ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ลำนำมฤคินทร์{omegaverse พีเรียด แฟนตาซี}...บทที่๑๖ ปัจฉิมบท {ตอนจบ /๑๙/๑๐/๖๒}  (อ่าน 30383 ครั้ง)

ออฟไลน์ สิงหา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ลำนำมฤคินทร์

๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๒
-สิงหา-



...ความเสียหายครานี้ มิใช่การล้มตายเช่นกาลก่อน
หากแต่เป็นการอยู่อย่างตายทั้งเป็น 
แม้กระทั่งเสียงร้องขอ ยังมิดังไกลเกินไปกว่าเสียงกระซิบ...











*หมายเหตุ
1.นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆทั้งสิ้น
2.หิมพานต์ ในนิยาย แม้จะมีการบันทึกถึงในวรรณคดี หรือไตรภูมิ ทว่าผู้เขียนได้มีการแต่งเสริมเพิ่มเติมจินตนาการของผู้เขียนลงไป จึงขอให้ หิมพานต์ ในที่นี้หมายถึง เป็นเพียงโลกจินตานาการของผู้เขียนเท่านั้น
3.นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของผู้เขียน และได้มีโอกาสได้ลงในเล้าเป็ดเป็นครั้งแรก หากมีข้อผิดพลาดประการณ์ใด ผู้เขียนน้อมรับคำแนะนำจากนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ช่องท่างการติดต่อเพิ่มเติม
twitter.com  >> @SING__HA

 


































Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-10-2019 21:14:25 โดย สิงหา »

ออฟไลน์ สิงหา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ลำนำอารัมภบท





เมื่อครั้งบรรพกาล 

ณ หิมพานต์ พนาวันสถาน แสนกว้างใหญ่  อุดมไปด้วยเดียรฉาน และพืชพันธุ์อันวิจิตรพิสดารยิ่ง แห่งนี้ตั้งอยู่บนเชิงเขาพระสุเมรุ  มีการปกครอง  แบ่งสันอาณาเขตที่อยู่อาศัย เป็นสัดส่วน ตามปากแม่น้ำทั้งสี่ไหลวนล้อมรอบ เป็นเส้นแบ่งทิศต่างๆที่ถูกระบายออกจากสระอโนดาต ทั้งสี่ทิศ  กล่าวคือ  ปากแม่น้ำหัตถีมุข  ในทิศอุดร  เป็นที่พำนักของ เหล่า กุญชร  ทางฝั่งทักษิณ นั้นเป็นอาศัยของเหล่า พฤษภ มีปากแม่น้ำ อุสภมุข หล่อเลี้ยงชีวีเป็นจุดใหญ่  เรื่อยมาจนถึงฝั่ง ทิศประจิม อันมีปากแม่น้ำ อัสสมุข เป็นสถานที่ของ อาชา ทั้งปวง แลสุดท้ายที่ ทิศบูรพา นั้นมี ราชสีห์ ครอบครอง ปากแม่น้ำ สีหมุข อยู่เป็นส่วนใหญ่


ในกาลนั้นฝั่งราชสีห์ อันประกอบด้วย ตระกูลไกรสรราชสีห์ ตระกูลบัณฑูรสิงหะ  ตระกูลติณสีหะ  และ ตระกูลกาฬสีหะ  รวมสี่ตระกูล อีกทั้งบริวารใกล้ชิด ได้พากันบำเพ็ญเพียรภาวนา  ใช้เวลากว่าศตวรรษ ด้วยความไม่ย่อท้อ จนได้รับการอำนวยพรให้มีอิทธิฤทธิ์สามารถจำแลงกายเป็นมนุษย์ ทั้งยังได้รับพร อันเกิดจากความเพียรให้ทรงฤทธาเป็นที่ยิ่งขึ้นไป  แม้นมีลูกหลาน พรที่ได้รับในครานี้ก็ให้สืบสันดานตามมา เป็นที่ปลื้มปีติแก่’จตุราชสีห์‘ ทั้งหลายอย่างมากล้น
หากในกาลต่อมา ด้วยเพราะเหล่าลูกหลานจตุราชสีห์รุ่นหลัง ผู้มีความเก่งกล้าสามารถเรืองฤทธิ์ เหนือสิงห์ผสมใดทั้งปวง ก็ล้วนหลงละเริงในตน  สำแดงเดช แลพละกำลัง อวดอ้าง กดขี่ข่มเหงเหล่าสิงห์ผสม แลสัตว์น้อยใหญ่อื่นๆที่ล้วนด้อยกว่าพวกตน อย่างคึกคะนอง ให้เป็นที่เดือดร้อนกันถ้วนทั่ว
     
หิมวันต์ที่เคยร่มเย็น กลับกลายเป็นร้อนดั่งไฟผลาญ  เสียงสัตว์น้อยใหญ่กรีดร้องสะอื้นไห้ หนีตาย กึ่งก้องไปทั้งบูรพาทิศ  ร้อนไปถึงเหล่าผู้นำตระกูล  ให้รู้สึกผิดบาปเป็นอันมาก  ด้วยสุดกำลังจักห้ามปราม แต่แม้นหากยอมวางเฉย ปล่อยไว้ ดินแดนปากแม่น้ำสีหมุขที่พวกตนร่วมกันปกครองแห่งนี้ ก็เห็นทีจะเหลือเพียงชื่อ  ดังนั้นแล้วสีหราชทั้งสี่ จึงได้ตัดสินใจ  ร่วมกันภาวนาอีกครา เพื่ออ้อนวอนขอให้เหล่าเทพเทวาถอนพรอันแสนวิเศษนี้จากเผ่าพันธุ์ตนให้สิ้นไป
ท้ายแล้วคำภาวนาอ้อนวอนจากหัวหน้าจตุราชสีห์ ที่เจือด้วยเสียงกำสรวลของสัตว์ป่า ก็ดังไกลไปถึงสรวงสวรรค์  กระทั่งองค์อินทร์ทรงร้อนอาสน์ มิสามารถวางเฉย ต้องเสด็จลงมาช่วยแก้ไขปัญหาในท้ายที่สุด

ทว่า ‘พร’ นั้นเปรียบดั่งวาจาสัตย์  เมื่อเอื้อนเอ่ยออกมาแล้ว  แม้นด้วยเพียงเสียงที่เบาแสนเบา ดั่งสายลมโชย ก็มิสามารถเรียกกลับคืนได้  ด้วยเหตุนั้นพระอินทร์ผู้รับคำร้อง จึงต้องแก้ไขเหตุวิปโยคครานั้น ด้วยการร่ายคำสาป เพื่อกำกับความประพฤติของเหล่าจตุราชสีห์ไว้เสียทั่วทุกตัวตน ...


“จตุราชสีห์      เรืองฤทธีนี้แสนร้าย
ปวงสัตว์ม้วยมลาย      พาฉิบหายหิมวันต์
กูขอสาปเหล่าสิงห์      หมายท้วงติงแลกวดขัน
สำแดงแปลงฉับพลัน   เพื่อลงทัณฑ์มฤคินทร์
กูจักร่ายมนต์เวทย์      แสนวิเศษทั่วถ้วนถิ่น
เหล่าสิงห์ทั้งธรณิน      จงยลยิน สดับฟัง
จากนี้จวบกาลหน้า      เหล่าสิงหามีชนชั้น
คัดคานอำนาจกัน      แบ่งสามขั้น มิขาดเกิน
‘อุตมางค์’ยกเป็นหนึ่ง   คือผู้ซึ่งถูกสรรเสริญ
สิงห์อื่นมิอาจเมิน      หากเผชิญก้มกราบกราน
เว้นเสียแต่เรื่องบุตร   เป็นเรื่องสุดแสนสงสาร
ตั้งครรภ์ หาใช่การ      จำรอนราญ หาคู่กาย
รองมา ‘สามัญสิงห์’   มีทุกสิ่งดั่งใจหมาย
หากแต่เมื่อเจอะกาย   ชั้นอุตมางค์ต้องจำนน
สุดท้ายมาตาเพศ      แสนวิเศษ ‘ทุรพล’
กำลังแสนขัดสน      นี้เป็นชนสืบเผ่าพันธุ์
ไม่เว้นแม้ชายหญิง      ทดแทนสิ่งที่เปลี่ยนผัน
หากเป็นชั้นสำคัญ      ผู้มีครรภ์ กูบันดาล
สามชั้นล้วนคล้องสอด   ดังพิรอดสอดผสาน
คอยยั้งแลคัดคาน      มินึกพาล รู้เจียมตน
มีเก่ง มีอ่อนแอ      รู้จักแพ้ เสียสักหน
จักได้ประมาณตน      แลหลุดพ้นจากสิงห์พาล”


สิ้นสุดเสียงอันดังก้องกัมปนาทไปทั่วทุกสารทิศ เหล่าราชสีห์บางส่วนก็ได้เปลี่ยนแปลงร่างกาย แลแรงกำลัง  จัดแบ่งลำดับชั้นตามคำสาปแช่งขององค์อมรินทร์โดยทันที


หลังจากได้ใช้ชีวิตที่จำต้องอุ้มชูช่วยเหลือเกื้อกูลกันหลังต้องสาป เหล่าจตุราชสีห์ยังคงไว้ตัวสูงสง่า ด้วยธรรมชาติแห่งชาติกำเนิด ทว่าล้วนสำนึกตัว มิได้ทำสันดานพาลใส่สิ่งมีชีวิตอื่น ซ้ำยังดำเนินชีวิตด้วยกายมนุษย์เป็นหลัก เพื่อกักกันอิทธิฤทธิ์มิให้มากล้นจนเกินควร ดังเช่นเมื่อยามดำรงค์ร่างสิงห์ แลมิได้ขาดความเมตตาธรรม ต่อสัตว์น้อยใหญ่ เป็นไปดั่งความมาดหมายขององค์สหัสนัยน์  หิมพานต์จึงกลับมาสุขสงบเฉกเช่นเดิม

   
หากเมื่อวันเวลาเปลี่ยนผ่านไปหลายชั่วอายุ การเข้าถึง แลเข้าใจในกุศโลบาย แต่กาลก่อน กลับค่อยๆเลื่อนหาย แปรผันผิดเพี้ยน  เกินเป็นความแตกร้าว หยามเหยียด ด้วยกันเองภายใน ค่อยหยั่งรากทีละน้อย จนลึกล้ำ กัดกร่อนความตั้งใจอันดีงามขององค์อินทรา เหลือไว้เพียงความไม่เสมอภาคและหยามหยันของเหล่าราชสีห์ด้วยกันเอง ...
การแบ่งชนชั้นหาใช่การถ่วงสมดุล เพื่อสร้างความเอื้ออารีย์ในจิตใจอีกต่อไป...
 

เมื่อ สิงห์ชั้นอุตมางค์ ผู้สืบสายตรง จากบรรดาผู้นำตระกูล ยังคงมากล้นด้วยพลังอำนาจ แลความงามสง่าของรูปกาย เป็นที่ยำเกรง ของเหล่าสามัญสิงห์ ราชสีห์ผู้ถูกกำหนดมาเพื่อสยบยอมด้วยเป็นชนชั้นสอง การปกครองในชั้นนี้นั้นราบลื่นตามขนบดังเก่าก่อน


ส่วนฝันร้ายนั้นตกลงสู่เหล่า สิงห์ผู้เป็นมาตาเพศ หรือ “ทุรพลสิงห์”  แม้จะถือกำเนิดมาเพียงจำนวนน้อยนิด  แต่ในสายตาของสิงห์ชนชั้นอื่น เหล่าทุรพลถือเป็นชนชั้นระดับต่ำที่สุด เป็นเพียงเพศสภาพที่อ่อนแอ ไร้เรี่ยวแรงแสนเปราะบาง  เป็นตัวถ่วงอันน่ารังเกียจ  บางหมู่ฝูง ถือเป็น ความอัปยศ มีหน้าที่สำคัญเพียงเป็นเครื่องมือให้กำเนิดแก่ชนชั้นอุตมางค์  เพียงเท่านั้นไม่เป็นอื่น


...ความเสียหายครานี้ มิใช่การล้มตายเช่นกาลก่อน หากแต่เป็นการอยู่อย่างตายทั้งเป็น  กระทั่งเสียงร้องขอ  ยังไม่ไกลเกินไปกว่าเสียงกระซิบ...










ออฟไลน์ สิงหา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่๑  มลายสิ้น




                    แม้กาลเวลาจะพ้นผ่านไปหลายสหัสวรรษ แต่คำสาปแห่งองค์อินทร์นั้นยังคงไม่คลายหาย เหล่าเผ่าพันธุ์จตุสิงห์ต้องสาปจึงต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตใหม่ให้เหมาะแก่ชีวิตหลังคำสาป จากเดิมด้วยฤทธิ์อำนาจที่มีทำให้ราชสีห์เหล่านี้มักดำรงชีวิตด้วยตนเอง หรือเพียงคู่ผัวตัวเมียเท่านั้น ทว่าเพลานี้กลับมีการรวมกลุ่มคละชนชั้น จึงจำต้องจับกลุ่มสร้างชุมอยู่ร่วมกัน อันเป็นสิทธิเฉพาะของราชสีห์ชั้นอุตมางค์มีติดกายแต่กำเนิด หากแต่สิงห์ชนชั้นนี้มีน้อยเมื่อเทียบกับสามัญสิงห์  ด้วยเหตุว่าสิงห์ชั้นอุตมางค์นี้จะถือกำเนิดได้จาก พ่อชั้นอุตมางค์แลแม่ชั้นทุรพล อันเป็นชนชั้นที่มีจำนวนน้อยยิ่งกว่าเป็นเท่าตัว


                    ด้วยทุรพลนั้นสามารถถือกำเนิดได้จากพ่อแม่สามัญสิงห์เพียงเท่านั้น  แลอนิจจาพ่อแม่สิงห์ชั้นรองนี้ก็ไม่ได้ให้กำเนิดเป็นทุรพลสิงห์ทุกคู่ทุกครั้งไป ทำให้สามัญสิงห์ผู้มีความเก่งกล้าสามารถกว่าพวกพ้อง จำต้องออกมาตั้งเผ่าชุมของตนเองบ้าง โดยอาศัยถ้ำจากธรรมชาติ ใช้อาคมฤทธาที่มีกางกั้นเป็นเขตแดน อยู่อาศัยกันตามอรรถภาพ เรียนรู้การศิลปะวิทยาการ เพื่อใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์จาก ฤๅษีบ้าง วิทยาธรบ้าง หรือแม้แต่คนธรรพ์ ผู้ขับร้องดนตรี แลปรุงน้ำจันทร์ น้อยครั้งนักที่จะแปลงกลายกลับเป็นร่างราชสีห์ ให้ฤทธิ์อำนาจของตนเบียดเบียนหิมวันต์ดั่งก่อนเก่า


                    เช่นเดียวกับถ้ำหินติณสีหะแห่งนี้ ที่จ่าฝูงเป็นเพียงสามัญสิงห์ เขาเลือกยึดเอาถ้ำกลางป่าแห่งนี้เป็นที่มั่น ด้วยบริเวณนี้อุดมไปด้วยผลหมากรากไม้นานาชนิดอันเป็นสิ่งที่เผ่าพันธุ์ตนใช้ดำรงชีวิต เมื่อถ้ำอันพร้อมพรักเช่นนี้ไม่มีเจ้าของ สิงห์หนุ่มแลผู้ติดตามจึงยึดถือมันไว้ในครอบครอง เนรมิตเรือนนอนขึ้นมาเป็นหมู่กลุ่ม พร้อมที่จะให้เมียและลูกที่คอยท่าได้เข้ามาอยู่อาศัยสืบไป

                    แม้ภายในฝูงจะไม่มีอุตมางค์สิงห์ หากเหล่าติณสิงห์ก็อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขภายในฝูงเล็กๆของตน อันประกอบไปด้วย ติณสิงห์พ่อแม่ลูก สี่ครอบครัว ออกหากินตอนเช้า กลับมาชุมนุมพูดคุยหยอกล้อกันในยามเย็น เช่นวันนี้ที่สิงห์หนุ่มโตเต็มวัย กำลังเล่าเรื่องราวช่วงที่ตนได้ออกเดินทางไปเยี่ยมเยือนฝูงข้างเคียง ให้แก่บรรดาน้องน้อยในฝูงฟังอย่างออกรส

“แล้วคันธมาทน์ก็มีแสงเรืองดั่งไฟครุไปทั้งลูก งดงามยิ่งนัก“

“โอ้โห“ ผู้เล่าออกท่าทางประกอบใหญ่โตเท่าใด ดวงตาของเหล่าผู้ฟังตัวจ้อย ก็ยิ่งเบิกกว้าง พร้อมกับส่งเสียงร้อง แสดงความตื่นเต้นทัดเทียมกันกับผู้เล่าเท่านั้น ทำให้บรรยากาศรอบกองไฟกลางคูหาหินแห่งนี้อบอวนไปด้วยความสุข อาบไล้เลยมาถึงเรือนของผู้เป็นหัวหน้า บานห่างต่างไม้เปิดออกกว้าง เผยให้เห็นใบหน้าแฉล่มของสิงห์น้อยตนหนึ่ง เท้าคางออกเสียงตื่นเต้นตาม ราวกับตนเข้าไปนั่งร่วมวงด้วย

“พิรัล มานี่มาลูก“ น้ำเสียงนุ่มเย็นดังขึ้นจากด้านหลัง พร้อมกับมือเรียวที่ยกขึ้นกวัก เรียกบุตรชายเพียงคนเดียวของตน ให้ละความสนใจ จากเสียงเซ็งแซ่ด้านนอก

“ท่านแม่“ ผู้ถูกเรียกหันกลับมายิ้มหวานให้มารดา ดวงตากลมโตที่ถอดแบบมาจากเจ้าหล่อนเองเปล่งประกายระยับพร่างพราว บ่งบอกถึงความตื่นตาตื่นใจของเจ้าของได้เป็นอย่างดี

“มัวแต่ฟังคำโวจาก ’เจ้ากช’ อยู่นั่น เรื่องแท้จริงมีเพียงมิถึงกึ่งหนึ่งกระมัง” ผู้เป็นแม่ส่ายหัว หากนัยน์ตากลับทอแววเอ็นดูมากกว่าความเอือมระอาดั่งน้ำเสียงที่ทอดออกมา

“แม้เช่นนั้น ทว่าความจริงคงมีอยู่ถึงเกือบครึ่งหนาแม่จ๋า นิทานของพี่กช ทำให้ลูกรู้สึกเหมือนได้ออกไปข้างนอก ด้วยขาของลูกเองก็มิปาน” สิงห์น้อยยอมผละตัวจากบานหน้าต่าง ก่อนจะวาดวงแขนรัดร่างนิ่มของผู้ให้กำเนิด พรางต่อความด้วยน้ำเสียงแสดงความออดอ้อน ที่เนื้อความในคำแฝงด้วยความทะเล้นแสนซน จนผู้เป็นแม่อดที่จะยื่นมือมาบีบปลายจมูกเชิดรั้นเบาๆไม่ได้

“มาเถิดเจ้าพิรัล คืนนี้แม่จักกล่อมนอน ลูกรักของแม่“ นางสิงห์โอบร่างแน่งน้อยของลูกเข้าอก มือเรียวพรางลูบเนื้อลูบตัวลูกรัก หวังใจจักเห่กล่อม บุตรที่ตนเฝ้าฟูมฟัก ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงมาแต่ในครรภ์

                    นางมฤคินทร์ ก้มลงมองใบหน้ายามหลับพริ้มของลูกบนท่อนแขนพลางเก็บกลั้นสะอื้นสะท้อนใจ ถ้อยประโยคแสนเดียงสาเมื่อครู่ กัดกร่อนใจนางสิงห์ยิ่งนัก หากเป็นลูกสิงห์ตนอื่น ด้วยวัย แปดขวบปี เท่าเจ้าพิรัลนลินน้อยลูกของนาง คงได้ออกเริ่มไปมองโลกกว้างเสียแล้ว  มิต้องนั่งจินตนาการเอาจากการฟังคำบอกเล่าเฉกเช่นนี้

ด้วยตั้งแต่แรกเกิด แม้นางและสามีมิได้คาดหวัง ให้ลูกที่เกิดมาต้องเป็นสิงห์ชั้นอุตมางค์ ด้วยรู้ดีว่าตนทั้งสองล้วนเป็นเพียงสามัญสิงห์ หากด้วยความเก่งกล้าทั้งเชิงรบ และเชิงกลปัญญา ทำให้ ’ไกรพ’ ผู้เป็นเพียงสิงห์ธรรมดา ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำกลุ่มสิงห์เล็กๆแห่งนี้ได้ ทว่ามิได้เตรียมใจที่จักมีบุตรเป็นเพียง ทุรพลสิงห์ อันแสนบอบบาง

ความเป็น ทุรพล เมื่อกล่าวถึง ย่อมนึกภาพออกเพียง สิงห์ผู้มีเพียงรูปโฉมงดงามบอบบาง แลความสามารถในการตั้งครรภ์อุตมางค์เท่านั้น ที่ทำให้ ทุรพล ยังถูกเก็บไว้ให้เติบโต ด้วยเหตุนี้ สิงห์ชนชั้นนี้จึงเป็นดาบสองคม หากโชคดีรูปโฉมงดงามน่าหลงใหลจะทำให้ทุรพลผู้นั้น สามารถกุมหัวใจของอุตมางคสิงห์มีมากด้วยอำนาจบารมี แต่ไม่น้อยที่มิพ้นต้องโดนเดียดฉันท์ กดขี่รังแก ข่มเหงฝืนใจ ด้วยความอ่อนแอบอบบางของชาติกำเนิดทำให้สิงห์ในชนชั้นนี้ กลายเป็นตัวไร้ประโยชน์ หรือแม้แต่ความ อิจฉาริษยา กลายเป็นผู้ที่ต้องรองรับ และจำเลยของสิงห์ชนชั้นอื่นๆอย่างโหดร้าย

ความเป็นพ่อแม่ ที่ไม่ยากให้ลูกต้องเผชิญชะตากรรมอันเลวร้าย เมื่อนางคลอดทุรพลน้อยออกมา ไกรรพผู้พ่อจึงทำการ กั้นขอบเขตด้วยทั้งอาคมให้แน่นหนา แลใช้อำนาจการปกครอง มิให้พิรัลนลินน้อยของนาง ต้องพบเจอกับ เคราะห์กรรมแห่งทุรพล ไว้เสียตั้งแต่แบเบาะ

นางสิงห์ทอดสายตามองเจ้าสิงห์ตัวน้อยของหล่อนนั้น ที่ยิ่งเติบโต ยิ่งน่ารักน่าชัง ช่างเจรจาฉอเลาะ แลหูตาว่องไวฉายแววเฉลียวฉลาด รู้จักการออดอ้อนเอาใจเป็นอย่างยิ่ง นาง และ ไกรพ จึงทั้งรัก และ สงสารลูกน้อยจับใจ มิใคร่ยอมมีบุตรอื่นใดเพิ่มมาอีก นางทุ่มเทความรักความห่วงใยให้แก่ พิรัลนลิน จนหมดสิ้น หมายใจว่าจักอยู่กับลูกน้อยของนางตราบลมหายใจสุดท้าย มิปล่อยให้ผู้ใดมาทำให้ดอกบัวงามดอกน้อยนี้ชอกช้ำเป็นอันขาด



กรี๊ด!

                    นึกวาดฝันความหวังอันสวยงามยังไม่ทันจบ เสียงกรีดร้องของนางสิงห์หนึ่งในลูกฝูงของนางก็ดังลั่น บานประตูเรือนถูกกระชากเปิดออกอย่างแรง ด้วยกำลังของผู้เป็นเจ้าของเรือน กลิ่นคาวเลือดโชยคลุ้ง พร้อมเสียงอึงคะนึงจากด้านนอกแทรกเข้ามา ให้คนภายในเรือนนอนรู้ตัวถึงความน่าประหวั่นพรั่นพรึงที่กำลังจวนตัว แม้ไม่ยังไม่รับรู้ถึงสาเหตุ

“แม่บุษบัน เขตขัณฑ์ของเราถูกโจมตี พวกมันจักกวาดต้อนเอาทุรพล เจ้าพาลูกแลเจ้าบัวหนีไปเสีย! พี่กับสิงห์ตนอื่นจักสกัดพวกมันไว้เอง” ร่างอันชุ่มเลือดของสามี ทำให้นางสิงห์ใจเสีย ความกลัวตีรวนขึ้นมาในอกจนน้ำตาลพาลจะไหลอยู่ร่ำๆ หากแต่ลูกที่หลับใหลในอกนั้นสำคัญยิ่งกว่า นางสิงห์บุษบันเดินเข้ามากอดผู้เป็นสามีแน่น สัญชาตญาณนางกรีดร้องดังลั่นว่า ครานี้ตนแลสามีคงถึงวันที่ต้องจากลากันไปตลอดกาล

“พ่อจ๋า แม่จ๋า” เจ้าสิงห์น้อยพิรัลนลิน ผวาตื่นมาด้วยเสียงที่ดังอื้ออึงจากภายนอก ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น มากนัก แต่เสียงเรียกผู้เป็นพ่อกลับ เจ้าสิงห์น้อยจึงเดินเข้าไปกอดร่างใหญ่ดั่งขุนเขาของผู้พ่อทันที

“พิรัลลูก พ่อรักเจ้า รักเจ้าสุดหัวใจ” ผู้ที่มีท่าทีหยาบกระด้างเสมอมา ยอบตัวจับคว้าลูกที่เพิ่งตื่นจากนิทราเข้าหาตัว ความคิดคำนึงไหลทวนย้อนกาลเวลากลับไปยังวันแรก
 
วันที่เมื่อไกรพผู้นี้ รู้ว่าลูกน้อยของเขาเป็น ทุรพล ยามนั้น ราชสีห์ผู้เกรียงไกรตนนิ่งค้างอยู่เป็นนาน ทั้งหัวสมองแลร่างงกายมึนชาจนไร้ความรู้สึกโดยฉับพลัน กระทั่งเจ้าลูกสิงห์ตัวน้อยส่งเสียงร้อง สิงห์ผู้เป็นพ่อจึงได้สติอีกครา มือหนาหยาบกร้าน เอื้อมแตะข้างแก้มกลมนั้น โดยพยายามที่จะให้สัมผัสจากตนอ่อนโยนแผ่วเบาที่สุด เท่าที่สิงห์หนุ่มหยาบกระด้างเช่นเขาจะพึงทำได้ ทันใดมือน้อยอันไร้เดียงสาก็จับกำรอบนิ้วใหญ่ของไกรพอย่างพอดิบพอดี  ในนาทีนั้นเองมฤคินทร์ผู้นี้ก็ได้ปลิดวางหัวใจของตนไว้ในกำมือน้อยนั้นแล้วจนหมดสิ้น

‘บัวดอกนี้ช่างสวยงาม  แลบอบบางเหลือเกิน เจ้าพิรัลนลิน ลูกพ่อ‘

มือหยาบไร้ลงบนพวงแก้มนิ่มของลูกเช่นครานั้น เช่นเดียวกับเจ้าตัวเล็กที่ยกมือขึ้นซ้อนมือผู้เป็นพ่อด้วยความอ่อนโยน แม้ลูกสิงห์ตัวแดงในวันนั้นจะเติบโตขึ้นมาก แต่ความรู้สึกของไกรพที่มียังคงหนักแน่นเช่นวันวาน และไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปจนตลอดชีวิตของเขา

“พิรัลนลิน พ่อรักลูก ไม่ว่าเจ้าจักอยู่ ณ ที่แห่งใด มือของพ่อจักตามไปโอบอุ้มเจ้าเสมอ” สิงห์ไกรพจรดกดจูบลงบนกระหม่อมลูกน้อย เพื่อฝากรักเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ผู้เป็นแม่จำต้องกลั้นใจอุ้มโอบลูกขึ้นอก เผ่นทะยานออกจากเรือนของตนไป ปล่อยทิ้งหัวใจและความทรงจำไว้เบื้องหลัง เพื่อรวมตัวกับทุรพลสิงห์ร่วมฝูงอีกตนหนึ่ง


“ตามข้ามาเถิดเจ้าบัว เราจักต้องไปพึ่งใบบุญท่านราชสีอัตรคุปต์ ที่แห่งนั้นเปิดรับสิงห์ทุกตน ถ้ำแห่งนั้นถือเป็นสถานที่อภัยทาน เจ้าจักปลอดภัย” นางสิงห์ผู้เป็นชั้นสามัญสิงห์หนึ่งเดียวจำต้องรับภาระเป็นจ่าฝูง นำเหล่าทุรพลสิงห์หนึ่งตนแลสิงห์เพศเมียอีกสองตนหาที่หลบภัย
 
ร่างบางสะโอดสะองของเหล่าสาวงาม กลายกลับเป็นสิงห์กายสีแดงดังเปลวเพลิงตัวโตเทียบเท่าวัวหนุ่ม เท้าทั้งสี่ยืดยาวแข็งแรงด้วยกลีบเท้าคล้ายอาชา ปากอ้ากว้างคาบหลังคอลูกสิงห์ตัวน้อยของตนไว้มั่น ก่อนฮ่อตะบึงนำฝูงด้วยความเร็วสุดฝีเท้า
หากยังไม่ทันเหนื่อยกลับต้องหยุดชะงัก ด้วยมีกลุ่มไกรสรราชสีสามตนมาขวางหน้า หนึ่งตนในฝูงเป็นอุตมางคสิงห์ในปากสีชาดของพวกมันคาวคลุ้งไปด้วยกลิ่นเลือด แม้ใจยากสู้ให้สุดชีวิต แต่ด้วยคำสาปที่ฝังรากไปในจิตวิญญาณทำให้บุษบันสั่นเทาไปทั้งตัว ด้วยความหวาดกลัวจากจิตใต้สำนึกแห่งสัญชาตญาณ...สามัญสิงห์ไม่มีทางสู้ได้

นางสิงห์ไม่รอช้าวิ่งกลับหลังโดยพลัน แม้ฝีเท้าของเผ่าพันธุ์จะเหนือกว่า ไกสรราชสี หากเป็นเพียงสามัญสิงห์และทุรพลอันแสนอ่อนแอย่อมไม่สามารถเทียบเคียง นางบุษบันกลั้นใจครั้งสุดท้าย เหวี่ยงลูกในปากลงป่าพงข้างทาง ใช้สายใยแห่งชาติพันธุ์ส่งเสียงคำรามฝากฝังลูกน้อยไว้กับนางสิงห์ที่เหลือ แล้วกลับตัวกระโจนจ้วงจู่โจมผู้ที่ไล่ล่าตนมาจนชิดหลัง...มิได้หวังจักชำนะด้วยรู้กำลังแห่งตน หากนางหวังเพียงยื้อเวลาให้ลูกนางได้หลบซ่อนในที่ปลอดภัย แลกกับชีวิตของนาง เทวดาอารักษ์คงเห็นใจนางบางสักเพียงนิด


โฮก!!!

