เพราะว่ารักแท้......เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เพราะว่ารักแท้......เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว  (อ่าน 188065 ครั้ง)

ออฟไลน์ Lucifer

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
แล้วแซมล่ะ จะเป็นยังไงต่อไปน้ออออ  :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ปล. เห็นด้วยกะ ][GobGab][  มากมาย

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23
วิ่งไปเตรียมเสื้อเกราะ และขุดหลุมไว้หลบเรียบร้อยแล้ว
หวังว่าคงช่วยภูน้อยได้ในเร็ววัน  :call:

วันนี้ผมเอามาให้อ่านตอนสั้นๆ นะครับ... เพราะว่า.....ชอบแกล้งน่ะครับ.....55555

^
^
ทำร้ายจิตใจจัง  :monkeycry4:

ปล. เอ่อ...ฝรั่งเศส...เขียนอย่างนี้ไม่ใช่หรอ ถ้าไม่ใช่ก็โทษทีน้า (ไม่ได้ว่าเน้อ แค่คิดว่าน่าจะเขียนแบบนี้อ่ะ) :myeye:

abcd

  • บุคคลทั่วไป
มีแต่คนมีตำแหน่งปลอมตัวมา เท่ส์จริงๆ  :give2:



พอลงยาวก็ยาว พอจาลงสั้นก็สั้นจริงๆ
 :laugh5:

Andreas

  • บุคคลทั่วไป
“ในส่วนรายละเอียดต่างๆ ขอเชิญทุกท่านซักถามได้ในการประชุมตามกลุ่มภารกิจครับ...”ศิวะกล่าวตบท้าย

“ก่อนไปถึงวาระการประชุมกลุ่ม...ผมขอเชิญพักรับประทานกาแฟและของว่างชั่วคราวก่อนน่าจะดีกว่าครับ.....” พลตำรวจเอกรุ่งโรจน์ยื่นข้อเสนอให้หยุดชั่วคราวเพื่อผ่อนคลายอิริยาบถ ก่อนที่จะเข้าสู่การประชุมที่เข้มข้นมากขึ้น

ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนไม่ขัดข้องกับข้อเสนอดังกล่าว และแยกย้ายกันไปรับประทานของว่างและดื่มกาแฟที่จัดเตรียมไว้ตรงมุมห้อง รวมถึงคุยกันนอกรอบเพื่อทักทายและแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกัน.....ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่แต่ละคนในชุดปฏิบัติการที่ 1 ก็กระวีกระวาดไปแสดงความเคารพและทักทายอาจารย์ของตนเกือบทั้งหมดในทันที

“มีอะไรให้ลุงช่วยอีกหรือเปล่า...เสือ....” ท่านผู้บัญชาการกองกำลัง (ร่วมพิเศษ) เดินเข้ามาหาศิวะที่กำลังยืนคุยอยู่กับจอมยุทธ์....พลตำรวจเอกรุ่งโรจน์ยังคงใช้สรรพนามแทนตนว่า “ลุง” เสมอในทุกครั้งที่พุดคุยกับศิวะและจอมยุทธ์ นับตั้งแต่ได้พบกันครั้งแรกในงานเลี้ยงวันเกิดของท่านผู้หญิงประกายแก้ว ภัทรโภคิน ภริยาอดีตอธิบดีกรมตำรวจ ผู้เป็นเจ้านายที่พลตำรวจเอกรุ่งโรจน์เคารพเสมอ

ในตอนนั้นพลตำรวจเอกรุ่งโรจน์ในฐานะรองอธิบดีกรมตำรวจได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศให้รับผิดชอบในการสรรหาพลเรือนจำนวนทั้งสิ้น 4 คน ให้เข้ารับการทดสอบจากสำนักงานองค์การสหประชาชาติเพื่อเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญพิเศษสนับสนุนการต่อต้านการก่อการร้ายสากล โดยจำกัดคุณสมบัติเบื้องต้นมาว่าต้องมีพื้นเพทางการศึกษาที่ดี มีสุขภาพแข็งแรง มีความสามารถทางภาษาที่ดีเยี่ยม โดยจำกัดมาว่าต้องพูดได้ไม่ต่ำกว่าสองในสี่ภาษาที่องค์การสหประชาชาติกำหนด คือ อาราบิก ฝรั่งเศส สเปน และอังกฤษ

พลตำรวจเอกรุ่งโรจน์ใช้เวลาเกือบสองเดือนในการเฟ้นหาบุคคลจำนวนดังกล่าว แต่ก็ไม่พบใครที่มีคุณสมบัติครบถ้วนที่ต้องการ จนกระทั่งได้มาพบทั้งสี่หนุ่มที่สนิทสนมกับราวกับพี่น้องท้องเดียวกัน คือ ภูผา ฟ้าลั่น ศิวะ และจอมยุทธ์ ซึ่งรับเป็นผู้ช่วยในงานเลี้ยงพระเนื่องในวันเกิดท่านผู้หญิงประกายแก้ว...ผู้เป็นยายของภูผา ในช่วงเวลาปิดเทอมจากการเรียนในต่างประเทศ

ในตอนนั้นศิวะกำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการศึกษาหลังปริญญาเอก ขณะที่ภูผาและฟ้าลั่นกำลังศึกษาปริญญาเอกในปีสุดท้าย ส่วนจอมยุทธ์นั้นเพิ่งเรียนปริญญาโทมาได้หนึ่งปีพอดี

ภายหลังการทำความรู้จักผ่านทางท่านผู้หญิงประกายแก้ว พลตำรวจเอกรุ่งโรจน์ก็มีโอกาสได้ซักถามถึงคุณสมบัติต่างๆ ของทั้งสี่หนุ่ม และก็ช่างบังเอิญที่แต่ละคนสามารถพูดภาษาได้หลายภาษา รวมถึงมีประวัติการศึกษาที่ดีเด่น โดยได้คะแนนในระดับเกียรตินิยมทุกคน และสุดท้ายทั้งหมดกำลังสนใจและฝึกฝนกีฬายิงปืนตลอดจนศิลปะป้องกันตัว ซึ่งเรียกได้ว่าคุณสมบัติส่วนบุคคลนั้นครบสมบูรณ์ดังที่องค์การสหประชาชาติระบุมา

ในตอนนั้นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติมีมติให้มีการจัดตั้ง The United Nation Counter-Terrorist Operational Unit (CTOU) ตามกฎหมายระหว่างประเทศที่เพิ่งได้รับการอนุมัติให้ผ่าน โดยเป็นหน่วยงานเฉพาะกิจที่ทำหน้าที่สนับสนุนข้อมูลและวิเคราะห์ข่าวเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายให้แก่สำนักงานตำรวจสากลและองค์การสหประชาชาติ....ซึ่งพลตำรวจเอกรุ่งโรจน์เห็นว่าเป็นงานที่ไม่อันตรายและไม่จำเป็นต้องทำงานเป็นประจำ จึงได้ทาบทามทั้งสี่หนุ่มให้เข้ารับการคัดเลือก จนกระทั่งได้รับการฝึกภาคสนามทั้งสิ้นสามเดือนจนสำเร็จ และได้รับการบรรจุเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษขององค์การสหประชาชาตินับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

หลังจากนั้นไม่นาน.....ช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้าก็มาเยือน...เพราะการสูญเสียสมาชิกครอบครัวคือภูผาและฟ้าลั่นไปอย่างไม่มีวันกลับ โชคดีที่ขณะนั้นการปฏิบัติหน้าที่ส่วนใหญ่เป็นเพียงแค่การสนับสนุนด้านข้อมูลและการจัดการเรื่องข้อมูลเท่านั้น ไม่นับการฝึกพิเศษที่เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งเพราะหน่วยงานกับกำลังจะมีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ ทั้งศิวะและจอมยุทธ์จึงต้องพยายามแบ่งงานกันทำ ทั้งเรื่องการดูแลภูฟ้า รวมถึงงานที่ได้รับมอบหมาย หากเหลือบ่ากว่าแรงจริงๆเพราะเรื่องการฝึกภาคสนามที่เข้มงวดมากขึ้นทุกที ทั้งสองหนุ่มจึงจะขอร้องให้คริสเข้ามาดูแลภูฟ้า ซึ่งนั่นจึงเป็นสาเหตุให้คริสก็ผูกพันกับภูฟ้ามากพอกัน

“ขอบคุณครับคุณลุง....แค่นี้ก็ช่วยเหลือผมกับจอมอย่างเต็มที่แล้วครับ....”ศิวะตอบกลับด้วยความสุภาพในขณะที่จอมยุทธ์ก็กล่าวขอบคุณเช่นกัน

“ไม่เป็นไรหรอก...ลุงช่วยเท่าที่ทำได้เพราะอย่างไรเสีย...เสือกับจอมเองคงไม่สะดวกที่จะเริ่มต้นเอง...... อีกอย่างลุงก็เป็นห่วงตาภูด้วย......พวกมันคงคิดว่าเอาตาภูไปไว้ชายแดนคงจะปลอดภัยสำหรับพวกมัน....ชิงลงมือก่อนอย่างนี้แหละดีที่สุด.....ยิ่งลุงเห็นเพื่อนๆของเสือกับจอมตบเท้ามาพร้อมกันทุกคน...ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่นอกเหนือจากการฝึก...ลุงก็ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย.....อืม.....แต่ว่าจะใช้ที่ไหนประชุมงานกันละ...เห็นว่าต้องต่อระบบดาวเทียมด้วยนี่” ประโยคท้ายพลตำรวจเอกรุ่งโรจน์ถาม

“ผมขออนุญาตใช้ห้อง OR000 ได้มั้ยครับคุณลุง....” ศิวะเอ่ยถาม เนื่องจากห้องดังกล่าวถูกออกแบบและสร้างมาเพื่อการปฏิบัติการเฉพาะกิจ โดยมีระบบคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ทันสมัยที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์การสหประชาชาติอยู่พร้อมสรรพ....ห้องดังกล่าวเป็นห้องพิเศษในชั้นใต้ดินที่มีเพียงท่านผู้บัญชาการ ศิวะ และจอมยุทธ์เท่านั้นที่สามารถเปิดเข้าไปได้ 

“ได้ซิ...ตามสบายเลย.....จอมกับเสือมีบัตรผ่านอยู่แล้วนี่...งั้นลุงขอตัวก่อนนะ...มีอะไรโทรหาลุงได้ทุกเวลา” พลตำรวจเอกรุ่งโรจน์ให้ไฟเขียวอีกครั้ง ก่อนจะขอตัวออกไปคุยกับท่านรองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจปราบปรามยาเสพติดถึงภารกิจเร่งด่วนในเรื่องการทำหนังสือประสานงานต่อไป

หลังจากที่ได้พูดคุยกับพลตำรวจเอกรุ่งโรจน์จนเสร็จสิ้น ศิวะและจอมยุทธ์จึงเดินเข้าไปหานครินทร์และยุทธจักรที่กำลังยืนนิ่งอยู่ตรงหัวมุมของห้อง

“ข้าขอโทษนะเอ...ที่ทำให้ต้องแปลกใจ...ผมขอโทษแซมด้วยนะครับ....”ศิวะกล่าวขอโทษเพื่อนรักและสหายใหม่เป็นอันดับแรก

“ผมก็ขอโทษเช่นกันครับ....พี่เอ..พี่แซม.....” จอมยุทธ์กล่าวต่อมา

“ข้าไม่ให้อภัยโว้ย.....อะไรวะ.....ปิดบังเพื่อนอยู่ตั้งนาน.....ปล่อยให้ข้ากับไอ้แซม....งงเป็นไก่ตาแตก......อยู่ดีๆ แกจะกลายมาเป็น Detachment Commander.......ส่วนจอมเองก็กลายเป็น Bravo Team Leader ของหน่วยรบพิเศษแบบนี้.....เป็นใครก็โกรธโว้ย”นครินทร์แกล้งทำเป็นโกรธแค้น....ทั้งๆที่ใบหน้าฉายรอยยิ้มเต็มที่

“ไม่ได้หัวล้าน...แต่ทำเป็นใจน้อยไปได้....ถามจริงถ้าข้าบอกแกตั้งแต่แรก....แกจะเชื่อข้าเปล่าว๊ะ.....”ศิวะแกล้งสวนกลับบ้าง

“ไม่เชื่อโว้ย.....” นครินทร์ส่ายหน้าตอบโดยทันที....

“เออ....งั้นก็หายโกรธได้แล้ว....ข้าก็ยังเป็นเสือคนเดิม....จอมก็ยังเป็นจอมคนเดิม....ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงซักหน่อย.....แกก็ยังเป็นเพื่อนที่ข้ารักมากอยู่ดี.....” ศิวะพูด

“เฮ้ย....อย่ามาบอกรักข้าแบบนี้ซิ.....ข้าอายนะโว้ย.......”นครินทร์แกล้งทำเป็นตีหน้าซื่อทำตาปริบๆ ก่อนหันมาถามยุทธจักรที่ยังยืนนิ่งอยู่ข้างๆ

“ของอย่างนี้มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยนโว้ย.... เลี้ยงข้าวข้าซักมื้อสองมื้อดีกว่า....จริงมั้ยแซม”

“เป็นไรว๊ะแซม....ไม่พูดไม่จา.....” นครินทร์หันหน้ามาหายุทธจักร
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-03-2007 22:47:57 โดย Andreas »

Andreas

  • บุคคลทั่วไป
“คือ....ผมกำลังต่อจิกซอว์ชิ้นสำคัญอยู่ครับ......” น้ำเสียงของยุทธจักรมีแววครุ่นคิดบางอย่าง

“ทำไมว๊ะแซม...” นครินทร์ถามต่อ...ในขณะที่ศิวะกับจอมยุทธ์ยังคงนิ่งเงียบ เพียงแต่กำลังรอคอยบทสรุปที่นายตำรวจหนุ่มหน้าเข้มจะเอ่ยออกมา

“ผมขออนุญาตถามคำถามพี่เสือกับจอมได้มั้ยครับ....”

“เชิญครับ” ทั้งศิวะและจอมยุทธ์รับคำพร้อมกัน

“คืนวันที่พวกนั้นบุกโรงงาน....พี่เสือกับจอมคือเจ้าของกระสุนปืนปริศนาสองขนาดนั้นใช่มั้ยครับ....”ยุทธจักรเริ่มกระบวนการต่อจิกซอว์ให้เป็นรูปเป็นร่างทันที

“ครับ” ทั้งสองหนุ่มตอบ

“การส่งไฟล์ข้อมูลกองกำลังนายพลลู่เซอเข้าระบบพิเศษของสำนักงานและการตลบหลังพวกที่มาวางระเบิดหน้าบ้านในอาทิตย์ที่แล้ว..คืออีกผลงานของพี่เสือกับจอมใช่มั้ยครับ........” ยุทธจักรยังคงตั้งคำถามต่อ ส่วนนครินทร์ก็ยืนฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

“ใช่ครับ” ศิวะและจอมยุทธ์ตอบอีกครั้ง

“ผมคือคนที่ส่งไฟล์ข้อมูลเข้าไปให้เองครับ....ส่วนจอมคือคนที่วางระเบิดติดไว้กับพวกสี่คนนั้น”ศิวะคลายปริศนาให้กระจ่างขึ้น

“อืม....จุดใต้ตำตอนี่เอง.....”นครินทร์พยักหน้ารับทราบ ก่อนจะกล่าวคำขอบคุณต่อมาทันที

“ข้าต้องขอบใจแกมากนะเสือ...จอมด้วย....คืนนั้นที่โรงงงาน..ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือ...พวกข้าคงหมดท่าแน่”

“แต่ผมสงสัยว่า....ทำไมจอมถึงต้องติดระเบิดกลับคืนไว้ด้วยครับ....”ยุทธจักรยังคงตั้งข้อสงสัย

“ผมกับพี่เสือปรึกษากันแล้วว่า...มันจะเป็นวิธีเดียวที่จะเพิ่มน้ำหนักให้กับพี่เอในการขอกำลังสนับสนุนจากสำนักงานกองกำลัง (ร่วมพิเศษ)ฯ อย่างเร่งด่วน....ซึ่งก็จะทำให้การประสานงานในแผนการต่างๆมีความรวดเร็วมากขึ้นครับ....” จอมยุทธ์เป็นฝ่ายตอบ

“ผมกับจอมไม่ชอบการตั้งรับครับผม....ชอบบุกเลยมากกว่า....ก็เลยไม่อยากรอช้า....ยิ่งรอช้าก็จะเสียเปรียบครับ...”คำพูดของศิวะนั้นเป็นความจริงทีเดียว ก็เพราะการติดต่อประสานงานที่ล่าช้า จึงเป็นสาเหตุให้ศิวะและจอมยุทธ์ต้องลงมือมาจัดการงานต่างๆด้วยตนเองเช่นในขณะนี้ เพราะพวกนั้นได้เปลี่ยนเป้าหมายมาลักพาหัวใจของครอบครัวไป

“ครับ” ยุทธจักรพยักหน้าตอบเห็นด้วย

ก่อนจะมีการสนทนาต่อไป สายตาของยุทธจักรก็มาสะดุดอยู่ที่เข็มกลัดรูปอินทรีย์กางปีกบนปกเสื้อของศิวะ รวมถึงเข็มกลัดรูปใบไม้เจ็ดแฉกสีเงินติดอยู่บนปกเสื้อของจอมยุทธ์ที่ยืนถัดกัน

“เอ่อ.....ผมขอโทษที่เสียมารยาทครับ.....” เสียงของยุทธจักรอ่อนลงพร้อมกับตบเท้าชิดยกมือขึ้นทำวันทยหัตถ์ทันทีที่สมองประมวลว่าเครื่องหมายที่ติดอยู่บนปกเสื้อของทั้งสองคนนั้นหมายถึงอะไร ซึ่งทำให้ศิวะและจอมยุทธ์ต้องรับการเคารพโดยอัตโนมัติด้วยท่าเดียวกัน

“ไม่ต้องเป็นทางการหรอกครับแซม....ผมกับจอมชอบเป็นเพียงแค่ Executive Officer มากกว่าครับ....”ศิวะยิ้มให้เล็กน้อย

“ทำไมว๊ะแซม.....” นครินทร์สังเกตลักษณะน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปรวมถึงเห็นว่ายุทธจักรนั้นชิดเท้าทำความเคารพทั้งศิวะและจอมยุทธ์

“ผมพลาดไปเองครับ....ผมมัวแต่คิดเรื่องอื่นๆ จนไม่ได้สังเกตว่าพี่เสือกับจอมเป็นผู้เชี่ยวชาญของสำนักงานตามที่ท่านผู้บัญชาการกล่าวมาตั้งแต่ต้น.....ซึ่งถ้าเทียบตามสายงานแล้ว...ต้องถือว่าอยู่ในระดับผู้บังคับบัญชาสายสูงกว่าผม......รวมถึงเข็มกลัดบนปกเสื้อพี่เสือก็ระบุยศนายพันเอก ส่วนของจอมก็เป็นยศนายพันโทน่ะครับพี่เอ....” ยุทธจักรตอบนครินทร์ตามที่สังเกตเห็น

“อ๋อ...มิน่า.....แกคุ้นเคยกับทหารสหรัฐมาก่อนนี่เองถึงจำได้” นครินทร์เพิ่งจำได้เช่นกันว่าก่อนหน้าที่ยุทธจักรจะได้รับการบรรจุให้เป็นเจ้าหน้าที่ในสายปฏิบัติการ นายตำรวจหน้าคมรุ่นน้องคนนี้จบการศึกษามาจากโรงเรียนนายร้อย West Point แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา

ในขณะนั้นตำแหน่งโควตาทหารของสำนักงานถูกใช้จนหมดสิ้น ดังนั้นยุทธจักรจึงเข้ารับราชการในโควต้าของนายตำรวจแทน ซึ่งถ้าเป็นในสายงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็อาจจะเกิดปัญหาในการปฏิบัติงานบ้าง แต่เนื่องจากในสำนักงานกองกำลัง (ร่วมพิเศษ)ฯ นี้มีลักษณะงานที่แตกต่างกันออกไป เขาจึงสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างไม่มีปัญหา อีกทั้งการเรียนรู้ยุทธวิธีทางการทหารมานั้นก็ช่วยให้ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมจนสามารถเลื่อนเป็นหัวหน้าทีมชุดปฏิบัติการที่ 1 ซึ่งเป็นชุดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดได้ภายในไม่กี่ปี รวมถึงยศที่กำลังจะก้าวเป็นนายพันตำรวจโทในปีหน้านี้อีกด้วย

“เฮ้ย....งั้นข้าก็ต้องทำด้วยนี่หว่า....” นครินทร์เพิ่งนึกได้ จึงรีบชิดเท้าเตรียมทำวันยหัตถ์..แต่ถูกศิวะและจอมยุทธ์ห้ามอย่างรวดเร็ว

“ไม่ต้องมีพิธีหรอกครับพี่เอ....พี่เสือกับผมไม่ได้ใช้ยศในการปฏิบัติการครั้งนี้ครับ....โดยปกติก็ไม่ใช้ครับ....เพียงแต่เวลาแต่งเครื่องแบบมันต้องติดเข็มกลัดให้ครบเท่านั้นเองครับ.....”จอมยุทธ์เป็นฝ่ายอธิบายบ้างซึ่งนครินทร์ก็เข้าใจ  และพยายามทำตัวเป็นปกติเช่นเดิม

“ผมขอถามพี่เสือกับจอมเป็นคำถามสุดท้าย......ก่อนแยกไปประชุมได้มั้ยครับ....” ยุทธจักรถอนหายใจเบาๆ และตัดสินใจถามเรื่องที่คั่งค้างในใจมาตั้งแต่ทราบว่าศิวะและจอมยุทธ์คือเจ้าหน้าที่จากหน่วยรบพิเศษ

“เชิญครับ....แต่ถ้าจะถามว่าการยอมให้ตาภูถูกลักพาตัวไปนั้นเป็นแผนของผมกับจอมหรือไม่......ผมคงต้องตอบปฏิเสธครับ” ศิวะเป็นฝ่ายชิงตอบเพราะเดาคำถามที่ปรากฏในดวงตาของยุทธจักรได้

“แต่ทำไมถึงดูเหมือนว่าพี่เสือกับจอมเปิดช่องทางให้พวกนั้นถึงตัวตาภูได้ง่ายเหลือเกินครับ....”ยุทธจักรถอนหายใจอีกครั้งและพูดออกมาอย่างที่ใจคิด แม้ว่ามันอาจจะเป็นการเสียมารยาทมากอยู่ก็ตาม

ศิวะและจอมยุทธ์รับทราบความลำบากใจในน้ำเสียงของยุทธจักรเช่นกัน ดังนั้นศิวะจึงไม่ได้ติดใจว่าเป็นการเสียมารยาทแต่อย่างใด

“สถานะอย่างผมกับจอมนั้นไม่สะดวกในการเคลื่อนไหวอะไรได้หลายอย่างหรอกครับ....ยิ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในประเทศนั้นจำเป็นต้องพึ่งเจ้าหน้าที่ประจำท้องถิ่นซึ่งก็คือเอ ให้จัดการตามระเบียบและวิธีปฏิบัติต่างๆ.....ผมกับจอมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เพียงแต่อาจเร่งขั้นตอนบางอย่างให้เร็วขึ้นก็เท่านั้น ที่เหลือก็ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนที่สรุปออกมา....ในกรณีตาภูนั้นผมกับจอมก็พยายามปกป้องกันด้วยตัวเองมาโดยตลอด ทั้งศักดิ์ซึ่งเป็นนายทหารติดตามของผมรวมถึงภาวดีซึ่งเราทั้งคู่ฝึกมากับมือก็ช่วยเฝ้าระวังทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตาภู....เพียงแต่ว่าทางผมเองจะทำอะไรให้เป็นที่สังเกตมากนักก็จะไม่ดี  เพราะอาจจะถือเป็นการรบกวนการทำงานของเจ้าหน้าที่อย่างเอได้......”

