:::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [จบภาค P.7 ::: 9/3/60]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: :::: Heart's Tale :::: รุ่นพี่คนนั้นชื่อ 'จิณณ์' [จบภาค P.7 ::: 9/3/60]  (อ่าน 36505 ครั้ง)

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
เหอ ๆ ไม่อยากซ้ำ แต่ทำตัวเองล้วน ๆ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
คุณนี้ขยันหาเรื่องดีนะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
คุณ รู้สึกแบบนี้
ทั้งหน่วงๆ และเสียใจ น้ำตาก็ไหล
แสดงว่าคุณ ห่วงใยความรู้สึกของจิณณ์
และคุณ รู้ถึงความห่วงหาของตัวเอง
ที่เห็นจิณณ์ โกรธ ไม่พอใจ แล้วจากไป
รอคุณ เข้าใจตัวเอง และเข้าใจพี่จิณณ์
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1

ออฟไลน์ Maple

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เออ นี่น้อง งง คนอ่านก้งงใจไปด้วย ตกลงน้องจะเอาไงกะชีวิตคะลูก

ออฟไลน์ MoonLovers

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ ๑๓   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ




ใกล้สอบปลายภาคเข้าไปทุกทีแล้ว พวกเราต่างวุ่นวายกับการทำรายงานส่งอาจารย์และอ่านหนังสือเตรียมสอบ ห้องสมุดทั้งของคณะและของมหาวิทยาลัยคึกคักไปด้วยเหล่านิสิตที่ไปจับจองพื้นที่ในการทบทวนวิชาความรู้ที่เรียนมาตลอดเทอม ผม วาและบุรินทร์เบื่อที่จะไปแย่งชิงที่นั่งกับคนอื่นเลยเลือกที่จะทำงานกันที่โต๊ะประจำในตอนเย็นทุกวัน รายงานตัวสุดท้ายส่งถึงมืออาจารย์ไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงแค่ทบทวนวิชาที่ต้องสอบเท่านั้น ข้อดีก็คือผมมีวิชาที่เป็นปัญหาเยอะ มันเยอะซะจนช่วยทำให้ผมลืมเรื่องบางเรื่องในใจไปได้โดยไม่รู้ตัว

ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่ได้เจอจิณณ์อีกเลย น่าหัวเราะที่จะบอกว่าเหมือนชีวิตมันขาดอะไรไปสักอย่าง ขาดไปอย่างน่าเจ็บใจ ทั้งที่มันควรจะเป็นความสบายใจที่ชีวิตผมกลับเข้าสู่ระบบเดิม ตื่นเช้า ปั่นจักรยานมาขึ้นรถไฟฟ้า เรียนหนังสือ คุยกับเพื่อน เที่ยวกับสาว ๆ แล้วก็กลับบ้านนอน เหมือนเดิมทุกอย่าง อย่างเดียวที่เปลี่ยนไปคือหัวใจของตัวเอง ผมไม่มีความสุข

“เอ้า เหม่อ เหม่อ คุณชายคุณภัทรคร้าบบบบ เหม่อไปถึงไหนแล้วคร้าบบบ” ผมถอนใจเฮือกใหญ่ มองเจ้าคนทักเหมือนจะรำคาญแต่ก็ไม่จริงจังนัก บุรินทร์กำลังคาบขนมปังแท่งไว้ในปาก ไอ้ตี๋มันไปค้นผ้าคาดผมสีส้มแสบตามาจากไหนก็ไม่รู้คาดหน้าผากไว้ ในมือมีเล็คเชอร์ของวิชาที่เจ้าตัวอาสาจะเป็นคนติวให้ เหตุผลง่าย ๆ ก็เพราะว่าวิชานี้บุรินทร์ทำคะแนนเก็บได้ดีกว่าใครในชั้นปีควบคู่กับวา ส่วนผมนั้นปานกลางค่อนไปทางต่ำ

“จะติวไหม ไอ้วิชาการใช้เหตุผลเนี่ย มัวแต่เหม่อเดี๋ยวให้อ่านเองนะ”

“ก็ติวมาตั้งนานแล้วขอพักหน่อยสิ”

“นาน แค่ครึ่งชั่วโมงเนี่ยนะนาน จะบอกให้นะถ้าเอาเวลาที่นายนั่งเหม่อไปทางนู้นนน” ปากบวม ๆ นั่นทำบุ้ยใบ้ไปทางคณะสถาปัตย์ “มาลบกับเวลาที่นายเอาแต่ถอนหายใจ มันจะเหลือเวลาที่นายตั้งใจฟังฉันตั้งเท่านี้แน่ะ” ไอ้เพื่อนตัวดีมันจิกหัวแม่มือกับข้อนิ้วชี้ได้อย่างน่าตบกะโหลก ผมเลยดีดหน้าผากมันให้ทีหนึ่ง โทษฐานช่างประชดประชันแล้วก็สังเกตเพื่อนดีเกินไป

“พูดมาก”

“เหอะ แทงใจดำแค่นี้ทำเป็นลงไม้ลงมือ เดี๋ยวปั๊ดจูบ”

“กล้าหรือบุรินทร์ ไม่กลัวลูกศิษย์งอนเอาหรือ” วาแทรกขึ้นยิ้ม ๆ ผมมองรอยยิ้มของวาแล้วก็หันไปมองสีหน้าของบุรินทร์ เจ้านั่นกำลังเบะปาก เปิดหนังสือพรึบ ๆ เหมือนไม่รู้ความนัยของสายตาวา ผมหยุดคิดไม่นานก็ขยับเข้าไปใกล้ ถามเสียงหวานเจี๊ยบ

“บุรินทร์ไรเดอร์ มีเรื่องอะไรที่ยังไม่ได้บอกเพื่อนหรือเปล่าจ๊ะ”

“ไม่มี”

“แน่ใจ?”

“แน่”

“ไม่บอก เดี๋ยวไปสืบเองนะ นายก็รู้ เรื่องแบบนี้น่ะไม่เหนือบ่ากว่าแรงของท่านคุณภัทรคนนี้หรอก ว่าไง ลูกศิษย์คนนั้นเป็นใครบอกมาซะดี ๆ” บุรินทร์จิ๊ปากแถมด้วยอาการฮึดฮัดน่าหมั่นไส้มากในสายตาผม มันค้อนวาแล้วก็ตอบเหมือนเสียไม่ได้

“ลูกศิษย์ก็คือลูกศิษย์สิ นายอย่าบ้าจี้ตามวามันหน่อยเลยน่า เสียเวลาอ่านหนังสือโดยใช่เหตุ มัวแต่ถามมากเดี๋ยวฉันจะไปตามพวกพี่สถาปัตย์มาติวให้แทนนะ” ผมทุบไหล่มันดังปึก ไม่อยากจะบอกเลยว่าตอนที่มันเอ่ยพาดพิงถึงคนกลุ่มนั้น ใจผมดันกระตุกวูบ บ้าจริง ๆ เลย ผมแย่งกล่องขนมมาจากบุรินทร์ ตีหน้านิ่งเมื่อเห็นสายตาอีกสองคู่จับจ้องมา

“จะว่าไปก็ไม่เห็นพี่จิณณ์มาช่วงหนึ่งแล้วนะ พี่เค้าหายไปไหนหรือคุณ”

“ถามฉัน ฉันจะไปถามใครล่ะ” ผมสั่นหน้า แทะแท่งขนมปังต่ออย่างเมามัน บุรินทร์ยังไม่ได้คำตอบที่พอใจก็ยังไม่ยอมเลิกรา “ก็ปกติเห็นพวกนายเดินตามกันต้อย ๆ นึกว่ารู้”

“ไม่รู้แล้วก็ไม่ได้ตามด้วย อยากรู้ก็ถามวาสิเผื่อพี่พีร์จะบอกอะไรบ้าง” พูดไปแล้วผมเองก็อดไม่ได้ที่จะรอฟัง เพราะหลังจากวันนั้นก็ไม่ได้ข่าวคราวของจิณณ์อีกเลย จะออกปากถามเพื่อนก็ไม่กล้ากลัวจะโดนแซวเข้าให้อีก พอบุรินทร์เปิดประเด็นมาผมเลยลากไปทิ้งไว้บนตักวาแล้วก็รอลุ้นไปในตัว เจ้าเพื่อนหน้าหวานยิ้มสวย

“พี่เค้าก็ยุ่งกับเรื่องสอบนี่แหละ ปีสุดท้ายงานเยอะจะตาย ทั้งสอบข้อเขียนทั้งภาคปฏิบัติ ได้นอนกันวันละสองสามชั่วโมงเองมั้ง” แอบผิดหวังนิด ๆ ที่คำตอบมันช่างสั้นไม่สาแก่ใจ ผมถอนใจเบา ๆ เงยหน้าขึ้นมาก็เจอดวงตาวิบวับของวากับบุรินทร์ อะไรอีกล่ะคราวนี้

“คิดถึงพี่จิณณ์หรือคุณภัทร”

“คิดถึงทำไม ทำไมฉันต้องคิดถึงหมอนั่นด้วย ไม่ได้คิดถึง”

“อย่ามาปากแข็งไปหน่อยเลย เผลอทีไรเป็นต้องมองไปทางสถาปัตย์ทุกครั้ง เพื่อนไม่ได้ตาบอดนะคุณ ตกลงทะเลาะอะไรกัน ช่วงนี้ถึงได้ซึมเป็นผีตายแบบนี้” ฟังปากคอวรินทรเสียก่อนครับท่าน ตีตรงประเด็น ไม่มีเลี้ยวไม่มีอ้อมให้คนถูกถามมีช่องเร้นหลีกได้เลย ผมเม้มปากแน่น ใจหนึ่งก็อยากจะเล่าให้ฟังแต่มันติดที่ว่าไม่รู้จะเริ่มตรงจุดไหนนี่สิ ก็มันมากมายจนผมหาจุดเริ่มต้นไม่ได้นี่นา

“ก็ไม่ได้ทะเลาะกัน พี่มันคงยุ่งกับเรื่องเรียนอย่างที่วาบอกนั่นแหละถึงได้ไม่ค่อยโผล่มา อีกอย่างจิณณ์เข้ามาเกี่ยวข้องกับเราเพราะเรื่องรายงาน พอหมดเรื่องให้ช่วยแล้วก็กลับไปอยู่กับพวกเพื่อน ๆ เหมือนเดิม ก่อนหน้านี้พวกเราก็อยู่โดยไม่เกี่ยวข้องกับพวกนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”

“นายสิไม่เกี่ยว พวกเราเกี่ยวกับพวกนั้นมาตั้งแต่เข้ามาเรียนที่นี่แล้วไอ้น้อง”

“หมายความว่าไง”

“ช่างเถอะ” วายกมือห้ามทัพก่อนที่บุรินทร์จะงับหัวผมแล้วก็ประกาศิตให้บุรินทร์ลุกไปซื้อน้ำมาเติมเพราะระหว่างที่เราพักยกเถียงเรื่องนอกบทเรียนกันอยู่นั้นไอ้ตี๋มันก็ซดน้ำลงคออึก ๆ ตลอดเวลา กว่าวาจะหันมาหาน้ำกิน ทั้งชาทั้งน้ำอัดลมทั้งน้ำเปล่าก็หมดเกลี้ยงทุกกระป๋อง เรียบร้อยโรงเรียนบุรินทร์

“บุรินทร์มันพูดแปลก ๆ หมายความว่าไงหรือวา” ผมถามขึ้นเมื่อเห็นว่าบุรินทร์ไปไกลเกินรัศมีที่จะได้ยินแล้ว วาชำเลืองมองมาก่อนจะยักไหล่ “อย่าไปเอาอะไรกับมันมากเลย คนกำลังมีความรักก็พูดไปเรื่อยเปื่อย”

“ความรัก!” ผมตะเบ็งเสียงลั่นลานม้าหินอ่อน เล่นเอาสาว ๆ แถวนั้นสะดุ้งโหยงกันเป็นแถบ อะไรกันวะเนี่ย ปล่อยให้ห่างหูห่างตาพักเดียวเล่นมีแฟนมาเย้ยเพื่อนเลยเรอะ ผมขยับเข้าไปใกล้วา ฝ่ายนั้นเห็นผมตกใจจนตาโตก็ยิ่งยิ้มกว้าง “บุรินทร์ไปมีความรักกับใคร”

“น้องมอปลาย”

“เฮ้ย เล่นเด็กเลยเรอะ”

“ใช่ ลูกศิษย์ที่เจ้าตัวสอนพิเศษให้นั่นแหละ”

“อ๋อ เพราะแบบนี้เองเล่าถึงได้ไม่อยากเล่าให้เราฟัง ถามอะไรก็ลื่นไปได้เรื่อย ๆ ชะ ไอ้วัวแก่ริจะกินหญ้าอ่อน” ผมเข่นเขี้ยว ถึงว่าช่วงนี้ดูบุรินทร์มันไม่ค่อยโทรคอยเช็คว่าผมจะไปไหนยังไง แถมยังไม่ค่อยนัวเนียเหมือนเก่าคงเพราะกลัวว่าข่าวจะลอยไปถึงหูลูกศิษย์สุดที่รักนี่เอง

“เค้าแก่อ่อนกว่ากันแค่ปีเดียวจะมาวัวแก่อะไรเล่า”

“ตัวเลขมันไม่สำคัญหรอกวา สิ่งสำคัญคือสถานภาพต่างหากล่ะ ฮ่า ๆ ๆ นิสิตมหาวิทยาลัยกับเด็กมอปลาย แหมะ แค่พูดขึ้นมาลอย ๆ คดีพรากผู้เยาว์ก็มาเห็น ๆ แล้ว” วาเท้าคาง มองมายิ้ม ๆ ก่อนจะท้วงว่า “แล้วพวกพี่ปีห้าที่มาชอบน้องปีหนึ่งล่ะเป็นวัวแก่ด้วยหรือเปล่า”

“ปีห้า? ไม่แปลกนะ เรียนมหาวิทยาลัยกันหมดแล้วถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว”

“แหม เข้าข้างกันจังนะ” วาว่าแล้วก็หัวเราะแผ่ว ผมงงไปแวบเดียวแต่ด้วยความฉลาดที่มีมาตั้งแต่ในท้องแม่ก็ทำให้เข้าใจในวินาทีต่อมาทันที

“วา! ไม่เกี่ยวนะ ฉันไม่ได้หมายถึงจิณณ์ ฉันแค่...แค่...” แค่คิดไปแบบนั้น แค่พูดไปตามที่คิด แต่ทำไมผมต้องคิดไปถึงไอ้หล่อนั่นด้วย เวร รู้สึกเหมือนเพิ่งโดดลงหลุมที่ตัวเองเป็นคนลงมือขุดเองยังไงไม่รู้ ผมโบกมือไปมา เห็นวาเอาแต่ยิ้มก็เลยคร้านจะแก้ตัว ไม่ได้การ บุรินทร์กำลังเดินกลับมาผมต้องรีบสืบเรื่องของมันให้ได้ก่อน

“ทางโน้นเค้าตกลงคบด้วยแล้วหรือ”

“ใช่ ก็คงชอบบุรินทร์อยู่บ้างล่ะมั้ง เพื่อนเราก็หน้าตาท่าทางดีออกแถมที่บ้านยังเป็นเจ้าของโรงพยาบาลอีก สมบูรณ์แบบขนาดนี้ไม่รักได้ไง” ผมไม่สงสัยข้อนั้นแต่ที่มันติดอยู่ในใจคือเรื่องที่ทำให้ทั้งสองคนไปเจอกันได้นี่แหละ ปกติบุรินทร์มันรับงานพวกนี้เสียที่ไหน มันเบะปากให้ด้วยซ้ำว่าขี้เกียจ

“สมบูรณ์แบบแล้วทำไมถึงยังต้องไปสอนพิเศษ”

“อยากรู้ก็ไปถามพี่จิณณ์ดูสิ”

“หมายความว่าไง จิณณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยหรือ” วาไม่ตอบ บุรินทร์ก็กลับมาถึงโต๊ะพอดี ผมอยากจะเขย่าแขนวาเอาความกระจ่างให้หายสงสัยแต่ก็ยังเกรงใจดวงตาเรียวยาวที่ชำเลืองมองมา บุรินทร์มันใจดีก็จริงแต่เวลาน่ากลัวขึ้นมาก็โหดใช่น้อย หากมันรู้ว่าผมแอบซอกแซกเรื่องส่วนตัวที่มันพยายามปิดหนักหนาล่ะก็ไอ้ตี๋มันเล่นงานผมแก้มช้ำแน่

ผมนั่งมองบุรินทร์คุยกับวาเงียบ ๆ น่าแปลกที่ผมไม่ได้น้อยใจที่อีกฝ่ายทำเหมือนมีความลับทั้งที่เป็นเพื่อนกัน ผมเข้าใจโดยที่ไม่ต้องให้ใครมาอธิบาย บุรินทร์ยังไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร เรื่องของหัวใจบางครั้งก็ต้องรอจังหวะและความเชื่อมั่นอีกหลายอย่างก่อนจะเอ่ยปากบอกใครออกไป สิ่งเดียวที่ติดอยู่ในใจผมคือจิณณ์มาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้อย่างไรเท่านั้น



เหลืออีกเพียงหนึ่งสัปดาห์พวกเราจะเริ่มสอบในตารางตัวแรก อ่านหนังสือมาเกือบเดือนพวกผมก็เริ่มมองเห็นอนาคตของแต่ละวิชาขึ้นมาบ้างแล้ว บุรินทร์น่ะผ่านฉลุยดีไม่ดีอาจได้เอทุกวิชา วามีบางตัวที่เจ้าตัวบอกว่าไม่ค่อยชัวร์ ส่วนผมไม่ชัวร์มันแม่งทุกวิชา ถึงตอนนี้ก็ยังจำไม่ได้เลยว่าตัวเองเรียนอะไรไปบ้างในหนึ่งเทอมที่ผ่านมา หนังสือกองใหญ่ที่อ่านผ่านสายตาไปมันเริ่มทำพิษ เนื้อหาทั้งหมดมันกำลังเดินสวนกันไปสวนกันมาในหัวผม บอกตามตรงว่าถึงจะอ่านมาครบทุกตัวแต่ก็ไม่มั่นใจว่าถ้าเจอข้อสอบจริง ๆ ผมจะนึกคำตอบออกไหม

บางวิชาดีหน่อยที่ได้อ่านแค่ของครึ่งเทอมหลัง แต่บางวิชาอาจารย์จะเอาเนื้อหาตั้งแต่ต้นเทอมมาออกสอบ ผมเลยต้องย้อนกลับไปอ่านใหม่ตั้งแต่ต้น ใครอย่าคิดว่าเรียนสายภาษาแล้วจะสบาย แค่ตำราก็ปาเข้าไปเป็นสิบ ๆ เล่ม แล้วแต่ละเล่มนั้นก็ได้มาตรฐานที่ว่าสามารถโยนใส่หัวหมาแค่เบา ๆ ก็แตกได้เลยทีเดียว

“ทำไงดีวะ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป มีหวังได้กินซีเป็นแถวแน่” อาการเครียดของผมเริ่มปรากฏพร้อมกับวาที่นั่งทำหน้าเรียบอยู่ข้าง ๆ ผมสังเกตว่าวากำโทรศัพท์ในมือแน่นหลังจากพยายามโทรออกหลายครั้งแล้วไม่เป็นผลสำเร็จ ดูเหมือนจะไม่มีคนรับสาย

“ทำอะไรน่ะวา” สุดท้ายผมก็อดปากไม่ได้ตามเคย “โทรหาพี่พีร์ บอกให้เราเป็นคนโทรแล้วไม่ยอมรับสายแบบนี้สงสัยอยากมีเรื่อง”

“ใจเย็นน่า อาจกำลังติดธุระด่วน ใกล้สอบแบบนี้พวกพี่ปีสุดท้ายก็ต้องยุ่งเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เดี๋ยวก็โทรกลับมาเองแหละ” วาถอนใจพรืด ยังไม่ยอมเลิกโทร

“ไม่ได้ พวกนั้นส่งโปรเจ็คจบไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่นี้ไปก็เหลือแต่ทำเรื่องขอจบ เรารอไม่ได้หรอก เวลามันไม่ได้รอพวกเราไปด้วยนะคุณ” ผมปิดหนังสือในมือลง ก็พูดถึงพวกพี่พีร์อยู่ดี ๆ แล้วมันมาเกี่ยวอะไรกับเวลาของพวกผมด้วยล่ะ งงครับงานนี้ งง
“ฉันนัดพี่พีร์ไว้ ว่าจะให้ติวสอบตลอดอาทิตย์นี้แต่จะมานั่งเรียนตรงนี้มันก็สะดุดตาคนเกินไป ห้องสมุดที่ไหน ๆ ก็ไม่ว่าง พีร์เลยว่าจะลองขอใช้ห้องสภาของสถาปัตย์ดู ให้ฉันโทรไปหาวันนี้ แล้วดูสิ ไม่ยอมรับสาย บ้าจริง คนยิ่งร้อนใจอยู่”

“อ๋อ” ผมลากเสียงยาวก่อนจะหุบปากฉับ

“ถ้าไปติวข้างบนนั่นก็ต้องเจอพวกนั้นน่ะสิ”

“แล้วมีปัญหาหรือไง หรือจะไม่เอา ถ้าไม่อยากติวฉันจะได้ไปคนเดียว แล้วถ้าเกิดอาจารย์แจกหมาแจกแมวให้ไปเลี้ยงในทรานสคริปต์ก็อย่ามาว่ากันทีหลังนะ” โหย ผมยังไม่ทันได้แย้งอะไรวาก็ใส่เอา ๆ แถมยังทำตาดุขู่อีกแน่ะ คนเรานะ หงุดหงิดเรื่องแฟนไม่รับโทรศัพท์ก็บอกมาตรง ๆ เถอะ ไม่เห็นต้องเอาเรื่องเกรดมาอ้างเลย งอน งอน งอน

“ไม่ต้องมาทำปากยื่นแถวนี้ เก็บเอาไว้ทำให้ติวเตอร์นายดูเถอะไป” แม่คนที่สองของผมท่านว่าอย่างนั้นแล้วก็ลุกพรวดออกไปยืนซะห่าง สงสัยปลายสายจะมีคนรับโทรศัพท์แล้วหน้านิ่ง ๆ เมื่อครู่เลยดูมีฟีลอ่อน ๆ หวาน ๆ ขึ้นมาหน่อย โธ่ ผมก็คิดว่าวาจะโกรธจนต้องเฉ่งใส่พี่พีร์ทันทีที่ทางโน้นรับสายเสียอีก ที่ไหนได้ ก็ยังพี่พีร์ ๆ เหมือนเดิม

“โอเค ไปกันได้แล้ว” ตกลงงานนี้ผมจะมีพี่พีร์เป็นคุณครูสอนพิเศษให้ใช่ไหมเนี่ย น่าอิจฉาบุรินทร์รายนั้นมันลอยตัวเหนือทุกวิชา หลังจากติววิชาที่ตัวเองถนัดที่สุดให้แล้วมันก็วิ่งโร่ไปสอนพิเศษให้เด็กน้อยที่บ้านของเค้าโดยไม่สนใจชะตากรรมในวันข้างหน้าของเพื่อนเลย คิดแล้วก็แค้นไอ้เพื่อนทรยศ เจอหน้าคราวหน้าผมกะว่าจะสร้างความร้าวฉานเอาให้น้องเค้าโกรธมันไปสักปี

เมื่อตกลงกันเป็นที่แน่นอนแล้วว่าพี่พีร์ของวาจะเปิดคลาสพิเศษให้เราในห้องสภา หนึ่งในหลายอย่างที่เราจำเป็นต้องทำก็คือการเดินขึ้นบันไดแดง ผมแหงนหน้าคอตั้งบ่ามองวาที่เดินลิ่ว ๆ ขึ้นไปด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้านแล้วก็สรุปในใจ ลงแบบนี้แสดงว่าใช้ทางนี้บ่อยถึงได้ดูคุ้นเคยตั้งแต่บรรณารักษ์ด้านนอกจนถึงบันไดทุกขั้นของตึก ซึ่งมันก็มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ววาสนิทสนมกับรณพีร์ จีรวัฒน์สกุล หนึ่งในสมาชิกสภา แถมว่างไม่ได้ต้องมาหาพี่หน้าดุคนนั้นที่นี่ ปีนบ่อยเข้าคงชิน ไม่เหมือนเขาที่ผ่านมาแต่สามชั้นก็หอบจนลิ้นห้อยแล้ว


เหลืออีกหนึ่งชั้น


ผมหอบหายใจแรงไม่แน่ใจว่าถ้าขึ้นไปถึงห้องเรียนแล้วตัวเองจะยังมีแรงจับปากกาเรียนอีกหรือเปล่า กำลังตะเกียกตะกายตามวาขึ้นไปก็แว่วได้ยินเสียงเพื่อนรักกำลังคุยกับใครก็ไม่รู้แว่วมาตามลม ผมสูดลมหายใจลึก โผล่ขึ้นไปยืนบนบันไดขั้นสุดท้ายได้ก็สบถออกมา

“ช้าจังเลยคุณ เดี๋ยวพี่พีร์จะรอนานนะ”

“อ้าว เมื่อกี้ไม่ได้คุยกับพี่พีร์อยู่หรือ”

“ใครคุยกับใคร” ผมส่ายหน้า ไม่รู้

“อะไรของนาย เหนื่อยจนหูเฝื่อนไปแล้วหรือไง” ผมเทคอากาศเข้าปอดไปเต็ม ๆ ก่อนจะพูดต่อ “ก็ฉันได้ยินเสียงวาคุยกับใครก็ไม่รู้ นึกว่าพี่พีร์จะเดินออกมารับน่ะสิ”

“พี่พีร์น่ะนะจะทำแบบนั้น” ผมเห็นนะว่าวาอมยิ้มแปลก ๆ ขี้เกียจจะตีความหมายในอวัจนภาษานั้นให้เปลืองแรงมากขึ้นอีก ตกลงว่าที่ได้ยินเมื่อกี้อาจเป็นเสียงที่ลอยขึ้นมาจากชั้นล่างหรืออาจเป็นเพราะผมเหนื่อยจนหูเฝื่อนไปเอง เราเดินฝ่าสายลมและแสงแดดไปถึงหน้าห้องสภาเฉพาะกิจ วาเคาะประตูสองสามทีคนข้างในก็เปิดให้พร้อมรอยยิ้มกว้าง พี่ไวทินนั่นเอง

“เข้ามาสิ พวกนั้นกำลังรออยู่เลย ไง น้องคุณ ไม่เจอกันนานเลยนะ” ผมยิ้มตอบ เพราะความเหนื่อยเลยทำให้หัวใจยังเต้นแรงไม่หาย พอได้เข้ามาในเขตอันตรายก็ยิ่งตื่นเต้น ถ้าก้าวเข้าไปในห้องแล้วผมจะเจอใครบางคนหรือเปล่า แล้วถ้าเจอผมจะต้องทำหน้ายังไง ต้องทักยังไงจิณณ์ถึงจะยอมทักตอบ จะทำเป็นเคืองที่จิณณ์ไม่ยอมติดต่อไปหรือจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วก็คุยกับพี่มันเหมือนทุกครั้ง เอาไงดีวะ

“คุณ เหม่ออะไรอยู่ เข้ามาได้แล้ว”

“อ๊ะ โทษที” ผมรีบเดินตามเข้าไป ตรงโต๊ะกลางห้องที่เคยเป็นที่ประชุมของสมาพันธ์กีฬาบัตรมีกองหนังสือวิชาที่พวกผมต้องใช้ตั้งรออยู่ นี่ขนาดจะติวกันแค่สองสามตัวพื้นรอบตัวยังแทบจะไม่มีที่ว่างให้คนนั่งถ้าติวทุกวิชามีหวังได้นั่งติวกันบนกองหนังสือแน่ ๆ ผมเห็นแล้วก็เกิดความรู้สึกเกรงใจขึ้นมาในบัดดล

“วา ทำแบบนี้จะรบกวนพวกพี่เค้าหรือเปล่า”

“ไม่รู้สิ” วาตอบตามตรง ร่างโปร่งบางเดินเข้าไปนั่งกับพื้น หยิบหนังสือมาเปิด ๆ ปากก็ถามพี่ไวทินอย่างคุ้นเคย “พี่ไวทิน หนังสือพวกนี้เอามาจากไหนหรือครับ”

“บ้านเพื่อนน่ะ พอบอกไปมันก็ให้คนขนมาให้เมื่อตอนกลางวันนี่เอง” วามองหน้าคนพูดก่อนจะร้องอ๋อเบา ๆ ผมมองคนนั้นคนนี้ ท่าทางการติวก่อนสอบของพวกผมจะเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่คาดไว้เยอะ สมาชิกทั้งสภานิสิตของสถาปัตย์ถึงได้มีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเกือบทั้งหมด เราสองคนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว พี่พีร์ก็เดินยิ้มออกมาจากด้านใน พี่หน้าดุแต่ใจดีของวาเลิกคิ้วนิด ๆ เมื่อเห็นผมนั่งอยู่ข้างวา

“อ้าว ตกลงจะติววิชาเดียวกันหรือ”

“ก็...มั้งครับ...ผมแล้วแต่วาอ่ะ”

“คนละวิชา ขืนติววิชาเดียวกันซ้ำไปซ้ำมาก็ไม่ทันกันพอดี วิชาที่นายเข้าใจแล้วก็ไม่ต้องมานั่งฟังกับฉันหรอกเดี๋ยวจะเสียเวลา คุณไปติวตัวที่ไม่เข้าใจก่อนเถอะ ถ้าครบแล้วยังมีเวลาเหลือค่อยมาทวนด้วยกัน”

ความคิดของวาช่างล้ำเลิศ แต่ขอโทษเถอะ ประโยคนี้มันน่าจะเป็นผมที่ต้องพูด ‘…วิชาที่วาเข้าใจแล้วก็ไม่ต้องมานั่งฟังกับเราหรอกเดี๋ยวจะเสียเวลา…’ เพราะวาน่ะมีวิชาที่ทำคะแนนได้ดีมากกว่าผมตั้งหลายตัว ขืนให้วามานั่งติวกับผมด้วยเขาก็ต้องเสียเวลาฟังเรื่องที่เข้าใจดีอยู่แล้ว เอาเราสองคนมารวมกันสอนกันทั้งอาทิตย์ก็คงไม่พอ

“แล้วเอาไง พี่พีร์จะสอนพร้อมกันสองคนได้หรือ”

