ตอนที่ 20 วุ่นวาย
...วันนี้เป็นอีกวันที่ผมตื่นเช้ากว่าปรกติ ตอนนี้ผมกำลังนั่งทานกวยจั๊บร้อนๆ ผมรู้สึกว่าหมู่นี้ผมตักบาตรด้วยความไม่สบายใจสักเท่าไร หากเปรียบเทียบก็เหมือนบวชพระหนีเรื่องทางโลกนั้นแหละครับ ถึงแม้นการทำบุญจะทำให้ผมสบายใจขึ้นบ้างก็เถอะ วันนี้ผมพยายามทำตนเองตามปรกติที่สุด ผมตั้งใจว่าวันนี้จะไปรับแซนและเคลียร์ความเข้าใจให้รู้เรื่องสักที ผมอาบน้ำแต่งตัวแล้วขับรถไปทีหอแซนทันที เหมือนวันนี้ทุกอย่างเป็นใจครับ ประตูชั้นล่างกั้นระหว่างหอพักกับห้องรับแขกเปิดอยู่ ผมเดินขึ้นไปชั้น 3 ด้วยความเคยชิน หยุดอยู่ที่หน้าห้องของแซน ถึงตอนนี้จะเคาะดีไหมนะ เริ่มรังเลใจผมทำท่าจะเคาะหลายทีแต่ก็ไม่ได้เคาะ ผมยืนปั้นคำพูดคำอธิบายอยู่นาน ผมเอื้อมมือไปจับลูกบิด เพื่อเคาะแล้วแซนมาเปิดตอนนั้นผมอาจจะตกใจจนลืมคำพูด อย่างน้อมมือผมยังรั้งประตูอยู่
...แกร๊ก...
...เห้ยๆ ผมยังไม่ได้เปิดประตูนะ ผมแค่เอามือไปจับ แค่นั้น ผมไม่ผิดนะ ...อ่าวประตูไม่ได้ล๊อค แล้วแซนละ ผมเปิดเข้าไปดูแซนนอนหลับอยู่บนเตียงไม่รับรู้อะไร อะไรว่ะหลับทั้งๆที่ไม่ล๊อคประตู ผมมองไปรอบๆห้องไม่มีอะไรหายไป มีแต่ขวดเบียร์ที่เพิ่มเข้ามา ชิชะเป็นเด็กเป็นเล็กกินเบียร์ย้อมใจ ผมนั่งลงข้างๆเตียง แซนใส่บ๊อกเซอร์ตัวเดียวนอนแผ่หลา(เดียวกัดหัวนมขาดเลยนิ อารมณ์หื่นแผ่กระจายรอบตัว) ผมจัดการเอาผ้าห่มมาห่มให้มันไม่กันมันจากหวัด แต่กันอารมณ์หื่นส่วนตัว
...ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...
“พี่...โอ๊ต...” เสียงหมาแซนครางเบาๆ แม่งรู้ว่ากูอยู่ใช้กูเปิดประตูสะงั้น
“เออๆ”
...ผมเดินไปเปิดประตูตามคำสั่งหมาขี้เซา
“อ่าว...แพรว”
“สวัสดีค่ะพี่โอ๊ต” เธอตกใจไม่น้อยที่ผมอยู่ที่นี้ ตอนนี้เธอใส่ชุดนิสิตเรียบร้อยแล้ว
“สวัสดีครับคือแซนยังหลับอยู่เลย”
“ออทราบค่ะ เมื่อคืน...เมื่อคืนแพรวอยู่เป็นเพื่อนแซนเขาทั้งคืน ก็ไม่แปลกที่จะหลับ เอาเป็นว่าพอดีแพรวไปเปลี่ยนเสื้อผ้ามาเลยซื้อโจ๊กมาฝากแซน อย่างไงก็รบกวนพี่ด้วยนะค่ะ” เธอตอบ แต่ผมฟังแล้วหมั่นไส้ตะหงิดๆ
“ครับไม่เป็นไรครับ”
“งั้นหนูไปก่อนนะค่ะ สวัสดีคะ”
“บายครับ” ผมปิดประตูเมื่อล่ำลาเสร็จ ซึ่งท่าทางเธอก็ไม่ใส่ใจกับการล่ำลาสักเท่าไร ผมรู้สึกว่าเธอเริ่มไม่น่ารักเหมือนแต่ก่อน คำพูดของไอ้แบงค์ดังขึ้นมาอีกครั้ง ...ผมยังไม่รู้จักน้องคนนี้ดีพอ
“แซน...แซน...” ผมปลุกมันมากินโจ๊กที่แพรวซื้อมาให้
“อืม...อือ...”
“แซนกินโจ๊กเร็ว ร้อนๆอยู่เลย”
“งืม”
“แซนงั้นพี่วางไว้ตรงนี้พี่ไปแล้วนะ”
“อะไรนะ” มันหันมามองทางผม ทำตาหยีใส่
“โจ๊ก จะกินไหม”
“พี่โอ๊ต!!!”
“เออพี่เอง แล้วนี้โจ๊กแกจะกินไหม” ผมยังไม่ทันพูดอะไรต่อแซนกระโดดจากเตียงมากอดผม “เห้ยๆ โจ๊กหกหมดไอ้บ้า”
“พี่อย่าไปไหนนะครับ”
“กูพึ่งมาจะให้ไปไหน” ผมตอบกวนตรีนมันไปหวังว่ามันจะหัวเราะและคลายกอดผม แต่ความเป็นจริงมันตรงกันข้ามมันกอดผมแน่นกว่าเดิม รู้สึกดีและอบอุ่นเวลามันกอดผม มันเหมือนเด็กที่ต้องการความรักจากผู้ใหญ่ อีกใจผมว่ามันเหมือนหมา ผมเกาหัวมันเบาๆ “เจ้าเท๊ปเป”
“ง่ะเอาชื่อหมามาเรียกผมอีกแล้ว” มันพูด
“แล้วชอบไหม” มันไม่ตอบได้แต่พยักหน้า “แล้วจะกินไหมโจ๊กนะ”
“พี่ซื้อมาเหรอ” มันคลายกอดผมแล้วรับโจ๊กไป
“เปล่า...แพรวเอามาให้” ผมตอบโดยไม่ใส่ใจอะไร พอพูดจบแซนเดินเข้าไปที่ห้องน้ำ สงสัยไปแปรงฟันแต่เปล่าเลย มันเทโจ๊กทิ้ง “เห้ยทำบ้าอะไร คนเขาอุตสาห์ซื้อมาให้”
“ผมไม่ต้องการของจากคนคนนี้”
“โอเค งั้นแซนไปอาบน้ำเถอะ” ผมบอกแซน ผมไม่เข้าใจแซนอยู่ดี แต่ก็ช่างเถอะผมไม่อยากคิดมาก
“พี่มีอะไรจะพูดกับผมไหม” แซนถามขึ้น
“พี่อยากให้เราใจเย็นกว่านี้ก่อน”
“พี่จะบอกเหตุผลที่เราคบกันไม่ได้ใช่ไหม พี่บอกมาเลยดีกว่า ผมทำใจยอมรับมานานแล้ว”
“อืม...รู้กฎเหล็กของสายรหัสไหม”
“ไม่รู้ ผมไม่เคยซิวนะพี่”
“เออก็จริง กฎเหล็กของสายตระกูล หรือสายรหัสคือ ห้ามเป็นแฟนกัน”
“กฎก็มีไว้แหกก็ได้นิ”
“ถ้าพูดแบบนั้น แกแน่ใจเหรอว่าแกรู้จักพี่ดีพอ”
“อันนั้นก็จริง ก็พี่เป็นพี่วินัยนิ กฎอยู่เหนือสิ่งอื่นใด” แซนนิ่งไปสักพัก “แล้วถ้าผมไม่เป็นน้องพี่หล่ะ”
“ก็...คงคบได้มั้ง”
“ไม่น่าไปเปลี่ยนสายเลย”
“ว่าไงนะ”
“เออ...ก่อนหน้านี้นะ น้องรหัสพี่เป็นอีกคนไม่ใช่ผม ผมไปขอเปลี่ยนสายเพราะอยากอยู่ใกล้พี่ เลยไปขู่เพื่อนว่า พี่เป็นปู่รหัสแล้วสายพี่ก็พี่วินัยเกือบทั้งสาย เพื่อนมันกลัวเลยขอเปลี่ยน”
“เหอะๆ นั้นเขาเรียกว่าซวยไป”
“นั้นนะสิ ไม่น่าเลย”
“แล้วคบกันเกินพี่น้องได้ไหม”
“เกรงว่าไม่ พี่ว่าความรู้ที่เป็นอยู่ก่อนหน้านี้ไม่ดีอีกหรือ หรือแกต้องการมากกว่านี้”
“ไม่เลยแบบนี้พอใจแล้ว แต่ผมอยากใช้คำว่าแฟน”
“คำคำนั้นมีค่ามากหรือ”
“มากนะ”
“ถ้าพี่ตกลงเป็นแฟนแก แต่ไม่สนใจแกเลย ไปไหนมาไหนกับคนอื่นแกยังอยากเรียกว่าแฟนไหม”
“ไม่อ่ะ”
“อืม...การกระทำมันสำคัญกว่าคำพูด”
“แต่ต้องการมากกว่านั้น”
“อะไรหล่ะ”
“ก็อย่างเช่น...” แซนพูดเสียงเบาลง แล้วค่อยเขยิบหน้าเข้ามาเรื่อยๆ มือข้างหนึ่งโอบที่เอวผม ส่วนอีกข้างเริ่มแกะกระดุมเสื้อผม มือของมันซุกเข้าไปใต้เสื้อสัมผัสลงที่หน้าอกของผม จิตใจผมเต้นระรั่ว นี้มันจะทำอะไร หน้าของแซนขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“หยุดเลย” ผมพูดเบาๆ แซนก็หยุดตามคำสั่ง
“แหะๆพี่คิดว่าผมเคยทำอะไรแบบนี้กับผู้ชายเหรอ”
“อย่าว่าแต่ผู้ชายเลย ผู้หญิงแกเคยหรือยังเถอะ” ผมตอบพลางยักคิวให้ แซนมันหน้าแดงนั้นคือคำตอบ “ไปอาบน้ำไปก่อนจะสาย”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอนที่ 20
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 21 ความจริง...ผ่านปากเพื่อนสนิท
...ผมนั่งรอไอ้แซนแต่งองค์ทรงเครื่องอยู่พักใหญ่ ปรกติมันอาบน้ำเร็ว ทำธุระส่วนตัวเร็วครับ แต่วันนี้มันอ้อนตรีนผมเป็นพิเศษท่าทางอารมณ์ดี มันอ้อนตรีนอย่างไงนะเหรอ กว่ามันจะนุ่งผ้าขนหนูกว่าจะถอดบ๊อกเซอร์ แล้วใส่บ๊อกเซอร์เดินไปเดินมาโชว์หุ่นของมัน พออาบน้ำเสร็จก็นุ่งผ้าเช็ดตัวตัวเดียวเดินรอบห้อง สักพักเปลี่ยนเป็นบ๊อกเซอร์แล้วก็เดินรอบห้อง ผมหมั่นไส้อาศัยจังหวะมันหันหลังให้ผมยืนโชว์แผ่นหลัง หันหน้าออกไปทางหน้าต่าง(ทำท่าทางประมาณว่าชมวิว ชมนกชมไม้) ผมจัดการดึงบ๊อกเซอร์มันลงมากองกับพื้น ผมคิดว่าสมัย ม.ปลาย เพื่อนคงเคยเล่นเวลาเรียนพละ เวลาใครเผลอก็ดึงกางเกงวอร์มลงมากองกับพื้นกัน แต่นั้นยังดีที่มีกางเกงใน แต่นี้บ๊อกเซอร์มันไม่ใส่กางเกงใน ผมเห็นแต่ก้นเนียนๆ ขาวๆ ฟิตๆ และ...นิดหน่อย เออลืมบอกไปอีกฝั่งของหน้าต่างนะ นั้นก็หอพักนิสิตเหมือนกัน รู้สึกหอหญิงสะด้วย อิอิ
...หลังจากที่เล่นอะไรไร้สาระจนสาแก่ใจ ที่ทำให้ไอ้แซนต้องปิดผ้าม่านที่ห้องตลอดกาลแล้วก็ได้ฤกษ์ไปมหาวิทยาลัยสักที มาถึงก็แยกย้ายขึ้นห้องกันเลย(ไอ้แซนตัวทำให้สาย) วันนี้ผมเรียนวิชาเบาๆครับ เป็นการพักผ่อนมากกว่า ไอ้แซนเข้าเรียนไป 15 นาทีได้แล้ว ส่วนห้องนะเหรออาจารย์ยังไม่มา ถึงตอนนี้ผมรู้สึกว่าเหมือนผมเรียน ม.ต้น หรือไม่ก็ประถมไม่รู้สึกถึงอารมณ์ความเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยอันทรงเกียรตินี้เลย เพราะเพื่อนในห้องตอนนี้มันกำลังเล่นไล่จับกันหน้าห้อง ผมได้แต่นั่งดูแล้วหัวเราะในสิ่งที่เพื่อนมันเป็น เอาเลยพวกมึงปีสุดท้าย ปล่อยแก่ เฮ้ ส่วนผมขอนั่งเม้าส์เผาขนนินทาเพื่อนดีกว่าไม่นานไอ้แบงค์กับกลุ่มเพื่อนผู้ชายก็เข้ามา
“สายได้อีกนะเมิง” เพื่อนผมแซว
“อ่าวเชียร์ กูมันแนวอ่ะ”
“แนวบ้านป้านะสิ สายโด่”
“เห้ยของใครโด่ ขอดูดูหน่อย” เพื่อผมแทรกขึ้น ทั้งห้องก็ฮากันไป ตอนนี้เกือบทุกคนนั่งประจำที่แล้ว เหลือแต่พวกเล่นหมาบ้าไล่จับนั้นแหละ
...ผมนึกได้ ผมอยากทราบลายละเอียดของแพรวนี้น่า ผมขอตัวออกจากกลุ่มไปหาไอ้แบงค์ที่โต๊ะทันที
“เห้ย...ไอ้เชี้ยโอ๊ต” ไอ้แบงค์ทักก่อนผมไปถึง “ว่างๆแดร๊กอาหารญี่ปุ่นกัน”
“เออ ตามใจสาด” ผมตอบ “เออ ไอ้แบงค์เมิงรู้จักแพรวด้วยเหรอ”
“แพรวไหนว่ะ”
“คนที่ร้องไห้หน้าห้องที่กูคุยด้วยอ่ะ”
“ออ...เบเบ้”
“เบเบ้?”
