บทที่ 11
ร้อยตำรวจเอกอธิคมออกเวรตอนเที่ยงตรง เขาแวะมารับอนุภาพที่คอนโดเวลาเที่ยงสิบห้านาที ชายหนุ่มยืนรออยู่แล้ว เที่ยงวันเสาร์อากาศร้อนอบอ้าว การจราจรถบนถนนคับคั่ง แต่ชายหนุ่มที่กำลังทำหน้าที่ขับรถดูร่าเริงเป็นพิเศษ
“คุณว่าผมหล่อร้ายกาจอย่างพี่บั๊ดชมหรือเปล่าครับ” อธิคมโพล่งขึ้นมา
อนุภาพอึ้งไม่รู้จะตอบอย่างไร ความจริงผู้กองอธิคมนั้นหล่อมากอย่างที่ใครๆ ชม แต่อยู่เฉยๆ เขาถามโพล่งขึ้นมาแบบนี้ ชายหนุ่มจึงสงสัยว่าจะมาไม้ไหน เลยได้แต่พยักหน้าช้าๆ
“ผมก็ว่าอย่างนั้น” ตำรวจหลงตัวเองเออออ “แต่หล่อๆ อย่างนี้ไม่ยักกะมีแฟน” เขาเสริมลอยๆ
อนุภาพไม่ยอมพูด เอาแต่นั่งนิ่ง มองออกไปนอกรถ ราวกับว่าสนใจร้านรวงข้างถนนมากยิ่งนัก อธิคมผิวปากเป็นเพลงเบาๆ เป็นระยะ สลับกับการชวนคุย อนุภาพตอบรับบ้างสั้นๆ จนนายตำรวจหนุ่มล้อเลียนว่า "คุณนุนี่สงสัยตอนเป็นเด็กหัดพูดช้ากว่าเด็กทั่วไป"
"คงงั้นมั๊งครับ" อนุภาพยอมรับ หันหน้าไปมองผู้กองอธิคมที่กำลังทำตาวิบวับ "ผู้กองก็คงพูดเป็นคำตั้งแต่ยังไม่เริ่มหัดเดิน"
อธิคมหัวเราะเสียงดัง ชอบใจที่อนุภาพพูดกระทบกระเทียบ "ผมเป็นคนชอบคุย เป็นคนมีไมตรีจิต เป็นมิตรกับคนอื่น"
...คงเป็นมิตรกับใครไปทั่ว มิน่า หูตาถึงได้แพรวพราวนัก หรือไม่ก็หัดยั่วเย้าคนอื่นตั้งแต่เรียนอยู่อนุบาล...อนุภาพค่อนขอดในใจ ทำทีไม่สนใจสิ่งที่อธิคมพูด แล้วเอื้อมมือไปเปิดเพลงฟัง แต่ก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงเพลงร๊อคดังลั่นขึ้นมา
"โอ๊ะ เบาๆ ตกใจหมดเลย" อธิคมยิ้มกว้าง เอื้อมมือมาหรี่เสียงให้เบาลง "คุณนุนี่มือบอนเหมือนกันนะ"
อนุภาพขมวดคิ้ว ทำหน้าง้ำ อดฉุนไม่ได้ที่โดนว่าตรงๆ "ใครจะไปรู้ว่าคุณฟังเพลงดังขนาดนี้ ก่อนปิดเครื่องเสียงทำไมไม่หรี่ให้มันเบาลงก่อน"
"อืม จริงสินะ ผมลืมไป มันไม่มีใครมาคอยเตือนนี่ครับ ไปไหนมาไหนคนเดียวตลอด นี่ถ้ามีคนนั่งด้วย ก็จะได้ช่วยควบคุมพฤติกรรมการฟังเพลง" อธิคมอธิบายเสียงเรียบ ตีหน้าซื่อ
...น่าหมั่นใส้...อยากเอานิ้วจิ้มตาให้ทะลุจังเลย...อนุภาพนึก ปรายตามองผู้ชายหน้าเป็น...แล้วก็นั่งเงียบต่อ ตัดสินใจไม่พูดต่อปากต่อคำ เพราะรู้ว่าอธิคมคงไม่ยอมหยุด
เพลงร๊อคดุเดือดของวงโอเอซิสบรรเลงไปได้สามเพลงอธิคมก็เปลี่ยนเป็นฟังจากสถานีวิทยุ นายตำรวจหนุ่มกดเปลี่ยนสถานีไปเรื่อยๆ แทบจะทุกครึ่งนาที จนอนุภาพทนไม่ไหว
"ผู้กองครับ ฟังซักสถานีได้ไม๊"
"มันไม่มีที่ไหนเปิดเพลงเพราะๆ นะสิครับ" อธิคมแก้ตัว "ไม่เห็นเปิดเพลงรักกันเลย มีแต่ดีเจพูดเรื่อยเปื่อยอยู่ได้"
อนุภาพไม่ตอบโต้...นึกขึ้นได้ว่าไม่น่าเลย...คราวนี้อธิคมต้องหาเรื่องจีบเขาอีกแล้ว...