                   ด้วยถูกพามาหมกกายซ่อนเร้นไว้ในพงหญ้า สิงห์น้อยพิรัลนลินทำได้เพียงมองดูเหล่าพี่ๆ ถูกกระทำย่ำยี แม้จะออกแรงฮึกสู้ให้ตัวรอดพ้น ทว่าก็ก็ไม่อาจฉุดยื้อลมหายใจของตัวเองไว้ได้

“ขะ ข้ายอมตายดีกว่า ถะ ถูกพวกเอ็งย่ำยีให้เสียศักดิ์ศรี ไอ้พวกสิงห์ชั่ว อึก!”

เสียงคำรามและเสียงต่อสู้เพียงชั่วครู่ กลิ่นคาวสนิมเหล็กพุ่งกระทบจมูก ตามด้วยร่างหนักอึ้งของสิงห์หนุ่มตนหนึ่งกระเสือกกระสนพาตัวเองมาล้มทับกองหญ้าที่มีสิงห์น้อยซ่อนกายอยู่ หวังจะใช้ร่างไร้วิญญาณของตนอำพรางน้องน้อยไว้อีกชั้น หลังจากนั้นลูกสิงห์น้อยจึงไม่สามารถรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้

“จะ เจ้าพิรัล ยะ อย่าออกมาหนา เจ้าจงอยู่ให้รอดปลอดภัย เพื่อแถลงความชั่วช้าสามานย์ให้ดังก้อง พวกมัน ฮึก จัก จักต้องโดนทัณฑ์เฉกเช่นเดียวกับพวกเรา เจ้าจงอดทนไว้หนาน้อง” เสียงสะอื้นแผ่วเบาขาดห้วงของทุรพลสิงห์หนุ่มหยุดลง พร้อมด้วยลมหายใจสุดท้าย

 
โฮก!


เสียงคำรามของราชสีห์ดังสะท้อนก้องผืนป่า สลับกับเสียงกรีดร้อง  ทำให้ร่างเล็กที่นอนคู้ตัว รู้สึกเย็นสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย ดวงใจภายในอกเต้นกระหน่ำจนเจ็บจุก พยายามขดตัวที่เกรอะกรังไปด้วยเลือดให้กระชับแน่นเข้า สองมือเล็กยกขึ้นปิดหูปิดตา หวังให้กายตนเร้นกลืนไปกับพงหญ้าหนาได้มากที่สุด

“ตายหมดเสียได้! ไอ้พวกใจเสาะ”

เพียงเสียงแกรกกรากจากน้ำหนักเท้าที่ย่ำลงดิน  ก็ทำให้ฟันคมยิ่งขบกันแน่นขึ้น เพื่อประคองสติไม่ให้ตื่นเตลิดด้วยความกลัว  แม้แต่ลมหายใจยังถูกเก็บกลั้นไว้ ด้วยลูกสิงห์น้อยเกรงว่าเสียงลมบางเบานั้น จะดังเข้าหูของกลุ่มไกรสรสิงห์เหล่านั้น  ในดวงจิตตั้งมั่นภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย และเฝ้ารอ

 
รอจนกระทั่งเสียงฝีเท้า และกลิ่นสาบสางจางหายไป ประสาทที่ตื่นตัวจนตึงขึงจากการระแวดระวังตัว ค่อยผ่อนคลายลง  ร่างเล็กพยายามเรียกความกล้าอันน้อยนิดกลับมา ค่อยๆยันตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลด้วยแรงที่จวนเจียนจะหมดลง
ภาพแรกที่ไหลผ่านเข้าสู่คลองจักษุคือร่างอันไร้ลมหายใจของผองพี่ทั้งสามตน ที่ทำการขัดขืนดิ้นรนมิยอมให้ถูกจับต้อนไป ทำให้ร่างเล็กกลับมาสั่นกลัวอีกครา น้ำตาไหลอาบไปสายด้วยความเสียใจจากการสูญเสีย


“พี่จ๋า ฮึก พี่จ๋า”


ก่อนที่ลูกสิงห์น้อยวิ่งตะบึงด้วยความเร็วเท่าที่ย่างก้าวเล็กๆของตนจักพาไปได้ เมื่อดวงตากลมโตเหลือบเลยประทะร่างสิงห์ตนหนึ่งนอนแน่นิ่งห่างไปเพียงไม่กี่วา

 
ร่างของแม่บุษบันอาบท่วมไปด้วยโลหิตแดงฉานที่เกิดจากบาดแผลฉกาจฉกรรจ์นับไม่ถ้วน ลูกสิงห์น้อยเคว้งคว้าง ไม่รู้ว่าต้องทำสิ่งใดต่อไป จึงวางหัวเล็กซุกซบลงบนอกแม่ พรางร้องเรียก หมายจักได้ยินเสียงแว่วหวานของผู้เป็นแม่ตอบกลับมาเช่นทุกครา
“แม่ แม่จ๋า” หากแต่เนื้อตัวอันอบอุ่นของแม่กลับเย็นเฉียบ ไม่ว่าเจ้าสิงห์น้อยจะใช้แรงดุนดันเนื้อตัวแม่เท่าใด นางสิงห์ก็ไม่แม้แต่จะขยับโต้ตอบ ลูกสิงห์ตัวเล็กไม่เคยเผชิญโลกภายนอก ไม่เคยห่างจากแม่แม้เพียงก้าว จึงทำได้เพียงนอนหมอบลงบนพื้นธรณี เคียงข้างศพแม่ของตนอยู่เช่นนั้นทั้งน้ำตา จวบจนหมดแรงและผล็อยหลับไป

 
พิรัลนลินน้อยไม่รู้จักความตายมาก่อน ไม่รู้ความหวายของการสูญเสีย หากเจ้าสิงห์น้อยนั้นรู้สึกได้ถึงมันลึกซึ้งแล้ว โดยที่ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังเผชิญมีคำเรียกแทนว่าอย่างไรก็ตาม...




“ทางนี้ ยังหายใจอยู่ เจ้าสิงห์น้อย เจ้าสิงห์”

 
“กรร!!”  เสียงเรียกและแรงเขย่าทำให้ลูกสิงห์น้อยฟื้นจากห้วงนิทรา เมื่อได้สติเห็นสิงห์แปลกหน้า สัญชาตญาณจากเหตุการณ์เมื่อค่ำคืน สอนให้พิรัลนลินไม่คิดไว้ใจผู้ใด ทุรพลในร่างลูกสิงห์สีแดงชาดจึงขู่ฟ่อ เตรียมตั้งท่าพร้อมกัด ไม่ยอมให้ผู้มาใหม่เข้าใกล้ร่างของแม่ตัวเองได้ จากกลิ่นไอและสัญชาตญาณบอกให้พิรัลนลินรู้ว่า ผู้คนเหล่านี้ล้วนเป็นราชสีห์แปลงเช่นกัน ในที่สุดหนึ่งในผู้มาเยือนต้องอาศัยจังหวะ จับคว้าเข้าที่หลังคอเจ้าตัวเล็ก เพื่อไม่ให้เข้ามาขัดขว้าง จนเสียเวลาไปมากกว่าที่เป็น


“โว้ย เจ้าพวกชั่วช้า อย่ามายุ่งกับข้า” แต่เจ้าตัวเล็กไม่ยอมแพ้ รีบตั้งจิตกลายร่างกลับคืนเป็นเด็กมนุษย์ สลัดตัวหลุดจากการจับกุมไปได้ ร่างน้อยก็วิ่งถลาเข้าไปกอดร่างของผู้เป็นแม่ไว้อย่างหวงแหน ตั้งใจว่าจะใช้พลังทั้งหมดที่มีปกป้องแม่และพี่ๆไว้ให้ได้


“ผู้ที่ชั่วช้าหาใช่พวกข้าเป็นแน่ สิงห์น้อยตั้งสติแลพินิจดูที” เป็นจริงดังสิงห์หนุ่มตนนี้กล่าว สิงห์กลุ่มนี้แม้ร่างกายสูงใหญ่หากกายแต่งกายนั้นแตกต่างจากสิงห์โหดเหี้ยมเมื่อคืนที่มาด้วยชุดเกราะเต็มตัว แลกลุ่มที่ยืนเบื้องหน้านี้ สวมเพียงโจงกระเบนสีทึบทึม บ้างสะพายล่วมยาไม้ บ้างสะพายกระบุงไว้บนหลัง ลักษณะเช่นนี้พิรัลนลินรู้ได้ว่าเป็น สิงห์กลุ่มหมอยา เพราะเคยพบเจอบ้างยาราชสีห์กลุ่มนี้เข้ามาขอปันบัวจากถ้ำ เพื่อนำไปปรุงยา สิงห์น้อยจึงคลายท่าทีเกรี้ยวกราดลง


“เอาเถิด พวกข้าจักช่วยเผาส่งแม่แลพี่น้องเอ็งให้”


“อย่าเผาแม่ข้า อย่าเผาแม่ข้า” พิรัลนลินร้องลั่น เมื่อสิงห์หนุ่มสองตนที่เหลือจับตนแยกจากร่างของแม่อีกครา ทั้งยังตั้งท่าวางคบไฟลงบนร่างของแม่และพี่ๆของตนที่ถูกเคลื่อนย้ายมารวมกัน เมื่อขณะที่ถูกหิ้วไว้

 
“หากมิเผา ร่างของแม่ และ ผองพี่ของเอ็งจักต้องเน่าเปื่อย แลถูกสัตว์อื่นแทะกิน เจ้าต้องการเช่นนั้นหรือ”


“ฮึก”

“มีพ่อข้า กับพวกลุง น้า อยู่ ฮึก อีกด้านในถ้ำ พี่ท่านไปแจ้งพวกเขาให้มาพบเจอแม่ข้าก่อนได้ฤาไม่” เมื่อเห็นถึงความเป็นจริงจากผู้ที่โตกว่า สิงห์น้อยพิรัลนลินจึงยอมเข้าใจ หากแต่อยากให้พ่อได้มาส่งแม่เป็นครั้งสุดท้ายด้วยกัน

“มิมีผู้ใดรอด... พวกข้า จัดการเผาส่งให้แล้ว จึ่งเดินตามรอยมาจนพบเอ็ง” ความจริงที่ประดังเข้ามา ทำให้พิรัลขาอ่อนลงไปทรุดกองกับพื้น


 

“เอ็งจงไปกับพวกข้าเถิด ที่ถ้ำของท่านอัตรคุปต์เอ็งจักปลอดภัย” ‘อัตรคุปต์’ พิรัลนลินจำชื่อนี้ได้  แม่เคยพูดไว้ แต่ไม่มีพ่อกับแม่อยู่แล้ว ลูกสิงห์น้อยไม่มีแรงใจที่จะอยู่ต่อ ภายในจิตใจนั้นหดหู่เสียใจ แม้ยามหายใจก็รู้สึกเจ็บแปลบไปทั้งทรวงอก
พิรัลทิ้งตัวลงบนพื้นดิน ในตาคู่กลมมองจ้องไปยังเปลวเพลิงที่ลุกโหมล้อมรอบร่างของแม่อย่างเลื่อนลอย
 

                    เสียงไฟที่คุดังลั่น ดันสะเก็ดไฟแตกกระจายเป็นริ้วละออง ร่างของเหล่าสิงห์ผู้โชคร้าย บัดนี้กลับกลายเป็นเพียงถ่านเถ้า หนึ่งในผู้เดินทาง หลับตาพึมพำร่ายคาถาเพียงครู่ จึงยกฝ่ามือขึ้นเกิดเป็นมวลน้ำใสไหลลงราดรดพระเพลิงที่กำลังโชติช่วงราวกับไม่มีวันมอดก็ดับลงทันทีอย่างน่าอัศจรรย์
 

“เจ้าจงนำเถ้าอัฐิไปฝากพระแม่คงคาไว้เถิด” สิงห์ตนเดิน ยื่นห่อเถ้ากระดูกที่บรรจงเก็บรวบรวมให้แก่ลูกสิงห์ อย่างน้อยผู้เป็นลูกก็ควรจะเป็นผู้ที่ได้ส่งพ่อแม่ไปสู่ภพภูมิอันสุคติด้วยมือตัวเอง


พิรัลที่ตกอยู่ในความสิ้นหวัง รับห่อผ้าไว้แต่โดยดี ลูกสิงห์ประคองแนบมันไว้กับอก น้ำตาที่หยุดไปไหลออกมาอีกครา สองเท้าเล็กตรงไปยังริมลำคลองสายเล็กที่อยู่ไม่ไกล แต่กลับชะงักตัวไว้คล้ายคิดสิ่งใดได้


“ข้าขอพาพ่อแม่ แลพี่น้องกลับคูหาได้ไหมจ๊ะ เมื่อลงน้ำข้าหารู้ได้ไม่ว่าพวกเขาจะได้อยู่ด้วยกัน หรือแยกจากไปตามกระแสน้ำ ข้าต้องการให้พวกเขาอยู่ด้วยกันอย่างเป็นสุข”

“เอาเถิด ตามพวกข้ามา” หัวหน้ากลุ่มยอมรับคำขอแต่โดยดี ด้วยพวกเขารู้สึกเวทนาเจ้าสิงห์น้อยตนนี้จับใจ


                    สองมือเล็กๆโอบอุ้มห่อผ้าเถ้าอัฐิของทั้งครอบครัวไว้เต็มกอด ยามก้าวเข้าสู่บ้านเกิดสิ่งที่ต้อนรับทุรพลน้อยคือ กลิ่นไหม้และคาวเลือดกลบทับกลิ่นหอมรันจวนของดอกบัวนาๆพันธุ์ที่แม่นำมาปลูกในบ่อน้ำภายในถ้ำจนหมด กวาดสายตามองซากปรักหักพังของเรือนที่เคยอยู่อาศัยด้วยความโศกเศร้าจนไม่อาจพรรณนา ในครรลองสายตาปรากฏเป็น ภาพที่ตนเคยวิ่งเล่นร่วมกับพี่ๆ การดำเนินชีวิตด้วยความสุข และรอยยิ้มของทุกตนฉายอยู่ในความทรงจำ ร่างเล็กโซเซคล้ายจะหมดแรง ไม่มีกำลังแม้จะหลั่งน้ำตา ด้วยความรู้สึกตื้อหนักกดทับจนมึนเบลอคล้ายอยู่ในความฝันอันโหดร้าย


พิรัลนลินค่อยๆวางห่อผ้าทั้งสองที่ไม่อาจแยกได้ว่าเถ้ากระดูกในนั้นเป็นของผู้ใด เนื่องจากถูกปะปนกันจนสิ้นไว้บนพื้นถ้ำ มือน้อยเรียวเล็กออกแรงขุดดินจนเป็นหลุมลึก ไม่สนแม้ทั้งเล็บมือและผิวเนื้ออันบอบบางจะฉีกถลอก ก่อนจะบรรจงวางห่ออัฐิลงก้นหลุม ฝากฝั่งแก่พระแม่ธรณีให้ช่วยดูแล หวังให้ครอบครัวได้อยู่ด้วยกันอีกครั้งในคูหาเกิดอันแสนอบอุ่น

‘ลาก่อน ท่านแม่ ลาก่อนท่านพ่อ ลาก่อนทุกตนผู้เป็นที่รัก’

ชั่วขณะที่สายตามองตามอัฐิในพื้นธรณี พิรัลนลินนึกอย่างกระโจนสู่ห้วงพสุธาฝั่งกลบตัวเองติดตามบุคคลที่รักไป เพียงพริบตา ลมหอบใหญ่พลันพัดกรรโชกแรง ประทะเข้ากับร่างน้อย วนเวียนโชยอ่อนรอบกายดั่งเป็นการปลอบโยน

‘เจ้าพิรัลน้อยของแม่ อย่าได้หม่นหมองไป พ่อแลแม่จักอยู่กับลูกในทุกๆที่‘

‘พิรัลนลิน แม้นเจ้าจักเป็นเพียงทุรพลสิงห์ ทว่าเจ้ายังคงเป็นสิงห์ มีศักดิ์แลสิทธิ์ดั่งสิงห์ทุกประการ แลเป็นลูกของพ่อ เจ้าจงเข้มแข็งหนาลูกรัก’


‘เจ้าจงอยู่รอดปลอดภัย เพื่อแถลงความชั่วช้าสามานย์ให้ดังก้อง พวกมัน ฮึก จัก จักต้องโดนทัณฑ์แฉกเช่นเดียวกับพวกเรา เจ้าจงอดทนไว้หนาน้อง‘


เสียงของพ่อ แม่ และพี่ที่ดังแว่วมาตามกระแสลม ทำให้พิรัลได้สติกลับมา สิงห์น้อยยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหนา ความเสียใจหดหู่แปลเปลี่ยนมาเป็นความคั่งแค้น



“จะต้องให้พวกมันได้ชดใช้!” สิงห์น้อยปฏิญาณตนกู่ก้องในใจ ก่อนลุกตามเหล่าสิงห์แปลกหน้า เพื่อขอพึ่งใบบุญราชสีห์อัตรคุปต์ เพื่อรอโอกาสได้ชำระแค้นให้แก่ครอบครัวของตนในสักวันหนึ่ง








++++++++++++++++++++++++++++++

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของผู้เขียน
และได้มีโอกาสได้ลงในเล้าเป็ดเป็นครั้งแรก
หากมีข้อผิดพลาดประการณ์ใด
ผู้เขียนน้อมรับคำแนะนำจากนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณค่ะ  :pig4:

นิยายเรื่องนี้คาดว่าผู้เขียนจะสามารถลงได้ทุกคืนวันเสาร์
เจอกันวันเสาร์หน้านะคะ
ขอฝากเนื้อฝากด้วยด้วยค่าาา










« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-08-2019 22:34:49 โดย สิงหา »

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
น่าติดตามมาต่ออีกนะคะ :pig2: +1 :pig4:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ติดตามนะคะ

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3
น่าติดตามมากเลยค่ะ

ออฟไลน์ Kamidere

  • บรรยายมันออกมา ทุกสิ่งที่อยู่ในใจ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 273
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-2
น่าติดตามค่ะ // คำผิดยังมีอยู่หลายที่นะคะ

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ตามจ้าตาม  :mew1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รบกวนคนเขียนช่ายใส่บทที่กับวันที่อัปเดตไว้หลังชื่อเรื่องด้วยนะคะ (คนอ่านจะได้รู้ง่าเป็นตอนเดิมหรือตอนใหม่)

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ชอบๆๆ รออ่านตอนต่อไปจ้า เขียนได้สนุกมาก
เป็นกำลังใจให้นะ :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ สิงหา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ ๒
สู่คูหาสรรพยา





                    การเดินของคณะสิงห์หมอยาและลูกสิงห์ทุรพลทางเป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งหมดใช้เวลาเดินทางเพียงสองวัน ยามเพลาชาย[1]แดดอ่อนลงจึงมองเห็นปากถ้ำแก้ว อันเป็นอาณาเขตแห่งราชสีห์อัตรคุปต์ เมื่อเหล่ามฤเคนทร์พากันเดินผ่านเขตอาคมที่กางกั้นปากถ้ำเอาไว้ พิรัลนลินผู้ไม่เคยพบเห็นอาณาจักรอื่นใดนอกจากคูหาของพ่อที่ตนถือกำเนิดถึงกับตื่นตะลึง เพราะภายในถ้ำแห่งนี้กว้างขวางโอ่อ่ามากกว่าบ้านเกิดของตนจนไม่อาจเทียบเคียง บ้านเรือนที่เรียงรายล้อมรอบล้วนงดงาม โดยจุดสนใจที่ดึงสายตาของผู้มาเยือนคือโรงเรือนขนาดใหญ่แปลกตาไปจากเรือนของตนหลายส่วน



ดวงตากลมเหลือบซ้ายแลขวาคอยสอดส่องสถานที่รอบกาย ทั้งกลิ่นเครื่องยาที่อวลอยู่ในอากาศ และเหล่ามนุษย์สิงห์ผู้มีผิวกายหลากหลายเดินกันขวักไขว่ ด้วยแม้จำยอมเดินตามแต่ความหวาดระแวงจากเหตุร้ายที่เพิ่งเผชิญ ทำให้ลูกสิงห์น้อยขยับขืนตัวเพื่อจะให้แขนของตนหลุดจากการจับกุมของสิงห์หนุ่มแปลกหน้าอยู่ตลอดเวลา





“เหตุใดพวกเอ็งจึงกระทำการยื้อยุดเช่นนั้น”


“ท่านอาจารย์ ขอสมาในความมิสำรวมเถิดขอรับ สิงห์น้อยตนนี้พวกข้าเจอที่กลางป่า จักปล่อยไว้พวกข้าเกรงว่ามันจักตกตายตามพ่อแม่เอาเสีย จึงเก็บมาฝากฝังท่านอาจารย์ช่วยขัดเกลาเสียที่นี่ขอรับ” สิงห์หนุ่มหนึ่งในกลุ่มคณะเดินทางยกมือไหว้ พลางตอบคำติเตียนของสิงห์เฒ่าด้วยความนอบน้อม


“เอาล่ะ หยุดพยศดื้อดึงเสียก่อนเจ้าสิงห์น้อย ที่แห่งนี้เป็นเขตอภัยทาน หามีผู้ใดทำร้ายเจ้าดอก” เมื่อได้ยินน้ำเสียงนุ่มเย็น เจ้าลูกสิงห์จึงยอมหยุดขัดขืน ดวงตากลมโตแหงนเงยขึ้นจ้องมองไปยังใบหน้าของสิงห์ชราเจ้าของเสียง ผู้สวมผ้านุ่งปล่อยชายสีขาว เช่นเดียวกับผ้าคล้องไหล่ตัดผิวสีดินแดง ผมยาวขาวโพลนถูกมวยเก็บด้านไว้หลังอย่างเป็นระเบียบ และแววตาหลังใบหน้าที่ปรากฏร่องรอยเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยความเมตตา ทำให้ลูกสิงห์พลัดถิ่นรู้สึกวางใจและเคารพเลื่อมใสทันที เจ้าสิงห์น้อยจึงยกมือประนมขึ้นท่วมหัวด้วยท่าทางนอบน้อม เรียกรอยยิ้มเอ็นดูแก่ผู้มากอาวุโสตามมา


“เออแน่ะ ดูทีจักมีสติปัญญาอยู่หนาเจ้า มีชื่อฤๅไม่เล่า”


“พิรัล”


“เจ้าพิรัลเอ๋ย พอจักบอกกล่าวข้าได้ฤๅไม่ เรื่องราวที่เจ้าประสบพบเจอมา” ลูกสิงห์ตัวน้อยกัดริมฝีปากแน่น คิดตรึกตรองเพียงครู่จึงยอมพยักหน้าตกลงโดยดี


“ชุมของพ่อข้าน้อยเป็นชุมเล็ก มีเพียงสามัญสิงห์แลทุรพล ยามที่พวกข้าน้อยกำลังหลับนอน ราชสีห์กลุ่มหนึ่งได้บุกเข้ามา หมายฉุดคร่าทุรพลสิงห์ในชุมข้าน้อย แต่ข้าน้อยได้แม่ แลพี่พาหนีหมายใจจักมาพึ่งใบบุญท่านอัตรคุปต์ ทว่ามิทันกาลแม่เลยซ่อนข้าน้อยไว้ในป่าหญ้า ข้าน้อยจึ่งรอดมาได้เพียงตนเดียวจ้ะ”


“ผู้ที่หนีมามีเพียงทุรพล แลนางสิงห์ พวกมันยังมิละเว้น ภายในคูหายามกลับไปนั้น ถูกรื้อเผาจนมิเหลือดี ข้าได้ยินมาบ้าง ว่ามีกลุ่มราชสีห์ต้องการสร้างสิงห์ชั้นอุตมางค์ให้มากเข้า เพื่อจักได้มีอำนาจกลืนสิงห์ชุมอื่น เหตุนี้จึงเที่ยวฉุดคร่าไล่ต้อน ทุรพล จากชุมอื่นไปเข้ากลุ่มเพื่อให้กำเนิดลูกอุตมางค์ เห็นทีจักเป็นเรื่องจริงเสียแล้วท่านอาจารย์”


“เลวร้ายเหลือเกิน” เมื่อได้ฟังความและเห็นสภาพบอบช้ำของลูกสิงห์ตัวจ้อย จึงเกิดเสียงสาปแช่ง ก่นด่า ดังระงมไปทั่วทั้งลาน จากบรรดาสิงห์ที่มุงดูอยู่โดยรอบที่ล้วนโกรธแค้น และสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง


“เอาล่ะ รอดพ้นมาแล้ว ต่อแต่นี้จงมาอยู่ด้วยกันเสียที่นี่เถิด” สิงห์ชราทอดมองทุรพลน้อยด้วยความสงสาร ยอมรับลูกสิงห์ตนนี้ให้อยู่ในความดูแลของตน ด้วยความสงสารชะตากรรมของลูกสิงห์ตนนี้


