วินาทีที่ 14
ถึงพี่บอลจะไม่ได้แสดงออกอย่างเห็นได้ชัด แต่แค่ผมมองเห็นเขาแวบแรกผมก็รู้แล้วว่าพี่เขาไม่ใช่ผู้ชายที่ชอบผู้หญิงแน่นอน และเท่าที่คุยๆกัน พี่เขาก็ดูเป็นกันเองดีในระดับหนึ่งด้วย และนอกจากนั้นถึงแม้พี่แอมป์จะยังพูดย้ำเตือนเราสองคนอีกหลายต่อหลายหนว่ามันเป็นงานศิลปะ และรูปพวกนั้นจะไม่มีทางหลุดออกไปข้างนอกเด็ดขาด พี่แอมป์บอกว่าพี่เขาต้องการแค่ด้านข้างหรือด้านหลัง ไม่ได้ต้องการด้านหน้าที่เห็นเจ้าซันน้อยของผมเต็มๆ แต่ความคิดของการต้องมาเปลือยกายถ่ายรูปต่อหน้าคนที่ผมไม่ได้รู้จักดีก็ทำให้ผมตกใจไปเลยเหมือนกัน
“จริงๆพี่ก็อยากได้รูปของเมฆด้วยนะคะ อยากได้ของทั้งสองคนเลย เพราะอย่างที่พี่บอกไงว่ารูปร่างของทั้งสองคนดีมากๆ แถมยังคล้ายกันมากด้วย พี่ก็เลยอยากจะเก็บภาพพวกนั้นเอาไว้” พี่แอมป์อธิบายต่อ
“เฮ้ยพี่ คือแบบว่ามันจะดีเหรอครับ” ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังสั่นนิดๆ “ไอ้อายน่ะ ผมไม่เท่าไหร่หรอกนะ แต่ว่า....... ถ่ายรูปครั้งแรกก็จะเล่นแบบนี้เลยเหรอครับ”
“ถ้าซันกับเมฆไม่อยากก็ไม่เป็นไรค่ะ พี่เข้าใจ มันก็เกินไปจริงๆพี่เองก็รู้ แต่ว่าพี่ก็แค่แอบหวังไว้นิดหน่อยเท่านั้นเอง”
“ใส่กางเกงในจะเป็นอะไรมั๊ยครับ ถ้าแค่นั้นจะพอไหวมั๊ยล่ะ” ไอ้เมฆพูดขึ้น ทำเอาผมหันไปหามันแทบจะทันทีที่มันพูดจบทีเดียว และเมื่อมันเห็นสายตาของผม มันก็ยักไหล่เบาๆ “ก็นะ ก็ไม่เห็นจะเสียหายมั๊ง มึงบอกเองไม่ใช่เหรอว่ามึงไม่อายน่ะ”
“มันก็ใช่ แล้วมึงล่ะเมฆ ไม่อายรึไง”
แม้แต่พี่แอมป์เองก็ยังดูแปลกใจกับคำพูดของไอ้เมฆด้วยเลยเหมือนกัน เพราะพี่เขาก็คงคาดหวังไว้ว่าเมฆน่าจะเป็นคนที่ขี้อาย และรับเรื่องนี้ไม่ได้มากกว่าผมแน่ๆ
“ก็คงไม่ต่างกับใส่กางเกงว่ายน้ำหรอกใช่มั๊ยละ หรือแม้แต่ตอนเข้ายิมหรือตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าแก้ผ้าต่อหน้าฝรั่งมาแล้วตั้งหลายคนหลายหน เรายังทำกันมาแล้วเลย”
“ไอ้เรื่องนั้นมันก็ใช่......... สำหรับกูนะ แต่กูไม่คิดว่ามึงจะโอเคด้วยนี่หว่า” ผมพูดด้วยความรู้สึกอึ้งๆ “คือโอเค มึงอาจจะไม่อายตัวมึงเอง แต่แบบว่า มึงแน่ใจว่าจะโอเคเหรอวะ ถ้าคนอื่นจะเห็น........ เอ่ออ กูแบบนั้นน่ะ”
