กร๊าก อารมณ์รุนแรงกันเจงๆเล้ย
*************************************************************
ท่ามกลางสายฝนที่ตกมาพรำๆ พี่บอยตั้งหน้าตั้งตาขับรถมาอย่างเดียว เสียงวิทยุดังกังวานอบอวลด้วยเพลงรักแต่เราทั้งสองคนกลับนิ่งเงียบ ปกติเวลาไปไหนกันผมก็จะเป็นฝ่ายบอกนั่นบอกนี่ เช่น
“พี่บอยฝนตกหลบฝนก่อน”
“ ขับรถเร็วไปพี่ จะรีบไปดูเมียคลอดที่โรงบาลหรือไง”
แต่คราวนี้เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกันเลยครับ ระหว่างเราสองคนมีเพียงเสียงวิทยุที่ดังภายในรถ กับเสียงถอนหายใจของพี่บอยดังขึ้นมานานๆครั้ง จนกระทั่งรถเข้าเขตบางนา
“พี่ถามจริงๆนะครับเป้ เป้เคยมีอดีตกับยอดใช่หรือเปล่า”พี่บอยทนไม่ได้ครับแกถามผมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เป้เคยรักพี่ยอด” ผมตอบเสียงแผ่ว น้ำตาเริ่มคลอ
“เขามีคู่หมั้นแล้วนะครับน้องเป้ น้องเป้ทำไมต้องชอบคนมีเจ้าของแล้วด้วยหละครับ ทำไมไม่มองคนที่เขาสนใจ พยายามเข้าหาน้องเป้ คนที่ใส่ใจน้องเป้หละครับ”
“จะมีใครใส่ใจเป้หละครับ ขนาดเป้ยอมอาย หน้าด้านไปสารภาพรักกับเขาสมัยเรียนมหาลัย เป้ยังโดนปฏิเสธมาซะขนาดนั้น ทุกวันนี้เป้บอกตรงๆเลยว่า เป้ไม่อยากมีแล้วไม่อยากเริ่มต้น ความรักของเป้เมื่อมันเกิดได้มันก็ตายได้เหมือนกัน”
“แล้วน้องเป้ไม่ลองมองรอบข้างมั่งเหรอ มีใครหลายคนที่เขารักน้องเป้ ห่วงน้องเป้”
“เป้อยากรู้จัง ใครกันคือผู้โชคร้ายคนนั้น นอกจากครอบครัวกับเพื่อนสนิทแล้ว เป้ยังไม่เห้นใครที่เป็นที่พึ่งพิงทสงใจของเป้ได้เลย”
พี่บอยเปิดไฟเลี้ยวแล้วจอดชิดริมถนน แล้วมองหน้าผมนิ่ง
“แล้วพี่หละน้องเป้ พี่อยากให้น้องเป้รับพี่ไว้พิจารณาสักคน ถึงตอนนี้พี่จะไม่ได้อยู่ในใจของน้องเป้แต่ขอโอกาสให้พี่อยู่ข้างใจของน้องเป้สักคนได้หรือเปล่า”
ผมนิ่งครับคาดไม่ถึงครับเพราะเท่าที่รู้จักกันมาพี่บอยแกไม่เคยที่จะแสดงทีท่าหวานจ๋อยกับผมเลยสักที จะมีก็พูดทีเล่นทีจริงกับนังต้องมั่งหละ บางทีเล่นเอานังต้องมันคิดเป้นตุเป็นตะไปก็มี แถมบางทีลับหลังพี่บอย นังต้องมักจะมานินทาให้ฟังบ่อยๆ
