#Re2love •18
พุฒิรู้สึกตื้นเต้นไม่น้อยตอนที่เขาเหยียบเท้าเข้าในตึกสูงใหญ่บนถนนสายเศรษฐกิจตามแรงของจูงของคนรัก ภาพแผ่นหลังในชุดสูทที่เริ่มจะชินตาเสียแล้วดูดีไม่น้อยจริงๆ ไม่อยากจะบอกหรอกว่าโฬมดูดีมากในชุดทำงานแบบเป็นทางการขนาดนี้ ขณะเดียวกันนั้นพ่อลูกหนึ่งก็ก้มมองตัวเองที่แต่งตัวมาผิดธีมในชุดเสื้อยืดและกางเกงยีนที่ใส่ซ้ำมาแล้วสองครั้ง
พ่อลูกหนึ่งถอนใจเฮือกใหญ่
เมื่อวานนี้หลังจากที่คนรักพาไปรับเจ้าหมูและแวะทานข้าวนอกบ้าน พอส่งเขาถึงบ้านเจ้านั่นก็เนียนขอค้างที่บ้านเขาด้วย คุณพรรณีเองก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ สุดท้ายพุฒิเลยต้องจำยอมให้ค้างด้วย ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาหลุดปากบอกว่าวันนี้มีธุระแถวบริษัทพ่อโฬม เจ้านั่นซึ่งพักนี้อาศัยคอนโดแถวบริษัทนอนแทน โฮมออฟฟิศเลยเนียนขอค้างด้วยเพื่อที่เช้านี้จะได้ติดรถมาด้วยกัน มาส่งเขาให้คุยธุระไม่พอยังรอรับแล้วดึงดันพาเขามาที่บริษัทของบิดาที่เจ้าตัวต้องเข้าไปดูแลแทนสักระยะ
“โฬม”
พุฒิกระตุกข้อมือตัวเองที่คนรักกุมอยู่
“ครับ?”
“ปล่อยมือพี่เถอะ”
โฬมเลิกคิ้วอย่างข้องใจ ก่อนจะผ่อนลมหายใจเมื่อสังเกตว่ามีพนักงานใต้ตึกเมียงๆ มองๆ มาทางนี้ ชายหนุ่มแค่ยักไหล่ท่าทางไม่ใส่ใจ ซ้ำยังกุมมือเขาแน่นกว่าเดิมซะอีก
“จะสนใจทำไมครับ” โฬมยิ้มเฉย “แต่ถ้าพนักงานคนไหนแสดงออกให้พี่ไม่สบายใจ เดี๋ยวผมจัดการไล่ออกให้เอง”
“เจ้าบ้านี่”
พุฒิแยกเขี้ยวใส่ สุดท้ายต้องยอมเดินตามเจ้านั่นไปแต่โดยดี
“จะพาพี่มาที่นี่ด้วยทำไมก็ไม่รู้”
“เปลี่ยนสถานที่ทำงานบ้างเถอะครับ เผื่อพี่จะมีไอเดียใหม่ๆ เขียนงาน”
“อ้างเหตุผลไปเรื่อย”
พุฒิบ่นอุบ
“ผมหาขออ้างอย่างที่ว่านั่นแหละ” โฬมชะโงกเข้ามาใกล้ “จริงๆ แล้ว..”
“อะไรเล่า”
“ผมอยากให้พี่มาเฝ้าผมที่ทำงาน”
“หา!”