“คนอื่นที่ไหน ก็มีกันอยู่แค่นี้ แถมกูคิดว่าถ้าเราปฏิเสธมันก็เท่ากับเราไม่เชื่อใจพี่แอมป์น่ะสิ” ไอ้เมฆหันกลับไปมองหน้าพี่แอมป์พร้อมรอยยิ้มแสนเสน่ห์ของมันอีกครั้ง แต่ผมรู้ดีว่าคำพูดนี้ของมันไม่ใช่เพียงคำพูดที่ทำให้พี่แอมป์ฟังแล้วรู้สึกดีและสบายใจในตัวเองเท่านั้น แต่มันยังแฝงไปด้วยความต้องการจะตอกย้ำและกดดันพี่แอมป์อีกด้วย เพียงแต่ว่าพี่แอมป์จะเข้าใจนัยแฝงที่ไอ้เมฆจงใจซ่อนไว้ใต้รอยยิ้มของมันนั่นหรือไม่เท่านั้นเอง แต่ไม่ว่าพี่เขาจะเข้าใจความหมายของมันได้โดยตรงหรือไม่ก็ตาม ตอนนี้พี่เขาก็คงต้องรู้สึกถึงความรับผิดชอบและภาระที่พี่เขาต้องรับและดูแลไปแล้วโดยปริยายอย่างแน่นอน
“ขอบคุณค่ะเมฆที่เชื่อใจพี่ แต่ว่าถึงยังไงถ้ามันลำบากใจก็ไม่จำเป็นต้องทำจริงๆนะ พี่ไม่อยากบังคับทั้งสองคนหรอก”
“ไม่เป็นไรครับพี่ ถ้าไอ้เมฆโอเค ผมก็โอเค แต่บอกตามตรง ผมก็แค่ไม่ค่อยรู้สึก คือ....... ไม่รู้สิครับ แบบว่า กับพี่บอลเพื่อนพี่น่ะ”
“พี่เข้าใจค่ะ เรื่องไอ้บอลน่ะ” พี่แอมป์หัวเราะเบาๆ “คือถ้าเป็นเรื่องรูป มันจะอยู่เฉพาะในบ้านพี่เท่านั้น ซันกับเมฆไม่ต้องเป็นห่วง พี่จะให้บอลมันกลับไปแค่ตัวกับความทรงจำเท่านั้นพอ อย่างอื่นไม่มี ไม่มีเด็ดขาดเลย แถมบอลมันก็เชื่อใจได้ด้วย พี่เชื่อใจมันนะ ไม่งั้นพี่ก็ไม่เรียกใช้มันหรอก” พี่แอมป์พูดอย่างหนักแน่น “เอ้อ จริงสิ ของขวัญวันเกิดของเมฆ ที่พี่บอกไว้ว่าติดเอาไว้ก่อน มันอาจจะไม่ได้มีค่าอะไรมากมาย แต่ก็หวังว่าเมฆน่าจะชอบนะคะ”
เมื่อพูดจบพี่แอมป์ก็ลุกขึ้นเดินไปหยิบอะไรสักอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นกรอบรูปที่วางนอนอยู่บนเคาน์เตอร์ใกล้ๆชั้นวางทีวีมายื่นให้กับเมฆ และประกฎว่ามันก็คือนาฬิกากรอบรูปที่เต็มไปด้วยรูปของไอ้เมฆกับผมตอนที่อยู่ที่ทะเลด้วยกันนั่นเอง โดยบางรูปเป็นรูปที่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ถึงยังไงรูปที่เด่นที่สุดก็ยังคงเป็นรูปที่ผมนอนตักไอ้เมฆอยู่ดีนั่นเอง
หลังจากการเปลี่ยนเสื้อผ้าและแต่งหน้าบางๆของเราทั้งสี่คนเสร็จเรียบร้อยแล้ว อาร์มที่เพิ่งจะเดินออกมาจากห้องของตัวเองได้ครู่ใหญ่ๆก็พาพีกับไคล์ออกไปข้างนอก ผมคิดว่าคงจะพาทั้งสองคนไปเดินเล่นและอาจจะถ่ายรูปเล่นไปด้วยพร้อมๆกัน
“เอาล่ะ เมฆไปนอนลงบนเตียงในห้องพี่เลย ส่วนซันไปกับบอลเลยนะคะ” พี่แอมป์พูดขึ้น
“ห้องพี่เลยเหรอครับ” ไอ้เมฆถามย้ำอีกครั้งอย่างไม่ค่อยมั่นใจ “มันจะดีเหรอครับพี่ ผมเกรงใจนะเนี่ย”
“ไม่ต้องเลยค่ะ พี่จัดห้องเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องกังวลเลย คนกันเอง แถมถ้าเป็นเมฆกับซันนี่ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว และที่สำคัญ ไอ้อาร์มมันยังชอบมานอนเล่นห้องพี่ออกบ่อยไป ตอนแรกพี่ก็กะจะใช้ห้องนอนแขกเหมือนกัน แต่พี่ว่ามันเรียบไปหน่อย ห้องพี่น่าจะดีที่สุด เอาล่ะ ไปกันเถอะค่ะ ถ้าเสร็จเร็วจะได้กินข้าวเที่ยงกัน เดี๋ยวจะหิวกันซะก่อนนะ”
เมฆหันมามองหน้าผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินตามพี่แอมป์เข้าไปในห้องนอนใหญ่
“งั้นซันก็ถอดเสื้อผ้าเลยก็แล้วกันครับ” พี่บอลหันมาบอกผม
“ตรงนี้เลยเหรอครับพี่” ผมถามกลับ เพราะที่ๆเรานั่งอยู่นี้มันเป็นห้องนั่งเล่น แถมยังไม่ใช่ห้องนั่งเล่นในบ้านของผมเองอีกด้วย และถึงแม้พี่บอลจะไม่ได้เป็นเกย์ออกสาวหรือแสดงออกอะไรเลย แต่ว่าผมก็ยังคงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่อยู่ดี “ผมว่าไปในห้องน้ำดีกว่ามั๊งครับ หรือไม่ก็ผมถอดเสร็จแล้วค่อยเรียกพี่มาอีกทีไม่ได้เหรอ”
“เออจริงด้วย เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ งั้นซันไปถอดในห้องน้ำก็ได้ เหลือกางเกงในไว้ตัวเดียว แล้วเอาผ้าเช็ดตัวในห้องน้ำนั่นแหละมาพันเอาไว้ แอมป์มันคงเตรียมเอาไว้แล้ว พอเสร็จแล้วก็ค่อยเรียกพี่ก็แล้วกัน”
ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำ จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าที่ใส่มาทั้งหมดออกเหลือเพียงกางเกงในตัวเดียว และเมื่อผมพันผ้าขนหนูรอบเอวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมจึงเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับถือเสื้อผ้าที่เพิ่งใส่มาไว้อยู่ในมือ
“เรียบร้อยแล้วครับพี่ เสื้อนี่จะให้ผมทำไง”
พี่บอลหันมามองผมด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปจากตอนแรกแทบจะในทันที “เอ่อ เออๆ วางไว้บนโซฟาก็ได้มั๊ง แต่อย่าพับนะ เดี๋ยวมันจะยับซะเปล่าๆ พาดๆไว้แถวนี้แหละ”
ผมทำตามที่พี่เขาบอก จากนั้นพี่บอลก็พาผมเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง ซึ่งห้องน้ำห้องนี้มีขนาดค่อนข้างกว้างพอสมควรเลยทีเดียว ทำให้ผู้ชายสองคนสามารถยืนกันอยู่ได้แบบไม่อึดอัดเลยแม้แต่น้อย นอกจากนั้นทั้งแสงไฟสีส้มและการตบแต่งก็ยังดูดีมากอีกด้วย ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพี่แอมป์ถึงได้เลือกใช้คอนโดของตัวเองเป็นที่ๆใช้ถ่ายรูปของพวกเราในวันนี้
“พี่อยากได้รูปตอนซันตัวแห้งๆก่อนนะ จากนั้นค่อยตัวเปียก แล้วเดี๋ยวเราก็ลองดูกันหลายๆอิริยาบถก็แล้วกัน เริ่มที่อ่างล้างหน้านี่ก่อนเลย ส่องกระจกเลยซัน ทำหน้าเหมือนเพิ่งตื่นนอนให้พี่หน่อย และปกติอยู่บ้านทำอะไรก็ทำไปเลย ไม่ต้องสนใจพี่ เดี๋ยวพี่จะคอยเบรกหรือกำกับให้เองถ้าจำเป็น”
ผมยืนนิ่งงงๆทำอะไรไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาส่องกระจกพร้อมกับเสียงกดชัตเตอร์จากทางด้านข้าง ผมจึงค้างท่าเอาไว้นิดหน่อย จากนั้นก็เริ่มต้นล้างหน้าช้าๆ หยิบแปรงสีฟันพร้อมกับยาสีฟันขึ้นมาในจังหวะเดียวกับที่พี่บอลบอกให้ค้างท่านั้นเอาไว้ ผมเริ่มเข้าใจอะไรๆมากขึ้นว่า ผมก็คงต้องทำอย่างที่อยากจะทำไปตามธรรมชาติก็เท่านั้น แต่เพียงแค่พยายามทำช้าๆและค้างท่าเอาไว้บ้าง เพราะพี่บอลจะไม่ค่อยบอกให้ผมทำท่านั้นท่านี้มากนัก เขาแค่อยากได้แบบธรรมชาติๆจริงๆอย่างที่พี่แอมป์เคยพูดเอาไว้
“ยกแขนขึ้นนิดนึงครับ น่านแหละ ก้มหน้าหน่อย เอียงไปทางซ้ายนิดนึง คราวนี้มองกล้องผ่านทางกระจกหน่อย........” พี่บอลคอยพูดประโยคเหล่านี้อยู่ตลอดเวลากว่าสิบห้านาทีที่หน้ากระจกของผม
“ผมคงไม่ต้องแปรงฟันจริงๆใช่มั๊ยพี่” ผมหันไปถามพี่เขา
“ไม่ต้องหรอก พี่ขอภาพแบบเต็มตัวอีกนิดหน่อยก็แล้วกัน” พี่บอลพูดพร้อมกับถอยหลังออกไปและหามุมกดชัตเตอร์อีกสามสี่ครั้ง “เอาล่ะ ต่อไปก็อาบน้ำ......... จะไหวมั๊ยเนี่ย”
“พี่อย่าลืมกดชัตเตอร์ก็แล้วกัน” ผมปลดผ้าขนหนูที่พันรอบเอวอยู่ จากนั้นก็แขวนมันไว้บนราวแขวนผ้า และเมื่อผมเห็นสีหน้าของพี่บอลแล้วผมก็อดยิ้มที่มุมปากออกมาเล็กน้อยไม่ได้จริงๆ พี่เขาดูเหมือนจะหลุดไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งไปเลย และราวๆสามวินาทีถัดมาพี่เขาจึงจะตั้งสติได้และหันกลับมามองผมผ่านเลนส์กล้องอีกครั้ง
“ค้างก่อนซัน ค้างไว้ก่อน พี่ขอตอนถอดผ้าเช็ดตัวออกมาอีกครั้งนึง เอาตอนแขวนผ้าด้วยนะ”
ผมทำตามที่พี่บอลบอกทุกอย่าง จากนั้นก็ก้าวเข้าไปยืนข้างใต้ฝักบัว พร้อมกับเปิดน้ำอุ่นให้ไหลผ่านตัวไปอย่างช้าๆ และเมื่อผมเห็นว่าพี่เขาเริ่มจะชินกับภาพตรงหน้าแล้ว ผมก็ตัดสินใจหันหลังให้พี่เขา พร้อมกับดึงกางเกงในปราการด่านสุดท้ายของตัวเองออกและโยนมันลงไปกองลงตรงหน้าของพี่เขา
“ผมบอกให้พี่อย่าลืมกดชัตเตอร์ไงครับ” ผมเตือนพี่บอลเมื่อเห็นว่าพี่เขายืนถือกล้องค้างอยู่ในมือเฉยๆ และสายตาก็จับอยู่ที่เจ้าซันน้อยของผม “จะให้ผมทำไงก็บอกก็แล้วกัน แต่พี่แอมป์บอกแล้วนะว่าจะไม่มีรูปน้องชายผมหลุดออกไปน่ะ ถ้าจะเอาเต็มตัวก็แค่หันหลังกับด้านข้างแบบไม่เห็นตรงนั้นนะครับ ถ้าจะถ่ายด้านหน้าก็ห้ามต่ำกว่านั้นเด็ดขาด” ผมย้ำ