"อยากเปิดเพลงรักหวานๆ ให้คุณนุฟัง จะได้สบายใจ" น้ำเสียงของนายตำรวจหนุ่มฟังร่าเริ่งยิ่งนัก ราวกับมีความสุขมากที่ได้ยั่วเย้าคนหน้านิ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ "ถ้าไม่งั้น ผมจะร้องให้ฟัง"
"ฟังโอเอซิสก็ได้ครับ" อนุภาพตัดบท...
"ไม่อยากฟังเพลงรักเลยเหรอ" อธิคมเสียงออดอ้อน
"อยากฟัง แต่เพลงรักที่เพราะจริงๆ หายากครับ เท่าที่ได้ยิน เห็นมีแต่เพลงรักพร่ำเพรื่อที่เอาแต่ร้องๆ กันจนเอียน" แม้คิดว่าจะไม่อยากตอบโต้ แต่ในที่สุดอนุภาพก็อดไม่ได้
"โอ้โห เจ้าคารมแฮ่ะ" อธิคมไม่สะดุ้งสะเทือน ยังทำหน้ายิ้มๆ ก่อนจะเปิดไฟเลี้ยวและหมุนพวงมาลัยเลี้ยวขวา พร้อมกับพึมพำเบาๆ จนอนุภาพแทบไม่ได้ยิน "ไว้จะร้องให้ฟัง...ข้างๆ หู"
อนุภาพได้ยินไม่ถนัด แต่พอจับใจความได้ ใจหนึ่งอยากจะตอบกลับ แต่อีกใจหนึ่งกลับห้ามไว้ได้...เพราะรู้ว่าหากต่อปากต่อคำต่อก็คงไม่มีทางจบ...นิ่งเอาไว้ดีกว่า...เดี๋ยวอธิคมก็หยุดกวนเอง...
ทั้งสองใช้เวลาร่วมหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงสตูดิโอ ผู้กองหนุ่มจอดรถในซอยเล็กๆ และเริ่มบ่นว่าหิว อนุภาพชวนให้ทานอาหารที่ร้านอาหารห้องแถวข้างถนนเพราะไม่ต้องการเสียเวลา
“คุณนุนี่ทานง่ายจังเลย อะไรก็ทานได้ แบบนี้เลี้ยงไม่ลำบาก”
อนุภาพยังคงรักษาภาพลักษณ์ ‘เจ้าชายน้ำแข็ง’ ไว้อย่างเหนียวแน่นเวลาอยู่ต่อหน้าอธิคม แม้บางครั้งจะออกอาการอารมณ์เสียอยู่บ้างเมื่อนายตำรวจหนุ่มยั่วเย้าจนเขาทนไม่ไหว
บุคลิกนิ่งๆ ของอนุภาพไม่ได้ทำให้อธิคมรู้สึกประหม่าในการหาเรื่องคุย ผู้กองหนุ่มรู้สึกสดชื่นที่ได้อยู่ใกล้ๆ ทำตัวสนิทสนมเหมือนเป็นคู่รัก ออกจากบ้านด้วยกัน นั่งรถไปทำงานด้วยกัน ทานข้าวกลางวันด้วยกัน
"คุณนุทานนิดเดียว อยู่ได้เหรอครับ"
"ผมกินเพื่ออยู่ ไม่ได้อยู่เพื่อกิน"
คนที่โดนกระทบกระเทียบว่าอยู่เพื่อกินชะงัก ผลักจานข้าวจานที่สองออกไปข้างๆ แกล้งทำตาค้อนกลายๆ ใส่คนหน้านิ่ง แล้วหันไปยังแม่ค้า สั่งเพิ่มอีกหนึ่งจาน ก่อนจะหันหน้ากลับมายิ้มยิงฟันให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้า
"ผมตัวใหญ่ ต้องทานเยอะๆ เดี๋ยวไม่มีแรงถ่ายแบบ" อธิคมพูดหน้าตาเฉย "ว่าแต่ว่า ไอ้เรื่องเทสท์หน้ากล้องนี่ ต้องทำด้วยเหรอครับ ถ้าเทสท์แล้วไม่ผ่าน ผมก็ไม่ต้องแสดงใช่ไม๊"
"ผ่านสิครับ" อนุภาพหรี่ตา "ผู้กองคิดอะไรอยู่"
"เปล๊า" อธิคมยักไหล่ "เผื่อช่างภาพบอกว่าผมไม่หล่อพอ ก็แค่นั้น"
"ผ่านอยู่แล้วครับ ใครจะมาหล่อเท่าผู้กอง" อนุภาพพูดล้อเลียน แต่ใบหน้าเคร่งขรึม เอาเรื่อง ราวกับจะขู่คนตัวใหญ่ตรงหน้าว่า "ห้ามลีลาเด็ดขาด"
"ผู้กองตั้งใจหน่อยนะ จะได้เสร็จเร็วๆ ยังไงๆ ผู้กองก็ได้แสดงแน่ ตกลงกันแล้วนะครับ เลิกกลางคันไม่ได้ มันเสียหาย"
"รักแล้วเลิกได้ไง" อธิคมพึมพำ
อนุภาพได้ยินไม่ถนัด เพราะมอเตอร์ไซด์รับจ้างเพิ่งวิ่งผ่านไป ได้ยินแต่สามพยางค์สุดท้าย จึงถามอธิคมว่า "อะไรนะครับ ผู้กองเลิกไม่ได้นะ เลิกไม่ได้เด็ดขาด มาจนถึงขั้นนี้แล้ว"
"ใจเย็นๆ ครับ" อธิคมยกมือขึ้นปราม ทำท่าเหมือนอนุภาพกำลังจะวิตกจริตทั้งๆ ที่ชายหนุ่มพูดเสียงเข้มขึ้นเพียงนิดเดียว "ผมไม่เลิกหรอกครับ ถูกใจแล้ว...เอ๊ย...ตัดสินใจแล้ว รับรองว่าไม่เลิก"
อนุภาพถอนหายใจเบาๆ หันหน้าไปมองคนเดินผ่านไปมานอกร้าน ปล่อยให้อธิคมรับประทานอาหารจานที่สามต่อ
...ท่าทางหิวมาก...ทานข้าวเยอะอย่างนี้ทุกวันหรือเปล่านี่...ใครได้ไปเป็นแฟนคงเลี้ยงไม่ไหว...อนุภาพลอบมองนายแบบจำเป็นที่กำลังเคี้ยวอาหารตุ้ยๆ
"ของหวานต่อไม๊ครับ" ในที่สุดอนุภาพก็อดไม่ได้...