“มันให้อารมณ์เหมือนมีแม่บ้านมาเฝ้าสามีทำงานดี”
“ไอ้บ้าโฬม”
พุฒิยกเท้าหมายจะแตะตูดคนช่างแหย่ แต่เจ้านั่นก็ไวทายาดเบี่ยงตัวหลบอย่างว่องไว
“โอ๊ะ”
พุฒิทำหน้าไม่ถูกเมื่อประตูห้องทำงานของโฬมถูกผลักเข้ามา ก่อนจะปรากฏร่างหญิงสาวคนหนึ่งที่แต่งกายอย่างมิดชิด ซ้ำยังเกล้ามวยผมสูงและสวมแว่นตาทันสมัย ท่าทางคล่องแคล่วสมกับทำงานออฟฟิศจริงๆ
“คุณนา”
โฬมเอ่ยทักก่อนจะคว้าไหล่พุฒิไปใกล้แล้ววางแขนไปบนไหล่ราวกับโอบกอด
“นี่พี่พุฒิครับ ‘แฟน’ ผมเอง”
พุฒิสะดุ้งโหยง อ้าปากพะงาบๆ ยิ่งเจอใบหน้าตื่นตะลึงของคนตรงหน้าเขาก็ถึงกับพูดไม่ออก ต่างจากคนแนะตัวเขาที่ทำตัวชิวได้ไม่เข้ากับบรรยากาศเอาซะเลย
“เอ่อ”
พ่อลูกหนึ่งวางหน้าไม่ถูก
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณพุฒิ นาเป็นเลขาคุณอดุลย์ค่ะ แต่ตอนนี้มาเป็นเลขาคุณโฬมชั่วคราว”
เลขาสาวยิ้มให้เขา ถึงแม้จะดูคาดไม่ถึงเล็กน้อยกับสถานะระหว่างเขากับโฬมแต่เธอก็ยังยิ้มแย้มให้เขาเป็นปกติ เธอเดินไปทวนตารางงานให้โฬมแล้วค่อมศีรษะให้พุฒิเล็กน้อยก่อนจะขอตัวออกไปทำงานต่อ ซ้ำยังย้ำกับพุฒิว่าหากต้องการสิ่งใดให้เรียกใช้เธอได้
พอลับหลังบุคคลที่สามพุฒิเลยหันไปแยกเขี้ยวใส่คนที่ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน
“โฬม”
“ครับ?”
“ทำไมถึงพูดแบบนั้น”
“ก็พี่เป็นแฟนผมจริงๆ นี่ครับ จะต้องปิดบังทำไม”
“แต่ว่า...”
โฬมส่ายหน้าแล้วกระดิกนิ้วเรียกให้เขาเข้าไปใกล้ๆ คนสูงวัยกว่าทำหน้ามุ่ยแต่ก็จำยอมขยับเข้าไปหา
“พี่กังวลอะไรครับ?”
พุฒิก้มหน้านิ่ง เขากำมือทั้งสองข้างแน่นจนรู้สึกถึงเหงื่อที่ชื้นฝ่ามือ โฬมถอนหายใจคว้ามือคนรักแล้วค่อยๆ คลายฝ่ามือที่กำแน่นนั่นแล้วสอดประสานนิ้วกุมกันแน่น
“พี่พุฒิ”
“พี่รู้สึกว่าโฬมกำลังถูกจับตามองจากมุมต่างๆ”
“แล้วไงครับ...”
“พี่อยากให้โฬมระวังตัว ลำพังพี่น่ะไม่เป็นไรหรอก พี่ไม่มีชื่อเสียงเป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่มีใครรู้จัก แต่กลับโฬมมันไม่ใช่เลยนะ”
“พี่พุฒิ”
“ฟังพี่บอกก่อน จริงอยู่โฬมอาจไม่แคร์สายตาใคร แต่โฬมเป็นคนที่อยู่ในที่สว่าง โฬมเป็นภาพจำของใครหลายๆ คนแล้ว พี่กลัวเขารับไม่ได้ พี่ไม่อยากให้โฬมต้องด่างพร้อย”
โฬมถอนหายใจแรงๆ
“เราต้องยืนอยู่ในสังคม ถ้าหากสิ่งที่เราเป็นกัน สังคมรับไม่ได้ เราจะกล้าเผชิญหน้ากับสังคมเหรอ”
“พี่คิดมากเกินไป”
โฬมกระตุกให้ร่างโปร่งทรุดนั่งที่ตักเขา ชายหนุ่มกอดคนรักจากด้านหลังแล้วพรมจูบที่หัวไหล่พุฒิซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น
“พี่ไม่ได้ห่วงภาพลักษณ์ตัวเองหรอกนะ” พุฒิพูดเสียงแผ่ว “พี่ห่วงแค่โฬม”
“ผมก็ห่วงพี่ไม่ต่างกัน แต่ผมไม่เห็นความจำเป็นที่เราต้องปิดบังในสิ่งที่เราเป็น เพราะนั่นคือตัวเรา ต่อให้คนอื่นรับไม่ได้ อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเราเป็นอะไร”
โฬมประคองแก้มคนรักแล้วโน้มใบหน้ามาใกล้จนหน้าผากชิดกัน
“อย่ากลัวในสิ่งที่เราเป็นเลยครับ”
พุฒิซุกใบหน้ากับอกแกร่ง คนแก่กว่าหลับตานิ่งอยู่ในอ้อมกอดคนรักและแอบสูดดมกลิ่นน้ำหอมจากตัวอีกฝ่าย
ถ้าคิดจะรัก...ก็อย่ากลัวในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
เมื่อเริ่มรักไม่เคยคิดถึงผลลัพธ์ เพราะยิ่งรักยิ่งผูกพัน
★ ☆★ ☆★ ☆
ตลอดทั้งวันพุฒิเห็นเลขาสาวเดินเข้าเดินออกห้องโฬมพร้อมกับถือแฟ้มสารพัดมาให้ชายหนุ่มเซ็น พ่อลูกหนึ่งเห็นสภาพคนรักแล้วได้แต่นึกเห็นใจ ท่าทางเจ้านั่นคงจะเหนื่อยไม่น้อย แต่ทุกครั้งที่โฬมเงยหน้าจากกองเอกสารมากมาย พุฒิมักได้รับรอยยิ้มสว่างไสวจากโฬมเสมอ
มันดูไม่ใช่งานที่เจ้าตัวถนัดแต่พุฒิสัมผัสได้ถึงความตั้งใจของอีกฝ่าย เมื่อกี้พุฒินึกภาพคนรักทำงานนั่งโต๊ะไม่ออกหรอก เพราะวันๆ จับแต่กล้องถ่ายรูป ส่วนหนึ่งคงเพราะมันเป็นภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบ โฬมไม่ใช่ของเขาคนเดียวอีกต่อไป แต่เจ้านั่นมีภาระ มีครอบครัวตัวเองที่ต้องรับผิดชอบอยู่เบื้องหลัง
แต่ไหนแต่ไรโฬมก็พึ่งพาได้เสมอ ยิ่งอยู่ในสถานะนี้แล้ว เจ้านั่นยิ่งดูเป็นผู้ใหญ่จนน่าหลงใหล พุฒิแอบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปอีกฝ่ายแล้วนั่งมองภาพในโทรศัพท์ยิ้มๆ
“ผมคิดค่าเสียหายรูปละฟอดนะครับ”
พุฒิลนลานเก็บมือถือทันที จังหวะที่เงยหน้าขึ้นเหมือนว่าแก้มของใครบางคนรอท่าอยู่พอดี พ่อลูกหนึ่งเม้มปากแน่นตอนที่ริมฝีปากเฉียดแก้มอีกฝ่าย
“อ๊ะ โฬม”
“ครับ”
“มายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“นานพอจะรู้มีใครบางคนมองรูปผมแล้วยิ้มได้คนเดียว”
“พี่เปล่า โอ๊ะ”
เพราะรีบปฏิเสธจึงเผลอขบริมฝีปากตัวเองซะได้
“เอามือออกสิครับให้ผมดูแผลหน่อย”
“ฮื่อ”
“ไหนผมขอดูหน่อย”
โฬมประคองแก้มอีกฝ่ายทันทีที่มือคนรักผละออก ชายหนุ่มโน้มใบหน้าไปใกล้ สายตาจับจ้องที่ริมฝีปากสีสดที่ห้อเลือดเล็กน้อย
“เจ็บมั้ยครับ”
พุฒิส่ายหน้า
“อื้อ”
โฬมประทับจูบเขาแผ่วเบา สัมผัสนุ่มนวลที่ริมฝีปากนั่นชวนสั่นไหวจนพุฒิหลับตาพริ้มยอมให้คนรักบดจูบอยู่อย่างนั้น
ผัวะ!