“ใครบอกว่าจะทำแบบนั้นเล่า” วาว่า ชี้ไปทางห้องด้านใน

“ติวเตอร์ของนายรออยู่ในห้องโน้นแน่ะ ไม่รีบเข้าไปเดี๋ยวพี่เค้าเปลี่ยนใจไม่สอนให้ไม่รู้ด้วยนะ”






โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:

((ใครมาแย่งบุรินทร์(ของสี่)ไป T T ))

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
พี่จิณณ์ รอติวน้องคุณ แน่เลย  :mew1: :mew1: :mew1:
คุณ ก็ อย่าทำเสียเรื่องอีกเลย
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
พี่จิณณ์รอให้ง้ออยู่นะคุณ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ 205arr

  • เราคงอยู่ไกลกันเป็นพันหมื่นลี้
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
แอบนั่งใต้โต๊ะรอติวกับน้องคุณด้วย  :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
ถือโอกาสง้อพี่จิณณ์เลยนะคุณ


 :L2: :L2:

ออฟไลน์ MoonLovers

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ ๑๔   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ





ห้องโน้นคือห้องที่อยู่หลังฉากกั้น ผมจำได้ว่าเคยเข้าไปปลุกใครบางคนที่แกล้งหลับอยู่ในนั้น นอกจากเตียงเดี่ยวหนึ่งเตียงกับเครื่องอำนวยความสะดวกอีกสองสามอย่างแล้วผมก็ไม่เคยจำได้ว่ามันจะมีอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการเรียนการสอนอยู่ในนั้นด้วย แล้วที่สำคัญ ไอ้คนที่จะมาเป็นอาจารย์ผมนั่นน่ะ ดูเหมือนจะไม่ใช่ใครที่ไหนนอกเสียจาก...โจทก์เก่าคนเดิม

“พี่ลงไปข้างล่างก่อนนะ ดลกับวิชญ์มันรออยู่นานแล้ว สู้ ๆ นะน้องคุณ” พี่ไวทินท่านอวยชัยให้พรเรียบร้อยก็เดินผิวปากออกไปจากห้อง ทิ้งผมให้ยืนเสียเปลี่ยวใจกับลมหนาวที่พัดวูบบาดลึกไปถึงเนื้อใจ ขอไม่นับอีกสองคนที่กำลังคุยกันเบา ๆ อยู่ตรงโต๊ะเพราะหลังจากขีดเส้นทางให้ผมเดินวาก็จำกัดความสนใจอยู่แค่คนข้างตัว เริ่มเข้าสู่บทเรียนเป็นการบอกใบ้ให้รู้ว่า เรื่องต่อจากนี้เอ็งต้องลุยเองแล้วนะคุณภัทร

เครื่องปรับอากาศในห้องนี้มันก็ทำงานดีนะผมว่า ตอนเดินเข้ามายังรู้สึกว่าเย็นมากอยู่เลย แต่ทำไมตอนนี้เหงื่อมันถึงได้ซึมทั้งขมับแบบนี้เนี่ย ผมยื่นหน้าเข้าไปดูลาดเลาแล้วก็เป็นอย่างที่กลัวจริง ๆ ร่างสูงของจิณณ์ ปภาเดชวิรุฬห์กำลังยืนก้มหน้าน้อย ๆ อยู่หน้าทีวีจอแบน พี่มันไม่ได้ดูทีวีเพราะจอภาพยังมืดสนิทไร้ความเคลื่อนไหว จิณณ์เพียงแค่ยืนนิ่ง มองปากกาในมือเหมือนกำลังคิดเรื่องสำคัญอยู่ ผมควรจะให้สัญญาณใช่ไหม

“อ้อ มาแล้วหรือ นั่งสิ” มือที่กำลังยกขึ้นต้องค้างไว้ในอากาศเพราะอีกฝ่ายดันหันมาเห็นผมเสียก่อน จิณณ์เดินไปนั่งกับพื้นหน้าโต๊ะตัวเล็ก ผมก็ค่อยเหยียบไปบนพรมเนื้อนุ่ม เข้ามาที่นี่ครั้งที่สองแต่ก็ยังไม่รู้สึกสบายใจขึ้นแม้แต่น้อย ไอ้ห้องสภาที่หรูหราไม่ผิดกับโรงแรมห้าดาวแถมยังมีประวัติที่ทำให้ผมมองหน้าคนที่นั่งตรงข้ามได้ไม่เต็มตาอีกต่างหาก

“จะเริ่มเลยไหมหรือจะกินอะไรก่อน”

“ไม่ดีกว่า” ผมตอบสั้น ๆ ดวงตาคมวับเลยตวัดมอง “ผมหมายถึง...ผมไม่หิว ไม่ต้องกินอะไรหรอก เริ่มเรียนเลยดีกว่า”
“ประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก ภาษาอังกฤษสำหรับการสนทนาเบื้องต้น ลักษณะโครงสร้างไวยากรณ์ภาษาอังกฤษแล้วก็การใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น จะเริ่มตัวไหนก่อนดี”

“ตัวไหนก็ได้”

“เลือกเอาสักอย่าง จะเรียนตัวไหน” แล้วมึงจะดุเพื่อ? ผมเม้มปากแน่น อยากจะถามออกไปแรง ๆ แบบที่คิดนั่นแหละแต่ก็ติดที่ว่าตอนนี้ผมต้องพึ่งมันสมองของอีกฝ่ายเลยได้แต่ตะเบ็งเสียงตอบโต้ในใจ อะไรกันวะ คนที่ไม่ได้เจอกันมาเกือบเดือนเค้าทักทายกันด้วยสีหน้าท่าทางแบบนี้หรือ เจอหน้ากันยังไม่ทันได้ถามไถ่ทุกข์สุขก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตากับหนังสือ พูดออกมาแต่ละคำก็เย็นชาซะจนอยากทุ่มโต๊ะใส่หัวให้สักที ผมมาเรียนนะโว้ย ไม่ได้มาอารมณ์เสียเพราะพี่!

“ตกลงว่าไง”

“วิชาการใช้เหตุผลมีไหม อยากเรียน”

“วิชานั้นบุรินทร์ติวให้แล้วไม่ใช่หรือ ทำไมยังอยากเรียนอีก”

“เรียนกับบุรินทร์มันไม่เข้าใจเพราะบุรินทร์มันมีเหตุผล อยากเรียนกับคนแถวนี้เผื่อจะเข้าใจคนไม่มีเหตุผลขึ้นมาบ้าง” เจอผมรวนเข้าให้ ไอ้คนดีมันถึงกับถอนใจทิ้ง วางปากกาก่อนจะจ้องหน้าผมนิ่ง เอาสิผมไม่ยอมแพ้หรอก อยากจ้องมาก็จ้องกลับ ทำไม? มีปัญหา?

“วันนี้กินข้าวมาหรือยัง”

“ถามทำไม”

“ถ้ายังไม่ได้กินจะได้หาให้กิน ไม่ใช่มานั่งหงุดหงิดแบบนี้”

“ผมหงุดหงิดเพราะพี่นั่นแหละ!” เพราะมันไม่เหมือนเดิม เพราะมันทำหน้าดุ มันปากจัด ไม่ยอมลงให้ ไม่เอาใจ ไม่ง้อผมก่อน เพราะพี่มันคนเดียวเลย

“โอเค ถ้าอย่างนั้นบอกมาสิว่าจะให้ฉันทำยังไง” ผมไม่บอก พูดไม่ได้ตอนนี้จะบอกให้ว่าลำคอมันตื้อไปหมด เจ็บแล้วก็ร้าวขึ้นมาจากอกจนแทบหายใจไม่ออก ทำไมวะ ก็แค่ไอ้ผู้ชายทุเรศมันเมินใส่ผมต้องเจ็บขนาดนี้เชียว จิณณ์มันเห็นผมเงียบก็ชำเลืองตามองมาแล้วมันก็ทำหน้าแปลก ๆ ยังไม่ทันได้รวบรวมความโกรธด่าต่อ ไอ้พี่บ้ามันก็อ้อมโต๊ะมาหา ดึงครั้งเดียวหน้าผมก็ซุกปุเข้ากับไหล่มัน เล่นเอาผมดิ้นพล่าน

“ปล่อยโว้ย!”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ห้ามร้อง”

“ไอ้บ้า ปล่อยผม บอกแล้วไงว่าอย่ามาแตะคนอื่นตามใจชอบ”

“บอกให้หยุดร้องไห้ คุณภัทร ไม่หยุดจะโดนตีนะ” พูดเรื่องอะไรของมัน ใครร้องไห้ ผมหรือ ไม่ใช่หรอก ผมไม่มีทางร้องไห้ให้มันเห็นหรอกแล้วยิ่งเป็นเรื่องของไอ้บ้านี่ด้วย ผมไม่มีวันเสียน้ำตาให้เด็ดขาด จิณณ์คิดว่าตัวเองสำคัญยังไงถึงคิดว่าผมจะต้องร้องไห้ต่อหน้า

“ขอโทษ” ขอโทษทำเหี้ยอะไรไม่ทราบ

“ฉันไม่ได้ตั้งใจ อย่าร้องนะ” ไม่ได้ตั้งใจแต่มันก็ทำ ไอ้คุณชายบ้ามันทำให้ผมเสียน้ำตาไปแล้วแถมยังขู่ด้วยว่าถ้าผมไม่หยุดร้องมันจะตี ยังก่อน รอให้ผมคลายแรงสะอื้นลงก่อน ถ้าพูดเป็นคำได้เหมือนปกติแล้วผมจะด่าพร้อมกัดให้หูขาดเลย คอยดูนะ

“โกรธมากเลยใช่ไหม” เสียงห้าวถามอยู่ข้างแก้ม ผมผลักอกมันเต็มแรง ยกมือป้ายน้ำตาแล้วก็หันหน้าหนีเสีย หางตาเห็นวรินทรโผล่มายิ้มเผล่ก่อนจะผลุบหายไปแล้วก็เลยตวัดตามองไอ้ตัวต้นเหตุมันเคือง ๆ เสียน้ำตา เสียเวลา หนังสือหนังหาไม่ต้องทบทวนมันแล้ววันนี้

“พูดอะไรสักคำสิ”

“เหี้ยไหมล่ะ”

“คุณ พูดดี ๆ หยาบคายแบบนี้มันไม่น่ารักนะ”

“เหรอ แต่ขอโทษนะ ผมไม่ได้ต้องการให้ไอ้คนประเภทกระแดะฟังคำหยาบไม่ได้มารักหรอก ถอยไป ผมจะกลับบ้าน” ผมตั้งท่าจะลุก เล็งไว้แล้วว่าถ้ามันขวางทางผมถีบเต็มเท้าแน่แต่ไอ้พีจิณณ์มันฉวยเอามือผมไว้ ลงแรงจับมั่น บอกด้วยสายตาว่าจะไม่ยอมเหมือนกัน

“ปล่อย” เราสองคนทำสงครามสายตากันอึดใจใหญ่ แล้วก็เกิดอะไรขึ้นกับสติของผมก็ไม่รู้ พอไอ้พี่จิณณ์มันออกแรงรั้งนิดหน่อย เนื้อตัวผมถึงได้อ่อนยวบยาบ ยอมนั่งลงซะอย่างนั้น

“กินขนมก่อนแล้วค่อยอ่านหนังสือกันนะ” มันยิ้มกล่อมและผมก็ทำเสียงขึ้นจมูก

“เออ”

เฮ้ย ทำไมใจง่ายแบบนี้วะ!




สุดท้ายผมก็ต้องเริ่มด้วยวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตกก่อนเป็นวิชาแรก ความจริงตัวนี้เป็นวิชาเลือกเสรี สายมนุษยศาสตร์ของคณะศิลปกรรมศาสตร์ ผมเลือกลงเพราะสนใจเรื่องนี้โดยส่วนตัวแถมมันยังไปคล้องกับเนื้อหาของวิชา วรรณคดีกับทัศนศิลป์ของผมอีกด้วย แต่ก็นั่นแหละครับ เนื้อหาวิชาเยอะมาก ท่องจำกันไม่หวาดไม่ไหว มีรายงานหนึ่งตัวเบ้ง ๆ ที่ต้องส่งอาจารย์ก่อนสอบแถมพ่วงด้วยข้อสอบแบบวิเคราะห์ของอาจารย์ตอนปลายภาคนี้อีก หึ แค่เห็นหนังสือที่กองอยู่ตรงหน้าผมก็แทบจะสลบแล้ว

“หนังสือภาพทั้งนั้นอย่าเพิ่งท้อสิ”

“มันเยอะ”

“มีแต่รูปถ่าย นายจะได้จำได้ง่าย ๆ ดูรูปไปติวไปเพลินดีออก ลุกขึ้นมาอย่าเพิ่งนอน ยังเหลืออีกตั้งครึ่งนะ” ไอ้ติวเตอร์จอมโหดมันไม่ยอมให้ผมงีบสักงีบ ขนาดนั่งทำตาปรือ สัปหงก หาวแล้วหาวอีกก็แค่พักให้ห้านาทีสิบนาทีแล้วก็เอาน้ำเย็นมากรอกปากผม เรียบร้อยแล้วก็เริ่มยัดความรู้ใส่หัวผมต่อ ทำแบบนี้ติดต่อกันมาจะเข้าชั่วโมงที่สามแล้ว

“ไม่เอา ไม่ติวแล้ว มากกว่านี้ก็ล้น ผมรับไม่ไหวแล้ว”

“ถ้าไม่ทันจะทำยังไง”

“ไม่ทันก็ไม่ทัน เหลืออีกตั้งหลายเทอมค่อยไปสปีดเทอมหน้าก็ได้” จิณณ์ส่ายหน้าคล้ายระอาแต่ก็ยอมรวบหนังสือมาตั้งไว้ “พูดแบบนี้แหละ เผลอแป๊บเดียวจะอยู่ปีสุดท้าย ถึงตอนนั้นอะไรก็ไม่ทันแล้ว”

“ขอบคุณ พี่ให้กำลังใจกันดีมากเลย”

“แค่เตือนไว้ คราวหน้าอย่าโหมอ่านเอาทีเดียวแบบนี้อีก มันอาจจะจำได้ก็จริงแต่มันจะจำได้แค่ระยะสั้น ๆ นานไปนายก็จะลืมเพราะมันไม่ได้ซึมเข้าไปในความเข้าใจ มันจะเป็นแค่การท่องจำชั่วครั้งชั่วคราว ที่สำคัญ หักโหมดูหนังสือก่อนสอบแบบนี้ร่างกายจะรับไม่ไหวเอา”

“ผมก็อ่านมาเรื่อย ๆ เหมือนกันนะไม่อย่างนั้นจะตามพี่ทันหรือ”

“เรื่องนั้นมันก็เป็นประโยชน์ของนายเองไม่ใช่หรือไง” ใช่ครับพี่ พี่พูดอะไรมาก็ถูกหมดครับ ตอนนี้ผมไม่เถียงอะไรพี่ทั้งนั้นแหละครับ กลัวไม่มีคนสอนเดี๋ยวจะไม่ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งอย่างใครแถวนี้ ผมลุกขึ้นบิดขี้เกียจจนกระดูกลั่นกร๊อบแล้วก็เลยทิ้งตัวลงนอนบนเตียงข้างชั้นวางหนังสือสีเข้ม ครางออกมาอย่างสุขใจเมื่อสัมผัสความอ่อนนุ่มของเบาะหนา อากาศเย็นสบาย ที่นอนนุ่มหลัง อยากหลับจังเลย

“หลับได้ไหม” ผมปรือตาถามหนึ่งในเจ้าของห้อง จิณณ์แตะลิ้นกับมุมปากก่อนจะพยักหน้า

“จะกินอะไรก่อนหรือเปล่า”

“ไม่เอา ง่วง”

“ง่วงก็ง่วง ขยับไปหน่อย” ฮะ! เมื่อกี้พี่มันว่าอะไรนะ สั่งให้ผมขยับไปหน่อยหรือ ผมเอียงหน้ามองคนพูด ไอ้หล่อมันกำลังยืนเท้าสะเอวอยู่ข้างเตียง ก้มมองผมเฉย พอผมทำท่าไม่ได้ยิน ไม่เข้าใจ ไม่รับรู้ มันก็ตีก้นผมให้ทีหนึ่ง ไม่เจ็บแต่สะดุ้งเฮือกครับ

“ขยับไป”

“ที่นอนมีตั้งเยอะแยะก็ไปนอนสิจะมานอนทำไมตรงนี้เล่า”

“คุณภัทร ฉันตื่นมาเตรียมหนังสือ เตรียมบทเรียนให้นายตั้งแต่เช้ามืดนะ เมื่อคืนก็ทำงานจนดึก ใจคอจะให้ฉันไปนอนขดอยู่บนพื้นจริง ๆ ใช่ไหม” ผมจิ๊ปาก ช่วงนี้จิณณ์เป็นอะไรไม่รู้ พี่มันฤทธิ์เยอะขึ้น ไม่ค่อยยอมลงให้ผมเหมือนเมื่อก่อน น้ำเสียงหรือก็ไม่ค่อยจะอ่อน ๆ นุ่ม ๆ เหมือนไอ้คนดีคนเดิม แต่ช่างเถอะ เห็นว่าที่ทำทุกอย่างนั่นก็ทำเพื่อผมหรอกนะถึงได้ยอมน่ะ ผมดีดตัวลุกจากเบาะ เมื่อเจ้าถิ่นเขาจะนอนตรงนี้ให้ได้ผมก็ไม่ขัด ผมเสียสละไปนอนพื้นให้เองก็ได้ มันคงไม่เจ็บหลังเท่าไหร่หรอก อย่างน้อยก็พื้นพรมเนื้อดีล่ะวะ

“จะไปไหน นอนตรงนี้แหละ”

“แหกตาดูซะก่อนว่ามันเป็นเตียงเดี่ยว จะเบียดเข้าไปได้ยังไงตั้งสองคน”

“จะเตียงเดี่ยวเตียงคู่ เราก็ใช้พื้นที่เท่าเดิม นอนลงไปซะ” ไม่ใช่แค่ปากที่สั่ง มือใหญ่เท่าใบพายยังดันไหล่อันบอบบางของผมให้หงายตึงลงไปบนเบาะด้วย ร่างสูงหนาเอนทับลงมาเล่นเอาผมถดตัวหนีแทบไม่ทัน อยากจะด่าสรรเสริญให้สักบทสองบทแต่มันติดที่ปากผมกำลังจ่อกับซอกคอมันอยู่ ขยับนิดเดียวคงได้ทั้งแทะทั้งเล็มคอขาว ๆ ของไอ้คุณชายมันแน่ ผมสั่งตัวเองให้หลับตา หลับตาและหลับตา แต่จนแล้วจนรอดก็ทำไม่ได้

“เลิกหายใจแรง ๆ เสียที ฉันนอนไม่หลับนะ”

“ผมหายใจแรงหรือ” ผมถามมันกลับไป คิดว่าหัวใจเต้นแรงอย่างเดียวเสียอีก จิณณ์หัวเราะน้อย ๆ มันแกล้งสับคางลงบนหน้าผากผมกึก ๆ เจ็บนะเว่ย

“แรง”

“รู้ได้ไง”

“นายเป่าคอฉันอยู่นะ” เออ ผมก็โง่เนาะที่ไม่ทันคิด รีบจิกหัวตัวเองออกห่างทันทีที่ได้ยิน จิณณ์หัวเราะดังยิ่งกว่าเก่า ตบหัวผมกลับเข้าที่เดิมแล้วก็สั่งสั้น ๆ

“หลับซะ” แล้วเราก็นอนเงียบกันไปพักใหญ่

“นี่” เรียกไปแล้วก็รู้ตัวต้องรีบเปลี่ยนใหม่

“พี่จิณณ์”

“อะไร”

“พี่คิดว่าผมจะอ่านหนังสือทันไหม”

“อยากให้ทันไหมล่ะ” เสียงทุ้มย้อนถาม ผมที่ตาใกล้จะปิดแล้วได้แต่ครางรับในคอ ใครจะตอบว่าไม่ล่ะ ใจผมอยากให้มันซึมเข้าหัวโดยไม่ต้องอ่านเลยด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่เครียดจนมึนไปหมดแบบนี้ จิณณ์ลูบหลังผมเงียบ ๆ ก็เกือบจะหลับไปแล้วตอนที่ได้ยินเสียงตอบแว่ว ๆ

“ถ้านายอยากให้ทันฉันก็จะทำให้ทัน แต่งานนี้ ฉันอาจจะใจร้ายกับนายไปบ้าง ทนหน่อยนะคุณ” ไม่เป็นไร ตอนนี้ ขอพี่คุณหลับเอาแรงก่อนก็แล้วกัน ราตรีสวัสดิ์ครับทุกคน




ผมรู้สึกตัวอีกทีเมื่อแสงสว่างจากหลอดไฟมันแยงเข้าตาจนทนนอนต่อไปไม่ได้ ปรือตาขึ้นมองก็เห็นวายืนยิ้มอยู่ปลายเตียง หน้าหวาน ๆ พราวด้วยรอยยิ้มสวย ผมค่อยลุกขึ้นนั่งมองไปรอบห้องแล้วก็ขมวดคิ้วฉับ

“จิณณ์ไปไหน”

“ตื่นมาก็ถามถึงเลยนะ”

“พี่พีร์ไปไหน” เอาสิ ไม่ให้ถามถึงจิณณ์ผมถามถึงคนอื่นก็ได้ วาหัวเราะเสียงใส ชี้ไปด้านหลังก่อนจะเดินเข้ามายื่นแก้วน้ำให้ผม

“อยู่ข้างนอก คุยอะไรกันอยู่ก็ไม่รู้ ท่าทางเครียดเชียว”

“อาจจะเป็นธุรกิจร้อยล้าน”

“อาจจะยิ่งกว่านั้น สำหรับพี่จิณณ์ทุกธุรกิจที่ลงทุนไปต้องได้ผลตอบแทนกลับมาอย่างคุ้มค่า แต่บางธุรกิจให้พยายามลงแรงลงใจมากแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยได้อะไรตอบกลับมา มันก็ชวนให้คิดมากได้ คิดอย่างนั้นไหม” ผมหาวหวอด พี่จิณณ์มันไปลงทุนอะไรแล้วเกิดเจ๊งขึ้นมาหนอ วาถึงได้หยิบยกมาคุยหน้าตาจริงจังแบบนี้ ผมเองก็ไม่ได้สนิทด้วยจนถึงขั้นต้องรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับอีกฝ่ายเลยได้แต่พยักหน้าอือออตามวาไปแบบง่วง ๆ จิบน้ำชาในแก้วไปอีกสองสามจิบ จิณณ์ก็โผล่หัวเข้ามาดู

“วันนี้ไปค้างบ้านโน้นนะ” ผมที่ยังมึนไม่หายฟังคำชวนแล้วก็ส่ายหน้า

“ไปบ่อย เดี๋ยวแม่หาว่าใจแตก”

“เดี๋ยวแวะขอคุณน้าให้ก็ได้ นายจะได้ไปเอาของด้วย โอเคไหม” ผมยื่นแก้วให้ จิณณ์รับไปถือไว้ตั้งท่าว่าจะยังไม่ยอมไปไหนถ้ายังไม่ได้คำตอบที่พอใจ ยังไงมันก็ต้องลากผมไปให้ได้อยู่แล้วจะเสียเวลาขอทำไมวะ ผมยักไหล่ กระตุกแขนเสื้อวาเบา ๆ

“ไปด้วยกันไหม” เพื่อนผมทำท่าเหมือนจะสะดุ้ง วาหัวเราะจนตาหยี ปฏิเสธทั้งที่ยังหัวเราะอยู่อย่างนั้น “ไม่เอา จะไปได้ยังไงล่ะ”

“ทำไมเล่า ไปกันหลาย ๆ คน สนุกดี” นั่น เหมือนชวนเพื่อนไปบ้านตัวเองเลย

“สนุกน่ะมันสนุก แต่คราวนี้นายต้องติวหนังสือสอบกับพี่จิณณ์ไม่ใช่หรือ ไปกันหลายคนแทนที่จะได้เรียนมันจะกลายเป็นเล่นไปซะหมดน่ะสิ อีกอย่างฉันก็นัดพี่พีร์ไว้ก่อนแล้วด้วย เอาไว้โอกาสหน้าก็แล้วกัน ให้สอบเสร็จแล้วค่อยคุยกันอีกที”

ผมเลยต้องมานั่งพับเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางใบเล็กแล้วก็เดินลงมาบอกแม่ว่าจะขอไปค้างอ้างแรมกับผู้ชายทั้งอาทิตย์ นับตั้งแต่คืนนี้จนถึงคืนก่อนสอบ นอกจากจะไม่คัดค้านแล้วคุณทิพปภายังฝากฝังผมไว้กับ ‘พี่จิณณ์’ จนผมทนสายตายิ้ม ๆ ของเจ้าคีย์ไม่ได้ ต้องลากจิณณ์มาขึ้นรถก่อนจะเกิดศึกสายเลือดครั้งใหญ่ในบ้านปัทมวรกุล

“คุณแม่ของนายท่านน่ารักดีนะ”

“อือ แล้วจะบอกแม่ให้” จิณณ์ละสายตาจากไฟท้ายรถคันหน้าหันมามองผมยิ้ม ๆ

“คุณก็เหมือนแม่นั่นแหละ” พูดอย่างนี้หมายความว่าไงวะ ผมชักงงกับความคิดของคนขับรถ พิมพ์หน้าที่เคาะกันออกมาแบบนี้มองปราดเดียวมันก็ต้องรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าผมเหมือนแม่ เพียงแค่ถ้าแม่ให้ความรู้สึกสวยน่ารัก ผมก็จะค่อนไปทางหล่อแบบน่ามองมากกว่าเท่านั้น พี่จิณณ์มันก็น่าจะรู้อยู่แล้วเอามาพูดทำไม พอมองหน้าแล้วนางไม่ยอมขยายความผมเลยเลิกสนใจ

“ฉันไม่ได้หมายถึงหน้าตา” ผมยิ้มหวาน อ้อ ที่แท้พ่อจิณณ์คนดีตั้งใจจะบอกว่านอกจากหน้าตาจะดีแล้วนิสัยคุณภัทรยังดีด้วย อย่างนั้นใช่ไหม ผมตบไหล่หนาปุ ๆ

“ขอบคุณว่ะพี่ พี่ก็น่ารักนะโว่ย” จิณณ์ทำหน้าเหมือนจะเหนื่อยใจและมันก็ยังไม่ยอมทิ้งมาดคุณครูระเบียบ เสียงห้าวติดจะดุสวนกลับทันทีที่ผมพูดจบ “คำสร้อยที่มันไม่จำเป็นก็ตัดทิ้งไปซะบ้างนะ พูดวะพูดโว้ย มันก็ทำให้ความน่ารักของคนลดลงได้เหมือนกัน”

“ใคร ๆ เค้าก็พูดกันเหอะ”

“แต่ไม่ใช่กับเราสองคน ฉันไม่อยากฟังนายพูดไม่เพราะ”

“แค่นี้ก็ไม่ได้”

“ไม่ได้ แล้วอย่ามาสบถให้ได้ยินอีกนะ ไม่อย่างนั้นจะหาว่าไม่เตือน” อ้าว ไอ้พี่จิณณ์ ไอ้ตัวบ้าอำนาจ ไอ้คนช่างบังคับ ถ้าผมจะทำแล้วพี่จะทำอะไรได้ หา จะทำไม ผมสรรเสริญมันในใจอยู่เงียบ ๆ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับปากให้พี่มันเห็น ไอ้คุณชายมันเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ ด้วย พี่คนดีที่เคยยอมผมทุกอย่างคนนั้นไม่มีอีกแล้ว ที่กำลังขับรถอยู่นี่มันเป็นปีศาจครูระเบียบปลอมตัวมา ผมกระแทกลมหายใจ มองมันเหมือนจะกินทั้งเลือดทั้งเนื้อให้หมดตัวแล้วก็หันหน้าหนีแทบจะเป็นสะบัด จนรถจอดนิ่งสนิทแล้วนั่นแหละผมถึงได้ทำลายความเงียบขึ้นเบา ๆ

“ผมเคยชินของผมมาแบบนี้ ถ้าพี่รับไม่ได้ผมก็ไม่รู้จะทำไง”

“แล้ว?”

“กับเพื่อนก็พูด กับน้องก็พูด แล้วผมก็ยังเคยได้ยินพี่พูดกับเพื่อนเหมือนกัน...”

“แต่ฉันก็ไม่เคยพูดแบบนั้นกับนาย ใช่ไหม”

อ่า ใช่ ไม่เคย

แล้วไงล่ะ! ทำไมผมต้องพยักหน้าตอบมันด้วยอ่ะ ไอ้พี่จิณณ์จับหัวผมให้หันไปหา ถ้าเป็นเวลาปกติคงมีลูกถีบแจกแต่ตอนนี้ผมกำลังซีเรียส จะยอมให้สักครั้งก็ได้ “เพราะฉันไม่เคยคิดว่าคุณเป็นเพื่อน เป็นน้อง หรือเป็นแค่คนรู้จัก คุณไม่เหมือนคนพวกนั้น ไม่เหมือน เข้าใจไหม” ไม่เข้าใจ ไม่เหมือนพวกนั้นแล้วพี่มึงจะให้กูเหมือนอะไร

“ถ้าเรื่องนั้นมันเข้าใจยากก็ช่างเถอะ ฉันแค่ไม่อยากให้คุณฟังคำหยาบคายพวกนั้น ไม่อยากให้คุณเคยชินกับมันจนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา มันไม่ใช่เรื่องดีหรอกนะถ้าหากคุณเผลอไปพูดหรือสบถให้พวกอาจารย์หรือผู้ใหญ่ท่านได้ยิน มันจะทำให้ตัวคุณดูด้อยค่าลงไป...มาก แล้วใครจะรับประกันได้ว่าคุณจะไม่เผลอในเมื่อความเคยชินนั่นมันติดอยู่ตรงนี้” จิณณ์แตะนิ้วหัวแม่มือกับปากผมเบา ๆ หยุดข้อโต้แย้งที่กำลังจะบอกว่าผมแยกแยะได้จนต้องนิ่งฟังต่อไป

“มันยากเกินไปหรือที่จะไม่พูดคำหยาบในบางครั้ง”

“ยาก” ได้ยินผมตอบแบบนั้นจิณณ์ก็ถอนใจยาว พี่มันปล่อยมือจากแก้มผมแล้วก็หันไปคลายล็อคประตู บอกเสียงอ่อน

“ฉันหิวแล้ว ลงไปกันเถอะ” ผมลากกระเป๋าตัวเองเดินตามมันไปต้อย ๆ เออ โดนโกรธอีกแล้ว เดินไปก็ใช้สมองน้อย ๆ ของตัวเองครุ่นคิดไปด้วย นานพอดูกว่าลิฟต์จะเลื่อนลงมารับเราสองคน ผมก้าวตามเจ้าบ้านเข้าไปยืนในกล่องสี่เหลี่ยม คิดอยู่ว่าจะเริ่มพูดกับมันยังไงดีไฟในลิฟต์ก็กะพริบติด ๆ ดับ ๆ ก่อนจะ...พรึบ...ฉิบ หาย แล้ว




โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:

ออฟไลน์ 205arr

  • เราคงอยู่ไกลกันเป็นพันหมื่นลี้
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
ดูน้องคุณสับสนพอดูเลยนะเนี่ย
แล้วนั่น ลิฟต์ค้างรึคะ  :serius2:
 :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ Babelilong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 304
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
    • Facebook  เข้ามาขอเป็นเพือนได้เลย
น้องคุณดูสับสนในตัวเอง

 :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เข้าใจเลยว่า พี่จิณณ์ น่าจะเหนื่อยใจกับคุณ
คุณ ทั้งซึน ทั้งเข้าใจยาก ซื่อบื้อ มาก
ไว้ให้คุณ รู้สึกว่าสูญเสียคนสำคัญ
เมื่อนั้นคุณ คงรู้ตัวซะที
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
เอาใจช่วยพี่จิณณ์กับน้องคุณ


 :L2: :L2:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
เลิกมึนค่ะน้อง

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ MoonLovers

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ ๑๕   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ







“เชี่ย” ผมตะปบปากตัวเองไว้ได้ทันก่อนจะหลุดเสียงอุทานอันอ่อนหวานให้ถึงหูอีกฝ่าย จิณณ์กดปุ่มฉุกเฉินเพื่อแจ้งพนักงานข้างล่าง ดูเหมือนมันจะไม่มีท่าทีว่าจะตกใจจนตัวเย็นอย่างผมเลย ผมเหลือบมองรอบตัว ลิฟต์ตัวนี้ไม่ใช่ลิฟต์แก้วตัวที่เคยใช้แต่มันเป็นลิฟต์ปกติที่มีกระจกเงาติดโดยรอบ เห็นอะไรแวบ ๆ ทางหางตาผมก็ขยับเข้าหาคนข้างตัวโดยไม่ต้องคิด

“ไม่เป็นไร ข้างล่างมีช่างอยู่ เดี๋ยวก็เรียบร้อย” เจ้าบ้านท่านว่าอย่างนั้นผมก็ได้แต่พยักหน้าหงึก ๆ นิ่งอยู่กับความมืดได้อึดใจผมก็คิดได้ว่าถ้าไม่พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสเสียตอนนี้แล้วจะไปทำอีกเมื่อไหร่ ลองเอื้อมมือไปแตะแขนก่อน เมื่อจิณณ์ไม่ได้ปัดออกหรือขยับหนีผมก็เขย่าแขนพี่มันพอให้รู้สึก

“อะไร” เจ้าของแขนก้มลงถาม ผมร้องเรียกหาความมั่นใจในความมืดนั้น

“ผม...ผมจะพยายามไม่พูดหยาบก็ได้แต่ไม่รับประกันนะว่าจะทำได้ตลอดเวลา พี่ก็รู้ว่าผมเป็นแบบนี้มาตลอดสิบกว่าปี จะให้เปลี่ยนในชั่วข้ามคืนไม่ได้หรอกนะ ผมอาจจะห้ามคำสบถสาบานอะไรพวกนั้นได้...บ้าง แต่ไอ้คำสร้อย คำมาลา วะโว้ยทั้งหลายนั่นน่ะอนุโลมให้หน่อยได้ไหม”


“ถ้าไม่ได้เต็มใจทำจะฝืนไปทำไม”
“ก็พี่อยากให้ผมทำไม่ใช่หรือไง” ผมย้อนเสียงห้วน อะไรของมันวะ ง้อขนาดนี้แล้วยังทำเสียงเข้มใส่กูอีก จิณณ์ดึงแขนออกจากมือผมบอกด้วยน้ำเสียงระดับเดิม

“ลืมมันซะเถอะ มันยากนี่”

“ก็มันยาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้ พี่อย่าเพิ่งโกรธได้ไหมเล่า”

“ฉันไม่ได้โกรธ พอเถอะ ยิ่งพูดมากอากาศจะยิ่งเบาบางลงนะ” ผมครางฮื่อ พอมันไม่ให้จับแขนผมก็จับไหล่แทน จากสายตาที่พอจะชินกับความมืดแล้วผมพอมองออกว่าเราสองคนกำลังยืนประจันหน้ากันอยู่ ผมเคาะนิ้วกับไหล่หนาทั้งสองข้าง ลากเสียงยาวเหมือนเวลาพูดกับพ่อหรือแม่ไม่มีผิด

“พี่หายโกรธก่อน...นะ...นะะะ...”

“ฉันไม่ได้โกรธ”

“จิณณ์ ผมพูดจริงนะ ตั้งใจจะพยายามแล้วพี่จะไม่ช่วยกันเลยเหรอ ใจร้ายว่ะ อุ่ย...” หลุดไปอีกหนึ่งดอกกับคำต้องห้าม จิณณ์แทบจะปลดแขนผมออกจากคอแต่พอทำไม่ได้พี่มันก็ถอนใจเฮือกใหญ่ ผมเขี่ย ๆ ปลายนิ้วกับกลุ่มผมตรงท้ายทอยอีกฝ่าย ไม่ลืมทำเสียงในคอเบา ๆ เป็นการกระตุ้นคนใจแข็งไปในตัว

“หายโกรธ”

“บอกว่าไม่ได้โกรธ” ผมตั้งท่าจะเถียงไอ้เสียงนิ่ง ๆ ที่บอกไม่ได้โกรธแต่ในจังหวะนั้นไฟในลิฟต์ก็สว่างวาบขึ้นมาเสียก่อน ลิฟต์กระตุกจนเซกันทั้งสองฝ่าย ผมเผลอรัดต้นคอคนตัวสูงกว่าไว้แน่น ลืมสนใจแม้จะรู้สึกว่าเอวตัวเองโดนกอดเข้าหมับ ดีที่หน้าผากไม่โขกกระจกด้านที่จิณณ์ยืนพิงอยู่ พอมองกระจกที่สะท้อนภาพตรงหน้าผมก็ต้องอ้าปากค้าง เชื่อแล้ว เชื่อแล้วว่ามันไม่ได้โกรธ เพราะไม่มีคนกำลังโกรธที่ไหนเค้าจะยิ้มเจ้าเล่ห์ได้อย่างนี้อีกแล้ว!

“สัญญาแล้วนะ”

ไอ้...ไอ้...ไอ้พี่เลว! มันหลอกผม!

 


“ห้าทุ่มแล้ว วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะ”

ได้ยินอาจารย์ท่านประกาศิตมาแบบนั้น ผมเลยหงายหลังราบไปกับพื้น หลับตาพึมพำกับตัวเองเหมือนคนเสียสติไปชั่วขณะ ผมไม่ได้บ้าหรอก ไม่ได้โกรธที่จิณณ์แกล้งอำจนเลอะเลือนแต่ผมกำลังทำตัวเป็นคนดี พยายามท่องจำและระลึกถึงความรู้ที่ได้เรียนทั้งวัน แต่ยิ่งนึกถึงมันก็ยิ่งสับสน ผมเลยนึกภาพตัวเองนั่งยัดความรู้ลงไหดินเผาแล้วก็ปิดฝาฝังดินไว้ อีกสี่ห้าวันพี่คุณจะขุดขึ้นมาทุบก่อนเข้าห้องสอบนะความรู้ที่รัก

“พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ามืดนะคุณ”

“อือ” ผมขานรับสั้น ๆ แม้จะแค้นแสนแค้นกับเรื่องในลิฟต์แต่จำต้องเชื่อฟังท่านไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นอนาคตอาจได้เรียนเกินหลักสูตรสี่ปีก็เป็นได้ จบไปหนึ่งวิชาเหลืออีกสามวิชาสำหรับห้าวันที่เหลือ ผ่านตัวหินที่สุดไปแล้วผมก็ไม่หนักใจเท่าไหร่ เพราะตัวที่เหลือผมเข้าเรียนประจำ (แต่มันดันไม่ค่อยเข้าใจ) คะแนนเก็บอยู่ในระดับปานกลางค่อนไปทางบวกแต่ก็ยังอยากติวเพื่อความมั่นใจอีกหน่อย ผมคงใช้เวลากับมันไม่มาก ตั้งใจว่าจะกลับมาทวนไอ้ตัวยากโคตรนี่อีกรอบในวันก่อนสอบ วางแผนให้ตัวเองในหัวเป็นรูปเป็นร่างแล้วก็สบายใจขึ้นมาก อารมณ์ก็ดีจนยอมให้จิณณ์ซ้อนหัวไปวางบนตักมันได้

“เหนื่อยไหม” ผมครางรับ หลับตาให้พี่มันซับผ้าเย็นไปตามใบหน้าและซอกคอแบบไม่เกี่ยงงอน คิดถึงโปรแกรมติวพรุ่งนี้แล้วก็อยากจะหลับยาวให้รู้แล้วรู้รอด

“เราจำเป็นต้องวิ่งตอนเช้าด้วยหรือ”

“เปลี่ยนบรรยากาศไง วิ่งไป ท่องหนังสือไป เอาวิชาที่ติววันนี้แหละไปท่องเป็นการทบทวนไม่ให้ลืม”

“แต่ผมเพิ่งขุดดินฝังไหไปเองนะ” ผมเพ้อไปตามเรื่อง จิณณ์คงไม่เข้าใจมันเลยพล่ามต่อ “ถ้านั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เดิมนาน ๆ มันจะทำให้แก้วกาแฟของนายล้น”

“แก้วกาแฟ?” ผมลืมตาขึ้นมองคนพูด จิณณ์ยกมุมปากยิ้ม อืม สงสัยพี่มันจะรู้ว่าช่วงนี้ผมห่างเกินการชื่นชมความหล่อมานานเลยตอกย้ำให้เห็นกันลืม โอเค พี่หล่อมากจิณณ์ ตกลงจะอธิบายเรื่องแก้วกาแฟของผมได้หรือยัง

“ใช่ สมองเราเหมือนแก้วใบหนึ่ง เวลาได้รับอะไรมาก ๆ ถึงจุดที่ไม่สามารถรับได้แล้วมันก็จะล้นเหมือนกาแฟที่ถูกรินเติมจนเต็มแก้ว ส่วนที่ล้นน่ะก็จะเสียเปล่าแถมยังทำให้เลอะอีกด้วย ทางที่ดีเราควรจะทำให้มันว่างเสียก่อน การได้พักผ่อน เปลี่ยนบรรยากาศหรือการออกกำลังกายเป็นทางหนึ่งที่จะทำให้แก้วกาแฟของนายว่างได้ เข้าใจหรือยัง”

“เข้าใจ ถ้าอย่างนั้นการที่เรานอนหลับมันก็น่าจะพอแล้วไม่ใช่หรือ”

“ไม่พอ เรากำลังเรียนหลักสูตรเร่งรัด นายเป็นคนเบื่อง่ายแถมยังต้องย้ำจริงจังถึงจะจำได้ ขืนนอนแล้วก็ตื่นมาอ่านซ้ำ ๆ กันหลาย ๆ วัน นายอาจเป็นบ้าไปก่อนจะทันได้เข้าห้องสอบ” นั่น ดันรู้นิสัยผมอีก

“ผม...ไม่รู้สิพี่ ผมตั้งใจนะ ตั้งใจและพยายามแล้วแต่มันก็ยังได้เท่านี้ ขณะที่บางคนเค้าแทบไม่ต้องอ่านหนังสือเลยทำไมเค้าทำได้ มันเหนื่อยแล้วก็ล้ามากเลยนะ มากจน มากจนผมไม่รู้ว่าตัวเองจะทำได้หรือเปล่า” ยิ่งพูดเหมือนตัวเองยิ่งอ่อนแอ ผมหลับตาลงอีกครั้ง ไม่เข้าใจตัวเองแต่ก็สรุปเอาว่าเป็นเพราะความเครียดที่มันสะสมมานับเดือนบวกกับสภาพร่างกายที่ถูกใช้งานหนักในช่วงหลัง ๆ มานี้ทำให้สภาพจิตใจเปราะบางตามไปด้วย เพียงแค่ได้พูดสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจออกไป เพียงแค่ได้นอนหลับตา มีมืออุ่น ๆ คอยลูบผมให้ มีเสียงนุ่ม ๆ คอยพึมพำรับคำ

น้ำตามันก็ไหลได้เอง

“คุณ” เจ้าของเสียงนุ่มเอนตัวลงนอนข้างผม ฝ่ามือที่ไล้ขึ้นลงบนหลังทำให้ผมยอมจำนนต่อความอ่อนโยนนั้น จิณณ์จะรั้งเข้าไปกอดจะดุจะตีอะไรก็ช่างมันแล้ว ตอนนี้ขอผมร้องให้พอใจก่อนก็แล้วกัน “ไม่เป็นไร มันแค่เรื่องเล็ก ๆ ถ้านายผ่านมันไปได้นายจะเข้มแข็งขึ้นนะ”

“ผมรู้”

“เค้าเรียกว่าความกดดัน มันอาจจะลำบาก อาจจะเป็นทรมานในตอนนี้ แต่ถ้านายพยายามและเอาชนะมันได้ นายจะภูมิใจเมื่อได้หันกลับมามอง แล้วความสำเร็จที่ได้มามันก็จะยิ่งทำให้นายดีใจมากกว่าการที่ได้มันมาโดยไม่ผ่านอุปสรรคอะไรเลย ความทุกข์น่ะมันทำให้เรารู้จักกับคำว่าความสุขนะ” จิณณ์พูดถูก ผมรู้อย่างที่มันรู้แต่ที่ผมไม่รู้คือผมจะทำตามแนวทางนั้นได้อย่างไร

“ผมแค่เหนื่อยเท่านั้นเองจิณณ์ แค่ ไม่รู้จะจัดการกับความอ่อนแอของตัวเองยังไง”

“เหนื่อยได้แต่อย่านาน เหนื่อยก็พักแล้วก็ลุกขึ้นสู้ใหม่ ที่สำคัญ ฉันก็อยู่ตรงนี้ นายหิวอยากกินข้าว คอแห้งอยากดื่มน้ำหรือเหนื่อยจนอยากนอนนิ่ง ๆ ขอแค่คุณเอ่ยปากบอก อยากจะให้ฉันทำอะไร คงไม่ต้องย้ำใช่ไหมว่าฉันพร้อมจะทำให้คุณเสมอ” ผมไม่ตอบเพราะไม่รู้จะตอบยังไง อยากขอบใจ อยากตอบรับเป็นคำพูดแต่หนังตามันก็หนักจนทำอย่างที่นึกไม่ไหว เสียงนุ่ม ๆ กับไออุ่นที่เริ่มคุ้นเคยทำให้สติผมลางเลือนแล้วก็ทำในสิ่งที่เรียกว่าหลับคาอกคนปลอบไปอย่างไม่น่าอภัย




เช้าวันแรกของการสอบ

ผมเดินช้า ๆ ไปตามถนนหน้าตึกเรียน ไม่ต้องเร่งรีบเพราะมีคนบุกบ้านมาปลุกตั้งแต่เช้ามืด บังคับให้ผมลุกขึ้นมาวิ่งออกกำลังกายตอนเช้าอย่างที่เคยทำมาตลอดอาทิตย์โดยมีแม่ยืนทำหน้าปลาบปลื้มอยู่ตรงประตูครัว อาบน้ำ กินข้าวเช้าเสร็จ นาฬิกาปลุกของผมก็ขับรถมาส่งถึงหน้ามหาวิทยาลัยบอกว่าตัวเองมีงานต้องจัดการเลยต้องรีบไป ผมเลยได้เดินเตร่เข้ารั้วมาชนิดที่ว่าชมดอกไม้หมดสวนของมหาวิทยาลัยแล้วก็ยังเข้าห้องทันเวลาสอบแน่นอน

บุรินทร์กับวาโบกมือให้ทันทีที่เห็นผมเดินขึ้นตึกไป สองคนนั้นนั่งห่างจากคนอื่น ๆ ออกมานิดหน่อย ไม่มีกองหนังสือตรงหน้าทั้งที่คนรอบตัวกำลังขะมักเขม้นกับการทวนเนื้อหาหน้าตาเคร่งเครียด แบบนี้แสดงว่ามั่นใจกันน่าดู

“เดินตัวเปล่ามาเลยนะ” บุรินทร์ถือคติเปิดก่อนย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง ผมชายตามองมันอย่างไม่ถือโทษ วันนี้ได้ออกกำลังกายตอนเช้า สมองโปร่ง อารมณ์เลยดีด้วย “ตัวเปล่าที่ไหน สะพายเป้ใบเท่าบ้านมาแบบนี้ ซอยแถวบ้านเค้าเรียกตัวเปล่าหรือตี๋”

“บ๊ะ! มีสติตอบโต้เพื่อนแสดงว่าไม่กังวลเรื่องข้อสอบแล้ว”

“ไม่กังวลกับผีน่ะสิ เมื่อไหร่จะเริ่มสอบสักทีวะ” อุ่ย หลุด

“อีกตั้งครึ่งชั่วโมง กินอะไรมาหรือยังล่ะ กองทัพมันต้องเดินด้วยพยาธิในท้องนะ ปล่อยพวกมันหิวเดี๋ยวก็ได้ร้องประท้วงกลางห้องสอบหรอก” อยากจะตอบว่ากินมาเต็มท้องแล้วแต่ไอ้ตี๋มันก็ร่ายยาวจนผมไม่มีช่องไฟจะแทรก วาเลยใช้ฝ่ามือดันหน้ามันเป็นการบอกให้หยุด จังหวะนั้นเองโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น บุรินทร์กับวาหันไปชี้ชวนกันดูขื่อดูคาน เหมือนไม่สนใจแต่หูนี่กระดิกเชียว

“คุณภัทรพูด”

( จะเข้าห้องสอบแล้วใช่ไหม )

“อือ อีกครึ่งชั่วโมง ทำธุระเสร็จแล้วหรือ”

( ยัง ถ้าเข้าไปแล้วเค้าห้ามใช้โทรศัพท์เลยโทรมาก่อน ไม่ต้องคิดมากนะ ค่อย ๆ คิด ทำข้อที่ง่ายก่อน ข้อยากเก็บไว้ทีหลังแล้วก็อย่ามองว่ามันเป็นข้อยากหมดล่ะ ก่อนจะตอบก็วางโครงเรื่องกับหัวข้อที่สำคัญไว้ก่อนแล้วค่อยเขียนรายละเอียด อย่าลืมดูเวลาด้วย เข้าใจไหม )

“จิณณ์ พี่ย้ำจนผมจำได้แล้ว”

( ฉันเป็นห่วง กลัวนายเครียดจนลืม กลัวสารพัดเลยคุณ )

“ผมจะเข้าห้องสอบไม่ได้จะไปรบ พี่อย่าเวอร์ไปเลยน่า”

( ฉันเป็นห่วง )

“รู้” เสียงนั้นบอกมาเบา ๆ ผมก็เลยต้องเบาเสียงตามไปด้วย

( ตั้งใจทำข้อสอบนะ ถ้าทำคะแนนได้ดีสอบเสร็จจะพาไปเที่ยว ) ของรางวัลน่าสนใจจนทำให้ผมพยักหน้าแรง ๆ ทั้งที่รู้ว่าปลายสายคงไม่เห็น คุยกันอีกสองสามประโยคจิณณ์ก็วางสายไป ผมจัดการปิดเครื่องก่อนจะซุกมันไว้ในเป้ เงยหน้าขึ้นมาก็จ๊ะเอ๋กับดวงตาพราวระยับสองคู่

“โทรศัพท์เครื่องนี้ซื้อมาจากไหนนะคุณ”

“ชั้นสี่ มาบุญครองไง เราไปด้วยกัน นายจำไม่ได้หรือบุรินทร์” บุรินทร์ทำหน้าหมายมั่น

“ได้การละ ฉันจะไปซื้อโทรศัพท์ของร้านนั้นมาใช้ เผื่อจะได้โทรไปยิ้มไปเหมือนใครแถวนี้บ้าง สนใจไหมวา จะได้ไปซื้อพร้อมกันเลย” โชคดีที่วาไม่เออออไปกับมัน ผมเลยได้ลงไม้ลงมือกับไอ้ตี๋คนเดียว บุรินทร์ร้องโอยเมื่อถูกกำปั้นแบบไม่มีรูทุบไหล่เข้าให้ ถ้าไม่ติดว่าคนอื่น ๆ กำลังตั้งใจท่องหนังสือผมจะขบหัวมันแถมให้อีกอย่าง แซวไม่ดูตาม้าตาเรือ เดี๋ยวจะไม่เหลือชีวิตไปเจอลูกศิษย์นะขอเตือน




การสอบวันสุดท้ายผ่านพ้นไปได้ด้วยดีสำหรับผมและเพื่อน ๆ ดีในที่นี้หมายถึงว่าผมได้ทำข้อสอบครบทุกข้อแต่คำตอบจะโดนใจอาจารย์จนได้คะแนนสวย ๆ มาหรือไม่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง ขณะที่คนอื่น ๆ พากันถกถึงเรื่องข้อสอบที่เพิ่งทำไปอย่างเมามันพวกเราสามคนกลับมองหน้ากันแล้วก็ถอนใจ พอได้แล้วกับเรื่องวิชาการต่อจากนี้คือช่วงปิดเทอม ผมจะออกเที่ยวสักสองอาทิตย์ติด ๆ กัน นอนตื่นสายให้สมอยาก ตามไปกินร้านอร่อยที่ได้ยินมาให้ครบ เป็นการเรียกกำลังคืนมาก่อนจะต้องมาเผชิญกับตำราเรียนของปีสองต่อไป

เราสามคนลากสังขารอันอิดโรยมานั่งที่โต๊ะประจำ นอกจากโค้กเย็น ๆ คนละกระป๋องแล้วก็ไม่มีใครเรียกร้องอย่างอื่นอีก เพิ่งสามโมงพวกเรากินข้าวเที่ยงก่อนจะเข้าไปสอบวิชาสุดท้ายตอนนี้เลยยังอิ่มจนไม่โหยหาสิ่งใดทั้งสิ้น

“มีโปรแกรมจะไปไหนหรือเปล่า”

“วันนี้หรือ” พอวาพยักหน้ารับบุรินทร์ก็บอกเสียงอ่อน

“ฉันไม่มี หมดแรงแล้ว อยากกลับไปนอน”

“จะกลับไปนอนหรือไปไหนกันแน่ เดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับเพื่อนฝูงนะ ทำตัวน่าสงสัย” ผมเปรยลอย ๆ ไม่มองหน้ามันแต่แอบเห็นนะว่าบุรินทร์ลอบค้อนให้น่ะ แหมะ ตั้งแต่รักเด็กเนี่ย ติดนิสัยเด็กมาเต็ม ๆ เลยนะตี๋

“ไปนอนคือนอนจริง ๆ ว่าแต่คนอื่นดูตัวเองเสียก่อน โน่น ทำไมคนที่สอบเสร็จไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วแถมยังทำเรื่องขอจบเรียบร้อยถึงได้ยังวนเวียนไปมาแถวนี้อยู่ไม่ทราบ” ผมหันไปมองตามที่มันบุ้ยปากนำแล้วก็ยักไหล่ “จะไปรู้หรือ ปากมีก็ถามเอาเองสิ”

“แหม แค่นี้ทำเขิน” ก่อนที่สงครามน้ำลายจะลุกลามไปถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือ เป้าหมายของการสนทนาก็เดินเป็นพยัคฆ์หน้าหยกมาถึงโต๊ะเสียก่อน มองหน้าหล่อ ๆ นั่นแล้วก็เกิดคำถามอีกจนได้ สอบเสร็จไปแล้ว เรียนจบแล้วเรียบร้อยรอแต่เข้าพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตร งานก็มีมาจ่อรอคิวให้ทำเต็มมือแล้วทำไมยังทำหน้าเครียดอีก

“เป็นอะไร” ไอ้เรื่องจะเก็บความสงสัยไว้ในใจนั้นหาใช่วิถีคนแมนไม่ พอจิณณ์นั่งลงปุ๊บผมก็ถามปั๊บ ฝ่ายนั้นเลิกคิ้วนิด ๆ คลื่นความหล่อพัดด้วยกำลังแรงสองร้อยแปดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงกระแทกใส่หน้าผมดังปัก! แม้แต่ช่วงที่ผมอ่อนแอเพราะการสอบมันก็ยังไม่คิดปรานี

“ใคร”

“ก็พี่นั่นแหละ เป็นอะไรทำหน้าเครียด ท้องผูกหรือไง”

“ทำข้อสอบได้ไหม” ผมหัวเราะหึ

“ได้ทำมากกว่า” จิณณ์แทบจะถอนใจพรืด ตาคมมองผมก่อนจะหันไปเอาคำตอบกับวาและบุรินทร์ เพื่อนทั้งสองคนก็แสนดีตอบรับอย่างฉะฉานว่าได้ทำทุกข้อแต่เรื่องคะแนนคงต้องขึ้นอยู่กับอาจารย์ เท่านี้สีหน้าเคร่งเครียดก็คลายลงอย่างเห็นได้ชัด จิณณ์ยิ้มรับนิสิตสาวสองสามคนที่ผ่านมาทักทายแล้วก็หันมามองผมที่นั่งกระดกน้ำโค้กอยู่เงียบ ๆ เห็นผมหรี่ตามองมันก็บอกเสียงอ่อน

“รุ่นน้องที่โรงเรียนเก่าน่ะ”

“ใคร”

“น้องผู้หญิงกลุ่มเมื่อกี้ไง”

“หมายถึงใครถามจ้าาา” เห็นจิณณ์ทำหน้าเหวอได้ผมก็หัวเราะชอบใจ แหม โดนบุรินทร์เล่นงานด้วยมุขควายบ่อย ๆ เคยโกรธมันหัวฟัดหัวเหวี่ยง ไม่คิดเลยว่าพอลองได้เอามาใช้เองมันจะสะใจถึงขนาดนี้ ผมหัวเราะจนโดนวาทุบแขนเข้าให้เลยหันไปไล่เบี้ยกับคนที่นั่งหน้านิ่งอยู่ข้าง ๆ

“แล้วมาทำอะไรแถวนี้” เพราะตั้งแต่วันแรกที่สอบ จิณณ์โทรมาหาก่อนผมจะเข้าห้องสอบแค่ไม่กี่นาทีแล้วต่อจากนั้นเป็นเวลาสองอาทิตย์ที่หมอนี่หายหน้าหายตาไปจากชีวิตผม อยู่ ๆ ก็โผล่มาในวันสุดท้ายของการสอบแบบนี้ ใครบ้างจะไม่ข้องใจ

“มารับ”

“อ๋อ”

“ดีเนาะ สอบเสร็จก็มีคนมารับไม่ต้องเหนื่อยกลับบ้านเอง ว่าแต่เดี๋ยวนี้ยังปั่นจักรยานเป็นหรือเปล่า หรือว่าตั้งแต่มีรถรับส่ง ไม่ได้ปั่นมาจอดไว้ตรงรถไฟฟ้าเหมือนเมื่อก่อนแล้ว” ไอ้ตี๋มันทำหน้าซื่อถามเหมือนกำลังชวนผมคุยเรื่องยาสามัญประจำบ้าน ทั้งที่ใจความนั้นมันตั้งใจเหน็บผมตั้งแต่พยางค์แรกจรดพยางค์สุดท้ายของประโยค รังสีความอาฆาตของผมคงรุนแรงใช้ได้ตี๋มันเลยลุกพรวดย้ายไปนั่งซุกหลังวาทันที

“จะกลับเลยหรือเปล่า” จิณณ์ถามแต่มือนั้นจัดการคล้องสายเป้ให้ผมเรียบร้อย

“จะรีบไปไหนเนี่ย ผมไม่ต้องรีบกลับไปอ่านหนังสือแล้วนะ อย่างน้อยก็ตลอดช่วงปิดเทอมนี้”

“ไม่อ่านหนังสือก็ไปเที่ยว ไม่อยากไปหรือ” เป็นทางเลือกที่น่าสนใจใช้ได้ ผมหันมามองหน้าเพื่อนทั้งสอง มองหน้าเป็นเชิงขอความเห็นแต่เจ้าสองคนกลับยิ้มแปลก ๆ

“ไม่สนใจหรือ ไปเที่ยวคลายเครียดกัน ไปที่ไหนกันดี ทะเลดีไหม” วาถอนใจเฮือก มองตากับบุรินทร์แล้วก็บอกเสียงอ่อน “นายไปเถอะ ฉันมีโปรแกรมแล้วล่ะ บุรินทร์เองก็เหมือนกัน”

“แล้วกัน ทั้งสองคนวางแผนกันไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ ฉันไม่เห็นรู้เรื่องด้วยเลย” ก็มันจริงนี่นา ทุกทีเวลาจะไปไหนก็ต้องบอกกันเสมอ แล้วนี่มันโปรแกรมทัวร์ช่วงปิดเทอมใหญ่ด้วยนะ สำคัญขนาดนี้ไม่บอกเพื่อนได้ไง ผมหน้างออุตส่าห์ดีใจว่าจะได้ไปเที่ยวด้วยกัน วากับบุรินทร์หัวเราะฝืน ๆ ถ้าให้เดาโปรแกรมของวาคงเกี่ยวข้องกับพี่พีร์ ส่วนของบุรินทร์ก็คงมีน้องมอปลายมาเกี่ยวด้วยแน่ ๆ หื่อออออ ไอ้พวกเห็นแฟนดีกว่าเพื่อน พวกนายทำอย่างนี้กับคุณภัทรที่แสนดีได้ยังไง

“น่า อย่างอนไปเลย นายก็ไปกับพี่จิณณ์สิ เผลอ ๆ จะสนุกจนลืมเราสองคน”

“นั่นมันนายแล้ว อะไรวะ ก่อนสอบก็ยุ่งจนไม่มีเวลาไปไหนด้วยกันแล้วหลังสอบยังไม่ได้ไปด้วยกันอีก เคือง” ก่อนจะออกอาการเคืองมากกว่าเดิมจิณณ์ที่นั่งเงียบมาตั้งแต่เมื่อครู่ก็กระตุกชายเสื้อผม บอกเสียงเบา “พอได้แล้วล่ะ ถ้านายไม่อยากไปกับฉันก็ไม่เป็นไร เอาเป็นว่าที่ตกลงกันไว้ยกเลิกไปก็แล้วกัน”

“ผมไปตกลงกับพี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“จำไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ มันไม่มีผลอะไรแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันไปก่อนนะ” พี่มันยิ้มบอกแล้วก็ลาเพื่อนอีกสองคนของผมอย่างรวบรัด ผมได้แต่ยืนมองคนตัวสูงเดินตัดถนนหน้าตึกไปยังรถที่จอดอยู่ไม่ไกล บอกไม่ถูกว่ากำลังรู้สึกอย่างไรแต่ไม่ใช่สบายใจแน่

“ตามไปสิคุณ ถึงนั่งอยู่ตรงนี้ก็ไม่ได้ไปเที่ยวอยู่ดีนะ”

“ช่างปะไรล่ะ”

“โอเค ช่างก็ช่าง นั่นก็แค่พี่จิณณ์ ไม่เกี่ยวกับฉันอยู่แล้ว”

“ไม่เกี่ยวกับฉันเหมือนกัน”

“พวกนายนี่นะ” ผมถอนใจเฮือกใหญ่แล้วก็วิ่งตัวปลิวไปหารถคันสวยที่จอดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เคาะกระจกสีทึบแล้วก็รอให้เจ้าของรถเขาเลื่อนกระจกลงให้

“ตั้งใจจะไปทำอะไรบ้างล่ะ”

“ล่องแพ เคยไปไหม” ไม่เคยแต่เรื่องอะไรจะบอก เมื่อเห็นว่าโปรแกรมน่าสนใจใช้ได้ผมก็อัญเชิญตัวเองเข้าไปนั่งคู่คนขับ จิณณ์ไม่ถามอะไรให้เสียเวลา ขับรถตรงไปบ้านผมอย่างรู้งาน



โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:

((หายไปหลายวันเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้มาอัพให้อีกตอนนะคะ กลัวว่าอัพสองตอนพร้อมกันแล้วคนอ่านจะสับสนค่ะ ^^ ))

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เลี้ยงเด็กต้องมีของมาคอยล่อ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
จิณณ์ รักเด็กใสๆ  ความรู้สึกช้า
เลยต้องคอยเทียวตามติด มาหา
คุณ ก็คิดแต่สนุก มีแต่เรื่องของตัวเองอย่างเดียว
คุณ ที่ไม่ชอบให้ใครสัมผัส แตะต้องตัว
ยอมให้จิณณ์รั้งไปนอนตัก ลูบหัว
โอบกอด ลูบหลังลูบไหล่ หลับในอ้อมอกจิณณ์ 
นี่ก็ล้ำเข้ามาในอาณาเขตของคุณแล้ว
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: 

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ขอบคุณค่ะ
ลงอีกตอนเลยจ้า  อยากอ่านอีกค่ะ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ mookiie

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
สะดุดกับชื่อเรื่องจนต้องกดเข้ามาดู เป็นบันไดแดงจริงๆด้วยยยย
เราเคยอ่านเวอร์ชั่นคยูเฮ เป็นหนึ่งในเรื่องที่ต้องหยิบมาอ่านซ้ำๆ อ่านกี่รอบก็ไม่เบื่อ
ดีใจที่ได้อ่านเวอร์วายไทยนะคะ เป็นกำลังใจให้ จะคอยติดตามๆ ^^

ออฟไลน์ MoonLovers

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
ตอนที่ ๑๖   :L2:

ผู้แต่ง :: FANISMZ







ผมน่ะเดาไว้แล้วว่าคนทางบ้านจะมีปฏิกิริยาอย่างไรถ้าได้รู้เรื่องที่ผมจะไปเที่ยวกับพ่อยอดชายนายจิณณ์ แต่พอเอาเข้าจริงมันยิ่งกว่าที่คิดเสียอีก แม่ยกมือปิดปากแล้วก็อุทานเป็นคำแปลก ๆ อยู่ในคอ ขณะที่ไอ้น้องชายตัวดีนั้นถึงขั้นระเบิดเสียงหัวเราะออกมาลั่นห้องรับแขก

“ถ้าอย่างนั้นแม่จะไปเตรียมกระเป๋าให้นะลูก พี่คุณจะเอาชุดไหนไปบ้าง เสื้อยืด เสื้อกล้าม แจ็คเก็ต กางเกงเอาแบบขายาวหรือขาสั้นดี เอายาว ๆ ไว้ดีกว่าเนาะเดี๋ยวโดนแดดเผาผิวไหม้หมด แล้วของใช้ส่วนตัวอย่างอื่น...”

“ไม่เป็นไรครับคุณน้า เอาเสื้อผ้าสำหรับสามวันไปก็พอ ส่วนของอื่น ๆ ผมเตรียมไปเผื่อน้องแล้วครับ”

“จะดีหรือลูก ลำบากพี่จิณณ์แย่เลย”

“ไม่เป็นไรครับ ส่วนหนึ่งก็เป็นของที่ผมต้องใช้อยู่แล้วด้วย คุณน้าไม่ต้องเตรียมอะไรเพิ่มหรอกครับ ที่ ๆ จะไปอยู่ในเขตที่ค่อนข้างเจริญแล้ว ถ้าขาดเหลืออะไรเราก็หาซื้อจากแถวนั้นได้ ไม่ลำบาก” เฮ้ย แค่ไปเที่ยวกันตามประสาผู้ชายนะ ทำไมต้องทำท่าเหมือนเป็นเรื่องระดับประเทศขนาดนั้น ผมได้แต่นั่งกลอกตามองผู้ปกครองสองคนปรึกษากัน คิดมากไปเองหรือเปล่าก็ไม่รู้ว่าวันนี้ดูหูตาคุณนายทิพปภาเธอดูแวววาวแพรวพราวชอบกล

“อะไรกันนักหนา แค่ไปเที่ยวทำไมต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ ทำอย่างกับฉันไม่เคยได้ออกบ้านไปไหนอย่างนั้นแหละ” น้องชายบังเกิดเกล้าหัวเราะหึ ฉีกปากยิ้มแบบไม่เห็นฟันมาให้ผม

“ก็ไม่เคยไปกับพี่จิณณ์ไง”

“แล้วมันยังไง”

“น่า เห็นใจแม่เค้าหน่อย เค้าตื่นเต้น”

“แม่จะไปกับเราด้วยหรือ” คีย์ถอนใจเฮือกใหญ่ ไอ้น้องคนนี้มันทำหน้าเหมือนวากับบุรินทร์ตอนที่ผมเอ่ยปากชวนให้ไปด้วยกันเป๊ะ แต่ดูยังไงแม่ก็ไม่เห็นเอ่ยปากหรือแสดงท่าทีว่าอยากไปเที่ยวกับเราสองคน พอเก็บกระเป๋าให้ผมเรียบร้อยแม่ก็บอกให้ผมเอาไปใส่ไว้ในรถ มีเจ้าคีย์ที่เสนอหน้าเดินตามออกมาส่งพวกเราถึงหน้าบ้าน มันประจ๋อประแจ๋ตามบีบนวดให้พี่จิณณ์อย่างน่าดีด

“ขอของฝากเจ๋ง ๆ นะครับคุณพี่” ฟังมัน

“โอเค งั้นผมขอรับตัวน้องไปเลยนะครับ สวัสดีครับคุณน้า” จิณณ์หันไปไหว้แม่ผมแล้วทริปท่องเที่ยวของเราก็เริ่มต้น ณ บัดนั้น




“เรากำลังจะไปไหนกัน”

“ไปเที่ยว” แหม ตอบได้น่าทำปืนลั่นใส่จัง

“รู้แล้วว่าไปเที่ยว แล้วมันต้องไปที่ไหนล่ะ อากาศร้อนมันมีอะไรให้พี่บันเทิงใจจนยิ้มเป็นบ้าอย่างนี้ได้ด้วยหรือ”

“มากับนาย อยู่ที่ไหนฉันก็ยิ้มได้เสมอแหละคุณภัทร” ผมสะดุ้งโหยง รีบหันไปมองคนขับรถหน้าตาตื่น โชคดีไปที่พี่แกดูจะสนใจแต่ท้องถนนด้านหน้าไม่มีวี่แววว่าใบหูคล้ำ ๆ นั้นจะกระดิกระริกเมื่อได้ยินประโยคเสี่ยวสุดขั้วโลกของไอ้หล่อมัน ผมอนุมานแบบเข้าข้างตัวเองเอาว่าพี่แกคงไม่ได้ยินนั่นเอง ไม่เอาละ เล่นกับหมาหมาเลียปาก แถมไอ้หมาตระกูลสูงส่งตัวนี้มันคอยเล็งมากกว่าเลียปากผมอยู่ทุกลมหายใจแบบนี้ ผมไม่เล่นด้วยดีกว่า

เวลาสองชั่วโมงบนรถทำให้ผมเพลียจนเผลอหลับไประหว่างทาง รู้สึกตัวอีกทีเมื่อจิณณ์เขย่าตัวปลุก งัวเงียยังไม่ทันจบพี่มันก็ลากผมลงจากรถตู้คันโต แล้วผมก็เพิ่งได้เห็นว่าเราสองคนกำลังอยู่กลางความเขียวชอุ่ม เงยหน้ามองไอ้คนที่ยืนข้างตัวก็ได้แต่รอยยิ้มเป็นคำตอบกลับมา

“นอนมาตั้งสองชั่วโมงแล้วยังง่วงอีกหรือ”

“สองชั่วโมง” ผมหลับไปสองชั่วโมง โห แล้วนั่นรถคันที่พวกเรานั่งมาก็แล่นลับหายไปกับแนวป่าที่เห็นอยู่ลิบ ๆ ไปเรียบร้อยแล้ว เหลือผมกับจิณณ์สองคนยืนทำหน้าโง่อยู่กลางป่าในเขตพื่นที่ที่เราแทบไม่รู้จักเลย ผมหันมองซ้ายขวา พอได้มาอยู่ท่ามกลางต้นไม้สีเขียวแบบนี้ก็เหมือนหลุดออกมาอยู่ในโลกอีกใบที่สวยกว่า สงบกว่าและมีเสน่ห์มากกว่า

“ไปกันเถอะ” จิณณ์บอกแล้วก็เดินไปตามทางเล็ก ๆ เส้นนั้น ผมหันไปมองแล้วก็ร้องอ๋อเพราะเห็นป้ายบอกทางเข้ารีสอร์ทเด่นหราอยู่ไม่ไกล รีบวิ่งตามจิณณ์เข้าไปข้างในแล้วก็ต้องร้องออกมาอย่างตื่นตาตื่นใจ สวยสุดยอด เป็นรีสอร์ทที่สวยและให้ความเป็นธรรมชาติอย่างที่หาได้ยากในประเทศของเรา พนักงานต้อนรับแต่งตัวด้วยชุดพื้นบ้านอย่างเสื้อแขนกระบอกผ้าถุงสีเปลือกไม้ต้อนรับพวกเราด้วยภาษากลางอันไพเราะซึ่งแน่นอนว่าผมยกหน้าที่นี้ให้จิณณ์เป็นคนจัดการและก็ไม่ผิดหวังเพราะพี่มันจัดการจองที่พักผ่านทางอินเตอร์เน็ตมาเรียบร้อยแล้ว ไม่ถึงสิบนาทีเราก็ได้เปิดประตูกระท่อมน้อยคอยรักเข้าไปชื่นชมการตกแต่งภายในแบบไร้อุปสรรคกวนใจ

“ไหนว่าเราจะมาล่องแพแล้วทำไมถึงมานอนกระท่อม” ผมถามขณะที่นอนแผ่บนเตียงกว้าง คนที่พาผมมากำลังเอาเสื้อผ้าออกมาแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้าใกล้ทางเข้าห้องน้ำ จิณณ์ถือกระเป๋าเครื่องประทินผิวมาวางไว้หน้ากระจกแล้วก็ทิ้งตัวนอนข้างผม “นอนกระท่อมมันสะดวกกว่า ถ้านอนแพจะไม่มีแอร์ใช้ เค้าสตริกท์เรื่องการใช้ไฟฟ้า เรื่องเวลากินข้าว ยุงเยอะด้วย วันแรก ๆ ก็เที่ยวแถวนี้แล้วก็ไปล่องแพวันสุดท้าย จะได้ไม่เพลียจนไม่มีแรงเหลือให้โปรแกรมอื่น” เรียกได้ว่าเตรียมตัวมาดี

“พี่รู้จักที่นี่ได้ยังไง”

“เคยมากับเพื่อนเมื่อปีที่แล้ว”

“อ้อ”

“ชอบไหม” ชอบอะไรวะ!

“...ก็ดี...มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีเขียว ต้นไม้ ใบหญ้า ดอกไม้ ดอกไม้แล้วก็ดอกไม้ ว่าแต่แถวนี้มีอะไรน่าเที่ยวบ้างล่ะ ประเภทปีนเขา โดดน้ำตก ขี่ช้างแบบนั้นหรือเปล่า” จิณณ์หัวเราะ พลิกตัวตะแคงมาทางผม

“อยากทำอะไรแบบนั้นหรือ”

“อื้อ เคยเห็นในทีวี ท่าทางจะสนุก”

“งั้นพรุ่งนี้จะพาไป วันนี้ฉันเพลียแล้ว ขอแค่นอนฟังเสียงนกกับนายเงียบ ๆ แค่นั้นได้ไหม” คนหล่อเขาทอดเสียงอ่อนเหมือนจะขอแต่ผมฟังแล้วรู้สึกว่ามันขัดหูยังไงชอบกล

“ผมเงียบ ๆ หมายความว่าไง พี่หาว่าผมพูดมากหรือ” จิณณ์หัวเราะจนตัวสั่น ดึงมือผมไปแปะตรงแก้มมันแล้วก็หลับตาลง

“นายมันพูดมาก พูดมากจริง ๆ คุณภัทร”

“อะไรของพี่เนี่ย”

“ฉันดีใจนะที่นายชอบที่นี่และยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดฉันดีใจที่ตัวเองได้อยู่ตรงนี้กับนาย” ครับ ขอจบการสนทนาช่วงบ่ายไว้เพียงเท่านี้ ผมไม่มีอะไรจะต่อความแล้ว เจอหน้าหล่อ ๆ กับประโยคฮุคซ้ายเข้าไป ไม่อายจนไปไม่เป็นก็อึ้งจนพูดไม่ออกแบบผมนี่แหละครับ เอาเป็นว่าผมเองก็ง่วงเพราะฉะนั้นขอผมงีบเอาแรงก่อนที่จะออกไปตะลุยโลกกว้างในตอนเย็นก็แล้วกัน
เจอกันเมื่อจิณณ์ปลุกผมครับ ฝันดี




บ้านหลังที่จิณณ์จองไว้อยู่ติดกับแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลเอื่อยทอดตัวโค้งไปตามแนวป่า เจ้าตัวผมบอกว่าที่เลือก River view เพื่อที่จะได้ดื่มด่ำกับความเย็นฉ่ำของสายน้ำได้อย่างเต็มที่แม้จะต้องจ่ายแพงกว่า Mountain view ก็ไม่เป็นปัญหา (เฮ้ย หมั่นไส้คนรวย)

ความจริงทางรีสอร์ทมีห้องอาหารสุดหรูไว้บริการแต่มื้อแรกของวันแต่จิณณ์ตัดสินใจเองว่าจะตั้งโต๊ะตรงระเบียงห้องที่มองเห็นทิวทัศน์ได้ทั้งแม่น้ำและภูเขา อาหารที่สั่งเป็นเมนูประจำท้องถิ่นแต่ปรุงสำหรับนักท่องเที่ยวที่ลิ้นแมวอย่างผมเลยกลายเป็นรายการแปลกอันแสนโอชะไปได้ไม่ยาก

“คืนนี้เราจะไปไหนกันดี” ผมถามระหว่างนั่งมองจิณณ์แกะกุ้งแม่น้ำตัวเบ้งอย่างตั้งใจ อ่า ใช่แล้วครับผมอยากกินแต่ไม่อยากแกะเองเลยต้องนั่งรอคนแกะให้ จิณณ์เงยหน้ามอง เห็นแววตาพี่มันผมก็เดาได้ทันทีว่าอีกคนคงไม่ได้คิดเรื่องนี้ไว้

“ไปไหน”

“ก็ไปเที่ยวไง มาเที่ยวทั้งทีพี่คงไม่คิดจะนั่ง นอน กินข้าวจนจบทริปหรอกนะ”

“จะเอาแบบนั้นก็ได้” ไอ้หล่อมันบอกอย่างไม่เป็นปัญหา ทว่าไม่ใช่กับผม เมื่อตอนบ่ายก็นอนกันเพลิน ตื่นแล้วก็ไม่ยอมลุกไปไหนได้แต่กลิ้งไปกลิ้งมาจนสุดท้ายก็ไม่ได้ออกไปทำอะไรเลยสักอย่าง สุดท้ายก็ต้องมานั่งมองตากันอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ จะมาจบวันดี ๆ แบบอืดเอื่อยอย่างนี้ไม่ได้

“ผมอยากออกไปเที่ยว อยากไปดูบ้านเมืองเค้าตอนกลางคืนว่ามันจะเป็นยังไง สวยแค่ไหน ถ้าพี่ไม่อยากไปผมจะให้รถของทางรีสอร์ทไปส่ง” จิณณ์วางกุ้งใส่ในจานผมก่อนจะพยักหน้า

“ตามใจ”

“ตามใจยังไง” ตกลงพี่มันจะปล่อยให้ผมไปเผชิญโลกกว้างคนเดียวใช่ไหม

“ฉันบอกโปรแกรมของเราตั้งแต่ตอนนายตื่นแล้วไม่ใช่หรือคุณภัทร นายก็น่าจะจำได้ว่าเราจะไปเที่ยวไหนกันบ้าง” มันก็ใช่แต่ทุกโปรแกรมจิณณ์มันวางไว้ตั้งแต่ตอนตะวันขึ้นไปจนถึงก่อนตะวันตกดินแต่ที่ผมอยากไปดูน่ะมันแสงสีของเมืองยามค่ำคืนต่างหากเล่า

“ผมอยากไปเที่ยวกลางคืน”

“ไม่ดีหรอก แถวนี้ไกลจากตัวเมืองแถมยังไม่ใช่พื้นที่ที่เราคุ้นเคย นายอย่าลืมสิว่าเราเป็นนักท่องเที่ยว หน้าตาก็แปลกไปจากคนท้องถิ่นอยู่แล้ว เกิดมีคนไม่ดีเข้ามาเกาะแกะหาเรื่องจะทำยังไง มันอันตรายนะคุณ อย่าไปเลย อยู่กับฉันที่บ้านนี่แหละ” ผมนั่งเงียบไปแค่อึดใจเดียวก็บอกด้วยเสียงอ่อน ๆ ว่า “ผมจะไป”



ไม่ผิดหวังเลยสักนิดที่ใช้มุขดื้อเงียบจนได้ออกมานั่งรถชมธรรมชาติยามค่ำคืนกับไกด์ของทางโรงแรม กาญจนบุรีหรือจังหวัดที่ผมกำลังสำรวจตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศเรา นอกจากทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงามแล้ว ยังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากมายหลายประการเสียจนผมจดจำไม่หมด หนึ่งในนั้นคือสงคราม ผมลดกล้องในมือลงเมื่อไกด์เอ่ยถึงภาพความโหดร้ายของสงครามและการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของทุกฝ่าย

ความเริงร่าในใจดูจะจางหายไปกับสายลมเย็นที่พัดมาจากแม่น้ำสายหลักของเมือง ตรงหน้าผมเป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่เชื่อมแผ่นดินสองฝั่งเข้าหากัน ประดับประดาด้วยแสงสีงดงาม ยิ่งมองในเวลากลางคืนยิ่งสวยและมีเสน่ห์แต่ก็ให้ความรู้สึกหดหู่และเศร้าหมองเกินบรรยาย ก่อนที่จะดำดิ่งไปมากกว่านั้นสัมผัสอุ่นจัดก็โอบมาจากด้านหลังดึงให้ความคิดของผมกลับเข้าหาตัว

“หน้าเครียดหมดแล้ว”

“เพื่อคำว่าชัยชนะแล้ว คนเราจะสามารถทำเรื่องโหดร้ายได้รุนแรงแค่ไหนหรือพี่ ดูสิ สะพานที่ทั้งกว้างและยาวขนาดนั้นมันจะต้องใช้คนกี่หมื่นกี่พันคน ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าจะสร้างเสร็จ ผมไม่แปลกใจเลยที่พวกญี่ปุ่นจะถูกชังเพียงแค่ได้ยินชื่อประเทศของเขา ก็ดูสิ่งที่ทหารญี่ปุ่นทำไว้สิ” จิณณ์ครางรับในคอ อ้อมแขนยิ่งกระชับร่างผมแน่นเข้า เราสองคนยืนอยู่อย่างนั้น มองภาพเดียวกันและรู้สึกร่วมในสิ่งเดียวกัน

“มันเป็นเรื่องของสงคราม ไม่มีฝ่ายไหนผิดหรือฝ่ายไหนถูกหรอกคุณ ทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องทำเพื่อชาติ เพื่อประเทศของตน ในสงครามหากไม่ชนะก็จะต้องเป็นฝ่ายแพ้ ดูอย่างเมืองฮิโรชิม่ากับนางาซากิสิ ไม่มีใครอยากเป็นฝ่ายสูญเสียแม้แต่ผู้ชนะเองก็คงไม่อยากเห็นความสูญเสียของอีกฝ่ายเหมือนกัน ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากทำลายล้างเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง ฉันเชื่ออย่างนั้นนะ”

ผมก็พยายามจะเชื่ออย่างนั้น ถึงจะทำใจได้ไม่เต็มร้อยแต่ก็ไม่อยากโทษผู้ที่ได้ชื่อว่าเสียสละเพื่อชาติ จริงอย่างที่จิณณ์พูด คนทุกยุคทุกสมัยล้วนมีเหตุผลในการกระทำของตนเอง เราจะเอาเหตุผลของคนปัจจุบันไปตัดสินคนในอดีตมันย่อมไม่ยุติธรรม ผมควรจะคิดให้ได้อย่างนั้น

“ผมเกลียดสงคราม เกลียดความขัดแย้ง”

“แต่นายก็ชอบขัดฉันอยู่เรื่อย”

“นั่นเพราะพี่ชอบกวนโมโหผมต่างหากล่ะ”

“ฉันไปทำอย่างนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หือม์ ออกจะรักและเอ็นดูขนาดนี้ ถามหน่อยซิว่าเคยมีใครตามใจนายได้เท่าฉันอีกหรือเปล่าคุณภัทร” เหอะ จ้างให้ก็ไม่ตอบให้ใครได้ใจหรอก ผมดึงตัวเองออกจากอ้อมกอดไอ้คนชอบยกหางตัวเองแล้วก็เดินเร็ว ๆ ไปหาพี่ปริม ไกด์พิเศษของเรา วานพี่เขาเป็นตากล้องให้แล้วก็วิ่งไปโพสต์ท่าเหมือนเมื่อครู่ไม่ได้ซึมเป็นหมาหงอยให้ใครบางคนปลอบเป็นวรรคเป็นเวร

จิณณ์เดินตามพวกเรามาช้า ๆ ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตพับแขนกับกางเกงยีนส์ดูจะดึงดูดความสนใจของคนที่มาเดินเล่นแถวนั้นจนไม่เป็นอันต้องชมวิวกันไปหลายคน ผมมองภาพนั้นแล้วก็หันมาชูสองนิ้วให้ตากล้อง คนพวกนั้นไม่เห็นหรือยังไงว่าเมื่อกี้จิณณ์มันกอดผมจนจมอก ถ้าเห็นแล้วทำไมยังมองอยู่ได้ ไอ้คุณชายเองก็เถอะมัวแต่ทำเท่ยืนให้ลมพัดผมอยู่นั่น รำคาญตาจัง

“น้องคุณ ยิ้มหน่อยค่ะ” ผมส่ายหน้า เดินไปรับกล้องมาจากพี่ปริมแล้วก็ซูมไปยังร่างสูงที่ยืนมองแม่น้ำอยู่ไม่ไกลทันที หึ ไม่ระวังตัวแบบนี้ก็เสร็จปาปารัซซี่มือดีอย่างผมสิครับ กดภาพไปสองสามช็อตติด ๆ กัน จิณณ์ก็ละสายตาจากแม่น้ำหันมามองพร้อมรอยยิ้มตรงมุมปาก เฮ้ออออ แม้แต่ความสลัวของกลางคืนก็ยังดับรัศมีคุณชายท่านไม่ได้เลยครับ เพราะงั้นจะโทษผมไม่ได้ที่มัวแต่ยืนขาแข็งอยู่กับที่จนจิณณ์เดินเข้ามาประชิดตัว

“รบกวนหน่อยนะครับ” เอ๋ อะไร รบกวนใคร ผมกะพริบตาปริบมองตามแล้วก็เห็นแสงแฟลชวาบขึ้นมา ไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่ทันได้เก๊กหล่อ รูปคู่ใบแรกของผมกับไอ้พี่จิณณ์ก็โดนสอยไปเสียแล้ว

“โอ๊ย พี่ปริม ทำไมไม่นับก่อนอ่ะครับ ผมยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลย”

“ไม่เป็นไรค่ะ น่ารักออก เอาอีกรูปนะ” แล้วมันก็ไม่จบแค่อีกรูป ตลอดทริปนั้นพี่ปริมก็รับหน้าที่เป็นตากล้องให้เราด้วยหัวใจที่พร้อมให้บริการขั้นสุด เธอกระตือรือร้นหาฉากสวย ๆ มาให้ผมกับจิณณ์ไปยืนโพสต์แข่งความหล่อกันแบบไม่มีคำว่าเหน็ดเหนื่อยแถมยังกำกับท่าให้อีกในบางครั้ง ถ่ายออกมาแล้วก็กรี๊ดกับหน้าจออยู่คนเดียว จะว่าไปก็ให้ความรู้สึกคล้าย ๆ ผู้หญิงที่บ้านอย่างไรชอบกล

“สบายใจขึ้นหรือยัง” ไอ้คนตัวสูงกว่ามันถาม พลางเสยผมที่ตกมาปรกหน้าให้อย่างเบามือ ผมพยักหน้าน้อย ๆ หันไปมองมองสะพานที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังอีกครั้ง

“ก็ดีขึ้นแล้วล่ะ”

“ถึงได้ไม่อยากให้ออกมาตอนกลางคืนไงล่ะ เมืองนี้น่ะนอกจากผับที่เปิดตอนกลางคืนแล้ว สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญและเป็นที่นิยมมากที่สุดก็คือสะพานข้ามแม่น้ำแควนี่แหละ ความจริงฉันตั้งใจจะพานายมาดูตอนกลางวัน เพราะอย่างที่เห็นบรรยากาศตอนกลางคืน มันเอื้ออำนวยให้ความเศร้าหมองในจิตใจเราทำงานได้ดีเกินไป”

“ใช่” ผมเห็นด้วย “เป็นอย่างที่พี่พูดเลยล่ะแต่ผมดีใจนะที่ได้มา”

จิณณ์เลิกคิ้ว ขยับเข้ามาใกล้ผมอีกนิด

“อย่างนั้นหรือ ไหนพูดมาสิ ว่าทำไมคิดแบบนั้น”

“ไม่ เรื่องอะไรจะบอก ความรู้สึกของใครก็เป็นความลับของคนนั้นสิ”

“ขี้โกงนี่นา ทีความรู้สึกของฉัน ฉันยังบอกนายหมดเลย”

“พี่บอกอะไรผม ไม่เคย”

“แน่ใจ?” จิณณ์ย้อนถาม ริมฝีปากสีสดเหยียดเป็นรอยยิ้มร้ายในแบบที่ทำให้ผมแทบละลายลงไปกองกับพื้นรถในพริบตา ปกติเคยคุ้นตาแต่หล่อซื่อใสซอฟท์ แต่ตอนนี้ต้องมาเจอคุณชายจิณณ์เวอร์ชั่นหล่อเลว ใครก็ได้ปั๊มหัวใจให้ผมที

“แน่ใจหรือว่าฉันไม่เคยบอกอะไรนาย” ผมหันหน้าหนี เพิ่งรู้สึกว่าคิดผิดที่ยอมให้พี่ปริมไปนั่งคู่กับคนขับ อย่างน้อยก็น่าจะมีบุคคลที่สามเอาไว้ช่วยชีวิตตัวเองตอนหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้บ้าง ไม่ใช่มานั่งตัวแข็งโดนผู้ชายด้วยกันเท้าแขนกักไว้กับประตูรถแบบนี้

“สิ่งที่ฉันแสดงออกไปตั้งแต่ต้น มันไม่ได้บอกอะไรนายเลยหรือคุณภัทร” เสียงทุ้มยิ่งรุกเข้ามาใกล้ ไม่ไหวแล้ว ผมกำลังจะโดนรุกฆาต ต้องหาทางออกด่วน

“บอกสิ บอกตลอดนั่นแหละ” ไอ้คนดี(ที่ตอนนี้มันแอบร้าย)เอียงหน้าน้อย ๆ มองผมตาแป๋ว เปลี่ยนโหมดไวได้อีกครับพี่น้อง

“บอกว่ายังไง”

“บอกว่าพี่เป็นคนดี ไว้ใจและเชื่อใจได้เสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพี่จะไม่ทำให้ผมรู้สึกไม่ดีโดยการบังคับฝืนใจทำในสิ่งที่ผมยังไม่พร้อม ตลอดเวลาที่ผ่านมา การกระทำของพี่บอกผมแบบนี้” จิณณ์กระตุกยิ้มมุมปาก ร่างสูงยอมถอยออกห่าง หากสองตายังไม่คลาดไปจากใบหน้าผม รถที่เรานั่งแล่นมาถึงรีสอร์ทพอดี ก่อนจะเปิดประตูรถลงไปผมยังทันได้ยินเสียงคุ้นหูเปรยลอยมากับลม

“คุณภัทรนะคุณภัทร การกระทำของฉันมันไม่ได้บอกนายด้วยหรือว่าฉันจะไม่ยอมรับความผิดหวังใด ๆ ทั้งสิ้น...” เปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ ด้วย คุณชายผู้อ่อนโยนคนเดิมคนนั้นคงถูกไอ้ผู้ชายรอบจัดคนนี้ผลักตกรถตู้ไปแล้วแน่ ๆ จิณณ์คนที่อยู่กับผมตอนนี้ถึงได้ชอบทำสายตาแล้วก็พูดจาให้ใจผมสั่นเพราะความตระหนกได้หน้าตาเฉย แม่ง ตกลงคนไหนคือตัวจริงของพี่กันแน่วะ



โปรดติดตามตอนต่อไป   :mew1:

((มาตามสัญญาค่ะ ^^ ))

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด