ตอนที่ 12 “อ๊ากกกก”
“หุบปากทีเถอะกิ่ง เดี๋ยวแอลกอฮอลก็เข้าปากมึงหรอก”
“ก็พี่เนย์ทำเจ็บอะ! หมอยินช่วยผมหน่อยดิ!!”
ผมรีบกุลีกุจอวิ่งไปซบอกคนตัวสูงที่นั่งอยู่ข้างๆ ทันที หมอยินดันหัวผมออกแบบไม่เกรงใจบาดแผลบนใบหน้าผมเลยสักนิด “ไปให้ไอ้เนย์ทำดีๆ เรื่องมาก”
แหงะ พอโดนว่าที่สามีด่าเข้าแล้วผมก็เลยต้องยอมนั่งนิ่งๆ ให้หมอเถื่อนเขาช่วยจัดการความบอบช้ำทั้งหลายแหล่ให้ครับ
โชคดีที่บนหน้าผมมีแผลไม่มาก มีแค่รอยช้ำกับรอยแตกที่ปากนิดหน่อย คงเพราะพวกมันเน้นกระทืบมากกว่าบาดแผลเลยไปอยู่ที่ช่วงตัวซะส่วนใหญ่ หมอยินเองนอกจากรอยแตกสั้นๆ ที่คิ้วก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ
“มึงนี่นะ หาเรื่องชาวบ้านเขาไปทั่ว เป็นไงล่ะเจอกลุ่มไอ้แอมมัน โดนกระทืบกลับมาหัวแทบหลุด”
อ้อ เพิ่งรู้นะครับเนี่ยว่าที่ตีกันมาตั้งนานชื่อแอม… คนเราจะเกลียดกันทั้งทีชื่อแส้ไม่สำคัญเลยจริงๆ
“ผมไม่ได้หาเรื่องนะ พวกมันนั่นแหละที่เริ่มก่อนเอง ตั้งแต่วันก่อนๆ แล้วด้วย”
“แล้วมึงก็ไม่อดทน”
ไม่น่าเชื่อครับว่าคนเถื่อนๆ อย่างพี่เนย์จะเป็นสายนี้ แหม่ แต่นี่ผมก็ว่าผมเก่งแล้วนะครับที่อดทนมาได้ถึงขนาดนี้
“ผมไม่ชอบให้มันดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยวอะ ถ้ามันด่าผมคนเดียวคงไม่มีปัญหาอะไรหรอก อ้ากกก! เจ็บเว้ยยย!!” ผมร้องลั่นเมื่อพี่เนย์แกล้งกดสำลีใส่ยาลงไปบนแผลที่ไหล่แรงๆ ไอ้พี่บ้า! แถมพี่เปียวก็ดันหัวเราะได้ใจไปกับความเจ็บปวดของผมอีก นี่เป็นเอสกันหมดเลยใช่ไหมเนี่ย!
“หูยยยย พ่อพระเอก พูดอะไรมึงก็พูดไปเหอะ สุดท้ายแล้วพวกกูก็ต้องเข้ามาเกี่ยวอยู่เหมือนเดิม”
“…นั่นแหละพี่ ขอโทษด้วยครับ”
ผมไหว้ทุกคนในห้องด้วยความรู้สึกที่อยากขอโทษจริงๆ จากใจ …ตอนนี้พวกเราอยู่กันในห้องของหมอยินครับ เนื่องจากหอในของพวกผมพาคนนอกขึ้นไม่ได้ แต่ถึงได้ก็ไม่ควรเอะอะกันขนาดนี้ พวกเราสี่หน่อเลยมาหยุดกันอยู่ที่หอหมอยินแทน
