บทที่ 27 มาแล้วครับ โทษทีนะมาโพสสาย เมื่อเช้าไปซิ่งมอเตอร์ไซด์เล่นอยู่อ่ะนะ
รักใครเกลียดใครในเรื่อง เชียร์และด่ากันได้ตามสบายนะครับ แต่ขอให้รักคนเขียนอย่างเดียวก็พอ

27
ภิรายุหันไปยิ้มกว้างให้ชายหนุ่มร่างสูงที่จอดมอเตอร์ไซด์อยู่ข้างรั้วสีขาวใกล้กับเครื่องเล่นม้าหมุนแล้วเรียกให้เพื่อนมาช่วยแขวนป้ายพลาสติก
“ตัวสูงๆ ช่วยแขวนให้มันตรงหน่อย ให้ครูพละตาเหล่แขวนเบี้ยวทุกอัน นี่เราต้องมาตามแก้” ภิรายุพูดไปหัวเราะไป
วิธวินท์รอจนช่วยภิรายุแขวนป้ายเสร็จจึงเริ่มพูดเรื่องที่ตัวเองย้อนกลับมาหาที่โรงเรียนอนุบาลอีกครั้งแทนที่จะมาในวันงานคริสต์มาสประจำปี ภิรายุฟังสิ่งที่วิธวินท์พูดอย่างสงบ ใบหน้านิ่งเรียบ พยายามควบคุมอารมณ์
“เรารู้ดีว่าเขาเป็นคนเจ้าชู้ ไม่เคยคิดที่จะจริงจังกับใคร” ภิรายุพูดขึ้นหลังจากที่ฟังอยู่นาน
...ผมไม่ชอบการผูกมัด...
คำพูดของธีรดนย์เมื่อพบกันครั้งแรกยังดังก้องอยู่ในหู แต่ตอนนั้นเขาไม่สนใจเพราะตัดสินใจว่าจะปล่อยใจให้เป็นอิสระสักครั้งเพราะอยู่ในกรอบมานานเต็มที
...ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในกรอบต่อไปอีกแล้ว แต่ทว่าอยู่ในกรงขัง...
...กรงหัวใจ...
...เขาตกหลมรักธีรดนย์จนถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว...
“คุณธีรดนย์คนนี้ล่ะที่ตามตื๊อตามจีบเรามาแต่แรก คงจะพร้อมๆ กับที่คบนายด้วยมั๊ง รู้ไหม สติกเกอร์แปะกระจกหลังรถเขาเขียนว่า ประธานสมาคมคนเจ้าชู้แห่งประเทศไทย นี่เฉพาะตัวหนังสือนะ ยังไม่ได้รวมถึงพฤติกรรมของเขาด้วยซ้ำ” วิธวินท์ทำเสียงหยัน “ภิรายุ รักคนเจ้าชู้ สิ่งที่จะได้มีแต่ความเจ็บช้ำน้ำใจ นายเลิกยุ่งกับเขาเสียเถอะ เขามีกี่คนก็ไม่รู้ นายเป็นคนที่เท่าไหร่ก็บอกไม่ได้”
ภิรายุถอนหายใจ ไม่พูดอะไรต่อ หันไปมองสถานที่จัดงานด้วยใบหน้าเศร้าๆ โดยมีวิธวินท์ยืนอยู่ข้างๆ
“นายเหมาะสมกับอายุธ ถ้าอยากมีความรักจริงจัง ทำไมไม่พิจารณาอายุธล่ะ” วิธวินท์พูดขึ้นหลังจากเงียบไปชั่วครู่
“ความรักกับความเหมาะสมไปด้วยกันได้เสมอไปหรือวินท์” ภิรายุพึมพำโดยไม่มองหน้าเพื่อน