“เราพยายามแบ่งกันทำงานอย่างเป็นระบบเสมอครับ...เกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยของตาภู.....แต่ก็พลาดจนได้ครับ.....” จอมยุทธ์เป็นฝ่ายต่อประโยคของศิวะให้จนจบ

ทั้งนครินทร์และยุทธจักรรับทราบความสุภาพและความพยายามอย่างยิ่งของศิวะที่จำเป็นต้องเลือกใช้คำพูดให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้นครินทร์ในฐานะเจ้าหน้าท้องที่ผู้รับผิดชอบคดีตั้งแต่แรกต้องเกิดความลำบากใจในการฟังความจริงดังกล่าว แม้ว่าศิวะและจอมยุทธ์จะไม่เห็นด้วยกับนครินทร์ตั้งแต่แรก แต่ก็ต้องให้เกียรตินครินทร์ในฐานะที่เป็นผู้ตัดสินใจ ศิวะและจอมยุทธ์ไม่ต้องการรบกวนการทำงานของนครินทร์ ทั้งสองคนทำได้แต่เพียงเฝ้าระวังตัวเองและภูฟ้าอย่างเต็มที่ก็เท่านั้น

 “ข้าขอโทษว่าเสือ....พี่ขอโทษนะครับจอม.....ข้าควรจะตัดสินใจให้รวดเร็วกว่านี้.....ไม่อย่างนั้นตาภูคงไม่ถูกลักพาตัวไปหรอก” นครินทร์กล่าวคำขอโทษออกมาภายหลังการรับฟังความอัดอั้นดังกล่าวของศิวะและจอมยุทธ์ และคิดว่าถ้าเป็นเขานั้น เขาคงจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่ทำลายน้ำใจและรบกวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในตอนแรกอย่างแน่นอน

“ไม่ใช่ความผิดของแกหรอกเอ.....เราทุกคนทำงานกันอย่างเต็มที่แล้ว.....ตอนนี้คงมีแต่เรื่องเดียวที่จำเป็นต้องทำ...ก็คือร่วมมือกันเพื่อกวาดล้างไอ้คนชั่วเหล่านั้นให้หมดไป....และช่วยตาภูกลับมาให้ได้อย่างปลอดภัยเท่านั้น” ศิวะพูดอย่างหนักแน่น

“ครับพี่เสือ....ผมจะปฏิบัติงานในครั้งนี้อย่างเต็มความสามารถครับ” ยุทธจักรรับคำอย่างแน่วแน่

“ข้าก็เหมือนกันเสือ....บอกข้ามาเลย....ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง....ข้าพร้อมจะประสานงานกับแกอย่างเต็มที่” นครินทร์ถือโอกาสตบบ่าศิวะเบาๆ ทั้งเป็นการตอกย้ำคำสัญญาและให้กำลังใจในฐานะเพื่อนสนิท

“ขอบใจมาก....”ศิวะตอบอย่างตื้นตันใจ

*********

kYos

  • บุคคลทั่วไป
ความจริงอีกหนึ่งข้อที่คาดไม่ถึง  ภูผา และ ฟ้าลั่น  คือเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญพิเศษอีก 2 คน ที่เสียชีวิตไปแล้ว
 :เฮ้อ: .. ลืมคิดไปเลยนะเนี่ย  เก่งกานจริงๆ
พี่แซมของเราก็เก่งใช่ย่อย.. พี่แซมสู้ๆน้อ.. อย่าเพิ่งท้อ  :yeb:

RoosT

  • บุคคลทั่วไป
ง่า... ฟ้าลั่นก็เป็นเจ้าหน้าที่พิเศษ แล้วทามมายถึงพลาดโดนรถชนตายได้เนี่ยยยยยย งิส์ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :monkeycry2:

แซมจะทำไงต่อไปน้าาาาา ว่าที่ภริยาเก่งกาจขนาดนี้ เหอๆ

gobgab

  • บุคคลทั่วไป

...........คิดถึงภูผากับฟ้าลั่นจัง........... :impress3: :impress3: :impress3:

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23

ภูน้อยรอก่อนนะ พ่อเสือกะอาจอมกะลังจะไปช่วยหนูแล้ว  :monkeysad:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ขอตามไปช่วยหลานภูด้วยคนค๊าบ  :โหลๆ:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Lucifer

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1288
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
ประกาศสงครามมมม  :โหลๆ: :โหลๆ:

สู้ๆ  :110011: :เชิป2: :110011: :เชิป2:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
มาให้กำลังใจพี่แซม  :yeb:

KevinKung

  • บุคคลทั่วไป
ตามอ่านไม่ทันซะที  :pigha2: :pigha2:

meemewkewkaw

  • บุคคลทั่วไป
ภูผากะฟ้าลั่นช่วยคุ้มครองตาภูด้วยเถ้อออออ :call:

ขอให้ภารกิจครั้งนี้สำเร็จด้วยดีด้วยนะครับ :impress:

Andreas

  • บุคคลทั่วไป
การประชุมกลุ่มย่อยเริ่มขึ้นหลังจากพักรับประทานอาหารว่างและดื่มกาแฟไปได้ไม่นานนัก โดยแบ่งออกเป็นสองส่วนอย่างชัดเจน ส่วนแรกคือรายละเอียดการประสานงานของนายตำรวจฝ่ายไทยกับเจ้าหน้าที่หน่วยรบพิเศษ โดยศิวะมอบหมายให้อเล็กซ์พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองและงานต่อต้านข่าวกรองรวมถึงเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการปฏิบัติการสนับสนุนภารกิจของหน่วยรบพิเศษ เป็นผู้ถ่ายทอดข้อมูลและแผนปฏิบัติการคร่าวๆให้นายตำรวจสายปราบปรามยาเสพติด เจ้าหน้าที่จากสำนักงานตำรวจสากล และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องในสำนักงานกองบัญชาการ (ร่วมพิเศษ)ฯ ตลอดจนพลตำรวจเอกรุ่งโรจน์ในฐานะผู้บัญชาการสำนักงานกองกำลัง
(ร่วมพิเศษ) ได้รับทราบ

ส่วนเจ้าหน้าที่หน่วยรบพิเศษที่เหลือแยกตามศิวะลงไปประชุมในห้องที่จัดเตรียมไว้

“ตามที่ทุกท่านได้รับแจ้งตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่า ภารกิจหลักๆมีอยู่สามประการ คือ การสลายกลุ่มและชิงตัวประกันที่ชายแดน...การสกัดกั้นการหลบหนีเข้าสู่พรมแดน.....และการจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องที่มีฐานพำนักอยู่ในประเทศไทย..... หลายท่านอาจจะสงสัยว่าตัวประกันในภารกิจนี้คือใคร.....” อเล็กซ์เริ่มต้นการประชุมอีกครั้งด้วยการทบทวนภารกิจ ก่อนจะเกริ่นนำถึงตัวประกัน

“คำตอบก็คือ เด็กชาย ภูฟ้า ภัทรโภคิน ศรีศิริโชคชัย” อเล็กซ์ใช้นิ้วมือกดลงไปบนแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์แบบพกพาสมรรถนะสูงที่ต่อระบบเข้ากับเครื่องฉายภาพนิ่ง เพื่อนำข้อมูลในคอมพิวเตอร์ส่งขึ้นฉาย

ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอคือภาพของหนูน้อยวัยห้าขวบ น่าตาหน้ารักน่าเอ็นดูปรากฏขึ้นมา

ชื่อกลางของหนูน้อยทำให้นายตำรวจระดับสูงเกือบทุกคนสะดุ้งขึ้นมาทีเดียว เพราะทราบดีว่าเป็นนามสกุลของอดีตอธิบดีกรมตำรวจผู้ล่วงชีวิตไปแล้ว และเป็นนามสกุลที่ท่านผู้หญิงประกายแก้ว ผู้เป็นภริยายังใช้ต่อมาจนกระทั่งบัดนี้ ทั้งอดีตอธิบดีกรมตำรวจและท่านผู้หญิงประกายแก้วล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและได้รับความเคารพจากบุคคลหลายกลุ่ม.... การที่ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลถูกลักพาตัวเช่นนี้จึงเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องรีบจัดการ

“เด็กชาย ภูฟ้า ภัทรโภคิน ศรีสิริโชคชัย  (Sky) มีสัญชาติอังกฤษโดยกำเนิด ในปัจจุบันอยู่ในความคุ้มครองของ ดร. ศิวะ รัตนพงศ์คิรี ในฐานะบิดาบุญธรรม และนายจอมยุทธ์ พัฒนประสาทศิลป์ ในฐานะผู้ให้การอุปการะ” อเล็กซ์อธิบายเพิ่มเติม

คำอธิบายของอเล็กซ์นั้นช่วยตอบข้อสงสัยให้กับผู้เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่ได้เป็นอย่างดีว่า เหตุใดหน่วยรบพิเศษจึงตบเท้าเข้าร่วมปฏิบัติการอย่างพร้อมเพรียงกันทุกนาย และเป็นการรวบรวมกำลังที่อยู่ทั่วทุกมุมโลกได้อย่างรวดเร็วภายในสิบแปดชั่วโมง รวมถึงเพียบพร้อมด้วยอาวุธจากฐานทัพในเมืองโอกินาวา.....เพราะหนูน้อยภูฟ้า...คือดวงใจของหัวหน้าหน่วยรบพิเศษและหัวหน้าชุดปฏิบัติการบราโว่นี่เอง......

“ดร.ศิวะกับคุณจอมยุทธ์ได้เข้าไปพัวพันกับกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดโดยบังเอิญ และถูกปองร้ายหลายครั้งแต่ก็สามารถป้องกันตัวเองไว้ได้ จนกระทั่งกลุ่มพวกนั้นเปลี่ยนเป้าหมายมาลักพาตัวสกายไปเพื่อเรียกค่าไถ่ตัว เป็นจำนวนเงินเท่ากับมูลค่าของยาเสพติดที่ Lt. Col. นครินทร์อายัดไว้ได้......สกาย ถูกลักพาตัวไปพร้อมกับพี่เลี้ยงชื่อนางสาว ภาวดี รังสิวัทน์ เมื่อวานนี้ ในเวลา 15.00 โดยประมาณ” อเล็กซ์พยายามปูพื้นฐานความเข้าใจให้แก่เจ้าหน้าที่ทุกคน

“โชคดีที่ว่า....เครื่องมือส่งสัญญาณระบุพิกัดระยะไกล  “High sensitivity tracking & positioning device” ได้ถูกติดตั้งไว้กับสกายตั้งแต่ก่อนที่จะถูกลักพาตัว โดยเครื่องมือนี้จะสามารถระบุพิกัดทั้งขณะเคลื่อนไหวและขณะหยุดนิ่งของ สกายได้ด้วยการส่งทั้งคลื่นวิทยุย่านความถี่พิเศษและสัญญาณโทรศัพท์ขึ้นสู่ดาวเทียมสอดแนมของสำนักงานองค์การสหประชาชาติ นอกจากนั้นยังสามารถขโมยและคัดลอกสัญญาณโทรศัพท์และวิทยุของบุคคลในแวดล้อมในระยะไม่เกิน 100 เมตร แล้วจึงส่งเข้าดาวเทียมสื่อสารเพื่อแปลงสัญญาณและบันทึกลงคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมเครือข่ายอยู่  นั่นจึงเป็นวิธีการสำคัญที่นำมาซึ่งข้อมูลของผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้ลักพาตัวในประเทศไทย.....รายละเอียดต่างๆ ผมขออนุญาตให้ พันตำรวจโทหญิง (Lt. Col.) Maria K. Hertz หัวหน้าทีมเจ้าหน้าที่ด้านข่าวกรอง นำเสนอข้อมูลโดยละเอียดครับ” อเล็กซ์อธิบายนำร่องจนเสร็จสิ้น ก่อนจะมอบหมายให้มาเรียเป็นผู้รับช่วงต่อ

พันตำรวจโทหญิงมาเรีย เป็นนายตำรวจหญิงเชื้อสายบราซิล สังเกตได้ชัดเจนจากสีผิวน้ำตาลอ่อนและดวงตาสีฟ้าจัด ผมสีน้ำตาลเข้มถูกรวบไว้อย่างเรียบร้อยและคุมทับด้วยหมวกอย่างแน่นหนา....มาเรียเป็นหญิงสาวอายุประมาณเกือบสามสิบปี ที่มีรูปร่างแข็งแรงสมส่วน รวมถึงความสูงระดับมาตรฐานสาวอเมริกาใต้ และเครื่องหน้าที่งดงาม เป็นที่ต้องตาในหมู่ชายหนุ่มที่นิยมสาวฝรั่งทั้งหลาย

“ดิฉันคงแทบไม่มีรายละเอียดอะไรที่จะกล่าวแล้วค่ะ...เพราะอเล็กซ์กล่าวไปเสียเกือบหมดแล้ว....” มาเรียกล่าว
อย่างติดตลก ส่งผลให้การประชุมที่เริ่มต้นด้วยความเครียด ผ่อนคลายลงทันที...

ด้านอเล็กซ์ที่ถูกพาดพิงก็พยักหน้าและหลิ่วตาให้เล็กน้อย เพื่อฝากไว้เอาคืนในภายหลัง

“ยกเว้นแต่การสนทนาระหว่างผู้ทำการลักพาตัวสกายและผู้ที่เชื่อว่าเป็นคนบงการ.....ซึ่งได้ทำการคัดลอกมาให้ทุกท่านได้รับฟังในขณะนี้” มาเรียส่งสัญญาณให้ศักดิ์เปิดไฟล์และดึงข้อมูลดังกล่าวเข้าสู่โปรแกรมถ่ายทอดเสียงทันที

เสียงที่ได้ยินออกจากลำโพงเป็นเสียงของชายคนหนึ่งกำลังรายงานผลการปฏิบัติภารกิจให้ชายคนหนึ่งที่อยู่ปลายสายโทรศัพท์ให้รับฟัง การสนทนากระทำอย่างกระชับแต่ก็พอจะจับใจความได้เกี่ยวกับเส้นทางและเวลาการส่งตัวสกายไปถึงที่หมาย

การสนทนาทางโทรศัพท์กระทำอย่างเป็นระยะๆ กับหลายบุคคล ซึ่งทำให้ทราบว่าการลักพาตัวนี้กระทำอย่างเป็นระบบและมีการเตรียมการมาอย่างดี สังเกตได้จากการกำหนดจุดเปลี่ยนรถและเวลาที่แม่นยำ
 
“ข้อสังเกตที่ร้อยโทศักดิ์ให้ไว้หลังจากที่วิเคราะห์ข้อมูลที่คัดลอกมาได้ว่า บุคคลปลายสายของทั้งการสนทนาครั้งแรกและครั้งสุดท้ายหลังจากภารกิจเสร็จสิ้นคือคนเดียวกัน และมีสรรพนามเรียกขานว่า...พ่อเลี้ยง....ซึ่งน่าจะเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังภารกิจนี้....ครั้นเมื่อเทียบเสียงกับบุคคลลึกลับที่บันทึกได้ในช่วงที่โทรศัพท์เข้ามาหาคุณจอมยุทธ์เพื่อเรียกค่าไถ่ตัวของสกายนั้น ก็พบว่าเป็นบุคคลเดียวกัน เพียงแต่ใช้หมายเลขโทรศัพท์ต่างกันเท่านั้น”

“การระบุพิกัดของบุคคลเป้าหมายได้เริ่มต้นขึ้นทันที ภายหลังได้รับข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ทั้งสองเลขหมาย โดยเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบดาวเทียมสื่อสารขององค์การสื่อสารแห่งประเทศไทย จนในที่สุดเราก็พบว่า เป้าหมายอาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่”  มาเรียหยุดอธิบาย ก่อนจะให้สัญญาณแก่เจ้าหน้าที่ข่าวกรองคนหนึ่งดึงข้อมูลที่กำลังอ้างถึงเข้าสู่หน้าจอ....

ภาพแสดงให้เห็นแผนที่มุมมองด้านบนของจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีจุดสีแดงจุดหนึ่งกระพริบอยู่....และเมื่อเจ้าหน้าที่ซูมเข้าไปในจุดดังกล่าว พร้อมปรับกำลังขยายให้ชัดเจนขึ้นให้เป็นสามมิติ ก็พบว่าเป็นตำแหน่งของคฤหาสน์ที่คุ้นตาเป็นอย่างดีของพ่อเลี้ยงมงคล....หนึ่งในนักธุรกิจคนสำคัญของภาคเหนือ....ที่มีภาพพจน์ขาวสะอาดและรักสันโดษมาตลอดเวลาหลายสิบปี

นครินทร์รู้จักพ่อเลี้ยงมงคลเป็นอย่างดี เพราะพบเจอกันในงานบุญกุศลสำคัญของเชียงใหม่หลายครั้ง และทุกครั้งก็จะพบว่าพ่อเลี้ยงมงคลมักจะเป็นหนึ่งในผู้บริจาคคนสำคัญ

ข้อมูลทุกอย่างที่มาเรียและศักดิ์นำเสนอมานั้นตอกย้ำว่า พ่อเลี้ยงมงคลเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการค้ายาเสพติดและการลักพาตัวภูฟ้าโดยปราศจากข้อสงสัยใดๆทั้งสิ้น

“เจ้าของบ้านหลังนี้คือบุคคลในภาพนี้ค่ะ” มาเรียกล่าวจบก็ปรากฏรูปภาพพ่อเลี้ยงมงคลที่หน้าจอ

“ไม่ทราบว่าจะ overlay สัญญาณจากดาวเทียมสอดแนมทางธรณีวิทยาบริเวณบ้านหลังนี้ได้มั้ยครับ” ยุทธจักรถามขึ้นหลังจากที่การประชุมเงียบลงชั่วครู่

“ได้ค่ะ” มาเรียตอบพร้อมดึงข้อมูลมาซ้อนทับกันทันที

“จากข้อมูลบนหน้าจอ......แสดงว่าบริเวณบ้านหลังนี้มีห้องใต้ดินที่น่าจะเป็นที่เก็บสะสมอะไรซักอย่างหนึ่งด้วย” ยุทธจักรวิเคราะห์

“ถูกต้องแล้วค่ะ” มาเรียสนับสนุน

“คุณมาเรียใช้ thermo scan ได้มั้ยครับ...” ยุทธจักรขอร้องอีกครั้ง เพราะว่าการใช้ thermo scan จะสามารถตรวจจับแหล่งกำเนิดความร้อน โดยที่เมื่อปรับค่าต่างๆให้เหมาะสมก็สามารถใช้ระบุจำนวนสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ได้

“ปรับให้แล้วค่ะ.....และกำหนดให้แสดงทุกๆสามชั่วโมงนับจากเมื่อวานนี้ค่ะ”

ยุทธจักรพยายามนับจุดคร่าวๆ ที่แสดงจำนวนคนในบ้านหลังนั้น และสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงคร่าวๆ ตามเวลาที่แตกต่างกัน

“จำนวนคนในบ้านหลังนี้มีประมาณ 30-35 คนค่ะ” มาเรียสรุปให้นายตำรวจที่ไม่คุ้นเคยกับการอ่านข้อมูลดาวเทียมได้รับทราบ

“ไม่ทราบว่ามีคำถามอะไรอีกหรือไม่คะ” มาเรียกล่าวในตอนท้ายก่อนที่จะหมดหน้าที่ของตน

สายตาเกือบทุกคู่จับจ้องมาที่นครินทร์ เพื่อรอดูปฏิกิริยาว่าเขาจะมีคำถามเพิ่มเติมหรือไม่ หรือจะวางแผนการใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อดำเนินการจับกุมพ่อเลี้ยงมงคลอย่างไร เพราะดูเหมือนทุกคนจะรับทราบเป็นนัยๆ มาตั้งแต่ต้นแล้วว่า นครินทร์จะเป็นคนรับผิดชอบการจับกุมในครั้งนี้ เพราะเป็นเจ้าของคดีนี้ตั้งแต่เริ่มแรก

“มีความเป็นไปได้มั้ยครับ....ที่จะดักฟังสัญญาณโทรศัพท์ของพ่อเลี้ยงมงคลอีกครั้ง และกระทำตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อที่จะได้ข้อมูลเพิ่มเติมของสายยาที่ยังคงมีอยู่ตามที่ต่างๆ ในประเทศไทย โดยเฉพาะหลังจากฐานที่มั่นของนายพลลู่เซอถูกทำลายลง ผมว่าพ่อเลี้ยงมงคลคงต้องทำการติดต่อสายยาอื่นๆ เพื่อแจ้งข่าว ในช่วงเวลานั้นเราน่าจะได้ข้อมูลอะไรเป็นรูปเป็นร่างมากกว่าการที่บุกจับพ่อเลี้ยงมงคลเพียงคนเดียวในตอนนี้”

นายตำรวจระดับสูงทุกคน เช่น ผู้บัญชาการกองกำลัง (ร่วมพิเศษ)ฯ รองผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และเจ้าหน้าที่ตำรวจสากลประจำประเทศไทย รู้สึกชื่นชมความคิดที่ฉับไวของนครินทร์เป็นอย่างมาก ไม่รวมถึงความประทับใจในการสื่อสารภาษาอังกฤษที่ชัดเจนและเป็นทางการอย่างไม่มีที่ติ ซึ่งแทบไม่แตกต่างอะไรกับยุทธจักร และ ศิวะเลยทีเดียว

“ผมเข้าใจว่า มันอาจจะมีความเสี่ยงอยู่บ้างว่าพ่อเลี้ยงมงคลจะไหวตัวทันหรือหลบหนี แต่ผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเราน่าจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาก่อน อีกประการหนึ่งทางฝ่ายโน้นคงไม่มีทางทราบได้เลยว่าเรากำลังเตรียมการอะไรอยู่.... ดังนั้นผมจึงคิดว่าน่าจะใช้สถานการณ์นี้ให้เป็นประโยชน์ นอกเหนือจากการส่งเจ้าหน้าที่คอยจับตาดูการเคลื่อนไหว และพร้อมที่จะนำกำลังเข้าจู่โจมและจับกุมทันที่ที่พ่อเลี้ยงมงคลแสดงทีท่าหลบหนีออกนอกประเทศครับ”

“จุดสำคัญอย่างหนึ่งคือ พ่อเลี้ยงมงคลมีเส้นสายอยู่มาก และการที่เขามีภาพพจน์ที่ดีมาตลอดสิบปีนั้น ทำให้ผมต้องมั่นใจว่า ข้อมูลที่ได้รับทุกอย่างต้องมัดตัวเขาให้ดิ้นไม่หลุด และต้องสามารถใช้ข้อมูลนั้น ขยายผลเพื่อการนำจับบุคคลที่สมรู้ร่วมคิดทั้งขบวนการในประเทศไทย” นครินทร์กล่าวอย่างหนักแน่น ทุกอย่างที่กล่าวออกมาอยู่บนพื้นฐานที่ว่า เขาต้องการที่จะถอนรากถอนโคนขบวนการนี้ให้หมด และเพื่อจะป้องกันไม่ให้ครอบครัวของเพื่อนรักอย่างศิวะ ต้องคอยระมัดระวังกับกลุ่มคนที่หวังจะแก้แค้นอีกด้วย

“ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ...Lt. Col. นครินทร์” อเล็กซ์เป็นคนแรกที่กล่าวสนับสนุนความคิดของนครินทร์

“ดิฉันได้รับมอบหมายจากหัวหน้าศิวะให้เข้ามาช่วยงานนี้จนกว่าจะเสร็จสิ้น ดังนั้นทุกอย่างที่ Lt. Col. นครินทร์ขอมา ดิฉันและเจ้าหน้าที่ทุกคนจะสนับสนุนอย่างเต็มความสามารถค่ะ” มาเรียกล่าวแทนเจ้าหน้าที่ที่เหลือ

“ผมขอสนับสนุนอย่างเต็มที่ หากคุณมีปัญหาอะไร โทรศัพท์ตรงเข้าหาผมได้ในทันที” ท่านรองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดเปิดไฟเขียวอย่างเต็มที่ ซึ่งหมายถึงว่านครินทร์จะสามารถประสานงานได้ทุกระดับชั้นและต้องเป็นไปด้วยความรวดเร็ว และยังเป็นข้อคำสั่งโดยตรงให้กับผู้บังคับการฯ และ ผู้กำกับการฯ ซึ่งเป็นนายตำรวจระดับสูงให้อำนวยความสะดวกต่างๆ อย่างเต็มกำลังความสามารถ

ในตอนท้าย พลตำรวจเอกรุ่งโรจน์ก็เปิดช่องทางให้นครินทร์สามารถขอกำลังสนับสนุนจากชุดปฏิบัติการชุดที่สองที่แสตนด์บายไว้สำหรับคดีนี้ได้ทุกเวลา ในกรณีที่ขาดกำลังพล

ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นดูเหมือนว่าจะลงตัวเป็นอย่างดีทั้งเรื่องการสนับสนุนทั้งเรื่องการประสานงาน ข้อมูล เทคโนโลยีชั้นสูง และกำลังพล คงเหลือแต่แผนปฏิบัติการณ์โดยละเอียดที่นครินทร์จำเป็นต้องถ่ายทอดออกมาให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทราบในไม่ช้า


Andreas

  • บุคคลทั่วไป
“ในขณะที่รอแผนการดำเนินงานอย่างละเอียดจากพันตำรวจโทนครินทร์ ผมว่าเราควรจะคุยต่อในภารกิจที่สองเลยนะครับ” พลตำรวจเอกรุ่งโรจน์ เปลี่ยนวาระการประชุม เพื่อเข้าสู่เรื่องสุดท้ายในทันที

ไม่มีข้อขัดแย้งใดๆ จากทุกคนในห้องประชุม เนื่องจากทราบดีกว่า ขณะนี้เวลากระชั้นชิดขึ้นมาเต็มที่ กองกำลังรบพิเศษจะพร้อมเข้าสลายกลุ่มและชิงตัวประกันในอีก 12 ชั่วโมงข้างหน้า ดังนั้นทุกคนจึงต้องรีบประชุมกำหนดรายละเอียดให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุด เพื่อจะได้สามารถประสานงานกับศิวะได้ทันเวลา

อเล็กซ์เปิดโอกาสให้ นายพันตรี (Maj.) Michael V. Gallegos นายทหารหนุ่มลูกครึ่งเมกซิกัน-อเมริกัน สังกัดกองทัพบกสหรัฐอเมริกา ให้เริ่มชี้แจงแผนการปฏิบัติงานโดยรวม ที่ได้ตกลงกับศิวะมาก่อนหน้านี้แล้วบางส่วน

“สวัสดีครับ” เสียงคำทักทายเป็นภาษาไทยค่อนข้างชัดดังออกมาจากนายทหารหนุ่มรูปร่างดีสมส่วน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นภาษาแม่ของตนตามมาทันที

“จากเครื่องระบุพิกัดที่ติดตั้งไว้บนตัวสกาย ทำให้เราทราบว่าในเวลานี้สกายอยู่ที่ใด......จากแผนที่ที่ปรากฏอยู่ จุดที่กำลังกระพริบอยู่สองจุดนั้น หนึ่งคือตำแหน่งของสกาย และอีกจุดหนึ่งคือตำแหน่งของพี่เลี้ยง ซึ่งได้รับการฝัง Microchip ติดตามการเคลื่อนไหวถาวรไว้บนร่างกายเช่นกัน” มิคาเอล อธิบายตามแผนที่ทางอากาศที่ปรากฏอยู่

“ตำแหน่งที่สกายถูกคุมขังอยู่นั้นคือพิกัด Latitude ที่ 180 35’ 57.11 (N) : Longitude ที่ 970 21’ 35.95 (E) หรือ 70 กิโลเมตร ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอำเภอแม่สะเรียง ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตำแหน่งดังกล่าวเป็นที่ตั้งของกองกำลังกระเหรี่ยงป้องกันตนเอง ภายใต้การนำของนายพลลู่เซอ ซึ่งถือเป็นค่ายขนาดใหญ่ตั้งอยู่ทางด้านฝั่งซ้ายของแม่น้ำสาละวิน บริเวณรอยต่อของรัฐคะยาและรัฐคะยิ่นของประเทศพม่า” มิคาเอลรายงานต่อ

ด้วยภูมิประเทศและข้อมูลจากแผนที่ทางอากาศที่ปรากฏอยู่บนจอภาพขนาดใหญ่ ทำให้ยุทธจักรทราบโดยไม่ช้าว่า สาเหตุสำคัญที่กองกำลังกระเหรี่ยงเลือกพื้นที่นี้เป็นที่ตั้งค่าย คือเรื่องความสะดวกในการเดินทาง เนื่องจากสามารถใช้เส้นทางล่องแม่น้ำสาละวิน ลงไปยังทะเลอันดามัน ซึ่งสามารถไปต่อได้หลายประเทศ หรือใช้เส้นทางแม่น้ำสาละวินล่องขึ้นไปทางทิศเหนือ ผ่านทางรัฐฉาน เข้าสู่เชียงตุง เรื่อยลงมาจนถึงบ้านท่าขี้เหล็ก ก่อนจะเข้าประเทศไทยตรงด่านแม่สายหรือไม่ก็เข้าบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ส่วนเส้นทางสุดท้ายที่สะดวกไม่แพ้กัน คือ เดินข้ามพรมประเทศเข้าสู่อำเภอแม่สะเรียง แล้วใช้พาหนะต่อไปยังจังหวัดอื่นๆของประเทศไทย