ผมมาฟังพี่เปียวเล่าทีหลังว่า ช่วงที่ผมกำลังเลือดขึ้นหน้าอยู่นั่นพี่เนย์พี่เปียวก็ผ่านมาพอดี พอเห็นว่าท่าจะไม่ดีเท่าไหร่แล้วพี่เนย์เลยแกล้งตะโกนเรียกน้ายามมา ซึ่งมุกควายๆ แบบนี้ก็ใช้ได้ผลดีครับ พวกนั้นมันพากันวิ่งหนีหางจุกตูดไป ตามที่พี่เปียวเล่าก็ดูเหมือนกับว่าพวกมันเองก็เจ็บหนักมากเหมือนกัน เหมือนจะมีอยู่คนหนึ่งที่ต้องให้เพื่อนแบกด้วยซ้ำ
…ที่ผมรู้ได้ว่าหมอยินโดนยำอยู่นั้นส่วนหนึ่งก็เพราะได้พวก ‘พี่ๆ’ เขาช่วยไว้ด้วยครับ หลังจากเสียงเรียกชื่อหลอนๆ ของผมนั่นหยุดไปผมก็ได้ยินเสียงโวยวายจางๆ มาตามลม พอฟังดีๆ ก็รู้ว่าเป็นเสียงของหมอยินที่โดนไอ้พวกนั้นรุมอยู่ สงสัยคราวนี้คงจะต้องทำบุญใหญ่เพื่อขอบคุณในหลายๆ เรื่องซะแล้วล่ะครับ คนดีผีไม่ทิ้ง บุญเยอะจริง
“เออๆๆๆ ช่างมันเหอะ กูไม่ได้อะไรมาก เกลียดพวกมันอยู่ละ เดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะฟ้องอาจารย์ปกครอง เอาให้แม่งโดนหมายหัวหนักๆ ไปเลย”
“เฮ้ยพี่ไม่เอา ถึงขั้นนั้นมันน่ากลัวอะ ปล่อยมันไปเหอะ มันได้มารุมยำผมแล้วน่าจะพอใจได้แล้วล่ะ”
“…เดี๋ยวฉันเคลียร์เอง”
เสียงแหบๆ ของหมอยินที่นั่งนิ่งอยู่นานพูดขึ้นมา ผมหันไปมองหน้าหมอเขาที่ถึงจะบอบช้ำยังไงก็ยังดูหล่อ …และตอนนี้หน้าหล่อๆ นั่นก็แผ่รังสีอำมหิตออกมาไกลหลายร้อยไมล์แล้วครับ คาดว่าพวกนั้นน่าจะกำลังจามอยู่อย่างไม่หยุดหย่อน
“จะดีเหรอหมอ… ผมเกรงใจหมอที่สุดแล้วที่ลากเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ด้วย จริงๆ นะ”
“ถ้าฉันบอกว่าฉันจะจัดการเองก็คือจัดการเอง เข้าใจนะ”
หมอตัวสูงไม่ตอบอะไรต่ออีก เขาเดินไปหยิบโทรศัพท์เครื่องสีดำออกมาจากกระเป๋าเป้เปื้อนฝุ่น จากนั้นก็ออกไปคุยโทรศัพท์นอกระเบียงด้วยรังสีอำมหิตที่ยงคงแผ่ออกมาแบบไม่ปราณีใคร
“ติดต่อแบ็คมันชัวร์”
พี่เปียวพึมพำขึ้นมา พี่เนย์เองก็พยักหน้ายิ้มๆ ตาม …แบ็คหมอยิน ใครวะ ไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำว่าหมอมันมีแบ็คอะไร “ใครอะพี่”
“พ่อเลี้ยงมัน”
ผมไม่ยักกะรู้ว่าหมอยินเป็นลูกเลี้ยง… คิดนิยายดราม่าอยู่ในใจได้ไม่นานก็โดนพี่เปียวเบรกไว้ครับ “มันไม่ได้เป็นลูกเลี้ยงนะ มันมีพ่อสองคน คนหนึ่งเหมือนเป็นพ่อแท้ๆ กับอีกคนเป็นพ่อเลี้ยงอยู่รัสเซีย”
