18 [PART 3/3]
ภูไม่เคยบอกว่าแพรกลับมาแล้ว ภูไม่เคยเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟัง ดังนั้นตอนที่รู้ว่าแพรอยู่ที่บ้านของคุณมาและกำลังรอภูกลับมาก็ทำเอารู้สึกแย่ไปพักใหญ่
ผมปล่อยให้สุดที่รักคุยกับครอบครัวเพียงลำพัง หัวข้อที่พวกเขาพูดกันอาจมีเรื่องของผมและอนาคตของเราอยู่ด้วย เกือบสิบห้านาทีที่ภูคุยกับแพรในห้องนอน ผมไม่อาจรู้ได้เลยว่าน้องสาวของเขาโทรมาเพื่อโน้มน้าวให้ภูเปลี่ยนใจหรือแค่โทรมาอัปเดตว่าคุณแม่มีแผนอะไร ผมไม่อาจรู้เลยว่าแพรคิดเห็นยังไง เธอมองว่าผมเป็นคนรักของภูหรือเป็นแค่คนคั่นเวลาขำๆที่พี่ชายไม่ได้จริงจังมาก หากเขาจนตรอกและลำบากอย่างสุดทนก็อาจจะทิ้งผมไปได้ทุกเมื่อ ผมนั่งรออย่างกระวนกระวายอยู่ครู่ใหญ่หน้าห้องนอน เมื่อได้ยินเสียงภูตะโกนเรียกจึงเดินเข้าไป
“สอง”
ภูเรียกผมเสียงแหบ เขาดูหมดแรงยิ่งกว่าตอนตื่นนอนเสียอีก ผมยื่นมือไปจับมือของสุดที่รักแล้วทิ้งตัวนั่งข้างเตียง ผิวของเขาร้อนกว่าปกติ ริมฝีปากแดงจัด ผมใช้ฝ่ามือสัมผัสใบหน้าของเขาด้วยความเป็นห่วง หลังคุยเรื่องนี้เสร็จ ผมจะเช็ดตัวให้เขา
“ผมหาเงินได้แล้ว เราไปรับชานมด้วยกันนะ”
ผมพูดอย่างมีความหวัง และหวังว่าภูจะดีใจหรือแสดงอาการร่าเริงซักเล็กน้อย ทว่าภูกลับส่ายหน้ารัว เขานอนกลับตาและกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ท่าทางของเขาทำให้ผมขลาดกลัวว่าเราอาจไม่จำเป็นต้องไปรับชานมอีกแล้ว เพราะภูจะกลับบ้านตามคำขอร้องของแพร
“ไม่ต้อง”ภูซบหน้าลงบนฝ่ามือของผม
“ทำไมล่ะ”
“ภูคุยกับแพรแล้ว เราจะเอาชานมกลับมาโดยไม่ต้องเสียเงินซักบาท” ภูหัวเราะ แต่เป็นเสียงหัวเราะที่แผ่วเบาและไร้เรี่ยวแรง “ภูจะกลับไปที่บ้าน ไปเก็บของทุกอย่างกลับมา แล้วเรามาเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกันนะ”
“จริงเหรอ” ผมถาม รู้สึกอยากร้องไห้เมื่อรู้ว่าสุดที่รักเลือกผมแทนที่จะเป็นคุณแม่ “คุณคิดดีแล้วเหรอที่จะมาลำบากกับผม”
“คิดดีแล้ว” ภูยิ้ม เขาสอดประสานมือของผมเอาไว้แน่น ส่วนผมกลั้นน้ำตาไม่ไหวจนต้องร้องไห้ออกมาจริงๆ “เรียกแท็กซี่เลย”
“คุณตัวร้อนขนาดนี้ เราไปวันหลังดีไหม”
“ต้องวันนี้เพราะแม่ไม่อยู่บ้าน แม่ไปวัดที่สระบุรี”
ภูลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว เขาสะบัดผ้านวมออกก่อนจะมองหน้าผมซึ่งไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ ผมยืนกรานว่าจะไม่ไป เราจะไม่ฝ่าฝนออกไปรับชานมตอนที่คุณป่วย ถ้าคุณเป็นอะไรขึ้นมา ผมคงโกรธตัวเองไปจนวันตาย
“ภู คุณไม่สบาย และข้างนอกก็ฝนตกหนักมาก”
“ไปเก็บของแป๊ปเดียวค่อยกลับมานอนต่อก็ได้”
“ภู”
“สอง” สุดที่รักจ้องตาของผม เขาบีบมือทั้งสองข้างแน่นและขอร้องให้ผมตามใจซักหนึ่งเรื่อง “เรียกแท็กซี่เลย”
ผมไม่อยากใจอ่อน แต่เมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเด็ดเดียวของสุดที่รัก ผมจึงตัดสินใจเรียกแท็กซี่มาที่ร้าน แน่นอนว่าเราต้องบอกความจริงกับคนขับว่าเรากำลังจะไปรับหมามาด้วย เป็นหมาขนยาวตัวใหญ่ที่อาจทำให้รถของพวกเขาเหม็นสาบและมีแต่ขนซึ่งโดนปฏิเสธไปตามระเบียบ ผมกระวนกระวายว้าวุ่นจนติณต้องเอ่ยปากถาม ผมจึงเล่าให้เพื่อนสนิทด้วยความตื่นเต้นว่าน้องสาวของภูตกลงจะช่วยเรา แต่ไม่มีแท็กซี่คันไหนยอมมาเลยเพราะพวกเขาไม่อยากรับหมา ติณได้ฟังเรื่องทั้งหมดก็ยืนนิ่งไม่พูดอะไร เมื่อเห็นว่าผมหาแท็กซี่ไม่ได้เสียทีจึงบอกว่าจะพาเราไปรับชานมเอง
“จริงเหรอ” ผมถามด้วยความดีใจ “จริงเหรอติณ”
“เออ” เขาตอบห้วนๆ “รีบตามมา”
ผมกลับขึ้นไปบนชั้นสามเพื่อช่วยภูแต่งตัว ผมสวมหมวกและเสื้อแจ็คเก็ตให้เขา ก่อนออกจากร้านผมให้ภูทานยาลดไข้ครั้งที่สองก่อนจะขึ้นรถไปพร้อมกับติณ บรรยากาศบนรถไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ติณเงียบสนิท ส่วนผมกับภูคุยกันด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบกันสองคน ภูรู้แล้วว่าเราอยู่ที่ร้านกู้ด รี้ดดิ้งไม่ได้ เขาดูหนักใจแต่ไม่ออกความเห็นอะไรเพราะอ่อนเพลีย ภูเอาแต่ซบกระจกหน้าต่างในขณะที่ผมแปะแผ่นเจลลดไข้บนหน้าผากของเขา เราคุยกันว่าหลังรับชานมกลับมาจะคิดเรื่องอนาคตอีกครั้งในภายหลัง
เราเดินทางจนถึงบ้านของคุณแม่ ประตูรั้วยังคงปิดสนิทจนดูไม่ออกว่าหลังประตูมีใครอยู่ข้างใน ระหว่างที่นั่งรอภูโทรศัพท์คุยกับแพร จู่ๆประตูบ้านก็เปิดออกให้ติณณภพขับเข้าไปจอดด้านใน เราสามคนลงจากรถไปเจอแพรที่กำลังอุ้มน้องพีชอยู่ เจ้าหลานสาวหน้าตาหงุดหงิดโมโหเพราะโดนรบกวนเวลานอน ยิ่งเห็นคนแปลกหน้าสองคนเธอก็ยิ่งหัวเสียจนต้องซบหน้าลงบนไหล่ของแม่เพื่อหลบเลี่ยงสายตา