“โฬมเย็นนี้เราต้องไปทานข้าวกันสองคนแล้วล่ะ คุณพ่อพี่ท่านไม่สบาย ท่านเลยขอตัว อ๊ะ”
เสียงเปิดประตูเข้ามาอย่างถือวิสาสะพร้อมกับเสียงของผู้หญิงที่ดังขึ้นในระยะประชิดนั่นทำให้พุฒิหน้าตื่น ถึงโฬมจะค่อยโน้มใบหน้าออกมาแล้ว แต่คนตัวโตก็ยังก้มไปกดจูบมุมปากพุฒิอีกรอบ ทำเหมือนไม่สนใจท่าทางตื่นตะลึงของบุคคลที่สามที่จ้องมองมาด้วยใบหน้าซีดเผือด
บุศรินทร์ยืนตัวชากับภาพที่เห็นทันที
“นี่โฬม กะ กับพุฒิ”
“พี่บุศครับนี่พี่พุฒิแฟนผม”
โฬมกุมมือพุฒิแล้วบีบเบาๆ ท่าทางนั่นทำให้หญิงสาวหัวสมองขาวโพลน ถึงจะรู้ว่าทั้งคู่เคยคบกันในครั้งอดีต แต่นั่นก็เลิกรากันก่อนที่โฬมจะถูกส่งไปเรียนต่อต่างประเทศ นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายจะวนเวียนกลับมาคบกันอีกครั้ง ทำให้ความคาดหวังที่ลุกโชนในใจหญิงสาวกลับมอดไหม้ไม่มีชิ้นเดียว
“ค่ะ”
บุศรินทร์ฝืนยิ้มแล้วเชิดหน้าขึ้นสูง “แล้วนัดดินเนอร์ของเราคืนนี้ล่ะคะ”
“อ๋อ ถ้าหมายถึงนัดกินข้าวกับพ่อพี่บุศวันนี้ ยังไงผมขอพาพี่พุฒิไปด้วยนะครับ”
พุฒิยอมรับว่าบุศรินทร์เป็นผู้หญิงที่ประสาทแข็งคนหนึ่งที่ประคองสติได้ดีด้วยการฝืนยิ้มทั้งที่นัยน์ตาเลื่อนลอย หากเป็นผู้หญิงคนอื่นถูกเซอร์ไพรส์แบบนี้คงกรี๊ดปรอทแตกไปแล้ว พุฒิเหลือบตามองคนรักที่ก่อนหน้านี้ทำรุ่มร่ามกับเขา ไม่รู้ว่าเจ้านั่นล่วงรู้มาก่อนรึเปล่าว่าบุศรินทร์จะโผล่เข้ามาได้จังหวะพอดิบพอดีขนาดนี้
นึกแล้วก็น่าเห็นใจหญิงสาว พุฒิเห็นบุศรินทร์เม้มปากแน่นจนกลัวว่าจะได้เลือด ขณะที่มือกำกระเป๋าถือจนเห็นข้อ ใบหน้ายิ้มๆ นั่นทำให้เขายอมรับว่าเธอช่างเก็บอารมณ์เก่งจริงๆ
“เห็นพี่บุศบอกว่าวันนี้คุณลุงไม่สบายเลยขอตัว ถ้ายังไงเลื่อนไปก่อนมั้ยครับ เอาวันที่คุณลุงสะดวกค่อยนัดกันใหม่ แต่ถ้าวันนี้พี่บุศสะดวกยังไงผมต้องขออนุญาตพาพี่พุฒิไปด้วย”
แค่เลื่อนนัดโดยเจาะจงให้มีบุคคลที่สามอย่างบิดาบุศรินทร์มาด้วยหญิงสาวก็หน้าซีดพอแล้ว ยังอุตส่าห์ดึงพุฒิไปพ่วงอีก พุฒิมองออกถึงเจตนาของคนรักว่าจงใจปฏิเสธหญิงสาวตรงๆ แล้วได้แต่ส่ายหน้า
ใครบอกว่าโฬมใจดีกันล่ะ หมอนี่เลือดเย็นจริงๆ ดูสิเล่นพูดขึ้นโดยไม่ดูสีหน้าคู่สนทนาเลยว่ามีปฏิกิริยายังไง
เอาจริงๆ ไม่ใช่ไม่เห็นหรอก แต่โฬมจงใจไม่เห็นต่างหาก พุฒิคิดในใจ
“ได้สิ ไหนๆ วันนี้ก็จองโต๊ะไว้แล้ว”
พุฒิหันขวับมองบุศรินทร์ที่รับคำอย่างง่ายดาย
พ่อลูกหนึ่งปวดหัวตุบๆ ตอนที่เธอเดินนำไปโดยที่เขาเดินตามแรงจูงของโฬม
ดินเนอร์สามคนวันนี้คงสนุกบรรลัย!
.
.
แปลกมาก!
เกินความคาดหมายไปไกล!
พุฒิเผลอพ่อลมหายใจหลังจากนั่งเกร็งอยู่นาน เพราะเตรียมตั้งรับกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด แต่ให้ตายเถอะ นอกจากบุศรินทร์ไม่แสดงท่าทางแปลกๆ แล้ว เธอยังชวนเขากับโฬมคุยปกติ จริงๆ พุฒิเป็นผู้ฟังมากกว่า เพราะสองคนนั้นคุยเรื่องธุรกิจที่เขาไม่ค่อยรู้เรื่อง
บรรยากาศมันดีกว่าที่คิดไว้อีก
พุฒิเริ่มผ่อนคลายหลังจบเมนูคาว ระหว่างที่รอเมนูของหวานเสิร์ฟ พอดีโฬมมีสายเข้าจากเลขาเรื่องงาน เจ้านั่นเลยขอตัวออกไปคุยข้างนอก ตอนแรกโฬมจะชวนเขาออกไปด้วยเพราะกลัวอึดอัดหากจะนั่งอยู่กับบุศรินทร์แค่สองคน แต่พุฒิปฏิเสธไปเพราะเกรงใจหากจะให้หญิงสาวนั่งหัวโด่อยู่เพียงลำพัง
“เดี๋ยวผมมานะครับ”
โฬมบีบมือเขาเบาๆ ก่อนจะผุดลุกออกไป
“คุณสองคนดูรักกันดีนะคะ”
“ครับ”
บุศรินทร์ยิ้มมุมปาก
“น่าอิจฉาจังเลยนะคะ เลิกกันไปตั้งหลายปีแล้วยังกลับมาคบกันได้”
ฟังดูแปลกๆ หู แต่พุฒิก็ไม่พูดอะไร
“ว่าแต่ครอบครัวโฬมเขาทราบรึยังคะ ว่าคุณสองคนคบกัน”
พุฒิส่ายหน้าขณะที่คนตรงหน้าทำหน้าตกใจ
“แย่หน่อยนะคะ ช่วงนี้คุณลุงป่วยอยู่จะพูดเรื่องนี้คงลำบาก”
“ครับ”
ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ พุฒิถึงเริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นมากับรอยยิ้มของคนตรงหน้า
“ช่วงนี้โฬมเขายุ่งๆ ค่ะ”
พุฒินิ่งเงียบฟังบุศรินทร์พูดไปเรื่อยๆ “เขาต้องโดดมารักษาการตำแหน่งประธานค่ะ งานเลยเยอะ ตำแหน่งใหญ่ก็อย่างนี้แหละค่ะ มีลูกน้องนับหน้าถือตาเยอะหน่อย บางครั้งต้องไปออกสื่อบ้าง แต่โฬมเขาไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่ใครๆ ก็อยากรู้จักโฬมกันทั้งนั้น”
“...”
“อย่างว่าล่ะนะ ใครๆ ก็อยากรู้จักลูกชายมหาเศรษฐี”
พุฒิเม้มปากแน่น
“แต่ก็น่าเห็นใจเขานะคะ ถ้าวันหนึ่งมีคนขุดคุ้ยว่าโฬมมีแฟนเป็นผู้ชาย คงเป็นข่าวใหญ่น่าดู”
“คุณหมายความว่ายังไง”
บุศรินทร์ยิ้มน้อยๆ
“คุณคงไม่รู้สินะคะ ว่าภาพที่คุณโผล่ไปโรงพยาบาลกับโฬมวันนั้น มีคนสงสัยแล้วว่าคุณเป็นอะไรกับโฬม”
พุฒิกำหมัดแน่น
“ออกไปจากชีวิตของโฬม ก่อนที่เขาจะเดือดร้อนเถอะนะคะ”นี่ไงเขาถึงบอกว่าคลื่นลมสงบมักมีพายุตามมาเสมอ
พุฒิแค่นยิ้ม อุตส่าห์บ่นว่าตัวเองว่าคิดมาก แต่สุดท้ายสิ่งที่เขาเผชิญมันก็ไม่ไกลจากสิ่งที่คิดไว้นักหรอก อดีตคู่หมั้นของเจ้าโฬมนี่ร้ายกาจชะมัด พ่อลูกหนึ่งย่นจมูกแล้วเกาหัวแกรกๆ ไม่ได้เสียใจหรือผิดหวังหรอกที่คนตรงหน้าจะพูดแบบนี้ แต่นึกไม่ถึงมากกว่าว่ามันจะตรงขนาดนี้
“โฬมเขาไม่กลัวเดือดร้อนเรื่องนี้หรอกครับ” พุฒิพูดยิ้มๆ “เขากลัวการไม่มีผมอยู่ใกล้ๆ เขามากกว่า”
บุศรินทร์เม้มปากแน่น เธอพ่นลมหายใจแรงๆ แล้วปล่อยไม้ตายสุดท้ายที่ทำให้พุฒิพูดไม่ออก
“นั่นสิค่ะ พวกคุณโตๆ กันแล้วจะกลัวอะไร สงสารก็แค่เด็ก อ๋อ ฉันหมายถึงลูกชายคุณน่ะค่ะ โตขึ้นมาเขาจะรับได้มั้ยที่มีพ่อไม่ปกติ ซ้ำพ่อยังมีแฟนเป็นผู้ชาย”ผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจชะมัด!
ถ้าส้มกับคุณพรรณีอยู่ตรงนี้คงได้ยุให้แหลกกันไปข้าง แต่พุฒิเป็นสุภาพบุรุษกว่านั้นเยอะ ผู้ชายไม่ควรใช้กำลังกับผู้หญิงหรอก เพราะเพศหญิงเป็นเพศที่ควรได้รับการทะนุถนอม อีกอย่างการกระทำอย่างอื่นแทนการใช้ความรุนแรงก็ได้ผลลัพธ์ไม่ต่าง
“ขอบคุณสำหรับความห่วงใยที่มีต่อลูกผมนะครับ ยังไงคุณช่วยเก็บห่วงใยไปให้ลูกชายตัวเองด้วย เพราะผมว่าเขากำลังขาดมันมากๆ เลยล่ะตอนนี้”โดยเฉพาะคำพูดที่ทำให้การปั้นหน้าสวยงาม บิดเบี้ยวไม่น่าดูของบุศรินทร์ เฮ้อ ดีใจมากๆ ที่เธอไม่กรี๊ดออกมาด้วย
.
.
“โอ๊ะ พ่อจ๋าหนูใส่เสื้อแล้ว”
พุฒิกระพริบตาปริบๆ ชะงักมือที่กำลังจะสวมเสื้อซ้อนให้เจ้าหมูอีกชั้น เด็กน้อยทำหน้างุนงงกับอาการประหลาดของบิดา พุฒิส่ายหัวให้ตัวเองที่ใจลอยกระทั่งใส่เสื้อตัวที่สองให้ลูก ดีว่าเจ้าหมูร้องทักซะก่อน
“แปะแป้งหน่อยนะครับ”
พิกเล็ตเอียงคอให้ทาแป้งอย่างเต็มใจ
“ไหนมาให้พ่อพิสูจน์ก่อนว่าหอมรึยัง”
“คิก”
เจ้าหมูย่นคอหนีตอนที่บิดาแกล้งไซร้คอชวนจักจี้ เด็กน้อยดิ้นหนีจนตัวแอ่น เสียงหัวเราะขบขันของลูกนั่นทำให้พุฒิยิ้มตาม
‘ฉันหมายถึงลูกชายคุณน่ะค่ะ โตขึ้นมาเขาจะรับได้มั้ยที่มีพ่อไม่ปกติ ซ้ำพ่อยังมีแฟนเป็นผู้ชาย’พุฒิหลับตานิ่ง คำพูดของบุศรินทร์ยยังตกตะกอนอยู่ในใจ มันไม่ใช่เรื่องที่น่าเก็บมาคิดหรอก หากคำพูดนั้นไม่กระทบใจเขาอย่างจัง
พิกเล็ตเข้ากับโฬมได้ดี
พุฒิไม่ได้เข้าข้างตัวเองว่าลูกเขาเองก็รักและผูกพันกับโฬมไม่น้อย แต่นั่นเพราะเจ้าหนูรับรู้ว่าโฬม อยู่ในสถานะอื่นที่ไม่ใช่คนรักของเขา พ่อลูกหนึ่งถอนหายใจ หากวันหนึ่งลูกชายเขาโตพอที่จะรับรู้ความสัมพันธ์ของบิดาและอาโฬมที่เจ้าหมูรักว่าไม่ใช่แค่พี่น้องคนสนิทกัน
พิกเล็ตจะยอมรับได้ไหม?
