37 - กลับถึงกรุงเทพแล้ว...
.
.
>...กาย...<
เพราะว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าฮะ เราเลยเข้านอนกันแต่หัวค่ำหน่อย สามทุ่มก็พากันมุดเข้าเต็นท์นอนกันแล้ว มีแต่พวกพี่ฟิล์มน่ะแหละฮะที่ยังนั่งล้อมวงร้องเพลงเคล้าเสียงกีตาร์กันอยู่
ฟ้าหลับไปแล้วฮะ แต่ผมกับฝ้ายยังไม่หลับ เรานอนคุยกันเล่นๆ รู้สึกตัวอีกทีผมก็หาวหวอดๆ แล้ว ฝ้ายเลยกดปิดไฟฉายแล้วไล่ให้ผมนอนได้แล้วฮะ เพราะฝ้ายก็จะนอนเหมือนกัน
ไม่แน่ใจว่าหลับไปนานเท่าไหร่แต่ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะแรงเขย่าเรียกนี่ล่ะฮะ พอควานหาไฟฉายได้แล้วถึงได้เห็นว่าเป็นฟ้านั่นเองฮะที่ลุกมาปลุกผม เจ้าตัวดีทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใหญ่เลย
“ฟ้าอยากเข้าห้องน้ำอะ”
ผมพยักหน้าก่อนจะฉวยเอาไฟฉายของฝ้ายติดมาอีกกระบอก แล้วเราก็มุดออกจากเต็นท์ทิ้งให้ฝ้ายนอนหลับอยู่คนเดียวฮะ พอมุดหน้าออกมาเท่านั้นล่ะผมก็ฟ้านี่มองหน้ากันทันทีเลย คือว่ามันเงียบมากเลยอะฮะT-T
“เรียกพี่ฟิล์มดีมั้ยฟ้า” ยอมรับว่าผมกลัวคุณผีฮะT^T
“อื้อ” ฟ้าเองก็เห็นดีด้วยฮะ
เราไปที่เต็นท์ของพี่ฟิล์ม ฟ้าร้องเรียกเบาๆ ฮะเพราะกลัวว่าจะรบกวนเต็นท์ข้างๆ เดี๋ยวจะถูกด่าเอา ไม่ถึงนาทีดีพี่ฟิล์มกับพี่แดนก็มุดหน้าออกมาหาเราสองคนฮะ หน้าพี่แดนนี่ยังงัวเงียอยู่เลยอะ
“ว่าไงครับ” พี่ฟิล์มถามเราสองคนฮะ
“ฟ้าอยากเข้าห้องน้ำฮะ” ฟ้ารีบบอกพี่ชาย “แต่ฟ้าไม่กล้าไปกับกายสองคนอะ กลัวผี”
“เขาไม่ให้พูดเรื่องผีสางตอนกลางคืนนะน้องฟ้า ตีปากเดี๋ยวนี้” พี่แดนรีบเอามือมาตบปากฟ้าเบาๆ ฮะ ไม่เจ็บหรอกฮะมือพี่แดนนุ่มจะตาย
“ทำไมไม่ให้พูดล่ะฮะ” ฟ้ายังไม่หายสงสัย
“เดี๋ยวก็มาหรอกครับ” พี่แดนว่า ทำเอาผมกับฟ้ารีบขยับตัวเข้าหาพี่ฟิล์มกับพี่แดนทันทีเลยฮะ กลัวอะT^T
“มึงก็ไปหลอกน้อง” พี่ฟิล์มหันไปดุพี่แดนฮะ ก่อนที่พี่เขาจะดึงแขนฟ้ากับกุมมือผมพาไปห้องน้ำ มีพี่แดนวิ่งตามมาด้วย
“กายไม่เข้าฮะ” ผมรีบบอกเพราะพี่ฟิล์มจะดึงผมเข้าไปด้วย ก็ผมไม่ได้ปวดห้องน้ำนี่นา
“ฟ้าเข้ากับพี่ก็ได้” พี่แดนว่าแล้วจูงมือฟ้าเข้าห้องน้ำไป ทิ้งผมกับพี่ฟิล์มไว้ข้างนอกฮะ
หนาวจังแฮะ รู้อย่างนี้ผมน่าจะหยิบเสื้อคลุมมาอีกซักตัว ที่ใส่อยู่นี่รู้สึกว่าจะไม่พอฮะ บนภูนี่เวลากลางคืนหนาวใช่เล่นเลยล่ะ
“ใส่ไว้ครับ”
“ขอบคุณฮะพี่ฟิล์ม” ผมพึมพำขอบคุณพี่ฟิล์มไปฮะ พี่ฟิล์มใจดีถอดเสื้อหนาวที่ใส่อยู่ส่งให้ผมล่ะ-///-
