บทที่ 14 จัดการ
“พักเถอะ เดี๋ยวฉันจะรีบกลับมา” น้ำเสียงทุ้มของชายหนุ่มร่างสูงก้มจุมพิตที่หน้าผากมนของเทวดาตัวน้อยของเขาที่มีใบหน้าซีดเซียวและดูอ่อนล้าผิดจากทุกครั้ง
“ครับ” เด็กน้อยของเขาตอบรับและล้มตัวลงนอนพร้อมกับห่มผ้าอย่างเรียบร้อย มือใหญ่ของเขาที่หยาบกร้านและขึ้นปุ่มด้านเพราะจำเป็นต้องใช้อาวุธปืนเป็นประจำยกมือขึ้นเพื่อลูบกลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มนั้นอย่างแผ่วเบา เขาสำรวจความเรียบร้อยไปรอบๆ อีกครั้งเพื่อความปลอดภัย ก่อนจะหมุนตัวและเดินออกไปจากห้อง เพียงแต่ยังไม่ทันก้าวเท้าพ้นไปจากเตียงนอน เขาก็รู้สึกถึงแรงดึงจากชายเสื้อด้านหลัง เมื่อใบหน้าหล่อเหลาหันกลับไปมองก็พบเทวดาตัวน้อยของเขากำลังมองมา
“ระวังตัวนะครับ” ไม่ต้องมีถ้อยคำพิเศษใดใด แค่คำพูดเรียบง่ายเพียงประโยคเดียวของเด็กหนุ่ม มันก็ชวนให้เขาใจกระตุกและสั่นไหว
“อืม” ดราโกรับคำแผ่วเบาในลำคอ มองมือเล็กขาวซีดปล่อยชายเสื้อเขาอย่างน่าเสียดาย แต่เอาเถอะ เขาไปจัดการเรื่องนี้ไม่นานก็ขอกลับมาเฝ้าดูแลเทวดาตัวน้อยของเขาต่อก็แล้วกัน
ดราโกเดินออกมาจากห้องนอนของคริสติน เขาปิดประตูและกวาดสายตามองบอร์ดี้การ์ดสองคนที่ยืนรอรับคำสั่ง บรรยากาศผ่อนคลายเมื่อยามอยู่กับเด็กหนุ่มหายไปในทันที ดวงตาสีทองดุดันเกรี้ยวกราดฉายออกมาอย่างไม่คิดปิดบัง ชายหนุ่มไม่สามารถข่มความโกรธของเขาได้อีกต่อไป
“ดูแลคริสตินให้ดี ถ้าเขาเป็นอะไร...พวกนายคงรู้ตัวดี” น้ำเสียงทุ้มของดราโกเรียบนิ่งเย็นชา บอร์ดี้การ์ดทั้งสองรีบรับคำสั่งอย่างหนักแน่นพร้อมดวงใจที่กระตุกเย็นยะเยือก พวกเขารู้ดี ถ้าดูแลนายน้อยคริสตินไม่ได้ พวกเขามีแต่ความตายสถานเดียวเท่านั้นที่รออยู่
ดราโกตวัดสายตามองไปยังประตูห้องนอนอีกครั้ง และตัดสินใจไปจบเรื่องทุกอย่างที่แสนวุ่นวายในช่วงเช้าของวันนี้ ชายหนุ่มร่างสูงในชุดทะมัดทะแมงและเรียบหรูสีดำสนิทก้าวเท้ามุ่งหน้าไปยังโรงจอดรถส่วนตัวของเขาที่ตั้งอยู่ข้างบ้านพักอย่างไม่รอช้า ระหว่างที่เขาเดินไปยังโรงจอดรถนั้น คาลอสที่หายตัวไปตั้งแต่ที่เกิดเรื่องก็รีบวิ่งเข้ามาหาดอนแห่งคอลิโอเน่ได้ทันที่หน้าประตูโรงจอดรถพอดี
“ดอนครับ” คาลอสเรียกดราโก ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่หยุดมองมือซ้ายที่เอ่ยรายงานสถานการณ์ภายในบ้านอย่างรวดเร็ว
“ไม่มีอะไรเสียหายครับ ตอนนี้จาคอปกำลังมุ่งหน้าไปที่โรงงานร้างแล้ว กลุ่มที่ 2, 5 และ 7 กำลังวางกำลังล้อมรอบ”
“ไป” คำสั่งสั้นๆ เพียงแค่คำเดียวเท่านั้น คาลอสก็พยักหน้าและเดินตามดราโกเข้าไปในโรงจอดรถทันที ชายหนุ่มเดินไปที่รถยนต์ Koenigsegg One:1 (โคนิกเซกก์ วัน:1) สีดำสนิทและปลดล็อครถยนต์ก่อนจะขึ้นไปนั่งทางฝั่งคนขับ ส่วนคาลอสเป็นคนไปนั่งทางฝั่งขวามือแทน ใบหน้าภายใต้กรอบแว่นของมือซ้ายซีดเผือดเล็กน้อยเมื่อดอนเลือกรถยนต์คันนี้ และยังเป็นคนขับอีกต่างหาก