“แล้วรักคุณธีรดนย์มากขนาดไม่อาจเปลี่ยนใจมองใครได้เลยหรือไง อายุธไม่ดีพอที่จะทำให้นายมีความสุข หรือทำให้รู้สึกว่าชีวิตรักมั่นคงเลยใช่ไหม ภิรายุ นี่ไม่ใช่หรือคือสิ่งที่ตัวเองต้องการ เลิกเสียเดี๋ยวนี้เถอะ ก่อนที่มันจะสายเกินไป ก่อนที่จะเริ่มต้นใหม่กับใครไม่ได้” วิธวินท์พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น หันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเพื่อน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลาของภิรายุตอนนี้เศร้าหมองอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“เรารักเขา” ภิรายุพูดเสียงเบา น้ำเสียงเริ่มสั่น
“เขารักนายหรือเปล่า” วิธวินท์ถามกลับทันที “แล้วจะอยู่แบบนี้ได้อีกนานเท่าไหร่ภิรายุ ถามตัวเองหน่อยสิว่าจะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่”
“ทำไมมั่นใจนักว่าเขาไม่ได้รักเรา” ภิรายุหันมาถามเพื่อนด้วยสายตาเจ็บปวด “หรือเขารักคนอื่นแล้ว”
“คนอย่างนั้นรักใครได้ รักใครเป็น มีหัวใจกับเขาที่ไหน เรากล้าท้าได้เลยว่าคุณธีรดนย์ไม่ชอบการผูกมัด ชีวิตเขาต้องการความสนุกหรือความสุขชั่วคราว หรือนายจะเถียง” วิธวินท์พูดเสียงกร้าว
“วินท์” ภิรายุครางเสียงแผ่ว เบือนหน้าหนีซ่อนหยดน้ำตาที่กำลังเริ่มเอ่อล้น
“เราขอโทษที่พูดตรงไปตรงมา” วิธวินท์เสียงอ่อนลง แต่ในใจกลับพูดต่อว่า
...เราขอโทษที่ไม่ได้พูดออกมาหมด เรายังไม่กล้าพอที่จะบอกว่าคุณธีรดนย์ร้ายขนาดยื่นข้อเสนอให้เรายอมเป็นแฟนเพื่อแลกเปลี่ยนกับการเลิกยุ่งกับนาย เราไม่อยากทำให้นายเจ็บมากไปกว่านี้...
...แต่จริงๆ แล้วนี่มันคืออะไร...
...อะไร อะไร อะไร...
...เกลียดธีรดนย์นัก คนๆ เดียวเข้ามาทำให้ทุกอย่างวุ่นวายไปหมด...
...ทำไมต้องเป็นภิรายุ ทำไมนะ ทำไม...
ธีรดนย์ทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นฟุตบาธแล้วใช้ปลายเท้าขยี้ให้ดับ หันไปมองประตูบริษัทของวิธวินท์อย่างเซ็งๆ แล้วหันไปมองถนน รอเวลาที่ชายหนุ่มที่แอบเข้ามาเล่นตลกกับหัวใจของเขาจะกลับมาที่บริษัทตามที่เลขาประจำสำนักงานยืนยัน
วิธวินท์ไม่ยอมรับเงื่อนไขของเขา และคงไป 'ปฏิบัติการทางจิตวิทยา' กับภิรายุเพราะฝ่ายนั้นก็ปฏิเสธนัดที่เขาชวนไปทานอาหารเย็นด้วยกัน
...เขาจึงต้องมาหาคนทานอาหารด้วยไกลถึงนี่...
...ดีหรือไม่ดีก็ไม่รู้ การที่ภิรายุถอยออกไปก็น่าจะเป็นการดีนี่นา นี่แสดงว่าภิรายุเสียสละให้เพื่อนหรืออย่างไร...
...วิธวินท์เอ๋ย หนีเขาไม่พ้นหรอก ในเมื่อปฏิเสธกันซึ่งหน้าแบบนี้ เขาก็จะเร่งเครื่องเต็มลูกสูบ ไล่ตามจับมาขังเอาไว้ในหัวใจซักระยะ บอกแล้วไง ร้อยทั้งร้อย ไม่มีใครรอดจากเขาได้ซักคน...
...รวมถึงวิธวินท์ด้วย...
...ซิ่งเก่งขนาดไหนก็ไม่พ้นธีรดนย์หรอก คอยดูสิ...
ธีรดนย์หันขวับไปมองถนนเมื่อได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซด์ดังมาแต่ไกลแล้วก็ต้องขบกรามแน่น คนขับไม่ใช่วิธวินท์ แต่คนซ้อนท้ายมานั้นใช่
...กอดเอวกันอีกต่างหาก...
"บารมี" ธีรดนย์พึมพำเสียงเข้ม เผลอกัดฟันกรอดๆ เมื่อเห็นคนขับและคนซ้อนท้ายถอดหมวกนิรภัย
ทั้งสองหนุ่มไม่ได้แสดงสีหน้าตกใจเพราะคงเห็นว่าใครยืนอยู่หน้าบริษัทตั้งแต่ก่อนจอดรถแล้ว แต่ครั้นวิธวินท์ลงจากมอเตอร์ไซด์ ธีรดนย์ก็ยิ่งกัดฟันแรงขึ้นกว่าเดิมเมื่อหลุบตาลงมองต่ำลงเห็นบารมีเอื้อมมือไปคว้ามือของวิธวินท์มาจับไว้
"เลิกเป็นสิงห์นักบิดแล้วหรือครับคุณวิธวินท์" ธีรดนย์ทักยิ้มๆ "แต่ผมว่าซ้อนท้ายน่าจะสบายกว่านะ มีคนขับให้นั่ง"
"คุณธีรดนย์มีธุระอะไรครับ" วิธวินท์ถามเสียงเรียบ
...แน่ะ ยังไม่ยอมดึงมือออกจากมือของบารมีอีก...
"เปล่า ผมแค่ผ่านมา เลยแวะทักทายคุณศรายุธ คุยเรื่องงานที่จะจ้างให้รื้อระบบคอมพิวเตอร์ที่คลับ" ธีรดนย์พูดแล้วหันไป 'หาเรื่อง' กับอีกคนที่บังอาจแสดงความเป็นเจ้าของคนที่เขาพึงใจ
"คุณบารมีมาช่วยงานบริษัทคอมพิวเตอร์หรือครับ"
"ผมเป็นหุ้นส่วนคนใหม่" บารมีตอบสั้นๆ รู้สึกอยากจะดึงมือวิธวินท์ขึ้นมาจูบด้วยซ้ำ
ธีรดนย์หน้าตึงแล้วเปลี่ยนเป็นอมยิ้ม กล่าวแสดงความยินดี จากนั้นจึงขอตัวกลับ แต่ไม่ลืมทิ้งคำพูดไว้ให้สองหนุ่มได้คิด
"บริษัท Network Solutions นี่เนื้อหอมนะครับ ใครก็อยากมาเป็นหุ้นส่วน รวมทั้งผม ที่อยากจะฮุบเอาไว้คนเดียว และถ้ามีคู่แข่งจะมาแย่งชิงธุรกิจ ผมก็จะจัดการให้เรียบ"
บารมีหรี่ตา ขมวดคิ้ว เม้มปากด้วยความขุ่นเคืองที่โดนธีรดนย์ขู่ ส่วนวิธวินท์นั้นยังยืนทำหน้าเรียบนิ่งเป็นปกติ ไม่แสดงอารมณ์ได้ แต่เมื่อธีรดนย์เดินจากไป ก็ดึงมือออกจากมือของ 'เพื่อน'
"เราคิดว่าภมรอยู่ข้างใน ถ้าจะคุยเรื่องงานก็รีบๆ เข้าเถอะ นี่จะมืดแล้ว เราต้องรีบไปเยี่ยมเพื่อนที่โรงพยาบาล" วิธวินท์พูดเนิบนาบ
"เรากลับก่อนนะวินท์" บารมีกล่าวเบาๆ แล้วเดินไปที่รถทันทีโดยไม่หันกลับมามอง แต่เมื่อขึ้นนั่งคร่อมรถมอเตอร์ไซด์ยังไม่ทันได้สวมหมวกนิรภัยก็นิ่งอยู่ชั่วครู่ ทำท่าจะหันมาพูดกับ 'เพื่อน' ที่ยืนมองเขาอยู่เงียบๆ ทว่า ก็เปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย
...จบกันแค่นี้ เขาทนไม่ได้แล้วที่จะอยู่ในสภาพแบบนี้ วิธวินท์ยอมให้เขาจับมือเมื่ออยู่ต่อหน้าธีรดนย์ แต่ครั้นฝ่ายนั้นเดินจากไปก็ดึงมือออกทันที แบบนี้มันหมายความว่ายังไง ที่จะบอกว่าจะทำทุกวิถีทางให้วิธวินท์มาเป็นของเขานั่นคงจะเจ็บมากกว่าสุข แค่นี้เขาก็มองออกว่าสองคนนี้กำลังงอนกัน...
...หมายความว่ายังไง หมายความว่าวิธวินท์ตัดสินใจแล้ว หมายความว่าสองคนนี้มีใจให้กันยังงั้นหรือ...
ธีรดนย์เคลื่อนรถออกไปช้าๆ ในจังหวะเดียวกันที่มอเตอร์ไซด์คันใหญ่ของบารมีวิ่งผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว แต่เขาทันเห็นได้ว่าคนขับหันมามองเขาแวบหนึ่ง แม้หมวดนิรภัยปิดบังใบหน้า แต่ธีรดนย์รู้ว่าสายตาไม่เป็นมิตรของบารมีนั้นแข็งกร้าว และถ้าหากบารมีสามารถกระโจนเข้าขย้ำเขาได้เหมือนเสือ ฝ่ายนั้นก็คงทำไปแล้ว
เพลงจากเครื่องเสียงในรถดังขึ้นเบาๆ ธีรดนย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ส่งสายตามองผ่านกระจกหลังเห็นวิธวิทน์กำลังเดินหายเข้าไปในประตูบริษัท แล้วก็ต้องถอนหายใจแรงๆ อีกที
...ร้อยทั้งร้อย หลงเสน่ห์ผมทั้งนั้น รวมทั้งคุณด้วย...
...เฮ้อ คราวนี้ไม่น่าจะง่าย แต่อย่างไรก็ตาม ขออย่าให้ต้องพูดใหม่ว่าเก้าสิบเก้าในร้อย หลงเสน่ห์ธีรดนย์ทั้งนั้น ยกเว้นไว้คนเดียว ถ้าเป็นแบบนั้น เขาก็คงเสียใจน่าดู...
Lovers with their arms entwined
Silhouettes against the light
A warm bed is waiting as they head home
After staying up all night
For them the city is magic
That's all they've ever known
I wish I could find the magic
But I'm scared and I'm feeling so alone
ความมืดเริ่มคืบคลานเข้าปกคลุมกรุงเทพฯ แสงไฟจากท้องถนนเริ่มสว่างขึ้น สองข้างทางคนกำลังสัญจรกลับบ้าน ธีรดนย์หันไปมอง เห็นคู่รักเดินจูงมือกัน ทำให้เขาต้องถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
...บ้าจริงๆ แล้วเพลงนี้ทำไมจะต้องมาเล่นตอนนี้ด้วย...
ธีรดนย์เอื้อมมือจะไปเปลี่ยนเพลง แต่เมื่อแตะปุ่มสีดำของเครื่องเสียงราคาแพงก็ชะงัก ปล่อยให้เพลงเศร้าสร้อยต่อไป เสียงนักร้องคนโปรดที่เป็นเอกลักษณ์ถ่ายทอดความหดหู่ออกมาได้กินใจจนทำให้เขารู้สึกว่ามีก้อนแข็งจุกอยู่ที่คอ
Oh, city streets
The stories that they tell
Oh, city streets
They can be heaven, they can be hell
Oh, city streets
The stories they have known
Oh, city streets, city streets, city streets
เพลงจบ คนขับที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยลูบไล้โลโก้ของรถยนต์บนพวงมาลับเบาๆ ก่อนจะชะลอรถเพื่อจอดรอสัญญาณไฟจราจรที่ทางแยกแล้วเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มากดเบอร์ของใครที่อาจจะเป็น 'เพื่อนคลายเหงา' ให้เขาได้ในคืนนี้
...โดโด้ไม่ว่าง กำลังเดินทางไปงานอะไรซักอย่างเพื่อร้องเพลง เรียวกำลังถ่ายละครและคงเสร็จดึกมาก สารินไม่เปิดโทรศัพท์ แมน เมธัส บอกว่าอยู่ที่งานเอ็มทีวีที่สิงคโปร์...
ธีรดนย์ถอนหายใจแล้วกดเบอร์ของริคกี้แต่ก็นึกได้ว่าดาราหนุ่มไปถ่ายทำภาพยนต์ที่ต่างประเทศ จึงวางโทรศัพท์ลง แล้วเคลื่อนรถเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว แต่ครั้นรถเคลื่อนไปได้ไม่นานธีรดนย์ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีก
...ใครดีวะ พักหลังเขาลบเบอร์ไปแล้วหลายคนซะด้วยสิ...
...เอา เจษฎาก็แล้วกัน ไม่ค่อยพูดมาก จะได้ไม่รู้สึกรำคาญ...
เจษฎารับสายทันทีที่ธีรดนย์กดเบอร์ แต่คำตอบทำให้คนที่ไม่มีใครปฏิเสธได้อย่างธีรดนย์ต้องอึ้ง เจษฎาบอกว่ามาหาเขาไม่ได้เพราะ...
"เสียใจครับ ผมมีแฟนแล้ว ผมเจอรักแท้ เป็นทหารอากาศยศนาวาอากาศโท ตอนนี้อยู่อู่ตะเภา มาฮันนี่มูน" เจษฎาหัวเราะเบาๆ แล้วเหน็บแนมธีรดนย์ว่าเหงามากจนไม่มีอะไรทำหรือยังไง
"ผมเป็นลำดับที่เท่าไหร่ครับคุณดนย์ หนึ่งในสิบหรือเปล่า กดโทรศัพท์มากี่ครั้งแล้ว"
"ไม่ต้องพูดเลยเจษฎ์"
"เจ็ทครับ ไม่ใช่เจษฎ์ ลืมชื่อเล่นผมไปแล้วยังจะมาโทรมาชวนไปเล่นจ้ำจี้กันอีก" เจษฎาพูดกลั้วเสียงหัวเราะ "คุณลองกดโทรศัพท์ไล่ต่อไปอีกซักหน่อยเดี๋ยวก็หาคนนอนด้วยได้แน่ๆ"
"โหดร้ายมาก" ธีรดนย์ตัดพ้อ
"ว่าแต่คนอื่น ทีตัวเองล่ะ" เจษฎาโต้ "ผมว่าคุณหาแฟนเป็นตัวเป็นตนซักทีเถอะคุณดนย์ เดี๋ยวนี้โรคภัยไข้เจ็บมันเยอะ"
...ร้ายมาก ไม่นึกว่าเจษฎาจะปากร้ายขนาดนี้ เห็นเป็นคนไม่ค่อยพูด ตอนนี้เปลี่ยนไปเยอะ ปฏิเสธเขาอย่างไม่เหลือเยื่อใย...
...แต่ตอนที่เขาปฏิเสธคนอื่นก็ไม่มีเยื่อใยด้วยเหมือนกันนี่นะ...
...ร้อยทั้งร้อย ยอมผมทั้งนั้น รวมทั้งคุณด้วย...