“ไม่สบายเหรอ”
แพรถามด้วยสีหน้าตื่นๆ เธอมองผมอย่างตำหนิเมื่อรู้ว่าภูยังไม่ได้ไปหาหมอ ผมไม่รู้จะอธิบายเธอยังไงว่าปกติชีวิตของสิปปกรไม่ได้เข้าโรงพยาบาลง่ายขนาดนั้น เรารักษาตัวเองก่อนจะไปพบหมอ การไปโรงพยาบาลคือทางเลือกสุดท้ายเมื่อยาจากเภสัชกรไม่ได้ผลหรืออาการมันสาหัสจนใกล้ตาย แต่แพรคงคิดว่าผมไม่ใส่ใจภูมากพอถึงปล่อยให้เขาทานยาเอง
“ไหนนม”
ภูถาม แพรจึงบุ้ยปากไปด้านหลัง ชานมหมาอ้วนกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาทางนี้ด้วยความดีใจ เมื่อเห็นภูยืนอยู่ตรงหน้ามันก็กระโดดพุ่งใส่จนเขาเซล้ม ชานมดีใจมากที่ได้เจอเราอีกครั้ง มันส่งเสียงร้องหงิงๆและวิ่งรอบเราเป็นวงกลม ภูเองก็มีความสุขที่ได้กอดเจ้าหมาอ้วนเช่นกัน เขากอดชานมแน่นจนมันตาเหลือก ทั้งกอดทั้งหอมและบอกว่าจะพาไปอยู่ด้วยกัน
“โทรศัพท์” แพรพูดขัดเมื่อเห็นเราหมกมุ่นอยู่กับชานมจนหลงลืมเธอ กระเป๋าเป้ใบใหญ่ถูกส่งมาให้ติณ ผมจึงรีบรับมันมาถือแทน “พวกไอแพด โน้ตบุ๊กก็อยู่ในนี้ทั้งหมด ส่วนสายชาร์จหาไม่เจอ ค่อยซื้อใหม่ก็แล้วกัน”
“สายชาร์จอยู่ที่คลินิก”
“เหรอ” แพรตอบเหมือนไม่ใส่ใจแต่ผมดูออกว่าเธอเป็นห่วงพี่ชายมาก เธอมองภูด้วยสายตาไม่สบายใจก่อนจะมองหน้าผม “พาภูไปหาหมอด้วยนะคะ ภูไม่ค่อยแข็งแรง”
“ครับ”
ผมรู้สึกตัวหดเล็กเมื่อได้คุยกับน้องสาวของสุดที่รัก แพรไม่ได้ใจร้ายอย่างออกหน้าเหมือนคุณแม่ แต่ผมสัมผัสได้ว่าความประทับใจแรกพบของเราไม่ดีเท่าที่ควร เธอคงโกรธที่ผมไม่พาภูไปโรงพยาบาล และอาจจะกำลังกังขากับอนาคตของเราสองคนซึ่งดูร่อแร่พิกลพิการ ผมมีคำพูดหลายอย่างที่อยากบอกแพรแต่สุดท้ายก็ไม่ได้บอก เราจากกันโดยแพรยกมือไหว้ผมแบบขอไปที สีหน้าไม่ได้พอใจนักเมื่อเราสามคนพบกัน ที่เธอยอมให้เราเข้ามารับชานมและคืนโทรศัพท์ให้คงเป็นเพราะเธอรักพี่ชายมากจนยอมปล่อยให้ภูเลือกทางเดินของตัวเอง แต่ผมเชื่อว่าแพรไม่ได้ปล่อยโดยสมบูรณ์หรอก เธอคงจับตารอวันที่เราเลิกกันเหมือนคุณแม่เพราะเชื่อว่าคนกระจอกอย่างผมไม่มีทางดูแลพี่ชายของเธอได้ดีเท่าที่ควร
“ขอบใจมากแพร” ภูยิ้มหวาน เขาเริ่มหอบอย่างเห็นได้ชัด
“ไปหาโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย!”
“รู้แล้ว เดี๋ยวไปเอง” ภูตอบ “อยากกอดนะแต่กลัวพีชติดหวัด”
“ไม่ต้อง!”
