเหมือนนึกอะไรได้ นั่นทำให้โตรู้ได้ทันทีว่ามันน่าจะมองออกแล้วว่าไอ้เนมมันทำอะไรลงไป โตจึงรีบเอ่ยปากไล่เด็กของเพื่อนอย่างรวดเร็ว ต่อให้ไอ้เมฆมันจะอยู่กับไอ้วิทย์ แต่งูเห่าอย่างมันเชื่อใจไม่ได้ คนที่เคยทรยศมาครั้งนึงแล้ว จะแน่ใจได้อย่างไรว่ามันจะไม่ทำอีก หรือต่อให้มันเป็นพวกเดียวกันจริง ไอ้วิทย์เชื่อ ไอ้เนมเชื่อ แต่เขาคนนึงล่ะที่ไม่เชื่อ
"เหี้ยโต...นี่มัน..." วิทย์อ้าปากค้าง เตรียมโวยวายทันทีที่สามารถเดาเรื่องที่ผ่านมาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ไอ้เนมถูกเรียกไปสอบฐานมีโทรศัพท์มือถือไว้ครอบครอง แต่มันถูกปล่อยกลับมาโดยที่ไม่ถูกเรียกไปซ้อมอีก จะมีก็แต่พัศดีเรียกมันไปหาบ่อยๆ ต่อมาไอ้โตไม่พอใจ ท่าทีแปลกๆ แล้วจากนั้นพวกป๋าก็เรียกพบ..
....พอเรียบเรียงเหตุการณ์แล้วถึงได้แจ้งใจ ไม่จำเป็นต้องเดาก็แทบจะรู้ได้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
"นี่มึงปล่อยให้มันทำแบบนี้... " วิทย์ส่ายหน้า กัดฟันกรอดด้วยความไม่พอใจ ก็ว่ามันแปลกๆตั้งแต่ไอ้ครูสอนดนตรีโดนสอบ สรุปว่าแผนการที่วางมาถูกเอาไปบอกพวกมันโดยคนใน แผนที่วางไว้พยายามทำกันจะเป็นจะตายต้องมาพังเพราะคนๆเดียว จะไม่ให้โกรธได้ยังไง!
"กูไม่ได้ปล่อย" โตสวนคำขัดตาทัพไว้ก่อนเมื่อเห็นท่าทีนั้น ..ถ้ามันโกรธขนาดนี้ ไอ้การจะชัดจูงมาร่วมมือกันเห็นจะไม่มีเค้า
"แล้วทำไมพวกกูไม่รู้?"
"ให้มึงรุ้แล้วรุมกระทืบจนมันตายคาตีนเหรอ?" เลิกคิ้ว มองหน้าไอ้คนถามก่อนจะส่ายหน้า "กูมีวิธีจัดการของกู พวกมึงกระโตกกระตากไป สักแต่จะทำพัง"
"ก็ไอ้เหี้ยบางตัวมันก็ทำพังไปแล้วนี่!" วิทย์สวนกลับอย่างไม่ยอมแพ้ "กูคิดไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นแบบนี้ เรื่องที่เด็กมึงคาบข่าวเราไปบอกพัศดี มันยังไม่เท่าที่มึงเงียบ!ปิดพวกกู!"
"กูรู้ว่ามึงโกรธ แต่ฟัง!" โตตะโกนสวนคำพูดโหวกเหวกโวยวายของเพื่อนสนิทไว้แค่นั้น "เรื่องไอ้เนมมึงไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว พวกป๋ามันรุ้แล้ว และก็จัดการไปแล้ว..ต่อให้ข่าวที่มันคาบไปบอกจะทำให้แผนเสียหาย แต่ก็แค่นิดเดียว ตอนนี้พวกป๋ากำลังใช้มันเป็นเหยื่อล่อไอ้พัศดีอยู่"
"ขอให้แน่เถอะ!" วิทย์พ่นลมหายใจแรง จ้องหน้าคนพูดอย่างจับผิด "คนทรยศ มึงจับตาดูให้ดีก็แล้วกัน แน่ใจแค่ไหนว่ามันจะไม่ทำอีก เหอะ!"
"งั้นก็จับตาดูไอ้ตัวที่อยู่ข้างๆมึงด้วยซิ ร้ายกาจน้อยนักนี่.." โตสวนกลับอย่างรวดเร็ว มองหน้าคนฟังที่แววตาวาววับทันทีที่ได้ยิน
"เมฆไม่เกี่ยว!มึงอย่ามั่ว!"