ข้อมูลใหม่ครับ ผมรีบกุลีกุจอเข้าไปเกาะแข้งเกาะขาพี่เปียวทันที “เทลมีพลีส”
“พ่อเลี้ยงมันเป็นคนรัสเซีย รู้แค่นี้แหละ”
“อ้าว! ไอ้เราก็นึกว่าจะมีต่อ! เล่าๆๆ กิ่งอยากรู้ นะ นะ นะ”
“แหม่ ทีอยากอ้อนอะไรขึ้นมาแล้วมีแทนตัวเองว่าก่งกิ่ง กูจะอ้วก”
พี่เนย์สวนขึ้นมาทันทีเมื่อผมแอ๊บน่ารักเพื่อล้วงข้อมูลจากพี่เปียว ผมเบ้ปากใส่พี่มันก่อนจะหันกลับมาทำคิขุอาโนเนะใส่พี่เปียวต่อ “แล้วทำไมแบ็คถึงใหญ่อะ เป็นมาเฟียรัสเซียเหรอครับ”
“ประมาณนั้นมั้ง มึงลองถามมันดูดิ”
“ใครจะไปกล้า”
“เออ กูก็ไม่กล้าเหมือนกัน ไปทำแผลต่อได้ละกิ่ง เดี๋ยวถ้ามันอยากบอกมันก็บอกเองแหละ ชิ่วๆ”
ไล่อย่างกับหมูกับหมาเลยครับ คราวนี้ผมเลยเบ้ปากใส่พี่เปียวต่อบ้างและมานั่งจุมปุ้กรอให้พี่เนย์ทารุณกรรมผ่านทางการทำแผลต่อ ผมถอดเสื้อออกให้พี่เนย์ดูแผลแถวๆ ท้องที่รู้สึกแสบๆ มานานแล้ว สงสัยว่าตอนที่โดนกระทืบจะถูกส้นรองเท้าขูดเอาล่ะมั้งครับ แผลถลอกเลือดซิบๆ เป็นทางยาวตั้งแต่ใต้ลิ้นปี่ลงมาสุดที่ใต้สะดือทำเอาผมอยากจะกลับไปกราดยิงพวกมันทิ้งซะเหลือเกิน เวรเอ๊ย
“มึงมีอะไรจะสั่งเสียกับกูก่อนไหมกิ่ง”
“ฝากบอกหมอยินว่า ดูแลลูกของเราด้วยนะ”
“ส้น….”
จากนั้นพี่หมอเถื่อนคนถ่อยก็ราดแอลกอฮอล์ลงไปทันทีครับ… เจ็บจนไม่ร้จะพูดยังไง เจ็บจนแหกปากไม่ออก เจ็บจนได้แต่กำผ้าห่มแน่นเหมือนเสียสาว ในใจได้แต่ด่าไอ้พี่เนย์เป็นร้อยๆ รอบในหัวต่อกันไปมาก่อนที่ปลายหางตาจะเหลือบไปเห็นหมอยินที่เดินเข้ามาในห้องพอดี คนตัวสูงทำหน้าเฉยๆ เหมือนเคย แต่บรรยากาศรอบตัวเขาบอกว่า เจ้าตัวอารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อยแล้ว
“เดินตัวปลิวมาเลยนะมึง ถอดเสื้อออกดิ จะดูให้ว่ามีแผลตรงไหนอีกบ้าง”
เอกเซลเลนส์ครับพี่เปียว “ถอดกางเกงออกด้วยนะครับหมอ เดี๋ยวมีแผลตรงไหนที่ไม่ได้ทายาแล้วมันจะอักเสบเอา”
“ทะลึ่ง” ร่างสูงมองค้อนให้ผม แต่ก็ยอมถอดเสื้อแล้วนั่งลงบนเตียงให้พี่เปียวตรวจตราแต่โดยดี …แน่นอนว่าโอกาสดีๆ หายากแบบนี้คนอย่างกิ่งมีหรือจะพลาดครับ นี่เตรียมเคลียร์เมมโมรี่ในสมองไว้บันทึกภาพพวกนี้ไว้จนวันตายเรียบร้อย
“จ้องอยากกับจะแดก”
“แดกได้ก็ดีนะ…”
“มึงพูดเหมือนลืมไปเลยว่าไอ้ยินมันก็อยู่ตรงนี้”
ผมหัวเราะกับพี่เนย์แต่ตาก็ยังจ้องเป็นมันอยู่ที่หมอยินที่กำลังหันหลังอยู่ อูหูวววววว นั่นหลังคนหรือหลังเทวดาชั้นเจ็ดครับเนี่ย ปีกสวยเหลือเกิน หมอมันไม่ใช่คนบึกมากแค่พอมีกล้ามเนื้อติดตัว ตอนนั่งหลังโค้งๆ แบบนี้เลยมองเห็นริ้วกระดูกสันหลังค่อนข้างชัดเจน…
“สำหรับฉันนี่ถือว่าเป็นการลวนลามนะ”
ชะอุ้ย แฮ่ๆ โทษทีครับ รู้สึกตัวอีกทีมือเจ้ากรรมก็เผลอตัวไปลูบไล้หลังเนียนๆ นั่นเสียแล้ว “แหะๆ ขอโทษครับหมอ แค่อยากจะเช็คดูว่าเป็นอะไรมากไหม”
“แค่เช็คนี่มึงต้องตั้งขนาดนี้เลยเหรอ”
หมับ! มือผมตะปบลงที่เป้ากางลำตัวตัวเองทันทีเพราะกลัวว่าจะเกิดปฏิกิริยาโดยไม่รู้ตัวตามที่พี่เนย์บอก… แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นครับ ยังคงนอนเรียบสงบอยู่ ไอ้พี่หมอเถื่อนมันได้ใจใหญ่เลยครับที่หลอกผมได้ ลงไปหัวเราะกลิ้งอยู่กับพื้นไปแล้วเรียบร้อย
“พี่เนย์นั่นแหละ ตอนโทรไปจะขอเดินกลับด้วยทำอะไรกันอยู่”
ได้ผลครับ คนตัวโตกว่าที่กำลังหัวเราะอยู่ชะงักกึกเหมือนโดนสต๊าฟ ก่อนจะหันกลับมาตีหน้าโหดใส่ผมแล้วแกล้งพี่เปียวต่อเป็นทอดๆ “ถามไอ้เปียวดูดิ นี่ก็งงๆ เหมือนกัน แต่มันเป็นฝ่ายชวนเองจะปฏิเสธก็กะไรอยู่”
“ไอ้เวรเนย์…”
“พวกมึงคุยอะไรก็เกรงใจกูบ้าง…”
เป็นหมอยินครับที่ทำลายบทสนทนาสาวไส้กันเองของพวกผมลง ผมหัวเราะแหะๆ ให้หมอที่ตอนนี้หันหน้ามาทางผมแบบเต็มตัวแล้วเรียบร้อย… กล้ามเนื้อหน้าท้องลอนสวยมีครบแปดอันเป้ะพอดีและแผ่นอกกว้างน่าซบนั่นกำลังเชื้อเชิญผมครับ เหมือนเห็นมันมีปากและกำลังพูดว่า ‘มาซบฉันสิกิ่ง’ ด้วยซ้ำ แถมต้นแขนที่กล้ามเนื้อดูจะแข็งแรงกว่าที่อื่นๆ นั่นก็กำลังท้าทายคมฟันของผมให้ขบลงไปอีกเช่นกัน…
“ถ้ายังไม่หยุดมองฉันจะต่อยนายแล้วจริงๆ นะ”
“โอ๊ยยยย กลัวแล้วครับทูนหัว” ผมแกล้งก้มกราบแทบตักหมอแล้วก็เนียนนอนตักต่อไปด้วยแบบมึนๆ ยิ้มเผล่ให้กับเจ้าของร่างกายอันแสนงดงามนี้แล้วก็ลูบกล้ามท้องสวยๆ นั่นเบาๆ
…ก่อนจะถูกถีบตกเตียงลงไป
“หมออ! นี่เจ็บนะเนี่ย! ถีบมาได้!”
“ก็ดี จะได้รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ”
“แต่ผมว่าก็คุ้มนะ ไหนขออีกทีดิ้”
ผมแกล้งจะกระโดดกอดหมอมันอีกครั้งแต่ก็เจอพระบาทายันไว้ได้ก่อน ตอนนี้ผมเลยกลายสภาพเป็นโคอาล่าเกาะปลายขาหมอยินไปแล้วเรียบร้อย
“พวกมึงเล่นตลกกันเหรอวะ”
พี่เปียวพูดออกมาด้วยสีหน้าเอือมๆ เมื่อเห็นว่าตัวของเพื่อนหมอด้วยกันไม่ได้มีแผลอะไรมากไปกว่ารอยช้ำ คุณชายหมอคนงามเลยเก็บกล่องพยาบาลอย่างเป็นระเบียบแล้วเดินไปวางไว้ที่ชั้นเดิมแล้วหันมาบอกรูมเมทของตัวเองว่า “กูว่าจะกลับห้องแล้วนะเนย์ กูอยากอาบน้ำ”
“ไปดิ”
ถึงคำพูดจะดูเหมือนไล่พี่เปียวอยู่กลายๆ แต่พี่เนย์ก็ยินยอมลุกตามไปแต่โดยดี ผมหันมามองหน้าหมอยินที่ยังคงวุ่นวายอยู่กับการป้องกันร่างกายตัวเองจากการลวนลามของผมอยู่แล้วก็ตีหน้าน่าสงสารสุดฤทธิ์พลางพูด “หมอออ ขออยู่ต่ออีกแป๊ปนึงนะครับ จิตใจบอบช้ำเหลือเกิน”
“จริงๆ แล้วคนที่บอบช้ำมันควรจะเป็นฉันมากกว่าไม่ใช่เรอะ ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลยแท้ๆ ยังโดนยำซะงั้น”
“หมอกำลังพูดให้ผมรู้สึกผิดมากกว่าเดิมนะเนี่ย…”
“ก็สมควร แทนที่จะขอโทษไปดีๆ ตั้งแต่แรก ทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้ไปได้”
…ก็แต่ก่อนกิ่งน้อยเป็นนักเลงแบบที่หมอว่ามานั่นแหละ
เสียงปิดประตูตามหลังร่างของพี่เนย์และพี่เปียวทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่กันสองต่อสองกับหมอยินแล้วเรียบร้อย ร่างสูงเองก็ไม่ได้ไล่ผมออกจากห้องแต่กลับลุกไปเปิดตู้เย็นหาอะไรกินแทน ซึ่งผมก็ถือซะว่านั่นเป็นการยอมรับให้ผมสิงที่นี่ต่อไปแล้วด้วย (หน้ามึนซะไม่มี)
“มีมาม่า จะกินไหม”
ร่างสูงกันมาถามตอนที่ค้นของเหนือตู้เย็นพอดี ผมพยักหน้าแรงๆ จริงๆ ก็กินข้าวเย็นมาแล้วแหละครับ แต่หลังจากการต่อยตีอย่างหนักหน่วงเมื่อครู่นั่นก็ทำเอาเสียพลังงานไปหลายหน่วยทีเดียว ได้มื้อดึกมาเยียวยาบ้างก็ดี
ผมลุกขึ้นไปช่วยจัดจานชาม ส่วนหมอยินเองก็กดกาน้ำร้อนแล้วไปฉีกซองเตรียมบะหมี่… ทำงานเข้าคู่กันดีมากครับ ชีวิตคู่ที่แสนสมบูรณ์แบบ
ใช้เวลาไม่นานนักบะหมี่หอมๆ ก็ถูกจัดวางบนโต๊ะตัวเดิมที่คุ้นเคยครับ ผมนั่งอยู่บนเตียงและหมอเองก็อยู่บนเก้าอี้เหมือนเคย และวันนี้ผมก็ได้เรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ เกี่ยวกับหมอยินอีกครับว่าหมอมันเป็นประเภทที่กินมาม่ากับตะเกียบ น่ารักซะไม่มี
“ผมเพิ่งรู้ว่าหมอมีพ่อเลี้ยงเป็นคนรัสเซียด้วย”