ภูหัวเราะ “งั้นไปแล้วนะ ไว้คุยกัน”
แพรมองเราสามคนขึ้นรถจนกระทั่งประตูรั้วปิดสนิท ทันทีที่ออกจากหมู่บ้าน ภูก็ขอร้องให้ติณขับวนไปที่คลินิกเพื่อเก็บของส่วนตัวอื่นๆ ผมนึกว่าติณจะแสดงท่าทีหงุดหงิดขัดใจเพราะถูกสั่งทว่าเพื่อนของผมกลับไม่พูดอะไร ติณพาเราไปถึงคลินิกและจอดรอในรถอย่างในเย็น เขาสั่งให้เรารีบเก็บของและรีบกลับก่อนที่ติณจะกินหัวชานมเพราะรำคาญเจ้าหมาอ้วน
เราสองคนรีบเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็ว พี่ส้มดีใจมากเมื่อเห็นว่าภูกลับมาที่ร้าน แต่พอเห็นผมเดินตามมาด้านหลัง รอยยิ้มดีใจของเธอก็หดน้อยลงจนกลายเป็นยิ้มเจื่อน ทุกคนที่คลินิกคิดว่าภูจะกลับมาทำงานที่นี่แต่เปล่าเลย เราแค่มาเก็บของ เราไม่มีเวลาอำลาใครหรือบอกว่าหลังจากนี้จะทำอะไร เราช่วยกันโกยทุกอย่างใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ เสื้อผ้าที่จำเป็น รองเท้า ชุดชั้นใน ของใช้อื่นๆในห้องน้ำ ที่แขวนแปรงสีฟันของเรา ผมอัดเสื้อผ้าลงกระเป๋าแล้วรูดซิป หันกลับไปอีกทีก็เห็นภูกำลังหยิบฟิกเกอร์ใส่ถุงพลาสติกอย่างรีบร้อน
“ภูไม่จ่ายเงินซื้อใหม่หรอกนะ ของรักของภู”
เขาพูดติดตลก ผมไม่ว่าอะไรนอกจากรีบเข้าไปช่วยโกยตุ๊กตาพวกนั้นลงถุง ทั้งฟิกเกอร์ที่ผมซื้อให้และของรักชิ้นอื่น เราช่วยกันเก็บไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นก็หอบหิ้วลงมาอย่างทุลักทุเล ภูดูเหนื่อยเหมือนจะเป็นลมจนผมต้องสั่งให้เขาเดินตัวเปล่า ผมไล่ภูให้ลงไปคุยกับทุกคนข้างล่างเพื่ออำลาและยอมวิ่งขึ้นลงสามครั้งเพื่อขนของทั้งหมด ผมแบกทุกอย่างไปที่รถคนเดียวเพราะภูไม่ไหวแล้ว ลำพังแค่เดินโดยไม่หอบเขายังทำไม่ได้เลย
“หมอภูคิดดีแล้วเหรอคะ” ผมได้ยินเสียงพี่ส้มคุยกับสุดที่รัก เธอเหลือบมองผมแล้วหันกลับไปหาภู “เขาไม่มีอะไรเลย หลังจากนี้ต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดนะ”
ผมอยากใส่ใจแต่ไม่มีเวลาเพราะกำลังวุ่นกับการขนสัมภาระขึ้นรถ กว่าจะขนหมดก็เล่นเอาเหงื่อท่วม ตัวของผมเปียกเหงื่อและฝนจนแยกไม่ออก ความเปียกปอนนั้นทำเอาหนาวจนตัวสั่นเมื่อกลับเข้าไปด้านในคลินิก ที่นั่น ผมเห็นภูกำลังปลดกรอบรูปจากผนัง มันคือใบรับรองจากสัตวแพทยสภา ภูบอกทุกคนว่าเขาไม่ใช่สัตวแพทย์ของ Smiling Lion อีกต่อไปแล้ว
“มึงจริงจังเหรอภู” เพื่อนหมอคนหนึ่งถามสุดที่รักด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อเห็นผม เขาก็หลุบตาลง เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นเพื่อไม่ให้กระทบกระทั่งหัวจิตหัวใจของคนฟัง “ยังไงก็แล้วแต่ โชคดีนะมึง”
พวกเขาโบกมือลา พี่ส้มได้กอดอำลาภูเป็นครั้งสุดท้าย เธอน้ำตาคลอเพราะใจหายที่หลังจากนี้จะไม่ได้เจอชานมและหมอภูอีกแล้ว ผมมองภาพที่อยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกหม่นเศร้าไม่แพ้กัน ผมกำลังกลัวอนาคตที่มองไม่เห็นเพราะไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้เราจะเป็นยังไง ภูที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากคุณแม่จะพอใจกับคุณภาพชีวิตแบบสิปปกรหรือเปล่า เขาอยู่ได้จริงๆเหรอหากผมไม่มีอะไรจะมอบให้นอกจากความรัก
“ไปแล้วนะ มีอะไรไลน์มาก็ได้”
ภูโบกมือลา เขาไม่ได้เศร้าหนักหรือดูเสียใจกับทางเลือกนี้ซักนิด อาจเป็นเพราะพิษไข้กำลังทำให้เขามึนอยู่หน่อยๆ ภูหอบหนักขึ้นเมื่อเราฝ่าฝนมาถึงรถซึ่งติณณภพกำลังรออยู่ ตอนเปิดประตูแล้วเห็นว่าติณแอบใช้นิ้วจิ้มหูชานม เราหลุดยิ้มออกมาทันที
“ชานมน่ารักใช่ไหมครับ” ภูพูดขณะขึ้นไปนั่งเบาะหลังข้างเจ้าหมาอ้วน ส่วนผมย้ายมานั่งเบาะหน้ากับติณ “ชานมเป็นเด็กดีนะ”
“เด็กดีแล้วไง มาร์กาเร็ตไม่ชอบหมา”
ติณพูดห้วนๆไม่มีเยื่อใยแล้วออกรถ เรามุ่งหน้ากลับร้านหนังสือกู้ด รี้ดดิ้งทันที บรรยากาศในรถไม่อึดอัดเท่าขามาเพราะชานม มันทิ้งตัวนั่งข้างภู เอาหัวซบอย่างออดอ้อนและเริ่มไสตัวไปกับเบาะ ขนของมันปลิวฟุ้งไปทั่วจนผมกลัวว่าติณจะไม่พอใจ ผมจึงบอกเพื่อนสนิทว่าหลังเสร็จเรื่องนี้เมื่อไหร่จะจ่ายค่าน้ำมันและค่าล้างรถให้เป็นการตอบแทน ผมตั้งใจว่าจะคุยกับติณเรื่องที่อยู่ของเราสองคนทว่าเสียงโก่งคอจากด้านหลังดึงความสนใจไปทั้งหมด ภูอาเจียนเอาโจ๊กเมื่อเช้าออกมาจนเลอะใส่ชานม เขาโก่งคอจนตัวงอ หน้าแดงก่ำและน้ำตาไหล ภูอ้วกเอาอาหารออกมาจนหมดจากนั้นก็นั่งร้องไห้เงียบๆ ภูเปล่งเสียงขอความช่วยเหลือด้วยการบอกว่าไม่ไหวแล้ว
“ติณ ไปโรงพยาบาลเลย!”
ผมบอกเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก ส่วนติณณภพไม่พูดอะไร เขาดูหงุดหงิดที่รถเปื้อนขนหมาและอาเจียน แต่สุดท้ายติณก็ช่วยเหลือเราด้วยการพาภูไปส่งที่โรงพยาบาล
❤
ผมไม่รู้เลยว่าภูท้องเสีย อาจเพราะผมไม่ได้เฝ้าเขาตลอดเวลาถึงไม่รู้ว่าภูปวดท้องและเข้าห้องน้ำมาหลายรอบแล้ว การอาเจียนเอาอาหารที่เพิ่งกินเข้าไปก็เป็นหนึ่งในอาการของอาหารเป็นพิษ คุณหมอให้ภูแอทมิดเพื่อเฝ้าระวังหนึ่งคืน ดังนั้นเราสองคนจึงต้องพักในห้องพิเศษของโรงพยาบาลเอกชนแทนที่จะเป็นชั้นสามของร้านหนังสือกู้ด รี้ดดิ้ง
ผมคอยเฝ้าภูไม่ห่าง ผมอยู่ข้างเขาตอนที่พยาบาลแทงเข็มให้น้ำเกลือ แม้แต่ตอนที่เขาเจ็บ ภูยังไม่สามารถร้องโวยวายหรือแสดงความเจ็บปวดได้มากนัก ภูเอาแต่นอนหลับตาเหมือนคนหมดเรี่ยวแรง เขาลุกไปเข้าห้องน้ำหลายครั้งและหลับยาวจนถึงช่วงเย็น ผมใช้เวลาตอนเขาหลับโทรหาติณเพื่อเช็กว่าชานมเป็นยังไงบ้าง ผมกังวลว่าติณอาจจะเกลียดผมกับภูมากกว่าเดิมเพราะเราสร้างปัญหาให้เขามากจนเกินไป แต่เมื่อติณถ่ายวิดีโอชานมตอนวิ่งเล่นกับพนักงานในร้าน ข้างๆมีชามอาหารเม็ดที่ยังคงมีป้ายราคาแปะอยู่ก็ใจชื้น ติณยังคงมีหัวใจที่เมตตาต่อคนอื่นเสมอ
“หมอมาเป็นไงบ้าง”
ติณถาม ผมจึงเล่าอาการคร่าวๆของสุดที่รักให้เขาฟัง ติณไม่แสดงความเห็นอะไรมากนักนอกจากเป็นฝ่ายรับฟังอย่างเคย ผมถือโอกาสนี้ขอบคุณและขอโทษติณอีกครั้ง ถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากติณณภพ ผมคิดไม่ออกเลยว่าเราจะกลับเข้าไปรับชานมได้ยังไง
“กูโอนเงินคืนแล้วนะ ค่าล้างรถค่าน้ำมันก็อยู่ในนั้น” ผมบอกติณ “ขอบใจมาก ถ้าไม่มีมึงกูคงแย่แน่ๆ” ผมย้ำเป็นหนที่สามจนติณรำคาญ มันขอร้องให้เลิกพูดถึงเรื่องวันนี้เสียที เราเงียบใส่กันอยู่ครู่หนึ่งราวกับอยากลืมเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่ติณก็ยังคงเป็นติณคนเดิม ติณคือเพื่อนที่ไม่เคยโกรธหรือทะเลาะกับสิปปกรข้ามวันเลยซักครั้ง
“ติณ”
“อืม”
“ที่เราคุยกันวันนี้น่ะ ที่มึงบอกว่ารู้ได้ไงว่าไม่เคยรักใคร” ผมเกริ่น “มึงมีคนคุยอยู่เหรอวะ”
“เปล่านี่”
“อ้าว”
“กูพูดรวมๆ” ติณตอบ “ทำไม มึงติดใจอะไร”
“เปล่าหรอก” ผมยิ้มขำ “กูแค่สงสัยว่าใครคือผู้โชคดีที่ได้หัวใจของมึงไป”
“พอเหอะ จะอ้วก อย่ามาพูดจาอะไรน้ำเน่า” ผมแทบเห็นสีหน้าติณเลย เขาคงกำลังเบ้ปากและโก่งคออยากอาเจียน “ไปเฝ้าหมอหมาเถอะ เดี๋ยวตื่นมาก็เพ้อเจ้อร้องหาสอง สอง สองอีก”
“เออ ขอบใจมากนะสำหรับเรื่องวันนี้” ผมบอกเพื่อนอีกครั้ง “รักมึงนะติณ”
“กูไม่รักมึง!”
เราหัวเราะก่อนจะวางสาย ผมหันกลับไปมองภูที่กำลังหลับอยู่ ใบหน้าไร้เดียงสาของเขาดูอิดโรยและอ่อนแรง ผมรู้สึกไม่ดีเลยเมื่อต้องมอบใบหน้าเหนื่อยล้าของสุดที่รักบนเตียงคนไข้ โชคดีที่ภูมีประกันชีวิต ผมจึงไม่ต้องเตรียมเงินก้อนใหญ่เหมือนที่เคยช่วยน้ำหนึ่ง แต่เหตุการณ์ในวันนี้ก็ทำให้ผมกังขาในตัวเองเหมือนกันว่าจะสามารถประคับประคองความสัมพันธ์ของเราให้เหมือนกับที่วาดฝันเอาไว้ได้ไหม ผมกังวลไปหมดจนข่มตาหลับไม่ลง และกังวลมากขึ้นไปอีกเมื่อคิดว่าเราสามคนจะไปอยู่ที่ไหนหากกู้ด รี้ดดิ้งไม่เหมาะกับเรา
ผมคิดหนักจนไม่เป็นอันทำอะไร แต่ยังคงหาทางออกไม่ได้เพราะสุดที่รักกำลังหลับพักผ่อน ผมได้แต่นอนเล่นอินเทอร์เน็ตและไลน์คุยกับติณบนโซฟา จากนั้นก็ผล็อยหลับไปเพราะความเหนื่อยล้าสะสมตลอดทั้งวัน ช่วงหนึ่งที่ไม่แน่ใจตื่นหรือฝัน ผมได้ยินภูเรียกสอง! สอง! ด้วยความหวาดกลัว ผมลืมตาโพลงกลางความมืด ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อแยกให้ออกว่าเสียงนั้นคืออุปทานหรือเรื่องจริงเพราะมันเบามาก เมื่อได้ยินภูเปล่งเสียงเรียกสอง! อีกครั้ง ผมจึงรีบลุกขึ้นยืนและเดินไปข้างเตียง ผมจับมือของภูเอาไว้แน่นและถามเขาว่ามีอะไร
“ภูนึกว่าภูอยู่คนเดียว”
ผมเปิดไฟหัวเตียงเพื่อดูหน้าของสุดที่รักชัดๆ เขาดูแตกตื่นและขลาดกลัวมากในเวลาเดียวกัน เหงื่อผุดตามกรอบหน้าจนต้องหยิบผ้าชุบน้ำมาช่วยเช็ดให้ ไข้ลงแล้ว สีหน้าของเขาเริ่มดีขึ้นเล็กน้อย ผมคิดว่าอาการตัวสั่นตอนนี้คงเป็นเพราะตกใจที่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นใครนอกจากห้องมืดๆเท่านั้น
“ผมก็อยู่กับคุณไง ผมนอนบนโซฟา”
“นอนด้วยกัน”
“ที่ไหน”
“บนเตียง” ภูตอบและกระถดตัวให้ผมปีนขึ้นไป “นอนกับภูนะ”
ผมปฏิเสธในทีแรกแต่เพราะสายตาอ้อนวอนของเจ้าหมาป่วย ผมจึงใจอ่อนยอมขึ้นไปนอนเบียดด้วยกันบนเตียง มันไม่ได้โรแมนติคเหมือนในละครหรอกนะ เตียงแคบๆที่มีร่างของผู้ชายของคนเบียดแน่นเป็นปลากระป๋อง แต่เราก็ขยับจนหาท่าที่สบายที่สุดจนได้ ภูสวมกอดเอวของผมและซบหน้าอย่างออดอ้อนทันที ผมจึงใช้มือลูบหัวของเขาอย่างแผ่วเบา เรานอนกอดกันในความเงียบครู่ใหญ่ก่อนจะคุยเรื่องทั่วไปที่ไม่มีอนาคตของเรามาเกี่ยว
“นี่ ภู”
“หืม”
“คุณคิดดีแล้วใช่ไหม”
“เรื่องอะไร”
“ที่ทิ้งทุกอย่างมาอยู่กับผม” ผมหันหน้าไปหาสุดที่รัก เขาเองก็กำลังมองมาที่ผมเหมือนกัน “คุณรู้ใช่ไหมว่าหลังจากนี้คุณคงจะลำบากมาก”
“ลำบากอะไรกัน ไม่ลำบากหรอก” ภูตอบพึมพำ “สองไม่ดีใจเหรอ”
“ดีใจสิ ผมไม่คิดว่าคุณจะเลือกผม”
“ต้องเป็นสองอยู่แล้ว ต้องเป็นสองเท่านั้น” ภูหัวเราะ “บนโลกนี้ – ก็มีแค่สองคนเดียวนั่นแหละที่ภูอยากอยู่ด้วยตลอดไป”
เราสอดประสานมือกัน ผมจุมพิตลงบนหน้าผากของสุดที่รักและเอนหัวลงซบเขา ภูของผมช่างเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่นกับเส้นทางครั้งนี้เหลือเกิน เขาดับเครื่องชนและเลือกสิปปกรผู้ซึ่งไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอนของตัวเอง ผมเป็นกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเรา แต่เมื่อเห็นว่าภูไม่ได้เสียใจหรือรู้สึกแย่ที่เลือกทิ้งทุกอย่างเพื่อมาอยู่ด้วยกัน ความกังวลนั้นก็เบาบาง กลายเป็นสิ่งไม่สลักสำคัญเท่ากับปัจจุบันที่เราได้นอนข้างกันอย่างเช่นคืนนี้ แม้ว่าจะเป็นเตียงผู้ป่วยแคบๆที่มีเสาน้ำเกลือวางอยู่ด้านซ้าย แต่เราก็มีความสุขกับการกกกอดกันใต้ผ้าห่มโดยไม่สนว่าใครจะเข้ามาเห็น