“หึ..ทีคนของมึงโดนพาดพิงมึงยังโกรธ แล้วยังจะมาโวยวายใส่ไอ้เนมที่แม่งก็ถูกพัศดีหลอกใช้” โตว่าพลางมองหน้าคนที่ฮึดฮัดไม่หาย ”กูยอมรับว่าปกป้องมัน แล้วไง..ก็มันเป็นเมียกู อีกอย่างมันก็แค่ถูกบังคับ”
“เหอะ!” วิทย์พ่นลมหายใจยาว ไอ้คำต่อว่าที่จะออกมาจากปากหายไปทันควัน ไม่ใช่รับเหตุผลได้ แต่ไอ้คนทำมันยอมรับของมันหน้าด้านๆแล้วนี่ว่าปกป้องคนของตัวเอง อยากจะด่าว่าแม่งเห็นแก่ตัว แต่มันก็ยอมรับของมันออกมาโต้งๆซะจนใจจะด่า
"ไม่ว่าไอ้หน้าไหนมันก็น่าสงสัยพอกันนั่นแหละ" โตแสยะยิ้ม มองเจ้าคนที่ดกระหัวฟัดหัวเหวี่ยงตรงหน้า ก่อนจะหรี่ตาลงช้าๆ "ถ้ามึงรู้แล้วก็ดี จะได้คุยหันง่ายขึ้น...."
"มีอะไรอีก? "วิทย์ขมวดคิ้ว มองหน้าคนพูดซึ่งมีท่าทีแปลกๆ
"มึงอยากออกไปมากขนาดนี่เลยเหรอ?" ก่อนจะตอบคำถาที่ว่า โตกลับเอ่ยถามประเด็นใหม่ มองหน้ามัน เลิกคิ้ว ดูสีหน้าท่าทางของมันอย่างใคร่ครวญ
"หรือมึงอยากจะดักดานอยู่ที่นี่จนตาย" วิทย์ตอบคำ หันกลับไปมองหน้าคนถาม
..อีกอย่าง เขาสัญญาไว้แล้ว
บอกไว้แล้ว พูดไว้แล้ว ว่าจะออกไป จะพามันออกไปข้างนอก
ถ้าไม่ออกไป ถ้าทำไม่ได้ก็คงไม่ต่างกับที่ผ่านๆมา โกหก ให้ความหวังแล้วเหยียบทิ้ง ทำให้มันต้องร้องไห้อีกซ้ำๆ
ไม่เอาหรอกผิดสัญญา ไม่อยากทำ ไม่อยากให้เรื่องราวมันแย่มากกว่าเดิมอีกแล้ว
"เหรอ....งั้นก็ไม่มีอะไรจะพูด" ฟังมันบอก ดูสายตามันก็พอจะรู้แล้วว่ามันไม่เอาด้วย จะมาพูดอะไรอีกก็เปล่าประโยชน์แถมถ้าให้มันรู้มากเข้า เขานี่แหละจะเป็นอันตราย..