เสียงสตาร์ทเครื่องยนต์นั้นทุ้มต่ำแต่ดังกระหึ่มเหมือนดนตรีกำลังบรรเลง และใจของคาลอสเองก็เต้นรัวตั้งแต่รถยังไม่ทันได้ออกตัว รถยนต์สุดรักสุดหวงของดอนที่เจ้าตัวรักและทะนุถนอมถูกนำออกมาใช้เพื่อล่าสไนเปอร์คนนั้นโดยเฉพาะ หรือไม่ดอนก็คงอยากจะรีบไปรีบกลับมาเร็วๆ อย่างแน่นอน เพราะ Koenigsegg One:1 เป็นรถไฮเปอร์คาร์ที่ผลิตเพียงไม่กี่คัน สามารถเร่งเครื่อง 0-300 กิโลเมตร ได้เพียง 11.92 วินาทีเท่านั้นเอง แถมราคาก็ยังชวนใจสั่น เพราะมันราคาสูงถึง 2.85 ล้านเหรียญสหรัฐ (92 ล้านบาท)
จากบ้านถึงโรงงานร้างนั้นมีระยะทางทั้งหมด 30 กิโลเมตร เพียงแค่พริบตาครั้งเดียว พวกเขาก็คงมาถึงหน้าโรงงานร้าง แต่อย่างน้อยคาลอสก็ยังวางใจ การตัดผ่านตัวเมืองนั้นต้องใช้ความเร็วที่จำกัด มีทั้งรถ ทั้งทางแยก และสัญญาณไฟจราจร อย่างน้อยดอนก็คงไม่ขับรถเร็วเกินไป มือซ้ายที่แอบหวาดหวั่นกับการขับรถของดอนนั้นนึกโล่งใจ แต่ก็เพียงไม่นานเท่านั้น เมื่อดราโกกดโทรศัพท์หามาร์คในทันที
“ครับดอน” มาร์คที่อยู่ปลายสายเตรียมรับคำสั่ง
“จากบ้านถึงโรงงาน นายจัดการแฮคสัญญาณไฟจราจรบนเส้นนั้นซะ ทางที่ฉันไปต้องไฟเขียวทุกแยก ให้เวลานาย 30 วิ” ว่าเสร็จดราโกก็ไม่รอฟังคำตอบ เขากดตัดสายและเร่งเครื่องยนต์เพื่อวอร์มเครื่องทันที สิ่งที่เขาพูดคือคำสั่งที่โปรแกรมเมอร์หนุ่มต้องจัดการให้ได้ และเขาต้องการเดี๋ยวนี้อีกด้วย “คาลอส บอกให้พวกนั้นบุกเคลียร์ทาง ฉันไปถึงทุกอย่างต้องใกล้จบ”
“ครับ” คาลอสกดโทรศัพท์หาจาคอปทันทีอย่างไม่รอช้า ฟังเสียงเครื่องยนต์ที่เร่งกระหึ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ก็รับรู้ถึงความใจร้อนของดอนได้เป็นอย่างดี มือซ้ายสั่งการลงไปอย่างรวดเร็วพร้อมจบประโยคที่ว่า One:1 เพียงแค่นั้นจาคอปก็เข้าใจรีบเร่งสั่งการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนที่ดอนจะมาปรากฏกาย เพราะคำสั่งของดอนแทบจะทำให้มือซ้ายอย่างคาลอสหลั่งน้ำตา ชายหนุ่มรีบคาดเบลท์และกุมมือแน่นคล้ายภาวนาหาพระผู้เป็นเจ้าให้ช่วยคุ้มครอง
เสียงโทรศัพท์ของดราโกดังขึ้นอีกครั้ง เหมือนเป็นสัญญาณออกตัวของรถไฮเปอร์คาร์สัญชาติสวีเดนคันนี้ ประตูโรงรถเปิดออกกว้างด้วยระบบอัติโนมัติ ทุกเส้นทางจากตัวบ้านถึงโรงงานเคลียร์การจราจรเรียบร้อย แม้กระทั่งกล้องวงจรปิดที่คอยจับภาพทุกเส้นทางก็ถูกแทรกแซง
เสียงเครื่องยนต์ V8 ขนาด 5,000 ซีซี ให้กำลัง 1,341 แรงม้า พุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว ฝีมือการขับรถของดอนนั้นเหมือนมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญ ทั้งจังหวะการเข้าโค้ง จังหวะการเข้าเกียร์และจังหวะการขับแซงปาดโค้งปาดหน้ารถทุกคันที่ขวางเส้นทางของรถยนต์สีดำคันนี้ ใจของคาลอสนั้นเต้นรัวด้วยความลุ้นระทึก แต่ใจของดอนแห่งคอลิโอเน่คนนี้กำลังสงบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความสนุกกับการขับรถที่มีสมรรถนะสูงโลดแล่นดั่งกับสายลม
ชายหนุ่มขับรถออกไปยังเส้นทางที่ตัดผ่านในเมือง แม้จะมีบางช่วงที่ต้องชะลอรถ หรือเสียจังหวะไปบ้าง แต่เขาก็สามารถมาถึงโรงงานร้างชานเมืองอีกฝั่งในระยะเวลาแค่ห้านาที เสียงล้อบดถนนนั้นดังขึ้นเมื่อดราโกหมุนพวงมาลัยเพื่อหักรถเข้ามาภายในเขตโรงงาน เมื่อรถยนต์จอดสนิททิ้งแต่ฝุ่นถนนไว้เป็นทางเท่านั้น ประตูรถฝั่งคนขับก็เปิดออก เรียวขาแข็งแรงสมส่วนภายใต้กางเกงแสลคสีดำก้าวเท้าออกมาอย่างมั่นคง มือหนาหยิบปืนคู่ใจออกมา ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยแต่แฝงความเหี้ยมเกรียมนั้น ดวงตาคมสีทองของดราโกวาวโรจน์และเต็มไปด้วยความกระหายเร้าในกลิ่นคาวเลือดของสไนเปอร์ที่บังอาจมาแตะต้องเทวดาของเขา ปล่อยให้มันสำราญใจมัวเมาในเงินทองที่ได้ไปก่อนเถอะ แล้วมันจะได้รู้ว่านรกที่เขาจะมอบให้มันน่ะ แม้เงินทองซักบาทมันก็จะไม่ได้พกเอาไป ดราโกก้าวเท้าเตรียมจะมุ่งหน้าไปยังโรงงานร้าง แต่ชายหนุ่มก้าวเท้าไปได้เพียงแค่ก้าวเดียวร่างสูงก็ชะงักนิ่ง
“คาลอส” น้ำเสียงทุ้มเรียบนิ่งของดราโกเอ่ยเรียกคนสนิท ที่ยังไม่ยอมก้าวเท้าออกมาจากรถเลยแม้แต่น้อย ต้องให้เรียกชื่อนั่นล่ะ มือซ้ายของดอนแห่งคอลิโอเน่ถึงค่อยๆ เปิดประตูออกมาด้วยสีหน้าพะอืดพะอมและซีดเซียว มือขวาของคาลอสยกมือปิดปากเอาไว้แน่น เพราะเจ้าตัวรู้สึกว่าอาหารเช้าที่กินไปมันจะดันย้อนขึ้นมาอยู่ตรงคอหอยอยู่รอมร่อ
“คะ ครับ ดอน” คาลอสสูดหายใจเข้าลึกๆ และออกเดินตามดราโกไปไม่ห่าง แม้ใบหน้าจะยังคงย่ำแย่ แต่เจ้าตัวก็พยายามเก็บอาการให้มากที่สุด พร้อมทั้งยังสัญญากับตัวเองในใจ ว่าคราวนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะนั่งรถไปกับดอนแน่นอน
เสียงฝีเท้าที่ดังก้องไปทั่วโรงงานร้างนั้นทำให้มือปืนที่กำลังเก็บข้าวของและรอฝ่ายนายจ้างโอนเงินเข้ามาในบัญชีอยู่นั้นถึงกลับดีดตัวพุ่งไปทางปืนคู่ใจที่เก็บไว้ในกระเป๋าเล็กไม่ไกลนัก ร่างสูงถลาไปกับพื้น ไม่สนใจฝุ่นที่ปลิวคละคลุ้ง เขาหวังเพียงแต่อาวุธร้ายที่คอยปกป้องเขาในยามนี้เท่านั้น เมื่อร่างสูงของมือปืนคว้าอาวุธคู่ใจเอาไว้ได้ เขาก็รีบเก็บกระเป๋าปืนขึ้นมาสะพายหลัง เก็บข้าวของทุกอย่างให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็วและเงียบกริบมากที่สุด
ใบหน้าภายใต้หนวดเครารกรุงรังนั้นแข็งกระด้างเย็นชา สายตาหรี่เพ่งมองไปทางประตูอีกฟากด้วยใจสงบ การทำงานในสายนี้ก็ต้องมีการเสี่ยงตายกันเป็นธรรมดาของชีวิต และเหตุการณ์ในรูปแบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นเป็นประจำจนเขาชินชา และมั่นใจด้วยว่าเขาสามารถเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ไปได้แน่นอน แต่เขาก็ติดใจสงสัยอยู่เล็กน้อยว่าพวกมันเป็นใครกันแน่ ถึงกล้ามาเดินอยู่กลางโรงงานร้างโดยไม่คิดหลบซ่อนหรือปิดบัง เดินโดยไม่เก็บเสียงฝีเท้า ดูมาดมั่นและมั่นใจจนเกินเหตุ หรือพวกมันอาจจะเป็นแค่พวกวัยรุ่นติดตยาที่มาหาแหล่งซ่องสุมกันแน่