"ผมเป็นคนหวานอยู่แล้ว ไม่ต้องก็ได้ครับ" อธิคมตอบยิ้มๆ
"ว่าแล้วเชียว" อนุภาพเอ่ยเบา
อีกฝ่ายยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม...เข้าใจที่อนุภาพพูด แต่ก็แกล้งถามกลับ "ว่าแล้วเชียวอะไร ว่าผมหวานน่ากินแล้วเชียวหรือว่า..."
"ว่าแล้วเชียวว่าผู้กองก็คงพูดแบบนี้ ไม่ต้องมาทำหน้าเป็น"
"รู้แล้วจะพูดทำไมเล่า" อธิคมยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม แล้วยกมือลูบท้อง "เรียบร้อย ทีนี้ลุยได้เลยครับ ถึงไหนถึงกัน ท้องอิ่มแล้ว จะเอาผมไปต้มยำทำแกงที่ไหนก็ตามใจ"
อนุภาพไม่ตอบ ลุกขึ้นยืน เดินออกจากร้านค้าทันที ทิ้งให้อธิคมโวยวายตามหลัง "อ้าวคุณนุ กินแล้วชักดาบหรือ"
นายตำรวจหนุ่มส่ายหน้ายิ้มๆ พอใจที่เห็นคนที่เขาชอบทำท่าทางฮึดฮัด หันไปถามราคาอาหาร แม่ค้าสาวใหญ่รีบเดินเข้ามาใกล้ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพราะนานๆ ถึงจะเห็นตำรวจหนุ่มรูปหล่ออารมณ์ดี
"ฟรีได้ไหมนี่แม่ค้า"
"ถ้ามากินทุกวันก็ฟรีได้ค่ะ" แม่ค้าหัวเราะคิกคัก ก่อนบอกราคา อธิคมควักเงินให้ บอกว่าห้าบาทไม่ต้องทอน ถือว่าเป็นทิปที่ยิ้มหวานได้ใจ ก่อนจะรีบเดินตามหลังอนุภาพที่หยุดยืนรออยู่ห่างออกไป
"ขายขนมจีบไปทั่ว" อนุภาพบ่นเบาๆ จงใจให้อธิคมได้ยิน แล้วรีบเดินหนีเข้าไปในประตูเล็กๆ ข้างอาคารพาณิชย์ ปล่อยให้อธิคมเดิมอมยิ้มตามหลังมา พูดกับตัวเองว่า "ก็คนที่ผมอยากจีบ ไม่ยอมให้จีบนี่น๊า"
เมื่อเดินเข้าในสตูดิโอ หนุ่มๆ สาวๆ หลายคนฮือฮาเมื่อเห็นนักแสดงกิตติมศักดิ์ที่ใช้เวลาในการควานหาตัวเป็นเวลานาน
อธิคมในชุดเครื่องแบบเต็มยศเป็นจุดสนใจของทุกคน ช่างภาพแอบกระซิบล้ออนุภาพว่า ‘หล่อร้ายกาจ ขนาดผมเป็นผู้ชายยังอดมองไม่ได้’
ทุกคนเรียนรู้ศัพท์ใหม่จากสมบัติจนอธิคมหัวเราะชอบใจ “ผมว่าคุณนุก็หล่อน่ารักร้ายกาจเหมือนกัน”
อนุภาพไม่รู้ว่าตัวเองหน้าแดง ชายหนุ่มเดินหนีไปนั่งอยู่มุมห้องมองอธิคมที่ยืนอยู่หน้ากล้อง สไตลิสท์จัดท่าทางให้นายแบบโพสท่าถ่ายรูปอย่างสนิทสนมจนเกินงาม สมบัติทำตาเขม่น ส่วนช่างแต่งหน้าทำตาค้อนอิจฉาสไตลิสท์ที่ได้แตะเนื้อต้องตัวผู้กองหนุ่ม
อธิคมดูเก้งก้างไม่รู้จะวางท่าอย่างไร ผู้ชายคนนี้ดูลื่นไหล เป็นธรรมชาติ มีเสน่ห์ดึงดูดใจ แต่เมื่ออยู่หน้ากล้อง มีไฟสปอตไลท์ส่อง มีคนยืนจ้องมองพร้อมออกคำสั่งให้ขยับแขนขยับขาเอียงหน้าเอียงคอ เขากลับกลายเป็นคนละคน ผู้กองหนุ่มดูตื่นกล้อง ตัวแข็งทื่อ
อนุภาพเผลอยิ้มขันๆ…
อธิคมหันมามองเห็นพอดีจึงขมวดคิ้วไม่พอใจ “ผู้กองอย่าขมวดคิ้วสิครับ” ช่างภาพสั่ง อนุภาพเบือนหน้าไปทางอื่น หุบยิ้มเพราะถูกจับได้
‘เขาคงมองไม่เห็น แสงไฟจ้าส่องตาขนาดนั้น’ ชายหนุ่มคิด กลัวว่าผู้กองหนุ่มจะจดจำเอามาเป็นประเด็นยั่วเย้าเขาอีก