“ได้ๆ” พี่บอลพยักหน้าดึงสติของตัวเองกลับมาพร้อมกับกำกับให้ผมหันซ้ายหันขวา เอียงคอ หันหลัง หลายท่ามากๆจนผมเริ่มรู้สึกหนาวขึ้นมา จึงขอพี่บอลว่าพอได้แล้วล่ะ ก่อนที่ผมจะกลายเป็นลูกพรุนเปื่อยๆไปซะก่อน พี่บอลยื่นผ้าเช็ดตัวคืนมาให้แก่ผม และก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปผมตอนกำลังเช็ดตัวด้วย “เสร็จแล้วพี่ไปดูแอมป์กับเมฆก่อนนะ ซันรออยู่ในนี้ก่อนก็แล้วกัน”
ผมเช็ดตัวและหัวจนแห้งแล้วก็ยืนรอพี่บอลอยู่ราวๆสองสามนาที ก่อนที่พี่เขาจะเดินกลับเข้ามาในห้อง และบอกให้ผมเอาผ้าขนหนูผืนเล็กพันรอบคอและเดินไปในห้องนอนใหญ่ที่พี่แอมป์กับเมฆกำลังรอผมอยู่ได้เลย ผมทำตามที่พี่เขาบอก และเมื่อผมเดินเข้าไปในห้องนอนของพี่แอมป์ ผมก็เห็นเมฆที่ใส่กางเกงชุดนอนขายาวตัวเดียวกำลังนอนคว่ำกอดหมอนอยู่บนเตียงอยู่ พร้อมกับพี่แอมป์ที่ลงทุนถึงขนาดปีนขึ้นไปกดชัตเตอร์อยู่บนตู้เสื้อผ้ากันเลยทีเดียว
และเมื่อไอ้เมฆได้ยินเสียงผมเดินเข้าไปในห้อง มันก็เงยหน้าขึ้นแล้วเอี้ยวตัวหันกลับมายิ้มให้ผม “ได้ยินว่ามึงโชว์ของดีเลยเหรอวะ ไหนตอนแรกบอกไม่อยากทำไง”
“ดีรึเปล่านี่ต้องถามพี่บอลว่ะ กูก็ไม่รู้เหมือนกัน” ผมยิ้มแล้วยักไหล่ “แต่มึงนั่นแหละที่น่าจะรู้ดีกว่าใครนะ”
“เมฆนอนไปก่อนนะคะ คราวนี้พี่อยากได้ตอนซันไปปลุกเมฆน่ะ ทนหนาวอีกแป๊บนึงนะซัน” พี่แอมป์พูดตัดบท
“ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบพร้อมกับเดินเข้าไปหาไอ้เมฆที่ฟุบหน้ากลับลงไปบนเตียงเหมือนเดิมเรียบร้อยแล้วอย่างช้าๆ
หลังจากถ่ายรูปตอนที่ไอ้เมฆเพิ่งตื่นเสร็จแล้ว เราก็ตัดไปยังฉากที่ผมยืนส่องกระจกในห้องน้ำขณะที่ไอ้เมฆกำลังอาบน้ำอยู่ โดยครั้งนี้มีพี่บอลเป็นคนคอยถ่ายภาพคู่เราของทั้งสองคนแบบเปลือยทั้งตัวอีกครั้ง เพราะว่าไอ้เมฆเองก็กล้าที่จะถอดกางเกงในออกจนหมดด้วยเหมือนกัน ผมรู้สึกได้เลยว่ามันกำลังรู้สึกสนุกอยู่จริงๆ โดยเฉพาะสนุกกับการได้แกล้งปั่นหัวพี่บอลเล่นนิดๆแบบนี้
“ถ้าถ่ายติดตรงนั้นไปก็ไม่เป็นไรนะครับพี่ แต่ถ่ายออกมาให้มันดูใหญ่กว่าความเป็นจริงหน่อยก็แล้วกัน” ไอ้เมฆแกล้งแซว ทำให้ผมยังอดหัวเราะออกมาไม่ได้
เราสองคนถูกทั้งพี่แอมป์และพี่บอลช่วยกันแต่งหน้าให้อีกครั้ง ก่อนที่จะเริ่มถ่ายช็อตต่อไปซึ่งเป็นตอนที่เรากำลังแต่งตัว หลังจากนั้นก็เป็นตอนนั่งกินกาแฟที่โต๊ะอาหาร ซึ่งช่วงหลังๆนี้พี่ทั้งสองคนจะคอยกำกับบอกท่าให้เราทั้งคู่มากขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะอึดอัดนิดหน่อย แต่ก็ให้ความรู้สึกที่สนุกแปลกๆดีไปอีกอย่าง เพราะมันก็ไม่ได้เคร่งอะไรมากมายนัก ทั้งผมและเมฆต่างก็ยังสามารถพูดคุยหัวเราะกันได้เหมือนกับเวลาปกติ โดยที่เรามักจะตั้งเป้าไปหยอกล้อไปที่พี่แอมป์กับพี่บอลมากเป็นพิเศษ ทำให้พี่ทั้งสองคนก็รู้สึกเป็นกันเองมากขึ้นตามไปด้วย
“ซันโทรหาน้องๆบอกให้กลับมาได้แล้วล่ะค่ะ รบกวนหน่อยนะ แต่ว่าพี่อยากให้ซันลุกขึ้นไปยืนคุยที่หน้าหน้าต่างบานใหญ่นั่นนะ แล้วก็หันข้าง ทำเป็นมองออกไปทางด้านนอกด้วย”
ผมพยักหน้ารับ และทำตามอย่างที่พี่แอมป์บอกทุกอย่าง จากนั้นไม่นานไคล์ พี และอาร์มก็กลับเข้ามาในห้อง พร้อมกับถึงเวลาพักที่พวกเราจะได้กินข้าวเที่ยงกันก่อนจะเริ่มถ่ายรอบต่อไป โดยมื้อเที่ยงของพวกเราในวันนี้ก็คือพิซซ่าที่โทรสั่งมากินกันง่ายๆและเป็นกันเอง ซึ่งช่วยทำให้พีเริ่มคุ้นเคยกับทุกคนมากขึ้นด้วย
“ได้อะไรมามั่งล่ะ อาร์ม” พี่แอมป์ถามน้องชายของตัวเอง
“ไม่ได้อะไรหรอก ส่วนมากก็นั่งคุยกัน เดินเล่น แล้วก็ถ่ายรูปนิดหน่อยเอง”
“เดี๋ยวกินเสร็จแล้วพี่บอลรับไคล์ไปถ่ายเดี่ยวๆต่อเลยนะ ส่วนเมฆกับซันขอพี่อีกนิดนึง แล้วจากนั้นเราค่อยถ่ายทั้งสี่คนพร้อมหน้า”
“แล้วพีล่ะครับ ไม่ถ่ายมันเดี่ยวๆบ้างเหรอ” ผมถาม
“โอ๊ย ไม่ล่ะครับ พี่ซัน แค่นี้ก็พอแล้ว” พีรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที
พอตอนบ่ายหลังจากกินข้าวและเก็บล้างกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมกับเมฆก็ถูกพี่แอมป์ถ่ายทั้งรูปเดี่ยวบ้างคู่บ้างอีกนิดหน่อย โดยที่ไคล์เองก็มีพี่บอลรับหน้าที่เป็นตากล้องส่วนตัวชั่วคราวให้ด้วยเช่นกัน และเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว เราทั้งสี่คนก็ถูกจัดฉากอีกครั้งทันที โดยที่ไคล์กับพีจะเป็นแขกที่มาหาพวกเราและชวนพวกเราไปเล่นบาสกันข้างนอก ซึ่งนั่นก็ทำให้ทั้งสามคน ได้แก่ ไคล์ พี และ ไอ้ตัวดีของผม แทบจะตีปีกกันเลยทีเดียว
“แต่มันจะร้อนหน่อยนะ ถ้าไปตอนบ่ายสามแบบนี้น่ะ” พี่แอมป์ท้วงขึ้น
“ไม่เป็นไรครับพี่ พวกผมไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว” ไอ้เมฆรีบตอบ และอีกสองคนก็พยักหน้ารับอย่างแข็งขันด้วยเช่นกัน
“ในที่สุดก็ได้ถ่ายรูปแบบที่ถนัดๆแถมยังไม่ต้องเกร็งแล้วสักที” ไคล์พูดอย่างอารมณ์ดี