“ตามแผนเบื้องต้นของหัวหน้าศิวะ....การจู่โจมจะกระทำพร้อมกันสามจุดคือ ทางด้านทิศเหนือ ด้านทิศตะวันออก และทิศตะวันตกของค่าย เพื่อกดดันให้พวกที่เหลือถอยร่นลงทางใต้ตามละน้ำสาละวิน โดยบริเวณนั้นเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษจากประเทศไทยและเจ้าหน้าที่ด้านการปฏิบัติการสนับสนุนภารกิจ จะเตรียมยิงสกัด และ/หรือ จับกุมตัวไว้ เพื่อไม่ให้เข้ามาในอาณาเขตของประเทศไทยได้....สำหรับรายละเอียด ผู้การศิวะจะอธิบายให้ทราบอีกครั้งในเวลา 6 โมงเย็นวันนี้ ที่จังหวัดเชียงใหม่” มิคาเอลอธิบายอย่างรวบรัดจนเสร็จสิ้น

“ในเบื้องต้นนี้มีคำถามอะไรมั้ยครับ” มิคาเอลถาม

“ทางเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการสนับสนุนภารกิจจะใช้อาวุธประเภทไหนครับ” ยุทธจักรเป็นคนตั้งคำถาม เพื่อจะได้เตรียมการสนับสนุนได้อย่างถูกต้อง

“การปฏิบัติการในครั้งนี้ พวกเราใช้รหัสอาวุธระดับสอง...คืออาวุธปืนยาวอัตโนมัติ ระเบิดมือ และ shoulder-launched missile weapon” คำตอบของมิคาเอล ทำให้ที่ประชุมที่เงียบสนิทอยู่แล้วกับเงียบสนิทลงไปอีก เพราะคำตอบที่ได้ชี้ชัดลงไปว่าพวกเขาหมายจะทำลายทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลอง 

“ผมหมดข้อสงสัยครับ..เพียงแต่มีข้อเสนอแนะว่า เราต้องประสานงานไปยังตำรวจตระเวนชายแดน ที่ประจำด่านแม่สะเรียงอย่างรวดเร็ว เพื่อให้อำนวยความสะดวกเปิดทางให้พวกเราเข้าพื้นที่ได้ และเราอาจจำเป็นต้องร้องขอกำลังสนับสนุน เพราะเจ้าหน้าที่เหล่านั้นชำนาญในพื้นที่มากกว่า” ยุทธจักรให้ข้อเสนอแนะ

“ผมจะรับผิดชอบประสานงานให้ก่อนเที่ยงนี้ครับ...และคาดว่าจะได้รับการยืนยันก่อนการแยกย้ายไปเตรียมตัว” พลตำรวจเอกรุ่งโรจน์รับอาสา

“สุดท้ายแล้วครับ... ผมจำเป็นต้องขอพบเจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อสาร เพื่อเตรียมอุปกรณ์และคลื่นความถี่เพื่อใช้ขณะปฏิบัติภารกิจครับ” มิคาเอลกล่าวทิ้งท้ายก่อนที่หน้าที่ของเขาจะสิ้นสุดลง

“ผมจะรับจัดการให้หลังการประชุมทันทีครับ” ยุทธจักรตอบตามข้อเรียกร้อง

ในที่สุดการประชุมที่ดูเหมือนจะยาวนานก็สิ้นสุดลง ทุกคนดูเหมือนจะจมกับความคิดของตนเองในชั่วขณะ แม้กระทั่งนายตำรวจระดับที่สูงกว่านครินทร์ รวมถึงเจ้าหน้าที่จากสำนักงานตำรวจสากลที่แม้ว่าจะไม่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจภาคสนาม แต่ก็ต้องดูแลอำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้งเรื่องการประสานงานและเอกสารต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องเอาใจใส่มากพอสมควร

ท้ายสุด.....อเล็กซ์ได้รับเกียรติให้เป็นผู้ปิดการประชุม....เขากล่าวอย่างสั้นๆ ว่า

“ขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี....ภารกิจที่จะกระทำร่วมกันต่อไปนี้ จำเป็นต้องปราศจากข้อผิดพลาดใดๆ เพื่อป้องกันไม่ให้คนเหล่านั้นผลิตยาบ้า...อาวุธสงคราม...และคุกคามชีวิตของผู้บริสุทธิ์อีกในอนาคต”

“ขอบคุณครับ” อเล็กซ์กล่าวปิดท้าย ก่อนที่เจ้าหน้าที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายต่อไป

RoosT

  • บุคคลทั่วไป
 :haun5: วันนี้มาแบบภูมิศาสตร์ศึกษารึคับพี่แอนเดีรย์ส ข้อมูลปึ๊กมากๆอ่า

ว่าแต่เทคโนโลยีที่พี่เขียนนี่ มันมีแล้วจิงๆในโลกปัจจุบันรึคับ  :myeye: ไม่เคยรู้มาก่อนเรยอ่า แหะๆ (โลกแค๊บแคบผม)

ปล. ยกทัพกันมาแบบนี้ น้องภูต้องปลอดภัยแน่ๆเรยยยยย  :myeye:

 :give2: น้องภูจะมีบทบาทสำคัญๆ ออกมาอีกมะน้าาาาาาา

gobgab

  • บุคคลทั่วไป

..........วิชาเรียนวันนี้คือ ยุทธวิธีทางทหาร.......... :laugh5: :laugh5:

...................ช่วยตาหนูภูออกมาหั้ยได้นะ.... :110011: :เชิป2:

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586

ขอเม้นต์แบบไม่กลัวโดนตบเลยนะเคอะ

"เยิ่นเย้อ"

คำเดียวสั้นๆ คิดว่าคงเข้าใจนะ อิอิ  ถ้าไม่เข้าใจก็มานอนถามตัวต่อตัวได้นะเคอะ  จะรอไม่หนีไปไหนเลย  อิอิ 

ปล. สงสัยเหมือนรีบน  เก่งขนาดนั้นไหงปล่อยตัวให้รถชนตายได้ง่ายๆ  น้ำหนักเบามาก  ศาลไม่รับฟ้องเคอะ อิอิ

จ๋อมขา  ข้อมูลของเรื่องนี้ตีกันกับเรื่องก่อนมากเลย  ขัดกันยังไงชอบกลอะ!

ปลล. บางทีการให้ข้อมูลมากเกินไปจนเกินความจำเป็นก้กลับกลายเป็นการทำลายอรรถรสของเนื้องเรื่องไปได้มาก

ข้อมูลที่ควรนำมาใส่จึงควรแค่เสริมเนื้อเรื้องให้มันดูสมจริงเท่านั้นเอง  อิชั้นคิดว่าควรเป็นแบบนี้อะนะ

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
ข้อมูลแน่นปึกเยยยย เจ๋งดี อิอิ

เราสงสัยอย่างนึงอะ คิดว่าพวกชนกลุ่มน้อยพวกนี้หรือพวกที่จับตัวไปนี่เค้าเป็นคนกลับกลอกรึปะ(  เค้าต้องการแค่เงินจริง ๆ หรือว่าอย่างอื่นด้วย  คือ เราคิดว่าถ้าเค้าไม่กลับกลอก  ถ้าเราให้เงินไปก่อน  เอาเด็กกับพี่เลี้ยงมาก่อน  แล้วไปถล่มทีหลังนี่มันเป็นไปได้ปะ หรือมันก็เสี่ยงอยู่ดี   เพราะว่าบุกไปแบบนี้กว่าจะถึงตัวประกัน เค้าไม่รู้ตัวไปแล้วเหรอ เด็กก็เสี่ยงอะดิ  อันนี้สงสัยแบบไม่รู้จริง ๆนะ คือ อ่านแล้วมันเกิดความคิดว่าต้องบุกขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย  ไม่มีวิธีอื่นแล้วเหรอ  ถ้าเป็นเด็กคนอื่นที่พ่อไม่เป็นนายทหารหน่วยรบพิเศษ  เด็กมันไม่ตายไปแล้วเหรอ  แล้ววิธีการปกติเค้าทำไงกัน อะไรประมาณนี้อะ  แหะ แหะ

รออ่านต่อน้า สู้สู้  :loveu:  :loveu:  :loveu:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






Andreas

  • บุคคลทั่วไป
กำลังเซ็ง :angry2: :angry2: :angry2: :angry2: :angry2: :angry2:

ทามมายกู้คืนมาวันนี้..... :serius2: :serius2:

ทามมายไม่กู้มาหลังจากที่ผมตอบกระทู้ยาวๆ ไปหา....... เซ็งจริงๆ

ผมไม่เคยเซฟเวลาผมเขียนตอบกระทู้เลย...... พอเวปล่ม....มันหายไปหมด.....เครียดๆๆๆๆ

เฮ้อ.......

นี่ต้องมานั่งโพสต์ใหม่.....ผมล่ะเหนื่อย.....เฮ้อ....

อืม....เอาก็เอาว๊ะ...เพื่อแฟนๆๆๆ

Andreas

Andreas

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 8 ตามล่า....ตามหาดวงใจ

ภาวดีคงนั่งกอดภูผาไว้ตลอดขณะอยู่บนรถที่กำลังเดินทางไปสู่จุดหมายสักแห่งหนึ่งที่เธอไม่อาจทราบได้....สองแขนที่โอบล้อมภูฟ้าไว้ คือสายใยเส้นสุดท้าย ที่จะช่วยผ่อนคลายความหวาดกลัวที่มีอยู่ในจิตใจอันขาวสะอาด..บริสุทธิ์...ของชีวิตน้อยๆที่เธอรักยิ่ง

ภูฟ้ารู้สึกตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัดในตอนแรกของการลักพาตัว.....จากความผิดปกติที่เกิดขึ้น....การที่ต้องมาอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้ากับคุณภาวดี....เส้นทางที่ผ่านมานับชั่วโมง ไม่ได้คุ้นตาหนูน้อยเลยซักนิด.....

เด็กน้อยเริ่มเสียขวัญ......น้ำตาของภูฟ้าไหลลงจากดวงตาคู่สวย....ดวงตาที่ถอดแบบมาจากบิดาที่จากไป.....

“คุณภา....เค้าจะพาภูไปไหนครับ.....ภูอยากกลับบ้าน.....ภูคิดถึงพ่อเสือ...ภูคิดถึงอาจอม” เด็กน้อยพูดทั้งน้ำตา...พลางซุกใบหน้าลงไปแนบอกภาวดี ภูฟ้าใช้มือเล็กๆ กอดผู้เป็นพี่เลี้ยงไว้เพื่อหากำลังใจ...และหลีกหนีจากความหวาดกลัวที่เกิดขึ้น

“คุณภูขา.....อย่าร้องไห้เลยนะคะ.... คนดีของภา.....พ่อเสือกับอาจอม....จะต้องมาช่วยคุณภูแน่นอนค่ะ.....ตอนนี้คุณภูต้องเข้มแข็ง....อย่าร้องไห้นะคะ.....” แม้จะกระซิบเป็นภาษาฝรั่งเศสช้าๆ บอกหนูน้อย...ผู้เป็นดวงใจของทุกคน...ว่าอย่าร้องไห้ แต่น้ำตาเจ้ากรรม มันไม่เชื่อฟังเจ้าของเลยซักนิด กลับเอ่อล้นออกมา...จนภาวดีต้องรีบเช็ดออก เพราะไม่ต้องการให้ภูฟ้า เห็นความอ่อนแอของเธอ ซึ่งอาจทำให้ความหวาดกลัวที่มีในใจของภูฟ้าเพิ่มขึ้นมาอีก

“ในเวลานี้....เราต้องเข้มแข็ง.....เราจะต้องปกป้องคุณหนูไว้....และรอ....รอจนกว่า....คุณเสือและคุณจอม...จะมารับกลับบ้าน” ภาวดีบอกตนเองในใจ พร้อมกระชับอ้อมแขน โอบกอดภูฟ้า....ดวงใจของเธอไว้ให้มั่นคง

ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนรถตามเส้นทาง...ภูฟ้าจะหวาดกลัว จนต้องร้องไห้ออกมาทุกครั้ง....แม้ว่าจะไม่กล้าส่งเสียงดังมากนัก เพราะภูฟ้าจำคำสั่งสอนของศิวะ...ผู้เป็นบิดาได้อย่างดี....ว่าต้องเข้มแข็ง...เป็นลูกผู้ชายอย่าร้องไห้ง่ายๆ

ภาวดีไม่ต้องการให้ภูฟ้าต้องเผชิญกับสภาพกดดันอย่างนี้อีกต่อไป รวมถึงเส้นทางที่รถกำลังมุ่งหน้าไปสู่จุดหมายนั้น ก็ไต่สูงขึ้นและมีความคดเคี้ยวตามลำดับ.....เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกะทันหันจนเกินไป จนเธอไม่สามารถหอบเอากระเป๋ายาที่เตรียมไว้ตลอดเวลาติดตัวมาด้วย มิเช่นนั้นเธอจะให้ภูฟ้ารับประทานยานอนหลับ เพื่อให้หลับไป ไม่ต้องรับทราบความโหดร้ายของการเดินทางขณะถูกลักพาตัว

แม้จะถูกควบคุมตัวโดยปราศจากอิสรภาพแต่ก็มิได้โชคร้ายเสียทีเดียว เพราะชายที่นั่งข้างคนขับหันกลับมาส่งภาษารัวตามสัญชาติของตน บอกข้อความบางอย่างแก่คนที่นั่งอยู่ด้านหลัง....

ภาษาถูกเปลี่ยนเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษโดยคนที่นั่งอยู่เบาะด้านหน้าของเธอ เพื่อบอกให้คนที่เหลือได้รับทราบว่า อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า รถหยุดจะจอดพักเพื่อซื้อเสบียงแล้วจึงเดินทางต่อ เนื่องจากเวลาผ่านมาจนเกือบทุ่มตรงแล้ว

ภาวดีเห็นช่องโอกาส จึงเริ่มการสนทนาเป็นครั้งแรกนับจากออกเดินทางจากเชียงใหม่.....การนิ่งเงียบสนิทของภาวดี เป็นไปตามการฝึกฝนพิเศษที่เธอเรียนรู้มาจากศิวะและจอมยุทธ์ แถมไม่นับรวมความรู้อื่นๆ ที่เธอและศักดิ์ได้รับมาจากการฝึกฝนร่วมกันในการฝึกภาคสนามต่างๆ ตามที่เจ้านายทั้งสองส่งเธอไป

“จำไว้นะคุณภา....ถ้าคุณตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน.....โดยเฉพาะเมื่อถูกกักขังหรือลักพาตัว...ขอให้สงบสติอารมณ์ให้ดี อย่าร้องโวยวายตีโพยตีพาย.....ให้นิ่งเงียบ และหาทางปรับสถานการณ์ต่างๆให้เป็นประโยชน์ต่อตัวคุณเอง......เมื่อคุณทำตัวเป็นนักโทษที่ดี.....และเมื่อใดก็ตามที่คุณร้องขออะไรซักอย่าง...คุณก็จะได้ในสิ่งที่คุณต้องการ....แต่ก็ต้องพิจารณาให้ดีว่า...การร้องขอนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่” เสียงของศิวะดังก้องอยู่ในความทรงจำของภาวดี

เวลานี้ภาวดีเห็นว่า...เธอสมควรจะปริปากร้องขอในสิ่งที่สมเหตุสมผลทันที

“ดิชั้นอยากได้ยานอนหลับค่ะ.....ถ้าเราต้องเดินทางอีกไกล....ดิชั้นอยากให้คุณภูฟ้าหลับ...จะได้ไม่ส่งเสียงรบกวนพวกคุณ และเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาสุขภาพตามมา ที่อาจจะเป็นอุปสรรคต่อพวกคุณได้” ภาวดีพูดช้า ด้วยน้ำเสียงและแววตาอ้อนวอนเต็มที่

ชายคนที่ฟังภาษาไทยออก รีบแปลความประสงค์ของภาวดีให้ชายที่นั่งอยู่ข้างคนขับ...ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการในครั้งนี้ให้ทราบ รวมถึงแปลคำตอบให้ฟังในไม่ช้า หลังจากที่คำร้องได้รับอนุญาต

ภาวดียิ้มออกมาทันทีที่ทราบว่า ความประสงค์ของเธอบรรลุเป้าหมาย อีกไม่นานคุณหนูของเธอก็จะไม่ต้อง
รับทราบความกดดันในการเดินทางอีกต่อไป

ไม่นานนัก รถตู้ก็จอดลงบริเวณตลาดสดแห่งหนึ่ง ภาวดีพยายามอ่านป้ายบอกทางที่มีแสงไฟส่องอยู่ และรับรู้ว่าเธอและภูฟ้ากำลังอยู่ในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน...และน่าจะกำลังมุ่งหน้าไปสู่จุดหมายแรกคืออำเภอแม่สะเรียง

ชายสามคนเดินลงจากรถเข้าไปจัดการซื้อของตามที่ต้องการ ส่วนที่เหลืออีกสองคน ก็เฝ้าควบคุมตัวภาวดีและภูฟ้าให้อยู่ในรถตลอดเวลา

ภาวดีได้รับข้าวห่อ น้ำเปล่า รวมถึงซองยานอนหลับ หลังจากรถเคลื่อนตัวออกจากตลาดสดแห่งนั้นได้ไม่นาน เธอพยายามอ่านและสำรวจซองยานอนหลับโดยละเอียด เพื่อตรวจสอบว่าเป็นยานอนหลับจริงหรือไม่ หลังจากนั้นจึงป้อนข้าวให้ภูฟ้าที่นั่งนิ่งเงียบอยู่ข้างๆให้รับประทานทีละคำเล็กๆ.....

มือที่บอบบางของภูฟ้ากำชายเสื้อของภาวดีอยู่ตลอดเวลา....เด็กน้อยยึดภาวดีไว้เป็นที่พึ่งสุดท้ายของตนในตอนนี้....

หลังรับประทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อย ภาวดีจึงให้ภูฟ้ารับประทานยานอนหลับ เพื่อให้หลับไป เธอไม่ต้องการให้ภูฟ้ารับทราบถึงการเดินทางที่กดดันอีกต่อไป....แม้ว่าเธอจะต้องรับภาระในการอุ้มภูฟ้าไว้ตลอด หรืออาจจะต้องอุ้มภูฟ้าเดินเท้าไปสู่จุดหมาย...เธอก็จะกระทำโดยไม่ปริปากบ่นใดๆ ทั้งสิ้น....ขอเพียงอย่างเดียว....ขออย่าให้ความทรงจำอันเลวร้าย ต้องฝังลึกลงไปในหัวใจของคุณหนูของเธออีกเลย...เพียงแค่ความหวาดกลัวโรงพยาบาล ก็หลอกหลอนภูฟ้า...และสร้างความเสียใจให้กับทุกๆคนมาจนกระทั่งบัดนี้

ในที่สุดการเดินทางโดยรถตู้กว่าเจ็ดชั่วโมงก็สิ้นสุดลง... จุดหมายแรกที่ทุกคนกำลังยืนอยู่ คือ หมู่บ้านกระเหรี่ยงแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ชายแดนจังหวัดแม่ฮ่องสอน ห่างจากแม่น้ำสาละวิน ประมาณสามกิโลเมตร

ภาวดีอุ้มภูฟ้าที่นอนหลับสนิท เดินตามชายฉกรรจ์สองคนไปอย่างเงียบๆ โดยอีกสามคนเดินตามระวังทางด้านหลัง....

แสงของดวงจันทร์เต็มดวงส่องสว่าง ทำให้การเดินเท้าผ่านภูเขาหัวโล้นเป็นไปด้วยความไม่ลำบากมากนัก  จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ชายฝั่งแม่น้ำกว้าง...ซึ่งภาวดีคาดว่าจะเป็นแม่น้ำสาละวิน

เสียงผิวปากเป็นสัญญาณดังขึ้นจากหนึ่งในห้าชายฉกรรจ์ที่ควบคุมตัวภาวดีและภูฟ้ามา หลังจากนั้นไม่นาน ภาวดีจึงได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของเรือดังแว่วเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนกระทั่งสามารถเห็นเป็นตัวเรืออย่างชัดเจน

การคมนาคมทางน้ำเริ่มต้นโดยทันทีที่เรือจอดเทียบฝั่ง......เรือลำนี้วิ่งทวนน้ำขึ้นไปทางทิศเหนือตามอัตราเร่งสูงสุด เพื่อให้ถึงที่หมายก่อนเที่ยงคืน

ภูฟ้ายังคงหลับสนิทจนกระทั่งถึงเป้าหมายคือหมู่บ้านทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำสาละวิน ที่มีลักษณะเป็นค่ายทหารของกองกำลังกระเหรี่ยงป้องกันตนเอง

ภาวดีพยายามสังเกตและจดจำเส้นทาง ตลอดจนลักษณะการจัดวางกำลังพลคร่าวๆ ของสถานที่แห่งนี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่ตัวเธอและภูฟ้าจะถูกนำไปขังไว้ที่กระท่อมไม้แห่งหนึ่ง.....

ภาวดีหลับไปอย่างรวดเร็ว เพราะความอ่อนเพลียที่เกิดขึ้น....ปืนสั้นขนาดพกพาที่สอดไว้ในกระเป๋าหนังที่ต้นขา รวมถึงมีดเล่มยาวที่สอดไว้ในกระเป๋าชนิดเดียวกันที่สีข้างยังไม่ถูกใช้งานแต่อย่างใด..... เวลานี้เธอจำเป็นต้องพักผ่อน....เพื่อให้สมองปลอดโปร่ง รวมถึงมีกำลังเพียงพอที่จะรับกับสถานการณ์ต่างๆในวันพรุ่งนี้

ก่อนที่ดวงตาทั้งสองข้างจะหลับสนิท ภาวดีกระชับร่างน้อยๆ ของภูฟ้า...เข้าหาตนเอง.....กระซิบบอกอย่างแผ่วเบาด้วยรักและปรารถนาดีอย่างที่สุดว่า

“คุณภู.....อย่ากลัวนะคะ.....พ่อเสือและอาจอมของคุณภู....จะต้องมาช่วยคุณภูได้อย่างแน่นอนค่ะ.....แต่จนกว่าจะถึงเวลานั้น....ภาสัญญาว่าจะปกป้องคุณภู....ด้วยชีวิตของภาค่ะ.....หลับฝันดีนะคะ....คนดีของภา”

พรุ่งนี้จะเกิดอะไรบ้างภาวดีไม่อาจรู้....แต่อย่างหนึ่งที่เธอต้องกระทำคือ....ต้องประคับประคองดวงใจของภูฟ้า...ให้ไร้ซึ่งความหวาดกลัว....ให้ร่าเริงเพียงพอที่จะป้องกันไม่ให้เกิดความทรงจำที่เลวร้ายฝังลงไปในจิตใจที่ยังคงบอบบางและบริสุทธิ์.....และสุดท้ายให้มีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่า...บุคคลอันเป็นที่รักยิ่งของภูฟ้า....จะมารับตัวออกไปจากสถานที่แห่งนี้อย่างปลอดภัย.....

Andreas

  • บุคคลทั่วไป
การประชุมกลุ่มย่อยภายใต้การนำของศิวะเป็นไปด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ภาพถ่ายทางอากาศ...แผนที่ภาพสามมิติ...ข้อมูลทางด้านธรณีวิทยาอื่นๆ ถูกวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อกำหนดพิกัดในการปฏิบัติการของแต่ละทีมในพื้นที่

แผ่นจอภาพขนาดใหญ่ทุกอันในห้องประชุมถูกแสดงด้วยแผนที่แตกต่างกัน ทั้งนี้เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทุกคนได้มีเวลาเรียนรู้ถึงลักษณะของพื้นที่ของค่าย และสุดท้ายบันทึกข้อมูลเหล่านั้นลงในความทรงจำ เพื่อให้มีความคุ้นเคยกับสถานที่เวลาปฏิบัติงานจริง

นี่คือเทคนิคหนึ่งที่สำคัญภายใต้การนำของศิวะ ที่จะทำให้หน่วยรบพิเศษผู้ไม่ชำนาญพื้นที่ในตอนแรก สามารถสร้างความคุ้นเคยจนกระทั่งรับทราบรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆในพื้นที่นั้นๆก่อนปฏิบัติภารกิจ

ข้อมูลจากการใช้ thermoscan โดยดาวเทียมสอดแนมภายในระยะเวลา 120 ชั่วโมงย้อนหลัง ทำให้ศิวะและคอมมานเดอร์ทั้งหลายทราบดีว่า ค่ายกองกำลังป้องกันตนเองนั้นมีการจัดเวรยามอย่างไร และมีรัศมีในการลาดตระเวนกว้างขนาดไหนเมื่อวัดจากใจกลางค่าย ข้อมูลนี้มีความสำคัญยิ่ง เพราะการบุกเข้าพื้นที่ของเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องกระทำภายนอกรัศมีการลาดตระเวน รวมถึงสามารถชี้พิกัดของป้อมยามต่างๆ ได้ เพื่อสกัดกั้นการส่งข่าวที่อาจจะเกิดขึ้น

และข้อมูลสุดท้ายที่ศิวะ จอมยุทธ์ แม้กระทั่ง อเล็กซ์ เรียกร้องให้มีการวิเคราะห์อย่างเร่งด่วนโดยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญการแพทย์ คือ ข้อมูลความร้อนในร่างกายและอัตราการเต้นของหัวใจของภูฟ้า ที่ส่งผ่านโดยใช้สัญญาณคลื่นวิทยุเข้าสู่ระบบดาวเทียมสื่อสาร..... โดยหัวหน้าทีมแพทย์รายงานข้อมูลย้อนหลังว่าความร้อนในร่างกายของภูฟ้าแปรผันตรงกับอัตราเต้นของหัวใจ โดยในตอนแรกนั้นภูฟ้าคงตกใจกลัว จึงทำให้หัวใจเต้นแรงผิดปกติ และผ่านไปหลายชั่วโมง จนกระทั่งอัตราหัวใจเต้นช้าลงหลังจากสามทุ่มของเมื่อวาน...ส่วนข้อมูลของวันนี้ระบุได้ชัดเจนว่า ความร้อนในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน แต่อัตราการเต้นของหัวใจคงที่ตลอดเวลา

ศิวะและจอมยุทธ์หลับตาลงอย่างช้าๆ ภายหลังฟังการวิเคราะห์ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่.... .ถ้าเป็นไปได้....เวลานี้ทั้งคู่ต้องการไปอยู่ใกล้ภูฟ้า เพื่อตรวจสอบด้วยสายตาอย่างแน่ชัดว่า ภูฟ้ายังคงปกติ ไม่แสดงอาการป่วยหรืออาการผิดปกติต่อย่างใด.... หากว่าความจริงแล้ว ทั้งสองอยู่ไกลเหลือเกิน....ไกลเกินกว่าจะรับรู้ความเป็นจริง....ศิวะและจอมยุทธ์จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า....ภูฟ้าจะปลอดภัย...เช่นเดียวกับภาวดี

“รออีกหน่อยนะครับ....ภูฟ้าลูกพ่อ.....พ่อเสือจะไปรับลูกมาสู่อ้อมกอดของพ่อในไม่ช้า.....พ่อสัญญา....” ศิวะคิดในใจ

“ภูครับ.....อาจอมอยากให้ภูรู้ว่า....ไม่ว่าจะยากเย็นขนาดไหน....อาจอมของภูสัญญาว่า....จะนำดวงใจของอา....กลับมาบ้านของเราอย่างปลอดภัย.....รออีกหน่อยนะครับ.....ดวงใจของอา” จอมยุทธ์บอกตนเองคล้ายกับศิวะ

ทั้งคู่ถอนหายใจอย่างช้าๆ พร้อมๆ กัน ก่อนจะหันมาสบตากันเล็กน้อย เพื่อส่งผ่านกำลังใจให้กันและกัน.....