"หรืองว่ามึงจะทำอะไร..?" บางครั้งมันก็โง่และซื่อบื้อยิ่งกว่าอะไร แต่บ้างครั้งไอ้วิทย์มันก็ฉลาดจนน่าตบกะโหลก โตไม่รู้จะทำยังไงกับมันดี
"เรื่องที่ไอ้เนมทำมันจบแล้ว" โตพ่นลมหายใจพรู "มึงห้ามบอกใคร ห้ามทำตัวแปลกๆหรือทำท่าไม่พอใจใส่มัน ระวังด้วยเพราะในนี้มีหูตาของพัศดีอยู่ อย่าให้"ข่าว"ที่ไอ้เนมไปบอกพวกมันรั่วไหล หรือมีคนจับได้ว่าป๋าสั่งให้มันทำอะไร"
"มึงยังไม่บอกเรื่องที่กูถาม..."วิทย์ยิ้มเครียด ชักเริ่มจะรู้สึกแปลกๆ
"จะอยากรู้ไปทำไม" คนถูกถามขมวดคิ้ว
"มึงจะบอกกูเองหรือจะให้กูไปสืบดูถึงจะรู้" วิทย์จ้องหน้ากลับ หรี่ตาลงด้วยรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้น
"หึ..ติดนิสัยชอบเสือกเรื่องของชาวบ้านมาจากใครวะ" ขาใหญ่ของแดนสิบสองหรี่ตาลงน้อยๆจ้องมองหน้าคนที่กำลังจ้องหน้าเขาเขม็งอยู่ โตหรี่ตาลงช้าๆนิ่งไปสักพักก่อนจะระบายยิ้มที่ริมฝีปาก
"อย่ายุ่งกับเรื่องของกู ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่ากูไม่เตือน"
"แต่เรื่องของมึงกำลังทำให้พวกกูลำบาก" วิทย์ตอบโต้อย่างไม่ยอมแพ้ "กูคิดว่ากูพอจะรู้..ไม่สิ..บอกจากการทำตัวแปลกๆของมึงก็พอจะเดาออกว่ามึงต้องคิดอะไรอยู่"
"คนไม่มีสมองน่ะสิ ถึงจะเลิกคิด" โตสวนกลับก่อนจะไหวไหล่ "ที่กูพูดเพราะว่าเห็นมึงเป็นเพื่อน แต่ถึงเป็นเพื่อน ถ้าไม่เอาด้วยกูก็ไม่บังคับ แต่ถ้ามาขวาง กูก็ไม่ไว้หน้าเหมือนกัน"
"มึงกำลังจะทำอะไรกันแน่?" คำถามจริงจังที่ดังมากจากปากเพื่อนสนิททำคนฟังนิ่งไปพักใหญ่ โตจ้องมองสีหน้าของคนถามที่ฉายแววเคร่งเครียด ชั่วขณะสำนึกรู้ก็บอกชัดถึงทางตันของทางที่เขาต้องการจะเดินไป แต่บางครั้งคนเรามันก็แบบนี้ ต่อให้รู้ว่ารอดยาก ก็ยังอยากจะทำ เมื่อสมองมันต่อต้าน เมื่อความคิดมันเป็นอริ ลุกขึ้นมาโต้ตอบไม่ยอมอ่อนข้อแล้ว ต่อให้รู้ว่าที่ทำไปไม่ต่างกับกาฆ่าตัวตาย เขาก็พอใจจะทำอย่างนั้น
"กูไม่ไว้ใจป๋า แต่ก็ไม่ไว้ใจพวกมึง ไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น" โตพ่นลมหายใจออกมาช้าๆ "เพราะงั้นไม่จำเป็นต้องเล่า"
"มึงคบกับกูมากี่ปี ถึงมาพูดว่าไม่ไว้ใจหรือเชื่อไม่ได้ "ฟังคำพูดนั้นแล้วความโกรธแล่นวาบเข้าสมองทันที วิทย์ตะโกนถามกลับไปอย่างโกรธเกรี้ยว กับเจ้าคนที่บอกว่าเขาเชื่อไม่ได้ หรือไม่น่าเชื่อถือจนบอกเรื่องที่มันอยากจะทำไม่ได้นั่น
..ทั้งๆที่คบหากัน ช่วยกันฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆมาแท้ๆ
เขาอาจจะห่วย อาจจะใจอ่อนสร้างปัญหาหรือเป็นภาระให้มันบ่อยๆ แต่ทว่ายังไงเพื่อนก็คือเพื่อน จะไม่มีวันทรยศหรือทิ้งกัน แล้วทำไมมันถึงบอกว่าเชื่อไม่ได้?
"ที่ผ่านมากูกับมึงเดินไปทางเดียวกัน แต่คราวนี้ไม่ใช่..."นัยน์ตาของคนพูดหรี่ตาลงช้าๆ "กูไม่ได้บอกว่ามึงเชื่อไม่ได้ แต่คนเราถ้าความคิดมันแตกต่าง เดินคนละทางกันก็เชื่อใจไม่ได้ทั้งนั้น..และถ้ามึงจะออกไป..แสดงว่ามึงเดินอยู่คนละทางกับกู"
"นี่มึงให้ใครมาเป่าหู ถึงจะได้ยอมเลิกทางที่ตัวเองเลือกง่ายๆ มึงน่ะเป็นหัวหน้านะ!” วิทย์ตะโกนถามกลับด้วยอารามตดใจ นัยน์ตาเบิกกว้างกับข้อความที่ได้ยิน หากมันคิดจะเลิก แล้วแผนการที่ผ่านมาล่ะ เรื่องที่อุตส่าห์พยายามทำกันแทบเป็นแทบตายมันหมายความว่าอย่างไร มันจะยอมเลิกล้ม มันจะยอมให้ทุกอย่างจบลงง่ายๆแค่เหตุผลที่ว่าตัวเองไม่เอาแล้วงั้นเหรอ
มันจะไม่ยอมทำตามแผน มันจะทุบความฝันทุกคนทิ้งงั้นสิ?