เราทุกคนเปลี่ยนชุดและเคลื่อนย้ายพลลงไปยังสนามบาสทางด้านล่างของคอนโด และเริ่มต้นเล่นเกมส์แบบสองต่อสองทันที ครั้งนี้ทั้งพี่บอลและพี่แอมป์จะไม่บอกบทอะไรพวกเราอีกแล้ว เรามีหน้าที่แค่เล่นบาสกันแบบธรรมดาๆเท่านั้น ซึ่งถึงบาสเก็ตบอลจะไม่ใช่กีฬาถนัดของผม แต่เมื่อผมอยู่กับคนบ้าบาสตั้งสามคนมาหลายปีขนาดนี้ มันก็ทำให้ผมซึมซับและฝึกฝนตัวเองไปในตัวได้มากเหมือนกัน
เราสี่คนแบ่งทีมโดยที่ผมคู่กับไคล์ ส่วนเมฆคู่กับพี และก็เป็นอย่างทุกครั้งนั่นคือถ้ามีการแข่งขันเกิดขึ้น ไอ้เมฆก็จะไม่เคยยอมแพ้ง่ายๆเลยสักครั้งเดียว มันจึงเล่นอย่างเต็มที่มาก และมันก็ทำให้พวกเราทุกคนเล่นกันอย่างสนุกสนานมากขึ้นด้วย จนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง เราทุกคนก็ถูกเรียกให้หยุดโดยพี่บอล
“พอแล้วๆ หนุ่มๆ พวกพี่กดชัตเตอร์กันจนเมื่อยแล้ว เรากลับขึ้นห้องกันเถอะ จะได้ไปดูรูปกัน” พี่บอลพูดพร้อมกับเก็บของไปด้วย จากนั้นพี่แอมป์กับอาร์มก็เดินนำออกไปก่อน
“เจ็บแผลรึเปล่าเมฆ”ผมถามมันขณะที่เรากำลังเช็ดเหงื่อกันอยู่
“ไม่แล้ว ตึงๆนิดหน่อยนะ แต่มันก็หายดีแล้วล่ะน่า เออใช่ จะว่าไปมันมีรอยแผลเหลืออยู่นิดนึงด้วยนะ พี่แอมป์เค้าจะเก็บมันไว้รึเปล่าวะ” เมฆชี้ไปที่รอยแผลยาวราวสามนิ้วที่สีข้างของตัวเอง
“ไม่รู้ว่ะ แต่งรูปเอาก็หายมั๊ง ยกเว้นแต่มึงอยากจะให้พี่เขาเก็บไว้น่ะนะ”
“แล้วแต่พี่เค้าก็แล้วกัน กูไงก็ได้อยู่แล้ว”
“เออ ว่าแต่ไคล์......” ผมหันไปเรียกไคล์ที่กำลังยืนคุยกับพีอยู่ใกล้ๆ “อาร์มมันรู้เรื่องเรากับพีแล้วเหรอ”
“รู้ตั้งแต่ตอนงานวันเกิดพี่เมฆนั่นแหละครับ ผมบอกเขาเอง เพราะปิดบังไปยังไงเดี๋ยวก็คงรู้อยู่ดี”
“แล้วแน่ใจมั๊ยว่ามันจะเก็บเป็นความลับเอาไว้ได้น่ะ”
“ได้ครับ ผมค่อนข้างเชื่อนะ” ไคล์พยักหน้า
“แล้วพีล่ะ คิดว่าไง สำหรับวันนี้” เมฆหันไปถามพีบ้าง
“ก็ดีครับพี่เมฆ แปลกดี แต่ก็สนุกไปอีกแบบ”
“ไว้รอให้ไอ้ไคล์มันเกิดดังขึ้นมาจริงๆก่อนเหอะ สงสัยได้สนุกกว่านี้แน่นอน” ผมหัวเราะ
“ไม่หรอกพี่ซัน ผมเชื่อใจไคล์นะ” พีหันไปมองหน้าไคล์ จากนั้นก็หันกลับมาหาผมอีกครั้ง “แต่ถ้าเกิดมันเจ้าชู้ขึ้นมาล่ะก็ ผมตัดทิ้งเอาไปโยนให้เป็ดกินแน่ๆ ให้มันกลายเป็นชันทีไม่ต้องเหลือเอาไปใช้กับใครอีกเลย คอยดู”
และก็เป็นอีกครั้งที่พวกเราสามคนหัวเราะชอบใจ ในขณะที่ไคล์ไม่เข้าใจเลยว่าสิ่งที่พีพูดนั้นมันหมายความว่าอย่างไร