ศิวะและจอมยุทธ์ทราบดีว่าในเวลานี้.....หน้าที่ที่ต้องทำในตอนนี้ คือ เตรียมตัวให้พร้อม.. ทบทวนแผนการต่างๆให้ปราศจากจุดบกพร่อง....เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ซักถามหรือนำเสนอข้อเสนอแนะ  และสุดท้ายต้องแสดงให้เจ้าหน้าที่หน่วยรบพิเศษทุกคนรับทราบว่า พวกเขาทั้งสองจะปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา และตัดความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเป้าหมาย เพื่อให้การตัดสินใจต่างๆไปไปด้วยความเป็นกลาง ไม่ถูกครอบงำโดยความรู้สึกแต่อย่างใด

ศิวะตรวจสอบความเรียบร้อยของหมายกำหนดการส่งอาวุธ วัตถุระเบิด และเครื่องอากาศยาน ตลอดจนสภาพร่างกาย ขวัญและกำลังใจของเจ้าหน้าที่หน่วยรบพิเศษทุกคน แม้ว่าบางคนจะเดินทางมาอย่างเร่งด่วนในระยะทางกว่าค่อนโลก เพราะอาสามาปฏิบัติภารกิจนี้ แต่ก็ยังมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ดีและไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ต่อการเปลี่ยนแปลงเวลาของร่างกายกะทันหัน เนื่องจากบางคนรับประทานยานอนหลับมาตลอดเที่ยวบิน จนกระทั่งมาเช้าที่กรุงเทพมหานคร

เจ้าหน้าที่บางส่วนที่ได้รับมอบหมายให้มาปฏิบัติภารกิจพร้อมอเล็กซ์นั้น ต่างทยอยมาประจำอยู่ในญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง ใต้หวัน รวมถึงประเทศไทยด้วยตั้งแต่ต้นสัปดาห์ ดังนั้นจึงสามารถปรับตัวให้เข้าเวลาในเขตเอเชียได้เรียบร้อย

สำหรับภารกิจเร่งด่วนที่มีหมายเลขรหัสในการรวมพลระดับ 01 ซึ่งหมายความว่าใช้เวลาสูงสุดไม่เกินสิบแปดชั่วโมงนั้น เจ้าหน้าที่หน่วยรบพิเศษจะต้องเป็นฝ่ายเลือกว่าจะใช้เครื่องบินของกองทัพหรือใช้เครื่องบินพาณิชย์ในการเดินทาง โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยเวลาที่เหลืออยู่

ในกรณีที่ใช้สายการบินพาณิชย์ เพียงแค่ยื่นพาสปอร์ตสีฟ้าสดให้กับเจ้าหน้าประสานงานฝ่ายการบินประจำท่าอากาศยานนานาชาติต่างๆ เจ้าหน้าที่หน่วยรบพิเศษทุกคนจะได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้โดยสารเครื่องบินเที่ยวต่อไปที่มีเส้นทางการบินตรงสู่จุดหมาย ในกรณีที่ใช้เครื่องบินของกองทัพ ซึงมักจะเกิดในช่วงกลางคืนที่เครื่องบินพาณิชย์งดบริการ โดยเจ้าหน้าที่หน่วยรบพิเศษ จำเป็นต้องอาศัยเครื่องบินเจ็ทของกองทัพของประเทศของตน ในการเดินทางไปสูจุดหมาย หรือไปสู่ท่าอากาศยานนานาชาติที่ใกล้เคียงที่สุด เพื่อให้ถึงภายในระยะเวลาที่กำหนด

ตลอดเวลาการเดินทาง เจ้าหน้าที่แต่ละคนต้องรับผิดชอบในการดูแลตนเอง เพื่อให้ปรับตัวให้เข้ากับเวลาประจำท้องถิ่นของเป้าหมาย รวมถึงติดต่อส่งข้อมูลการเดินทางรวมถึงเวลาที่คาดว่าจะถึงจุดหมาย เพื่อแจ้งผู้ประสานงานที่ประจำอยู่ในพื้นที่นั้นให้ทราบ

ศิวะใช้เวลาการประชุมไม่นานนัก เพียงแค่สองชั่วโมงก็เสร็จสิ้น เขาอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ทุกคนเดินทางไปสู่จุดหมายคือจังหวัดเชียงใหม่ โดยเครื่องบินของกองทัพอากาศที่พลตำรวจเอกรุ่งโรจน์ ประสานงานนำมาให้ใช้ในภารกิจนี้ 

ศักดิ์ได้รับมอบหมายให้อำนวยความสะดวกเจ้าหน้าที่ทุกคนให้เข้าพักในโรงแรมของศิวะ รวมถึงเป็นธุระจัดหาสิ่งของที่จำเป็นต่างๆ จนกระทั่งถึงเวลาสรุปแผนปฏิบัติการในเวลา 18 นาฬิกาตรง

เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการที่หนึ่ง ในการควบคุมของยุทธจักร มีหมายกำหนดการเดินทางสู่จังหวัดเชียงใหม่ในตอนเย็น  เพราะจำเป็นต้องเตรียมการทั้งในเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ การติดต่อประสานงานในเรื่องต่างๆ เช่นการสื่อสาร เอกสารสำคัญทางราชการ รวมถึงเตรียมความพร้อมของสถานพยาบาลในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อรองรับการรักษาพยาบาลในกรณีฉุกเฉิน
 
ศิวะกับจอมยุทธ์แยกตัวออกมาเมื่อแผนกำหนดการเบื้องต้นบรรลุตามข้อตกลง ทั้งสองหนุ่มมุ่งหน้าไปสู่เรือนไทยริมน้ำกลางเมืองของท่านผู้หญิงประกายแก้ว ผู้เป็นบุคคลสำคัญที่ทั้งคู่ให้การเคารพมาตลอดเวลา และในเวลานี้คุณปู่ คุณย่าตามสายเลือดของภูฟ้า ก็กำลังรออยู่ด้วยความร้อนใจ

สองหนุ่มในชุดลำลองทั่วไป ก้าวเท้าลงจากรถเก๋งคันงามที่ท่านผู้หญิงประกายแก้วส่งไปรับ และเดินตรงเข้าสู่เรือนไทยหลังใหญ่ท่ามกลางสวนดอกไม้สวยรายล้อม

“มาแล้วหรือ...เสือ....จอม.... ยายกำลังคอยอยู่พอดี” ท่านผู้หญิงประกายแก้วเอ่ยทัก ทันทีที่เห็นศิวะและจอมยุทธ์ เดินพ้นช่องประตูห้องรับแขกเข้ามา

สองหนุ่มยกมือไว้ทำความเคารพท่านผู้หญิงประกายแก้ว ที่นั่งสง่าอยู่บนโซฟาสีขาช้างตัวเอกของชุดรับแขก ถัดไปด้านซ้ายมือ บนโซฟาตัวเล็กสีเดียวกันคือ คุณ ศิริพิมพ์ ภัทรโภคิน บุตรสาวของท่านผู้หญิงประกายแก้ว และมีศักดิ์เป็นมารดาของ ภูผา....บิดาที่แท้จริงของภูฟ้า

ส่วนโซฟาด้านขวามือ คือ นายแพทย์ ศิลป์กวี และ คุณพิมพิมล  ศรีสิริโชคชัย ผู้เป็นบิดาและมารดาของ ฟ้าลั่น .....อีกหนึ่งบิดาของภูฟ้า

“สวัสดีครับ....คุณยาย...คุณพ่อ คุณแม่” ศิวะและจอมยุทธ์กล่าวพร้อมกัน

“ตกลงเรื่องมันเป็นมาอย่างไรล่ะจ้ะ...เสือ...จอม...ยายอยากฟังรายละเอียดชัดๆอีกครั้ง” น้ำเสียงของคุณยายประกายแก้ว ยังคงแฝงไว้ด้วยความเมตตาไม่เปลี่ยนแปลง แม้ยามที่กำลังกังวลใจอยู่เช่นนี้

ศิวะรับหน้าที่อธิบายให้ทุกท่านฟังอีกครั้งอย่างละเอียด และในตอนท้ายสุดจึงกล่าวออกมาอย่างรับผิดว่า

“ผมพลาดเองครับ...คุณยาย......คุณพ่อ คุณแม่”

“ผมเองก็เช่นกันครับ” จอมยุทธ์กล่าวขึ้นมาบ้าง

“ขนาดที่ทำให้ Detachment Commander และ Bravo Team Leader ต้องพลาดท่าขนาดนี้ พวกนั้นคงมีฝีมือไม่ใช่น้อย” ยามที่ท่านผู้หญิงประกายแก้วเอ่ยถึงตำแหน่งของศิวะและจอมยุทธ์ ท่านก็ระบุได้ถูกต้องและน้ำเสียงตลอดจนสำเนียงที่ใช้ก็ฟังดูไพเราะ ไม่ทิ้งประสบการณ์การเป็นนักเรียนอังกฤษเมื่อสมัยยังสาว

“ครับคุณยาย.....พวกมันเป็นทหารจากกองกำลังกระเหรี่ยงป้องกันตนเอง ที่ได้รับการฝึกฝนในเรื่องอาวุธและยุทธวิธีมาอย่างดีครับ” จอมยุทธ์เป็นฝ่ายตอบ

“แล้วตกลงว่า เสือกับจอมจะบุกไปเอาตัวตาภูกลับคืนมาใช่มั้ย” นายแพทย์ศิลป์กวี ผู้เป็นปู่ของภูฟ้าเอ่ยถามขึ้นบ้าง

“ครับคุณพ่อ....เรารอไม่ได้ครับ...เพราะไม่ทราบว่ามันจะทำร้ายตาภูหรือไม่.....ตอนนี้เจ้าหน้าที่หน่วยรบพิเศษทุกนายเดินทางมาประจำการ และพร้อมสำหรับภารกิจที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้เช้าแล้วครับ....” ศิวะชี้แจง

“คริสทราบเรื่องนี้แล้วใช่มั้ยลูก....” คุณศิริพิมพ์ที่นั่งฟังอยู่นานเอ่ยขึ้นมาบ้าง เนื่องจากคริสก็จัดเป็นหนึ่งในครอบครัวนี้เหมือนกัน โดยเฉพาะหนุ่มต่างเชื้อชาติคนที่เอ่ยถึงนี้รักและเป็นห่วงภูฟ้ามาก...แม้จะไม่ได้อยู่ดูแลภูฟ้าด้วยตนเอง...แต่คริสก็หาโอกาสแวะมาเยี่ยมเยือนบ่อยๆ และทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน เขาก็ทะนุถนอมภูฟ้าราวกับไข่ในหินเลยทีเดียว

“ผมโทรบอกคริสเองครับ....คาดว่าอาจต้องขอความช่วยเหลือจากเขาด้วยครับ” จอมยุทธ์เป็นฝ่ายตอบ

“ตอนนี้ คริสกำลังบินตรงมาที่เชียงใหม่เลยครับ.....คงใช้เครื่องบินส่วนตัวของคุณตาครับ”ศิวะเสริม

“ต้องให้ยาย กับพ่อและแม่ ช่วยอะไรหรือเปล่าละเสือ...จอม” ท้ายเสียงคุณประกายแก้ว ยังคงเต็มไปด้วยความเอ็นดูเสมอ ยามที่เรียกชื่อจอมยุทธ์.....หลานชายคนเล็ก

“ตอนนี้คงยังไม่มีครับ...”ศิวะตอบสั้นๆ

“ยายว่า.....เสือกับจอมคงต้องเตรียมตัวอีกมาก....นี่ก็เกือบจะสามโมงเย็นแล้ว.....สำหรับยายคงไม่มีอะไรจะถามแล้ว...มีแต่จะขออวยพรให้ภารกิจประสบความสำเร็จ.... สามารถช่วยตาภูออกมาได้...และขอให้ปลอดภัยกันทุกคน” ท่านผู้หญิงประกายแก้วกล่าวเป็นนัยเพื่อยุติการสนทนา เพราะเห็นว่าศิวะกับจอมยุทธ์คงต้องรีบกลับไปเชียงใหม่....ภารกิจที่สำคัญกำลังรออยู่ข้างหน้า....ภารกิจที่จะนำหัวใจของครอบครัว....กลับมาอย่างปลอดภัย

“ขอบคุณครับคุณยาย” ศิวะและจอมยุทธ์ยกมือไหว้พร้อมกัน

“แม่กับพ่อ....เป็นกำลังใจให้เสือกับจอมเสมอนะลูก...แล้วก็อย่าโทษตัวเองเรื่องที่ตาภูถูกลักพาตัวไปเลย....แม่เชื่อว่าลูกแม่ทั้งสองคนทำดีที่สุดแล้ว....และทำดีมาตลอด.....แม่หวังเป็นอย่างยิ่งว่า....พ่อของตาภูทั้งสองคนคงคุ้มครองให้ตาภูปลอดภัย รอจนกว่าเสือกับจอมจะไปรับกลับมาบ้านเรานะลูก” คุณพิมพิมลกล่าวอวยพรแทนผู้เป็นสามี ที่นิ่งเงียบแต่ก็ถอดสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักและความหวังดี มาให้ทั้งสองหนุ่ม....ลูกชายคนใหม่ของครอบครัว

“เราเหลือกันอยู่แค่นี้นะลูก....แม่อวยพรให้ลูกทั้งสองประสบความสำเร็จ...และกลับมาบ้านเราได้อย่างปลอดภัยพร้อมตาภูนะจ๊ะ....”คุณศิริพิมพ์กล่าวปิดท้าย ด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย...เพราะเป็นห่วงทุกคน....สำหรับเธอแล้ว....ศิวะและจอมยุทธ์ก็เหมือนลูกชายที่แท้จริงของเธอ.....และภูฟ้าก็คือตัวแทนอันล้ำค่าของภูผา....บุตรชายที่จากไป

ศิวะและจอมยุทธ์ยกมือเคารพและรับพรจากผู้ใหญ่ทั้งหมด แล้วจึงกล่าวลา ขอตัวกลับไปยังเชียงใหม่ เพื่อเตรียมตัว..เตรียมใจ..ให้พร้อมกับภารกิจ....ตามล่า...หาดวงใจ....ที่จะเกิดขึ้นในอีกสิบสองชั่วโมงข้างหน้า

******************

Andreas

  • บุคคลทั่วไป

ศิวะและจอมยุทธ์เดินทางโดยเครื่องบินภายในประเทศกลับมายังเชียงใหม่ก่อนเวลาห้าโมงเย็นไม่นานนัก ทั้งสองหนุ่มรีบตรงเข้าบ้านหลังใหญ่ทันที เพราะทราบว่าคริสเดินทางมาถึงแล้วด้วยเครื่องบินโบอิ้งของครอบครัว และกำลังรอพบพวกเขาอยู่

ท่าทางภายนอกของคริสยังคงนิ่งสงบดูเยือกเย็น แต่ทว่าภายในใจกลับร้อนแรงอัดแน่นไปด้วยความกังวล ความโกรธ และความตั้งใจอันแรงกล้าที่จะนำเอาลูกชายของเขากลับมาให้ได้อย่างปลอดภัย....แม้เขาจะไม่ใช่บิดาตามระบบพันธุกรรม แต่เขาก็คิดว่าภูฟ้าคือลูกชายเสมอมา

“จะบุกเมื่อไหร่” คริสถามสั้นๆ เขายังนั่งกอดอกนิ่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก ขณะที่สองหนุ่มเพิ่งนั่งลงบนโซฟาตรงข้ามได้ไม่กี่นาที เรื่องที่ภูฟ้าถูกลักพาตัวไป นั้นเป็นจุดสนใจเกินกว่าที่จะต้องมานั่งเสียเวลาทักทายกันตามมารยาทเหมือนที่ผ่านๆ มา

“หกโมงเช้าพรุ่งนี้” ศิวะตอบสั้นๆ หันไปสบตาสีฟ้าเข้มของผู้ตั้งตำถาม....ผู้ที่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเสมอมา

“ผมไปด้วย....ผมขอละ....ขอเป็นกรณีพิเศษได้มั้ย” น้ำเสียงและแววตาของคริสอ่อนลง ยามที่ต้องเอ่ยคำขอออกมา เขาไม่สามารถทำใจรอได้อีกต่อไป เพราะต้องการพบเห็นลูกชาย....ผู้เป็นเจ้าของครึ่งหนึ่งของดวงใจของเขาให้เร็วที่สุด

ศริสรับทราบมาตลอดเวลาว่าศิวะและจอมยุทธ์คือเจ้าหน้าที่หน่วยรบพิเศษขององค์การสหประชาชาติ เพราะในช่วงที่ยังอาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษ ทุกครั้งที่สองหนุ่มจำเป็นต้องออกฝึกภาคสนาม หรือปฏิบัติงานด้วยกัน เขาต้องรับผิดชอบในการดูแลภูฟ้า ตลอดระยะเวลาในการปฏิบัติหน้าที่นั้นๆ รวมถึงให้ความช่วยเหลือเมื่อศิวะ หรือ จอมยุทธ์ต้องไปปฏิบัติงานแต่เพียงผู้เดียว

ชายหนุ่มต่างชาติเจ้าของเรือนผมสีดำสนิท ผู้มีดวงตาสีฟ้าสดใสคนนี้ รักและผูกพันกับภูฟ้าเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่ก่อนภูฟ้าเกิดมาด้วยซ้ำ เพราะเขาคือหนึ่งในสองของคนสำคัญ....คนที่ท้าทายหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า.....เพื่อสร้างชีวิตหนึ่ง ที่เป็นตัวแทนของความรักที่ยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้นโดยวิธีทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งแม้แต่พระผู้สร้างโลก ยังต้องยอมแพ้...ยอมให้ภูฟ้าถือกำเนิดมา....แต่ก็ดูเหมือนว่าท่านจะไม่ยอมแพ้ง่ายนัก เพราะได้นำเอาชีวิตบิดาทั้งสองคนของภูฟ้าไปเป็นข้อแลกเปลี่ยนด้วย

“ได้” ศิวะบอกคำอนุญาตสั้นๆ เพราะทราบดีว่าคริสรู้สึกอย่างไร และที่สำคัญความรู้ความสามารถของคริสน่าจะช่วยอุดช่องโหว่ของแผนปฏิบัติการนี้ได้

“ผมจะแต่งตั้งคุณให้เป็นเจ้าหน้าที่พิเศษด้านการแพทย์ เหมือนที่คุณเคยทำมาก่อนแล้วในภารกิจอื่นๆ....แต่งานนี้เสี่ยงมากนะคริส.....คุณต้องระมัดระวังตัวเองด้วย” ศิวะกล่าวเตือน

“ขอบคุณมากเสือ....ผมจะระวังตัวให้ดี และจะช่วยงานคุณเท่าที่ผมจะทำได้” คริสรับคำอย่างรวดเร็ว

“คริสนำคนมาด้วยหรือเปล่าครับ” จอมยุทธ์เป็นฝ่ายถามบ้าง

“เอามาด้วยประมาณ 20 คน พร้อมอาวุธครบมือ”

“ดีครับ...ผมเสนอให้มีการโยกย้ายกำลังครับพี่เสือ...ให้คนของคริสดูแลบ้านเราไว้ เลือกคนที่หน่วยก้านดีซักสี่ห้าคนให้เป็นกำลังเสริมคอยคุ้มกันครับ” จอมยุทธ์เสนอความคิดให้ศิวะได้รับทราบ

“อืม...ก็ดี.... คริส....เรามีประชุมกันตอนหกโมงเย็น เชิญนายกับคนที่นายเลือกไปด้วย....เดี๋ยวเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปพร้อมกันเลย คนของนายพักอยู่ที่ไหนละ” ประโยคหลังศิวะหันมาถาม

“พักอยู่โรงแรมนาย แต่ว่าอาวุธยังอยู่บนเครื่องบิน”

“อย่างนั้นติดต่อให้ไปพบกันทั้งหมดที่ห้องประชุมในตอนหกโมงเย็น เรื่องอาวุธไม่เป็นไร เดี๋ยวตามไปเอาทีหลังได้” ศิวะบอก

“เราจะไปสรุปยุทธวิธีการปฏิบัติการที่นั่น” หัวหน้าชุดปฏิบัติการกล่าวตบท้าย พร้อมกับลุกขึ้น เตรียมเดินขึ้นไปห้องพักส่วนตัวเพื่ออาบน้ำชำระร่างกายให้สมองปลอดโปร่ง เหมาะที่จะสรุปการประชุมเป็นครั้งสุดท้ายในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า

*********

เจ้าหน้าที่ทุกคนเดินทยอยเข้าห้องประชุมที่เตรียมไว้ก่อนเวลาหกโมงตรง ทุกคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดลำลองหลากสไตล์ ช่วยให้เกิดความกลมกลืนไปกลับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติคนอื่นๆ ที่พักอยู่ในโรงแรม

ชุดปฏิบัติการที่ 1 จำนวนยี่สิบนายพร้อมด้วยยุทธจักร เดินทางมาถึงโรงแรมตั้งแต่ประมาณห้าโมงเย็น โดยทำการเช็คอินเข้าห้องพัก รวมถึงอาบน้ำชำระร่างกายให้เรียบร้อยเพื่อรอการประชุมสรุปแผนที่จะเกิดขึ้น

สาเหตุสำคัญที่ทำให้การประชุมต้องเกิดขึ้นในโรงแรม เพราะศิวะเชื่อว่าทั้งเขาและจอมยุทธ์กำลังถูกจับตามองอยู่โดยสายของบุคคลที่อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวภูฟ้า ทั้งคู่จึงหลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่ราชการอันเกี่ยวเนื่องกับวงการของตำรวจและทหาร ยกเว้นในการประชุมตอนกลางวันที่ทั้งคู่ต้องใช้วิธีปลอมตัวออกจากสนามบินและมุ่งตรงไปยังสำนักงานกองกำลัง(ร่วมพิเศษ)ฯ นอกจากนั้นภายในโรงแรมของศิวะก็กว้างขวางและสะดวกที่จะใช้จัดการประชุม รวมถึงสามารถกำหนดขอบเขตรักษาความปลอดภัยได้ง่าย รวมถึงการปรากฏตัวของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกลุ่มใหญ่แบบกรุ๊ปทัวร์ก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา ที่น้อยคนนักจะใส่ใจ

นครินทร์ถูกเชิญเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วย เพื่อรับทราบแผนการและกำหนดเวลาต่างๆ เพื่อนำข้อมูลไปประกอบการวางแผนจับกุมของเขาเอง

ก่อนเริ่มการประชุม ศิวะทำการแนะนำคริสและผู้ติดตามซึ่งมีประสบการณ์การต่อสู้โดยใช้อาวุธหลากหลายให้เจ้าหน้าที่ทุกคนได้รู้จัก รวมถึงประกาศการแต่งตั้งให้คริสเป็นเจ้าหน้าที่สนับสนุนทางการแพทย์พิเศษในภารกิจครั้งนี้

เจ้าหน้าที่หลายคนในกองกำลังรบพิเศษมีความคุ้นเคยกับคริสมาก่อนล่วงหน้าแล้วบ้างในฐานะผู้เชี่ยวชาญทางพันธุวิศวกรรมและการแพทย์ โดยในบางภารกิจ คริสจำเป็นต้องถูกร้องขอให้ช่วยในการสนับสนุนและวิเคราะห์ข้อมูลบางส่วนในอันเกี่ยวเนื่องกับกระบวนการนิติวิทยาศาสตร์ทางชีวโมเลกุล แต่ทั้งนี้นายแพทย์หนุ่มหน้าเข้มคนนี้ก็มิเคยปฏิบัติภารกิจในภาคสนามเลยซักครั้ง

“คริสคือ god father ของสกาย” ประโยคอธิบายสั้นๆ ที่ศิวะบอกมาในตอนท้าย ได้ลบล้างความสงสัยทั้งหมดแก่เจ้าหน้าที่ชาวต่างชาติทุกคน ยกเว้นแต่ยุทธจักร....เพราะเขายังไม่สามารถจับต้นชนปลายเรื่องราวของภูฟ้าได้ชัดเจนนัก คำถามหลายข้อผุดขึ้นมาภายในใจ โดยเฉพาะภายหลังรับทราบประวัติคร่าวๆ ของภูฟ้าในตอนประชุมเมื่อตอนเช้า....นั่นเป็นครั้งแรกที่ผู้เชี่ยวชาญข้อมูลอย่างเขาทราบว่า ภูฟ้าถือสัญชาติอังกฤษ และมีนามสกุลที่แปลกไปจากคนไทยปกติ....คือ ภัทรโภคิน ศรีสิริโชคชัย....นามสกุลของสองครอบครัว....เขาแน่ใจ

มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในนามสกุลของภูฟ้าแน่นอน แต่ว่าจะเกี่ยวโยงกับดวงตาแสนเศร้าของศิวะ และหัวใจที่ด้านชาของจอมยุทธ์หรือไม่....ยุทธจักรก็ไม่อาจทราบ...เพียงแต่หวังว่า สักวันเขาน่าจะได้รับคำตอบที่กระจ่างแจ้งกว่านี้

การประชุมเป็นไปด้วยความเรียบง่ายแต่ก็เป็นการเป็นงานเต็มที่ ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนดูผ่อนคลายไม่ตึงเครียดดั่งเช่นเมื่อเช้า

การเช็คกำลังอาวุธยุทโธปกรณ์เป็นไปด้วยความรอบคอบ โดยระบุอย่างชัดเจนบนหน้าจอรับภาพฉายผืนใหญ่ รวมถึงแยกย่อยออกเป็นหัวข้อต่างๆดังนี้