“ขอบพระคุณที่เมตตาจ้ะ” สิงห์น้อยก้มลมกราบสิงห์ราชาผู้อารี ด้วยความตื้นตัน ฝ่ามือใหญ่จากผู้ครองคูหาเอื้อมลงมาวางนิ่งลงบนกระหม่อมลูกมฤคินทร์น้อยแผ่วเบาเป็นการรับรู้


“พวกเจ้าจงพาน้องน้อยของพวกเจ้าไปอาบน้ำอาบท่า แลหาผลหมากรากไม้มาเลี้ยงเสียให้อิ่มหนำ” สิ้นคำผู้ครองคูหา เหล่านางสิงห์ที่คอยท่าอยู่ ไม่รีรอที่จะช่วยกันมารุมดูแลเจ้าสิงห์น้อยพลัดถิ่นด้วยความเต็มใจ เนื่องด้วยพวกนางนึกสงสารชะตากรรมที่มันพบเจอเสียจนใจสะท้าน


“เจ้ามั่นตามข้าไปเรือนอักษร ข้าจักส่งสารถึงท่านนิลปารัชญ์ เจ้ามิ่งจงตามอาคิรามาพบข้าโดยไว” เมื่อพิรัลนลินถูกพาตัวไปดูแล ราชสีห์ชราจึงหันมาสั่งการลูกศิษย์ข้ากายต่อด้วยสีหน้าเป็นกังวล


…ต่อจากนี้จักเกิดเหตุการณ์วุ่นวายถึงเพียงใดหนอ




ลูกสิงห์น้อยเมื่อได้ชำระล้างคราบไคลขะมุกขะมอมอันเกิดจากฝุ่นดินและการรอนแรมมานานวัน เผยผิวเนียนละเอียดแดง ระเรื่ออ่อนบางราวกลีบจงกล บงบอกถึงชาติพันธุ์ต้นกำเนิดกลับมาเฉิดฉายอีกครา ดวงหน้ากอปรกับเรือนร่างบางเล็กในอาภรณ์สะอาดสะอ้านทำให้ลูกสิงห์พลัดถิ่นดูงาม ‘พิรัล’ สมชื่อ ทว่านัยน์ตากลมโตชวนมองกลับไร้ซึ่งความสดใส ซ้ำยังติดจะก้าวร้าวแข็งกระด้างในที ทำให้ไม่มีใครกล้าเสนอตัวเข้าไปคลุกคลีเล่นหัวกับเจ้าลูกสิงห์ตัวน้อยมากนัก แม้มีผู้นึกเอ็นดูอยู่มากมาย


เมื่อช่วยกันจับแต่งตัวแล้วเสร็จ นางสิงห์เผ่าติณสีหะซึ่งเป็นมังสวิรัติเช่นกันจึงแยกไปจัดเตรียมสำรับลูกไม้ตามช่วงฤดู ทั้งผลอัมพรา[2] ลูกหว้า และกล้วย มารับรองลูกสิงห์น้อยเสียมากมายจนอิ่มหนำ แล้วพาจับจูงพามาพบเจ้าของเรือนอีกคราตามคำสั่ง



“เจ้าพิรัล เข้ามาสิเจ้า “


“จากนี้ต่อไปข้ารับเจ้าเป็นศิษย์ แลผู้นี้คือ ‘อาคิรา’ ศิษย์เอกของข้า แลถือเป็นศิษย์ผู้พี่ของเจ้า” ‘อาคิรา’ ที่ด้านหลังอาจารย์เป็นเพียงสิงห์รุ่นกระทง[3]ใบหน้าคมขำงดงาม ผิวกายขาวดั่งเปลือกสังข์บ่งบอกได้ว่าศิษย์ผู้พี่ตนนี้มีเชื้อสายของไกรสรสีหะ ผมยาวประบ่าดำขลับถูกรวบไว้ครึ่งศีรษะอย่างเรียบร้อย เช่นเดียวกับท่วงท่าการนั่งนั่งพับเพียบหลังไหล่ยืดตรง ทั้งดวงตาแน่วนิ่ง ทำเอาเจ้าตัวเล็กเผลอเม้มปากกลั้นหายใจ ด้วยรู้สึกกริ่งเกรงอย่างหาที่มาไม่ได้


“ข้าฝากฝังเจ้าไว้ให้เขาช่วยดูแล อย่าได้ดื้อรั้นนักหนาเจ้า“ ราชสีห์เฒ่า กล่าวกำชับกับลูกสิงห์อาภัพ หลังฝากฝังมันไว้กับศิษย์เอกเป็นที่เรียบร้อย ด้วยสังเกตแล้วว่าเจ้าสิงห์น้อยผู้นี้ดื้อรั้นไม่เอาใครมากโข แลเพลานี้ราชสีห์อัตรคุปต์จำต้องเข้าฌานภาวนาจึงนึกห่วงมันอยู่มาก เมื่อมองไม่เห็นใคร จึงยกหน้าที่นี้ให้ศิษย์คนโปรด แม้ไกรสรสีหะตนนี้จักมีวัยเพียงสิบสี่ปี แต่เจ้าลูกสามัญสิงห์ตนนี้กลับเฉลียวฉลาด อีกทั้งกิริยามารยาทที่เพียบพร้อมได้ดังใจตนนัก จนคิดจะให้ศิษย์เอกผู้นี้สืบอำนาจดูแลคูหาสรรพยาแห่งนี้ต่อจากตน แม้จักยากลำบากสักหน่อยสำหรับสิงห์ที่ไม่ใช่อุตมางค์ก็ตาม


“จ้ะ”


“เอาล่ะ พาน้องเจ้าเที่ยวดูอาณาเขตของเราเสียให้เคยคุ้น”


“ขอรับอาจารย์” อาคิรา รับคำผู้เป็นอาจารย์เสียงเรียบ หากแต่ไม่กระด้างแข็ง ดั่งเช่นท่าทางของตน...สงบนิ่งสง่างาม มิแข็งกร้าว




ด้วยอาคิราที่อยู่กับผู้เป็นอาจารย์มาเนิ่นนานรู้ดีว่า ราชสีห์อัตรคุปต์ยังมีกิจการให้สะสางอีกมาก สองลูกสิงห์ศิษย์พี่ ศิษย์น้องจึงล่ำลาผู้เป็นอาจารย์ทันทีที่รับฟังคำสั่งเสียเรียบร้อย อาคิราก้มหน้าลงมองลูกสิงห์น้อยในความดูแลของตน แล้วตัดสินใจเอ่ยถามความเห็นออกไปก่อน


“เจ้าหมายจักไปที่ใดก่อนฤๅ เจ้าพิรัล”


“ไปข้างนอกนั่น”


“ข้าจักพาเจ้าไป หากเจ้ามิร้องขอด้วยน้ำเสียงกระด้างเยี่ยงนี้”


“...” หากเป็นผู้อื่นพิรัลคงเถียงนำไปก่อนด้วยความไม่ยอม แต่เมื่อเป็นสิงห์ตรงหน้า ด้วยบุคลิกเรียบนิ่ง แนวตาคมกล้าสบตรงมาไม่หลุกหลิก ทำให้สิงห์น้อยอดนึกเกรงใจขึ้นมาครามครันไม่ได้ จึงเลือกที่จะเงียบเสีย


“ตรองดูเถิด หากมีผู้ใดขอร้องเจ้าด้วยน้ำเสียง แลสำนวนวาจาเช่นนี้เจ้าจักยินดีช่วยฤๅไม่เจ้าพิรัล” น้ำเสียงทอดอ่อนไม่ดุว่า แต่เป็นเจ้าสิงห์น้อยเองที่รู้สึกตีรวน จนเผยความรู้สึกของตนจนหมดเปลือก


“แต่ข้ามิได้อ่อนแอ! นอกจากท่านอาจารย์ที่มีพระคุณต่อข้า ข้ามิเห็นว่าเหตุใดต้องทำตัวลู่ลมน้อมนอบผู้ใด”


“กล่าววาจาอ่อนน้อม แลปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความอ่อนโยน มิได้หมายถึงความอ่อนแอฉันใด ความเข้มแข็งนั้น หาได้รวมถึงความแข็งกระด้างฉันนั้น เจ้าตรองดูท่าทางของท่านอาจารย์ที่เจ้าเคารพ แลตอบข้าทีเจ้าเห็นท่านอ่อนแอฤๅไม่”


ลูกสิงห์น้อยอารมณ์ร้อนชะงักนิ่ง ใช้เวลาคิดตามเพียงชั่วครู่จึงให้คำตอบแก่ตัวเองได้ว่าสิ่งที่อาคิรากล่าวมานั้นเป็นความจริง จึงขยับปากงุบงิบกล่าวร้องขอเป็นประโยคใหม่ โดยที่มือเล็กทั้งสองกำชายโจงกระเบนไว้แน่น พร้อมกับใบหู และพวงแก้มทั้งสองข้างขึ้นสีแดงปลั่ง


“พะ พี่อาคิรา ข้าต้องการไปด้านนอกเรือน พี่ท่านช่วยพาข้าไปได้ฤๅไม่ จะ จ้ะ”


สิงห์น้อยรู้สึกขลาดเขินมิใช่เพราะต้องพูดจาไพเราะ เพราะความจริงแล้วก่อนหน้า ยามที่ยังอยู่บ้านเกิด พิรัลนลินนั้นถูกแม่สอนให้พูดจาจ๊ะจ๋า และมือไม้อ่อนต่อสิงห์ทุกผู้ทุกตนเป็นนิจ ทว่าความเข้าใจผิดเพียงชั่วครู่จนเผลอกระทำกิริยากระด้างออกไปจนถูกติเช่นนี้มากกว่าที่ทำให้เจ้าสิงห์น้อยนึกอับอาย


“เช่นนี้ดีแล้ว เราไปเดินดูด้านนอกกันเถิด ข้าจักแนะที่ทางให้” อาคิราพยักหน้าให้กำลังใจน้องน้อย ก่อนจับจูงมือเล็กให้เดินตาม พลางบอกเล่าหน้าที่ความสำคัญของเรือนต่างๆ ภายในคูหาสรรพยาแห่งนี้ ให้เจ้าตัวน้อยรู้จักคุ้นชิน


“ด้านนี้คือเรือนยา เราจักเก็บสมุนไพรเครื่องยาไว้ที่นี่ ส่วนเรือนที่ใกล้กันนั้นเป็นห้องเก็บตำรา อาจารย์ใช้เก็บตำรับยาเป็นส่วนใหญ่”


“ส่วนเรือนกระโน้น เรือนระวังไข้ ให้ผู้เป็นไข้นอนพักรักษา จตุราชสีห์มิได้มีการเจ็บไข้มากนัก โดยมากจักเป็นพวกสัตว์เล็กสัตว์น้อยเสียมาก พวกเรามีหมอยาร่วมสิบตน บ้างอยู่เฝ้าถ้ำ บางออกไปรักษาตามที่ห่างไกล”


“จากนี้เจ้าจักต้องหัดอ่านเขียน แลช่วยข้าเตรียมสมุนไพร แม้นเป็นทุรพล หากอาจารย์ท่านก็อยากให้เจ้ามีความรู้ติดตัว”


“จ้ะ”



           ด้วยกว่าลูกสิงห์น้อยจักมาถึงคูหาสรรพยาได้นั้นเวลาได้ล่วงเลยไปช่วงบ่าย จับอาบน้ำผลัดผ้าจนถูกพามาส่งให้แก่อาคิราเวลาจึงได้ล่วงเลยไปจนย่ำค่ำ การพาลูกสิงห์พลัดถิ่นทำความรู้จัก ‘บ้าน‘ หลังใหม่จึงดำเนินไปได้เพียงครู่ เพราะถึงเวลาส่งสิงห์วัยเยาว์เข้าเรือนนอน กระทั่งยามนี้ดวงดารายกตัวขึ้นสูงเกือบครึ่งฟ้า แสงเทียนในเรือนนอนของลูกทุรพลยังคงส่องรอดออกมาด้านนอกทำให้ผู้ได้รับหน้าที่ช่วยดูแลอดไม่ได้ ถือวิสาสะเปิดเข้าไปดูน้องน้อยให้คลายกังวลใจ


พลันภาพที่เข้าสู่ครรลองสายตานั้น ทำให้อาคิรารู้สึกดีใจที่ตนไม่ละเลย เจ้าศิษย์ผู้น้องตัวจ้อยนั้นยังไม่ได้นอนหลับดังที่เขาคาด ซ้ำเจ้าตัวเล็กยังกำลังนั่งคุดคู้ร้องไห้จนตัวสั่นอยู่ที่มุมเรือนนอนนั้นเอง


“เจ้าพิรัล” เสียงเรียกขานแม้ไม่ได้ดังมากมาย ทว่าเจ้าของชื่อกลับสะดุ้งตกใจ มือเล็กทั้งสองข้างรีบยกขึ้นมาปัดป่ายน้ำตาจากใบหน้าลวกๆ สูดน้ำมูกฟืดฟาด พยายามยืดตัวยืดอกขึ้นวางท่าว่าเข้มแข็งเต็มประดา เสียจนอาคิราลอบส่ายหน้า


“ยามข้ามาที่แห่งนี้คราแรก ข้าแอบร้องไห้เป็นแรมเดือนเชียวหนา เรื่องนี้จักเป็นความลับระหว่างเรามิแพร่งพรายออกไป”


อาคิราไม่ได้โกหก เขาเข้าใจความรู้สึกของพิรัลนลินเป็นอย่างดี ทั้งหวาดกลัว ว้าเหว่ โหยหา และ คิดถึง ความรู้สึกเหล่านี้มักเข้าจู่โจมในยามราตรีเสมอ บางทีความรู้สึกเหล่านี้อาจคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ยามกลางวันที่แสงแดดจัดจ้าและมีกิจธุระมากมายให้ต้องสะสางมากลบทับ ทว่าในยามที่ต้องอยู่ตนเดียวกับความเงียบและความเดียวดาย ไร้ซึ่งสิ่งช่วยหันเหความสนใจเช่นนี้ ทำให้มันกลับชัดเจนขึ้นมา ชัดเจน เสียจนต้องระบายความทุกข์ทรมานเหล่านี้ด้วยหยาดน้ำตา


“ฮึก จริง ฮึก นะ”


“ข้ารับปาก เช่นนั้นจงมานอนเสีย ข้าจักอยู่เป็นเพื่อน” เมื่อได้รับคำยืนยัน พิรัลน้อยจึงยอมทำตามแต่โดยดี ร่างเล็กๆ เดินกลับมาล้มตัวนอนลงบนตั่ง ตะแคงตัวหันเข้าหาผู้เป็นพี่ พร้อมกับเอื้อมมือน้อยมาจับชายผ้านุ่งของอาคิราไว้มั่น


ไม่รู้ว่าเพราะรู้สึกสบายใจจริงๆ หรือ เป็นความอ่อนเพลียจากการร้องไห้ ผ่านไปเพียงชั่วครู่เจ้าสิงห์น้อยก็ผล็อยหลับไป เหลือเพียงเสียงงึมงำและคราบน้ำตาบนขนตายาวเท่านั้น


“ฮึกๆ แม่จ๋า...”






                 พิรัลใช้ชีวิตอยู่ภายในการดูแลของอาคิราเข้าเดือนที่สอง วันเวลาที่ผ่านเลยมา ลูกสิงห์น้อยได้อาคิราคอยบอกกล่าวให้ทำความรู้จักทุกซอกทุกมุมของถ้ำสรรพยาแห่งนี้จนถ้วนทั่ว นอกจากสอนอ่านเขียนดังที่เคยบอกกล่าวแล้ว ผู้เป็นพี่ยังให้สิงห์น้อยคอยช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ อันได้แก่ การคัดสมุนไพร เพื่อนำไปตากแห้ง และเก็บแยกเข้าเรือนยา ซึ่งใดๆ ล้วนไม่ใช่สิ่งที่พิรัลนลินนึกชอบใจเลยสักนิด


“เป็นอันใดเจ้าพิรัล ใยหน้าบูดบึ้งนัก“

“ข้าหมายจักไปฝึกกำลังมากกว่า มานั่งเตรียมเครื่องยาเช่นนี้จ้ะ“ ลูกสิงห์น้อยยู่ปากด้วยความเบื่อหน่ายใส่ผู้พี่ สิงห์ตนเดียวที่เจ้าพิรัล ‘ผู้น่ารัก’ ยอมแสดงกิริยาออดอ้อนใส่ ด้วยความวางใจจนเผลอแสดงตัวตนเช่นยามที่อยู่กับแม่ออกมา


ถ้ำสรรพยาแห่งนี้นอกจากเป็นสถานที่เล่าเรียนตำรายาและเปิดให้การรักษาแล้ว ยังเปิดกว้างต้อนรับสิงห์ทุกผู้ทุกตน โดยมีกฎเพียงหนึ่งเดียวคือ ไม่มีกายทำร้ายฆ่าฟันกันในอาณาเขตแห่งนี้เป็นอันขาด จึงมีสิงห์มากมายหลายเผ่าพันธุ์เดินทางมาจากทั่วทุกหัวระแหงรวมกลุ่ม แบ่งปันทั้งเครื่องยา สรรพความรู้ต่างๆ รวมไปถึงศาสตร์แห่งการต่อสู้ เช่นนี้บริเวณลานกลางคูหากว้างใหญ่ จึงมีราวไม้ขัดกั้นเป็นสัดส่วน เพื่อใช้เป็นลานฝึกการต่อสู้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน


“ฝึกกำลังไปทำอันใดเล่า ทำเช่นไรเจ้านั้นหาสู้กำลังผู้ใดได้ดอก ดูแขนขาเจ้าแลพวกข้าซี โดนผลักทีเดียวคงกระเด็นไกลไปหลายโยชน์ “อินทุหนึ่งในลูกมือเตรียมยา สัพยอกใส่ด้วยอดมันเขี้ยวเจ้าลูกสิงห์ตนนี้ไม่ได้


“ข้าเกลียดตัวเองยิ่งนัก “เรียวปากอิ่มเม้มแน่น ใบหน้าของลูกสิงห์ยิ่งยับย่น ไม่ใช่ความโกรธเคือง แต่ด้วยกำลังน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาเหลือคณา


“เจ้านี่มันพิลึกจริง “อินทุออกปากว่าทิ้งท้าย ด้วยตนไม่เข้าใจความนึกคิดอันพิลึกพิลั่นของลูกสิงห์ผิวแดงสักนิด

...เป็นทุรพลเช่นเราได้ทำสิ่งอื่นนอกจาก ถูกจับวางถวายแก่อุตมางค์นั้นนับว่าประเสริฐมากแล้วมิใช่ฤๅ


“พิรัล เจ้าลองดมสิ่งนี้ดูที “แม้ยังคงอารมณ์ไม่ใคร่ดี แต่เมื่อพี่อาคิราของตนบอกให้ทำ เจ้าสิงห์น้อยพิรัลจึงไม่อิดออด ยอมยื่นจมูกเล็กๆ ลงไปดมรากไม้ในมือผู้พี่โดยดี


“แล้วสิ่งนี้เล่า เจ้าแยกมันออกฤๅไม่ “  อาคิราถามต่อพลางยื่นไม้ยาอีกมือหนึ่งไปให้


“ออกซี แม้หน้าตาจักเหมือน แต่กลิ่นต่างกันมากโข“


“อืม ทว่าข้ามิรู้สึกเลย จำต้องพิจารณาอย่างดียิ่งแยกได้ “  ผู้พี่พยักหน้า พร้อมกล่าวสารภาพความลับให้เจ้าตัวเล็กฟัง


“ลางที พี่หาใช่มังสวิรัติเช่นข้ากระมัง เป็นข้าแม้มันอยู่ใต้ดิน หากมิลึกเกินไปนักย่อมได้กลิ่น “


“เก่งจริงหนาเจ้า “ศิษย์ผู้พี่เอ่ยชมด้วยรอยยิ้มบาง แล้วจ้องมองใบหน้าเล็กที่ยังคงมีพวงแก้มนุ่มประดับอยู่อย่างน่ารักน่าชัง ก่อนเอ่ยต่อ


“เจ้ารู้ฤๅไม่ว่าสมุนไพรพวกนี้ เมื่อนำมารวมกันตามตำรับ จักมีทั้งคุณนับอนันต์เจ้ามีแรงน้อย หากเอาจุดด้อยเข้าสู้ เจ้าว่าจะชำนะได้เทียว “ทุรพลน้อยหยุดนิ่ง คิ้วที่ขมวดมุ่นค่อยๆ คลายตัวออก ยืนหน้าเข้าใกล้ผู้พี่ด้วยความกระตือรือร้นเพื่อฟังต่อ


“วิธีที่จักต่อสู้มีอีกมากมาย มิใช่เพียงพละกำลังแลอิทธิฤทธิ์ สิงห์เหล่านั้นมีพรสวรรค์ของเขา แลเจ้านั้นมีของเจ้า อย่าได้นึกเกลียดตัวเองเลยหนา “


“ข้าเข้าใจแล้ว “แม้เข้าใจแต่ใช่ว่าจะถอดใจ มือคัดเปลือกมะเกลือลงหีบ หากตานั้นเหลือบมองการประลองกำลังบนลานเพื่อลักจำท่วงท่าพวกนั้นไม่ขาด




                   ภายหลังจากที่ถ้ำของพิรัลนลินถูกทำลายนั้น ยังมีสิงห์ถูกทำร้ายเข้ามาขอความช่วยเหลือถึงหน้าปากถ้ำสรรพยาอยู่เนืองๆ ยิ่งคืนวันผ่านพ้นจำนวนยิ่งมากขึ้น เช่นในวันนี้ที่สิงห์ประจำเรือนผู้ไข้ทั้งเรือนต่างวิ่งกันวุ่นตลอดทั้งคืนจวบจนฟ้าสาง เพื่อช่วยยื้อชีวิตบัณฑูรสีหะที่ต่อสู้ปกป้องลูกสาวทุรพลของตนจนชีวาแทบหาไม่ เสียงร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดหัวใจก้องสะท้อนทั่วโถงถ้ำ พาให้เจ้าสิงห์ตัวน้อยที่แอบเมียงมองอยู่ไกลๆ น้ำตาไหลพราก มือเล็กกำเข้าหากันแน่น เช่นเดียวกับฟันคมที่ขบกัดลงบนริมฝีปากจนได้เลือด ภายในอกเดือดปะทุดั่งลาวาร้อนเร่าทั้งเคียดแค้นชิงชัง ผสมกับความน้อยเนื้อต่ำใจในฤทธากำลังที่แสนอ่อนด้อยในตัวตนเสียจนตัวสั่นสะท้าน

“ได้เลือดแล้วหนาเจ้าตัวดี” อาคิราที่มาพบเข้า ยกมือขึ้นลูบริมฝีปากของน้องน้อยไปมา หมายให้พิรัลนลิน คลายแรงขบกัดของตนเองลง

“ข้าเกลียดพวกมันนัก เหตุใดผู้ชั่วช้าจึ่งได้มีพลังกำลังในการข่มเหงผู้อื่นเล่า มิยุติธรรมเอาเสียเลย” เสียงเล็กกดต่ำสั่นเครือ ยามเอ่ยไถ่ถาม

“สักวันพวกมันต้องได้รับผลกรรมอย่างแน่นอน เพลานี้เจ้าทำอันใดมิได้ มิได้หมายความถึงกาลหน้ามิใช่รึ”

“ข้าเป็นทุรพลจักทำเช่นไรได้เล่า ฮึก พี่มิได้เป็นข้า พี่มิรู้ดอกการทำได้เพียงมองดูนั้นเจ็บปวดเพียงใด”

“เจ้าล่วงรู้ได้เยี่ยงไร พ่อแม่ข้านั้นถูกเข่นฆ่าเช่นกัน ต่อหน้าต่อตาข้าเอง ...มิได้ทุรนทุราย หาได้หมายความว่ามิรู้สึกหนา”

“...”

“...”

“ขะ ขอสมาเถิดจ้ะ ข้ามิได้ตั้งใจ ฮึก” เมื่อล่วงรู้ความจริง ทุรพลน้อยถึงกับยกมือพนมไหว้ขมาผู้เป็นพี่ น้ำตาใสหลั่งไหลออกมาเป็นทาง อาคิราจึงยกมือขึ้นเกลี่ยน้ำตาให้ลูกสิงห์ขี้แยแผ่วเบา แล้วจึงคว้าฝ่ามือน้อยที่เต็มไปด้วยรอยเล็บขึ้นมาพิจารณา

“ทุรนทุรายไปแล้วทำอันใดได้ เจ็บตัวเองเช่นนี้สู้เก็บเกี่ยวความสามารถรอวันสุกงอมมิดีกว่าฤๅเจ้าพิรัล อดทนไว้หนาเจ้า ข้านั้นก็อดทนอยู่เช่นกัน...”

หมับ!