ผมพยายามเปิดบทสนทนาที่เกี่ยวกับหมอมันขึ้นมาครับ หลอกถามแบบเนียนๆ ทำเหมือนกับว่าก็ไม่ได้อยากรู้อะไรมากมาย แค่บังเอิญสงสัยและได้ยินมาเท่านั้นเอ๊งงงง
คนตัวสูงชะงัดไปนิดหน่อย …นิดหน่อยจริงๆ ครับ แล้วก็ก้มหน้าก้มตากินต่ออย่างเมามันส์ ท่าจะหิวจริง
“อืม”
โอ้ เป็นคำตอบที่ปราบเซียนพวกขี้เผือกจริงๆ ครับ ไปต่อไม่เป็นเลยกู
“หมอรู้ไหม ผมเองก็มีพ่อเลี้ยง”
“ไม่”
“พ่อเลี้ยงผมแต่งงานกับแม่ตอนผมอยู่ม.หนึ่งอะ จำได้ว่าตอนนั้นหงุดหงิดมากกกก เหมือนจะโดนแย่งความสนใจไป” ในเมื่อหมอมันไม่ยอมเล่าเรื่องของตัวเองผมก็ขอเล่าเรื่องของผมบ้างแล้วกันครับ อยากน้อยจะได้รู้ไว้ว่าผมยินดีที่จะแชร์เรื่องครอบครัวกับมัน “แล้วผมก็เลยมีน้องสาวที่อายุห่างกันสิบสี่ปีอะ คิดดูดิหมอ ผมโคตรอายเวลาโดนน้องเดินตามต้อยๆ เหมือนเป็นลูกติดอีกคน”
“แล้วตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้ว”
ได้ผลครับ! หมอมันเหมือนจะสนใจขึ้นมาหน่อยๆ แล้วด้วย “ห้าขวบครับ กำลังน่ารักเลย ชื่อแก้ว”
“เหรอ”
“แต่ผมไม่ค่อยได้กลับบ้านเท่าไหร่อะ งานเยอะ นี่ก็คิดถึงหมาที่บ้านเหมือนกัน”
“บ้านฉันก็มีหมา”
“จริงเหรอครับหมอ! โหยยย ข้อมูลใหม่ๆ” ผมทำท่าเป็นเหมือนจดๆ ลงในสมุดอากาศ หมอมันเลยโบกหัวผมเบาๆ เพราะเห็นว่ากำลังเล่นตลกแบบไม่สนใจสถานการณ์อยู่ “บ้านผมเลี้ยงมาพันทางแหละ น่ารักมากมีสี่ตัว โคตรคิดถึง”
“บ้านฉันก็พันทาง พอดีคนแก่ที่บ้านขี้เหงา ฉันไม่ค่อยได้กลับบ้านเท่าไหร่เหมือนกัน”
โอ้วววว ข้อมูลใหม่มาเยอะจริงๆ ครับวันนี้ ผมอมยิ้มเมื่อเห็นหมอมันเริ่มต่อบทสนทนาได้เรื่อยเปื่อย เพราะงั้นแม้ว่ามาม่าในชามพวกเราจะหมดแล้วแต่ผมกับหมอก็ยังนั่งคุยกันอยู่ครับ ทั้งเรื่องของที่บ้าน เรื่องชีวิตตอนเด็กๆ แล้วก็เรื่องนู่นนี่นั่นเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยจนผมเริ่มง่วงนอน พอดูนาฬิกาในมือก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้วพอดี ร่างสูงลุกขึ้นเก็บกวาดจานชามอย่างเป็นระเบียบ และในขณะที่ผมกำลังคิดมากว่าจะกลับหอยังไงให้ไม่โดนผีหลอกอีกดีหมอยินก็พูดโพล่งขึ้นมาว่า
“จะค้างที่นี่ไหม”
จะค้างที่นี่ไหม
จะค้างที่นี่ไหม
จะค้างที่นี่ไหม…
“…แค่ถามเฉยๆ ทำไมต้องเลือดกำเดาไหล”
ผมเอามือป้ายใต้จมูกตัวเองอย่างงงๆ แล้วก็พบกับเลือดสีแดงๆ ที่ไหลออกมาจากจมูก สาเหตุก็เนื่องมาจากจินตนาการสำคัญความรู้นั่นแหละครับ… “สงสัยโดนพวกนั้นต่อยมา ความดันเลือดเลยสูงไปนิดครับ”