1) พาหนะโจมตีและโดยสารทางอากาศ ที่กำลังลำเลียงมาโดยเรือจากฐานปฏิบัติการทางทหารของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ประเทศญี่ปุ่นและมลรัฐฮาวาย โดยมีกำหนดส่งมอบ ณ สนามบินกองทัพอากาศเชียงใหม่ (กองบิน 41) ในเวลาตีสามครึ่งประกอบไปด้วย
   AH-64 Apache Attack Helicopter จำนวน 1 ลำ
   OH-58 Kiowa Scout/Light Attack Helicopter จำนวน 1 ลำ
   UH-60 Black Hawk Transport Helicopter จำนวน 2 ลำ
   C-17 Globemaster III / Strategic Airlifter Boeing จำนวน 1 ลำ

2) อาวุธปืนและเครื่องยิงระเบิดระยะไกลพร้อมกระสุน ที่กำลังขนส่งมาพร้อมกับเครื่องบิน C-17 ที่บินตรงมาจากฐานทัพในมลรัฐฮาวาย โดยมีกำหนดส่งมอบในเวลาตีสามครึ่งเช่นกัน โดยแยกเป็นชนิดหลักๆได้แก่
   M16A2/M16A4 Rifle จำนวน 35 กระบอก
   M249 Squad Automatic Weapon จำนวน 30 กระบอก
   M240B Machine Gun จำนวน 10 กระบอก
   M203/M203A1 Grenade Launcher จำนวน 20 กระบอก
   M224 60 mm Mortar จำนวน 10 กระบอก
   M9 Pistol & Bayonet/Beretta 98 จำนวน 70 กระบอก

3) เครื่องแบบ Battle Dress พร้อมอุปกรณ์จำเป็นต่างๆ เช่น เสื้อเกราะกันกระสุน มีดพก แว่นส่องกลางคืน แว่นส่องระยะไกล วิทยุสื่อสาร อุปกรณ์การแพทย์แบบพกพา และอุปกรณ์จำเป็นอื่นๆ
   
รูปแบบการเข้าโจมตีทั้งทางบกและทางอากาศ รวมถึงพิกัดการต่อสู้ ถูกอธิบายอย่างชัดเจนโดยศิวะในฐานะ Detachment Commander แก่เจ้าหน้าทุกคนรวมถึงคริสและผู้ติดตามที่นั่งนิ่งตั้งใจฟัง โดยที่หากผู้เข้าร่วมประชุมคนใดมีข้อสงสัยหรือข้อซักถามก็สามารถยกมือขอคำชี้แจงรายละเอียดได้ตลอดเวลา

นี่เป็นครั้งแรกที่ยุทธจักรได้เห็นประสิทธิภาพทางความคิด ความฉับไว และความเป็นผู้นำของศิวะในการประชุมเพื่อปฏิบัติการทางการทหาร โดยศิวะนั้นสามารถกำหนดแผนการร่วมกับคอมแมนเดอร์คนอื่นๆได้อย่างชัดเจนและไร้ช่องโหว่ รวมถึงมีทักษะในการอธิบาย และมอบหมายงานให้แต่ละทีมได้ปฏิบัติได้อย่างรวดเร็วและกระจ่างชัด

แม้ว่าจอมยุทธ์จะไม่อยู่ในกลุ่มของคอมมานเดอร์ แต่การชี้ประเด็นจุดได้จุดเสียที่แม่นยำของเขา ก็ช่วยให้แผนการมีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น

ทั้งนครินทร์ ยุทธจักรและเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยทุกคน....แม้มิได้พูดอะไรออกมา แต่ก็เห็นพร้องต้องกันว่า ศิวะและจอมยุทธ์สมควรที่จะได้รับตำแหน่งหัวหน้าชุดปฏิบัติการและหัวหน้าทีมบราโว่อย่างไร้ข้อกังขา และยินดีที่จะตบเท้าทำวันทยหัตถ์แสดงความเคารพให้ด้วยความเต็มใจ
ภายในเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งของการประชุมที่ดูสบายๆนี้ ยุทธจักรตระหนักว่า เขาและลูกน้องต่างเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของตนรวมถึงมีความมั่นใจเต็มร้อยที่จะประสานงานกับเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้าน Mission Alliance ในพิกัดของการปฏิบัติการอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค

ก่อนเลิกประชุมในเวลาหนึ่งทุ่มตรง ศิวะกล่าวย้ำเวลานัดหมายในวันพรุ่งนี้อีกครั้ง และถือโอกาสกล่าวปิดประชุมอย่างสั้นๆ ว่า

“ขอบคุณทุกคนที่เข้าร่วมภารกิจในครั้งนี้ ผมเองมีเป้าหมายอยู่สองประการ คือ หนึ่ง ให้สามารถช่วยเหลือตัวประกันและสลายกองกำลังติดอาวุธนี้ให้หมดไป....สอง ให้การปฏิบัติการนี้ปราศจากการบาดเจ็บของพวกเราทุกคน.....ขอบคุณครับ” สิ้นเสียงของศิวะ....เจ้าหน้าที่ทุกคนก็พยักหน้ารับทราบด้วยความพร้อมเพียงกัน

ก่อนแยกย้ายกันไปพักผ่อน เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ได้ให้ยานอนหลับ โดยคำนวณตามน้ำหนักของเจ้าหน้าที่แต่ละคน ด้วยวิธีนี้จะช่วยให้เจ้าหน้าที่บางคนที่เพิ่งเดินทางมาถึงประเทศไทยสามารถปรับตัวให้เข้ากับเวลาท้องถิ่นได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อความพร้อมสำหรับภารกิจ “Sky 001” จะเริ่มขึ้นในเวลาตีสามตรง

หลังจากนี้จะไม่มีการประชุมนอกรอบใดๆ เกิดขึ้นแล้ว ทุกคนรู้หน้าที่ว่าต้องพักผ่อนเป็นอันดับแรก จึงมุ่งหน้าขึ้นห้องพักโดยทันที

ศิวะและจอมยุทธ์เดินเข้ามาหานครินทร์ ยุทธจักร รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยทุกคน เพื่อกล่าวขอบคุณเป็นภาษาไทยสั้นๆ อีกครั้ง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งสองคนไม่ได้ใช้ภาษาไทยในการสื่อสารเลยซักครั้ง

หลังจากล่ำลากันเสร็จสิ้น ศิวะและจอมยุทธ์จึงแยกมาขึ้นรถส่วนตัวเดินทางกลับบ้านพร้อมกับคริสและศักดิ์ทันที

ในภารกิจครั้งนี้ ศักดิ์ในฐานะนายทหารติดตามของศิวะ ได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้เข้าร่วมสังเกตการณ์ในการปฏิบัติภารกิจ รวมถึงให้รับผิดชอบในการสื่อสารและการขนส่งทั้งกองกำลังเสริมและเสบียงรวมถึงสิ่งจำเป็นอื่นๆ

*******************

Andreas

  • บุคคลทั่วไป
เวลา 5.00 นาฬิกา

เครื่องบินขนส่งกำลังพล C-17 Globemaster III ซึ่งเป็นเครื่องบินประเภทโบอิ้งขนาดกลางได้ทำการบินอยู่ในระดับความสูง 30000 ฟุต เหนือน่านฟ้า ในตำแหน่งพิกัด 10 กิโลเมตร ทางทิศเหนือของฐานกองกำลังป้องกันตนเองของนายพลลู่เซอ

เจ้าหน้าที่ชุดจู่โจมภาคพื้นดินจำนวนทั้งสิ้น 43 นาย อยู่ในชุดเครื่องแต่งกายแบบ Battle Dress เต็มยศพร้อมด้วยชุดเกราะ หน้ากากออกซิเจนและอาวุธครบมือ กำลังเตรียมพร้อมที่จะกระโดดร่มแบบที่เรียกว่า High Altitude Low Opening ซึ่งเป็นการกระโดดร่มในระดับความสูงเหนือสามหมื่นฟุต เพื่อป้องกันมิให้ข้าศึกรู้ตัวจากเสียงเครื่องบิน โดยพลร่มทั้งหมดจะทำการกระตุกร่มให้กางออกเมื่อระยะเวลาผ่านไปพอสมควร ในระดับความสูงพอประมาณที่จะใช้บังคับให้ร่อนลงในตำแหน่งจุดพิกัดการตั้งฐานกำลัง เจ้าหน้าที่ทุกคนจะมีเครื่องมือกำหนดทิศทาง/ความสูง และมักทำการกระโดดร่วมกันเป็นกลุ่มเพื่อให้สะดวกต่อการรวมกันภายหลังร่อนลงสู่พื้นดิน

ศิวะได้กำหนดการเดินทางของเจ้าหน้าที่ไว้สองชุด โดยชุดแรกนั้นจะรับผิดชอบการจู่โจมภาคพื้นดิน ซึ่งประกอบด้วย 3 ทีม ดังนี้คือ....

   1) Operational Detachment Commander Team นำโดยพันตำรวจโท (Lt. Col.) Alex Fernando Song, ในฐานะหัวหน้าชุดปฏิบัติการ มีกำลังพลทั้งสิ้น 10 นาย รับผิดชอบการประสานงาน.....สั่งการโจมตี/เคลื่อนย้ายกำลัง โดยทำการตึงกำลังอยู่ด้านทิศตะวันออกของค่าย

   2) Operational Detachment Alpha Team นำโดยพันโท (Lt. Col.) Samuel L. Foster มีกำลังพลทั้งสิ้น 12 นาย รับผิดชอบการตรึงพื้นที่ทางด้านทิศตะวันตก

   3) Operational Detachment Bravo Team นำโดย Executive Officer จอมยุทธ์ พัฒนประสาทศิลป์ มีกำลังพลทั้งสิ้น 21 นาย รับผิดชอบการโจมตีและบุกยึดพื้นที่ด้านทิศเหนือ ซึ่งเป็นคลังอาวุธหนักของค่าย

ส่วนชุดกำลังที่สองจะเดินทางเข้าประจำตำแหน่งหลังจากทีมภาคพื้นดินได้ทำการตรึงพื้นที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากว่าการเดินทางของเจ้าหน้าที่ชุดที่สองนั้นจะเป็นการเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งมีเพดานบินต่ำ เป็นที่สังเกตได้ง่ายสำหรับคนที่อาศัยอยู่บนพื้นดิน ดังนั้นเพื่อป้องกันมิให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ตัวและตอบโต้ การตรึงกำลังภาคพื้นดินจึงต้องเร่งกระทำก่อนเพื่ออำนวยความสะดวกให้การเคลื่อนที่ทางอากาศเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ก่อนที่การจู่โจมทางอากาศจะเริ่มต้นขึ้น

โดยชุดกำลังที่สองจะประกอบไปด้วย 3 ทีมดังนี้คือ

   1)  Operational Detachment Airborne Team นำโดย พันเอก (Col.) Kim Dong Wan มีกำลังพลทั้งสิ้น 8 นาย จะจับคู่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนเฮลิคอปเตอร์แบบโจมตีทางอากาศ ทั้งสิ้น 2 ลำ โดยลำที่หนึ่งจะนำกำลังจู่โจมเร็วทางอากาศเข้าชิงตัวประกัน ลำที่เหลือรับผิดชอบการคุ้มกัน เจ้าหน้าที่อีกสี่นายจะรับผิดชอบขับเฮลิคอปเตอร์ขนส่ง Black Hawk เพื่อนำทีมปฏิบัติการผสมเข้าประจำตำแหน่งเป้าหมาย

   2)  Operational Detachment Hostage Rescue Team นำโดย Executive Officer ดร. ศิวะ รัตนพงศ์คิรี มีกำลังพลทั้งสิ้น 6 นาย รับผิดชอบการจู่โจมและช่วยเหลือตัวประกัน โดยใช้เทคนิคการโรยตัวทางอากาศเข้าปฏิบัติการ

   3) Operational Detachment Mission Important Allies Team ซึ่งเป็นทีมผสมระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการที่ 1 และเจ้าหน้าที่หน่วยรบพิเศษ นำโดยนายพันตำรวจตรียุทธจักร ประภาภูวดล และ นายพันตรี (Maj.) Michael V. Gallegos มีกำลังพลทั้งสิ้น 28 นาย เข้าประจำพื้นที่ฝั่งซ้ายและขวาของแม่น้ำสาละวินโดยเฮลิบคอปเตอร์ขนส่ง เพื่อกดดัน ป้องกัน และจับกุมตัว ผู้หลบหนีผ่านการจราจรทางน้ำเข้าสู่ชายแดนประเทศไทย โดยชุดกำลังนี้ได้รวมเอาคริสและผู้ติดตามทั้งห้าคนเข้าไว้ด้วย

โดยปกติแล้วด้วยตำแหน่ง Detachment Commander ศิวะจำเป็นต้องอยู่ในทีม Operational Detachment Commander แต่ว่าการปฏิบัติการในครั้งนี้ส่วนหนึ่งถือเป็นความรับผิดชอบโดยตรงของอเล็กซ์ ดังนั้นศิวะจึงเห็นว่าอเล็กซ์สมควรที่จะรับหน้าที่ในการควบคุมการปฏิบัติการ ส่วนเขารับผิดชอบเพียงแค่การนำกำลังเคลื่อนที่เร็วทางอากาศ เข้าประชิดตำแหน่งที่คุมขังของภูฟ้า และทำการช่วยเหลือให้ออกมาสู่บริเวณที่ปลอดภัย

เจ้าหน้าที่หน่วยรบพิเศษทุกคนได้รับการฝึกฝนมาอย่างเข้มข้นในระยะเวลาที่ยาวนาน ดังนั้นไม่ว่าใครจะขึ้นเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการหรือหัวหน้าทีม ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เพราะทุกคนมีความสามารถใกล้เคียงกัน และมีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน รวมถึงช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่เพื่อให้งานดำเนินไปอย่างสำเร็จตามเป้าหมาย

*********

แสงอาทิตย์ฉาบขอบฟ้าในตอนเช้าตรู่เวลา 6.00 นาฬิกาตรง ช่วยให้ทีมจู่โจมภาคพื้นดินจำนวน 40 นายวางกำลังล้อมค่ายไว้ได้และเริ่มต้นจัดการกับหน่วยลาดตระเวน หลังจากนั้นจึงติดต่อผ่านสัญญาณคลื่นวิทยุความถี่พิเศษเรียกชุดปฏิบัติการที่สองเคลื่อนกำลังจากสถานีตำรวจตะเวนชายแดนประจำด่านแม่สะเรียง ให้เข้าประจำตำแหน่งทันที

เสียงเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายสองลำดังขึ้นเหนือท้องฟ้าด้านทิศตะวันออก สร้างความประหลาดใจให้กับทหารกระเหรี่ยงผู้อยู่เวรประจำหอคอยทางอากาศภายในค่ายไม่น้อย เพราะสังเกตได้ว่าเฮลิคอปเตอร์สองลำนั้นกำลังมุ่งตรงมายังใจกลางของค่ายอย่างรวดเร็ว

ก่อนที่จะตัดสินใจส่งสัญญาณเตือนและยิงสกัด ยามทั้งสองคนก็ถูกปลิดชีวิตโดยกระสุนปืนเก็บเสียงของเจ้าหน้าที่หน่วยรบพิเศษฯประจำภาคพื้นดิน หลังจากนั้นการโจมตีพร้อมกันทั้งสามทิศทางรอบค่ายก็เปิดฉากขึ้นในทันที พร้อมๆกับการเปิดทางให้ชุดปฏิบัติการชิงตัวประกันลงสู่พื้นที่เป้าหมาย

เสียงอากาศยานสองลำดังกล่าวปลุกให้ทหารที่เหลือให้ตื่นตัวจากอาการง่วงนอน และรับทราบถึงการบุกรุกของกองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายและจำนวนแบบกระชั้นชิดชนิดตั้งตัวไม่ติด

ความสับสนอลหม่านเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะการโจมตีที่เกิดขึ้นพร้อมๆกันหลายด้าน จนทำให้ทหารกระเหรี่ยงไม่มีเวลาสนใจตัวประกันอย่างภูฟ้าและภาวดี หากแต่คิดถึงการป้องกันตนเองและรักษาค่ายไว้อย่างเต็มที่

ศิวะพร้อมด้วยกำลังพลอีกห้านายโรยตัวลงสู่พื้นดินจากเฮลิคอปเตอร์จู่โจม พวกเขาใช้จังหวะชุลมุนวิ่งเข้าประชิดกระท่อมที่ภูฟ้าและภาวดีถูกคุมขังอยู่ ปืนกลแบบ M249 Squad Automatic Weapon ในมือถูกรัวขึ้นเพื่อเปิดทางและคุ้มกันขณะเข้าวางกำลัง ในขณะที่เฮลิคอปเตอร์อีกลำก็ช่วยยิงสกัดเพื่อกดดันให้ทหารกระเหรี่ยงที่ระเบิดกระสุนอยู่รอบๆถอยห่างออกไปจากรัศมีของกระท่อมดังกล่าว 

ด้วยแผนที่ผ่านการวิเคราะห์มาอย่างดี ทำให้หน่วยรบพิเศษเป็นฝ่ายได้เปรียบเพราะ ในเวลานี้ทหารกระเหรี่ยงยังคงวุ่นวายต่อการตอบโต้เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดิน จึงไม่มีเวลาใส่ใจต่อการนำเอาปืนต่อสู้อากาศยานมาใช้ ซึ่งทำให้การตรึงกำลังทางอากาศเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย

เสียงเอะอะโวยวายของภาษาท้องถิ่นรวมกับเสียงเฮลิคอปเตอร์และเสียงปืนที่ดังขึ้น ทำให้ภาวดีสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เธอคว้าตัวของภูฟ้ารวมกับผ้าห่มที่คลุมตัวอยู่ กลิ้งลงสู่พื้นพื้นดินใต้แคร่ไม่ไผ่ทันที และทำการแนบตัวให้ติดพื้นดินมากที่สุด พลางกล่าวปลอบภูฟ้าที่มีอาการตกใจกลัวเพราะเสียงดังกล่าว....

ในวีนาทีนี้เธอมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าศิวะและจอมยุทธ์ต้องกำลังบุกมาช่วยภูฟ้าและตัวเธอออกจากค่ายนี้อย่างแน่นอน

ภาวดีทราบดีว่าหน่วยช่วยเหลือตัวประกันนั้นมีเครื่องมือระบุตำแหน่งของตัวเธอและภูฟ้า และพอทราบว่าในสถานการณ์เช่นนี้ การเข้าประชิดในแนวราบอาจกระทำด้วยความยากลำบาก เพราะตำแหน่งที่เธออยู่นั้นอยู่ใจกลางค่าย แวดล้อมไปด้วยอาคารก่อสร้างด้วยไม้ของหน่วยรบกระเหรี่ยงทั้งหลาย  วิธีเดียวที่จะเข้ามาในบริเวณนี้ได้ต้องใช้เส้นทางทางอากาศเท่านั้น นั้นจึงเป็นสาเหตุให้เธอได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์นั่นเอง

ในตอนนี้เธอจึงได้แต่ภาวนาว่าขอให้หน่วยช่วยเหลือมาถึงก่อนที่พวกทหารกะเหรี่ยงจะเคลื่อนย้ายตัวภูฟ้าหลบหนีออกไปได้

Andreas

  • บุคคลทั่วไป
ขณะเดียวกันทีมบราโว่ของจอมยุทธ์ก็เข้าชิงพื้นที่ส่วนเหนือของค่ายโดยแปรรูปขบวนแบบหัวลูกศรเพื่อเข้ายึดพื้นที่ส่วนที่เป็นคลังอาวุธให้เร็วที่สุด วิธีดังกล่าวสามารถกดดันให้ทหารกระเหรี่ยงจำเป็นต้องถอยเข้าพื้นที่ทางด้านทิศตะวันตก ทิศตะวันออก ที่มีการวางกำลังของทีมแอลฟ่าและทีมปฏิบัติการควบคุมฯ คอยกระหนาบอยู่ จึงทำให้ตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำอย่างเห็นได้ชัด

แม้ว่าสมุนของนายพลลู่เซอจะพยายามยิงสกัดไม่ให้ทีมบราโว่เข้าครอบครองพื้นที่ได้อย่างสะดวก แต่ทว่าก็ไม่สามารถกระทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากนัก เพราะขาดแคลนกำลังอาวุธ เนื่องจากสูญเสียพื้นที่ด้านเหนือของค่ายซึ่งเป็นอาคารเก็บอาวุธหนักเช่น ระเบิด ปืนกลอัตโนมัติ และเครื่องยิงระเบิดอาร์พีจีเสียส่วนใหญ่ 

ประตูกระท่อมถูกพังออก ปรากฏให้เห็นร่างของบุคคลคุ้นตา แม้ว่าใบหน้าของชายหนุ่มดังกล่าวจะเปื้อนไปด้วยสีดำอำพราง แต่แววตาคู่นั้นก็บ่งบอกความเป็นตัวตนของชายหนุ่มที่ชื่อศิวะได้เป็นอย่างดี

หลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นศิวะ ภาวดีจึงค่อยๆ คลานออกมาจากใต้แคร่ ในขณะที่ภูฟ้ายังถูกสั่งให้หลับตาและนอนราบกับพื้นโดยมีผ้าห่มผืนหนาคลุมตัวไว้  เธอทำปฏิบัติตัวตามรหัสสัญญาณที่ได้รับอย่างรวดเร็ว

สัญชาติญาณพร้อมรบตื่นตัวขึ้นมาทันที เพราะเวลานี้เธอได้รับชุดเกราะอ่อนและปืนสั้นอัตโนมัติขนาดเหมาะมือสองกระบอกที่เจ้าหน้าที่ในชุดปฏิบัติการที่ตามเข้ามาเตรียมไว้ให้ 

ศิวะเข้าประชิดตัวภูฟ้า พร้อมด้วยประโยคคำสั่งเป็นภาษาฝรั่งเศสที่เด็กน้อยเรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก แม้ว่าภูฟ้าจะดีใจและรับทราบว่าบิดากำลังอยู่ตรงหน้า แต่คำสั่งต้องเป็นคำสั่ง....ภูฟ้าเรียนรู้กฎข้อนี้มาตั้งแต่จำความได้

“ภู.....อย่าส่งเสียงนะลูก...หลับตา....กอดพ่อเสือให้แน่น...พ่อเสือจะพาลูกออกจากที่นี่.....กลับบ้านกันนะครับ”

สองมือที่แข็งแรงของศิวะได้สัมผัสกับร่างของภูฟ้า...ลูกชายที่รักสุดดวงใจเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ต้องห่างจากกันมาสองวันเต็มๆ

“ครับ..พ่อเสือ...” ภูฟ้ากระซิบบอกศิวะเบาๆ

“สกายอยู่ในความคุ้มครองของทีมช่วยเหลือตัวประกันเรียบร้อยแล้ว....ย้ำ...สกายอยู่ในความคุ้มครองของทีมช่วยเหลือตัวประกันเรียบร้อยแล้ว” ศิวะรายงานให้แก่ Detachment Commander Team ได้รับทราบผ่านเครื่องมือสื่อสารประจำตัว ขณะที่อุ้มภูฟ้าไว้และวิ่งออกมาจากกระท่อมดังกล่าวเพื่อเข้าที่กำบังโดยมีภาวดีและเจ้าหน้าที่ที่เหลือให้ความคุ้มกันอย่างแน่นหนา

แม้ว่าทหารกระเหรี่ยงดูเหมือนจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำในตอนแรก เพราะการจู่โจมที่รวดเร็วของหน่วยรบพิเศษฯ แต่ทว่าหลังเวลาผ่านไปไม่นาน ก็สามารถปรับแผนการรบเพื่อต่อสู้กับผู้บุกรุกอย่างพอสูสี เพราะเชี่ยวชาญในพื้นที่ประกอบกับได้รับการฝึกฝนอย่างหนัก ขาดเพียงแต่อาวุธหนักบางประเภทที่ทีมบราโว่กำลังควบคุมและทำลายอยู่

โชคไม่ได้เลวร้ายมากนักสำหรับกองทหารของนายพลลู่เซอ เพราะอาวุธหนักบางประเภทเช่นปืนกล และเครื่องยิงจรวดแบบอาร์พีจี ที่สำรองไว้บริเวณใจกลางของค่าย ถูกลำเลียงออกมาใช้ในกรณีฉุกเฉินเช่นนี้  ถึงแม้ว่าจะมีจำนวนไม่มากนัก แต่ก็สามารถกดดันการเคลื่อนตัวของเจ้าหน้าที่หน่วยรบพิเศษได้พอสมควร รวมถึงทำให้การปฏิบัติการทางอากาศของเฮลิคอปเตอร์ทั้งสองลำจำเป็นต้องถอนกำลังออก เนื่องจากจะตกเป็นเป้าของเครื่องยิงกระสุนหนักดังกล่าว

“อเล็กซ์.... ขอช่องทางออกนอกพื้นที่ด้วย” ศิวะร้องขอคำแนะนำ เพราะตอนนี้รอบตัวของพวกเขาทั้งแปดคน กำลังถูกห้อมล้อมไปด้วยทหารกระเหรี่ยงนับสิบคน กระสุนปืนถูกยิงกระหน่ำมาอย่างต่อเนื่อง หวังเพื่อจะพิฆาตผู้บุกรุกที่ไม่ทราบสังกัดเช่นเขาและพวก

“เสือ...ผมต้องการให้คุณตรึงพื้นที่และหาที่กำบังด้านทิศตะวันออก.....ผมได้รับรายงานว่าตอนนี้ฝ่ายโน้นเริ่มใช้อาวุธหนัก เราต้องหยุดการเคลื่อนไหวชั่วคราว....ผมจะส่งทีมบราโว่เข้าไปเคลียร์อาวุธหนักก่อน หลังจากนั้นจึงจะนำเฮลิคอปเตอร์ไปรับ” เสียงอเล็กซ์ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว เพราะสถานการณ์การรบต่างๆ ถูกรายงานเข้ามาเป็นระยะๆจากทุกๆทีม

ยุทธวิธีการตอบโต้การใช้อาวุธหนักแบบนี้ หน่วยรบพิเศษจำเป็นต้องหยุดการเคลื่อนไหวชั่วคราว เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายทหารกระเหรี่ยงผู้ครอบครองอาวุธหนักสามารถระบุตำแหน่งและยิงถล่มได้ หลังจากนั้นจึงส่งหน่วยเคลื่อนที่เร็วเข้าจู่โจมทำลายอาวุธดังกล่าว

“บราโว่ทีม....แบ่งกำลังเข้าจัดการหยุดอาวุธหนัก...” อเล็กซ์สั่งการไปยังทีมบราโว่

“รับทราบ...พร้อมปฏิบัติ” เสียงจอมยุทธ์ในฐานะหัวหน้าทีมดังขึ้นรับคำสั่งทันที พร้อมสัญญาณมือแยกหน่วยเคลื่อนที่เร็วออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มละห้านาย โดยที่เขาประจำอยู่ในกลุ่มที่หนึ่ง ส่วนอีกหนึ่งกลุ่มให้รองหัวหน้าทีมเป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งสองกลุ่มแยกพื้นที่กันเพื่อเข้าทำลายฐานยิงอาวุธหนักของทหารกระเหรี่ยงที่กระจัดกระจายอยู่บริเวณใจกลางของค่าย ค่อนไปทางทิศใต้