...อย่าบอกนะว่าต้องพูดว่า สองในร้อย ไม่ยอม...
ธีรดนย์ตบพวงมาลัยอย่างหงุดหงิดเมื่อโทรอีกสองเบอร์ก็มีเพียงสัญญาณโทรศัพท์บอกว่าไม่สามารถติดต่อเลขหมายปลายทางได้
...คนสุดท้ายแล้วนะ ขอแค่ให้มีใครทานข้าวเย็นด้วยก็พอแล้ว ไม่ต้องถึงขนาดไปนอนด้วยก็ได้ แล้วนี่เพลงยังจะร้องอยู่ได้...
As I walk away
My world comes tumbling down
That's alright
You'll go home again without me
Where will I go tomorrow
It doesn't matter, if you want me to stay
Should I turn around, come back to you
Or should I keep on walking away
...เต้ยก็แล้วกัน เลขามาทานข้าวกับเจ้านายไม่เห็นจะแปลก...
"เต้ยไม่ว่าง กำลังจะทำโยคะ นี่จุดเทียนหอมไว้เต็มห้องหมดแล้ว กำลังเคลิ้มๆ คุณดนย์กลับบ้านลองนั่งสมาธิดูสิครับ เผื่อจะช่วยได้" เลขาเสียงเจื้อยแจ้วทันทีที่ธีรดนย์ชวนออกมาทานข้าว
"ช่างเถอะ" ธีรดนย์ตอบสั้นๆ
"ไม่งั้นก็ไปคลับ เจอแสงไฟวูบวาบกับคนหน้าตาดีๆ เดี๋ยวคุณก็สบายใจเอง" เต้ยแนะนำต่อ
"ขอบใจ" ธีรดนย์กระแทกเสียง
...ช่วยได้มากเลยนะ เต้ยก็โหดร้ายพอๆ กับเจษฎา...
I kept going on, when going on
Made no real sense at all
But it's no good now, it's all clear to me
Now that my back is against the wall
How will you get through tomorrow
...โอยไม่ไหวแล้ว...
ธีรดนย์เอื้อมมือไปปิดเพลง แล้วจบการสนทนากับเลขาใจร้ายที่ปากดีทั้งอยู่ในและนอกบริษัท
"เต้ยบอกแล้ว ดีได้ ร้ายเสีย อย่ารอให้เสียไปก่อนแล้วมาวิ่งตามไล่เอาคืนทีหลัง ตอนที่วิ่งไล่จะเอาเขามันสนุกต่างกันกับตอนที่วิ่งไล่จะเอาเขากลับมานะเจ้านาย"
ประโยคสุดท้ายของเลขายังดังก้องอยู่ในหัวของธีรดนย์ ยิ่งเมื่อปิดเพลงแล้วในรถเงียบสนิท เสียงในหัวก็ยิ่งดัง แถมเขาคิดว่าเห็นภาพใบหน้าขาวๆ ของเลขาเจ้าปรัชญาลอยไปมาอยู่บนกระจกหน้ารถ
"เลือกเอาซักคน คุณมีคู่เยอะเกินไปแล้ว คู่หมายถึงคนสองคนนะ ไม่ใช่เป็นโขยง"
...ชักจะมากไปแล้วเต้ย น้องชายเขากลับมาจะส่งกลับไปเป็นเลขาเจ้านายที่พูดวันละแค่สิบประโยค...
โครม!!
เสียงดังสนั่นดังขึ้นด้านหลังรถพอร์ช 911 ของธีรดนย์ พร้อมการกระตุกแรงๆ แล้วรถสปอร์ตหรูสีบรอนซ์ของเขาก็พุ่งไปกระแทกรถแท๊กซี่สีเขียว-เหลืองที่อยู่ด้านหน้า
...ให้ตายสิธีรดนย์ เซ็งกว่านี้คงไม่มีอีกแล้วล่ะ...
*****27*****