เขาคิดอยู่ในใจ พาร่างกายหลบเข้าไปอยู่ในซอกหลืบของมุมกำแพง หลบลี้แฝงกายในเงามืดที่ช่วยอำพลางร่างกาย ยังดีที่โรงงานนี้ร้างมาหลายปีแล้ว หน้าต่างทุกบานถูกตอกปิดด้วยแผ่นไม้จนแสงแดดเล็ดลอดเข้ามาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เสียงรองเท้ากระทบพื้นนั้นดังก้องสะท้อนไปมา จนเขาไม่สามารถจับทิศทางของเสียงได้อย่างชัดเจน
ดวงตาเย็นชาและไร้ชีวิตของเขาสอดส่องและคิดหาวิธีหนี เขาอาจจะมีอาวุธ แต่ก็ไม่กล้าเสี่ยงพอเพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายก็มีอาวุธเช่นกันหรือไม่
ดังนั้นเขาคิดว่าเขาคงไม่โชคร้ายขนาดโดนเจอตัว แค่ทำตัวเงียบๆ รอพวกมันจากไป เขาเป็นสไนเปอร์ ถนัดจัดการเป้าหมายในระยะไกล แต่ไม่ถนัดในการสู้ประชิด เขาถนัดในการแฝงตัว และไม่ถนัดในการเผชิญหน้าใดใด แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่มีทักษะ แค่ไม่ชอบเท่านั้นเอง
ท่ามกลางความมืดสลัว ใจของสไนเปอร์หนุ่มสั่นระรัวอยู่ซักพัก จนเขาแน่ใจแล้วว่าพวกมันเริ่มแยกย้ายกันไป เพราะเสียงฝีเท้าที่เบาลงเรื่อยๆ ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาแผ่วเบาอย่างโล่งใจ สงสัยพวกมันได้ที่นั่งเหมาะๆ สำหรับการพี้ยาแล้วล่ะมั้ง เขาหลบอยู่ที่เดิมซักพักเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครมาเดินเพ่นพ่านจนเจอเขา ร่างสูงในชุดรัดกุมจึงขยับเดินออกมา และลัดเลาะไปตามผนังในเงามืด
แปลก
จู่ๆ สัญชาตญาณของเขามันก็ร่ำร้องเตือนเมื่อมีบางสิ่งผิดปกติ เงียบเกินไป เหมือนจู่ๆ เสียงฝีเท้าและพวกพี้ยากลุ่มนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีเสียงหัวเราะหรือคึกคะนองพร่ำเพ้อ เหมือนตอนนี้ภายในโรงงานร้างมีแค่เขาคนเดียวเท่านั้น มันเกิดอะไรขึ้นกัน
เอี๊ยด
มือปืนหนุ่มสะดุ้งทันทีเมื่อได้ยินเสียงเบรกและเสียงล้อบดถนนดังลั่น เครื่องยนต์ของรถคันนั้นดังกระหึ่มสะท้อนดังก้องไปทั่วอย่างไม่กลัวเกรง เกิดอะไรขึ้นกันแน่ มือปืนหนุ่มไม่รอช้า และไม่คิดจะหาคำตอบกับสิ่งนั้น เขารีบเร่งความเร็วด้วยฝีเท้าเงิียบกริบเพื่อมุ่งไปทางหลังโรงงานร้างที่ติดกับไร่ข้าวโพด
“เจอ. ตัว. แล้ว” น้ำเสียงร่าเริงยินดีของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลหยักศกคนหนึ่งเดินออกมาจากมุมมืดและหยุดลงตรงหน้าของมือปืนหนุ่มทันที ร่างกายสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของจาคอปกดดันมือปืนหนุ่มคนนั้นจนถอยร่นออกไปหลายก้าว