เรายืนรอพี่แดนกับฟ้ากันเงียบๆ ฮะ แต่ผมไม่รู้สึกอึดอัดเลยแม้ว่าเราจะไม่ได้คุยอะไรกันนักก็ตาม แค่ได้ยืนใกล้พี่ฟิล์มผมก็มีความสุขแล้ว ผมจะไม่ปกปิดความรู้สึกของตัวเองอีกเพราะรู้แล้วฮะว่าการทำอย่างนั้นนอกจากตัวเองจะไม่มีความสุขแล้วยังทำให้คนรอบข้างพลอยทุกข์ไปด้วย
“มองท้องฟ้าสิครับกาย” พี่ฟิล์มหันมาบอกผมพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ ก่อนที่พี่เขาจะหันกลับไปแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
ผมเลยทำตาม พอมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ดำมืดนั่นแล้วทำเอาผมเผลอยิ้มกว้างเลยฮะ “สวยจังเลย” เผลออุทานคำนี้ออกมาเลยล่ะเพราะตอนนี้นอกจากท้องฟ้าจะถูกทาทับด้วยสีดำทั้งผืนแล้วยังมีดวงดาวส่องแสงประกายวิบวับเต็มท้องฟ้าเลยฮะ สวยงามมากจริงๆ
“ไม่เสียเปล่าที่ตื่นมาตอนดึกใช่มั้ยล่ะ” พี่ฟิล์มว่าพลางยิ้ม “ดาวสวยๆ แบบนี้น่ะหาดูในกรุงเทพไม่ได้เลยนะ มีแค่ที่นี่เท่านั้นล่ะ”
“อื้อ” ผมเห็นด้วยเลยฮะ ยิ่งมองก็ยิ่งสวย แล้วเหมือนว่าตอนนี้ท้องฟ้านี่เป็นของผมกับพี่ฟิล์มแค่สองคนเลยล่ะ ก็นะ เรายืนกันอยู่ตรงนี้กันสองคนนี่นา>///<
พี่ฟิล์มหันมายิ้มให้ผม “พอกลับถึงกรุงเทพแล้ว...” พี่ฟิล์มหยุดไว้แค่นั้นฮะ เพราะพี่แดนกับฟ้าเดินเข้ามาหาเราซะก่อน แต่ผมก็พอจะรู้นะว่าพี่ฟิล์มจะพูดอะไร
“ไปนอนกันเถอะกาย ฟ้าง่วงแล้ว”
ผมส่งยิ้มให้พี่ฟิล์มกับพี่แดนก่อนจะเดินตามแรงจูงของฟ้า พี่สองคนเดินตามหลังมาฮะ เราบอกราตรีสวัสดิ์กันแล้วค่อยมุดเข้าเต็นท์ใครเต็นท์มัน
“เมื่อกี๊คุยอะไรกับพี่ฟิล์มเหรอ” ฟ้าถามทั้งๆ ที่หาวหวอดๆ พอหัวถึงหมอนก็จะหลับทันทีเลยฮะ
“พี่ฟิล์มบอกว่าคืนนี้ดาวสวยมากเลย” ผมปดไป ไม่อยากให้ฟ้ามานนอนคิดมากกับเรื่องไม่เป็นเรื่องฮะ
“ชิ! ฟ้ารู้หรอกน่าว่าไม่ใช่เรื่องนี้” เจ้าตัวดีทำปากยื่นในความมืด มือก็ควานหาฝ้ายแล้วกอดเอาไว้แทนหมอนข้างซะงั้น ได้ยินเสียงฝ้ายครางเบาๆ ด้วยคงรำคาญน่ะฮะ แต่ก็ยอมให้ฟ้ากอดนะ^^
“ไม่มีอะไรที่ฟ้าต้องกังวลหรอกน่า” ผมบอกให้เพื่อนตัวดีคลายใจ
“สัญญานะว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกเราจะยังมีกันและกัน”
“สัญญา”
ในความมืดนั้นผมกับฟ้าเราเกี่ยวก้อยกัน ก่อนจะหลับตาลงผมบอกตัวเองว่าไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้ว แค่ทำตามเสียงของหัวใจก็พอ ส่วนเรื่องอื่นผมเชื่อว่าหากผมจริงใจทุกอย่างจะต้องผ่านไปด้วยดี
.