พุฒิยอมรับว่ากลัว เหนือสิ่งอื่นใดเขากลัวว่าลูกจะรังเกียจในสิ่งที่เขาเป็น พุฒิคงขาดใจตายหากแววตาที่เต็มไปด้วยความรักของลูกมองเขาเปลี่ยนไป
“พิกเล็ตครับ”
“ฮะพ่อจ๋า”
เจ้าแก้มกลมเงยหน้าจากรถบังคับที่เล่นอยู่ ดวงตาใสแจ๋วจ้องมองเขาแล้วยิ้มจนตาหยี พุฒิเลยอดไม่ได้ที่จะรวบตัวเจ้าหมูมากอดไว้แนบอก
ลูกเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวชีวิตเขาตั้งแต่วันที่ดาหวันจากไป
ลูกเป็นสิ่งเดียวที่เขาอยากปกป้องจนกว่าจะหมดลมหายใจ
‘ลูก’ ของพ่อ
“ได้เวลานอนแล้วครับ”
เจ้าหมูยู่หน้าแต่ยอมปล่อยของเล่นแต่โดยดี
“วันนี้หนูอยากฟังนิทานเรื่องอะไรครับ”
“ครอบครัวของหนู”
“หนูว่าอะไรนะลูก?”
เจ้าหมูเดินเตาะแตะไปลากกระเป๋าเรียนออกมาแล้วล้วงเข้าไปหยิบสมุดวาดภาพมากลางออก
“หนูเอารูปครอบครัวไปอวดครูเคทฮะ ครูเคทให้หนูตั้งห้าดาวแหน่ะ”
เด็กน้อยชี้ไปที่ภาพวาดผลงานเจ้าตัวด้านบนมีดาวประทับตราตั้งห้าดวง สีหน้าดีอกดีใจจนปิดไม่มิดนั่นบ่งบอกว่าเจ้าหมูดีใจไม่น้อย พุฒิจำได้ว่าภาพนี้เจ้าหมูวาดตอนที่ไปเรียนวาดรูปกับกาย
ภาพครอบครัว ซึ่งเป็นไปด้วย คุณพรรณี ส้ม เจ้าหมู เขาและ ‘โฬม’
‘โฬม’ ซึ่งเจ้าหมูวาดให้ยืนอยู่ตำแหน่งติดๆ กันกับเขา
นี่แหละครอบครัวในจินตนาการของเด็กน้อย พุฒิมองภาพนั้นแล้วจุกในอก
“ทำอะไรกันพ่อลูก”
พ่อลูกหนึ่งกระพริบตาถี่ๆ หันไปยิ้มให้คนรักที่ขอค้างที่บ้านเขาเป็นคืนที่สองแล้ว เขายังไม่ทันได้ตอบคำถามอะไร เด็กน้อยก็วิ่งถือสมุดภาพโผไปหาโฬมก่อนเพื่อน
“อาโฬม”
พุฒิเบือนหน้าหนีกับภาพเจ้าหมูโอบกอดโฬม แววตาของโฬมเต็มไปด้วยความรักและเอ็นดู
“โอ้โหได้ห้าดาวเลยหรือเนี่ย”
“ฮะ”
“หนูเก่งมั้ยฮะอาโฬม”
เจ้าหมูยิ้มจนตาหยี
“ที่สุดเลยครับ”
โฬมหันมายิ้มให้เขาก่อนจะกวักมือเรียกให้เข้ามาใกล้ๆ กัน
“คนเก่งได้เวลานอนแล้วนะลูก”
พุฒิต้อนเจ้าหมูขึ้นเตียง เด็กน้อยเก็บสมุดวาดภาพแล้วก้าวขึ้นเตียงทันที ร่างกลมป้อมยึดที่นอนตรงกลางก่อนจะยิ้มแป้นเมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองเดินมาล้มตัวลงนอนข้างๆ ทั้งซ้ายและขวา
อบอุ่น
พิกเล็ตยังนอนตาแป๊วตอนที่บิดาปิดไฟห้องเหลือแค่ไฟตรงหัวเตียง
“วันนี้อยากฟังได้กระต่ายกับเต๋าฮะพ่อจ๋า”
“เมื่อวานพ่อเล่าเรื่องนี้ให้หนูฟังแล้วนี่ลูก”
“หนูอยากฟังอีกฮะ”
เจ้าหมูน้อยกอดตุ๊กตารูปเต่าสีเขียวเสียแน่น ดวงตาใสแจ๋วมีแววออดอ้อน “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...”
“ไม่นานฮะ เมื่อวานพ่อจ๋าเพิ่งเล่าให้หนูฟังเอง”
พิกเล็ตอธิบายเสียงแจ๋วจนผู้ใหญ่นึกมันเขี้ยวฟัดแก้มไปทีหนึ่ง เจ้าหมูหัวเราะก่อนจะขยับหนีไปซุกอกโฬม
“อาโฬมช่วยหนูด้วย”
“เจ้าหมูเอ๊ย”
“พ่อจ๋าแกล้งหนู”
“หนูอะไรใหญ่ขนาดนี้”
พุฒิแกล้งล้อ
“หนูตัวนิดเดียว หนูเล็กกว่าพ่อจ๋าตั้งเยอะ”
พิกเล็ตเถียงตาใส
“ไม่เล็กแล้วมั้งทับอกอาโฬมจนหายใจไม่ออกเลย”
โฬมแกล้งเย้า
“โป้งอาโฬมแล้ว”
เจ้าหมูทำหน้ามู่ทู่กลิ้งกลับมาอ้อนบิดา
ร้ายกาจไม่มีใครเกิน พุฒิหอมเหม่งเจ้าหมูที่ซุกเขาเป็นลูกลิง ระหว่างนั้นโฬมก็แกล้งขยับมาจี้เอวเด็กน้อย พิกเล็ตหัวเราะจนเหนื่อยแล้วนอนหมดแรงแผ่เป็นหมูแผ่น
“หนูอยากให้อาโฬมมานอนกับหนูทุกวัน”
โฬมสบตาพุฒินิ่ง
“มาทุกวันดีมั้ยน้อ”
“ดีฮะ”
เจ้าหมูปะเหลาะ
พุฒิยิ้มน้อยๆ ตอนที่เจ้าตัวดีขยับไปอ้อนโฬมใกล้ๆ
เขากับโฬมอ่านนิทานเรื่องโปรดที่เจ้าตัวอยากฟังไปได้ไม่ถึงครึ่ง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็นอนซบกันหลับปุ๋ย พ่อลูกหนึ่งชะโงกดูทั้งคู่แล้วขยับผ้าห่มให้เลื่อนมาถึงคอ วันนี้อากาศค่อนข้างเย็นเนื่องจากข้างนอกฝนตกหนัก
ขณะที่โฬมและพิกเล็ตหลับสนิท เขากลับนอนตาค้าง
‘ออกไปจากชีวิตของโฬม ก่อนที่เขาจะเดือดร้อน’ก็ไม่อยากจะเก็บมันมาคิดหรอก แต่อย่างที่บอกพุฒิเป็นคนคิดมากและชอบคิดไปเอง
แค่คิดว่าถ้าการอยู่ตรงนี้ของพุฒิทำให้โฬมต้องเดือดร้อน เขาก็เจ็บแล้ว
★ ☆★ ☆★ ☆
น้ำเดือดแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ
หวีดในทวิตติด #Re2love ด้วยนะจ๊ะ รออ่านคอมเม้นท์อยู่น้า