“ไหนมึงบอกว่ามึงเป็นผู้นำ มึงไม่อยากฝให้ลูกน้องมึงเดือดร้อน แต่ที่มึงจะทำนี่มันอะไร!?”
"หึ เห็นไหมล่ะ แค่มึงได้ยิน มึงก็ออกอาการขนาดนี้ แล้วยังจะมาว่าทำไมกูถึงไม่เชื่อ" โตส่ายหน้า พ่นลมหายใจลงช้าๆ
“เรื่องลูกน้อง มึงอย่ามาอ้าง พวกมึงทำกันได้ อยู่กันได้โดยไม่มีกู กูไม่คิดจะลากใครไปพวกมึงพอใจจะอยู่กับป๋าก็อยู่สิ กูไม่ได้จะห้ามหรือจะพาพวกมึงไปลงนรกกับกูซะหน่อย”
“แต่ที่มึงจะไป มันต่างอะไรกับการทิ้งพวกกุ!”
“เป็นเด็กสามขวบเหรอว่ะ ถึงได้กลัวถุกทิ้งนัก” คนฟังส่สยหน้า “อย่ามาพูดให้กูขำ ต่อให้ลุกพี่คนอื่นไม่ใช่กู พวกมึงก็ตามกันอยู่ดี..”
“แต่.....” แต่ถึงเป็นคนใหม่ ถึงแม้ลูกพี่ที่จะมาจัดการเรื่องการ”ออกไป” จะเป็นใครอื่นก็ได้ ยังไงมันก็ไม่เหมือน
ถึงบางครั้งมันจะเหี้ย มันจะเห็นแก่ตัวหรือทำตัวน่าหงุดหงิด แต่ก็ไม่มีคนไหนที่เขาจะเดินตามหลังได้อย่างสนิทใจเท่ากับมันอีกแล้ว
แล้วตอนนี้ ไอ้โตกำลังจะบอกว่าไม่เอา..
ทำไม?
"ไม่ต้องคิด ไม่ต้องระแวง ว่าทำไม หรือมีใครจูงจมูกกู ไม่มีใครทำได้ถ้ากูไม่ยอมไม่มีทางที่กูจะเดินไปตราบใดที่กูไม่เห็นด้วย และถ้ามึงจะลืมไปแล้ว..เราไม่ได้ต้องการจะออกไปเอง แต่มันบังคับให้เราออกไป "พวกมัน"บังคับให้กู มึงและทุกๆคนต้องเห็นด้วย และเดินตามอย่างช่วยไม่ได้..แล้วพล่ามถึงผลตอบแทนที่เป็นอิสระ..หึ"
"มีอิสระแต่อยู่กับเจ้านายเหี้ยๆแบบนั้น มึงเคยคิดไหมว่าตัวเองจะต้องเจอกับอะไร?"
"แต่อย่างน้อยกูก็ได้ออกไป........" วิทย์เอ่ยเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้
"ออกไปแล้วไง? มึงเป็นอาชญากร ออกไปก็เป็นอาชญากร ถ้ามึงหวังจะให้ไอ้เมฆมันมีความสุขก็ฝันไปเถอะ...ไอ้ป๋ามันทำให้กูรู้ ทำให้กูเห็นชัดแล้ว ว่าถ้าออกไปแล้วจะต้องเจอกับอะไร"
"........"
"ถ้ามึงไม่รู้..ก็ถามไอ้เมฆสิ ว่ามันได้เจอกับอะไร..ลองถามมันดู ว่าระหว่างที่มันไปอยู่กับไอ้คนพวกนั้นแบบ"สบายๆ"น่ะ มันต้องแลกความสบายกับอะไรบ้าง" โตเอ่ยปาก เขาหรี่ตาลงพลางเม้มปากเข้าหากันช้าๆ "ต่อให้กูจะอยากออกไป แต่ถ้าออกไปแล้วต้องจมอยู่กับเงาของพวกมันจนตาย แล้วคนที่กูรักต้องถูกพวกมันทรมาร เหยียบเล่นเหมือนไม่มีค่า กูยอมตายคาคุกซะยังจะดีกว่า"
"เหี้ยเอ๊ย....ติดนิสัยเมียมึงมามากแล้วนะ ทำตัวเหมือนพวกนักบุญ เหอะ" วิทย์สถบในลำคออย่างหงุดหงิดกับเหตุผลที่ได้ฟัง มันอาจจะจริงหรือจะฟังขึ้นเขาก็ไม่รู้ รู้แต่ฟังแล้วหงุดหงิด หงุดหงิดชะมัดที่คนอย่างมันมาทำกลัวอะไรแบบนี้
"มึงก็เหมือนกัน ติดนิสัยไอ้งูเห่าข้างตัวมาซะจนอยากจะออกไปไม่มองหน้ามองหลัง" โตหรี่ตามองสบตาวิทย์แล้วแสยะยิ้มมุมปาก "เรื่องที่กูพุด จะจริงไม่จริง จะเพ้อฝันหรืองี่เง่า มึงได้เจอเองถึงจะรู้.....ตอนนี้กูรู้แล้วว่ามึงไม่เอาด้วย แต่ก็หวังว่าจะเห็นแก่หน้ากูและไม่เห่าหอนอะไรออกไป ไม่งั้น..กูไม่เอามึงไว้แน่"
"............"
"แล้วก็นะ...ไม่ต้องห่วงเรื่องที่พวกมึงจะออกไป ต่อให้ไม่มีกู พวกป๋ามันก็เตรียมคนไว้แล้ว แต่เพราะไม่มีกู มึงก็ระวังหลังไว้ล่ะ เพราะไอ้งูเห่าที่อยู่ข้างตัวมึง มันจะพาใครมาด้วย ก็รุ้ดีแก่ใจ"
"งานนี้มีคนทรยศ มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ระวังตัวไว้"
"คนทรยศ..? ก็มึงไม่ใช่เหรอ" วิทย์หัวเราะหึ แสยะยิ้มอย่างไม่เห็นขัน
"กูไม่ได้สนใจว่าใครจะออกไปบ้าง ถ้าพวกมึงออกไปแล้วรอดก็เชิญ ที่กูหมายหัวไว้ คือไอ้ป๋าต่างหาก" โตตอบคำ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
"แต่อย่าได้ออกไปแค่มีวิญญาณก็แล้วกัน"
....คำเตือนนั่นชวนให้ในใจสังหรณ์อะไรบางอย่าง วิทย์เม้มปากแน่น หรี่ตาลงช้าๆ จ้องมองแผ่นหลังของคนที่ห่างออกไปด้วยอาการชั่งใจ
ต่อให้มันบอกว่าไม่ได้คิดจะขวาง แต่ถ้ามันเล็งพวกป๋าไว้ จะต่างอะไรกับการขัดขวางกัน?
มันออกมาพูดมันก็น่าจะรู้ตัวดี แต่ทำไมถึงได้พูดแบบนั้น? กระทั่งการเอ่ยปากบอกเรื่องที่ตัวเองคิดออกมาง่ายๆ ทั้งที่ไม่เคยเป็นมันยิ่งแปลก..
ยิ่งพูดมากก็น่าจะรู้ว่าไม่ปลอดภัยต่อตัวเอง แต่มันก็ยังพล่ามเหมือนไม่สน
ไอ้โตมันวางแผนอะไรไว้กันแน่?
..................
งานนี้เริ่มเข้าสุดช่วงสุดท้ายยยย > < ปริศนาทั้งหมดกำลังจะคลี่คลายยยย
ขอโทษด้วยคะที่ไม่ได้อัพเมื่อวาน แบบว่าไม่ได้นอน กลับมาถึงห้องนอนยาวถึงตีสี่ (55+) ตั้งนาฬิกาปลุกก็ไม่ตื่นซะงั้น
ไปงานศพตาแล้วใจหาย ไม่ได้ร้องไห้แต่มันโหวงๆในใจ พอคิดว่าคนที่รอเราอยู่ทุกครั้งที่กลับไปจะไม่อยู่แล้ว ก็อดคิดถึงไม่ได้...กาลเวลานี่มันช่างน่ากลัวจริงๆ