การถ่ายภาพเสร็จสิ้นเกือบเย็น ทีมงานทั้งหมดแยกย้ายกันกลับ อนุภาพกับสมบัติและพจนีย์เตรียมตัวไปงานวันเกิดของเอนก copy writer ของบริษัท
วันเสาร์เสร็จสิ้นลงอีกวัน อธิคมกลับบ้านพักผ่อนอย่างเหนื่อยล้า เขาไม่นึกว่าเป็นนายแบบจำเป็นจะเหนื่อยถึงเพียงนี้ แค่ยืนเอียงไปเอียงมาหน้ากล้องที่ไฟส่องสว่างจ้าจนแสบตาเขาก็รู้ว่าเหนื่อยล้ากว่าไปวิ่งจับผู้ร้าย
…ถ้าไม่ใช่เพื่ออนุภาพ...เขาไม่มีวันจะทำอะไรแบบนี้เด็ดขาด
-----------------------
เช้าวันจันทร์ สมบัติ อาทิตย์ และพจนีย์ไปนำเสนอรายละเอียดครั้งสุดท้ายให้บริษัทรถพิจารณาก่อนจะเริ่มถ่ายทำจริง พจนีย์บอกว่า “ตื่นเต้นจริงๆ ขอให้ลูกค้า approve ทีเถอะ สาธู๊...”
อนุภาพไม่หนักใจเพราะรู้ว่าคงไม่มีใครปฏิเสธนายแบบอย่างอธิคมได้ แม้ท้ายที่สุดของการถ่ายภาพในสตูดิโอคืนนั้นนายแบบยังดูแข็งทื่ออยู่ดี...แต่ความหล่อร้ายกาจของเขาไม่มีใครที่จะปฏิเสธได้
ชายหนุ่มคาดไม่ผิด...ทั้งสามกลับบริษัทพร้อมกับข่าวดี
“กลับมาเร็วจัง” อนุภาพถามพจนีย์
“งานฉลุยพี่นุ” พจนีย์ยิ้มแป้น “ลูกค้าไม่ท้วงอะไรซักคำ”
“พอยื่นพอร์ทของผู้กองให้ ดูปุ๊บ พยักหน้าปั๊บ เจอนายแบบหล่อร้ายกาจเข้า อึ้งทึ่งเสียวไปเลย” สมบัติเสริม ยิ้มกว้างจนปากเกือบถึงใบหู
อาทิตย์หน้าขรึม นิ่งเงียบ แล้วแยกตัวเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน ก้มหน้าไม่สนใจใคร
อนุภาพกับสมบัติมองตาม แล้วหันหน้ามาสบตากัน
“อาทิตย์เขาช๊อคเล็กๆ เมื่อเปิดพอร์ทโฟลิโอดูตอนนั่งรอคุณอัสนัย” สมบัติเสียงเรียบ “แล้วก็อยู่ในอาการถูกผีอำจนกลับมาถึงบริษัทนี่ล่ะ...น่าสงสาร”
“พี่เป็นคนเลือกผู้กองเอ็งนะ พี่ต้องโทษตัวเอง”
“อ้าว นี่พี่ช่วยทำให้งานเสร็จนะ เห็นไหมลูกค้าเปิดแฟ้มดูปุ๊บยื่นกลับปั๊บ ไม่เมนท์อะไรซักคำ...รู้ไม๊ รองเอ็มดีที่นี่ยังหนุ่มอยู่เลยนะ หน้าตาก็ดีใช่ย่อย คุณอัสนัยนี่ล่ะที่คอมเมนท์นายแบบมาตลอด เจอผู้กองของจริงเข้าไป...พูดไม่ออก เราเริ่มถ่ายทำได้เลยปลายๆ อาทิตย์ ทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว”
“อาทิตย์คงฉุนน่าดูที่เราไม่ได้ถามความเห็นเขาก่อน”
“จะว่าไป ถ้ายูไม่ไปขับรถชนกับผู้กอง มันก็ไม่มาถึงขั้นนี้หรอก” สมบัติพาล
“เจ็สมบัติ ผู้กองขับรถชนท้ายรถผม” อนุภาพแก้ให้ถูก “ไม่ใช่ขับรถชนกับผู้กองอธิคม แล้วที่เขามายุ่มย่ามนี่ก็เขาเองนะ...แล้วก็มีเจ๊ทำตัวเป็นเจ๊ดัน”
“เออๆ ใครชนใครก็ช่างเถอะ ที่แน่ๆ ได้นายแบบออกมาหล่อเร้าใจก็พอแล้ว”
“ท่าทางงานนี้ไม่ค่อยหมูนะเจ๊ สุดหล่อของพี่แข็งทื่อเป็นผีดิบเวลาอยู่หน้ากล้อง” อนุภาพดันทุรัง
“เหอะน่า มาถึงขั้นนี้แล้ว ลงเรือลำเดียวกันแล้วฉันไม่ปล่อยเธอจมน้ำตายคนเดียวหรอก”
สมบัติสะบัดก้นเดินออกไปจากห้องทำงาน