.
>...ฟิล์ม...<
ผมกับไอ้แดนตื่นแต่เช้าเลยครับ วันนี้เป็นวันที่เราจะลงจากภูกันแล้ว อากาศยามเช้าก็ยังคงสดชื่นเหมือนเคย ไม่นานนักเพื่อนคนอื่นๆ ก็ทยอยพากันออกมาจากเต็นท์ ฟ้ากับน้องกายแล้วก็ฝ้ายก็ตามหลังมาติดๆ ครับ
หลังจากจัดการล้างหน้าล้างตากันเรียบร้อยแล้ว ก็มาหากาแฟร้อนๆ ดื่มแก้หนาวกันครับ ส่วนเด็กๆ นี่ฟางกับลูกพีชดูแลเป็นอย่างดีครับ
คงเพราะว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายเราเลยตกลงกันว่าจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันเป็นวันสุดท้ายก่อนที่จะโบกมือลาภูกระดึง เด็กๆ กับสาวๆ ก็เกาะกลุ่มกันอยู่กลางกลุ่มเหมือนเดิมครับ พวกผมเดินรั้งท้ายคอยดูแลอยู่ พวกไอ้นัทเดินนำหน้า
พระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นสวยงามจับใจแค่ไหนคนที่เคยไปมาแล้วต้องรู้แน่ครับ ผมแอบเห็นบางคนนี่ถึงกับซับน้ำตาด้วยความชื่นใจกันเลยทีเดียว เห็นอย่างนี้แล้วเลยเข้าใจหัวอกคนที่รักธรรมชาติและหวงแหนความสวยงามแบบนี้เลยล่ะครับ เพราะผมเองก็อยากให้ภูกระดึงคงความงามแบบนี้ไว้ให้ลูกหลานได้ดูต่อไปเรื่อยๆ เหมือนกัน
ผมกำลังเป็นตากล้องให้ไอ้น้ำกับไอ้แดนอยู่เลยครับตอนที่มีคนมาดึงชายเสื้อน่ะ พอหันกลับไปก็เห็นว่าเป็นน้องกายนั่นเอง น้องส่งยิ้มอ่อนให้ผมก่อนจะบอกเสียงเบาอุบอิบว่ามีเรื่องอยากคุยด้วย
“เอากล้องมา” ไอ้แดนมันอมยิ้มเมื่อมันมาทวงกล้อง แล้วไม่พอยังผลักไหล่ผมให้เดินตามน้องกายไปซะอีก แหม~ยุส่งกันจังนะเพื่อน^^
เราเดินห่างจากกลุ่มเพื่อนไปแค่นิดเดียวเองครับ ก่อนที่น้องกายจะหยุดและหันหน้ามาหาผม ใบหน้าน่ารักที่ผมรักมากที่สุดนั่นกำลังส่งยิ้มอ่อนๆ มาให้ รู้สึกดีจังที่ได้มองใกล้ๆ แบบนี้
“กายมาฟังต่อจากเมื่อคืนนี้ฮะ” เสียงเล็กๆ นั่นเอ่ยบอก ผมรู้ว่าน้องกายต้องใช้ความกล้าเยอะเลยล่ะครับที่เดินมาหาและบอกผมแบบนี้
“พอกลับถึงกรุงเทพแล้วพี่จะจีบกายจริงๆ แล้วนะ”
กายหน้าแดงเลย อะไรกัน ผมไม่คิดว่าน้องจะอายนะ เพราะผมว่าผมน่าจะแสดงออกมาตรงๆ ตั้งนานแล้วนี่นา
“พี่รักน้องกายจริงๆ นะครับ”
“รู้แล้วฮะ” เสียงเล็กๆ นั่นบอกอุบอิบ แล้วก็ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมด้วยครับ อ่า~น้องกายจะน่ารักเกินไปแล้ว
“พี่จะรอนะ” ผมไม่อยากคาดคั้นน้องครับ ให้กายค่อยๆ ตัดสินใจ
หัวเล็กๆ นั่นผงกขึ้นลงเบาๆ ก่อนที่น้องจะยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม “คำตอบ...ไว้กายจะมาตอบทีหลังนะฮะ...”