“แอลฟ่าทีม กำหนดเขตควบคุมรัศมีหนึ่งร้อยเมตรจากพิกัดเดิม....และตรึงกำลัง...รอคำสั่งต่อไป” อเล็กซ์สั่งการอีกครั้ง ก่อนจะปรับแผนและโยกย้ายกำลังพลใหม่ตามพื้นที่ที่จำเป็น

อเล็กซ์และคอมแมนเดอร์อีกหลายคนวิเคราะห์ตำแหน่งของเจ้าหน้าที่ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์พกพาสมรรถนะสูงที่เชื่อมต่อกับระบบดาวเทียมสอดแนม ทำให้สามารถจัดสรรพื้นที่ปฏิบัติการของแต่ละหน่วยไม่ให้ซ้อนทับกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ต้องมาเผชิญหน้ากันเอง

“บราโว่ทีมที่เหลือ กำหนดเขตควบคุมบริเวณทิศเหนือ....และเข้าทำลายคลังอาวุธ” อเล็กซ์โยกย้ายกำลังพล เพื่อให้บราโว่ทีมอีกสิบเอ็ดนายแยกกำลังเข้าติดระเบิดบริเวณคลังอาวุธต่างๆอย่างรวดเร็วมากขึ้น ในขณะที่หน่วยเคลื่อนที่เร็วกำลังบุกตะลุยเข้าไปในบริเวณที่ตั้งฐานอาวุธหนักของทหารกระเหรี่ยง

การเปลี่ยนตำแหน่งการตรึงพื้นที่ส่งผลให้หน่วยรบพิเศษฯ ลดความเพลี่ยงพล้ำลงไปได้มาก แต่ก็ยังติดปัญหาในบางพื้นที่ของค่าย เพราะบริเวณดังกล่าวไม่สามารถโจมตีด้วยเครื่องยิงจรวดขนาดเล็กได้เนื่องจากชุดช่วยเหลือตัวประกันและหน่วยปลดอาวุธหนักกำลังปฏิบัติการอยู่

ด้วยทักษะฝีมือและอาวุธที่เหนือชั้นกว่าของกองกำลังรบพิเศษฯ ทำให้ทหารกระเหรี่ยงที่มีกำลังเริ่มต้นเป็นร้อยคน ถูกลดจำนวนลงเหลือน้อยลงเพียงไม่กี่สิบคนในเวลาไม่นานนัก แต่ก็เป็นไม่กี่สิบคนที่ชำนาญการสู้รบอย่างมาก

ทีมช่วยเหลือของศิวะทำการถอนกำลังจากพื้นที่กำบังอย่างช้าๆ ภายใต้คำแนะนำของเจ้าหน้าที่ใน Detachment Commander Team เพื่อมุ่งตรงไปยังบริเวณจุดนัดหมายกับทีมปฏิบัติการทางอากาศ ในขณะที่ทีมปลดอาวุธหนักทั้งสองทีมคอยหันเหความสนใจของทหารกระเหรี่ยงที่เหลือ โดยเฉพาะทหารกระเหรี่ยงที่มีจรวดอาร์พีจีและปืนกลขนาดใหญ่ในครอบครอง 

ศิวะยังคงอุ้มภูฟ้าไว้ตลอดเวลา.....ส่วนอีกมือหนึ่งก็ยังคงถือปืนกลยาวอัตโนมัติอยู่เพื่อคอยยิงเปิดทางไปยังจุดนัดพบทางทิศตะวันออกอย่างรวดเร็ว 

“อย่าร้องไห้สิลูก.....เป็นลูกผู้ชายต้องเข้มแข็ง.....พ่อเสืออยู่ตรงนี้แล้ว....พร้อมจะปกป้องลูกรักของพ่อเสมอ......ภูคือดวงใจของพ่อ...ตลอดมาและตลอดไป” ศิวะกล่าวบอกลูกชาย ท่ามกลางเสียงกระสุนปืน เขาต้องการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับลูกชายตัวน้อย เพราะสังเกตเห็นน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาคู่งามของภูฟ้า

ในเวลานี้พื้นที่ของค่ายถูกหน่วยรบพิเศษครอบครองได้เกือบทั้งหมด ยกเว้นบริเวณใจกลางเยื้องไปทางด้านทิศใต้ของค่าย ที่ทหารกระเหรี่ยงถูกบังคับให้ลงไปปักหลักสู้อย่างทรหด โดยมีบางส่วนหลบหนีไปทางแม่น้ำสาละวิน ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นนายพลลู่เซอและทหารคนสนิทเพียงไม่กี่คน

การต่อสู้ชนิดหลังชนฝาของทหารกระเหรี่ยงที่เหลืออยู่ สร้างความลำบากให้ทีมปลดอาวุธหนักทั้งสองทีมไม่น้อย โดยเฉพาะภายหลังสัญญาณการเคลื่อนพลทางอากาศได้ถูกเตรียมพร้อมเพื่อลงรับภูฟ้าออกนอกพื้นที่

แรงกดดันถูกส่งเข้ามาทันที.... จอมยุทธ์จำเป็นต้องรีบปลดอาวุธให้หมดภายในระยะเวลาอันสั้น

ปืนกลใหญ่สองกระบอกถูกทำลายลงเป็นอันดับแรก ด้วยฝีมือการยิงไกลอย่างแม่นยำของเจ้าหน้าที่ในกลุ่มที่สอง แถมซ้ำด้วยระเบิดมืออานุภาพสูง คงเหลือแต่ฐานเครื่องยิงจรวดอาร์พีจี ที่ทหารกระเหรี่ยงกำลังเตรียมนำมาใช้เพื่อการยิงถล่มเฮลิคอปเตอร์โดยเฉพาะ

ทีมของจอมยุทธ์จำเป็นต้องเสี่ยงเข้าประชิดฐานยิงดังกล่าว เพื่อทำลายอาวุธนั้น มิเช่นนั้นแล้วจะเป็นอันตรายต่อเฮลิคอปเตอร์ที่ใช้เป็นพาหนะในการพาภูฟ้าออกนอกพื้นที่ได้

จอมยุทธ์ตัดสินใจใช้ M203A1 Grenade Launcher ที่เตรียมมา ซึ่งเป็นเครื่องยิงจรวดที่มีอานุภาพในการทำลายล้างปานกลาง เหมาะสำหรับใช้ในพื้นที่ไม่กว้างนัก เพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับฝ่ายเดียวกัน แต่ข้อเสียคือต้องทำการยิงในแนวตรงในระยะประมาณ 150 เมตร โดยปราศจากสิ่งกีดขวาง นั่นจึงเป็นสาเหตุให้จอมยุทธ์ต้องออกจากที่กำบัง และเคลื่อนตัวเข้าสู่จุดพร้อมยิง

“คุ้มกันให้ผมด้วย” จอมยุทธ์บอกกับคู่หูข้างๆ พร้อมกับให้สัญญาณมือสื่อความหมายเดียวกันกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆที่อยู่ห่างออกไปหลังจากนั้นจึงวิ่งออกไปในบริเวณจุดที่กำหนด

จอมยุทธ์ยืนตัวตรง เครื่องยิงจรวดวางอยู่บนบ่าในตำแหน่งพร้อมยิง เมื่อล็อคเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว เขาจึงยิงออกไปทันที

จรวดขนาดเล็กพุ่งเข้าสู่เป้าหมาย และทำลายเครื่องยิงจรวดอาร์พีจีอันสุดท้าย พร้อมทั้งทหารกระเหรี่ยงบางส่วนที่ควบคุมการใช้เครื่องยิงดังกล่าว

“RPG is disabled” จอมยุทธ์รายงานผลการปฏิบัติการ พร้อมกับท้ายเสียงที่ขาดห้วนลง

หลังจากเสียงสัญญาณวิทยุดังขึ้นจากเจ้าหน้าที่บราโว่อีกสองนายเพื่อตอกย้ำความปลอดภัยในการนำเฮลิคอปเตอร์ลงจอด การเคลื่อนที่ทางอากาศจึงเริ่มต้นทันที เพื่อรับภูฟ้าและทีมรักษาความปลอดภัยบางส่วนออกนอกพื้นที่ รวมถึงเปิดโอกาสให้เฮลิคอปเตอร์อีกหนึ่งลำพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ในทีม Mission Alliance จำนวนห้านาย สามารถไล่ล่านายพลลู่เซอที่กำลังหลบหนีอยู่ตามเส้นทางด้านทิศใต้ได้

ในขณะที่ร่างสูงของจอมยุทธ์นั้นทรุดตัวล้มลงไปบนพื้นดิน

Andreas

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 9 ปาฏิหาริย์แห่งรัก

“บราโว่ดาวน์..ย้ำ...บราโว่ดาวน์” เสียงรายงานความเสียหายอย่างรุนแรงของกำลังพลดังขึ้นเป็นครั้งแรก ไม่นับอาการบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆ ที่เกิดจากการเฉี่ยวของกระสุนปืนและสะเก็ดระเบิดของเจ้าหน้าที่ในชุดอื่นๆ

“เมดิกด่วน...ย้ำ...ด่วน” เจ้าหน้าที่บราโว่กล่าวต่ออย่างรวดเร็วท่ามกลางเสียงกระสุนปืนของทหารกระเหรี่ยงชุดสุดท้ายที่ยังคงปักหลักสู้อย่างทรหด

“บราโว่ทีมลีดเดอร์ดาวน์....”ลักษณะการรายงานดังกล่าวระบุชัดว่า จอมยุทธ์กำลังได้รับบาดเจ็บค่อนข้างหนัก 

“เมดิก....ย้ำ...เมดิก” เจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อสารยังคงเรียกร้องความช่วยเหลือ ในขณะที่คนอื่นๆจำเป็นต้องประสานกันเพื่อขนย้ายร่างที่บาดเจ็บของจอมยุทธ์ออกจากบริเวณอันตรายเข้าสู่ที่กำบัง รวมถึงยิงตอบโต้ทหารกระเหรี่ยงที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ให้เคลื่อนกำลังเข้ามาประชิดได้

เพราะการโยกย้ายตำแหน่งกำลังพลเมื่อสิบนาทีที่ผ่านมา รวมถึงระเบิดที่ฝังไว้ตามคลังอาวุธต่างๆ กำลังทำงานพร้อมๆ กัน ทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันตก ทำให้อเล็กซ์ไม่สามารถจ่ายกำลังสนับสนุนทางภาคพื้นดินได้รวดเร็วตามคำขอ ในจังหวะเดียวกันกับทีมปลดอาวุธหนักอีกทีมหนึ่งก็ถอนกำลังออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

วิธีเดียวที่ดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพและความรวดเร็วสูงสุดคือการสนับสนุนความช่วยเหลือทางอากาศ แต่ติดปัญหาตรงที่เฮลิคอปเตอร์โจมตีทั้งสองลำกำลังถูกใช้งานอยู่ในขณะนี้ รวมถึงเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ก็กำลังกระจัดกระจายตัวอยู่ในพื้นที่รอบนอกเพื่อดูแลและเริ่มต้นการรักษาเจ้าหน้าที่บางส่วนที่ได้รับบาดเจ็บประเภทไม่รุนแรงนัก

“Permission to intervene” ประโยคขออนุญาตเข้าแทรกแซงสถานการณ์ถูกส่งออกมาจากยุทธจักรทันทีที่ทราบว่าจอมยุทธ์ได้รับบาดเจ็บ และอเล็กซ์กำลังประสบปัญหาการสนับสนุนทางอากาศ

“ผมและเจ้าหน้าที่ ขอเข้าสนับสนุนกำลังทางอากาศเพื่อทำการช่วยเหลือ นายพันโท จอมยุทธ์ พัฒนประสาทศิลป์ เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธและวัตถุระเบิด สำนักงานกองบัญชาการ (ร่วมพิเศษ) ฯ ออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยนอกราชอาณาจักรไทย ” คำร้องที่ชัดเจนดังกล่าวจัดเป็นการเปิดช่องทางการเข้าแทรกแซงของเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยได้เป็นอย่างดี เพราะยุทธจักรกำลังอ้างประเด็นการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของไทยออกจากพื้นที่นอกอำนาจปฏิบัติการ

ถึงแม้ว่าจอมยุทธ์จะปฏิบัติการในฐานะเจ้าหน้าที่จากสำนักงานองค์การสหประชาชาติในภารกิจครั้งนี้ แต่สถานภาพการเป็นพลเมืองตลอดจนข้าราชการของประเทศไทยยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ ยุทธจักรจึงสามารถใช้กลยุทธ์นี้เสนอตัวแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยรบพิเศษได้

“Permission is granted.....Proceed with supreme cautions” ด้วยสถานการณ์บังคับและอเล็กซ์ไม่มีทางเลือกอื่น ประกอบกับคำร้องที่ยุทธจักรเสนอมาก็มีน้ำหนักพอที่จะตัดสินใจอนุญาตให้เข้าดำเนินความช่วยเหลือได้ แต่ก็กล่าวเตือนให้เคลื่อนกำลังด้วยความระมัดระวัง

หลังจากได้รับคำสั่งอนุญาต ยุทธจักรและนายตำรวจในชุดปฏิบัติการที่หนึ่ง จำนวนรวมห้าคนพร้อมอาวุธปืนกลยาวรวมถึงเครื่องยิงระเบิดระยะไกล จึงขึ้นเฮลิคอปเตอร์ขนส่งที่เตรียมไว้สำหรับการช่วยเหลือเพื่อเดินทางเข้าไปรับเจ้าหน้าที่บราโว่ทั้งห้าคนออกจากพื้นที่สีแดง

ปืนทุกกระบอกถูกเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีทางอากาศเพื่อคุ้มกันและสกัดกั้นการโจมตีของทหารกระเหรี่ยงที่เหลือจากพื้นดิน

“ชุดปลดอาวุธที่หนึ่ง.....กรุณาระบุตำแหน่งของคุณ” หลังคำสั่งสั้นๆ ของยุทธจักรในฐานะหัวหน้าทีมช่วยเหลือ พลุสัญญาณระบุตำแหน่งจึงถูกยิงขึ้นท้องฟ้าโดยเจ้าหน้าที่ในทีมของจอมยุทธ์

เมื่อทราบตำแหน่งของผู้บาดเจ็บ เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายไทยบนเฮลิคอปเตอร์จึงต้องทำการระดมยิงกระสุนหนักต่างๆ ลงสู่เบื้องล่าง ภายนอกรัศมีที่มั่นของบราโว่ทีมทั้งห้าคน เพื่อเปิดทางให้เครื่องลงจอดสู่พื้นดินเป็นไปด้วยความรวดเร็ว

เสียงระเบิดของกระสุนหนักที่ยิงออกมาจากเฮลิคอปเตอร์บนฟากฟ้า ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย โดยแทบไม่เปิดโอกาสให้มีการตอบโต้เกิดขึ้นแต่อย่างใด การระดมยิงดังกล่าวส่งผลให้ทหารกระเหรี่ยงกลุ่มสุดท้ายสูญเสียกำลังและฐานที่มั่นโดยสิ้นเชิง

เพื่อความปลอดภัย ทีมชุดปฏิบัติการของยุทธจักรจึงทำการวางกำลังคุ้มกันรอบๆภายหลังเฮลิคอปเตอร์ลงจอดสนิท เจ้าหน้าที่บราโว่สองคนใช้เปลสนามที่พกติดตัวเคลื่อนย้ายร่างที่บาดเจ็บของจอมยุทธ์ออกจากที่กำบังและวิ่งเข้าหาเฮลิคอปเตอร์ที่จอดอยู่อย่างรีบเร่ง

“เคลียร์.....”

“เคลียร์.....” เสียงรายงานจากเจ้าหน้าที่คุ้มกันประจำตำแหน่งเพอริมิเตอร์ดังขึ้นต่อๆกัน หลังจากเจ้าหน้าที่บราโว่ทุกคนขึ้นไปประจำที่อย่างเรียบร้อยภายในเฮลิคอปเตอร์ สุดท้ายยุทธจักรจึงสั่งการถอนกำลังออกจากพื้นที่ กลับไปยังพิกัดเริ่มต้น

คริสรีบเข้าไปดูอาการของจอมยุทธ์ในทันทีที่เฮลิคอปเตอร์บินกลับมา เขาพบว่าจอมยุทธ์ถูกกระสุนปืนยิงเข้าที่บริเวณต้นขา และบริเวณต้นแขน ทะลุเข้าข้างลำตัว

แม้ว่าจะมีการปฐมพยาบาลในพื้นที่โดยใช้ผ้าพันรอบบาดแผลเพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลออกมามากเกินความจำเป็น แต่เลือดสีแดงสดก็ยังไหลซึมออกมาเรื่อยๆ

“จอม....จอม” คริสเรียกชื่อของจอมยุทธ์เพื่อสังเกตการตอบสนองทางร่างกายและสติ พร้อมทั้งลงมือตรวจอัตราการเต้นของหัวใจ และสัญญาณการมีชีวิตอื่นๆ

“คริส” จอมยุทธ์ตอบสนองพร้อมรอยยิ้ม แม้เขาจะมีอาการบาดเจ็บหนักแต่ก็ยังเข้มแข็งเสมอ

“โอเค....จอม....ผมคาดว่ากระสุนจะทะลุเข้าปอด....ผมจะตรวจดูว่ามีกระดูกแตกหรือไม่” คริสถามพร้อมกับรับฟังลักษณะการหายใจ

จอมยุทธ์พยักหน้าเป็นการให้คำตอบ พร้อมกับอาการไอออกมาเป็นฟองเลือด

“เจ็บมั้ย” คริสถามขณะใช้นิ้วกดลงไปบริเวณทรวงอกเพื่อทำการตรวจสอบการแตกหักของโครงกระดูกซี่โครง

จอมยุทธ์ส่ายหน้าจนกระทั่งการตรวจเบื้องต้นเสร็จสิ้น เป็นอันว่ากระดูกไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด

“ผมจะล้างแผล...ให้น้ำเกลือและเปิดเส้นไว้นะจอม...คุณจะต้องไปโรงพยาบาลอย่างเร็วที่สุด...ผมจะยังไม่ให้มอร์ฟีนจนกว่าคุณจะร้องขอนะ...” คริสอธิบายเพื่อกระตุ้นสติของจอมยุทธ์

จอมยุทธ์พยักหน้าช้าๆ เป็นการตอบสนองอีกครั้ง

“คริส....หัวหน้าศิวะต้องการสื่อสารด้วย ที่ช่องคลื่นที่สอง” เจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อสารประจำหน่วยรบพิเศษแจ้งข่าวให้
คริสได้ทราบ

“ขอบคุณ...” คริสตอบ ก่อนจะปรับเครื่องรับส่งสัญญาณวิทยุไปในช่องคลื่นดังกล่าวเพื่อพูดคุยกับศิวะ

เวลานี้ศิวะได้รับการมอบหมายหน้าที่เต็มจากอเล็กซ์ให้ดำเนินการประสานงานเรื่องการปฐมพยาบาลและการรักษาแก่จอมยุทธ์ ในขณะที่อเล็กซ์และเจ้าหน้าที่ประจำภาคพื้นดินเข้าเคลียร์พื้นที่และติดตามจับกุมนายพลลู่เซอที่กำลังหลบหนีอยู่

“คริส....รายงานผลการตรวจเบื้องต้นให้ผมทราบด้วย” เสียงของศิวะดังขึ้นจากเครื่องมือสื่อสาร ขณะนี้เขาอยู่บนเฮลิคอปเตอร์ที่กำลังมุ่งหน้าพาภูฟ้าไปพักที่สถานีตำรวจตะเวนชายแดนประจำด่านแม่สะเรียง

“กระสุนถูกยิงเข้าร่างกายสองจุด.... จุดแรกคือต้นขา จุดที่สองคือบริเวณต้นแขนทะลุเข้าปอด เราจำเป็นต้องพาจอมไปโรงพยาบาลเพื่อเขารับการผ่าตัดอย่างเร็วที่สุด” คริสรายงาน โดยปล่อยให้เจ้าหน้าที่การแพทย์อีกสองคนจัดการล้างแผล และเปิดเส้นเพื่อตรียมให้น้ำเกลือ

“โอเค....คริส.....ผมต้องการให้คุณพาจอมไปที่โรงพยาบาลตามที่กำหนดพร้อมด้วยนายพันตรียุทธจักร....ที่นั่นคุณจะพบกับศักดิ์และเจ้าหน้าที่ของสำนักงานกองบัญชาการ (ร่วมพิเศษ) ฯ รออยู่ เพื่ออำนวยความสะดวก.... นายแพทย์ศิลป์กวีจะอยู่ที่นั่นด้วยเพื่อให้คำปรึกษาและเดินเรื่องการรักษา.... มาตรการทุกอย่างยังคงยืนยันรูปแบบเดิมตามที่ประชุมเมื่อคืน” ศิวะมอบหมายงานและย้ำมาตรการจัดการรักษาที่ระบุไว้ตามข้อตกลงของสำนักงานกองบัญชาการ (ร่วมพิเศษ)ฯ กับโรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ ซึ่งเป็นสถานที่รองรับการรักษาพยาบาลรหัสฉุกเฉินในแผนปฏิบัติการ “สกาย 001” ในขณะที่โรงพยาบาลตำรวจและโรงพยาบาลทหารอากาศจะเป็นสถานรองรับการรักษาพยาบาลรหัสปกติ

รายละเอียดตามมาตรการการรักษาระบุอย่างชัดเจนว่าโรงพยาบาลดังกล่าวจำเป็นต้องป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลการรับเข้ารักษาและการรักษา ตลอดจนอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายการแพทย์ของหน่วยรบพิเศษเข้ารับฟังขั้นตอนการรักษา รวมถึงร่วมดำเนินการรักษา ตามแต่ละด้านความเชี่ยวชาญของเจ้าหน้าที่นั้นๆ โดยทั้งนี้ นายแพทย์ศิลป์กวี ศรีสิริโชคชัย ในฐานะผู้ประสานงาน (ชั่วคราว) กิจการพิเศษระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานกองกำลังร่วมพิเศษฯ จะเป็นผู้อำนวยความสะดวกทั้งสองฝ่าย

เรื่องการติดต่อนายแพทย์ศิลป์กวี.....คุณปู่ของภูฟ้าเพื่อเข้ารับภารกิจในครั้งนี้เกิดขึ้นตามเจตจำนงค์ของพลตำรวจเอกรุ่งโรจน์ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบสูงสุดในการสนับสนุนภารกิจทุกรูปแบบทั้งเรื่องการรักษาพยาบาล การคมนาคม การสื่อสาร เอกสาร และสิ่งจำเป็นอื่นๆ โดยการเตรียมการดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ก่อนประชุมสรุปแผนภารกิจในเวลาสิบแปดนาฬิกาตรงได้ไม่นาน

มาตรการต่างๆถูกถ่ายทอดออกเป็นลายลักษณ์อักษรและทำการแจกจ่ายให้เจ้าหน้าที่ทุกคนในที่ประชุมเพื่อศึกษาและทำความเข้าใจเพื่อให้ภารกิจประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย

“รับทราบ.....แต่....เสือ...ผมกังวลเรื่องเลือดของจอม” ศริสกล่าวทิ้งท้ายเพราะทราบดีว่าจอมยุทธ์นั้นมีกรุ๊ปเลือดที่จัดว่ามีปัญหาที่สุดในการถ่ายเลือด

ยุทธจักรรับฟังประโยคสนทนาทั้งหมดตั้งแต่ต้น เพราะได้รับคำสั่งจากศิวะให้ปรับช่องคลื่นสื่อสารไปช่องเดียวกัน เพื่อรับทราบสถานการณ์และเตรียมพร้อมสำหรับคำสั่งต่างๆ

ในเวลานี้ยุทธ์จักรได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ประสานงานภาคสนาม เนื่องจากเป็นนายตำรวจระดับสูงที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้มาพอสมควร

แม้เขาจะทราบว่าคริสกำลังกังวลเรื่องเลือดของจอมยุทธ์ แต่ด้วยมารยาทยุทธ์จักรจำเป็นต้องนิ่งเสีย จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม ที่เขาจะสอบถามข้อมูลต้นเหตุของเรื่องดังกล่าวได้

“ผมคิดว่าไม่น่ามีปัญหาเรื่องเลือดเมื่อเข้ารับการรักษา....แต่ว่าผมกังวลขณะการขนส่งมากกว่า....คริสว่าจอมพอจะไหวมั้ย” ศิวะถามต่อ

“ผมไม่แน่ใจเสือ....จอมเสียเลือดมาก....ต้องได้รับการให้เลือดอย่างเร็วพอสมควร”

 “โอเค.....อย่างนั้นรีบไปเถอะ......เฮลิคอปเตอร์จะใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงจนถึงโรงพยาบาล...คริส...ผมเชื่อมั่นในตัวคุณ...และผมเชื่อมั่นในตัวจอมด้วย....ผมฝากความหวังไว้ที่คุณนะ....ช่วยจอมด้วย” ศิวะกล่าวออกมาในตอนท้าย ก่อนจะเปลี่ยนช่องสัญญาณเพื่อติดต่อประสานงานตามมาตรการต่างๆ ที่ระบุไว้

“ผมจะทำสุดความสามารถเสือ” คริสกล่าวทิ้งท้าย น้ำเสียงของเขามีแววกังวลเจืออยู่อย่างเห็นได้ชัด

 “Medical code 01, proceed to transportation” ยุทธจักรให้สัญญาณการเคลื่อนที่หลังจากที่การสนทนาสิ้นสุดลง

เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์และพยาบาลย้ายร่างของจอมยุทธ์ขึ้นไปบนเฮลิคอปเตอร์อีกครั้ง พร้อมด้วยคริส ยุทธจักร และเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายไทยสองนาย เพื่อนำร่างที่บาดเจ็บของจอมยุทธ์ส่งสถานรักษาพยาบาลในจังหวัดเชียงใหม่

จอมยุทธ์ยังคงมีสติดีอยู่มาก แม้จะบาดเจ็บค่อนข้างหนัก แต่ก็สามารถตอบสนองและสื่อสารผ่านสัญญาณมือกับ
คริสได้โดยตลอด

คริสดูเคร่งเครียดตลอดเวลาเพราะรับทราบข้อจำกัดเรื่องเลือดของจอมยุทธ์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลักษณะทางกายภาพบ่งบอกชัดเจนว่าจอมยุทธ์มีอาการเลือดออกภายในปอดและลำตัว (Internal Bleeding) ไม่รวมถึงการเสียเลือดจากบาดแผลภายนอกที่ต้นขา

อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นแต่เบาบางและการหายใจอ่อนลง อาการไอเป็นฟองเลือดของจอมยุทธ์ก็มีให้เห็นเป็นระยะๆ  เขามีอาการซีดลงอย่างเห็นได้ชัด

แม้ว่าจะยังไม่เข้าสู่ภาวะช๊อคเนื่องจากร่างกายสูญเสียเลือดในปริมาณมาก (Hypovolumic Shock) แต่การเดินทางยังไม่สิ้นสุดลง คริสไม่อาจนิ่งนอนใจกับสถานการณ์ได้ เขาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อลดภาวะความเสี่ยงต่างๆให้มากที่สุด



Andreas

  • บุคคลทั่วไป
ยุทธจักรสังเกตเห็นอาการเคร่งเครียดดังกล่าวตั้งแต่ต้นจนกระทั่งเวลาผ่านไปนานพอสมควร เขาจึงตัดสินใจถามในสิ่งที่สงสัยออกมา

“คริส....ผมขออนุญาตถามคำถามซักข้อหนึ่งได้มั้ยครับ”

“เชิญตามสบาย” คริสตอบ

“เลือดของจอมมีปัญหาอะไรหรือครับ...”