“ผมรักคุณมากจริงๆนะ คุณรู้ใช่ไหม”
“รู้ ภูก็รักสองเหมือนกัน” ภูหอมแก้มของผม “สองว่าพรุ่งนี้เราจะเป็นยังไง”
ผมนิ่งเงียบเมื่อได้ยินคำถามจากสุดที่รัก เราจะเป็นยังไงงั้นเหรอ ไม่รู้หรอก ผมไม่รู้ ผมเองก็ตอบไม่ได้ว่าเราจะเป็นยังไง เอาเป็นว่าขอให้คุณรักษาเนื้อรักษาตัวให้แข็งแรง รีบออกจากโรงพยาบาลและกลับไปอยู่ด้วยกันในห้องแคบๆบนชั้นสาม จากนั้นเราค่อยวางแผนกันว่าจะทำยังไงต่อไป คุณจะหางานใหม่ จะทำประกอบอาชีพอะไรก็ขอให้เป็นเรื่องของอนาคต แต่รู้ไหมว่าผมไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว
“เพราะแค่มีคุณ ผมก็ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว”
ผมนอนอมยิ้มขณะคลอเคลียตรงแก้มของสุดที่รัก ภูเงียบไปพักหนึ่งราวกับกำลังใช้สมาธิ จากนั้นเขาจึงถามผมด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนคนกวนส้นเท้าว่า
“ภูแค่ถามว่าพรุ่งนี้เราจะกินอะไร”
“ผมได้ยินว่าพรุ่งนี้เราจะเป็นยังไง”
“ไม่ ภูถามว่าเราจะกินอะไร”
“จริงเหรอ”
“จริง” เขายืนยัน “สองคิดอะไรเนี่ย”
สุดที่รักยู่ปากได้น่ารักน่าหมั่นไส้ ผมจึงแกล้งงับแก้มของเขาเบาๆแล้วนอนกอดภูเอาไว้แน่น คืนนั้นเราไม่ได้นอนด้วยกันบนเตียงผู้ป่วยเพราะมันอึดอัดเกินไป ผมย้ายไปหลับบนโซฟา ส่วนภูนอนพักผ่อนบนเตียงจนถึงเช้า เมื่อเราตื่นมาพบหน้ากันอีกครั้งตอนพระอาทิตย์ขึ้น เราก็บอกรักกันด้วยการจูบกันบนเตียงผู้ป่วย หลังจากนี้อาจจะมีเรื่องให้เหนื่อยอีกเยอะแต่ผมไม่รู้สึกกลัวอีกต่อไปแล้ว
TBC
_____________________
#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก
สวัสดีค่ะ ขอโทษที่มากลางดึกและหายไปนานเกือบสองเดือนเลยนะคะ ด้วยอะไรหลายๆอย่างทำให้เราไม่สามารถเขียนนิยายได้เท่าเมื่อก่อน แต่จะยังรักษาสัญญาเหมือนเดิมนั่นคือเราจะเขียนเรื่องนี้ให้จบและมาต่อให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้นะคะ ;-;
ขอขอบคุณสำหรับกำลังใจน่ารักๆที่ทุกคนแวะเวียนมามอบให้ไม่ขาดสายเลยนะคะ เราอ่านแล้ว เราชอบมาก เรามีความสุขมากเลยค่ะที่คุณนักอ่านบอกว่างานเขียนของเรามีลายเซ็นอยู่ในนั้น
จริงๆก็แอบกังวลว่าหายไปนานคนอ่านจะลืมกันไหม แต่ไม่เป็นไรค่ะ แค่ได้เขียนให้คุณอ่านก็มีความสุขมากแล้ว ฝากเป็นกำลังใจให้เราด้วยนะคะ ช่วงนี้ฝนตกสลับแดดออก รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ รักพวกคุณทุกคนมากๆเลยค่ะ
ปล. มีคำผิดท้วงได้นะคะ เรากลัวทุกคนจะรอนานเลยรีบอัปก่อน หลังเลิกงานพรุ่งนี้จะเช็กอีกครั้งน้า ;-;