“พี่บอยของมึงนี่อ่อยกูซะจริง พอกูจะจริงจังแกก็ทำเป็นเล่นตัว สักวันนะมึงกูจะวางยาแล้วลากเข้าโรงแรมซะให้เข็ด”
“ มึง ก็วางวันนี้เลยสิ พี่เขาดูเหมือนอยากได้มึงเต็มแก่”
“อีดอก...นี่พูดหาตีนให้กูแต่หัววันเลย ถ้าเขาสนใจกูมันก็ไม่ยากหรอกว้า แต่กูรู้วะว่าเขาสนใจใคร...” นังต้องมองหน้าผมยิ้มๆ
“มึงรู้ได้ไงอะ เขาบอกมึงเหรอ” ผมยังตามนังต้องไม่ทัน
“เรื่องอไรเขาจะบอกกู กูดูกูก็รู้ละกัน กูไม่ได้โง่เหมือนมึงนี่”
“เออ กูโง่ แต่กูก็สวยกว่ามึงหละกัน”
“เออ อีดอก อีสวย อีนางฟ้า คอยดูนะมึงกูไปเมืองนอกสองเดือนกูกลับมาไม่สวยขึ้นมึงเหยียบหน้ากูได้เลย”
ผมคิดถึงคำพูดของนังต้องขึ้นมา ว่าพี่บอยเขาสนใจใคร มิน่าตอนนั้นมันมองหน้าผมยิ้มๆ ก็ผมไม่รู้นี่ครับ ดูพี่แกทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินวัยด้วยซ้ำ กับนังต้องดูแกเล่นเฮฮา แต่กับผมดูแกจะเก๊ก วางท่าเป็นผู้ใหญ่เกินตัว จนผมไม่ได้สังเกตครับว่าแกสนใจใคร
ผมเงียบครับเมื่อพี่บอยพูดเปิดอกมาอย่างนี้ มันตื้อคิดไม่ออกเลยจริงๆ มันไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่าพี่บอยแกจะมาคิดกับผมแบบนี้ ปกติผมก็เล่นๆกับแก ล้อแกมั่งแต่ไม่ได้จริงจังอะไรนักอีกอย่างผมก็เห็นแกไปนั่นมานี่บ่อยๆกับใครหลายคนทั้งผู้ชายละผู้หญิงเวลาที่ผมออกไปพบลูกค้า อีกอย่างแกก็เป็นคนที่อยู่ในสังคมคนละชั้นกับผม ผมกลัวมากครับกลัวที่จะไปกันไม่ได้
“พี่บอยล้อป้เล่นหรือเปล่าครับ” แทนที่ผมจะตอบแต่ผมกลับถามแทน
“น้องเป้เคยเห็นพี่พูดเล่นเหรอครับตั้งแต่รู้จักกันมา”
“ขอเวลาเป้ก่อนได้ปะครับ เรายังไม่รู้จักกันดีพอ อีกอย่างเป้ก็ไม่ได้เตรียมใจไว้รับใครเลยครับตอนนี้”
“เราดูกันไปก่อนก็ได้ครับ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ใจของพี่ให้น้องเป้ได้เห็นว่าพี่จริงใจแค่ไหน พี่ไม่ได้อยากเรียกร้องอะไร ทุกอย่างขึ้นอยู่กับน้องเป้แล้วครับ เพราะตอนนี้ หัวใจของพี่ มอบให้น้องเป้เก็บเอาไว้แล้ว” แล้วพี่บอยไม่พูดอะไรต่ออีก แกเปิดไฟให้สัญญาณ ก่อนออกรถมาส่งผมที่คอนโด....
**************************************
หลังจากวันที่ไปกินข้าวที่ต่างจังหวัดมาแล้ว พี่บอยได้พาตัวเองเข้ามาใกล้ชิดผมมากขึ้น มารับผมไปกินข้าวกลางวัน เลิกงานก็พาไปดูหนัง กินข้าว ฟังเพลง จนนังต้อง กัดบ่อยๆว่า “เห็นผู้ชายดีกว่าเพื่อน” ช่วงนี้ผมคงห่างจากนังต้องมาพอสมควรจริงๆ ในขณะที่ผมยังรู้สึกกับพี่บอย ไม่ได้ก้าวหน้ามากไปกว่าคำว่า เพื่อนหรือพี่ชายเลย บ่อยครั้งที่ผมเห็นแกควงคนอื่นไป ทานข้าว ดูหนัง แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมากมายนัก นอกจากว่ารู้สึกเสียหน้าบ้างเล็กๆ ที่บอกมารักมาชอบเรา แต่ควงคนอื่นมาให้เห็น ผมก็พยายามเข้าใจครับว่า พี่บอยเป็นหนุ่มเนื้อหอม และดูแกก็เป็นสุภาพบุรุษตัวจริง กระทิงแดงซะนี่กะไร ดูแกไม่ค่อยกล้าปฏิเสธใครเท่าไรนัก แถมบางครั้งก็หว่านเสน่ห์จนผมอดหมั่นไส้ไม่ได้ ส่วนทางผมหนะเหรอครับ ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำงานงกๆไปวันๆ จะมีเวลาส่วนตัวก็วันศุกร์หละครับ ที่ผมจะได้ออกไปเที่ยวกับนังต้อง เพราะพี่บอย วันศุกร์-เสาร์ จะต้องไปค้างที่บ้านแม่ เรียกว่าผมมีวันปลอดตั้งสองวัน ที่จะเป็นอิสระ กว่าจะเจอพี่บอยก็เย็นวันอาทิตย์โน่นหละครับ แต่ว่าผมจะไปเที่ยวได้ก็ต่อเมื่อคุณพี่บอยต้องอนุญาตก่อนเท่านั้น ผมถึงจะไปได้ แล้วห้ามผมไปคนเดียวเหมือนเมื่อก่อนโดยเด็ดขาด อีกอย่างที่พี่บอยห้าม คือห้ามเที่ยว ผับหรือบาร์เกย์ โดยเด็ดขาด โห.... คุณพี่พูดยังกับว่าผับธรรมดาจะไม่มีงั้นแหละ เกย์เนี่ย ขนาดเดินไปแค่ปากซอยยังเจอเลย นับประสาอะไรกับผับ สงสัยแกเองก็ลืมไปว่า ผมกับแกก็เจอกันที่ผับธรรมดาไม่ใช่ผับเกย์เสียหน่อย ผมกับนังต้องไม่สูบบุหรี่ครับไม่ว่าเวลาปกติหรือเวลา ไปเที่ยว ไม่เหมือนพี่บอยครับที่เวลาไปเที่ยวแกจะสูบบุหรี่ ไม่รู้ว่าเป็นอะไรสิน่า ทั้งที่เวลาปกติ แกจะไม่สูบด้วยซ้ำ แล้วเวลามีคนมาสูบใกล้ๆแก แกก็จะบ่นว่าเหม็นบุหรี่ ผมถึงว่ามันแปลกไงครับ พี่บอยแกไว้ใจนังต้องครับ เวลาไปเที่ยวแกคงคิดว่า นังต้องมันจะช่วยผมได้เวลาเกิดอะไรขึ้น เฮ้อ....พี่บอยแกไม่รู้หรอกครับ ว่าไปกับนังต้องนี่หละครับ ผมถึงต้องกลับแท็กซี่คนเดียว ทุกครั้งที่มันได้....ผู้ชาย
“พี่บอยครับทำไรอยู่อะ”
“พี่จะพาแม่ไปทานข้าว น้องเป้อยู่ไหนครับ” เสียงนุ่มๆถามผมมาตามสัญญาณคลื่น
“เป้อยู่กับต้องครับ คือว่าต้องเขาจะชวนเป้ไปเที่ยวหนะครับ เลยโทรมารายงานตัวก่อน”
“โห...น้องเป้ ไว้วันเสาร์หน้าค่อยไปไม่ได้เหรอครับพี่จะได้ไปด้วย ไปสองคนเดี๋ยวใครก็ฉุดน้องเป้ของพี่ไปหรอก”
“อย่างเป้เนี่ยนะจะยอมโดนฉุด เป้ว่าจะไปฉุดเขาเองซะมากกว่า 555”
“เฮ้ย..อย่าแม้แต่กระทั่งคิดนะน้องเป้ เรียกน้องต้องมาคุยกับพี่ซิ” พี่บอยดูจะห่วงผมทุกครั้งหละครับ เวลาที่ไปเที่ยวโดยไม่มีแก จนผมต้องใช้วิชามารยากายสิทธิ์นั่นคือ
“ถ้าพี่บอยไม่ไว้ใจกันขนาดนี้ เป้ว่าเราเหมือนเดิมดีกว่า คืออยู่ใครอยู่มัน ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกัน คนที่จะคบกันได้ ต้องไว้ใจกันอีกอย่าง เป้ก็ไปกับต้องด้วย พี่บอยไม่ไว้ใจเป้กับต้องใช่ไหม……บลาๆๆๆๆๆ”
นั่นแหละครับ จนแกสามารถวางใจได้ ว่าผมเที่ยวและกลับอย่างปลอดภัย ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน แล้วข้อตกลงอีกข้อหนึ่งคือ เวลาตีหนึ่งครึ่ง แกจะโทรเช็คผมกับนังต้องครับ
“แหม...มึง ขนาดแค่ตกลง ที่จะดูใจกันแค่นั้นเองนะมึง ยังไม่ได้คบเป็นแฟนด้วยซ้ำ ทำยิ่งกว่าพ่อมึงอีก” นังต้องบ่น หลังจากที่คุยกับพี่บอย ขอลากตัวผมไปเที่ยวเสร็จแล้ว
“เออนะ ช่างแกเหอะน่ามีคนเป็นห่วงดีกว่าไม่มี”
“จ้า...อีคนเจ้าเสน่ห์”
“ตกลง คืนนี้มึงจะไปที่ไหน กูอยากไปผับเกย์นะมึง” ผมบอกกับนังต้องครับ
“อีนี่....ไม่ได้ยินที่พ่อมึงสั่งหรือไง ว่าไม่ให้มึงไปผับเกย์หนะ”
“เออ มึงก็ไม่ต้องบอกสิว่าเราไปผับเกย์มา”
“ไปผับธรรมดาดีแล้วหละอีนี่ กูยังเข็ดไม่หายเลย กับอีผับเกย์เนี่ย มึงจำอีน้องป๊อกได้มั้ย ที่ไปกินข้าวต้มที่คลองตัน พอมันไปกับกูนะมึง แม่- หันตูดให้กูเฉยเลย อีบ้า ใครจะตีฉิ่งกับมัน กูเลยไล่มันกลับบ้าน ให้ค่ารถมันไปห้าร้อย คิดดูสิมึง เห็นมันแมนๆห้าวๆ อีห่- เสือ- หันตูดให้กู ขนาดว่ากูทำตัวสาวแตกขนาดนั้น มันยังจะให้กูเสียบอีก อีห่- นั่น ”
“ทำไมมึงไม่เสียบมันหละ”
“อีนี่ มึงจะให้กูตีฉิ่งกับมันหรือไง กูหนะ รับก็รับ รุกก็รุก ไม่ใช่ว่าได้หมด จนไม่รู้ว่าใครเป็นผัวใครเป็นเมีย”
“เออ....อีคนเพศเดียว ว่าแต่วันนี้มึงจะไปที่ไหนหละ”ผมกัดมัน พลางถามมันอย่างเป็นการเป็นงาน เพราะมันมาขลุกกับผมตั้งแต่ตอนเย็น ที่มันไปรับผมมาจากที่ทำงาน แล้วมันยังมาตั้งวง เรียกน้ำย่อยที่ห้องผมอีก โดยมีคุณป้าอเนกประสงค์ รับหน้าที่เป็นฝ่ายพลาธิการจัดหาเสบียง และกับแกล้ม ตามระเบียบ
“ไปที่.................ดีกว่านะไม่ได้ไปมาตั้งนานแล้ว” ที่ที่นังต้องว่า นั่นก็คือ ที่ที่ผมกับมันชอบไปเที่ยวบ่อยๆนั่นเองแต่ผมไม่อยากไปที่ตรงนี้เลยครับ เพราะว่าที่ตรงนี้ ผมรู้ครับว่าผมต้องเจอกับกลุ่มของพี่ชายกับเพื่อนๆของแก ที่แกทำเป็นหมาหยอกไก่ มาจีบผมอยู่เวลาผมไปเที่ยว และที่สำคัญพี่ชายดันรู้จักและเป็นเพื่อนสนิทกับไอ้หน้าขาวด้วยเพราะก่อนวันหมั้นไอ้หน้าขาว ผมเคยเห็นแกขับรถผ่านหน้าบ้านของผม ผมกลัวครับ กลัวที่จะไปเที่ยวแล้วเจอกับไอ้หน้าขาวอีก ผมภาวนาให้คืนนี้เป็นคืนที่ปลอด อย่าได้เจอะได้เจอกับไอ้หน้าขาวอีกเลย ผมภาวนาในใจครับ
***************************************************************************************
ค่ำคืนนี้ที่ผับ ดูเหมือนนักเที่ยวราตรีจะมีมากกว่าเดิมเสียอีก สองสามเดือนที่ผ่านมา ผมไม่ได้มาเหยียบที่ผับนี้เลย
เพราะกลัวเจอไอ้หน้าขาวกับกลุ่มเพื่อนของมัน อีกอย่างพี่บอยแกก็คุมเข้ม ไม่ยอมให้ผมเที่ยวเลย ตอนนี้ผมก็ตกลงปลงใจกับพี่บอยหละครับ ว่าจะลองศึกษานิสัยใจคอกันดู อยู่กับคนที่เขารักเรา ดีกว่าที่จะใฝ่ฝันหา ในสิ่งที่ใกล้แค่เอื้อม แต่คว้าไม่ถึงสักที ไม่รู้ว่าจะยื้อแย่งไปให้เหนื่อยทำไม แค่หำเหี่ยวๆอันเดียว ทำไมใครๆก็ต้องแย่งกันนัก
อีกอย่าง ที่ไม่อยากจะมาผับนี้อีกเลย ก็เพราะว่ากลัวเจอไอ้หน้าขาวแล้วผมทำใจไม่ได้ แผลที่ใจของผมยังไม่หายดีเลย ไม่อยากเจ็บซ้ำเจ็บซากอีก ขนาดเตือนตัวเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ใจเจ้ากรรม มันยังไม่เลิกคิด เลิกห่วงไอ้หน้าขาวเสียที แล้วอีนังน้องกิฟต์มันหวงไอ้หน้าขาวขนาดนั้น ผมคงไม่มีปัญญาไปแย่งมาได้หรอก ยิ่งเจ้าหล่อนประกาศสงครามกับผม ตั้งแต่วันที่ไปกินข้าวคราวโน้นแล้ว มันทำให้ผมอยากลี้ภัยสงครามเพลิงพระนางเสียจริงๆ มันเป็นคู่หมั้นกันมันคงรู้กันหละว่า ผมเคยไปสารภาพรักกับแฟนมัน เพราะเรื่องนี้คนกว่าครึ่งมหาลัยเขาก็รู้กันทั่ว ดีนะที่สอบเสร็จและผมก็ไม่ต้องไปมหาลัยอีก ไม่เช่นนั้นผมคงไม่ได้เรียนจบมาได้อย่างนี้หรอก ความจริงน้องกิฟต์มันก็หน้าตาดี สะสวย ทำไมไม่หึงไม่หวงไอ้หน้าขาวกับชะนีตัวอื่นมั่งหละ ไอ้หน้าขาวมันก็เจ้าชู้ไม่ใช่ย่อย เพราะตอนที่นังน้องกิฟต์ยังไม่ได้เข้ามหาลัย ไอ้หน้าขาวมีแฟนแล้วเลิกมาเป็นสิบๆ ไม่เห็นมันคบใครได้นาน และจริงจังเหมือนนังน้องกิฟต์นี่เลย หรือว่ามันทั้งคู่เคยเป็นเดือนและดาวมหาลัยเหมือนกัน มันถึงอยู่ด้วยกันได้ แต่ผมก็สงสัยมากเหมือนกันแหละว่า อีเหลนรหัสสมัยมหาวิทยาลัยของผมคนนี้ มันตั้งป้อมเป็นศัตรูกับผมเพราะอะไร ผมเคยไปทำอะไรผิดกับมันมากแค่ไหน แค่ผมไปสารภาพรักรักกับไอ้หน้าขาว แล้วโดนมันปฏิเสธแถมประกาศในกลุ่มเพื่อนของมัน จนเรื่องแดงไปค่อนมหาลัยเนี่ยเหรอ ที่ทำให้อีนังชะนีตัวนี้ถึงมาประกาศสงครามกับผมถึงขนาดนี้ เมื่อมาถึงผับและเดินเข้าไปข้างในผมกวาดสายตาไปรอบๆ นึกแล้วว่าต้องเจอ......................