“เออ มันให้กูเรียกมันว่า เบเบ้”
“เออนั้นแหละ กูอยากรู้รายละเอียด” สิ้นคำพูดผมอาจารย์ก็เข้าห้องมาทันที
“เออ เลิกเรียนแล้วเดียวค่อยเล่า”
...วันนี้ผมเรียนหัวข้อนันทนาการครับ ก็ไม่มีอะไรมากจับกลุ่มเล่นเกมกันอย่างเดียว เก็บคะแนนด้วย งานนี้ใครบู้ ใครบุ๋น ก็เผยธาตุแท้กันวันนี้ พวกผมเล่นกันจนเกมไม่ใช่เกม มันคือสงครามย่อยเลย มีทั้งสงครามจากกำลัง สงครามประสาท แต่ก็จบลงด้วยดี ทีมผมก็ชนะไป 555+
...พอเลิกเรียนทุกคนก็ลงมาร่วมตัวที่โรงอาหารครับ ไม่รู้จะไปไหนกันด้วย แดดก็แรงประเภทถ้าเดินตากแดดตอนนี้กลับเข้าร่มอีกที อาจนึกว่าแอบไปเที่ยวทะเลมาได้เลย อาจารย์ปล่อยเร็วด้วยครับวันนี้เลยมีเวลาว่าง ส่วนมากนั่งเล่นนั่งคุย เพราะยังไม่ถึงเวลาทานอาหารกลางวันกัน ผมมองหาไอ้แบงค์ไม่รู้ว่ามันหายหัวไปไหน ผมพยายามโทรหามันหลายทีแต่มันก็ไม่รับสายเลย เออชั่งมัน
...ผมนั่งเล่นจนหลายห้องเริ่มทยอยลงมาทานข้าวกันแล้ว พวกผมเลยไปเข้าแถวซื้อข้าวกลางวันกันก่อน ก่อนที่ต้องไปสู้รบปรบมือเพื่อแย่งข้าวเด็กกิน ผมซื้อกวยเตียว 2 ชาม ชามแรกเล็กแห้งหมูรวม ชามที่สองบะหมี่เย็นตาโฟ ผมซื้อเผื่อไอ้แซนเลย ไม่นานมันก็มาและมานั่งกับกลุ่มผม ตอนนี้การที่มันจะมานั่งกลับกลุ่มผมเป็นเรื่องปรกติไปแล้ว บ้างครั้งผมก็จับรวมเลย สาขาผมทั้งสาขานั่งด้วยกันไปเลย ผลที่ได้คือบางครั้งแทบไม่ได้กินข้าวเลย เพราะน้องมันค่อยมาถามนู้นถามนี้ ส่วนมากก็เรื่องเรียนเป็นหลัก ก็ดีนะอย่างน้อยกิจกรรมละพฤติกรรมที่เราทำก็ประสบความสำเร็จว่าไหม
...พอทานข้าวเสร็จพวกน้องๆก็ขอตัวกลับ เหมือนเพื่อนๆผมอีกหลายๆคนที่เริ่มทยอยกลับแล้ว ผมนั่งคุยกับพวกปี 3 เรื่องงานบายเนียร์อยู่พักหนึ่งก่อนแล้วจึงกลับ สรุปปีนี้ปี 4 ไม่ขออะไรมากขอให้จัดที่เดิม(เพราะข้างๆเป็นผับ จะได้เที่ยวต่อเลย) ส่วนเครื่องไม่ต้อง นักร้องไม่ต้อง เปิดเพลงจากคอมกับจับฉลากเอาลดต้นทุนกันสุดๆ พอคุยธุระเสร็จผมก็ขับรถไปส่งแซนที่หอแล้วกลับบ้านเลย ผมมีงานที่ต้องสะสางอีกหน่อยซึ่งข้อมูลทั้งหมดอยู่ในคอมที่บ้านผม
...ครืด...ครืด...ครืด...
...เห้ย รถเป็นอะไรว่ะเนี้ย ผมหาสาเหตุอยู่ครู่หนึ่ง สรุปมันเป็นเสียงโทรศัพท์ของผมที่กระเป๋าทับมันอยู่
“เออว่าไง” ไอ้แบงค์ทักทาย
“กูโทรหาเมิงเป็นชาติแล้วมั่ง ได้ข่าวอ่ะ” คุยโทรศัพท์ระหว่างขับรถไม่ดีนะจ๊ะเด็กๆ แต่ผมขับรถระหว่างคุยโทรศัพท์นะ อิอิ
“เออพอดีกูกินข้าวกับเด็กกูแล้วเอามือถือไว้บนรถ ลืมเอาลง”
“เอามือถือทิ้งไว้เพราะลืม หรือเพราะไม่อยากให้กิ๊กรบกวนกันแน่”
“ไอ้เชี้ยกูคบที่ละคนโว้ย”
“เออที่ละคนแต่ไม่ซ้ำหน้า”
“ไอ้เชี้ยนิ”
“คนใหม่ล่ะสิคราวนี้นะ”
“ไอ้เชี้ยนี้รู้ใจกูจริง”
“เด็กที่ไหนหล่ะเมิง”
“เด็กกรุงเทพฯ”
“มาจากที่นู่นเลยเหรอ”
“อืมมาอยู่กับกูได้คืนหนึ่งแหละ”
“แล้วนี้เมิงอยู่กับเธอหรือเปล่า”
“ไม่อะส่งกลับไปแล้ว”
“ได้กันแล้วสิ งี้ก็หมดโปรโมชั่น”
“คนนี้ยังว่ะ ว่าตามึงโทรมามีอะไร”
“จำได้ด้วยนะเมิง กูจะถามว่าเมิงอยู่ไหน กูอยากรู้เรื่องน้องเบเบ้มึงอ่ะ”
“เออ งั้นเจอกูที่ร้าน สเคเลทโต้”
...ร้านสเคเลทโต้ เป็นร้านกาแฟครับ นอกจากตกแต่งสวย กาแฟอร่อย บริการเป็นกันเองแล้ว ยังอยู่ไกลอีกด้วย เหมือนจากเหนือไปใต้อ่ะครับ ร้านนี้ไอ้แบงค์รู้จักจากเด็กของมันคนหนึ่งชวนมันมากินสมัยคุณชายร้านกาแฟดัง ช่วงนั้นเด็กมันทุกคนต้องพามันมานั่งร้านกาแฟ แล้วมันจะจำร้านกาแฟที่ใช้ได้มาแนะนำและพาผมมากิน สัปดาห์ละร้านก็ว่าได้ เพราะการทำนี้แหละจึงเป็นอีกปัจจัยที่โดนมองว่า ผมกับมัน กิ๊กกัน
...ผมไปถึงร้านก็ตรงไปที่มุมประจำของมัน แบงค์อยู่ที่นั้นครับ
“ว่าไงเมิง”
“เออมาเร็วนะสัด”
“อ่าวกูไม่ได้ไปไหนนิ”
“ไม่ดูแลเด็กมึงเหรอ”
“เด็กมึง มึงยังส่งกลับเลย ดังนั้นไม่ต้องห่วงเด็กกูหรอก” ผมสวน
“เออ ว่ามา”
“มึงต้องว่ามา เรื่องน้องเบเบ้นะ”
“มึงจำตอนเปิดเทอมใหม่ๆได้ไหม”
“อืมตอนนั้นเมิงจีบเด็กปีหนึ่งอยู่”
“อืมนั้นแหละกูจีบอีเบเบ้ หรืออีน้องแพรวของมึงนะ”
“แล้วไง”
“ตอแหลสุดๆว่ะ”
“กูขอรายละเอียด”
“จัดไป” มันหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาจิบหนึ่งครั้งพอเป็นพิธี (ไอ้นี้พอดูเรื่องคุณชายร้านกาแฟแล้วกระแดะครับ กินกาแฟเย็นไม่เป็นไม่รู้รสชาติ ต้องกาแฟร้อนเท่านั้น) “ตอนนั้นกูตามจีบเบเบ้นี้แหละ ตอนจีบใหม่นะเล่นตัว ชวนไปไหนไม่ไป เวลาโทรไปคุยก็ไม่ค่อยอยากคุยหรอก แต่พอไม่โทรไปหาก็ยิงมาหากู กูก็ไม่คิดอะไรมาก สาวๆเขาชอบทำแบบนี้เหมือนเป็นฟอร์มเขา ไม่เหมือนน้องคนใหม่ รายนี้ไม่โทรก็ไม่คุย มันท่าทายกว่าเยอะ” มันยักคิวให้ตามันเยิ้มเลยละพอพูดถึงเด็กกรุงเทพฯเนี้ย ท่าทางของเขาดีจริง “กูจีบอีเบเบ้ได้ 3 วันกูเลยชวนมันออกไปนั่งรถเล่น มันก็ไม่ยอมไป อ้างนู้นอ้างนี้ จนกูบอกว่ากูอยู่ข้างล่างหอมัน วันนั้นกูเอาSKLไป กูก็เปิดประทุนรอ พอมันเห็นเท่านั้นแหละ มันถึง 5 นาที แต่งตัวลงมานั่งอยู่ในรถเรียบร้อย”
“เห้ยเดียว น้องเขาไม่รู้เหรอว่ามึงมีเฟอร์รารี่ด้วย” ผมแทรก
“ไม่รู้ ช่วงนั้นกูใช้ JAZZ หรู่สุดก็ CRV”
“เยี่ยม”
“เออต่อนะ... กูก็ขับมาเรื่อยๆ จากมหาวิทยาลัยมาทางเลี่ยงเมือง แวะปั้มซื้อขนมกับถุงยาง 2 กล่อง (ไม่ต้องละเอียดขนาดนั้นก็ได้ม่าง) แล้วก็ขับไปเรื่อยๆจนถึงคอนโดฯกู ตอนเลี้ยวรถเข้าคนโดฯ ทำเป็นสะดีดสะดิ้ง ร้อยโว้ยวาย ไม่เอา ไม่เข้า เขาไม่ขึ้นอย่านู้น อย่างนี้ แต่พอรถจอด เดินนำหน้ากูเฉย มีการเร่งกูอีกต่างหากบอกว่ากูเดินชักช้า สรุปคืนนั้นกูเลยจัดให้ทั้ง 2 กล่อง” มันพูดจบยกกาแฟมาจิบสบายใจเฉิบ ส่วนผมนั่งอึ้ง อึ้งทั้งการกระทำของแพรวหรือเบเบ้ และอึ้งที่มันกล้าเล่าละเอียดขนาดนี้ “ไอ้เชี้ย มึงเป็นอะไรเนี้ย หรือมึงอยากรู้กูเอาท่าไหนบ้าง” นั้นเป็นสิ่งเรียกสติผมกลับคืนมา
“เปล่าไม่เลย กูแค่อึ้ง”
“วู้ย...ทำเป็นเวอร์จิ้น ว่าไปมึงก็เวอร์จิ้นนี้หว่า ลองสะบ้างจะได้รู้อะไรบ้าง” (-////-)
“สาดนิ...แต่ว่ามึงแน่ใจนะไม่ผิดคน”
“ให้กูบอกมีตำหนิตรงไหนไหมหล่ะ เดียวกูจะบอกให้”
“ใครจะกล้าขอดู เชี้ยนิ”
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวกูพิสูจน์ให้ดู” แบงค์พูดก่อนกระดกกาแฟทั้งหมดเข้าปาก
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอนที่ 21
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
...ไหนๆวันจันทร์ว่าง อัดให้ 2 ตอนเลย ชดเชย 2 สับดาห์ สรุปนี้ปาไป 3 ตอนแล้วนะเนี้ย เห้อ พลังหึด งานเสร็จเร็วคงมีตอนต่อไป ---*--- ต่อไปจะเชื่อคำพูดข้าเจ้าได้ไหมนี้ เคโระ~
ป.ล.
...ก.กา มาเมื่อไรบอกดิเดี๋ยวพาไปกิน แต่บอกก่อนนะอย่ามาช่วงเทศกสลกับวันหวยออก ไม่งั้นอดกิน เพราะเจ๊แกหยุดทุกวันหวยออก