คริสถอนหายใจ แต่ก็ตอบคำถามของยุทธจักร

“กรุ๊ปเลือดของจอมคือ โอเนกกาทีพ...... ผมทราบดีกว่ากรุ๊ปนี้หายากมากในประเทศไทย......โดยปกติเราจะสามารถใช้เลือดกรุ๊ปเดียวกันของเจ้าหน้าที่หน่วยรบพิเศษฯในกรณีฉุกเฉินได้ แต่วันนี้การปฏิบัติการใช้เวลามากกว่าปกติ และเราต้องนำจอมเข้ารับการรักษาอย่างเร็วที่สุด ทำให้เราไม่สามารถหาเลือดสำรองในกรุ๊ปนี้ก่อนการเดินทางได้” คริสหยุดซักพักเพื่อหันหน้ากลับมาดูอาการจอมยุทธ์ก่อนจะกล่าวต่อ

“แม้ผมจะสามารถให้การรักษาชั่วคราว เช่นการให้ยาและสารน้ำรวมถึงออกซิเจน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเข้าสู่ภาวะช็อคภายหลังการสูญเสียเลือดได้.....แต่การให้เลือดก็เป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุด” คริสหันกลับไปมองร่างบาดเจ็บของจอมยุทธ์ที่นอนราบอยู่อีกครั้ง ความเป็นห่วงฉายชัดขึ้นภายในดวงตาสีฟ้าสด

“ครับ....ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ....คุณคริสไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ...ผมมีเลือดกรุ๊ปเดียวกับจอม...ผมยินดีให้ใช้เลือดของผมเพื่อการรักษาเบื้องต้นจนกระทั่งถึงโรงพยาบาลครับ”

คริสหันกลับมาทันทีที่ได้ยินคำพูดของยุทธจักร ดวงตาสีฟ้าสดของเขาเป็นประกายแจ่มใสขึ้นมา รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนในหน้าที่เคร่งเครียด.....

เขามีเลือดสำรองให้กับจอมยุทธ์แล้ว

“ขอบคุณมาก.... แต่ผมต้องขอทำการทดสอบก่อนนะ....ผมขอตัวอย่างเลือดคุณซักนิดหนึ่งได้มั้ย” คริสถามอย่างตื่นเต้น

“ได้ครับ....ผมรับรองด้วยเกียรติว่าเลือดของผมปลอดภัยแน่นอนครับ” ยุทธจักรตอบรับพร้อมกับถลกแขนเสื้อขึ้นเพื่อให้คริสเจาะเลือดไปทดสอบการเข้ากันได้กับเลือดของจอมยุทธ์

เทคนิควิธีง่ายๆ ที่คริสนำมาใช้ คือ การนำเลือดของทั้งสองคนมาผสมกัน ถ้าสามารถผสมกันได้โดยไม่ตกตะกอน ก็หมายความว่าเลือดทั้งสองคนเข้ากันได้ 

และโชคชะตาก็ไม่ได้เลวร้ายจนเกินไปนัก เพราะผลการทดสอบพบว่าเลือดของยุทธจักรและจอมยุทธ์มีลักษณะร่วมเดียวกัน สามารถถ่ายให้กันได้

“คริส...จอมเข้าสภาวะช็อค....เราต้องทำการให้เลือดทันที...”เสียงของเจ้าหน้าที่การแพทย์และพยาบาลคนหนึ่งร้องบอกขึ้น ในขณะที่อีกคนหนึ่งกำลังให้ยาเพื่อให้กระตุ้นการเต้นของหัวใจ

คริสไม่อาจรอช้าได้อีกต่อไป...เขาจัดการถ่ายเลือดจากยุทธจักรผ่านถุงพักเลือดและเข้าสู่ร่างกายของจอมยุทธ์โดยตรง เพื่อยืดชีวิตของจอมยุทธ์จนกว่าจะถึงโรงพยาบาลในอีกสิบห้านาทีข้างหน้าตามคำบอกของนักบิน

จอมยุทธ์เข้าสู่สภาพปกติเมื่อเวลาผ่านไปตามลำดับ เขาพอจะรู้สึกตัวและทราบว่า....เลือดสีแดงเข้ม...ที่ไหลผ่านเข้ามาในร่างกายนั้นสร้างความอบอุ่นให้กับเขาเพียงใด 

นานเหลือเกิน....นับจากพี่ชายที่รักทั้งสองคนจากไป....หัวใจของเขาไม่เคยรู้สึกอบอุ่นเช่นนี้.....เลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย.....รอบหัวใจที่ด้านชา....หนาวเย็น.... กลับพัดพาเอาความรักของชายคนหนึ่ง....ที่นอนอยู่ข้างเขา จับมือเขาไว้แน่น... ผ่านสายเลือดนั้น ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นสุขอย่างประหลาด

ในห้วงแห่งสติที่ต้องต่อสู้กับความเจ็บปวดนั้น....จอมยุทธ์คล้ายกับว่าจะได้ยินเสียงของยุทธจักรแว่วเข้าสู่โสตประสาทตลอดเวลาว่า

“จอม....ต้องอดทนนะครับ....ผมไม่ยอมให้คุณเป็นอะไรไปเด็ดขาด..... ผมรักคุณมาก.....คนดีของผม....สัญญาซิครับ...ว่าจะสู้....สู้ให้ถึงที่สุด”

ก่อนที่จะหมดสติไป.....จอมยุทธ์รู้สึกว่าตัวเขาเอง....ยิ้มรับคำพูดนั้นโดยไม่มีคำปฏิเสธใดๆ ......

อานุภาพของความรักที่ผ่านมาพร้อมกับเลือดสีเข้มนั้น...มีพลังพอที่จะถอดสลักประตูหัวใจของจอมยุทธ์ให้หลุดออก.... คงเหลือแต่เพียงแค่....การเปิดประตูหัวใจบานนั้นออกมา....ก็เท่านั้น.....

******

เฮลิคอปเตอร์ถูกนำลงจอดที่สนามหญ้าของโรงพยาบาล โดยการอำนวยความสะดวกของศักดิ์และเจ้าหน้าที่ที่พลตำรวจเอกรุ่งโรจน์ส่งมาประจำการไว้

จอมยุทธ์ถูกส่งเข้ารับการตรวจเอกซ์เรย์ร่างกายเพื่อหาตำแหน่งกระสุน และตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นภายในทันที ในขณะที่นายแพทย์ศิลป์กวี คริส  ผู้อำนวยการโรงพยาบาล หัวหน้าแผนกศัลยกรรมและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญต่างแยกออกมาเตรียมตัวในเรื่องทั่วๆไป

นายแพทย์ศิลป์กวี ผู้เป็นคุณปู่ของภูฟ้า....ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานอย่างดีเยี่ยม เนื่องด้วยเพราะเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในระดับประเทศ รวมถึงเป็นเพื่อนร่วมรุ่นสถาบันเดียวกันกับผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งนี้อีกด้วย

ข้อมูลการวินิจฉัยเบื้องต้นที่คริสและคณะแพทย์ได้รับเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของจอมยุทธ์ก็คือ กระสุนปืนลูกหนึ่งทะลุปอดด้านขวาไปหยุดที่บริเวณเนื้อเยื่อส่วนบนของตับ ส่วนอีกลูกยังคงฝังไว้บริเวณกล้ามเนื้อต้นขา

การผ่าตัดต้องกระทำโดยเร่งด่วนเพื่อห้ามเลือดที่หลั่งอยู่ภายในร่างกาย รวมถึงเอากระสุนทั้งสองลูกออก

คริสไม่รอช้า...เขายื่นเจตจำนงเพื่อเข้าทำการผ่าตัดจอมยุทธ์ด้วยตนเอง โดยจะทำงานด้วยกันกับทีมแพทย์ของโรงพยาบาลที่จัดสรรมาสำหรับการรักษาแบบเร่งด่วนและเป็นความลับสุดยอดในครั้งนี้

ทุกอย่างดูเหมือนดำเนินไปอย่างดีไร้ข้อบกพร่อง....ยกเว้นแต่ว่าเลือดกรุ๊ปโอเนกกาทีพมีสำรองไม่เพียงพอ  นั่นจึงเป็นสาเหตุทำให้คริสต้องเดินมาปรึกษากับยุทธจักรอีกครั้ง

“เรามีเลือดสำรองไม่เพียงพอ....แต่ว่าจอมต้องได้รับการให้เลือดระหว่างการผ่าตัด ดังนั้นผมจึงต้องมาคุยกับคุณเพื่อขอความช่วยเหลือ....แต่ผมต้องเรียนไว้ก่อนว่า วิธีของผมมีความเสี่ยงมาก และคุณมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือได้....”

“เชิญคุณคริสว่ามาเลยครับ....ผมเต็มใจช่วยจอมเสมอครับ” เสียงของยุทธ์จักรมั่นคง......ตอกย้ำการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวจนคริสรับรู้ได้

“ผมต้องการเลือดของคุณอีกครั้ง....เพียงแต่ว่าในครั้งนี้อาจจะมากกว่าระดับปกติที่คนทั่วไปจะบริจาคได้... ผมจะใช้วิธีเหนี่ยวนำให้อุณหภูมิภายในร่างกายของคุณลดลง อัตราการเต้นของหัวใจจะลดลงแต่จะเพิ่มระดับออกซิเจนในเลือดด้วยอุปกรณ์ช่วยการหายใจ ....สภาวะดังกล่าวจะทำให้คุณสามารถให้เลือดมากกว่าเกณฑ์ปกติได้เล็กน้อย แต่ก็มีความเสี่ยงต่อระบบการเต้นของหัวใจเป็นอย่างมาก....คุณจะอยู่ในสภาวะไร้สติชั่วคราวจนกว่าการให้เลือดจะเสร็จสิ้น” คริสอธิบาย

“ผมเข้าใจครับ....และผมยินดีจะรับความเสี่ยงนั้น......ผมอยากช่วยคนที่ผมรักครับ”

ยุทธจักรไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเหตุใดจึงกล้าบอกความจริงดังกล่าวให้บุคคลแปลกหน้าอย่างคริสได้รับรู้ เขาทราบเพียงแต่ว่า มีอะไรบางอย่างในตัวคริส ที่เขาไว้ใจ ที่เขาเชื่อว่าทั้งศิวะและจอมยุทธ์ก็ไว้ใจคริสมากเช่นกัน

คริสยิ้มรับกับความจริงนั้น เขากล่าวขอบคุณอย่างอ่อนโยน

“ขอบคุณครับ.....”

“คุณพยาบาลจะพาคุณไปเตรียมตัว....ผมจะไปพบคุณอีกครั้งนะครับ....เชิญครับ” คริสบอกต่อ และปล่อยให้นางพยาบาลพายุทธจักรไปเตรียมตัว

แม้จะได้ปริมาณเลือดสำรองเพิ่มขึ้นจากเลือดของยุทธจักร แค่คริสก็ยังคงเสนอให้นำเลเซอร์เข้ามาช่วยในการผ่าตัด ตามข้อจำกัดของเรื่องปริมาณเลือดสำรองที่มี เนื่องจากการผ่าตัดแบบใช้แสงเลเซอร์นั้นจะช่วยลดอัตราการเสียเลือดได้มากกว่าการผ่าตัดแบบปกติ

คณะแพทย์ทุกคนเห็นพ้องกับวิธีดังกล่าว และมีความยินดีที่จะได้มีโอกาสสังเกตและเรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ จากคริส ซึ่งเป็นศัลยแพทย์ที่นายแพทย์ศิลป์กวีรับรองความสามารถด้วยตนเอง รวมทั้งชื่อของคริสก็ปรากฏอยู่ในวารสารชั้นนำทางการแพทย์ระดับโลกหลายฉบับ

เมื่อทุกอย่างพร้อม....กระบวนการผ่าตัดที่เดิมพันชีวิตของจอมยุทธ์ก็เริ่มต้น รวมถึงยุทธจักรก็อยู่ในสภาพที่จะให้เลือดสำรองได้อีกครั้งหลังจากเลือดที่เตรียมไว้หมดสิ้นลง

คริสซึ่งตอนนี้แต่งกายในชุดสำหรับผ่าตัด สงบสติอารมณ์เพียงแค่ไม่กี่วินาทีก่อนที่มีดเล่มเล็กในมือจะกรีดลงไปบนอกด้านหนึ่งของจอมยุทธ์ พร้อมกับกล่าวความตั้งใจจริงของเขาให้พระผู้กำหนดดวงชะตาชีวิตของมนุษย์ได้รับรู้

“ผมเคยสร้างปาฏิหาริย์มาแล้วหนึ่งครั้ง....ครั้งนั้นท่านนำชีวิตของคนสองคนเป็นข้อแลกเปลี่ยน.....แต่ครั้งนี้...ผมจะไม่ยอมเสียใครไปซักคน....ผมจะสร้างปาฏิหาริย์อีกครั้ง....และจะเป็นครั้งที่แม้แต่ท่านก็ไม่อาจขอสิ่งใดๆแลกเปลี่ยนได้อีกต่อไป”

Andreas

  • บุคคลทั่วไป
ถนนสายหนึ่งทอดยาวไปข้างหน้า...ไกลแสนไกล.....ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด

บรรยากาศรอบๆดูสดใส.... แสงอ่อนๆ ไล่ระเรื่อไปตามใบเรียวของยอดหญ้าเหนือพื้นดิน ตลอดสองข้างเส้นทางคือต้นไม้ขนาดกลางที่ทั้งต้นถูกประดับประดาไปด้วยกลีบดอกสีชมพูสด บ้างก็ยังตูม บ้างก็เบ่งบาน...บ้างก็โรยลา...พลิ้วร่วงตามสายลมเอื่อยๆ.....แต่อบอุ่น

จอมยุทธ์พบว่าเขากำลังเดินอยู่บนถนนสายนั้น..... โดยไม่รู้ถึงจุดหมายที่จะพานพบ....คงรู้แต่ว่า...ต้องเดิน.....จิตสำนึกสั่งให้เดิน....เดินไปจนกว่าจะพบสิ่งที่รอคอย

ขณะเท้าทั้งสองข้างก้าวเดินอย่างมั่นคง ดวงตาทั้งสองข้างก็ทอดยาวไปไกล....เพียงเพื่อค้นหาบางสิ่ง....บางสิ่งที่เขาเองก็ไม่อาจทราบว่า...มันคืออะไร

จนกระทั่ง.....เขาสังเกตเห็นบุรุษผู้หนึ่ง ยืนอยู่กลางถนน.....แม้ไกลลิบ......เกือบสุดสายตา....แต่กลับรู้สึกอุ่นใจทุกครั้งยามระยะทางหดสั้นลง

เขายังเดินต่อไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็สามารถมองเห็นใบหน้าของบุคคลนั้นอย่างชัดเจน....

หัวใจของเขาเต้นแรง....น้ำตารื้นขึ้นที่ขอบดวงตาเรียวได้รูป....เท้าทั้งสองก้าวยาว จนเกือบวิ่ง เพื่อไปอยู่ตรงหน้าคนคนนั้น.... จอมยุทธ์กำลังจะได้พบคนที่เขาเฝ้ารอ....คนที่จากไปตั้งแต่ความสูญเสียครั้งนั้น....คนที่อย่างไรก็ตามไม่อาจจะสลัดออกจากหัวใจที่หนาวเย็นของตัวเองได้

ภูผา....คือคนที่ยืนรออยู่ปลายทางนั้น.... เขายิ้ม....ยิ้มที่งดงาม...อ่อนหวาน.....เหมือนในอดีต...มิเปลี่ยนแปลง

สองแขนของภูผาสวมกอดเข้าที่ร่างแข็งแรงของจอมยุทธ์ทันที่ที่พบกัน....น้องชายของเขากำลังร้องไห้....น้ำตาที่มีให้เห็นได้ไม่บ่อยครั้งนัก....

ฝ่ามือนุ่มของภูผาลูบเรือนผมสีดำสนิทของผู้เป็นน้องชาย.... พร้อมถ่ายทอดความรัก....ที่มีให้มาตลอด

“จอม” ภูผาเปล่งเสียงนุ่ม

“ครับพี่หมอก....ผมคิดถึงพี่หมอกเหลือเกินครับ....” จอมยุทธ์ยังคงสะอื้นไห้....เขากลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง....เหมือนอดีต....น้องชายคนเล็กของพี่ชายทั้งสามคน

“แต่พี่ไม่คิดถึงจอมหรอกนะ”

สิ้นคำของภูผา จอมยุทธ์ผละออกจากอ้อมกอดอันอบอุ่นนั้นทันที เขามองหน้าผู้เป็นพี่ชาย พยายามค้นหาความหมายของประโยคนั้น....ภายใต้นัยน์ตาคู่งาม

ภูผายังคงยิ้ม....สองมือของเขาจับมือจอมยุทธ์ไว้แน่น

“เพราะพี่อยู่กับจอม กับพี่เสือ และตาภู ตลอดเวลา....พี่อยู่ในหัวใจของจอม.....พี่มองจอมและพี่เสือผ่านดวงตาของลูกชายพี่งัยครับ....ลูกชายที่เติบโตขึ้นมาด้วยความรักของจอม พี่เสือ และคริส....เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเหตุใดพี่ยังต้องคิดถึงจอม....เพราะพี่ไม่เคยจากจอมมาเลยนี่ครับ....เข้าใจหรือยังครับ....”

จอมยุทธ์พยักหน้าแสดงความเข้าใจ เขายกมือของภูผาขึ้นมาไว้ข้างแก้ม และเลื่อนลงมาตรงหน้า ก่อนจะประทับริมฝีปากลงไป

“ขอบคุณครับพี่....” จอมยุทธ์พูดเสียงนุ่ม

“แต่พี่ฟ้าลั่นจะมาเตะผมหรือเปล่านี่ครับพี่หมอก...ที่ผมแอบจูบพี่หมอกเนี่ย”

“อืม...แล้วพี่ฟ้าลั่นไปไหนล่ะครับ....”จอมยุทธ์ถามต่อพลางหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาคนรักของพี่ชายตรงหน้า....ชายหนุ่มผมยาว...ตัวใหญ่...ที่จอมยุทธ์คาดว่าจะต้องอยู่กับพี่หมอกของเขาในสถานที่แห่งนี้

“ฟ้าลั่นเค้าไปเป็นกามเทพครับ...เดี๋ยวคงมา....แต่ว่า....ตอนนี้พี่มีเรื่องอยากคุยกับจอม....” ภูผาตอบพร้อมรอยิ้มหวานเช่นเคย

“ครับพี่หมอก...เชิญครับ....ผมมีเรื่องอยากคุยกับพี่หมอกเยอะเหมือนกันนะครับ....แต่ผมคงไม่ต้องรีบใช่มั้ยครับพี่.....ผมคงตายไปแล้วใช่มั้ยครับจากโลกใบนั้น.... ผมเลยมีโอกาสมาพบกับพี่หมอกได้” จอมยุทธ์ใจหายวาบทันทีที่พูดประโยคนี้ออกมา เพราะหมายความว่า เขาจะไม่มีโอกาสกลับไปหาภูฟ้า...ยอดดวงใจของเขาอีกแล้ว

ภูผายังคงยิ้ม มิได้พูดอะไร..... หากแต่ ยกมือของเขาขึ้นไปแนบหัวใจของจอมยุทธ์

“อุ่นมั้ย..จอม”

“อุ่นครับพี่หมอก....”

“อุ่นเพราะอะไร....จอมตอบได้มั้ย” ภูผาคลี่ยิ้ม

“เพราะความรักของพี่หมอกถ่ายทอดมาสู่หัวใจของผมครับ....”

“ผิดแล้วจอม....หัวใจของจอมอุ่นเพราะเลือดแห่งรักที่ไหลเวียนอยู่รอบๆต่างหาก....เลือดจากคนคนหนึ่งที่รักจอมมาก....เขายินดีที่จะปกป้องจอมเสมอ...เขาคนนั้นคืออณูแห่งความอบอุ่นที่ถ่ายทอดมายังจอมงัยครับ........”

“พี่แซม.....”จอมยุทธ์ครางชื่อนี้ออกมาเบาๆ จิตสำนึกบอกเขาว่า ภูผากำลังอ้างถึงชายหนุ่มคนนี้

“ทำไมจอมต้องพยายามปฏิเสธเขาล่ะ....”ภูผาแกล้งถาม...แม้จะทราบคำตอบอยู่แล้ว

“ผมกลัวครับพี่หมอก....ผมกลัวที่จะรัก.....ผมกลัวที่จะเสียใจครับ....อีกอย่างผมมีตาภูที่เป็นยอดดวงใจของผมอยู่แล้ว....ผมยังต้องการความรักไปเพื่ออะไรครับ....” จอมยุทธ์ตอบคำถาม แต่ก็เลือกที่จะยื่นประโยคคำถามกลับไป

“พี่ว่าจอมกำลังอ่อนแอมากกว่า....แม้ว่าจอมจะกำลังอยู่ในหุบเหวแห่งความเศร้า....เงียบเหงา...อ้างว้าง....และหนาวเย็น.... แต่ก็มีเส้นเชือกหลากหลายเส้น ที่ทอดยาวลงไปหา...สั้นบ้าง...ยาวบ้าง.....มีขนาดแตกต่างกันไป....หากแต่จอมอ่อนแอเกินกว่าจะตัดสินใจคว้าเส้นเชือกนั้น และปีนป่ายขึ้นมาสู่บริเวณที่อบอุ่น...ที่ดวงอาทิตย์แห่งรักฉายชัดตลอดเวลา.....”

“แล้วจะทราบได้อย่างไรล่ะครับ...ว่าเส้นเชือกเส้นไหน มันจะแข็งแรง...พอที่จะให้ผมปีนขึ้นมาได้สำเร็จ....ผมไม่อยากกลิ้งตกลงไปให้บาดเจ็บหรอกครับ....สู้อยู่เฉยๆ และยอมรับกับสภาพเหวเบื้องล่างไม่ดีกว่าหรือครับ....”จอมยุทธ์ไม่ยอมแพ้

“นั่นงัยครับ...ที่พี่ว่า...จอมกำลังอ่อนแอ.... ในอดีตน้องชายของพี่กล้าสู้....กล้าชน...มากกว่านี่นี่นา....ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงกลัวไปได้.....” ภูผาพูดต่อ

“ไม่มีใครทราบหรอกครับว่าเชือกเส้นแต่ละเส้นมันจะแข็งแรงขนาดไหน...ถ้าจอมไม่ลองกระตุก...ไม่ลองเอื้อมหรือเปิดใจไปสัมผัสกับมันดู.......ไม่มีใครกำหนดหรอกว่าจอมจะใช้เวลานานเท่าไหร่จนกว่าจะขึ้นมาจากเหวนั้นได้.... จอมกับเชือกเส้นนั้นคงต้องตกลงกันเอง.... ดึงมากไปก็อาจจะขาด...ผ่อนมากไปก็ใช้เวลานาน....ที่สำคัญมือของจอมต้องผูกติดกับเชือกเส้นนั้นอยู่ตลอดเวลา.....”

“เชือก...ที่พี่ว่าก็คือ สายรัก ที่หลายคนทอดมาให้จอมงัยครับ.... ลองใช้สติปัญญาและความเข้มแข็งเลือกขึ้นมาซิครับ....พี่มั่นใจว่า ณ บัดนี้...มีเพียงเส้นเดียวที่โดดเด่นจริงๆ ..... เขาพยายามทอดมาอย่างมั่นคงที่สุด....รอเพียงแต่ว่า....จอมจะเอื้อมมือไปคว้าเมื่อไหร่” ภูผาพูดยาว

จอมยุทธ์ยืนนิ่งตั้งใจฟัง แต่ทว่าก็ถอนหายใจยาว หลังจากที่พี่ชายเขาพูดจบ...

“นับตั้งแต่พี่ทั้งสองจากมา...หากไม่มีพี่เสือและตาภูแล้ว...ชีวิตของผมคงล่องลอย......เคลื่อนที่ไปอย่างไม่มีวันหยุด......ลอยไปเหมือนเรือลำเล็ก...ผ่านคลื่นลมที่หนาวเย็น....รอ....รอจนกระทั่งมีคนที่แข็งแรงพอที่จะหยุดยั้งการเคลื่อนไปของผม....ผมหยุดตัวเองไม่ได้ครับ....” จอมยุทธ์กล่าวบอกพี่ชายตามความจริง ที่น้อยคนนักจะรับทราบ

“พี่เข้าใจ.....แต่จอมก็ต้องพยายามลดความเร็วให้ช้าลงบ้าง....พยายามทำใจให้เข้มแข็งพอที่จะเปิดโอกาสให้คนคนนั้น เข้าใกล้พอที่จะฉุดรั้งจอมไว้ได้ซิครับ....”

“ผมจะพยายามครับ...พี่หมอก...” จอมยุทธ์ยิ้มเศร้า....

“สัญญากับพี่ได้มั้ย” ภูผาถาม

“ได้ครับ...ผมสัญญา...ผมจะพยายามทำให้ได้...แต่ไม่ทราบว่ามันจะใช้เวลานานเท่าไหร่นะครับ...” จอมยุทธ์ให้สัญญาแต่ก็ยังเจือปนไปด้วยความไม่แน่นอนบางอย่าง

“จอมจำคำที่จอมพูดไว้ได้มั้ย....ที่ว่า....”

“ถ้าผมพบคนที่ผมรักมากกว่าพี่เมื่อไหร่...ผมจะหยุดครับ....” ทั้งสองพี่น้องพูดพร้อมกัน...