“งั้นกลับไปนอนห้องนายเถอะ ท่าจะไม่สบายหนัก”
“โฮ้ยยย หมอ ไม่เป็นไรครับ แค่นี้สบายมาก ค้างได้ๆ”
“ถ้าสบายมากก็กลับไปนอนหอไป”
“แค่กๆ โอยไม่สบาย ปวดหัวจังเลย อยากนอนแล้วอะ สัญญาว่าจะนอนเฉยๆ ไม่ดื้อไม่กวนครับ”
หมอมันทำหน้าไม่ไว้ใจผมอย่างแรงเมื่อเห็นว่าผมทำหน้าจริงจังทั้งๆ ที่ยังมีเลือดกำเดาไหลอยู่เนืองๆ ร่างสูงถอนหายใจยาวก่อนจะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วโยนชุดนอนมาให้ผม
“ถ้าจะนอนก็ไปอาบน้ำไป”
“มีการมาไล่ไปอาบน้ำก่อนนอนด้วย เขินอะ”
“ไอ้เด็กเวร”
“ฮ่าๆๆ ไปแล้วครับหมอๆ ขอบคุณสำหรับชุดนอนครับ”
เมื่อเห็นท่าว่าร่างสูงอาจจะหงุดหงิดเข้าจริงๆ ผมก็รีบคว้าชุดนอนแล้ววิ่งฉิวเข้าห้องน้ำมาทันที …โอ้โถส้วม
สะอาดตา โอ้ฝักบัวและเครื่องทำน้ำอุ่นอันงดงาม โอ้แชมพู โอ้สบู่…
แค่คิดว่าจะได้ใช้สบู่กลิ่นเดียวกันและขวดเดียวกันกับหมอแล้วก็รู้สึกคึกขึ้นมาทันทีครับ แก้ผ้าตัวเองหมดจดภายในสองวิ เปิดน้ำแต่น้อยๆ แล้วพรมเฉพาะส่วนที่สำคัญ ส่วนช่วงตัวที่มีแต่แผลเต็มไปหมดนั้นขอละไว้ในฐานที่ไม่สามารถทำความสะอาดได้แล้วกันครับ
สบู่ที่หมอใช้ก็เหมือนสบู่เหลวทั่วๆ ไปที่ชาวบ้านเขาใช้อะครับ แต่ผมนี่ก็จดยี่ห้อและกลิ่นในหัวไปแล้วเรียบร้อย กะว่าจะซื้อใช้ตาม โฟมล้างหน้ากับแชมพูก็จำครับ เผื่อจะหน้าใสไร้สิวแบบหมอเขาบ้าง
ผมอาบน้ำเร็วๆ เพื่อที่จะได้เก็บเวลาไว้ทำอย่างอื่นในห้องน้ำต่อครับ… ต้องทำเผื่อไว้ ไม่งั้นเดี๋ยวนอนใกล้กันแล้วมันจะออกมาเซย์ฮัลโหลหมอเขาเอา ไม่สมควรกับคืนแรกเป็นอย่างยิ่งครับ
พอเสร็จทุกอย่างแล้วผมก็สวมชุดนอนสีฟ้าอ่อนที่หมอเตรียมมาให้อย่างเรียบร้อยครับ กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มจางๆ ที่ผมไม่รู้ว่าเป็นของยี่ห้ออะไรชวนให้อยากรู้ขั้นรุนแรง สงสัยพรุ่งนี้จะต้องไปแอบดูในตะกร้าซะแล้ว
ตอนที่ออกมาจากห้องน้ำหมอยินก็อยู่ที่โต๊ะหนังสือไปเรียบร้อยแล้วครับ ขยันจริงๆ ไม่รู้ว่านี่เรียนหรือสอบชิงแชมป์จักรวาล จริงจังเหลือเกิน
“หมอไม่อาบน้ำเหรอครับ”
“เดี๋ยวจะนอนค่อยอาบ”
“อ้าว หมอยังไม่นอนเหรอ”
“นายนอนไปก่อนเลย”
เรื่องอะไรจะยอมเสียโอกาสนอนข้างๆ กันไปล่ะครับ ผมเลยอยู่รอจนกว่าหมอมันจะอ่านหนังสือเสร็จ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองสลบไปตอนไหนเหมือนกัน รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงหมออาบน้ำอยู่ในห้องน้ำเรียบร้อยไปแล้วครับ แหม่ เก่งจริงกูเรื่องเดินทางข้ามเวลา
มองเวลาอีกครั้งก็ตกใจเพราะนี่มันก็เกือบจะรุ่งสางแล้วครับ …เกือบจะตีสามพอดีที่หมอมันออกมาจากห้องน้ำ มันดูแปลกใจที่เห็นผมนั่งหัวโด่อยู่แทนที่จะหลับ แต่ร่างสูงก็ไม่ได้พูดอะไร หมอมันเก็บนู่นนี่อีกสักพัก เดินไปปิดไฟที่โต๊ะอ่านหนังสือแล้วก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง เห็นแบบนั้นแล้วผมก็ล้มตัวลงนอนตามบ้าง จริงๆ ก็อย่างกระเถิบเข้าไปซบอกใกล้ๆ …ถ้าไม่ติดหมอนใบโตที่หมอมันเอามาคั่นไว้น่ะนะ
“นอนไปดีๆ พรุ่งนี้มีเรียน”
“หมายถึงถ้าพรุ่งนี้ไม่มีเรียนก็จู๋จี๋ได้สินะครับ…”
“ทะลึ่ง พูดมากฉันไล่กลับหอจริงๆ นะ”
“แอ่ก กลัวแล้วครับ”
ถึงรู้ว่าจะตีสามแล้ว แต่ถ้าหมอมันไล่จริงๆ ก็คงต้องกลับแหละครับ ผมเลยซุกตัวเข้าใต้ผ้าห่ม นอนลืมตาฟังเสียงลมหายใจของคนข้างๆ อย่างตั้งใจ ไม่นึกเลยว่าวันที่จะได้นอนเตียงเดียวกับหมอมันจะมาถึงครับ นี่ถ้ามีบ้านคงต้องขายบ้าน มีรถคงต้องขายรถไปทำบุญแล้วมั้งครับเนี่ย อะไรมันจะสมพรได้ขนาดนี้
“หมอหลับยัง”
เงียบ สงสัยไม่ช็อต เอ้ย สงสัยหลับไปแล้วจริงๆ
“หมอ ถ้าหมอไม่ตอบผมจะถือว่าลวนลามหมอได้จริงๆ นะเว้ย”
ผมเรียกหมอมันอีกสองสามครั้งก่อนจะลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบเพื่อเช็คว่าคนตัวสูงหลับไปแล้วจริงๆ อย่างที่คิดรึเปล่า หมอยินหลับตาพริ้ม นอนตะแคงหันหน้าหนีผมอย่างงดงามครับ… สงสัยจะอาย เห็นอย่างนั้นแล้วผมเลยกดริมฝีปากตัวเองลงไปที่แก้มข้างซ้ายของหมออย่างแผ่วเบาเหมือนแมลงปอป่วยใกล้ตายเกาะบนน้ำอะครับ เบามากจนรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ค่อยๆ แผ่ซ่านออกมาจากร่างของคนข้างๆ
ผมพลิกตัวกลับมานอนเหมือนเดิมเงียบๆ แต่หัวใจในอกนี่เต้นรัวอย่างกับรัวกระเดื่องคู่ในเพลงเมทัล มันเต้นแรงมากจนผมกลัวว่าเตียงจะสั่นแล้วคนข้างๆ จะตื่นอะครับเลยได้แต่นอนตะแคงเอาตัวข้างขวาลงกับเตียงแทน แม่ง โคตรเขิน นี่ผมได้หอมแก้มหมอจริงๆ เหรอเนี่ย… แม้จะในเวลาที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัวก็เถอะ
เปิดใจให้เร็วอีกนิดเถอะนะครับหมอ ก่อนที่อะไรๆ มันอาจจะสายไปสำหรับผม
ผมหลับไปโดยไม่รู้ตัวหลังจากนั้นอีกไม่กี่นาทีด้วยความเหนื่อยล้า …ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าผมตื่นอยู่ล่ะก็ ผมคงจะต้องลงไปร้องไห้ด้วยความอายกับพื้นแน่ๆ ถ้ารู้ว่าหมอมันยังตื่นอยู่ตอนที่ผมกระทำการอุกอาจแบบนั้นลงไป…
tbc.
*********************************************
มาลักหลับหมอกันเถอะ #ผิด