“ครับ พี่รอได้” ผมอมยิ้ม ก่อนที่เราจะเดินกลับไปหาเพื่อนๆ
แทบทุกคนเลยครับมองมาที่ผมอย่างอยากรู้อยากเห็น มีแต่ไอ้แดนล่ะที่มองมาแบบล้อๆ แต่พวกมันก็ไม่ได้คำตอบอะไรจากผมหรอกนะ เรื่องแบบนี้ผมอยากให้ชัวร์ก่อนแล้วค่อยประกาศออกไป ผมยังไม่ลืมนี่นะว่าน้องกายยังมีพันธะอยู่น่ะ
เราแวะไหว้พระกันที่ลานพระครับ ก็ขอไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เป็นศิริมงคลก่อนที่จะเดินลงจากภู แล้วจากนั้นก็พากันเดินเล่นเรื่อยมาจนกลับมาถึงลานกลางเต็นท์ครับ
พวกผมหาอะไรทานเป็นมื้อเช้ากันก่อนครับ เพราะต้องใช้พลังงานกันเยอะไม่ต่างจากขาขึ้นแน่ๆ ล่ะ พอทานกันอิ่มแล้วก็แยกย้ายกันไปเก็บเต็นท์ แล้วก็จัดข้าวของเพื่อให้ลูกหาบเอาลงไปก่อนครับ ส่วนเราก็จะได้เดินกันสบายๆ ของหนักก็ให้พี่ๆ ที่เขาชินทางหาบลงไปแทน
พอได้เวลาสายสักหน่อยเราก็เริ่มต้นออกเดินทางลงภูกันครับ ก็เดินคุยกันไปไม่ได้ฟิกเรื่องเวลาเหมือนตอนขาขึ้น เพราะอย่างนั้นแต่ละคนเลยพากันเดินชิวๆ คุยกันเบาๆ ระหว่างทางไปด้วย
ขาลงนี่น้องชายตัวดีของผมไม่งอแงเหมือนตอนขาขึ้นเลย นับว่าเป็นเด็กน่ารักจริงๆ ส่วนฝ้ายกับน้องกายนี่หายห่วงเลยครับ เสียงบ่นไม่มีให้ได้ยินมีแต่เสียงชมจากพวกพี่ๆ นั่นล่ะว่าเป็นเด็กดี
ระหว่างทางก็สวนกับคนที่กำลังปีนขึ้นภู ก็ได้ทักทายกันนิดหน่อยครับ แหม~คนไทยเหมือนกันเนอะ แค่ยิ้มให้กันก็ผูกมิตรได้แล้ว
“ใกล้ถึงรึยังฮะ” น้องฟ้าส่งเสียงมาถามผมครับ ตอนนี้หน้าน้องชายสุดที่รักเริ่มจะมีเหงื่อซึมนิดๆ ที่หน้าผากและไรผมแล้วล่ะ ก่อนที่กายจะส่งผ้าเช็ดหน้าให้ซับเหงื่อ
“ใกล้แล้วครับ อีกนิดเดียว แข็งใจหน่อยนะ” ผมปลอบไปครับ
ฟ้าน่ารักขึ้นเยอะเชียวครับ ไม่งอแงแล้ว ตั้งหน้าตั้งตาเดินไปกับเพื่อนอีกสองคน พอเหนื่อยก็หงุดพักไปต่อได้ก็ค่อยเดิน ผมว่าภูกระดึงสอนน้องชายผมให้รู้จักความอดทนแน่ๆ เลย
ในที่สุดเราก็มาถึงจุดหมายที่ต้องการเสียทีครับ มองเห็นหน้าลุงชิดนี่น้องฟ้าถึงกับวิ่งเข้าไปกอดเลยทีเดียว ลุงชิดแกก็หัวเราะเอ็นดูบอกว่าเป็นห่วงกลัวว่าน้องฟ้าจะลำบาก ดูพูดเข้าสิครับ
เรานั่งพักกันซักแป๊บ หาอะไรทานกันครับ แล้วจากนั้นก็ค่อยทยอยขึ้นรถตู้ จากนั้นก็โบกมือลาภูกระดึงกันแล้วและหันหน้ากลับบ้านกันครับ
.
.
To Be Con
ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามนิยายเรื่องนี้ -/l\-