“จอมกำลังพบเขาแล้วนะ....แต่จะใช้เวลาเท่าไหร่ที่จอมจะหยุดนิ่งได้....จอมคงต้องพิจารณาเอง....”

“ครับ....” จอมยุทธ์รับปาก เขาก้มหน้าลง พลางทบทวนถึงข้อความต่างๆที่เขาและภูผาสนทนากันมาตั้งแต่ต้น จนกระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากด้านหลัง....

“ว่างัย...ไอ้เสือจอม.....”

จอมยุทธ์หมุนตัวไปหาต้นเสียง เขาพบชายหนุ่มผมยาว....หน้าเข้ม....ยืนอยู่พร้อมรอยยิ้มร่าเริง....ดวงตาหวาน...ที่หวานกว่าภูผา....กำลังส่งประกายแจ่มใส....ฟ้าลั่นแต่งกายในชุดขาวบริสุทธิ์เช่นเดียวกับภูผา ดวงหน้าเข้มดูหล่อจัดและปราศจากแว่นสายตามาปิดบัง

“สวัสดีครับพี่ฟ้าลั่น....หายไปไหนมาครับ....ผมเกือบจะลักพาตัวพี่หมอกไปแล้ว....”เจ้าน้องชายตัวดีเริ่มกวนประสาทพี่ชายตัวโตเข้าให้

“ถ้าลักพาไป...พี่จะจับเตะให้หมอบเลย...คอยดู...... พี่ไปทดสอบเชือกมาน่ะ” ฟ้าลั่นตอบคำถามพร้อมอาการอมยิ้มน้อยๆ

“เส้นไหนครับ...พอบอกผมได้มั้ย.....”จอมยุทธ์ถามโดยที่เขาไม่ได้หวังคำตอบจากพี่ชายผมยาว

“มันมีอยู่เส้นเดียวนี่หว่า....สีกากีซะด้วย....”ฟ้าลั่นตอบพร้อมรอยยิ้มกว้างจนคนฟังอย่างจอมยุทธ์เริ่มมีอาการหงุดหงิด และหน้าแดง....จอมยุทธ์พยายามกลบเกลื่อน

“ผมไม่เข้าใจ....ทำไมพี่ๆถึงต้องลุ้นผมกับพี่แซมกันนักนี่....พี่เสือ...พี่หมอก...แล้วก็พี่ฟ้าลั่นอีกคน....”

“ก็เพราะพี่สองคนเป็นห่วงจอมงัย....มันถึงเวลาที่จอมจะต้องเข้มแข็งแล้วนะ....พี่ทราบว่าจอมไม่เคยอ่อนแอในเรื่องอื่นๆ แต่เรื่องหัวใจ...จอมก็ทราบดีไม่ใช่หรือ.....พวกพี่แค่ช่วยกันคนละไม้คนละมือ” น้ำเสียงของฟ้าลั่นอ่อนโยนและเป็นงานเป็นการ ทำให้จอมยุทธ์รับทราบถึงความหวังดีและความจริงจังที่ถ่ายทอดออกมา

“แล้วพี่เสือล่ะครับ...พี่ๆจะช่วยพี่เสือหรือเปล่าครับ...”จอมยุทธ์ยังคงคิดถึงศิวะเสมอ

“ตาภูเค้าคงไม่ยอมให้พ่อเขาต้องทุกข์ทรมานนานหรอกครับ......ในอนาคตจอมคงจะทราบเอง...”ภูผาบอกเป็นนัย....

“สุดท้าย...ขอตอบคำถามที่จอมถามไว้ตั้งแต่ต้นนะครับ.... จอมยังไม่ตายหรอกครับ...เพียงแค่อยู่ในสภาวะที่สามารถติดต่อกับพี่ทั้งสองคนได้......ก็เท่านั้น..... กลับไปเถอะครับ....ได้เวลาแล้ว....” ภูผาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่ม รอยยิ้มหวานปรากฏขึ้นบนใบหน้า.....ข้างๆกายของภูผาคือฟ้าลั่น...คนรักที่มิพรากจากกันอีกต่อไป

“อย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้กับพี่นะครับ....” ภูผากล่าว

“พี่สองคนอยู่กับจอม...พี่เสือ...และตาภูเสมอนะ....” ประโยคสุดท้ายของฟ้าลั่นดังก้องไปมาอยู่ในจิตสำนึก....

Andreas

  • บุคคลทั่วไป
จนกระทั่งจอมยุทธ์รู้สึกได้ว่า......หลังมือของเขากำลังถูกครอบครองด้วยสองมือน้อยๆ และถูกสัมผัสด้วยแก้มนุ่มๆ มีเลือดฝาดของใบหน้าที่คุ้นเคย

จอมยุทธ์ค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เขาปรับสายตาให้เข้ากับแสงนวลในห้อง ก่อนจะเอียงใบหน้าไปมองร่างเล็กๆของภูฟ้าที่กำลังใช้ฝ่ามือของเขาแทนหมอน แก้มของภูฟ้าแนบอยู่กับมือนุ่มของผู้เป็นอาเช่นเขา

ภูฟ้าเห็นดวงตาที่เปิดขึ้นของผู้เป็นอา....เด็กน้อยยิ้มให้ทันที พร้อมยืดตัวขึ้นตรง ร้องเรียกบิดาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟา

“พ่อเสือครับ....อาจอมตื่นแล้วครับ.....” ภูฟ้าหันไปหาศิวะพร้อมรอยยิ้มหวาน ก่อนจะหันหน้ากลับมายังคุณอาของตน

“อาจอมเจ็บตรงไหนมั้ยครับ.....” เด็กน้อยถามเสียงนุ่ม...สีหน้าแสดงกังวลเต็มที่

จอมยุทธ์ได้แต่ยิ้มกับคำถามนั้น....เพราะเขายังไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้

ศิวะผุดลุกขึ้นจากโซฟาที่นั่งทันที เขาเดินเข้ามาหาจอมยุทธ์ที่นอนอยู่.... รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเข้ม เพราะภูฟ้าพูดความจริง....จอมยุทธ์รู้สึกตัวแล้ว หลังจากหลับไปถึงสี่วันเต็มๆ 

ก่อนจะพูดอะไรทั้งสิ้น ศิวะกดปุ่มสีแดงบนหัวเตียง เพื่อส่งสัญญาณให้คุณหมอและนางพยาบาลทราบว่า จอมยุทธ์รู้สึกตัวแล้ว....

คริสเป็นคนแรกที่เปิดประตูเข้ามาในห้อง เขาเดินตรงไปตรวจอาการของจอมยุทธ์ทันที

“ในที่สุด...ก็ฟื้นนะจอม....ยินดีต้อนรับกลับมา....” สาเหตุที่ทำให้คริสพูดอย่างนี้ เพราะตลอดเวลาสี่วันที่ผ่านมาหัวใจของจอมยุทธ์หยุดเต้นไปแล้วถึงสองครั้ง คือขณะผ่าตัด และหลังการผ่าตัดหนึ่งวัน

สี่วันที่ผ่านมา ทั้งคริส  ศิวะ และสมาชิกในครอบครัวแทบจะไม่ได้หลับได้นอน.... แม้กระทั่งภูฟ้าเองก็เป็นห่วงอาจอม ถึงขนาดแทบไม่ยอมห่างจากร่างของจอมยุทธ์ที่กำลังนอนหลับสนิท ทั้งๆที่ภูฟ้าเกลียดบรรยากาศของโรงพยาบาลเป็นอย่างมาก

“ตอนภูไม่สบาย....อาจอมยังมานอนเฝ้าภู....แต่ตอนนี้อาจอมไม่สบาย...ภูจะทิ้งอาจอมไปได้อย่างไรล่ะครับ....พ่อเสือ...” นี่คือประโยคที่หนูน้อยบอกบิดาของตน ในตอนแรกหลังจากที่ศิวะจะพาภูฟ้ากลับไปรอที่บ้าน

นั่นคือเหตุผลที่ศิวะต้องพาภูฟ้ามาเฝ้าจอมยุทธ์ในตอนกลางวันทุกวัน...โดยภูฟ้าก็ปฏิบัติตัวดีมาตลอด ในตอนที่จอมยุทธ์อยู่ในห้องปลอดเชื้อ ภูฟ้าก็เลือกที่จะนั่งอยู่หน้ากระจกใส...ทอดสายตาเข้าไปในห้องสู่จุดหมายคือร่างที่หลับสนิทของคุณอาหนุ่ม...ภูฟ้าสามารถนั่งนิ่งๆอยู่ได้หลายๆ ชั่วโมงติดกัน

หรือในตอนที่จอมยุทธ์ออกจากห้องปลอดเชื้อและย้ายเข้ามาในห้องพิเศษแล้ว ภูฟ้ามักจะมานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กที่บิดาเตรียมไว้ให้....สองมือเล็กๆ กุมมือของจอมยุทธ์ไว้ตลอดเวลา....ถ้าภูฟ้าง่วงนอน...ก็จะหลับโดยใช้มือนุ่มของจอมยุทธ์แทนหมอนข้างทุกครั้ง....

 ครั้นเมื่อถึงเวลาที่คุณภาวดีมารับกลับไปบ้านในตอนเย็น ภูฟ้าก็ไม่อิดออด เด็กน้อยกลับบ้านไปพักผ่อนตามคำสั่ง โดยไม่ลืมที่จะห้อมแก้มคุณอาหนุ่ม และกล่าวลาอย่างสั้นๆ ว่า

“อาจอม...ตื่นไวๆ นะครับ....พรุ่งนี้ภูจะมาหาอาจอมใหม่ครับ....ราตรีสวัสดิ์ครับ”

ศิวะต้องวุ่นวายอยู่กับการดีบรีฟภารกิจรวมถึงการดำเนินเรื่องต่างๆภายหลังการปฏิบัติการเสร็จสิ้น รวมถึงได้รับเชิญจากนครินทร์ให้เข้าร่วมการสรุปคดีความ เขาเลยมักจะปล่อยภูฟ้าให้อยู่กับคริส.....พ่อทูนหัว...รวมถึงคุณภาวดีพี่เลี้ยงบ่อยครั้ง

ข่าวสารเรื่องการฟื้นของจอมยุทธ์ถูกกระจายไปในหมู่สมาชิกในครอบครัวใหญ่ รวมถึงเพื่อนๆเจ้าหน้าที่หน่วยรบพิเศษที่คงคงปักหลักอยู่ในประเทศ โดยไม่มีการเคลื่อนย้ายไปไหน จนกว่า Mission Commander จะสั่งสลายตัว ในกรณีนี้ อเล็กซ์และศิวะยังไม่มีคำสั่งใดๆ พวกเขาทั้ง 62 ชีวิตยังคงต้องตามสรุปภารกิจและสนับสนุนข้อมูลต่างๆให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

คุณปู่ คุณย่า และคุณทวดของภูฟ้าพากันขึ้นมารอฟังข่าวกันอย่างพร้อมหน้าที่เชียงใหม่ จึงกลายเป็นการรวมสมาชิกทั้งสี่ครอบครัวเข้าด้วยกันอีกครั้ง แม้จะทราบดีว่าหลังจากจอมยุทธ์ฟื้นแล้ว เขาจะต้องถูกส่งตัวเข้าเซฟเฮ้าส์ทันที พร้อมด้วยแพทย์และพยาบาลติดตาม เพื่อกำหนดเขตรักษาความปลอดภัยได้ดีขึ้น รวมถึงจอมยุทธ์ต้องเริ่มโปรแกรมฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายทันทีที่พร้อม 

“จอม....ดื่มน้ำมั้ย” ศิวะถาม เพราะทราบดีว่าในช่วงเวลานี้จอมยุทธ์น่าจะต้องการดื่มน้ำอย่างมาก

จอมยุทธ์พยักหน้าช้าๆ เป็นคำตอบ ศิวะจึงปรับเตียงและยื่นแก้วน้ำพร้อมหลอดเล็กๆ ให้จอมยุทธ์ดูดน้ำดื่มได้ทีละน้อย เพื่อกันการสำลัก ในขณะที่คริสและคุณหมออีกสองสามท่านกำลังปรึกษากันถึงวิธีการดูแลต่อไป

“พี่เสือครับ...ผมหลับไปกี่วันครับ...”จอมยุทธ์ส่งเสียงถามด้วยเสียงแหบแห้ง

“สี่วันเต็ม.....”ศิวะตอบ

“ทุกอย่างโอเคมั้ยครับ....”จอมยุทธ์ยังคงวิตกเรื่องงาน

“ทุกอย่างโอเค....ไม่ต้องเป็นห่วง....ไม่มีใครบาดเจ็บหนักเท่าจอม....เอสามารถจับพวกขบวนการค้ายาได้ครบ....ส่วนตาภูก็สบายดี....และกำลังอยู่ในระหว่างการฟื้นฟูสภาพจิตใจ โดย คริส แม๊ก...และคุณหมอท่านอื่นๆ” ศิวะตอบคำถามอย่างรวบรัด และถอยหลังออกไปเพื่อให้ศริสเข้ามาพูดคุยกับจอมยุทธ์ต่อ

“จอม...ผมกับคุณหมอตกลงกันว่าจะให้จอมพักที่โรงพยาบาลนี้อีกหนึ่งคืน หลังจากนั้นเราจะพาจอมไปที่เซฟเฮ้าส์ตามข้อกำหนดของหน่วยรบ....ช่วงนี้พวกเราจะสังเกตอาการ และจะเตรียมพร้อมสำหรับการขนย้าย”

“ขอบคุณครับคริส....ผมเดาว่าคริสเป็นคนผ่าผมใช่มั้ยครับ...”ประโยคท้าย จอมยุทธ์ถาม

“ผมมั่นใจในตัวจอมเอง...ผมมั่นใจในตัวผมเอง...และสุดท้ายผมยอมไม่ได้ที่จะอยู่เฉยๆหรอกจอม....ถ้าจอมเป็นอะไรไปโดยที่ผมไม่สามารถช่วยได้......ผมจะโทษตัวเองไปตลอดชีวิต” คริสตอบคำถามของจอมยุทธ์

“ขอบคุณอีกครั้งครับ....คริส” จอมยุทธ์มอบรอยยิ้มให้กับคริส...ผู้รักษาชีวิตของเขา

“จริงๆ จอมต้องขอบคุณ คุณหมอและพยาบาลทกท่านที่ช่วยกันอย่างสุดความสามารถ และต้องไม่ลืมคนสำคัญ.....คือพันตำรวจตรียุทธจักร...คนที่ถ่ายเลือดของเขาให้กับจอม....”

“ครับ” จอมยุทธ์รับทราบ เขาแน่ใจแล้วว่าจิตใต้สำนึกที่บอกเขาว่า มีกระแสเลือดอันอบอุ่นไหลวนอยู่ในร่างกายของเขา รวมถึงความทรงจำ ณ ดินแดนอันห่างไกล......ที่ภูผาก็บอกเขาในลักษณะเดียวกัน....เขาได้รับเลือดที่เต็มไปด้วยความรักจากยุทธจักรมาไว้ในร่างกาย

“ผมต้องขอตัวก่อนนะ...เดี๋ยวผมมาใหม่....” คริสต้องแยกตัวพาภูฟ้าไปเข้าโปรแกรมการฟื้นฟูสภาพจิตใจ

“สกาย...มาลาอาจอมก่อนซิ....เดี๋ยวได้เวลาไปเล่นกับแด๊ดดี้แล้ว” คริสบอกภูฟ้าที่ยืนอยู่ข้างๆ ศิวะ

คำว่า “ไปเล่น” ของคริส นั้นหมายถึงการเข้าฟื้นฟูสภาพจิตใจ ที่ต้องกระทำทุกวัน วันละหลายๆครั้ง เพื่อบำบัดความกลัวที่ฝังลึกในจิตใจของภูฟ้า หลังจากเหตุการณ์บุกชิงตัวประกันที่ผ่านมา

“ภู...ไปเล่นกับแด๊ดดี้ก่อนนะครับ....เดี๋ยวภูมาหาอาจอมใหม่ครับ....” เด็กน้อยกล่าวลาผู้เป็นอา และเดินจูงมือพ่อทูนหัว...หนุ่มต่างชาติร่างสูงใหญ่.....ตาสีฟ้าออกไปจากห้อง โดยมีจุดม่งหมายคือสวนหย่อมสวยของโรงพยาบาล

“พี่แซม...อยู่ที่ไหนหรือครับ...พี่เสือ” ศิวะดูเหมือนจะสังเกตเห็นอาการอายเกิดขึ้นเล็กๆ ภายใต้ประโยคคำถามนั้น แต่เขาเลือกที่จะนิ่งเสีย ไม่จับมาเป็นประเด็นล้อเลียนจอมยุทธ์

“แซมมีงานราชการด่วนครับ....”ศิวะเกือบจะหลุดปากบอกจอมยุทธ์ไปว่า ยุทธจักรจำเป็นต้องหยุดพักชั่วคราว กว่าจะสามารถออกปฏิบัติหน้าที่ได้อีกครั้ง หลังจากที่ต้องถ่ายเลือดให้กับจอมยุทธ์มากเกินกว่าระดับปกติที่คนธรรมดาสามารถจะให้ได้ แม้ว่าในขณะนั้นร่างกายของยุทธจักรจะอยู่ในสภาวะจำศีลชั่วคราวตามที่คริสเป็นผู้คิดค้นขึ้น แต่กระนั้นเขาก็อยู่ในสภาพหมดสติ และค่อยคืนฟื้นสติอย่างช้าๆ ตามกำหนดของคณะแพทย์ รวมทั้งสิ้นถึงสองวันทีเดียว
 
แต่ศิวะก็เลือกที่จะนิ่งเสีย เขาตอบคำถามตามความจำเป็น

“ครับ” จอมยุทธ์รับคำสั้นๆ

“พี่ว่าจอมนอนพักผ่อนซักพักนะ...อีกสองชั่วโมงตาภูก็กลับมา...แล้วค่อยตื่นขึ้นมาคุยกันใหม่...เผื่อคุณยาย คุณพ่อและคุณแม่จะเข้ามาเยี่ยมด้วย....” ศิวะให้คำแนะนำ

“ครับ...”จอมยุทธ์รับคำสั้นๆอีกครั้ง และหลับตาลงเข้าสู่การพักผ่อนทันที

จอมยุทธ์หลับไปนานพอสมควร และตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนเย็น เขาพบว่าสมาชิกทั้งสี่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าในห้องรับแขก ที่แยกส่วนไว้อย่างชัดเจนกับบริเวณเตียงนอนของเขา
ท่านผู้หญิงประกายแก้ว บิดาและมารดาของเขา นายแพทย์ศิลป์กวี คุณพิมพิพล คุณศิริพิมพ์ พี่ชายและพี่สาวของเขา รวมถึงศิวะ คริสและภูฟ้า ต่างพร้อมใจกันปรากฏตัวเพื่อให้กำลังใจ เพราะทราบดีกว่า ถัดจากเวลานี้ไปจอมยุทธ์จำเป็นต้องถูกส่งตัวไปที่เซฟเฮ้าส์เพื่อทำการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายเป็นระยะเวลาหลายเดือน

“หมดเคราะห์แล้วนะ.....จอม....”คุณประกายแก้วในฐานะผู้อาวุโสที่สุดกล่าวทักทายจอมยุทธ์

“ครับ...คุณยาย...” เสียงจอมยุทธ์เบาและแหบแห้ง

แม้จอมยุทธ์จะไม่สามารถสื่อสารได้อย่างคล่องแคล่วนัก เพราะเสียงที่หายไปเนื่องจากหมดสติไปเป็นเวลานาน แต่การตอบโต้ทางร่างกายที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งหลายเบาใจได้มาก โดยเฉพาะคุณวิศรุตและคุณ.....ผู้เป็นบิดาและมารดา ที่แทบจะไม่ได้หลับไม่ได้นอนเพราะกังวลในอาการของลูกชายคนเล็ก

การเข้าเยี่ยมผู้ป่วยใช้เวลาไม่นานนัก เพราะเมื่อได้รับการยืนยันจากคริสและคณะแพทย์ว่าจอมยุทธ์ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว รวมถึงการรับทราบด้วยตาตนเองว่าจอมยุทธ์สามารถขยับร่างกายและสนทนาได้บ้าง ก็ทำให้ทุกคนพอใจและทยอยเดินทางกลับไปพักผ่อน ยกเว้นศิวะ ภูฟ้า และคริส ที่ต้องรับหน้าที่อยู่เฝ้าไข้จอมยุทธ์ในตอนในกลางคืนของวันนี้

ศิวะ คริส อาสาดูแลจอมยุทธ์ด้วยตนเอง ทั้งเรื่องการทำความสะอาดร่างกายและเรื่องอื่นๆ โดยไม่ต้องพึ่งพานางพยาบาลแต่อย่างใด แม้กระทั่งภูฟ้าก็ยังอาสาช่วยคุณพ่อกับแด๊ดดี้ดูแลคุณอาที่รักของเขาด้วย

คืนนี้เป็นคืนพิเศษที่ศิวะอนุญาตให้ภูฟ้านอนอยู่เป็นเพื่อนอาจอมได้ เนื่องจากเขาและจอมยุทธ์ต้องอธิบายให้ภูฟ้าฟังเรื่องการเข้าพักรักษาตัวของจอมยุทธ์ในเซฟเฮ้าส์หลังจากนี้

“ภูโทรหาอาจอมได้หรือป่าวครับ” ภูฟ้าถามขึ้นหลังจากฟังคำอธิบายจนเสร็จสิ้น

“ได้ซิครับ....” จอมยุทธ์ตอบหลานรัก

“แต่ว่า....อาจอมจะโทรหาภูเองนะครับ...จะโทรทุกวันเลย....ดีมั้ยครับ...” คำตอบของจอมยุทธ์สร้างรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของภูฟ้า

“ดีครับ...อาจอม” หนูน้อยรีบลงจากตักของบิดา เดินไปหอมแก้มคุณอาผู้ใจดีข้างละที

“พ่อเสืออาจจะพาภูไปเยี่ยมอาจอมก็ได้นะครับ....แต่พ่อเสือต้องดูตารางเวลาก่อนนะครับ....” ศิวะลูบผมนุ่มสลวยของลูกชาย หลังจากที่เดินกลับมานั่งบนตักตนเองอีกครั้ง

“ครับพ่อเสือ....” เด็กน้อยรับคำ

“แล้วแด๊ดดี้ล่ะครับ....แด๊ดดี้จะไปอยู่กับอาจอมหรืออยู่กับภูครับ....” ภูฟ้าหันมาถามคุณพ่อชาวต่างชาติที่นั่งอยู่โซฟาถัดไป

“แด๊ดดี้จะไปอยู่กับอาจอมซักพักหนึ่งครับ...แต่แด๊ดดี้ก็จะแวะมาหาภูด้วย....”คริสทอดสายตาอบอุ่นมายังลูกชายตัวน้อย

“ครับ....ภูอยากอยู่ใกล้ๆ พ่อเสือ อาจอม แล้วก็แด๊ดดี้ครับ....แต่ถ้าอาจอมกับแด๊ดดี้ไม่ว่าง.....ภูก็จะรอครับ....”

“ลูกพ่อน่ารักจังเลยครับ....” ศิวะก้มลงหอมแก้มภูฟ้า เพราะความน่ารักของลูกชายที่ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดี แม้ว่าจะไม่ได้เข้าใจเรื่องราวอย่างกระจ่างนัก แต่เด็กน้อยก็เชื่อฟังคำพูดของผู้ใหญ่เสมอ

“มาให้พ่อคริสหอมด้วยซิครับ....” คริสเรียกร้อง...ภูฟ้าจึงลงจากตักของศิวะ เดินไปให้คุณพ่อตัวใหญ่หอมแก้มใสๆของตน 

“ได้เวลานอนแล้วนะครับลูก....เดี๋ยวพ่อเสือจัดเตียงให้นะครับ....”ศิวะกล่าวเตือนลูกชาย ก่อนจะเดินเข้าไปในอีกห้องถัดไป ในส่วนพักผ่อนของญาติผู้ป่วย เพื่อจัดเตรียมที่นอนให้ภูฟ้า

“ไปกูดไนท์อาจอมก่อนซิครับภู....เดี๋ยวพ่อคริสจะพาไปนอน....”

“กูดไนท์ครับอาจอม....”ภูฟ้าเข้าไปกระซิบที่ข้างหูจอมยุทธ์ และหอมแก้มเพื่อกล่าวลา

“กูดไนท์ครับ...หลานรักของอา” จอมยุทธ์ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม....

“โอเค....งั้นไปนอนกับพ่อคริสนะครับ....อาจอมกับพ่อเสือคงมีเรื่องต้องคุยกันครับ....”คริสก้มลงอุ้มลูกชายขึ้นมาแนบอก แล้วจึงเดินแยกออกไปเข้าสู่ส่วนห้องรับแขก สวนทางกับศิวะที่เดินเข้ามา

ศิวะมอบหน้าที่ให้คริสอยู่ดูแลภูฟ้าให้เข้านอนให้เรียบร้อย ส่วนตัวเขาจะต้องปรึกษาหารือกับจอมยุทธ์ในอีกหลายเรื่อง ทั้งเรื่องงานที่เร่งด่วนและเรื่องการเข้าพักรักษาตัวในวันพรุ่งนี้

ทั้งสองพี่น้องคุยกันจนได้ข้อสรุปที่พึงพอใจทั้งสองฝ่าย ก่อนที่ศิวะจะแยกตัวออกมา ปล่อยให้จอมยุทธ์ได้หลับพักผ่อน....

ความรู้สึกแปลกๆ หวนกลับมาหาจอมยุทธ์อีกครั้ง....ภายหลังดวงตาทั้งสองปิดลง.....ความอบอุ่น....ที่แม้มิคุ้นเคย...แต่ก็ปรับรับได้....กำลังไหลวน...อยู่ทั่วร่างกาย...และหัวใจ....

ความหนาวเย็นในจิตใจ....เริ่มจางหายไปอย่างช้าๆ....จนเขาเองก็สังเกตได้......

ความรักจากบุคคลคนหนึ่ง...มันช่างมีพลังมากเหลือเกิน.... มากจนกระทั่งเขาไม่อาจปฏิเสธที่จะยอมรับการมีตัวตนของมันได้....

การยอมรับ...เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายสำหรับเขา....หากแต่จะมอบความรักนั้นกลับไป....

“มันคงต้องใช้เวลา....และความเข้มแข็งพอควร.....” จอมยุทธ์ตระหนักดี

“ผมพยายามจะรักษาสัญญานะครับ.....แต่มันจะใช้เวลาเท่าไร.....ผมคงตอบไม่ได้นะครับพี่หมอก.....”จอมยุทธ์บอกตัวเองเป็นประโยคสุดท้าย...ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา.....

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด