เวลาผ่านไป จนพนักงานในโรงหนังต้องประกาศขอบคุณอีกครั้ง
เป็นสัญญาณว่า เมิงทั้ง 2 คนออกจากโรงหนังกรูไปได้แล้ว……เวลา( ชีวิต )ของเมิงได้หมดแล้ว
ผมรวบรวมความกล้า ครับ ทั้งๆ ที่ใจยังเต้นรัวอยู่ หันไปมองหน้ามัน
แล้วสิ่งที่ผมไม่อยากเชื่อเกิดขึ้นครับ......
ผมตะโกนสุดแรงเกิด
“ไอ้...........ง”
เสิร์ฟจานที่ ........ 6 เสิร์ฟตำซั่ว (บลูเบอร่า ) ปูปลาร้า
ด้วยความตกใจผมตะโกนสุดแรงเกิด
“ไอ้เฮี้ย..........เมิง”
ทำไมผมจึงกล้าร้องออกไปนะแบบนั้น
พลางหันหน้ากลับไปอย่างรวดเร็ว ตกใจกับคำพูดของตนที่หลุดออกไปให้กับคนแปลกหน้า
ใจเต้น ตุบ ตุบ ตุบ เร็วยิ่งขึ้น
หมายเลขที่ท่านเรียก......ไม่สามาติดต่อได้ในขณะนี้ ....ไม่มีเสียงใดๆ จากคนอีกคนเลย
ความเงียบก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ในเวลาเท่าที่เท่ากัน แต่ถ้าจิตใจเราเต็มไปด้วยความอึดอัด มันย่อมทำให้เรารู้สึกว่านานกว่าเวลาที่มันควรจะเป็น
ต่างคนต่างหันหน้ามองตรงไปยังหนังที่เพิ่งจบลง ที่เหลือไว้คือตัวหนังสือต่างๆ ที่กำลังวิ่งขึ้นด้านบน
ตอนนี้สิ่งที่ผมคิดได้ คือต้องออกจากตรงนี้ ที่ๆทำให้ผมอึดอัดให้เร็วที่สุด
คิดได้แบบนั้นผมจึงดีดตัวขึ้น สายตาผมจ้องมองประตูด้านขวา ของโรงหนัง
เพราะนั้นคือ ประตูสวรรค์สำหรับผม สิ่งที่ผมคิดออกในตอนนั้น
ยังไม่ทันจะก้าวออกไป มือซ้ายของผมก็ถูกพันธนาการไว้
ด้วยมือใครอีกคน มันคงไม่ใช่มือเด็กเดินตั๋ว หรือของคุณผู้อ่านแต่อย่างใด
ครับ แต่มันคือมือคนที่นั่งๆข้างผมนั่นเอง
ผมแปลกใจในพันธนาการนั้น มันเปลี่ยนจากความอึดอัด ความกลัว ที่เกิดขึ้นในตอนแรกเป็นความอ่อนโยน ที่ปราศจากการคิดร้ายแต่อย่างใด ทำไมผมจึงรู้สึกแบบนี้ขึ้นมา
ผมก็ตอบตัวเองไม่รู้ว่าเพราะอะไร
เมิงช่างกล้า ผมเปลี่ยนโหมดด้านความคิด
“เดี๋ยว จะไปไหน” ไปให้พ้นจากตรงนี้และจากหน้าเมิงไง ผมคิดในใจ
ก่อนหน้าที่นี้ว่าหัวใจเต้นแรงแล้ว ตอนนี้กับแรง และเร็ว เป็น 10 เท่า
เพราะนอกจากพันธนาการนั้นแล้ว ผมยังรับรู้มันได้ด้วยเสียงที่เขาเอ่ยออกมา
หมายเลขที่ท่านเรียกกลับ กำลังตื่นเต้น จนไม่สามาติดต่อกลับมาได้ กรุณาปล่อยแขนกรูด้วย555 ขอบคุณคระ
ยิ่งนานผมก็ยิ่งคิดว่าตัวเองต้องต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่ๆ แต่ความรู้สึกว่าปลอดภัยยังไม่ได้หายไปไหน
ผมมองที่ประตูนั้นอีกครั้ง นั้นมันแสงแห่งสวรรค์ชัด ๆ
ตอนนี้ผมกำหมัดแน่น...................ตายแน่มึง
เปล่านะครับ ผมไม่ได้ชกไปที่ คนนี่นั่งอยู่แต่อย่างใด
ผมสะบัดบ๊อบ เอ้ย.... สะบัดแขนตัวเองอย่างแรง 1 ครั้ง
อ้าว มันได้ผลครับ มือผมหลุดจากมือเขาแล้ว
ผมไม่ได้หันมายิ้มสวยงามให้ มันแต่อย่างใด
เพราะถึงผมจะยิ้มสวยแค่ไหนคงไม่เปลี่ยนจากสัตรูคู่อาฆาต มาเป็นมิตร หรือแควน ได้ อิอิ
สิ่งที่ผมทำ คือต้องวิ่งสุดชีวิต ให้ถึงประตูสวรรค์นั่นให้เร็วที่สุด
ตอนนี้โลก แห่งอิสรภาพได้อยู่ในกำมือผมแล้วครับ
สิ่งที่ผมเห็นตอนนี้คือ ที่ๆ ผมกำลังซื้อตั๋วก่อนที่ผมจะเข้าไปดูหนังนั้นเอง
ผู้คนเดินไปมา
นั้นหมายถึงผมปลอดภัยจากความรู้สึกอึดอัดนั่นแล้ว ผมจึงลดจากการวิ่งเป็นเดินอย่างช้าๆ แทน
อีกไม่กี่ ชั่วโมงก็จะได้เวลาที่ผมต้องทำงานอีกครั้งครับ
ซึ่งตอนนี้ผมบอกตรงๆ ยังไม่พร้อมเท่าไร จิตใจยังคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา
ตอนนี้ผมมาถึงที่ลานแสดงสินค้าอย่างไม่รู้ตัว
มือผมถูกกระตุกอีกครั้ง………………….งานเข้าอีกแล้วกรู
ยิ่งทำให้ตอกย้ำภาพที่เกิดขึ้นในโรงหนัง ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“เป็นอะไรของเมิง”
ผมหันไปมองหน้าด้วยสีหน้าที่กังวล แต่ตอนนี้มันผ่อนคลายแล้ว เมื่อผมเห็นว่าคนๆ นั้นคือเพื่อนที่ผมรัก และคุ้นเคยเป็นอย่างดี
“ไอ้เดช..แม่ง กรูตกใจหมดเลย” ผมตอบอย่างพลางถอนหายใจดัง ๆ 1ครั้ง
“เป็นไรว่ะขวัญอ่อนจริงนะเมิง ไปโดนใครเขาข่มขืมมาล่ะ” มันถามกวน ๆ อีกครั้ง
“เปล่า” ผมตอบสั้นๆ ด้วยสีหน้าทีตื่นตกใจอยู่
อีกไม่นานผมก็คงต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายจากเพื่อนรักของผมแล้วครับ
สคริป ได้ถูกงัดขึ้นมาอ่านทบทวนอีกครั้ง...................ลองจินตนาการท่างัดสคริปนะครับ
ผมทวนแล้วทวนอีก ทำจิตใจให้จดจ่อกับสั่งที่ผมจะต้องทำ
เพื่อขับไล่ความอึดอัด นั้นออกไปจากความคิด
เวลานั้นก็มาถึงครับ
หลังจากที่ มีการแสดงเล็กๆน้อยๆ พริตตี้สาวสวย 3 นาง เรียกคนดูเข้ามาที่บูธ
ต่อจากนี้ไปจึงเป็นหน้าที่ที่ผมต้องรับช่วงต่อ
ผมกล่าวทักทายบรรดาลูกค้าของทางห้างที่แวะเข้ามาในบริเวณนี้
พร้อมกับแนะนำตัวว่าผมเป็นใคร จากนั้นผมก็ดำเนินการทำตามสคริปที่ได้อ่านไปเมื่อสักครู่
ผมกรวดสายตาไปทั่ว ไปหาคนดูอย่างทั่วถึง ยิ้มแย้ม แจ่มใส
พูดจาติดตลกบ้างตามแนวทางการนำเสนอที่ผมคิดว่าน่าสนใจที่สุด
สร้างความสนใจจากผู้คนที่ผ่านไปมาไม่น้อย
เรียกผู้คนเข้ามาเชิญทดสอบสินค้าบ้าง
ตอบคำถามบ้าง เล่นเกมบ้าง
เป็นไปตามขั้นตอนไม่มีผิดพลาด
ผมมองนาฬิกาที่ข้อมือ อีก5 นาที่จะเป็นเวลาที่ผมต้องจบการเป็น CM ในครั้งนี้
ด้วยความที่ผมต้องมองไปคนที่เดินไปมาแถวนั้นตลอดเวลา
แล้ว แล้ว ๆๆ สายตาผม หยุดอยู่กับคนๆนึง ทันที
ผมจ้องมองเขา อย่างพินิจพีเคราะห์ ที่บนใบหน้า
เขาจ้องมาที่ผม โดยไม่ลดละสายตา
ภายใต้แว่นตาขอบดำอันใหญ่ ๆ
ปากพูดอย่างนึง แต่ใจผมคิดไปอีกหลายอย่าง
ภาพที่เพิ่งเกิดขึ้นในโรงหนังเมื่อกี่กลับเข้ามาในสมองผมอีกครั้ง อีกครั้ง
การสื่อสารระหว่างผมกับลูกค้าทางห้างเริ่มช้าลง ช้าลง
ภาพนั้นกับชัดเจนขึ้นมาเรื่อย ๆ
จิตใจผมสั่นรัว
แล้วภาพกระจากรถเบนซ์คันงานนั้นที่ค่อยๆ เลื่อนปิดลง มันค่อยๆโผล่ขึ้นมาแทน
ผมไม่ใช่ลุง ...ผมไม่ใช่ลุง.. ผมไม่ใช่ลุง..
เดี๋ยว จะไปไหน เดี๋ยว จะไปไหน เดี๋ยว จะไปไหน
คำนี้มันกลับมาดังก้องอยู่ในหูผมแทน
วิงค์ วิงค์ วิ้งค์ วิงค์
ขืนเป็นแบบนี้ อีกไม่กี่นาที ที่งานยังไม่เสร็จคงพังเป็นแน่
ผมเรียกสติกลับมาอีกครั้ง
ผมพยายามประคับประคอง งานผมให้จบไปด้วยดีในเวลาที่เหลืออยู่ ทั้งที่สมองก็ยังจดจ่ออยู่กับเรื่องอื่น
ผมจบการเป็น MC ครั้ง ได้อย่างไม่สวยงามเท่าไร
กล่าวลาผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา แล้วเดินลงจากบูธไป
ไอ้เดช วิ่งเข้ามาหาผมทันที ถามด้วยความเป็นห่วง
ว่าเกิดไรขึ้น ผมก็ไม่ได้เล่าอะไรให้มันฟัง
ขอตัวกลับบ้านในเวลาต่อมา
ผมนั่งรถเมล์กลับบ้าน สายตามองข้างทางอย่างไร้จุดโพกัสด้วยความจิตใจที่สับสน
ไม่ใช่เพราะความกลัวแล้ว ...แต่มันคือ..
***
****
สูตรเด็ด....... ส้มตำปูปลาร้า
พริกแล้วแต่ชอบเผ็ด กระเทียม ถั่วฝักยาว ตำให้พอแตกไม่ถึงกับละเอียด
หั่นมะเขือเทศ น้ำตาลปี๊ป ผงชูรส น้ำมะหนาวหันเป็นชิ้น ปูจืด หรือเค็มแล้วแต่ชอบ
น้ำปลาร้าต้มสุก ตำให้เข้ากัน ใส่เส้นมะละกอลงไปตำให้เข้ากันอีกครั้ง
เสิร์ฟด้วยผักสด