อนุภาพถอนหายใจ งานโฆษณาชิ้นนี้ต้องทำงานกับอธิคม--นายแบบผู้มีแววว่าจะสร้างความหนักใจให้ไม่น้อย นี่ยังไม่นับรวมถึงปัญหาที่อาทิตย์เขม่นกับอธิคม
“ผู้ช่วยส่วนตัวคุณเขาไม่เป็นมิตรกับผมเลย จ้องจะบีบคอผมให้ได้” อธิคมทำหน้าตาย บ่นให้เขาฟังเมื่อขับรถไปสตูดิโอถ่ายรูป “เขาหวงคุณเหมือนแมวหวงเจ้า...”
“พอแล้วครับ ไม่ต้องเปรียบ” อนุภาพปรามคนช่างเปรียบที่กำลังหัวเราะในลำคอเบาๆ
------------------
หลังเที่ยง อธิคมโทรมาแจ้งว่ารถทำเสร็จแล้ว แต่ก่อนที่จะวกเข้าเรื่องรถ ผู้กองเจ้าคารมก็ชวนอนุภาพคุยเรื่องอื่นสารพัด จนอนุภาพต้องเร่งให้พูดเสร็จเร็วๆ
“ผมไปเร่งกับช่างด้วยตัวเองเลยนะ เขากลัวคุณบุกไปฆ่าถึงอู่ เลยเสร็จเร็วทันใจ” ผู้กองหนุ่มรายงาน
“จริงหรือครับ นึกว่าได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้ดำเนินการต่อไปได้” อนุภาพประชด
“แหม คุณนุก็...มันเป็นเรื่องความผิดพลาดทางเทคนิคบางประการ” อธิคมเสียงอ่อย “แต่ทางอู่เขาก็รับผิดชอบรีบซ่อมให้แล้ว คุณนุอย่าถือสาหาความเลยนะครับ”
“ดีครับที่เขารับผิดชอบ ใครทำผิดต้องรับผิดชอบ” อนุภาพลงเสียงเน้นหนัก จงใจกระทบอธิคม
“จริงครับ ใครทำผิดต้องรับผิดชอบ” อธิคมทิ้งเสียงก่อนเพิ่มเติม “รับผิดชอบด้วยชีวิต”
อนุภาพส่ายหน้ากับความขี้เล่นของผู้กองหนุ่ม
“เย็นนี้ผมพาไปรับรถ” เขาเสนอตัว แต่ชายหนุ่มรีบปฏิเสธ
“ไม่เป็นไรครับ ผมเคยไปอู่ด้วยตัวเองแล้วตอนที่ไปค้นหาความจริง คราวนี้ผมไปรับรถคนเดียวได้”
“เถอะน่าคุณนุ” นายตำรวจหนุ่มทำไม่รู้ไม่ชี้ว่าโดนประชด “ทำยังกับเราไม่เคยไปไหนมาไหนด้วยกัน นี่คุณไปรับรถต้องจ่ายเงินอู่ด้วยนา ไม่จ่ายเงินเขาไม่ให้คุณเอารถออกนา” อธิคมให้เหตุผล
“ผมมีเงินจ่าย แล้วจะเอาบิลไปเก็บที่ผู้กอง” อนุภาพต่อล้อต่อเถียง
“ผมจะไปราชการอีกหลายวัน อีกนานกว่าคุณจะได้เงินคืนนะครับ” เขาลื่นไหลไปตามน้ำดื้อๆ
อนุภาพรู้ว่าตัวเองต่อรองไปก็คงไม่ชนะ อธิคมต้องพาเขาไปที่อู่จนได้ ชายหนุ่มยอมแพ้และนัดเจอกับอธิคมที่หน้าปากซอยตอนบ่ายสามโมงครึ่งโดยบอกว่าไม่ต้องมารับที่หน้าบริษัท
“คุณกลัวใครเห็นเราหรือครับ” อธิคมทำเสียงนุ่ม
“เปล่าหรอก...ผมบอกว่าหน้าปากซอยก็หน้าปากซอยเถอะ ไม่ต้องต่อรองซักครั้งจะได้ไม๊”
“บ่ายสามโมงครึ่งไม่ได้ครับ ต้องเป็นสี่โมงครึ่ง ผมไม่อยากเบียดบังเวลาราชการ” เขาบอกเฉย
อนุภาพถอนหายใจ ขี้เกียจต่อปากต่อคำ ใจหนึ่งก็คิดว่าเขาแกล้งแต่อีกใจก็คิดว่าอาจจะจริงก็ได้ เขาเป็นตำรวจ...รับราชการ เขาอาจมีงานต้องสะสางจริงๆ
---------------------
อธิคมขับรถใช้ความเร็วพอสมควร ถนนค่อนข้างโล่ง อนุภาพบอกว่าไม่ต้องขับรถเร็วมากก็ได้เพราะห่วงเรื่องความปลอดภัย
“ผมขอโทษที่ออกช้า วันนี้แว่บก่อนเวลาไม่ได้จริงๆ” นั่นคือสาเหตุที่เขารับรถเร็วเพราะต้องการชดเชยเวลา “ผมรู้ คุณอยากได้รถเร็วๆ เรื่องจะได้จบๆ ลงเสียที” เขากล่าวเสียงเรียบ
อนุภาพนึกในใจ ‘ประชดเป็นด้วย’ ชายหนุ่มเผลอคิดว่าผู้กองหนุ่มอาจรู้สึกน้อยใจที่เขาเร่งรัดเรื่องรถให้จบลงเร็วๆ ‘จะได้ไม่ต้องเกี่ยวข้องกันอีก’
เขาถามตัวเองว่าไม่ต้องการเกี่ยวข้องกันอีกแล้วจริงๆ หรือ ความรู้สึกลึกๆ ของเขาเริ่มรู้สึกชินกับการที่ผู้ชายตัวโตๆ คนนี้เข้ามาข้องแวะ มายั่วเย้า มากวนอารมณ์ อนุภาพแย้งในใจว่า ที่จริงยังต้องเกี่ยวข้องกันเพราะอธิคมได้กลายมาเป็นนักแสดงจำเป็นเสียแล้ว
เสียงโทรศัพท์ของอธิคมดังขึ้น เขาหยิบมารับแต่โทรศัพท์ยังดัง เขาวางโทรศัพท์เครื่องนั้นลงแล้วควานหาอีกเครื่อง อนุภาพหยิบโทรศัพท์ที่ซุกอยู่ข้างๆ เกียร์รถส่งให้
“ขอบคุณครับ” เขายิ้มหวาน ก่อนเปลี่ยนเป็นสีหน้าเคร่งขรึมเมื่อได้ยินเสียงคนในสาย
“ว่าไงนะ...” อธิคมถามเสียงเข้ม “จริงหรือ...อยู่บนทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์...ได้เลย..เตรียมสกัดเอาไว้นะ..ผมจะไล่ให้ย้อนลงอุโมงค์แยกเกษตร..บอกจ่ายุทธสกัดอย่าให้ผ่านอุโมงค์ได้..” อธิคมโทรศัพท์เสียงเครียด
นายตำรวจหนุ่มเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็ว แลนด์โรเวอร์ทะยานไปข้างหน้าเหมือนธนูพุ่งจากแล่ง อนุภาพเองก็เป็นคนขับรถเร็ว แต่คราวนี้เขารู้สึกว่าอธิคมกำลังเหยียบคันเร่งส่งกำลังให้รถแล่นเกือบจะถึงความเร็ว180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใบหน้าเข้มนิ่งเงียบเคร่งขรึม ผิดจากภาพที่เจนตาเป็นคนละคน
“คุณนุครับ ขอโทษนะครับ มีเรื่องฉุกเฉิน”
เสียงวิทยุในรถตำรวจดัง รายงานลักษณะของรถผู้ต้องสงสัยค้ายาเสพติดที่กำลังหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศูนย์วิทยุประสานงานว่าผู้กองอธิคมกำลังขับรถตาม ให้ทุกหน่วยเตรียมพร้อม ผู้กองจะไล่ให้ลงอุโมงค์แยกเกษตรศาสตร์
อนุภาพเกร็งตัว ขยับสายเข็มขัดนิรภัยให้กระชับ...นิ่งเงียบ ชายหนุ่มสงสัยว่าถ้าเขาโวยวายขึ้นมาให้ไปรับรถที่อู่ให้ทัน ผู้กองอธิคมจะทำอย่างไร แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าอะไรควรไม่ควร เขาภาวนาในใจว่าขออย่าให้ต้องควักปืนออกมายิงกันเปรี้ยงปร้างเหมือนในหนังเลย...แต่ถ้าถึงขั้นนั้น เขาก็คงมุดตัวลงตรงช่องว่างหน้าเบาะนี่ล่ะ จะว่าขี้ขลาดก็ยอม แม้ตัวเองจะเป็นนักกีฬายิงปืนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย คุ้นเคยกับปืนเป็นอย่างดี แต่ในชีวิตจริงไม่เคยเจออะไรอย่างนี้นี่นา…
อธิคมตามทันรถเก๋งสปอร์ตแต่งซิ่งสีดำไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนข้างหน้า ซึ่งตอนนี้รู้สึกตัวแล้วว่ารถแลนด์โรเวอร์กำลังติดตามมาอย่างกระชั้นชิด จึงเร่งความเร็วปาดไปปาดมาบนทางด่วนยามชั่วโมงเร่งด่วน อธิคมตามจี้ท้ายไม่ยอมลดละ ฝีมือขับรถของเขาเยี่ยมยอด ถึงรถจะมีแรงเหวี่ยงจากการเปลี่ยนเลนกระทันหัน แต่อนุภาพรู้สึกถึงความมั่นคง เสียงเบรคดังลั่นแสบแก้วหู...เสียงแตรรถคันอื่นๆ ดังสนั่น
อธิคมหยิบวิทยุมาสั่งการ
“ทุกหน่วยรับทราบ ตอนนี้ลงทางด่วนแล้ว กำลังไล่ให้เข้าเกษตร-นวมินทร์ ให้ดักที่อุโมงค์แยกเกษตร ทราบแล้วเปลี่ยน” เสียงวิทยุประสานงานดังไม่ได้สรรพ อนุภาพหูอื้อ เริ่มวิงเวียน เพราะรถส่ายไปสายมาตลอดเวลา...ถ้าให้ขับเองคงไม่เวียนหัวขนาดนี้…
รถฝ่าไฟแดงหลายแยกมุ่งตรงแยกเกษตรศาสตร์ รถสปอร์ตที่กำลังหนีการจับกุมคงเริ่มรู้สึกตัวว่าถูกบีบให้ตรงไปเพื่อลงอุโมงค์พยายามจะเลี้ยวเข้าซอยด้านข้างเพื่อหนีการไล่ล่า รถตำรวจจอดซุ่มอยู่หัวมุมทางแยกเข้าขวางเปิดไซเรนดังลั่น อธิคมพยายามแซงรถสปอร์ตขึ้นด้านซ้ายเพื่อตีคู่ขวางไม่ให้เปลี่ยนเลนได้
ใกล้ทางลงอุโมงค์เข้าไปทุกขณะ รถเก๋งเร่งความเร็วสุดพุ่งทะยานให้พ้นแลนด์โรเวอร์ แล้วปาดหน้าเพื่อเปลี่ยนเลนซึ่งเป็นจังหวะพอดีกับรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อขับล้ำเลนเข้ามาจึงเกิดการเบียดกระแทกกันก่อนที่รถสปอร์ตจะเสียหลักชนแผงปูนกั้นถนนตรงทางลงอุโมงค์ เสียงชนโครมดังสนั่นพร้อมกับเสียงเบรกกรีดร้องจนแสบแก้วหู เสียงแตรรถดังระเบ็งเซ็งแซ่ อนุภาพยกมือดันแผงคอนโซลหน้ารถเตรียมตัวรับสถานการณ์เพราะรู้ว่าอธิคมต้องห้ามล้อฉุกเฉิน รถแลนด์โรเวอร์คันใหญ่เบรกจนตัวเอียงล้อครูดไปกับพื้นถนน ด้านท้ายรถชนกรวยยางแบ่งช่องจราจรจนกระเด็นไปคนละทิศละทาง
รถจอดสนิท อธิคมดึงเบรกมือ เปิดประตูรถวิ่งตรงไปยังรถที่ชนกันข้างหน้า รถกระบะถูกเบียดกระแทกตั้งแต่ช่วงกลางรถจนถึงกระบะหลังด้านขวาพังเป็นแถบ โชคดีที่คนขับไม่ได้รับบาดเจ็บ รถเก๋งสปอร์ตหมุนคว้างกระแทกกับแผงปูนกั้นถนนลาดลงอุโมงค์แล้วหยุดนิ่ง ตำรวจหลายนายวิ่งกรูเข้าใกล้ โบกไม้โบกมือสั่งรถที่อยู่รอบๆ ให้หลบไป พร้อมส่งสัญญาณให้ประชาชนที่อยู่ในรถใกล้ๆ ก้มตัวลง เหตุการณ์ชุลมุนก่อนมีเสียงปืนดังขึ้นสามสี่นัด เสียงคนกรีดร้องด้วยความกลัว ผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซด์ทิ้งรถวิ่งหนีตายไปคนละทิศละทาง อนุภาพก้มหน้าหลบซุกกับคอนโซลรถโดยสัญชาตญาณ ชั่วอึดใจเขาเงยหน้าขึ้นเห็นอธิคมยกเท้ากระทืบกระจกด้านข้างของเก๋งสปอร์ตปืนจ่ออยู่ชิดศรีษะคนขับ ตำรวจคนอื่นๆ กรูเข้ามาประชิดรถเปิดประตูลากชายวัยรุ่นสองคนออกมากดแนบกับพื้นถนน
อนุภาพนั่งตัวแข็งอยู่ในรถ ไม่นึกว่าตัวเองจะมานั่งอยู่ในสถานการณ์เหมือนในฉากภาพยนต์ หัวใจเขาเต้นรัวด้วยความระทึกใจ แม้มองไม่เห็นภาพชัดเจนเมื่อได้ยินเสียงปืนเพราะก้มหน้ามุดโดยสัญชาติญาณ วูบหนึ่ง เขานึกถึงอธิคม ‘เขาใส่เครื่องแบบธรรมดาไม่ได้ใส่เสื้อกันกระสุนอย่างพวกตำรวจมือปราบนอกเครื่องแบบใส่กัน ถ้าเกิดถูกยิง เขาก็...’
อนุภาพอดฉุนไมได้กับความบ้าระห่ำของอธิคม...เขาไม่กลัวตายหรืออย่างไรนะ...ชายหนุ่มนั่งคอยหน้าเคร่ง...ถ้าเป็นอะไรไปคนที่รักที่ห่วงเขาจะทำอย่างไร…
เสียงตะโกนโหวกเหวกเริ่มซาลง รถที่ติดขัดอยู่เริ่มขยับ ตำรวจลากตัวผู้ต้องหาขึ้นรถตำรวจเปิดไซเรนลั่นก่อนลับหายลงอุโมงค์ลอดทางแยก
จังหวะเต้นของหัวใจของอนุภาพเริ่มกลับมาเป็นปรกติ ไม่นาน อธิคมก็เดินกลับมาที่รถ หน้าตายิ้มระรื่นเช่นเคย
“คุณนุครับ เสร็จเรื่องแล้ว ไปกันเถอะ” เสียงนุ่มๆ ของอธิคมปลุกให้อนุภาพตื่นจากภวังค์ เขายืนอยู่ข้างรถฝั่งคนขับตรงประตูที่เปิดกว้างทิ้งไว้
อนุภาพมัวแต่ตกใจจนลืมเอื้อมมือไปปิด ใบหน้าอธิคมกลับมาเป็นเหมือนเดิม ระบายยิ้มกรุ้มกริ่มตามแบบฉบับ”
“กลัวจนนั่งตัวแข็งเลยหรือครับ เปิดประตูอ้าทิ้งไว้อย่างนี้ เผื่อผู้ร้ายมันวิ่งหนีเข้ามา ขับรถพาคุณหนีไป ผมจะทำยังไง” เขาล้อ ก้าวขึ้นนั่งบนรถ และขยับรถออกจากการกีดขวางทางจราจร
“ผู้กองก็ตามไปช่วยผมกลับสิ” อนุภาพกระแทกเสียง ยังคงนั่งหน้านิ่งเฉย ใจเริ่มกลับมาเต้นเป็นจังหวะปรกติแล้ว กร้ามเนื้อเกร็งเริ่มคลายตัว...ถ้าเป็นอย่างที่อธิคมล้อ ผู้ร้ายวิ่งเข้ามาเอาปืนจ่อบังคับให้เป็นตัวประกัน เขาคงตกใจแทบช้อค ยิ่งคิดยิ่งฉุนผู้กองอธิคม…
“ผู้กองเปิดประตูทิ้งไว้เอง ไม่รู้จักปิด” ชายหนุ่มพาล
“ผมรีบวิ่งไปจับผู้ร้ายนะครับ เสี้ยววินาทีเดียวไม่มีเวลาปิดหรอก” อธิคมทำตาโต
“เสี้ยววินาทีผู้กองทำให้ผมแทบจะหยุดกลั้นหายใจ คราวหลังจะไล่ล่าผู้ร้ายยิงต่อสู้กันก็ปล่อยผมให้ลงจากรถก่อนนะ”
“อ้าว ถ้าผมปล่อยให้คุณนุกระโดดลงจากรถตอนไล่จับผู้ร้าย คุณก็บาดเจ็บสิครับ” อธิคมแกล้งล้อ
อนุภาพถอนหายใจกับคารมก่อกวนของผู้กองคนเก่ง
“ผมขอโทษครับ ผมจำเป็นจริงๆ อย่าโกรธนะ” อธิคมหันหน้ามาทำหน้าอ้อนวอน รู้สึกผิด
‘จริงหรือแกล้งทำ’ อนุภาพนึกในใจ
“ถ้าโจรจี้เอาตัวคุณไป ผมจะตามไปลากคอมันกลับมาเข้าตะราง...ใครเอาคุณไป ผมจะตามไปเอากลับมา ผมไม่ให้ใครพรากคุณไปจากผมหรอก” อธิคมทำหน้าขึงขัง
“พูดเป็นนิยาย” อนุภาพยิ้มเยาะๆ
“ก็ลองดูสิ” ผู้กองอธิคมยังทำหน้าจริงจัง อนุภาพรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว ชายหนุ่มจึงหุบปากเงียบหันหน้าไปมองนอกรถ ด้วยเกรงว่าผู้กองมือปราบจะพูดอะไร ‘ไม่เข้าหู’ ให้ได้ยินอีก
****************
ป.ล. โพสนี้ไม่มีคำถามครับ กลัวคนอ่านเบื่อผม...เอว่าแต่ว่าเบื่อคนเขียนหรือยังนี่
ขอบคุณสำหรับคำชมและความคิดเห็นนะครับ ขอคำติบ้างหน่อยก็ดี จะได้เอามาปรับปรุงครับผม