โดยไม่ทันได้ระวังตัว ร่างน้อยของพิรัลนลินโถมกายเข้ากอดสิงห์ผู้พี่ไว้แน่น วงแขนแม้โอบรอบกายที่ใหญ่โตกว่าแทบไม่เต็มกอด หากมือน้อยยังคงพยายามอย่างยิ่งที่จะลูบปลอบประโลม ดังที่แม่บุษบันเคยทำยามที่พิรัลเล่นซนจนได้แผลร้องไห้กลับเข้าเรือน

“โอ๋ พี่อาคิรามิเป็นไรนะ มิเป็นไร พิรัลอยู่กับพี่หนา พิรัลอยู่นี่”

“อันใดของเจ้า เจ้าพิรัล” แม้จะงงกับท่าทีของน้อง ที่โผเข้ากอด ทั้งยังพูดคล้ายปลอบขวัญ และยังคงร้องไห้จนน้ำมูกน้ำตาไหลเปรอะอกพี่จนเลอะไปหมด แต่อาคิรายังคงยืนนิ่งให้พิรัลนลินทำตามใจ

“เวลาข้าเสียใจท่านแม่มักกอดข้าเช่นนี้ ฮึก แล้วกำลังข้าพลันกลับมาเลยเทียว ท่านมิร้องไห้ออกมา แต่ข้ารู้ดีว่าท่านต้องกำลังเจ็บปวดในหัวใจเช่นเดียวกับข้าเป็นแน่ ฮื่อ”

“โอ๋ โอ๋ เจ้าพิรัลมิเป็นไรนะ มิเป็นไร พี่อยู่กับเจ้า พี่อยู่นี่” เมื่อได้ฟังเหตุผลของน้องน้อย วงแขนของอาคิราจึงกระชับกอดร่างเล็กเข้าไว้บ้าง เลียนแบบประโยคปลอบโยนของพิรัลนลินพร้อมโยกตัวแผ่วเบาไปมา ราวกับทั้งคู่กำลังปลอบประโลมซึ่งกันและกัน

“ฮื่อ ฮึกๆ”





หลังจากผ่านเหตุการณ์กอดปลอบซึ่งกันและกัน พิรัลนลินก็ดูคล้ายจะยิ่งติดศิษย์ผู้พี่ของตนมากขึ้น จนเป็นที่รู้กันภายในคูหาว่า เมื่อพบอาคิรายามใดย่อมได้เห็นลูกสิงห์น้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเดินตามเป็นเงายามนั้น เพราะเจ้าสิงห์น้อยถือว่าอาคิราคือผู้ร่วมชะตากรรม หากในคูหาสรรพยาแห่งนี้จักมีผู้เข้าอกเข้าใจตนได้ดีแล้วนั้น คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากศิษย์พี่อาคิราของตนผู้นี้ เพลานี้อาคิราคือผู้ที่ พิรัลนลินรู้สึกอุ่นใจและสนิทใจด้วยเป็นที่สุด

“ข้าจักออกไปเก็บสมุนไพรใกล้ๆ นี้ เจ้าจักตามไปด้วยฤๅไม่ “

“ไปจ้ะ “

“ป่าภายนอกถ้ำ แม้มิได้ห่างไกลทว่ายังอันตรายนัก เจ้าจงอย่าได้ซนจนพลัดหลงเสีย เข้าใจฤๅไม่”

“เข้าใจจ้ะ” ทุรพลตัวน้อยรับคำด้วยรอยยิ้มกว้าง ดวงตากลมโตเป็นประกายระยิบระยับ ด้วยความดีใจที่จะได้ออกเที่ยวนอกถ้ำ เป็นคราแรกในชีวิต หากไม่นับเหตุการณ์หนีตายที่ผ่านมา ซึ่งพิรัลนลินไม่ได้มีกะจิตกะใจจะชื่นชมหรือจดจำบรรยากาศรอบกายนัก

ภายในขบวนเก็บยาในครานี้ ประกอบไปด้วยสามัญสิงห์เพศเมียสามตน อาคิราและพิรัล สิงห์ทุกตนแต่งชุดอย่างรัดกุมด้วยเสื้อแขนกระบอกและโจงกระเบนสีเข้มเพื่อความคล่องตัว เสริมด้วยกระบุงแบกสำหรับใส่สมุนไพรติดหลัง


เมื่อเข้าสู่เขตป่า พิรัลถึงกับเผยยิ้มเต็มแก้มด้วยความรู้สึกตื่นเต้น การออกนอกถ้ำหนนี้ นับเป็นครั้งแรกที่สิงห์น้อยก้าวออกมาด้วยความสบายใจ จนสามารถมองทุกสรรพสิ่งได้อย่างเต็มตา ลูกสิงห์ค่อยๆ ซึมซับโลกภายนอกไว้ในความทรงจำให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเสียงสรรพสัตว์แห่งหิมวันต์ หรือกลิ่นหอมของดอกไม้ ใบไม้ที่อวลอยู่ในอากาศ ล้วนแต่ทำให้เจ้าพิรัลนลินรู้สึกยินดีทั้งสิ้น


“เจ้าพิรัล ต้นนี้มีชื่อเรียกเช่นไร” อาคิรา หยุดเดินชี้ไปที่ต้นไม้ลำต้นสูงใหญ่


ต้นไม้ใหญ่ตั้งต้นตรงที่ปลายนิ้วของผู้ถาม มีลักษณะเปลือกต้นมีสีดำแตกเป็นสะเก็ดเป็นเอกลักษณ์ พิรัลนลินที่จดจำได้แม่นยำจึงตอบเสียงดังฟังชัดเต็มไปด้วยมั่นใจ


“หมากเกลือจ้ะ”


“มีคุณอันใดรู้ฤๅไม่”


“เข้าเครื่องยา แก้ซางตาน แล...แล”


“ใช้เข้าเครื่องยา แก้ซางตาน แก้กระษัย เจ้าจงใช้เพียงผลดิบเขียว ต้มแล้วรีบป้อนผู้ไข้โดยทันที” เมื่อดูท่าว่าเจ้าตัวเล็กจะยังจดจำไม่ได้ อาคิราจึงต่อความให้ ด้วยน้ำเสียงอาทร


“ทิ้งไว้มิได้ฤๅจ๊ะ”


“มิได้ หากทิ้งไว้ยาดีจักกลายเป็นร้าย ถึงขั้นเสียตาเทียวหนาเจ้า”


“น่ากลัวนัก”


“เป็นเช่นนั้น เจ้าจงระวังอย่าได้ประมาท สมุนไพรทุกชนิด แม้จักมีสรรพคุณดีงามอักโข ทว่ามากไปหรือผิดวิธี โทษที่ได้อาจเกินคณานับ” อาคิรา สำทับด้วยท่าทีจริงจัง เพื่อให้สิงห์ผู้น้องจดจำสิ่งนี้ไว้ให้แม่นมั่น ด้วยหมอยานั้นนอกจากรู้จักคุณ สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือต้องระวังโทษ


“จ้ะ ข้าจักระวัง” ปากตอบรับ ส่วนในใจของสิงห์น้อยราวกับได้พบทางสว่าง หมายมาดกับตัวเองอย่างแน่วแน่ แม้จะแปลกประหลาดและเป็นที่น่าพรั่นพรึงไปสักหน่อย ทว่าทุรพลน้อยอยากลองดูสักครา...


“ดีแล้ว ต้นนี้เล่า” อาคิราชี้ไปยังต้นไม้ใหญ่ ที่ขึ้นขัดไป ต้นนี้มีเรือนยอดแผ่กว้าง ปลายกิ่งโค้งลงสู่พื้นดิน พิจารณาลงไล่ตามแนวจนถึงปลายกิ่งอ่อนมีใบลักษณะเรียงตัวกระจุกอยู่ และแอบซ่อนหนามคมไว้ตามซอก บนต้นมีผลกลมเป็นพวงเล็กๆ ตามกิ่งก้านสลับเขียวแดงทั้งต้น


“ต้นนี้ข้ามิเคยพบจ้ะ”


“เรียกว่า ตะขบป่า ใช้เป็นยาได้ทุกส่วน เช่นใบแห้งกินเป็นยาฝาดสมาน เปลือกใช้ตำรวมกับน้ำมัน ใช้ทาถูนวด แก้ปวดท้อง แก้คัน อมกลั้วคอแก้เจ็บคอ”


“จ้ะ”


“ลูกแก่มีสีแดงกินสดได้ เจ้าลองดูที เขาว่ามีรสดีนัก” อาคิราเอื้อมปลิดลูกไม้สีแดงสวยส่งให้ พิรัลนลินได้ลองลิ้ม เจ้าตัวเล็กที่ดำรงชีวิตด้วยผลหมากรากไม้อยู่แล้ว จึงไม่โยกโย้มากท่า รับผลไม้ในมีใหญ่มากินชิมโดยไว ด้วยความอยากรู้อยากเห็น


“รสหวานอมฝาดชุ่มคอเทียวจ้ะ” ลูกสิงห์น้อยได้ลิ้มรสผลไม้รสดีจึงเผยยิ้มจนแก้มปริ การออกมาเก็บสมุนไพรคราวนี้ยิ่งน่ารื่นรมย์เป็นเท่าทวี


เหล่าสิงห์จากถ้ำสรรพยายังคงขะมักเขม้นเก็บสมุนไพรไปไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนเวลาเคลื่อนคล้อยถึงยามบ่าย ส่วนเจ้าพิรัลที่เล็กกว่าเพื่อน มีหน้าที่เพียงเรียนรู้สิ่งที่อาคิราสอนไปพลางเจอลูกไม้รสอร่อยก็แวะเก็บกินตามทางไปพลาง ยิ่งเมื่อได้เจอะลูกจันของโปรด ติณสิงห์น้อยไม่รอช้าที่จะตรงเข้าไปเลือกเก็บผลไม้ที่ชื่นชอบ


“อ๊ะ ลูกจัน พี่อาคิราข้าชอบลูกจันนัก!”


พิรัลนลินตรงรี่เข้าไปเลือกลูกกลมแป้น ที่ย้อยลงมาจากกิ่งต่ำพอที่ร่างเล็กๆ ของตนเอื้อมถึง อุ้งมือเล็กนวดคลึงผลไปมาจนรู้สึกนิ่มมือ แล้วจัดการฉีกผลออกเพื่อลิ้มรสเนื้ออันหอมหวานชุ่มฉ่ำด้านใน ลูกสิงห์น้อยทั้งเก็บกินและเก็บเผื่อใส่กระบุงแบกด้านหลังหวังจะนำไปวางมุมเรือนนอนเพื่อรับกลิ่นหอมที่จะฟุ้ง เช่นที่แม่เคยทำอย่างเพลิดเพลิน จนกระทั่งเมื่อรู้สึกตัวอีกที พิรัลก็ยืนโดดเดี่ยวเพียงผู้เดียวเสียแล้ว






+++++++++++++++++++++++++++++++++

* เชิงอรรถ

1. เวลาบ่าย
2. ผลมะม่วง
3. วัยกำลังแตกเนื้อหนุ่ม


++++++++++++++++++++++++++++++++

สิงหา...ถึงนักอ่าน

สัปดาห์นี้สามารถลงได้ ๒ ตอน เพราะฉะนั้นเราไปต่อตอนต่อไปกันเลยค่ะ ~










« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-08-2019 21:15:16 โดย สิงหา »

ออฟไลน์ สิงหา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ ๓
ลาจาก







                    พิรัลรู้สึกตัวแล้วว่าพลัดหลงกับพวกพี่ๆ ทว่าเจ้าสิงห์น้อยไม่กล้าเดินไปไหน เพราะกลัวจะทำให้ยิ่งหลงออกไปมากขึ้น อย่างน้อยที่ตรงนี้นั้นยังคงอยู่ในเส้นทาง หากผู้ใดผ่านมาคงพบตัวได้ไม่ยากนัก สิงห์น้อยแหงนเงยขึ้นมองบนท้องฟ้ากว้าง ดวงสุริยันคล้อยต่ำลงไปทุกที จนนึกหวั่นใจ ทั้งเดินวนเวียน ทั้งร้องเรียกพรรคพวกอยู่นาน กลับยังไร้วี่แววของคณะสิงห์ที่ตนร่วมทาง พิรัลจึงตัดสินใจเดินไปยังโคนต้นไม่ใหญ่หวังนั่งพักขา ไล่ความเมื่อยขบ


“หงิง”


เสียงร้องครางสั่นเครือดังขึ้นเบาๆ หากไม่เกินกว่าที่ผู้อยู่ใกล้จักได้ยิน พิรัลหันซ้ายแลขวาหาต้นเสียง กระทั่งได้พบกับลูกสัตว์หิมพานต์ตัวจ้อย มันดูคลับคล้ายลูกสิงห์อยู่หลายส่วนหากแต่ไม่ใช่ ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ใดลูกสิงห์ที่ไม่เคยผจญโลกเช่นเจ้าพิรัลมิอาจรู้ ขนฟูสีเหลืองสว่างของมันเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต ใบหูตั้งทั้งสองข้าง หางฟูฟ่องชี้ตั้งขึ้นเมื่อมันรู้สึกได้ถึงผู้บุกรุก เสียงครางอ่อนระโหย เปลี่ยนเป็นขู่ฟ่อ ทั้งที่กำลังสั่นเทาไปทั้งตัว


“แฮ่!!! ”


“อย่ากลัวไปเลยเจ้าตัวน้อย ข้ามิทำอันใดเจ้าดอก เข้ามาใกล้ๆ ข้า ให้ข้าดูแผลเจ้า” พิรัลลองใช้ไม้อ่อน สิงห์น้อยนั่งลงกับพื้นอีกครั้ง ดวงตาคู่กลมสบเข้ากับนัยน์ตาหวาดระแวงของเจ้าตัวเล็กสี่ขาเพื่อแสดงความจริงใจ หากด้วยภาษีลำดับชั้นแห่งชาติพันธุ์ ลูกสัตว์ตัวจ้อยจึงสยบยอมนอนหมอบราบคาบแก้วให้พิรัลช้อนตัวมันลงมาวางไว้บนตักเพื่อดูอาการ แม้ความหวาดระแวงยังคงคลายไปไม่หมดสิ้น


“เลือดเต็มเลยข้ามิมีความรู้ หากจักรักษา คงต้องรอกลับเรือนเสียก่อน หวังว่าพี่อาคิราจักยินยอม...แต่เพลานี้ข้าเองยังเอาตัวมิรอดเลย” เจ้าสิงห์น้อยลูบหัวเล็กๆ บนตักเป็นการปลอบประโลม พลางหายใจทิ้งให้กับโชคชะตาของตนเอง ...ข้ามันตัวก่อเรื่องเสียงจริง สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้พี่อาคิราอีกประการแล้ว


“อยู่แห่งนี้เองรึเจ้าตัวดี”


“พี่อาคิรา! ” แม้นคราแรกยามพบพาน พิรัลจักหวาดเกรงท่าทีเงียบสุขุมของผู้ที่ยืนตระหง่านเบื้องหน้าเสียจนต้องทำใจเพื่อติดตามด้วยคำสั่งของผู้เป็นอาจารย์ หากเพลานี้ เจ้าสิงห์น้อยกลับดีใจที่ได้พบศิษย์พี่ของตนอย่างถึงที่สุด


“เหตุใดจึงดื้อรั้นมิฟังคำข้า มิสังวรหรือว่าเพลานี้อันตรายเพียงใด”


“ขอสมาเถิดจ้ะ ขะ ข้ามิได้ตั้งใจ เพียงมาเก็บลูกจันเท่านั้น รู้ตัวอีกคราก็มิเห็นพวกพี่แล้วจ้ะ”


“เอาเถิด ความจริงนั้นเป็นความผิดข้าที่เผอเรออยู่หลายส่วน” อาคิราถอนหายใจ เมื่อคิดได้ว่าเขาเองนั้นมีความผิดไม่น้อย ด้วยตนนั้นโตกว่า ทั้งยังรู้ดีว่าเจ้าสิงห์น้อยนั้นซุกซนไร้เดียงสาเพียงใด ที่เผลอออกปากต่อว่าไปเมื่อครู่นั้นเป็นด้วยอารมณ์ ว้าวุ่นร้อนใจด้วยความเป็นห่วงเจ้าลูกสิงห์นี้เท่านั้น ก่อนอารมณ์ที่เริ่มอ่อนลงจะชะงัก เมื่อดวงตาคมกล้าเหลือบเห็นกลุ่มขนสีเหลืองเจิดจ้าบนตักพิรัลนลิน


“แล้วนั่นมันตัวใดกัน”


“มะ มิรู้จ้ะ”


“มิรู้ เจ้ามิรู้จัก แต่จับมาคลอเคลียเสียแล้ว มันใช้ได้ฤๅ! ” ประการนี้อาคิรานึกโกรธเคืองเจ้าลูกติณสิงห์ตนนี้เป็นจริงจังเข้าแล้ว


“มันน่าสงสารนี่จ๊ะ มันบาดเจ็บหนัก ซ้ำยังคงพลัดกับแม่ ข้า ข้าหักใจทิ้งขว้างมันมิลงจ้ะ”


“ครานี้มิเป็นอันใด แล้วภายหน้าเล่า อย่าเพียงปล่อยตัวให้แล่นลิ่วไปตามใจ จงตรึกตรองถึงอันตรายที่จักเกิดขึ้นด้วย หากเกิดอันใดกับเจ้าพ่อแม่เจ้าจักเป็นเช่นใด” อาคิรารู้ว่าเจ้าสิงห์น้อยตนนี้ช่างไม่ประสาโลก แม้จะทำไปด้วยจิตใจเมตตา แต่ว่าโลกภายนอกนั้นอันตรายทุกอย่างก้าว จึงต้องตักเตือนกันเสียแต่ตอนยังมีโอกาส


“ข้าจักจำไว้จ้ะ จักมิประมาทเช่นนี้อีก”


อาคิราถอนหายใจอีกคำรบ สิงห์หนุ่มยอบตัวลงจับพลิกเจ้าก้อนขนบนตักของพิรัลเพื่อพิจารณา


“ดี... เจ้าตัวนี้เป็นลูกกีหมี มิได้อันตรายนัก หากคงกำพร้าเสียแล้ว แม่มันมิยอมให้ลูกห่างตัวนานนักดอก มิเช่นนี้ป่านนี้เจ้าคงโดนขับกัดวิ่งเตลิดไปจนสุดกู่”


“กีหมี... ”


“เอาเถิด เรากลับกันเสียที หอบหิ้วกีหมีของเจ้ามาด้วย ปล่อยไว้คงตายตกตามแม่มันไปมิช้านาน ซ้ำยังจักมีลูกสิงห์บางตนพะว้าพะวังใจเข้าไปอีกตน”


“ขอบน้ำใจจ้ะ พี่อาคิรา”  พิรัลตาพราว เมื่อได้รับอนุญาตจากผู้พี่ สิงห์น้อยจึงรีบอุ้มลูกกีหมีวิ่งตามติดหลังผู้เป็นพี่ไม่ยอมคลาดสายตาอีก


แม้อาคิราจักมีท่าทีนิ่งเฉยเสียจนถูกเหล่านางสิงห์แอบสัพยอกว่า ’ สง่างามทื่อมะลื่อดั่งหินผา ‘สำหรับสิงห์น้อยในตอนนี้พี่อาคิราของเขา เป็นหินผาที่ใจดีที่สุด


ทันทีที่กลับมาถึงถ้ำ พิรัลไม่รอช้านำผ้าชุบน้ำเช็ดเนื้อตัวลูกกีหมีจนสะอาดสะอ้าน เป็นลูกมือให้อาคิราใส่ยาและพันแผลจนแล้วเสร็จ โชคดีของเจ้าลูกกีหมีตัวน้อยเมื่อภายในถ้ำยังมีสิงหคักคาแม่ลูกอ่อนที่ลูกได้รับบาดเจ็บเฝ้าลูกอยู่ ลูกกีหมีจึงได้ดื่มนมจากเต้าสิงหคักคา[1]  แม่ลูกอ่อนภายในเรือนพักไข้นั้นเอง




                    แม้พิรัลต้องการพาลูกกีหมีเข้ามาพักในเรือนตนเท่าใด ทว่าไม่อาจกระทำได้ เพราะอาจารย์ไม่อนุญาตให้นำสัตว์หรือบุคคลภายนอกขึ้นมายุ่มย่าม ลูกกีหมีกำพร้าจึงต้องอยู่ที่เรือนไข้ร่วมกับสัตว์อื่น และเป็นพิรัลนลิน ผู้ที่เคยอิดออดเหลือเกินกับการต้องเข้าไปช่วยงานในเรือนผู้ไข้ เพลานี้กลับวิ่งเข้าออกเรือนไข้วันละสามสี่เวลา เพื่อคอยดูแลสัตว์สี่เท้าในความรับผิดชอบของตนเป็นอย่างดี ทั้งยังตั้งอกตั้งใจเรียนรู้พืชสมุนไพรที่อาคิราเพียรสอนมากขึ้น เมื่อเจ้าตัวน้อยสำนึกรู้แล้วว่า วิชาที่ท่านอาจารย์อัตรคุปต์ฝากฝังให้ตนได้ร่ำเรียนนั้นสำคัญเพียงใด โดยเฉพาะพืชที่ควรระมัดระวัง พิรัลนลินนั้นให้ความสนใจมันมากเป็นพิเศษ...อย่างลับๆ


“เจ้าพิรัล จักไปแห่งใดรึเจ้า” ยามบ่ายหลังฝึกอ่านเขียนอักษรกับอาคิราแล้ว พิรัลนลินรีบบ่ายหน้าวิ่งไปหาลูกกีหมี ที่ตอนนี้ติดตนแจ ด้วยความลิงโลด พลันใบหน้าน่ารักที่แตะแต้มรอยยิ้มกว้างกลับเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง เมื่อถูกขวางไว้โดยบัณฑูรสีหะรุ่นกระทงตนหนึ่งที่พิรัลนลินรู้จักดี แม้ความจริงทุรพลน้อย ไม่อยากฉีดกายเข้าไปข้องแวะด้วยแม้กระพี้


“เรือนพักไข้ เจ้าหลบข้าเสียที”


“จักไปร่ำเรียนฤๅเอ็ง มิต้องไปดอก อยู่เจรจากับข้าก่อนเถิด” แม้ทุรพลน้อยแสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่เต็มใจ แต่เจ้าสิงห์หนุ่มกลับ ถลันมายืนขวางหน้าไม่ยินยอมโดยง่าย


“เจ้าจงไปขอท่านอาจารย์ให้ข้าเถิด กล้ารึไม่เล่า” พิรัลไม่ต่อความอีก รีบเบี่ยงตัวเดินหนี ทว่ายังไม่ทันพ้นสามก้าว เสียงทุ้มห้าวดังไล่หลัง ตั้งใจให้ทุรพลน้อยได้ยินเป็นการแก้หน้า


“หึ ฤๅข้ามิใช่อุตมางค์ เอ็งจึ่งวางท่าคอแข็งใส่ อย่าได้สำคัญตัวนักเลย...ร่ำเรียนไปก็เท่านั้น เช่นไรเจ้าเติบโตไปมิพ้นมีหน้าที่เพียงผู้บำรุงบำเรอพวกอุตมางค์เพียงเท่านั้น...” สิงห์หนุ่มว่าให้สะใจแล้วหันหลังจากไป เมื่อถึงทีที่ตนต้องลงฝึกซ้อมประมือ ทำทีไม่สนใจทุรพลน้อยท่ามากอีกต่อไป


ผู้พูดนั้นไม่คิด หากผู้ฟังนั้นเจ็บแค้นเหลือประมาณ เจ้าสิงห์น้อยกำมือแน่นด้วยความโมโห เมื่อเลือดขึ้นหน้าความกล้าจึงมากล้น จากที่หมายจะวิ่งไปยังเรือนไข้ พลันพิรัลนลินกลับวิ่งตรงไปยังสิงห์ปากเสียที่นั่งหันหลังให้อยู่อย่างไม่ระวังตัว สองมือเล็กจับรั้งผ้าโจงขึ้นเหนือเข่าให้คล่องตัว ยกเท้าถีบยันใส่หลังสิงห์ปากไม่ดีเต็มแรงจนอีกฝ่ายหน้าคะมำ




โครม!


“ไอ้พิรัล มึงกล้ายันกูฤๅ! ”


“กล้ามิกล้า ปากเน่าของมึงได้ลงไปทาบธรณีแล้วเช่นไร” ยกแขนเท้าเอวว่ากลับอย่างไม่เกรงกลัว สร้างเสียงหัวร่อขบขันแก่ผู้เห็นเหตุการณ์ จนผู้ถูกถีบรู้สึกอับอายจนกลายเป็นโกรธเคืองเช่นกัน ขายาวเก้งก้างสาวเดินเข้าหาร่างเล็กบอบบางหมายชำระความให้สมอาย


“กูมิปล่อยมึงไว้แน่” คีรีตรงเข้าง้างฝ่ามือใส่พิรัล เป็นอาคิราที่ว่องไวใช้มือจับคว้าท่อนแขนของอีกฝ่ายไว้มั่น ก่อนที่มันจะทันฟาดเข้าใส่ใบหน้าของพิรัลนลิน


“เจ้าจักกระทำสิ่งใด คีรี”


“มึงไม่ต้องแส่ไอ้อาคิรา” สิงห์หนุ่มกำลังเลือดขึ้นหน้าจึงเหวี่ยงแขนอีกข้าง พุ่งหมัดใส่ผู้บังอาจเข้ามาขัดขว้าง เข้าข้างแก้มอาคิราอย่างจัง จากนั้นจึงพุ่งตัวง้างหมัดเตรียมซ้ำระบายความโกรธรุ่มในอก ทว่าผู้เดือดดาลหรือจะสู้ผู้มีสติ อาคิราที่คอยท่าเบี่ยงหลบก่อนสวนหมัดเข้าใส่ใบหน้าคีรี จนล้มกองก้นจ้ำลงกับพื้นให้อายซ้ำสอง


เมื่อถูกสวนคีรียิ่งเดือดดาล ด้วยท่าทางนิ่มนวลคล้ายสิงห์แสนสำอางของอาคิรานั้น ทำให้คีรีที่รูปร่างล่ำสันและผ่านการฝึกร่างกายมามากกว่ายิ่งรู้สึกอับอาย สิงห์หนุ่มจึงรีบยันตัวลุก เป้าหมายเปลี่ยนจากทุรพลร่างบางเป็นอาคิราทันที หากยังไม่ทันจะได้ตั้งท่า เสียงกึกก้องเย็นเหยียบดังขัดขึ้น น้ำเสียงที่แสดงถึงพลังอำนาจนั้น ทำให้สิงห์รุ่นกระทงทั้งสองชะงักค้าง ไม่เว้นแม้แต่พิรัลและผู้สังเกตการณ์ตนอื่นต่างรู้สึกเย็นสันหลังขึ้นมาครามครัน


“คูหาสรรพยาแห่งข้าอัตรคุปต์ มิยินดีแม้เพียงเบาะแว้งทำร้ายร่างกาย พวกเจ้าผู้อาศัยใยทำลายกฎเสียเองเล่า! ” ในยามที่ราชสีห์คุปต์ผู้ทรงเมตตาเป็นนิจ แสดงท่าทีโกรธา อำนาจเด็ดขาดที่ราชสีห์เท่ามักถ่อมกดไว้เสมอถูกแสดงออกมา พาให้ทุกสรรพสิ่งเงียบงัน เหล่าสิงห์แลสิงห์ผสมภายในถ้ำ คลายถูกจองจำในบัดดล ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ


“ท่านไศล ศิษย์ของท่านข้ามิก้าวล่วง ขอท่านจงทำโทษศิษย์ของท่าน แลอบรมในความผิดครานี้ด้วย อาคิรา พิรัล ตามข้าไปรับโทษ! ” ราชสีห์อัตรคุปต์เหลือบมองตัวต้นเรื่องทั้งสามเพียงชั่วครู่ ราชสีห์เฒ่าจึงเบนหน้าไปพูดจากับผู้เป็นอาจารย์ของคู่กรณี แม้น้ำเสียงไม่แสดงถึงอำนาจที่เหนือกว่า ทว่ากลับเฉียบขาดจนผู้ถูกร้องขอ น้อมกายรับฟังอย่างไม่คิดบิดพลิ้ว จากนั้นจึงหันกลับมาสั่งการศิษย์ทั้งสองของตนห้วนสั้น จนสิงห์อื่นๆ ที่นั่งแวดล้อมอยู่ด้วยพากันสะดุ้งตามเป็นทิวแถว




อาคิราเดินตามผู้เป็นอาจารย์ด้วยท่าทีสงบนิ่ง ผิดกับเจ้าลูกสิงห์น้อยที่รู้สึกตัวสั่นด้วยความหวั่นเกรง ตั้งแต่เกิดมาพิรัลนลินไม่เคยถูกทำโทษเลยแม้สักครั้ง ยิ่งทั้งสองเข้ามานั่งคุกเข่าในเรือนของผู้เป็นอาจารย์บรรยากาศยิ่งบีบคั้นคล้ายมาขึ้นเป็นเท่าทวี เสียจนทุรพลน้อยนั่งตัวหดลีบเบียดกระแซะผู้พี่เสียจนคล้ายจะกระโดดขึ้นไปนั่งบนตักก็ไม่ปาน




“เจ้าอาคิรา กฎของเรือนเจ้าย่อมรู้ดีกว่าผู้ใด อาจารย์ผิดหวังในตัวเจ้าเหลือเกิน” น้ำเสียงที่ผู้เป็นอาจารย์เอ่ยออกมา ไม่ได้แสดงถึงความโกรธเคือง กลับคล้ายเป็นความผิดหวังเสียงมาก...มากจนผู้ที่ได้ฟังรู้สึกเจ็บปวดหัวใจมากกว่าถูกโกรธเหลือคณา


“ศิษย์ฝ่าฝืนกฎ กระทำการใช้กำลัง แลปล่อยอารมณ์นำเหตุผล ทั้งพฤติกรรมมิสำรวม ศิษย์น้อมรับโทษข้อรับ” อาคิรากล่าวความผิดของตัวเองด้วยท่าทีมั่นคง กระทั่งสายตานั้นยังคงนิ่งแน่ว แม้ผู้เป็นอาจารย์จักหยิบหวายยาวบนชั้นวางออกมาถือในมือ ผิดกับพิรัลที่ร่างกายน้อยสั่นเทาจนน่าสงสาร


“เจ้าพิรัลเล่า มีสิ่งใดจักบอกอาจารย์ฤๅไม่”


“คีรีมันปากบอนใส่ข้าก่อน มันว่าข้ามิต้องร่ำเรียนอันใด...ฮึก เติบโตมามีหน้าที่เพียงผู้บำรุงบำเรออุตมางค์...”


“เพียงปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเอง ข้าไม่มีสิทธิ์ฤๅจ๊ะ มันผิดบาปมากนัก ฤๅเพราะข้าเป็นทุรพลข้าจึงต้องยอมจ๊ะ ท่านอาจารย์” แม้ไม่มีน้ำตา แต่ในตากลมนั้นแดงก่ำ ด้วยอารมณ์ที่ทั้งเสียใจ น้อยใจ และเจ็บใจผสมปนเปกัน จนข้ามความยำเกรงต่อการถูกลงโทษ กล้าเอ่ยปากถามผู้เป็นอาจารย์ด้วยความคับข้องใจเหลือแสน


“การปกป้องศักดิ์ศรีตนเองนั้นเจ้าย่อมทำได้ แลเป็นเรื่องสมควรยิ่ง หากแต่มีวิธีมากมาย หาใช่เพียงกระทำการขาดสติเข้าต่อสู้เช่นนี้ พวกเจ้าทั้งสองจงจำไว้ กฎของเรือนเปรียบดั่งหลังคา หากเจ้าทำลายหลังคาเรือนตนเองแล้วไซร้ ชีวิตภายในเรือนยังจักสงบสุขอยู่ได้ฤๅ เรือนที่เจ้าพักอาศัยจักยังคงอยู่ได้ฤๅ เรื่องครานี้ถือว่าเจ้าพิรัลยังไม่ประสาข้าจักละไว้”


“ส่วนเจ้าอาคิรา ถือว่ากระทำผิดคราแรก อาจารย์จักลงหวายเจ้าเพียงสิบไม้”


“ขอบพระคุณขอรับท่านอาจารย์” อาคิราน้อมรับโทษด้วยท่าทีสงบนิ่ง ด้วยใจสำนึกผิด ทว่าคนน้องกลับรีบถลันตัวเข้าขวางกันพี่ชายไว้ พลางละล่ำละลักขอร้องอาจารย์จนปากคอสั่น


“ฮึก ท่าอาจารย์จ๊ะ เป็นความผิดข้าเอง พี่อาคิราปกป้องข้าเพียงเท่านั้น เป็นข้าเองที่ถีบคีรีก่อน ท่านอาจารย์อย่าลงโทษพี่อาคิราเลยหนาจ๊ะ”


“นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ศิษย์พี่ของเจ้าสมควรกระทำ แลเจ้าจงจำไว้อีกประการ ยามกระทำการสิ่งใด อย่าได้คิดถึงเพียงความพึงใจของตนเป็นที่ตั้ง เจ้าจงรอบคอบแลใคร่ครวญด้วยว่าสิ่งที่เจ้าจักกระทำนั้น บางสิ่งเมื่อกระทำไปแล้ว นั้นเหมือนโยนกรวดลงน้ำ แม้มันจักเล็กน้อย หากส่งผลกระทบมากมาย ดั่งน้ำที่แตกเป็นระลอกคลื่น ส่งผลกระทบเสียหายแก่ผู้ใดบ้าง จงจำไว้เป็นบทเรียนเจ้าพิรัล”


“เจ้ามิ่ง มาจับเจ้าพิรัลออกไปเสีย” สิ้นเสียงของอัตรคุปต์ ร่างน้อยของพิรัลถูกผู้ติดตามของอาจารย์จับยกตัวออกมาจนพ้นวิถีลงหวาย


จากนั้นเสียงหวายแหวกอากาศเข้ากระทบลงบนผิวเนื้อของอาคิราก็ดังขึ้น ท่ามกลางเสียงสะอื้นไห้ของพิรัลคลอไปจนจบการลงโทษ


“คูหาสรรพยา เป็นที่แห่งการอภัยทาน เป็นสถานที่เพื่อสรรพสัตว์ได้หนีร้อนมาพึ่งเย็น เพียงบทลงโทษของผู้นำเช่นข้า พวกเจ้าคิดหรือว่าจักเพียงพอกำราบพวกสัตว์พาล ให้ยอมกระทำตามได้ คูหาแห่งนี้เปรียบเสมือนน้ำโอสถเย็นฉ่ำแก่ผู้หนีร้อน ทว่าสามารถกลายเป็นพิษร้อนคร่าชีวีผู้ที่ฝ่าฝืนได้เช่นกัน ข้าหาได้ต้องการเฝ้ามองศิษย์ตัวเองมอดม้วยด้วยการประพฤตินอกกฎเสียเอง เจ้าพิรัลพาพี่เจ้ากลับเรือนไปพักผ่อนเสีย” ผู้เป็นอาจารย์มีหรือที่ยินดีในการลงโทษลูกศิษย์ ที่กระทำล้วนต้องการสั่งสอนแลให้หลาบจำเท่านั้น รักวัวให้ผู้รักลูกให้ตีเป็นฉันใด การณ์ครานี้ที่ราชสีห์อัตรคุปต์กระทำไปนั้นย่อมไม่ต่างกัน


เมื่อได้รับคำอนุญาตจากอาจารย์ พิรัลไม่รอช้ารีบสลัดตัวออกจากการจับกุม วิ่งเข้ามาพยุงอาคิราเร็วรี่ ปากพร่ำร้องขอโทษขอโพยพี่อาคิราของตนไม่หยุด จนอาคิราต้องยกมือขึ้นปิดปากเล็กนั้นไว้เสีย


“รู้แล้ว คำสมาจากเจ้าพี่รับไว้แล้ว เลิกร้องได้แล้วหนา” อาคิราฝืนความเจ็บปวด ส่งยิ้มบางๆ ให้เจ้าตัวยุ่งที่ร้องห่มร้องไห้ คล้ายเป็นฝ่ายถูกหวายเสียเอง


“ประเดี๋ยวก่อน” เสียงของอาจารย์ดังแผ่วตามหลังทำให้ลูกสิงห์ทั้งสองที่กำลังทุลักทุเลประคับประคองกันกลับเรือน ชะงักงักเท้าไว้โดนพลัน


“เจ้าพิรัล จงใช้น้ำจากคนโทนี้ผสานยาให้พี่เจ้า มิเกินสามทิวาแผลหวายจักหายไปมิทิ้งร่องรอย”


“ทะ ท่านอาจารย์มิโกรธเคืองข้าแลพี่อาคิราฤๅจ๊ะ” พิรัลเบะปาก เมื่อมองเห็นความเอ็นดูในสายตาของอาจารย์อีกครั้ง


“อาจารย์เป็นผู้ครองเรือน ยิ่งพวกเจ้าเป็นศิษย์ ข้าจักทำวางเฉยได้ฤๅ” เมื่อได้ยินดังนั้น เจ้าลูกสิงห์ตัวน้อยยิ่งรู้สึกเต็มตื้นในอก ความโศกเศร้าเสียใจมลายหายไปถึงกึ่งหนึ่ง ผละจากผู้เป็นพี่วิ่งมารับคนโทจากผู้เป็นอาจารย์ ก่อนกระโดดเข้าสวมก่อนกอดราชสีห์เฒ่าเต็มรัก




“ข้าดีใจยิ่งนักที่ท่านอาจารย์มิโกรธเคืองข้าแลพี่อาคิรา ข้าลานะจ๊ะ” แล้ววิ่งตื๋อกลับไปพยุงศิษย์ผู้พี่ของตนตามเดิม ท่ามกลางรอยยิ้มกึ่งระอากึ่งเอ็นดูของทั้งอาจารย์และพี่ชาย


ยามถึงเรือนพักของอาคิรา เจ้าสิงห์น้อยรีบกุลีกุจอพาพี่นอนคว่ำลงบนเตียง พินิจแผลบนหลังมีเพียงรอยช้ำ ไม่รอช้า กลับออกไปยังเรือนเก็บยาเลือกหัวไพลที่เหมาะกับการรักษาแผลฟกช้ำ มากกว่าแผลเปิดอย่างขมิ้นชัน มาเต็มกำมือ ฉวยคว้าอุปกรณ์มาฝนไพลสมานน้ำที่อาจารย์มอบให้จนเหลวพอดีอย่างคล่องแคล่ว เพียงชั่วอึดใจ พิรัลนลินกลับพร้อมยาในมือ เจ้าสิงห์น้อยค่อยๆ บรรจงทาตัวยารอบๆ รอยหวายจนครบถ้วนอย่างตั้งใจ ทั้งยังคอยโบกพัดให้สายลมแผ่วเบาช่วยลูบไล้แผ่นหลังช้ำให้รู้สึกเบาเจ็บ จนค่อนคืนผล็อยหลับตามอาคิราที่หลับไปก่อนหน้าตั้งแต่ทุรพลน้อยทายาเสร็จ


ด้วยได้รับยาดีและการพักผ่อนอย่างเต็มที่ ทำให้อาคิราลืมตาตื่นขึ้นก่อน ทันเห็นเจ้าตัวร้ายฟุบหลับข้างกาย มือข้างหนึ่งยังคงกำรอบด้ามพัดไม่คลาย พิจารณาตามมือไม้เล็กบางเปรอะเปื้อนคราบเหลืองจากไพลเต็มไปหมด ร่างเล็กๆ ยามหลับสะอื้นเบาๆ ด้วยคงเก็บเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นฝังใจจนละเมอ มือใหญ่ของผู้เป็นพี่อดไม่ได้ที่จะยกลูบกลุ่มผมยาวของเจ้าตัวเล็กแผ่วเบา ปากกระจับขยับยกยิ้มเบาบาง เช่นเดียวกับเสียงที่ลอดออกมา


“ขอบน้ำใจเจ้าหนา เจ้าตัวดี”




                    แม้อาคิราจะหายเจ็บจนสามารถลุกขึ้นมาทำกิจวัตรประจำวันได้เป็นปกติแล้ว แต่พิรัลนลินกลับไม่ยอมให้ผู้เป็นพี่ลงงานหนักๆ เช่น การเจียดไม้หอม หรือแม้กระทั่งคัดตากยาดั่งเคย เจ้าสิงห์น้อยจักคอยจับตามองศิษย์ผู้พี่ตลอดเวลา ยามใดที่อาคิราทำท่าจะลงมือทำงาน พิรัลจะรีบวิ่งเข้าไปสอดไม้สอดมือ จนอาคิราระอาใจจนยอมแพ้ ทำเพียงนั่งอ่านตำราเงียบๆ จนกว่ารอยหวายที่หลังจะจางหายไป ตามที่พิรัลนลินต้องการ ด้วยเหตุนี้พิรัลนลินจึงต้องวิ่งเวาะวิ่งวนไปมาระหว่างเรือนผู้ไขที่มีเจ้ากีหมีรอท่าอยู่ และหอตำรา เพื่อสอดส่องว่าอาคิรากระทำตัวว่าง่ายอยู่หรือไม่ แม้จะเหนื่อยกาย แต่เจ้าทุรพลน้อยกลับอิ่มเอมใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะพิรัลนลินกำลังรู้สึกว่าตนนั้นได้กระทำตนเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง


แต่ความวัวนั้นไม่ทันหาย ความควายอย่างคีรีก็เข้ามาแทรก เมื่อระหว่างเดินทางกลับไปเฝ้าพี่อาคิรา หูของพิรัลปะทะเข้ากับประโยคแสนร้ายกาจเข้าอีกครา


“พ้นโทษแล้วฤๅคีรี เห็นว่าโดนคุกเข่าเทินถังน้ำเสียทั้งคืน จนเข่าแหกเลยรึ”


“เออ ดีที่ท่านอาจารย์เห็นแก่ความผิดคราแรก จึ่งโดนโทษแค่ราตรีเดียวแลกักบริเวณข้าถึงสามทิวา” คีรีเข่นเขี้ยว ยามก้มมองบาดแผลบนเข่าทั้งของข้างของตนเอง ไม่ได้สำนึกถึงความผิดตนแม้แต่น้อย ภายในใจของสิงห์หนุ่ม ยกความผิดให้แก่ทุรพลอวดดี และพี่ของมันไปหมดสิ้น


“ต้องโทษมิเจ็บใจเท่าถูกไอ้อาคิราสวนกลับได้กระมัง ฮ่าๆ ” เพื่อนคู่หูอีกตนเอ่ยล้อขบขันจนถูกคีรีถีบยันจนหน้าคว่ำ แต่พวกมันมิได้นำพายิ่งหัวเราะกันไม่หยุดหย่อน จนสิงห์รุ่นผู้ถูกล้อเข่นเขี้ยวอย่างเจ็บแค้น


“ฮึ มันอาศัยที่เผลอเท่านั้นดอก อ้อนแอ้นเช่นนั้น มิต่างจากทุรพลแท้ๆ โชคดีของพวกมันที่วันพรุ่งข้าต้องกลับเรือน มิเช่นนั้นข้าเอาคืนพวกมันแน่”


พิรัลนลินที่แอบได้ยินถึงกับกำหมัดแน่น ใจนึกอยากเข้าไปกระโดดถีบเจ้าสิงห์นิสัยเสียตนนั้นอีกสักที แต่คำสอนของอาจารย์ แลโทษที่ได้รับนั้นฝังใจเสียจนพิรัลนลินต้องข่มใจหยุดยั้งตัวไว้ ก่อนความคิดสายหนึ่งจะวิ่งเข้ามาในหัว แล้วทุรพลน้อยจึงยกยิ้มกับตนเอง มองไปยังสามสหายบนลานฝึกด้วยความมาดหมาย วิ่งวกกลับไปยังเรือนตนเองเพื่อทดลองใช้ของบางประการที่ตนแอบเก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิด




ด้วยความว่องไวจากความแค้นเคียง ใช้เวลาเพียงไม่นานสิงห์น้อยกลับมาพร้อมด้วยห่อกระดาษห่อเล็กในมือ พิรัลอาศัยความตัวเล็กของตนหลืบเร้นกายเข้าใกล้ลานฝึก สำรวจทิศทางลม ก่อนจะค่อยๆ คลี่ผงสีน้ำตาลลงในกองผ้าซับเหงื่อของเหล่าสิงห์หนึ่งจนเกือบหมด ก่อนจะรีบย้ายตัวเองออกห่างเพื่อรอดูผลงานการลองวิชาครั้งแรก


“โอ๊ย คันๆ มันเกิดอันใดขึ้น”


“โอ๊ย คันๆ ท่านหมอๆ ช่วยพวกข้าด้วย”


“สมน้ำมะหน้า อุ๊ย! ” ความครื้นเครงใจเป็นอันสะดุด เมื่อเสียงของอาคิรากระซิบเย็นที่ด้านหลัง ไม่ต้องให้ผู้ใดมาบอกกล่าวพิรัลก็รู้ว่าแผนร้ายของตนถูกจับได้เข้าเสียแล้ว




ต่อด้านล่าง...






+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เชิงอรรถ

1. สิงห์ผสมชนิดหนึ่ง ส่วนหัวและตัวเป็นสิงห์ มีเท้าเหมือนช้าง กายเป็นเกล็ดสีม่วงเข้ม



   






ออฟไลน์ สิงหา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
...ต่อ



อาคิราขมวดคิ้วจนเป็นปม เขาเห็นพิรัลวิ่งกลับเข้าเรือนมา ด้วยเข้าใจว่าเจ้าตัวดีคงมาเฝ้าตนอีกเป็นแน่ ครั้นเพียงครู่เจ้าตัวดีกลับวิ่งลงเรือนไป ตามติดด้วยเสียงร้องโอดโอยของคีรีและพวกพ้อง ด้วยความสะกิดใจ อาคิราจึงลงเรือนมาเพื่อดูเหตุการณ์ และมันเป็นจริงดังคาด เพียงแต่สิ่งที่พิรัลกระทำอยู่นั้นถือเป็นความผิดร้ายแรงเกิดกว่าที่เขาคาดการณ์ไปไกล อาคิราจึงรีบจับจูงเจ้าตัวร้าย กลับเข้าเรือนโดยไว ก่อนที่ผู้ใดจะมาพบเข้าจนเป็นเรื่องเป็นราวไปอีก เพราะครานี้โทษนั้นหนักหนากว่าที่แล้วมามากนัก


“พิรัล เหตุใดเจ้าจึงทำเยี่ยงนี้ เจ้ากำลังเข้าไปยุ่งกับสิ่งผิด รู้ฤๅไม่ว่าสิ่งที่เจ้ากระทำคืออวิชชา หากอาจารย์รู้เจ้ามิพ้นโดนไล่ออกจากถ้ำเป็นแน่”


“ข้ามิได้ทำสิ่งใดผิด ทีเจ้าพวกนั้นยังคิดร้ายต่อพี่ ต่อข้ามิสำนึก พวกมันกระทำสิ่งร้ายต่อพวกเราเช่นกัน เหตุใดข้าจักแก้คืนมิได้เล่าจ๊ะ” พิรัลนลินที่ไม่รู้ความยังยืนยันความคิดตนเอง ในเมื่อครานี้นอกจากเจ้าคีรีแล้ว หามีใครได้รับผลกระทบไม่ เช่นนี้แล้วถือว่ากระทำผิดได้เช่นไร


“สิ่งที่เจ้าเลือกใช้อย่างไรเล่าที่ผิด พี่ถือว่าเจ้ายังมิรู้ความรู้กฎ นับแต่บัดนี้เจ้าจงจดจำ กฎข้อห้ามร้ายแรงที่สุดของหมอยาคือการกระทำยาพิษใส่ผู้อื่น หมอยาเป็นผู้รักษาชีวิต หากเจ้าเป็นผู้ทำร้ายทำลายชีวิตผู้อื่นเสียเอง เจ้ายังจักเรียกตัวว่าหมอยาได้ฤๅ” อาคิราสอนน้องด้วยความจริงจัง จริงจังที่สุดตั้งแต่ได้คอยดูแลกันมา


ด้วยอาคิรากลัวเหลือเกินว่าศิษย์น้องของเขาผู้นี้จักเลือกเดินทางผิด ด้วยความไร้เดียงสา แลฉลาดเฉลียว ทั้งยังมีความแค้นแทรกซ้อนภายในจิตใจเช่นนี้ ไม่ยากเลยที่จะถลำลึกสู่ความดำมืด จนไม่อาจหวนกลับคืนมาได้อีก เช่นนั้นผู้ที่เฝ้ามองผ้าขาวผืนนี้จักยอมปล่อยให้มันถูกย้อมด้วยสีดำ แทนสีสันสดสวยในอนาคตไปได้เยี่ยงไร


“ข้ามิได้หมายจักใช้มันประหัตประหารผู้ใด ข้าเพียงต้องการเอาคืนมันบ้าง ข้าเป็นทุรพล แรงกำลังอันใดล้วนอ่อนด้อย มีเพียงเรื่องสมุนไพรเหล่านี้ที่สิงห์เช่นข้าจักพอสู้เขาได้ เพียงหมายจักนำมาป้องกันตัวเท่านั้น” พิรัลสารภาพเสียงอ่อน ด้วยอาคิรานั้นคงรู้แล้วว่าตนนึกลองใช้วิชาพืชพิษ ด้วยการเรียนวิชาสมุนไพรนั้น ผู้เรียนจำเป็นที่จะต้องตระหนักได้ทั้งคุณและโทษ หากผิดพลาดไปเพียงน้อย จากโอสถสวรรค์อาจแปลเปลี่ยนเป็นหอกทวนของยมบาล หมอยาโดยมากมักสรรค์สร้างเพียงตำรับยาวิเศษ และละทิ้งปิดผนึกส่วนของพิษร้ายเอาไว้ ทั้งที่ส่วนนี้หากนำมาใช้ประโยชน์แล้ว ผู้เป็นหมอยาจะกลายเป็นผู้ชี้เป็นสั่งตายได้โดยดุษณี และพิรัลไม่เห็นความจำเป็นที่จักทิ้งขว้างมันไป


“เช่นนั้นเจ้าจงให้สัตย์สาบานว่า จักมิใช้มันทำร้ายผู้ใดก่อน แลมิใช่มันเข่นฆ่าชีวิตผู้ใดเป็นอันขาด จงจำไว้สิ่งที่เจ้ากำลังกระทำนั้น ยิ่งศึกษาลงลึกมันยิ่งรุนแรง ร้ายกาจ แลอาจย้อนมาทำร้ายตัวเจ้าเองด้วย”


“ข้าให้สัตย์สาบานจ้ะ” พิรัลตั้งสัตย์ด้วยความแน่วแน่ ด้วยเพราะพิรัลนลินเองต้องการเพียงเรียนรู้มัน เพื่อปกป้องตัวเองและใช้เอาคืนพวกคิดไม่ดีบ้างเพียงเล็กๆ น้อยๆ ไม่เคยคิดถึงขั้นประหัตประหารผู้ใดดั่งปากว่าด้วยสัตย์จริง


“เช่นนั้นพี่จักยอมปิดหูปิดตาไว้ เช่นนี้มิได้หมายความถึงสนับสนุนเจ้า แลหากวันใดเจ้าผิดต่อคำสัตย์ที่ให้ไว้ พี่จักเป็นผู้ลากเจ้ามาลงทัณฑ์ด้วยตัวเอง”


“จ้ะ ข้าขอเพียงพี่อาคิราเข้าใจข้าก็เพียงพอแล้ว”


“อีกประการ เจ้าจงเก็บไว้เป็นความลับ นอกจากสิ่งนี้ผิดกฎร้ายแรงแล้ว เจ้าจักถูกรังเกียจแลหวั่นระแวงต่อผู้ที่ล่วงรู้ด้วย มีคมจงเก็บไว้ในฝัก”


“จ้ะ”


“แลสุดท้ายการกระทำครานี้ย่อมเป็นความผิด ข้าจักสอนเจ้าถึงกฎของหมอยาให้ขึ้นใจ จากนั้นเจ้าจงฝึกคัดจนครบหนึ่งร้อยจบ เป็นการสำนึกผิด”


“จ้ะ” อาคิราไม่เว้นช่วงให้เจ้าพิรัลได้พักหายใจหายคอ ศิษย์ผู้พี่หยิบม้วนหนังบนหิ้งสูงลงมาคลี่ออก เพื่อสอนศิษย์ผู้น้องของตนอ่านตามจนขึ้นใจ เพื่อที่ผู้กระทำผิดจะได้ใช้คัดเพื่อเป็นการสำนึกผิดต่อไป


“พี่อาคิราจักอยู่เฝ้าข้าหรือจ๊ะ”


“มิใช่ดอก พี่ดูแลเจ้ามิดี เช่นนี้เท่ากับรู้เห็นเป็นใจด้วย พี่ย่อมมีความผิดเช่นกัน” ว่าพลางลงจรดตัวอักษรลงบนใบลานบนตั่งเขียนไปพลาง ด้วยลายมืออันบรรจงหนักแน่นเช่นนิสัยส่วนตน


“ข้าขอสมา ข้า ข้าเสียใจ”


“คำสอนของอาจารย์ ว่าเพลาจักทำการสิ่งใดจงคิดให้ดีแลถี่ถ้วนถึงผู้ที่แวดล้อมดังโยนกรวดลงน้ำนั้น เพลานี้เจ้าเข้าใจท่องแท้ดีฤๅไม่เล่า”


“จ้ะ มิว่าเรื่องเล็กน้อยเพียงใดย่อมควรใคร่ให้รอบคอบเสมอ”


สองพี่น้องนั่งคัดกันจวบจนรุ่งสาง พิรัลน้อยหลับไปแล้ว อาคิราเก็บรวบแผ่นลานที่ถูกคัดจนครบเข้าไว้ด้วยกันก่อนจาก ไม่รอให้น้องน้อยตื่นมาเห็นว่ากองลานของตนเองนั้นมีลายมือบรรจงของผู้สั่งลงโทษปะปนอยู่เกินครึ่ง




                    ตั้งแต่วันเกิดเรื่องพิรัลที่ตามติดอาคิราแจแล้ว ยิ่งติดหนึบมาขึ้นไปอีก เช่นเดียวกับอาคิราเองที่ยอมให้ผ่อนปรนให้พิรัลมากกว่าผู้ใด อีกทั้งใครมองมานั้นต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า อาคิราดูแลพิรัลได้อย่างอ่อนโยนยิ่งนัก ราวกับทั้งคู่เป็นพี่น้องคลานตามกันมา หากไม่ติดที่ผู้พี่มีผิวสีขาวราวน้ำนม และผู้น้องผิวนวลชมพูราวกลีบดอกบัวที่ทำให้รู้ว่าทั้งคู่นั้นเป็นสิงห์คนละชาติพันธุ์


บัดนี้พิรัลได้เข้ามาอยู่ในคูหาสรรพยาได้ครบขวบปี ทุรพลน้อยคอยช่วยหยิบจับตระเตรียมพืชสมุนไพรไม่เกี่ยงบ่น ซ้ำยังตั้งอกตั้งใจร่ำเรียนมากกว่าเดิม โดยเบื้องหลังของสิงห์น้อยมีสัตว์ตัวเล็กวิ่งตามคลอเคลียอยู่อีกทอดหนึ่ง เนื่องจากอาคิราให้พิรัลรับผิดชอบเลี้ยงดู โดยตั้งชื่อว่า ‘จันอิน’


“เหตุใดมันจึ่งชื่อจันอินเล่า” อาคิราเอ่ยถาม เมื่อทั้งคู่พากันนั่งพักหลังจากจัดการคัดเก็บสมุนไพรจนเรียบร้อยดีแล้ว


“ข้าเจอมันที่ใต้ต้นจันนี่จ๊ะ”


“แล้วมิเป็นลูกจัน หรือ จันโอเล่า”


“เจ้าจันอินมันเป็นตัวผู้ ชื่อลูกจัน ข้ากลัวโตไปมันจักอับอาย แลข้าชอบกินจันอินมากกว่านี่จ๊ะ เนื้อมันเยอะมาจันโอเป็นไหนๆ ”


“แล้วชื่อเจ้าเล่า พิรัล แปลได้ว่า งดงาม โปร่งบาง ดูท่าชื่อ เจ้ายุ่ง จักเข้าทีกว่านัก” ว่าพลางยกยิ้มหยอกเย้า จนผู้ถูกแกล้งยู่ปากตอบกลับอย่างขัดใจ


“ฮื่อ! ชื่อข้าเต็มๆ คือ พิรัลนลิน จ้ะ แม่บอกว่า ข้าคือ บัวดอกงาม ของพ่อแลแม่”


“แม่เจ้าชอบกินดอกบัวรึ”


“หาเป็นเช่นนั้นไม่ โถ่ พี่อาคิราไยชอบล้อข้านักเล่า สิงห์ในชุมข้าล้วนแต่มีความหมายถึงดอกบัวทั้งนั้นจ้ะ ทั้งแม่บุษบัน พ่อไกรรพ น้าปทุม พี่บัวสาย พี่กช” พิรัลยกนิ้วขึ้นนับขานชื่อ ครอบครัวที่รักในความทรงจำ แม้ความทรงจำนั้นกลับฝังแน่นไม่มีวันลืม แต่กาลเวลานั้นช่วยทำให้ความเจ็บปวดเบาบางลงไป จนพิรัลนลินสามารถกล่าวถึงบุคคลอันเป็นที่รักได้ โดยไม่ต้องเสียน้ำตาอีก


“เช่นนั้นดูเหมาะกับพวกเจ้าเทียว ผิวของเจ้าสีหวานราวกับกลีบบัว”


“แล้วนามของพี่เล่า แปลว่าอันใดจ๊ะ”


“อาคิรา แปลว่า ดวงอาทิตย์”


“โอโห” อากัปกิริยาตื่นเต้นเหลือเกิน ยามได้รู้ความหมายชื่อ ของพิรัลทำให้อาคิราอดที่จะยกมือขึ้นโยกศีรษะน้องน้อยด้วยความมันเขี้ยวไปมาไม่ได้


เพลานี้ไม่ใช่แค่พิรัลที่ติดอาคิรา ดูท่าแล้วอาคิรานั้นคงติดน้องไม่แพ้กัน...





“เจ้าอาคิรา เจ้าอาคิรา”


“มีอันใดรึ”


“ถ้ำบัณฑูรสีหะทางตอนใต้โดนบุกเพื่อฉุดคร่าทุรพลสิงห์อีกแล้ว ครานี้มีสิงห์บาดเจ็บสาหัสเยอะเอาการ ข้าจึงมาตามเจ้าไปช่วย นั่นเจ้าวิธูไปตามท่านอาจารย์มาแล้ว! ” พิรัลตัวสั่นเทาเมื่อได้ยิน ภาพแห่งฝันร้ายกลับมาอีกครา


“เจ้าจงไปช่วยทางนั้นเถิดอาคิรา ทางนี้ข้าจักดูแลต่อเอง” หลังจากทำการรักษาบัณฑูรสีหะจนฝ่ายนั้นปลอดภัยดีแล้ว จากวันนั้นข่าวคราวการบุกรุกฉุดคร่าทุรพลสิงห์มากขึ้นทุกครา จนเหล่าสีหะแห่งคูหาสรรพยา จำต้องแยกกันออกเดินทางไปยังชุมราชสีห์ต่างๆ เพื่อจะได้ช่วยรักษาสิงห์บาดเจ็บได้ทันท่วงที และอาคิราคือหนึ่งในนั้น จะผิดแผกจากหมอมฤคินทร์ตนอื่นตรงที่ อาคิราไม่เคยย่างก้าวกลับมายังถ้ำสรรพยาแห่งนี้อีกเลย...



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สิงหา...ถึงนักอ่าน

ผ่านมาแล้วสามบท เป็นอย่างไรกันบ้างคะ
ก่อนอื่นขอขอบคุณทุกความคิดเห็นที่ให้กำลังใจ และ

คุณ Kamidere ที่ติงเรื่องคำผิดนะคะ จากนี้จะพยายามรอบคอบให้มากขึ้นค่ะ
และ
คุณ sirin_chadada ที่แนะนำเรื่องการอัปเดตหัวเรื่องนะคะ

หากมีข้อผิดพลาด พบเจอคำผิด หรือมีคำแนะนำประการใด
ผู้เขียนน้อมรับฟังนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ

แล้วพบกันใหม่ตอนต่อไปในคืนวันเสาร์หน้านะคะ
  :pig4:





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-08-2019 21:21:41 โดย สิงหา »

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
สนุกมากจ้า ยังรออ่านเหมือนเดิม

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ สิงหา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ ๔

แปรเปลี่ยน





                    เวลาพ้นผ่านจากวันเป็นเดือน เคลื่อนคล้อยครบปี จวบจนถึงบัดนี้เป็นเวลากว่าหกปีแล้วที่พิรัลนลินอยู่ในความดูแลของราชสีห์อัตรคุปต์ เจ้าลูกสิงห์น้อยจอมซนเมื่อกาลก่อนเติบโตงดงามดั่งดอกบัวพร้อมบานสะพรั่ง ผลัดเปลี่ยนจากการนุ่งโจงกระเบนเป็นการนุ่งผ้าปล่อยชายตามแบบจารีตของสิงห์อันเป็นสัญลักษณ์แห่งการก้าวพ้นวัยเด็ก ผมยาวดำขลับเคยถูกมวยเป็นจุกไว้กลางกระหม่อม ถูกปล่อยยาวสยายจนถึงบั้นเอวเล็กบาง คลอเคลียชายผ้าคล้องไหล่เช่นเดียวกับสิงห์วัยผู้ใหญ่ชั้นทุรพลทั้งหลาย เพื่ออำพรางร่างกายมิให้ยั่วเย้าเกินงาม ทั้งกิริยาอาการนั้นเปลี่ยนเป็นสงบเงียบด้วยวัยวุฒิที่มีมากขึ้น เช่นเดียวกับวิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียน กาลเวลาเปลี่ยนแปลงทุกสรรพสิ่งล้วนผกผัน แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปคือ พิรัลนลินยังคงเฝ้ารอคอยการกลับมาของพี่อาคิรา


ตั้งแต่วันที่อาคิราก้าวเท้าออกจากคูหาสรรพยา เจ้าลูกสิงห์ตัวน้อยจะคอยวิ่งมาชะเง้อหาพี่อาคิราของตนที่หน้าปากทางเข้าถ้ำทุกเมื่อเชื่อวัน ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระทั่งเป็นความเคยชิน...เคยชินกับการรอคอยด้วยความหวัง เมื่ออาคิรายังส่งผ้านุ่งผืนงามฝากฝังเพื่อนพ้องศิษย์ร่วมอาจารย์กลับมาให้พิรัลนลินทุกปีไม่มีขาด...ทว่าตัวผู้ให้นั้นพิรัลนลินไม่เห็นแม้เงา


“พิรัล เจ้านี่ยิ่งโตยิ่งงามนัก หากข้าเป็นอุตมางค์หนุ่มคงรีบเข้าอิงแอบแนบชิดเจ้าอยู่ดอก ผุดผาดเช่นนี้มิใช่ว่าใกล้ถึงเพลานั้นแล้วกระมัง” ผู้พูดละมือจากสมุนไพรในกระจาด เพื่อจับจ้องคนงามที่กำลังง่วนอยู่กับการคัดเครื่องยาเบื้องหน้าให้เต็มตา อินทุเติบโตมาพร้อมๆ กับพิรัลนลิน จนเจ้าตัวเห็นการเติบโตของสิงห์น้อยในทุกช่วงไว ในเวลานี้ลูกสิงห์ตัวแสบ เติบโตเข้าสู่วัยแรกแย้ม ผิวแดงเรื่อราวกลีบบัวหลวงผิดแผกจากเผ่าพันธุ์ ที่มักมีผิวกายสีชาดจัดจ้าน มิได้นวลลออตาเช่นนี้ เรือนร่างนั้นช่างโปร่งบางสะโอดสะอง เข้ากับใบหน้ารูปไข่อันประดับไปด้วยเครื่องหน้าพริ้มเพรา แม้ข้างกายจะมีกีหมีตัวโตเต็มวัยค่อยประกบข้างกายไม่ห่างทั้งยังแสดงท่าทีหวงแหนเจ้าของรูปงาม ใครเหล่าสิงห์ใจเล็กนึกขยาดที่จักเข้าหาอยู่บ้าง ทว่าเพียงยังไม่ถึงช่วงเข้าฤดูเจ้าพิรัลยังยวนตายวนใจถึงเพียงนี้

หากถึง ‘คราวนั้น’ ทุรพลเบื้องหน้าจักเป็นที่แย่งชิงของอุตมางค์ถึงเพียงใดหนอ...


คำชื่นชมที่ได้รับนั้นไม่ได้ทำให้พิรัลรู้สึกยินดีแม้แต่น้อย กลับกันเมื่อติณสิงห์พลัดถิ่นยิ่งมาได้ฟังความเช่นนี้ ความรู้สึกภายในอกกลับยิ่งเหี่ยวแห้งลงราวดอกไม้ขาดน้ำ


“แล้วของพี่เล่า ดีฤๅไม่” พิรัลเบี่ยงความ มาเป็นฝ่ายตั้งคำถามบ้าง นัยน์ตากลมมองเลยไปยังลำคอเล็กระหงไร้ซึ่งเครื่องปิดบัง เผยให้เห็นรอยวงเขี้ยว พันธสัญญาแห่งการมีคู่ครองประดับอยู่


“แรกเริ่มมิดีดอกเจ้า ข้ายังมิทันได้มีโอกาส สวมสร้อยแพบนคอด้วยซ้ำ รู้ตัวอีกคราโดนมันบุกขึ้นมาปลุกปล้ำข้าเสียแล้ว”


“ข้าขอสมาเถิด พี่อินทุ ข้าคิดน้อยมิได้มีเจตนา...” พิรัลไถ่ถามเพียงเพราะเห็นร่องรอยของการมีคู่ครอง ไหนเลยจะคิดว่าเหตุการณ์ที่ทำให้ทุรพลผู้นี้มีคู่ครองนั้นไม่ได้สวยงามหวานซึ้ง ทำให้ผู้ถามรู้สึกผิดขึ้นมาครามครัน


“มิต้องมาขอสมาข้าดอก ข้ามิถือโทษโกรธเคือง หากข้องใจสิ่งใดจงถามเถิด”


“เอ่อ ข้า ข้าเพียงอยากรู้ มันเจ็บมากฤๅไม่จ๊ะ” ตาคู่กลมจับจ้องไปยังรอยเขี้ยวบนหลังคอ อดรู้สึกหวาดหวั่นไม่ได้


“เจ็บ หากแต่เพลานั้น ข้ามิอาจบอกได้ว่าส่วนไหนในร่างกายมันเจ็บมากกว่ากัน เจ้าสิงห์กลัดมันตนนั้น...” มือเรียวยกขึ้นแตะแต้มลงบนแผลเป็นของตัวเอง ตาเรียวรีเหม่อมองออกไปแสนไกล คล้ายพาตัวเองจมจ่อมในเหตุการณ์เมื่อครั้งอดีต


“ทว่าข้าคิดว่า ข้าโชคดีหนา เจ้าสิงห์คลั่งนั่นแม้กิริยาแข็งกระด้าง นอกจากคราแรกที่ย่ำยีข้าแล้ว มันมิได้ทำข้าเจ็บช้ำน้ำใจเรื่องใดอีก” ทุรพลหนุ่มคลี่ยิ้มบางเบา เมื่อนึกถึงผู้เป็นสามีแสนกระด้างของตน เมื่อตนมีโอกาสพบพานชะตากรรมของทุรพลตนอื่นที่เจ็บช้ำยิ่งกว่า แม้แต่สถานะของ’ เมีย’ ยังไม่ถูกยกย่อง


“สิงห์วรรณะเช่นเราจักมีสักกี่ตนโชคดีได้เลือกคนที่รัก ข้าพอรู้มาบ้างดอก พวกเราบางตนมิสามารถบอกกล่าวได้เต็มปากเสียด้วยซ้ำว่าเป็นเมีย จักเห็นแต่เพียง...” ทุรพลหนุ่มละคำท้ายไว้ ก่อนหันมาส่งยิ้มเศร้า


‘ผู้ผลิตลูก’ พิรัลนลินและทุรพลสิงห์ทุกตน ล้วนเคยได้ยินคำเรียกขานเช่นนี้และเช่นเดียวกัน หามี ทุรพลสิงห์ ตนใดอยากเอ่ยมันออกมาให้ตอกย้ำซ้ำเติมตัวเองไม่


“องค์อินทร์ท่านทรงเมตตาต่อข้าอยู่บ้าง จึ่งถีบส่งข้าให้แก่ วสี แม้จักมิได้เกิดจากรักในเพลาแรก ทว่าเพลานี้ข้า ข้ารู้สึกรักแลมีความสุขดี ข้าจักช่วยเจ้าภาวนา ให้เจ้าโชคดีในรักเช่นกันเจ้าพิรัล” สองมือของทุรพลรุ่นพี่กอบกุมมือเรียวของผู้มีอายุน้อยกว่า ส่งมอบความปรารถนาดีให้แก่กัน สำหรับทุรพลนั้น โชคดีที่สุดในชีวิตคือการมีคู่ที่ดี ทุรพลสีหะ ล้วนมีความปรารถนาได้เพียงเท่านี้


“ข้าต้องตามวสีไปต่างถิ่น อีกนานเท่าใดจักได้พบกัน นอกจากคำอวยพร ข้าขอเตือนเจ้าสักประการเถิด”


“เรื่องอันใดเล่าจ๊ะ”


“ไอ้คีรีปะไรเล่า แต่เล็กแต่น้อยเจ้าแลมันวิวาทกันมิเว้นวัน มันกลับมาครานี้สายตาที่มองเจ้ามิน่าวางใจ”


“ข้ามิยอมวิวาทกับมันเช่นเดิมดอกพี่ ข้าพอจักรู้จักอดทนอดกลั้นแล้วจ้ะ”


“หาใช่สายตาชวนวิวาทดอกที่ข้ากังวล” เมื่อเห็นพิรัลยิ้มขันในความวิตกกังวลของตน ราวกับไม่รู้ความอินทุยิ่งกังวล ทุรพลที่ผ่านการมีคู่แล้วอย่างตนทำไมจะไม่เข้าใจสายตาที่คีรีลอบมองพิรัล หากเป็นอาคิราต่อให้ผิดฝาผิดครรลอง อินทุคงไม่หวั่นกลัวเช่นนี้ เขาไม่อยากให้น้องน้อยที่โตมาด้วยกันต้องตกนรกทั้งเป็น


“พี่หมายถึง...พี่ คีรีมันเป็นสามัญสิงห์นะจ๊ะ”


“ไยเดียงสานักเล่า จิตใจยามมีราคะวรรณะใดจักขวางกั้นได้...เชื่อข้าสักคราหนาพิรัล อยู่ห่างจากไอ้คีรีไว้” มือของอินทุบีบมือของน้องแน่น นัยน์ตามีเพียงความกังวลหวาดกลัวที่ส่งมา ทำให้พิรัลรู้สึกขนลุกไปทั้งกาย


“ข้าเข้าใจแล้วจ้ะ ขอบน้ำใจพี่มากนะจ๊ะ ข้าจักมิพาตัวเข้าไปเฉียดใกล้มันเด็ดขาด”


“เอ็งรับปากได้ข้าค่อยเบาใจ ดูแลเนื้อตัวให้ดี เช่นนั้นข้าไปละ” อินทุรั้งตัวพิรัลเข้ามากอดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตัดใจลาจาก


แม้อินทุจะผละออกไปแล้ว ตามเสียงเรียกของผู้เป็นสามี แต่พิรัลนลินยังคงปล่อยทอดอารมณ์และความคิด ความหวาดกลัวถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ให้ลอยฟุ้งออกไปในอากาศ หมายจะปล่อยไปกับสายลมเอื่อยที่คงจะหอบพัดมันออกไปไกลแสนไกล อยากจะหลุดพ้นจากวังวนเช่นนี้ของทุรพลเหลือเกิน แต่ให้มองไปทางใดพิรัลนลินนั้นไม่เห็นหนทางเอาเสียเลย


...เรื่องจิตใจวรรณะใดจักขวางกั้นได้...พิรัลนลินเห็นเป็นจริงดั่งว่า




“ท่านอัตรคุปต์ขอรับ! ท่านอัตรคุปต์!!” น้ำเสียงตะโกนลั่น ฟังดูร้อนรน พาให้เหล่าสิงห์ที่ประจำอยู่บริเวณเรือนยา จำต้องละมือจากการงาน ไปหาต้นเสียงยังปากทางเข้าถ้ำ


“มีสิ่งใดรึ ท่านอาจารย์เดินทางขึ้นเขาคันธมาทน์ มิทราบได้ว่าท่านจักกลับมาที่พำนักเมื่อใด”


“เช่นนั้นผู้ใดพอจักช่วยได้บ้าง พวกข้าโดนเล่นงานด้วยพิษบางอย่างอาการสาหัสนัก” ด้านหลังสิงห์วัยฉกรรจ์แปลกหน้า ติดตามด้วยเหล่าสิงห์บนเปลหามอีกสามตน น้ำเสียงและสีหน้าร้อนรนเป็นอย่างมาก


“คุณพระ นี่ถึงขนาดทำร้ายสิงห์ชั้นอุตมางค์ด้วยกันเลยรึ” หมอผู้เหลืออยู่ตนเดียวในถ้ำอัตรคุปต์เผลออุทาน ด้วยไม่คิดฝันว่าสิงห์ทุรยศกลุ่มนั้นจะเหิมเกริมขนาดนี้ ด้วยแม้ที่ผ่านมาจะเกิดการบุกยืด เพื่อชุดคร่าทุรพลอยู่เนืองๆ สิงห์ได้ได้รับบาดเจ็บโดยมาเกิดจากการเข้าปะทะกันเพียงเท่านั้น และไม่มีครั้งใดเลยที่พวกมันจะกล้าบุกชิงทุรพลจากชุมที่มีอุตมางค์ปกครองอยู่เช่นครานี้ มิหนำซ้ำยังเลวทรามถึงขั้นใช้วิธีลอบกัดสกปรก
...ดูทีเหตุการณ์จักยิ่งเลวร้าย แล้วผลสุดท้ายจักจบเช่นไร ต้องมีการบาดเจ็บล้มตายอีกสักเท่าใด ผู้เป็นหมอไม่อยากนึกตามให้ยิ่งเสียกำลังใจ


“มันใช้วิธีสกปรก ลอบกัดพวกเรา...”


“รีบพาเข้ามาในเรือนเสียก่อนเถิด” สิงห์ผู้มาใหม่ต่างเนื้อตัวสะบักสะบอมไปด้วยรอยบาดแผล ทั้งยังมีอาการพิษภายในทั่วหน้ามากน้อยต่างกัน รีบประคองตัว บ้างหิ้วปีก บ้างนอนบนแคร่ไม้มัดประสานกันอย่างลวกๆ เข้าเรือนผู้ไข้ตามหมอไป


เมื่อได้พินิจผู้บาดเจ็บแล้ว ผู้เป็นหมอให้รู้สึกเครียดขมึง ด้วยหลายปีที่ผ่านมา ลูกศิษย์ภายในถ้ำสรรพยา ต้องกระจายตัวกันไปช่วยรักษาผู้บาดเจ็บ โดยเฉพาะช่วงหลังมานี้ ทำให้เวลานี้เหลือตนเป็นหมออยู่เพียงตนเดียว เช่นนี้จักรักษาทั้งหมดได้เช่นไร


“ข้า ข้าพอช่วยได้ แม้มิเคยลงมือปฏิบัติ แต่ท่านอาจารย์ให้ข้าศึกษาตำราอยู่บ้าง พอลักจำหยิบจับได้ หากพวกท่านมิคิดรังเกียจ” พิรัลนลินที่อยู่เหตุการณ์ รู้ได้ถึงสภาวะวิกฤติที่เรือนไข้แห่งนี้กำลังเผชิญ ทุรพลน้อยจึงรีบขันอาสาออกมา แม้เสี่ยงจะโดนไล่อย่างที่เคยเจอก็ตาม


ผู้เป็นหมอ แลกลุ่มสิงห์มาใหม่นิ่งงัน มองพิรัลอย่างพิจารณา ด้วยเพราะสิงห์ผู้ขันอาสาเป็นเพียงทุรพล ที่ส่วนใหญ่จักคอยอยู่บ้านเฝ้าเรือน เลี้ยงลูกเท่านั้น จักไว้วางใจได้เชียวหรือ


“ข้าขอรับรอง ทุรพลตนนี้เป็นศิษย์ชั้นในของท่านอัตรคุปต์ ได้ประจำอยู่เพียงเรือนยา ความรู้นั้นมิถือว่าด้อยแม้แต่น้อย” สิงห์หนุ่มผู้ทำหน้าที่หมอยา กล่าวสำทับช่วยพิรัล แม้เขาไม่สนับสนุนทุรพลนัก แต่ในเพลานี้ชีวิตของผู้บาดเจ็บนั้นสำคัญกว่าสิ่งใด สุดท้ายแล้วเป็นผู้ป่วยเองเท่านั้นที่จะเห็นแก่ชีวิต หรือ วรรณะฐานันดรมากกว่ากัน


“หากช่วยได้ข้าหาได้สนวรรณะไม่ จักเจ็บจักตายไยเลือกหมอได้เล่า ข้าขอร้อง เจ้าช่วยพวกข้าด้วยเถิดสิงห์น้อย” ในความเงียบงัน กลับกลายเป็นหัวหน้าในกลุ่มผู้บาดเจ็บ ที่เอ่ยขอร้องออกมาก่อนใคร ทำให้ทั้งพิรัลและหมอหนุ่มยิ้มออกมาอย่างโล่งอก


“เราคงเหนื่อยกันมิน้อยหนา” ผู้ที่ต้องเป็นหมอหลัก และจำต้องทำงานร่วมกันในครานี้ หันกลับมาส่งยิ้มอ่อนล้าให้แก่สิงห์น้อยบางๆ ก่อนจะเริ่มพิจารณาบาดแผลของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหนักที่สุด


“จ้ะ”


“ดูจากบาดแผล ข้าเกรงว่าเราจักต้องถอนพิษสองทาง ทั้งพิษในกายแลพิษแผล อาการเป็นเช่นใดบ้างเล่า” บอกกล่าวกับทุรพลน้อย แล้วหันกลับมาถามไถ่อาการจากผู้ป่วย


“จะรู้สึกแสบร้อนในปาก แลคอ รู้สึกราวกับถูกเข็มนับพันนับหมื่นทิ่มแทงมิปาน”


“นอกจากนั้นข้ารู้สึกกระหายน้ำ หายใจไม่ติดขัดนัก ทั้งคลื่นเหียน แลปั่นป่วนในท้องเหลือเกิน” บัณฑูรสีหะหนุ่ม ค่อยๆ ช่วยกันบอกอาการด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น


“ประหลาดเหลือ” ยิ่งฟังอาการคิ้วของผู้เป็นหมอยิ่งขมวดมุ่น เขาชำนาญเพียงการรักษาแผลฝีภายนอก เรื่องพิษภายในนั้นความสามารถยังน้อยเหลือเกิน


“อึก!” พลันสิงห์ตนหนึ่งเริ่มชักเกร็ง จนทั้งหมอและผู้บาดเจ็บตนอื่นต่างขวัญผวา เรื่องสืบความอาการต่อจึงถูกพักไป


“ข้า ข้าเกรงว่าโดนพิษจากต้นดาวดึงส์จ้ะ ถึงมิแน่ใจหากต้องเร่งแก้พิษโดย”


“ดาวดึงห์มิใช่เป็นคุณดอกรึ”


“มีส่วนคุณ แลโทษนั้นมีมหันต์เช่นจ้ะ”


“เช่นนั้นเจ้าจงเตรียม ‘น้ำรางจืด’ คอยป้อนผู้ที่ถูกพิษเสีย แผลภายนอกข้าจักจัดการเอง...เจ้าปรุงได้ฤๅไม่” ผู้เป็นหมอถามย้ำกับทุรพลอีกครั้ง แม้พอรู้ว่าสิงห์น้อยตนนี้เป็นศิษย์อาจารย์อัตรคุปต์เช่นกัน แต่เขาไม่เคยเห็นพิรัลนลินทำสิ่งใด นอกจากจัดเตรียมเครื่องยาเท่านั้น


“ท่านจงวางใจ ยาแก้พิษตำรับนี้ ข้าเคยศึกษาผ่านตา ตำราของอาจารย์นั้นมีอยู่ ข้าจักเปิดกำกับ มิให้ตกหล่นจ้ะ” พิรัลนลินรีบรับคำ แววตาของสิงห์น้อยส่งประกายความมุ่งมั่นตั้งใจ จนผู้มองยอมวางใจ


“ได้ฟังเช่นนี้ให้รู้สึกวางใจนัก ยาถอนยาพอกจักต้องทำเตรียมไว้มากสักหน่อย ต้องคอยเปลี่ยน เจ้าจงใช้น้ำจากคนโทบนหิ้งทางทิศตะวันออกนั้นหนา น้ำด้านในท่านอาจารย์นำมาจากสระอโนดาต แม้นมีมิมาก แต่ครานี้ข้าเกรงว่าเราจำต้องใช้” พิรัลรับคำอีกครา จดจำคำสั่งเสียไม่ให้ตกหล่น ออกมาขอแรงสิงห์ที่เหลือมาช่วยบดยาต้มน้ำ เปิดตำราที่อาจารย์ให้มา ทำการรักษาเหล่าสิงห์ที่บาดเจ็บจากพิษทั้งวันทั้งคืน จนเหงื่อโซมกาย โดยไม่ปริปากบ่น




การกระทำของทุรพลน้อยนั้นตกอยู่ในสายตาของผู้ป่วยตลอดเวลา จนผู้มองตามอดชื่นชมในใจไม่ได้ เมื่อกำลังเริ่มฟื้นคืน และสบโอกาสที่ติณมฤคินทร์น้อยเยื้องย่างเข้าใกล้ ผู้ป่วยหนุ่มจึงไม่ปล่อยโอกาสให้ผ่านเลย ออกปากทักทายสิงห์น้อยโดยทันที


“ข้ามีนามว่า กัญจน์ เจ้าเล่า”


“พิรัลจ้ะ” ชื่อช่างสมตัวนัก...


“ขอบพระคุณเจ้ามากหนา มิได้เจ้าแลท่านหมอ พวกข้ามิพ้นสู่ยมโลกเป็นแน่แท้”


“เป็นหน้าที่ของพวกเราจ้ะ ท่านอย่าได้ถือเป็นพระคุณเลยนะจ๊ะ” พิรัลตกใจจนตาเบิกโพลงด้วยไม่คิดฝันว่าจะได้รับคำขอบคุณจากอุตมางคสิงห์เช่นนี้ ก่อนจะส่ายหัว ตอบรับคำขอบคุณนั้นด้วยรอยยิ้มบาง แล้วผละจากไป


ปล่อยให้อุตมางค์หนุ่มมองตามร่างน้อยจนลับตา ภายในอกของราชสีห์หนุ่มเต้นแรงจนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นแนบประคองมันไว้ ก่อนที่ดวงหทัยเจ้ากรรมจะตะกุยตะกาย แทรกตัวออกมาโบยบินติดตามเจ้าผิวดอกบัวกลีบบางนั้นไป




เมื่อเสียงโอดครวญจากความปวดแปลบแสบร้อนของเหล่าบัณฑูรสิงห์สงบลง สิงห์พยาบาลผู้ทำงานหนักมาถึงสามราตรีนั้นก็หมดเรี่ยวแรงเช่นกัน พิรัลนลินไหลตัวลงนั่งบนพื้นเรือนชานพิงแผ่นหลังเข้ากับรั้วไม้ ปล่อยให้สายลมช่วยพัดระเหยเหงื่อที่ไหลท่วมกาย เพื่อคลายความเหนื่อยล้าลงบ้าง ...


พิรัลนลินเหม่อมองเหล่าสิงห์แปลกหน้าที่ตนช่วยรักษาเองกับมือ กำลังเข้าสู่ห้วงนิทราหลุดพ้นจากอาการทุรนทุรายด้วยความเต็มตื้นในใจ...


ที่ผ่านมาพิรัลมักถูกไล่ตะเพิดจากตัวผู้ป่วยหรือญาติที่ติดตามมาด้วยอยู่เป็นนิจ ด้วยเพราะเป็นทุรพล


‘ท่านหมอ ได้โปรดเถิดข้าขอรอรับการรักษาจากท่านมิได้ฤๅ เพลานี้ข้ามิได้รู้สึกเจ็บปวดเท่าใด ข้าขอรอท่านดีกว่า เอ่อ...’


หรือด้วยอารมณ์โกรธแค้นจากความสูญเสียที่ได้รับ ทุรพล เช่นพิรัลจึงเป็นเป้าของความเกลียดชัง


‘ไอ้ทุรพลอย่าได้เข้ามาใกล้ลูกกู พวกมึงมันตัวจัญไร ฮึก เพราะพวกมึง บ้านกูลูกกูคงหาได้ฉิบหายเยี่ยงนี้!’


การได้ช่วยชีวิตราชสีห์กลุ่มนี้ได้ จึงเสมือนได้ช่วยกอบกู้สภาพจิตใจและความหวังของพิรัลเองด้วย อยากดื่มด่ำกับความภูมิใจนี้อีกสักหน่อย...แต่เพลานี้ช่างเหนื่อยเหลือเกิน ขนาดเปลือกตาที่สามารถกะพริบได้เองโดยไม่ต้องใช้แรง ยังให้ความรู้สึกหนักอึ้งเสียจนไม่อาจบังคับให้เปิดขึ้นมา


...หากพี่อาคิรากลับมา เห็นว่าข้าทำตนมีประโยชน์เพียงนี้ พี่จักยินดีกับข้าบ้างไหมหนา...




ในความฝันพิรัลนลินคล้ายแว่วเสียงดีดพิณดังตามมาด้วยเสียงทุ้มนุ่มขับขานสอดคล้องคลอผสานกันอย่างไพเราะ จากที่ห่างไกลจนไม่สามารถจับทิศทางได้ กระทั่งรู้สึกคล้ายดังแว่วจนคล้ายใกล้อยู่ข้างหู อาจเพราะได้พักมาจนถึงเวลาสมควร เปลือกตาที่เคยหนักกลับมาเบาลงอีกครั้ง ความเหนื่อยล้าจากการโหมร่างกายมลายหายไปเมื่อได้งีบหลับ เจ้าสิงห์น้อยค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาเพื่อดูความเป็นไปอันแปลกประหลาด เสียงขับกล่อมที่คิดไปว่าเป็นภาพฝัน กลับดังแว่วอยู่เบื้องหน้า


“เพียงพิศพักตร์ งามนัก จับอุรา

ปทุมมา กลีบนวล ชวนใหลหลง

ผมสยาย ปลายยาว ราวอนงค์

ระเรื่อยองค์ ตรงพลิ้ว ปลิวพระพาย

นัยน์ตากลม คมประกาย คล้ายแก้ว

ระยับแพร้ว แวววับ จับแสงฉาย

เพียงเผลอพบ สบตรง คงมิวาย

จิตมลาย กายระส่ำ พร่ำรำพัน”


ใบหน้าคมคาย พาเสียงขับร้องเข้ามาใกล้มฤคินทร์ตัวน้อยที่ยังคงตกอยู่ในห้วงแห่งความฉงน จนใบหน้าแทบแนบชิด นิ้วมือเรียวยาวละจากสายพิณแก้วช้อนเชยดวงหน้ามนขึ้นพินิศ ด้วยรอยยิ้มขี้เล่น ทำให้พิรัลนลินหน้าแดงวูบ ด้วยตั้งแต่เกิดมาเจ้าสิงห์น้อยไม่เคยประสบเหตุการณ์คล้ายถูกเกี้ยวพาอย่างอ่อนหวานเช่นนี้มาก่อน


“สำรวมเถิดท่านเขมอารัณย์ อย่าได้ทำรุ่มร่ามนัก” ก่อนพิรัลจะกระเจิดกระเจิงไปมากกว่าที่เป็น น้ำเสียงเรียบนิ่งของผู้หนึ่งได้ดังขึ้นขัดเสียก่อน


“เหวยๆ กิริยาเช่นนี้ ลองพินิจดูทีเถิดท่านนิลปารัชญ์ ว่าเกิดแต่ความมิพอใจ ฤๅเพื่อเบี่ยงบ่ายเลี่ยงความ เหตุที่ข้ากล่าวมานั้นตรงใจดังว่าแทนความคิดตน” แทนที่จะสงบลงเมื่อถูกปราม ผู้ถูกเรียกขานว่า’ เขมอารัณย์ ‘กลับยิ่งยิ้มแย้ม หันไปหา ‘ลูกคู่’ ราวกับกำลังสนุกสนาน


“เลิกหยอกล้อต่อความเสียทีท่าน” สิงห์หนุ่มเจ้าของผิวสีเข้มดั่งผลมะเกลือ ผู้ถูกลากเข้ามาเป็น ‘ลูกคู่’ ในการหยอกล้อ ไม่คล้อยตามบุรุษขี้เล่นไปด้วย เขมอารัณย์จึงยอมเลิกราขยับกายออกห่างจากทุรพลน้อยแต่โดยดี


“ข้ามีนามว่า นิลปารัชญ์ พวกข้า เป็นสหายแห่งอาคิรา ยินดีเหลือเกินที่ได้พบเจ้า...พิรัล” บรรยากาศรอบกายของผู้กล่าวแนะนำตัว ทำให้สิงห์น้อยรู้ด้วยสัญชาตญาณว่าสิงห์หนุ่มตนนี้เป็นมฤเคนทร์ชั้นอุตมางค์ ท่าทางสง่างาม ผมยาวด้านข้างศีรษะถูกถักเก็บอย่างงดงามปล่อยชายผมตกละกลางหลัง เผยเครื่องหน้านั้นงดงามคมเข้มสมวรรณะของตน


ทว่าสิ่งที่โดดเด่นนอกจากผิวกายแล้วกลับเป็นนัยน์ตาคู่คมของสิงห์ผู้นี้ มันฉายแววลึกล้ำพราวพร่างราวนิลมณี เผลอสบเพียงเสี้ยวลมหายใจ ทุรพลน้อยรู้สึกราวกับตนเองถูกดูดกลืนลงไปในห้วงมหรรณพสุดหยั่ง สรรพางค์กายคร้ามครั่นราวกับตัวตนถูกเปิดเปลือยต่อสิงห์หนุ่มเบื้องหน้าจนหมดสิ้น


“กะ กาฬสิงหะ”


“เป็นเช่นนั้น สิงห์น้อย” ร่างสูงใหญ่ยิ้มรับ ไม่ถือโทษกับดวงตากลมที่จ้องตนเขม็งด้วยความตื่นตะลึง


นิลปารัชญ์ชินชาเสียแล้ว ด้วยกาฬสิงห์เป็นเผ่าพันธุ์สิงห์ผู้มีญาณหยั่งรู้ เชี่ยวชาญโหราศาสตร์ และมีจำนวนไม่มากนัก อีกทั้งยังเป็นราชสีห์ถือมังสวิรัติเช่นเดียวกับติณสีหะจึงยิ่งเก็บตัว ผู้ใดพบเขาคราแรกล้วนอดไม่ได้ที่จะมองราชสีห์หนุ่มด้วยความใคร่รู้ เช่นเดียวกับที่เจ้าพิรัลนลินกำลังเป็นอยู่ ทุรพลน้อยอาจลอบมองด้วยความใคร่รู้เช่นนี้อยู่อีกเป็นพักใหญ่ ถ้านัยน์ตากลม ไม่ได้เผลอสบเข้ากับร่างสิงห์หนุ่มอีกตนด้านหลังเสียก่อน


“พี่...อา..คิรา” ร่างสูงชะลูดเมื่อคราก่อน แปลงทับด้วยรูปกายสูงใหญ่ล่ำสัน ผิวขาวราวเปลือกสังข์ตามชาติพันธุ์ยังคงเดิม สิ่งที่แปลกไปเห็นจะเป็นเครื่องหน้าที่ดูคมชัดงดงามมากขึ้นกว่าเก่าก่อน


“เติบโตขึ้นมากเลยหนา เจ้าพิรัล” อาคิราเอ่ยทักทั้งที่สายตาไม่เงยขึ้นมาสบมองกันเลยแม้กระพี้


“จะ จ้ะ” สิงห์ผู้น้องรับคำเสียงแผ่ว แม้แสนคิดถึงจนอยากกระโจนเข้าไปกอด หากท่วงท่าอันเงียบสงบกระเดียดไปทางเย็นชานั้น ได้หยุดตรึงร่างของพิรัลนลินให้ยังคงนิ่งงันอยู่กับที่ ริมฝีปากอยากเอ่ยถามความเป็นไปมากมาย ดูคล้ายเย็นเฉียบจนสามารถตอบกลับไปเพียงสั้นๆ เท่านั้น


...หกขวบปีที่ผ่านพ้นได้มลายสายสัมพันธ์ของข้าที่พี่มีไปหมดสิ้นแล้วฤๅ


“ส่วนข้า เขมอารัณย์ ข้าต้องใจเจ้านักสิงห์น้อย หากเมื่อใดที่อาคิราปล่อยปละเจ้าแล้วไซร้ ข้าเต็มใจเป็นอย่างยิ่งที่จักรับเจ้าสู้อ้อมอกหนา” ความเงียบงันถูกปัดเป่าด้วยบทเกี้ยวพาและรอยยิ้มเล่นสนุก ของบุรุษหนุ่มที่แทรกตัวเข้ามายึดพื้นที่ครรลองสายตาจากพิรัลนลินไว้อีกครา


ทุรพลน้อยตัดใจ หันกลับมาพินิจบุรุษหนุ่มเบื้องหน้าอย่างเต็มตาอีกครั้ง ใบหน้าหล่อเหล่าประดับด้วยรอยยิ้มพราวประดับด้วยลักยิ้มทั้งสองข้างแก้ม ทั้งดวงตายังเป็นประกายราวกับกำลังหยอกล้อผู้ที่สนทนาด้วยตลอดเวลา ทั้งยังเครื่องแต่งกายอันประณีตงดงาม เส้นผมยาวสยายประบ่าถูกมวยไว้ครึ่งหนึ่งครอบทับด้วยเกี้ยว แตกต่างจากเหล่าจตุราชสีที่ไม่นิยมเครื่องประดับประดับผมนัก นอกจากการถักเก็บผม หรือรวบมวยให้พ้นรำคาญในบางตนเท่านั้น พินิจเช่นไรล้วนไม่พ้นไปจาก ‘บุรุษเจ้าสำราญ’ ซ้ำกลิ่นกายที่โชยลมอบอวลรอบๆ หากพิรัลจำไม่ผิด มันคือกลิ่นของน้ำจันทร์ ในมือผู้ตั้งคำถามยังคงถือ พิณ ไว้มั่น ราวกับเจ้าตัวพร้อมที่จะพรมปลายนิ้วเรียว เพื่อสร้างเสียงเพลงขับกล่อมได้ตลอดเวลา


...ลักษณะเช่นนี้ เคยได้ยินได้ฟังมาบ้าง ท่านเขมอารัณย์ คงไม่พ้น เทพคนธรรพ์ เป็นแน่


“มิได้พบกันเสียนานหนาท่านอาคิรา ท่านนิลปารัชญ์ ท่านเขมอารัณย์” การสนทนาที่ประกอบด้วยเหล่าผู้คุ้นเคย ทำให้กัญจน์ราชสีห์ ที่ร่างกายฟื้นฟูได้หลายส่วน พาตัวเองเข้าสู้วงสนทนาด้วย


“ท่านกัญจน์ พอลุกได้แล้วฤๅท่าน”


“ดีขึ้นมากเทียว โชคดีนักที่ได้ท่านหมอแลเจ้าพิรัลช่วยไว้ หากไม่พบทั้งคู่แล้ว ข้าคงหมดบุญเสียเป็นแน่” อุตมางค์หนุ่มเอ่ยตอบเขมอารัณย์ ส่วนครรลองสายตานั้นกลับจับวางไว้ที่ทุรพลน้อย จนฝ่ายถูกมองต้องก้มหน้าหลบสายตาไป


“เห็นว่าท่านอัตรคุปต์กลับมาถึงแล้ว ท่านพร้อมจักขึ้นเรือนเพื่อหารือกับพวกข้าฤๅไม่เล่า”


“ตามนั้นย่อมดี ข้ายอมรับว่าเพลานี้ข้าร้อนใจยิ่งนัก” ราชสีหนุ่มพยักหน้ารับคำเชิญจากอาคิรา ก่อนที่ทั้งหมดจะพากันมุ่งหน้าสู่เรือนใหญ่ ทิ้งไว้เพียงทุรพลน้อยที่ยืนนิ่งทอดสายตาตามแผ่นหลังศิษย์ผู้พี่ไปจนลับตา




ยามตะวันคาบแก้วฉายแสงแดงส่งท้ายวัน พิรัลนลินกลับเข้าเรือนยาอีกครา สิงห์น้อยจัดแจงต้มยาบำรุงให้แก่เหล่าบัณฑูรสิงห์เพื่อช่วยการฟื้นฟูร่างกาย กระทั่งเงยหน้าขึ้นจากสำรับยา จึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าใครกำลังก้าวเข้ามา


“พี่อาคิรา”


ฝ่ายผู้พี่ชะงักไปเช่นกัน ด้วยคิดว่าน้องน้อยคงเหนื่อยล้าจากการหามรุ่งหามค่ำเฝ้ารักษาพยาบาลจนอาจลืมลุกขึ้นมาต้มยา ตนจึงเข้ามาทำแทน สิงห์หนุ่มไม่คิดว่าจะได้เจอพิรัลนลินในที่รโหฐานเช่นนี้ สิงห์ทั้งสองตนต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบ ความรู้สึกอึดอัดปกคลุมบรรยากาศรอบกายของคู่โดยฉับพลัน


“ข้าเห็นว่าได้เพลายาแล้วจึงเข้ามาดู หม้อนี้ฤๅไม่” ท้ายที่สุด อาคิราจึงชี้ไปยังหม้อยา เป็นเชิงว่าจะยกออกไปเอง


“จ้ะ เพียงรอสักประเดี๋ยว พี่อาคิรา!” พิรัลที่ยังคงทำตัวไม่ถูกพยักหน้ารับ ก่อนจะออกเสียงเตือนเมื่อนึกได้ว่าตนเพิ่งดับไฟไปเมื่อครู่ความร้อนของหม้อยาจึงมีมาก


“ขะ ขอสมาจ้ะ พี่อา...” ทว่าไม่ทันการณ์เมื่อผู้เป็นพี่ก้มจับหูหม้อยาไปแล้ว ความร้อนของหมอทำให้อาคิรารีบชักมือกลับ โดยมีพิรัลที่ทั้งเป็นห่วงทั้งตกใจรีบพุ่งตัวมาคว้ามือใหญ่ไว้ ในขณะที่มือเล็กคว้าจับมือใหญ่กลับสะบัดทิ้งราวกับถูกของแสลง จนผู้เป็นห่วงหน้าเสีย


“ข้านำหม้อยาไปล่ะ เจ้าพักผ่อนเสีย ที่เหลือข้าจักการให้” อาคิราส่ายหน้า สิงห์หนุ่มเบือนหน้าหนี้ ผละไปใช้ผ้าลองมือแล้วยกหม้อยาจากไปอย่างรวดเร็วไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมา


ตั้งแต่พี่อาคิรากลับมา ทั้งท่าทีที่แสดง ทั้งคำแทนตัวที่เปลี่ยนไป พิรัลนลินอดคิดไม่ได้ว่าพี่อาคิรานึก ‘รังเกียจ’ น้องน้อยตนนี้เสียแล้ว รังเกียจ เหมือนกับสิงห์ตนอื่นๆ ที่ผ่านการสูญเสียรู้สึก


มือเรียวที่ถูกสะบัดทิ้งยกลูบลงบนผืนผ้านุ่งของตัวเองแผ่วเบา...ผ้านุ่งนั้นยังคงมีสัมผัสอ่อนโยนแลให้ความอบอุ่นเสมอ หากแต่ผู้ฝากให้นั้นเล่า เหตุใดจึงเย็นชาห่างเหินเช่นนี้...





+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


สิงหา...ถึงนักอ่าน

ขอขอบคุณทุกๆ คอมเมนท์นะคะ

หากมีคำผิด หรือจุดที่อยากแนะนำ นักอ่านสะกิดเตือนได้เลยนะคะ

ผู้เขียนน้อมรับฟังนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ

ตอนต่อไปจะลงใน
คืนวันอาทิตย์(คืนพรุ่งนี้)นะคะ






ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ สิงหา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่๕

ขืนใจ








                    บรรดาสิงห์หนุ่มทั้งสามและคนธรรพ์ก้าวขึ้นเรือนใหญ่ มุ่งตรงสู่หอตำราเพื่อนแสดงตัวต่อเจ้าของเรือน และทำการหารือถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความร้อนใจ...ยิ่งนับวัน อีกฝ่ายยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที


“เชิญตามสบายเถิด อาการเป็นเยี่ยงไรบ้างเล่าท่านกัญจน์” สิงห์ชราที่ยืนคอยท่าอยู่ก่อนแล้วออกปากถามไถ่อาการ ราชสีห์หนุ่มทันทีเมื่อได้พบพาน


อัตรคุปต์นั้นผ่านเรื่องราวมามากมาย ความมาดหมายที่เหลือจึงมุ่งไปที่การภาวนาเข้าฌานทำสมาธิ หากเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นกับอุตรมางค์หนุ่มนั้นมากเกินกว่าที่ราชสีห์ชั้นผู้ใหญ่เช่นเขาจักดูดาย ราชสีห์เฒ่าจึงออกจากญาณตรงกลับมายังที่พำนักของตนโดยไว


“ดีขึ้นแล้วขอรับ รอดตายมาได้เพราะสิงห์ในความดูแลของท่านอัตรคุปต์โดยแท้” ผู้น้อยทั้งหลายยกมือประนมไหว้ราชสีห์เฒ่า แลตอบรับความห่วงใยด้วยความนอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง


“หากยังต้องพักฟื้นอีกสักสองทิวา พิษนั้นรุนแรงนัก นำว่าเคราะห์ดีที่ท่านโดนนั้นเห็นทีว่าจักเจือจางมามากแล้ว”


“พวกมันเหิมเกริมมากนัก อาจด้วยชุมของข้าช่วยเหลือทุรพลไว้หลายตน คงคุ้มที่จักเสี่ยง” เมื่อกล่าวถึงพิษที่ตนได้รับ กัญจน์ราชสีห์ถึงกับเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเจ็บแค้น


“หากถ้ำท่านกัญจน์ยังโดนรุกราน ข้าเกรงว่าถ้ำน้อยใหญ่คงได้อกสั่นขวัญแขวนเป็นแน่” อาคิรากล่าวต่อ นัยน์ตาคมดุฉายแวววิตกกังวล แม้น้ำเสียงทุ้มนุ่มราบเรียบ


“ข้าเห็นด้วยเช่นอาคิรา เราจำต้องเร่งมือ ขืนช้านานไป โศกนาฏกรรมคงยิ่งทวีความรุนแรง หายดีเมื่อใดข้าจักพาพวกพ้องไปสมทบในชุมพวกท่าน เพื่อเป็นกำลังอีกทาง” ราชสีห์กัญจน์เห็นด้วยกับอาคิราเต็มที่ ด้วยชุมของตนนั้นมีอุตมางค์เช่นตนคุ้มครองอีกฝั่งยังทำถึงขนาดนี้ หากเป็นชุมที่อยู่ด้วยตนเองเพียงสามัญสิงห์แลอุตมางค์เล่า จักถูกรังแกจนย่อยยับเพียงใด เพียงคิดภาพ อุตมางค์หนุ่มอยากเปลื้องผ้าพันแผลออกไปหักคอสิงห์ชั่วช้าพันธุ์นั้นให้ตายคอมือ


“คูหาสรรพยายินดีช่วยเหลือแลแบ่งปันที่พักพิงให้แก่หมู่มวลจตุราชสีห์ทุกผู้ทุกตน และพร้อมสนับสนุนเท่าที่คูหาแห่งนี้จักกระทำได้ ยกไว้เสียตรงที่ข้าหาลงไปช่วยพวกท่านได้ไม่ ถ้ำแห่งนี้ได้รับพรจากทวยเทพให้เป็นแดนอภัยทานได้ ต่อเมื่อข้ามิเอนเอียงแลยึดมั่นในเพียงอภัยทานเท่านั้น มิสามารถฝักใฝ่ในอคติใดได้ แม้ดีชั่ว ถูกผิด ข้าจักมอบให้พวกเจ้ามีเพียงคำอวยพร แลที่พักพิงยามไร้ที่พึ่งเท่านั้นหนา” อัตรคุปต์ทอดถอนใจ ภายในอกรู้สึกหนักอึ้ง ไฉนเลยจักวางเฉยได้หมดจด ทว่าการคงอยู่ของคูหาสรรพยานั้นสำคัญยิ่ง ราชสีห์ชราจึงทำได้เพียงเฝ้ามองดูและภาวนาให้เหล่าสิงห์หนุ่มคลี่คลายเหตุการณ์อันเลวร้ายเช่นนี้ได้ลุล่วงโดยราบรื่นเท่านั้น


“เท่านี้นับเป็นพระคุณแล้วขอรับ”






“ว่าอย่างไรเจ้าพิรัล มีสิ่งใดคาใจจงว่ามา” เมื่อบรรดาสิงห์หนุ่มต่างพากันแยกย้ายไปแล้ว ราชสีห์อัตรคุปต์จึงได้หันกลับไปเรียกลูกศิษย์คนเล็กที่นั่งแอบอยู่ที่มุมเสาเรือนใหญ่ ให้เข้ามาหาเสียที


“ท่านอาจารย์ฉุดคร่าทุรพลเพื่อเพิ่มจำนวน อุตมางค์ นั้นยุ่งยาก แลเสียกาล แลกำลังนักหนา เช่นนั้นพวกมันมิสู้ลงมือฆ่าเหล่า ทุรพลเสียให้สิ้นมิง่ายกว่าหรือจ๊ะ ในเมื่อหมดทุรพลเท่ากันหมด อุตมางค์ เช่นกัน” พิรัลนลินส่งยิ้มเขินอายเมื่อโดนผู้เป็นอาจารย์จับตัวได้ ทุรพลน้อยคลานเข่าเข้ามานั่งพับเพียบแต้ ไร้ความสำนึกจากใจ ซ้ำยังเอ่ยถามความสงสัยของตนออกไป จนผู้เป็นอาจารย์นึกทอดถอนหายใจ ศิษย์น้อยของอัตรคุปต์ตนนี้นิสัยใจคอผิดแผกจากทุรพลตนอื่นยิ่ง และด้วยอุปนิสัยเช่นนี้เองที่อัตรคุปต์รู้สึกเอ็นดูพิรัลนลินไม่น้อย หากอาคิราคือที่หนึ่ง พิรัลนลินนั้นหนี้ไม่พ้นที่สองเป็นแน่แท้


“เจ้าตรองดูเถิด หากฆ่าล้างทุรพลจนสิ้น เพื่อให้เหล่าอุตมางค์สิ้น เหลือเพียงตนเพียงหนึ่ง ได้จริงดังเจ้าว่าแล้วไซร้ เจ้าแน่ใจหรือว่าจักมิมีกลุ่มใดแอบซ่อนเก็บทุรพลไว้เพื่อให้กำเนิดอุตมางค์เสียเอง ความระแวงต่อกันนั้นมีมากนัก ใครเล่าจักยอมให้ชุมของตนอ่อนด้อยน้อยกว่า หรือเทียบเคียงชุมอื่น สู้เพิ่มอุตมางค์ในชุมตนให้มากกว่าชุมอื่นเห็นจักเป็นเรื่องง่ายเสียกว่า”


“จึงใช้วิธีฉุดคร่า ทรุพลของชุมอื่น เพื่อสร้างอุตมางค์ให้มากเข้าเสียเองหรือ...แม้ต้องฆ่าฟันสิงห์ไปนำมิถ้วนเช่นนี้หรือจ๊ะ...หากเป็นเช่นนี้อุตมางค์ที่ถือกำเนิดมาจักโตทันการหรือไร”


“เรื่องนี้นั้นความจริงแล้วเกิดขึ้นมานานนับทศวรรษแล้วหนา คาดว่าคงมีอุตมางค์รุ่นโตหลายตนเป็นแน่ พวกมันจึงได้เริ่มอุกอาจขึ้นทุกขณะเช่นนี้”


“อาจมิใช่คูหาเจ้าเป็นแห่งแรกที่ถูกโจมตี ด้วยเพราะพ่อแม่เจ้าระแวดระวังมากนัก มิยอมให้เจ้าออกไปเล่นซนนอกถ้ำ เห็นทีเป็นเพราะล่วงรู้สถานการณ์แล้ว”


“เป็นเช่นนั้นฤๅจ๊ะ” พิรัลนลินถามต่อเสียงค่อย นึกย้อนไปยามเยาว์วัยที่ตนมักทำเพียงเล่นซนเพียงในถ้ำ ไม่เคยได้ย่างเท้าออกมานอกถ้ำแม้เพียงก้าวเดียว ด้วยเหตุผลเช่นนี้หรือ ทั้งพ่อและแม่เฝ้าทะนุถนอมเขาเป็นอย่างดีถึงเพียงนี้ ผลสุดท้ายความเป็น ทุรพล ยังคงพาพ่อแม่พี่น้องตกตายอยู่ดี


“ถูกแล้ว พวกศิษย์พี่ของเจ้าไปถามความเอากับพวกชุมใกล้เคียง พอรู้ความเป็นมา ท่านไกรพนั้นถือเป็นสิงห์ร่วมเผ่าพันธุ์กัน พวกเขาจึงแวะเวียนหาสู่อยู่เป็นนิจ...ยามนั้นเจ้ายังเล็กนัก หลังรู้ข่าวว่าชุมเจ้าถูกบุกรุก พวกเขาช่วยกันออกติดตาม ทว่ามิทันการณ์ ภายในถ้ำถูกทิ้งร้างไปเสียแล้ว พบเพียงซากสามัญสิงห์สองตนจมกองเลือด แลสิงห์อุตมางค์วิปลาสตนหนึ่งเท่านั้น”


“อุตมางค์วิปลาสเป็นไปได้เยี่ยงไรจ๊ะ” พิรัลนลินยังจำได้ติดตา อุตงมางค์ผู้ที่เข้าบุกคูหาตนนั้น ทั้งหนุ่มแน่น มากด้วยแรงกำลัง ความโหดร้ายมากเพียงใด อุตมางค์ผิวเผือกตนนั้นวิปลาสไปแลจบชีวิตด้วยความอนาถถึงเพียงนั้นเชียวหรือ...


“หามีผู้ใดทราบได้ สิงห์ตนนั้นเพียงให้การว่า พอมันเห็นพวกเขาเข้าใกล้อาการคลั่งจึงสำแดงขึ้นมา วิ่งไล่กวดกันจนทะเล่อทะล่าตกเหวไป”


“พิกลนัก...ท่านอาจารย์จ๊ะ ข้าขอไปช่วยงานพี่อาคิราได้ฤๅไม่จ้ะ” อุตมางค์ตนนั้นเมื่อสิ้นชีพแล้ว ความแค้นเคืองต่อกันถือเป็นอันจบสิ้น พบพานกันเพียงชาติภพเดียวนับว่ามากเกินพอ แต่การฆ่าฟันเพื่อแย่งชิงทุรพลนั้นยังไม่จบสิ้น ซ้ำร้ายยังทวีความร้ายแรงมากขึ้น ผู้ที่ได้รับผลแห่งเรื่องราวนี้อย่างพิรัลมีหรือจักยอมนิ่งเฉยได้


“อันตรายนักเจ้า แลข้าเห็นว่ามิใช่การของทุรพลเช่นเจ้าจักจัดการได้” ได้ฟังคำวอนของศิษย์ ผู้เป็นอาจารย์กล่าวปัดตกโดยไม่ต้องคิดมากความ ด้วยความเป็นห่วงหาใช่กีดกันเพราะวรรณะ


“ถือเป็นการของข้าจ้ะ ท่านอาจารย์ พ่อแม่พี่น้องข้าถูกฆ่าล้างอย่างโหดเหี้ยม ข้ามิอยากให้ผู้หนึ่งผู้ใดต้องมาประสบพบเจอเหตุการณ์ร้ายเช่นข้าอีก ข้าสำนึกตัวดีว่าด้วยชาติกำเนิดแล้ว ข้ามิสามารถตีรันฟันแทงรบพุ่งกับใครเขา เกรงจักไปขัดแข้งขาเสียจนเสียการเท่านั้น หากแต่วิชาความรู้ที่ท่านเมตากรุณาสอนสั่งย่อมช่วยได้ ในระหว่างที่ฤดูของข้ายังมิมาถึง ขอให้ข้าได้สืบทอดความดีงามที่ท่านส่งต่อช่วยเหลือเหล่าสิงห์ผู้กล้าหาญเหล่านี้ด้วยเถิดนะจ๊ะ” พิรัลนลินก้มลงกราบแทบเท้าสิงห์ชรา หวังให้ผู้เป็นอาจารย์เห็นใจ


“เอาเถิด อาจารย์จักปรึกษากับพวกเขาเสียก่อน” อัตรคุปต์ทอดถอนหายใจ ใช้มือประคองสองไหล่บอบบางของศิษย์รักขึ้นมา พิรัลนลินนั้นเฉลียวฉลาด แม้ยามนี้เติบใหญ่ความซนแก่นหายไปตามกาลเวลา เพียงแต่ที่ยังคงไว้หนักแน่นนั้นเห็นจะเป็นความ ดื้อรั้น หากเขาห้ามเจ้าทุรพลตนนี้จักแอบหนีไปเองฤาไม่ เป็นเช่นนั้นจักมิยิ่งอันตรายกว่า ได้ไปโดยมีเหล่าสิงห์มากความสามารถคอยเป็นหูเป็นตาให้ดอกหรือ...


‘ขอบน้ำใจเจ้านัก พ่อสิงห์น้อย ข้ามินึกเลยว่าทุรพลเช่นเจ้าจักมากความสามารถเพียงนี้ อึก หากข้ากลับไปแข็งแรงดังเดิม ข้าจักกลับไปช่วยลูกข้ากลับมา’ ประโยคแผ่วเบาของหนึ่งในผู้บาดเจ็บทำให้พิรัลเข้าใจ ราวทั้งเห็นหนทางของตัวเองอย่างชัดเจน


เหตุการณ์ที่เผ่าพงศ์ของตนเองโดยทำลายจนย่อยยับไม่เคยจางหาย กลิ่นอายความตายและความเคียดแค้นชิงชังยังคงชัดเจน แต่ทุรพลเช่นพิรัลนลินไม่อาจมองเห็นหนทางแก้แค้นได้เลย จนกระทั่งวันนี้ พิรัลนลินรู้แล้วว่าตนทำสิ่งใดได้ แม้จะไม่ใช่ทางตรง แต่มันยังดีกว่าไม่มีสักวิถีทาง สิงห์น้อยจึงตัดสินใจขอออกไปช่วยรักษาเหล่ากองกำลังสิงห์ที่รวมตัวกันกลับไปทวง ทุรพลอันเป็นที่รักกลับคืน...หากสู้รบไม่ได้ เช่นนั้นข้าจักใช้วิชาหมอเป็นกำลังคอยหนุนหลังได้ไม่มากน้อย








                    ขณะของราชสีห์กัญจน์ได้เข้ารับการรักษาภายในคูหาสรรพยาเข้าวันที่สามแล้ว บัดนี้สิงห์ทุกตนล้วนฟื้นพละกำลังของตนได้เกือบสมบูรณ์ ทั้งยังมีอาคิราและท่านอาจารย์ ทำให้พิรัลนลินไม่จำเป็นต้องวิ่งเข้าวิ่งออกเรือนพยาบาลอีก เจ้าทุรพลน้อยจึงหันมาง่วนอยู่ในเรือนเก็บสมุนไพรอันแยกตัวออกมาจากเรือนพักฟื้นแทน ด้วยสองวันที่ผ่านมาการรักษาใช้ตัวยาจำนวนมาก ทำให้สมุนไพรบางชนิดพร่องไปมากจนเกรงว่าจะไม่พอ


ดงว่านยาที่ต้องหาเพิ่มนั้นอยู่ในเขตขัณฑ์ของผู้เป็นอาจารย์ แลไถ่ถามความเป็นไปจากสิงห์เดินทางแล้วว่าในพื้นที่ใกล้เคียงคูหาแห่งนี้การรุกรานยังมาไม่ถึง พิรัลจึงวางใจที่จะออกไปตัดเก็บว่านสมุนไพรนี้มาไว้ใช้เพิ่มเติม ด้วยเมื่อนึกย้อนไปถึงยามคับขัน ตนได้สั่งให้สิงห์ตนอื่นไปเก็บแล้ว กลับได้ว่านชนิดอื่นปะปนจนต้องเสียเวลามาคัดแยก พิรัลจึงตัดสินใจไปด้วยตนเอง


สิงห์น้อยผลัดเปลี่ยนแต่งชุดอย่างรัดกุมด้วยเสื้อแขนกระบอกและโจงกระเบนสีทึบทึม เสริมด้วยกระบุงแบกสำหรับใส่สมุนไพรติดหลัง ร้องเรียกกีหมีสหายรักสี่ขาให้วิ่งตาม


“จันอินไปกัน”


‘หากแผลสมานกันมากกว่านี้อีกนิดคงต้องเปลี่ยนมาใช้น้ำมันไพล’ พิรัลนึกกระหยิ่มในใจเมื่อคิดถึงการรักษาที่ตนมีส่วนร่วม ความรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่านั้นทำให้ร่างบ้างยกยิ้มภูมิใจในตัวเองอยู่ไม่น้อย


แสงแดดสาดส่องลอดแมกไม้เข้ามากระทบตัว ทำให้ผู้ที่เดินก้มเก็บพืชยาจนเพลินเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า เมื่อเหลียวมองไปยังกระบุงทรงสูงด้านหลังที่เต็มไปด้วยว่านและสมุนไพรที่ต้องการจนเกือบเต็มแล้ว เจ้าสิงห์น้อยจึงตัดสินใจเดินลัดเลาะแนวไม้ ด้วยความชำนิชำนาญ เพียงไม่กี่อึดใจลำน้ำใสพลันปรากฏสู่สายตา พิรัลรู้สึกสดชื่นขึ้นเมื่อได้รับความชุ่มเย็น ความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานคลายไปมากโข ร่างน้อยยอบตัวลงใช้มือวักน้ำจากลำธารให้มาล้างหน้า และลูบตามเนื้อตัว เมื่อได้ความเย็นเข้ามาประพรมตามผิวกาย จิตใจพลันสดชื่นแจ่มใส กลีบปากบางแย้มยิ้มน้อยๆ อย่างถูกใจ


แฮ่!


สุขใจได้เพียงชั่วครู่ ร่างแบบบางกลับต้องชะงักค้าง คิ้วเรียวขมวดมุ่น เมื่อได้ยินกีหมีเพื่อนยากออกเสียงขู่คำรามจากทางด้านหลัง ตากลมที่ยังไม่ทันเหลียวไปตามเสียง เห็นเงาที่สะท้อนน้ำเป็น ‘คีรี‘ ยืนค้ำร่างของตนอยู่ แววตาที่นักรบหนุ่มทอดมองมานั้นพราวระยับ สะท้อนความกระหายอยาก เสียจนทำให้มฤคินทร์น้อยรู้สึกขนลุกชันไปทั้งกาย


“คีรี เจ้ามีอันใด”


“เอ็งรู้ตัวฤๅไม่ว่า เอ็งช่างงามนักพิรัล แม้ข้าจักผ่านตาสิงห์...ที่เป็นเยี่ยงเอ็งมาหลายตน หากหามีตนใดจับใจข้าเท่าเอ็งเลยหนา “ ไม่ชมเปล่า มือหยาบยังเอื้อมมาไล้ดวงหน้างามแผ่วเบาด้วยความหลงใหล


“เจ้าคิดจักทำอันใด “พิรัลทะลึ่งตัวยืนขึ้น ด้วยท่าทีระแวดระวัง คำเตือนของอินทุยังคงดังก้อง...พิรัลไม่ได้ลืม ทว่ารอบคอบไม่มากพอ


“เอ็งมิรู้ความ ฤๅแสร้งทำเป็นไขสือกันแน่พิรัล เอ็งมิรู้แน่หรือว่าใจข้าคิดเยี่ยงใดกับเอ็ง “



“ข้ามิเข้าใจดอก ถอยไป ”


“หึ เช่นนั้นข้าจักบอกเอ็งเอง...บอกเอ็งด้วยการกระทำเป็นอย่างไรเล่า “ ว่าจบจึงใช้ความว่องไวของตัวเอง ตรงเข้ารวบกอดร่างน้อยไว้แนบแน่น เบี่ยงใบหน้าคมคร้ามฝังลงบนซอกคอรับกลิ่นหอมเนื้อนวลเข้าปอด


“โอ๊ย ไอ้กีหมีสารเลวเอ๊ย! ” เมื่อเห็นเจ้านายโดนรังแก กีหมีหนุ่มไม่รอช้า มันพุ่งโถมตัวเข้าขย้ำกัดแขนสิงห์เต็มเขี้ยว เลือดแดงชาดไหลโชก หากด้วยเผ่าพันธุ์อันต่างชั้น เพียงออกแรงสะบัดน้อยนิดร่างสี่ขาพลันกระเด็นออกอย่างง่ายดาย มิหนำซ้ำคีรียังตรงเข้าเตะมันซ้ำจนเต็มแข้ง


“เจ้าอิน” พิรัลถลาเข้าหากีหมีของตนทันที แต่ถูกคีรีที่ไวกว่าคว้ากระชากแขนน้อยให้ร่างอรชนกลับสู่อ้อมแขนเสียก่อน

“หยุดคีรี มะ มิใช่ว่าเจ้ารังเกียจข้าดอกรึ ” ทุรพลน้อยพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ หวังเพียงยื้อเวลาให้มากพอที่สิงห์สักตนจักผ่านมาพบเห็น


“หลงใหลเสียมิว่า ข้าเฝ้ามองเอ็งมาเนิ่นนาน ยิ่งเพลานี้เอ็งจักหนีข้าไปไกลตา หากพบพานอีกคราเอ็งเป็นของสิงห์ตนใดไปแล้วเล่า ข้ามิยอมเหตุใดข้าต้องปล่อยเอ็ง! ” แต่สามัญสิงห์หนุ่มดังมีความมืดบดบัง ความต้องการครอบครองร่างบอบบางนี้มีมากพอที่จะไม่สนไม่กลัวเกรงสิ่งใด


“อย่าทำเยี่ยงนี้คีรี ปล่อยข้าเถิด ข้ามิเต็มใจ หากรักข้าดังปากเจ้าว่าไยถึงได้มาหักหาญน้ำใจกันเยี่ยงนี้ “


“ฤๅเพราะข้าเป็นสามัญสิงห์ฤๅเอ็งจึ่งตัดพ้อ อุตมางค์เท่านั้นฤๅที่สามารถช่วงชิงทุรพลไปได้ “


“มิใช่เพียงสามัญสิงห์ ถึงเป็นอุตมางค์แล้วเช่นไร เป็นอุตมางค์แล้วขืนใจทุรพลได้ฤๅ พวกข้ามีหัวจิตหัวใจหนา” ใบหน้างามอาบไปด้วยหยาดน้ำตา ส่ายปฏิเสธโดยหนักแน่น หากไม่รักใคร่ แม้เป็นคู่ครองชะตาลิขิตพิรัลนลินก็ไม่คิดยินยอม


“ข้ามิสนดอก ข้าสนเพียงว่าเอ็งต้องเป็นของข้า! ”


เมื่อได้ลิ้มรสความหอมหวาน สิงห์หนุ่มยิ่งรู้สึกหูอื้อตาลายปิดกั้นการรับรู้ไปโดยสิ้น คีรีไม่เข้าใจว่าทุรพลมีสิ่งใดพิเศษอุตมางค์คลั่งไคล้ คีรีรู้เพียงเขานั้นหลงใหลในพิรัลเสียจนมิคิดถึงสิ่งใด


แม้พิรัลพยายามขัดขืน ทว่าคล้ายไม้ซีกไม่เจียมตัวหมายจะงัดกับไม้ซุง ไม้ซุงนั้นไม่ขยับ ซ้ำยังยิ่งกดทับแนบแน่น จมูกโด่งและมือไม้ของคีรีปัดป่ายไปทั่วเรือนกาย


‘จูบนี้น่ารังเกียจ สัมผัสนี้ชวนคลื่นเหียน ยิ่งถูกกอดกลับยิ่งเหน็บหนาวร้าวไปถึงใจ มิอบอุ่นเหมือนกอดของแม่เมื่อครั้งเป็นเด็กสักนิด’


หยดน้ำตาแห่งความกลัวและรังเกียจไหลกลิ้งอาบแก้ม หากในสมองกลับหมุนติ้วเพื่อหาทางรอด


‘พิรัลเจ้าจงจำคำพ่อไว้ให้มั่น เจ้าเป็นสิงห์ ต่อให้อ่อนแอเช่นไรเจ้ายังเป็นสิงห์’


เสียงของพ่อดังขึ้นมาในหัว แม้นพิรัลนลินไม่อาจจดจำเหตุการณ์อันเป็นที่มาของคำสอนนี้ได้ แต่เมื่อยามที่ตนเกิดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เจ้าสิงห์น้อยมักจะยกประโยคนี้ของพ่อขึ้นมาเป็นกำลังใจตัวเองเสมอ...


‘เจ้าเป็นราชสีห์ตนหนึ่ง พิรัลเอ๋ย อันกรงเล็กแลเขี้ยวแก้วเจ้าล้วนมีครบครัน จงข่มความกลัวไว้เสียเถิดตัวข้า ต้องมีสักหนทางที่เจ้าจักรอดพ้นจากสถานการณ์อัปยศนี้ได้’


เมื่อคิดได้ พิรัลตั้งจิตข่มความกลัวจนมั่นนิ่ง มือเรียวงามแปลงเปลี่ยนเป็นกลีบเท้าแห่งติณสีหะมันทรงพลังกำลัง อาศัยจังหวะ ความย่ามใจไม่ระวังตัวของอีกฝ่าย ตวัดอุ้งมือเข้าที่ใบหน้าของผู้ที่กำลังมัวเมาอยู่กับกลิ่นกายหอมของตนเต็มแรง เสียงคำรามของคีรีดังก้องทันทีด้วยความเจ็บปวด เป็นจังหวะให้เจ้าสิงห์ร่างบางถีบยันร่างที่คร่อมทับตนอยู่ให้ออกห่าง ร่างใหญ่โตที่ถูกถีบยันซวนเซล้มลงกลิ้งเกลือกไปกับพื้น เมื่อร่างหนัดแน่นที่คร่อมทับพ้นตัว พิรัลจึงรวบรวมแรงกาย อันผลักดันด้วยความตื่นกลัว ให้ร่างแบบบางหลับหูหลับตาวิ่งหนีสุดชีวิต!




ปึก!


ร่างน้อยปะทะเข้ากับอีกร่างที่ตรงเข้ามาพอดีจนเกือบถลาล้มลงกับพื้น ดีที่มือใหญ่จับคว้าฉวยเอวไว้ได้ทันท่วงที


“เจ้าพิรัล เป็นอันใด”


เมื่อกลิ่นหอมจากไม้จันทน์ระรวยฟุ้งที่พิรัลสังเกตถึงกลิ่นนี้ตั้งแต่กลับมาเจอกันคราแรกร่างกายที่พยายามให้มันแกร่งกล้าสั่นสะท้าน น้ำตาลที่ไม่เคยคิดถึงยามต้องเอาตัวรอดไหลพรากราวทำนบพัง ความเจ็บปวด น้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาที่เคยอดทนประดังประเดเข้ามาถาโถมใส่หัวใจดวงน้อยจนแทบรับไม่ไหว


“พี่อาคิรา ฮึก ช่วยข้าด้วย ช่วยข้า”


เพียงกวาดตามองเสื้อผ้าหลุดลุ่ย แลสิงห์หนุ่มเลือดอาบหน้ากำลังวิ่งโซซัดโซเซตามร่างน้อยมา อาคิราจึงคาดเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าได้โดยทันที


“ไอ้อัปรีย์! ” เสียงคำรามลั่นของอาคิราพาให้ป่าโดยรอบสั่นครืน เหล่าฝูงนกแตกกระเจิงบินขึ้นสู่ท้องฟ้าฝูงใหญ่ หากสุดเสียงกร้าวก้อง มวลอากาศ รวมไปถึงทุกเสียงป่าอันเซ็งแซ่เงียบสนิทลงไปโดยฉับพลัน แม้แต่สายลมยังไม่อาจพัดโชย เช่นเดียวกับสิงห์หนุ่มผู้มีเลือดอาบหน้า คีรีรู้สึกหวาดกลัวจนขนบริเวณหลังคอชูชันร่างกายหยุดชะงักและอ่อนยวบลงไปกองกับพื้นหมดท่า


“มึงมันสมควรตายไอ้คีรี” อาคิราย่างสามขุมเข้าใส่สิงห์หนุ่ม มือหนาคว้ากระชากหลังลำคอคีรีขึ้นมาด้วยแรงอารมณ์


“อะ อะ อา คิ...”


“พะ พี่อาคิรา อย่าฆ่า พามันไปรับโทษเถิดหนา มือพี่มิสมควรแปดเปื้อนด้วยเลือดมัน” พิรัลค่อยๆ ใช้มือจับเข้าที่ลำแขนของผู้พี่ทำกำลังเดือดดาล อาคิราเหลือบมองผู้เป็นน้องชั่วอึดใจ ไกสรสิงห์หนุ่มหลับมาแน่นเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครา มือที่ว่างจึงจับกระชับฝ่ามือน้อยแน่น ลากร่างคีรีที่สติหลุดลอยดั่งผู้ขวัญหายให้ก้าวตาม โดยมีกีหมีหนุ่มตัวโตกะโผลกกะเผลกเดินตาม


อาคิราโยนร่างคีรีลงบนพื้นลานกลางถ้ำ เพลานั้นเหล่าสิงห์หนุ่มในถ้ำเตรียมตัวจักออกไปลาดเลาพอดีจึงพากันหยุดชะงักด้วยความสนเท่ห์ คีรีในร่างบอบช้ำ ถูกอาคิราผู้มีจริตเรียบเฉยลากมาด้วยแววตาเหี้ยมเกรียม ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง


“เกิดอันใดขึ้น ข้าได้ยินเสียงป่าแตก กำลังจักออกไปสำรวจพอดีเทียว”


“ไอ้อัปรีย์มันจักหักหาญน้ำใจเจ้าพิรัล” ทันทีที่สิ้นคำ เสียงก่นด่าพูดคุยออกความเห็นดังขรม


“ไอ้คีรีมึง! เข้าจักจับมันตรวนไว้ รอให้ท่านอัตรคุปต์ท่านตัดสินความ พวกเราจับมันไป! ” เหล่าจตุรสิงห์ล้วนไม่มีผู้ใดยอมรับการข่มเหงรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า โดยมิใช่ ‘การเข้าฤดู ‘ หากสิงห์ผู้นั้นมิได้มีหัวจิตหัวใจด้านชาและเต็มด้วยอคติ สิงห์คีรีจึงไร้ผู้ใดเห็นใจ ซ้ำยังถูกว่าจาแสบร้อนสาดไล่หลังไปจนถึงที่จองจำ


“ข้าขอพาเจ้าพิรัลไปพักก่อน ฝากทางนี้ด้วย”


“ไปเถิด”


อาคิราจับจูงมือพาน้องน้อยที่กำลังขวัญเสียมาส่งยังเรือนนอน แม้จะชะงักยามต้องพ้นเขตประตูเรือนบ้าง แต่ร่างกายที่ยังสั่นสะท้าน และหยาดน้ำตาที่ยังพรั่งพรู


“เจ้าพิรัล” น้ำเสียงทุ้มทอดอ่อนเมื่อน้องน้อยยังคล้ายไร้สติ


“ได้ยินเสียงพี่ฤๅไม่เจ้า พี่ แลเจ้าจันอินนั้นอยู่ตรงนี้ เจ้าปลอดภัยแล้วหนา”


“งืด” กีหมีตัวใหญ่ หมอบลงต่ำ สายตาดุดันแหงนมองผู้เป็นนาย ครางรับลูกแผ่วเบา ซบพิงหัวใหญ่เข้ากับขาเรียวอย่างหมดท่าความน่าเกรงขาม


“ฮึก มันน่ากลัว ฮึก ทำไม ทำไมทุรพลจึงต้องเจอเรื่องราวแบบนี้ พวกข้าผิดอันใด”


“พวกเจ้ามิผิด หามีความผิดแม้กระพี้ ผู้ที่ผิดคือผู้ที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ใช้อำนาจฤทธีรังแกผู้อื่นนั่นจึงผิด”


“ฮึก” พิรัลเวลานี้ทั้งหวาดกลัวและอับอาย ร่างน้อยคู้ห่อตัวเข้าหากันจนน่าสงสาร


“โอ๋ เจ้าพิรัล เจ้าพิรัลมิเป็นอันใดหนา โอ๋ๆ มิมีอันใดแล้วหน้า พี่อยู่ตรงนี้อยู่กับเจ้า เจ้าปลอดภัยแล้ว ขวัญเอ๋ยขวัญมา” คำปลอบโยนเมื่อยามเยาว์วัยถูกยกขึ้นมาพร้อมอ้อมกอด คล้ายมนต์วิเศษอันแสนอบอุ่นปัดเป่าความหวาดกลัวภายในจิตใจค่อยๆ มลายหายไปทีละน้อย จนผู้ที่ได้รับคำปลอบโยนนิ่งสนิท ร่างน้อยค่อยๆ ผล็อยหลับไปทั้งที่น้ำตายังคงเปียกชื้น


กระทั่งเห็นว่าพิรัลนลินหลับคาอกไปแล้ว อาคิราจึงค่อยๆ ผละออก วงแขนแข็งแรงช้อนร่างบอบบางขึ้นอุ้มพาเข้าเรือนนอน จัดท่าทางจนมั่นใจว่าน้องน้อยจะสามารถพักผ่อนได้อย่างสบายแล้ว จึงล่าถอยออกจากเรือนนอนของทุรพลน้อยไปด้วยความเงียบงัน


เหตุการณ์ที่พิรัลต้องพบเจอทำให้สิงห์หนุ่มคิดว่าบัดนี้ถึงเวลาที่เขาต้องมอบ ‘สิ่งนั้น’ ให้แก่ทุรพลน้อยเบื้องหน้านี้เสียที




“ตื่นแล้วรึเจ้า”


“ข้าหลับไปนานฤๅไม่จ๊ะ”


“ครู่ใหญ่ ข้าเห็นควรว่าเจ้าควรพักผ่อน จึงมิได้ปลุก” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียบเรื่อย พิรัลหายใจสะดุดไปชั่วขณะ บัดนี้พี่อาคิรากลับมาเฉยชาและห่างไกล แม้คำเรียกขานตัวนั้นยังเปลี่ยนไป มิใช่ ‘พี่ ‘ ดั่งวันวาน...เมื่อครู่ก่อนหมดสติ ข้าคงสติเตลิดจนฟั่นเฟือนไปเสียแล้วกระมัง


วางตัวต่อกันเช่นนี้ แม้นยืนอยู่ใกล้เพียงช่วงแขนคว้า แต่ในความรู้สึกของสิงห์น้อยนั้น พี่อาคิราของตนช่างห่างไกลราวกับเจ้าตัวได้ลอยกลับขึ้นไปยังฟากฟ้าเบื้องบนจนเกินเอื้อมคว้าได้แล้ว...อ้อมกอดอุ่นก่อนหน้า เป็นเพียงความเพ้อพกไปเช่นกันฤๅ


“จ้ะ” เมื่อได้รับความเย็นชา พิรัลนลินจึงกลับมาสงวนท่าทีประหยัดคำพูดเช่นกัน...แม้น้อยใจ แต่มิยากมากความให้ผู้เป็นพี่ลำบากใจ


“เจ้าพิรัล ข้ามีสิ่งหนึ่งจักมอบให้ แม้ยังมิถึงเพลานั้น แต่เจ้าจงสวมไว้อย่าได้ถอดเป็นอันขาด มีเพียงผู้เดียวที่จักถอดมันได้ นั่นคือคู่ของเจ้าเท่านั้น”


พิรัลก้มพิจารณา สร้อยคอรูปร่างแปลกตาในมือใหญ่อย่างสนใจ สร้อยคอเส้นนี้ เกิดจากสายทองคำไขว้ถักพันเกี่ยวกันจนเกิดเป็นลวดลายประณีตละเอียดลออเป็นแพ ทั้งยังประดับด้วยมรกตน้ำงาม ทำให้มันยิ่งสวยเด่นสะดุดตา หากเส้นวงนั้นกลับดูสั้นกว่าปกติเสียมากหน่อย คะเนจากสายตา เมื่อใส่แล้วคงโอบรัดเข้ากับรอบลำคอพอดี


...สร้อยคอลักษณะนี้ มิใช่ มิรู้จัก เพียงแต่เพิ่งได้ประจักษ์ด้วยตาตนเองในเพลานี้...


...เพลาที่รับรู้สถานะของตัวเองอย่างแจ้งชัด กรองคอนี้คงเปรียบเสมือนห่วงรัด ให้ตนระลึกถึงสถานภาพของตน ในทุกช่วงเวลาที่หายใจเข้าออก ว่าข้านี้คือ ทุรพลสิงห์...


...ทุรพล สิงห์ชนชั้นล่าง อันเป็นเครื่องมือให้กำเนิด...ผู้ให้การบำรุงบำเรอ มิใช่บุตรธิดาที่ผู้เป็นบิดามารดาจักสามารถภาคภูมิใจ มิใช่ภรรยาที่ผู้เป็นเจ้าของชีวิต เจ้าให้ดวงฤทัย ได้ยกย่องเชิดชู


“สวมเสียเลยเถิดพิรัล สิ่งนี้จะช่วยปกป้องเจ้า”


“จ้ะ ข้าจักสวมไว้” พิรัลยอมรับมันไว้แต่โดยดี สวมไว้ย่อมดีแก่ตัวเองมากกว่า และมันยังเป็นของจากพี่อาคิรา มีหรือที่พิรัลนลินจักปฏิเสธ


“ขอสมานะเจ้า” คำขออย่างให้เกียรติเช่นนี้ พิรัลไม่เคยได้รับจากสิงห์ตนอื่นมากนัก ที่ผ่านมาหากพิรัลไม่ระวังตนย่อมโดยฉกฉวยโอกาสอยู่เป็นนิจ ความอ่อนโยนเช่นนี้ทำให้เจ้าสิงห์น้อยรู้สึกใจสั่นไหว


มือใหญ่จับทาบแพทองโอบรอบลำคอระหง คำกล่าวร่ายคาถาในลำคอแผ่วเบาสำทับอีกชั้นขณะสวมใส่ หลังพิรัลนลินพยักหน้าส่งสัญญาณอนุญาต


“ภายภาคหน้านั้นยากลำบากนักหนา รักษาตัวให้ดีพิรัล”


“ขอบพระคุณจ้ะ” สองมือกระพุ่มไหว้ผู้พี่อย่างอ่อนน้อม


“ข้าไปละ อยู่สองต่อสองเช่นนี้หางามไม่ เจ้าจักเสื่อมเสีย”


“จ้ะ” แม้อาคิราจากไปแล้ว ใจของพิรัลนลินยังสั่นระรัว ใบหน้าเนื้อชมพูขึ้นสีแดงก่ำ...แม้บางคราจักเย็นชาหน้าตาย ทว่ายังคงหลงเหลือการกระทำบางอย่างที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นไม่เคยเปลี่ยน


“ข้าอิจฉานางสิงห์ผู้ที่จักได้พี่อาคิราเป็นคู่ครองยิ่งนัก”




+++++++++++++++++++++++++++++++++++


สิงหา...ถึงนักอ่าน


ขอขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์นะคะ

หากมีคำผิด หรือจุดที่อยากแนะนำ นักอ่านสะกิดเตือนได้เลยนะคะ

ผู้เขียนน้อมรับฟังนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ

พบกันใหม่ใน คืนวันเสาร์หน้า ค่ะ








CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
น่าเห็นใจ รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
แล้วใครคือเนื้อคู่ล่ะทีนี้

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
ลงเรือพี่อาคิราแล้วนะคะ เราจะเกาะเรือนี้!!!!

ออฟไลน์ smmikie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
ขอเลยได้ไหมมมม เขียนดีมากอ่ะ อ่านทุกตัวอย่างตั้งใจและเพลินมากๆๆ

ออฟไลน์ naumi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1086
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
มาลงชื่อสมัครเป็นFC :mew1:

ออฟไลน์ สิงหา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 121
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
บทที่ ๖
สัญญาณเตือน






                    หลังจากเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้น พิรัลนลินไม่มีโอกาสได้พบกับคีรีอีกเลย เพียงทราบว่าสิงห์ตนนั้นได้รับโทษแล้ว พิรัลจึงไม่สนใจหาความ ด้วยไม่นึกอยากต้องมาเกี่ยวข้องให้รู้สึกระคายใจอีกแม้เพียงน้อย


เมื่อร่างกายหายจากความอ่อนเพลีย พิรัลนลินจึงลุกขึ้นมาทำหน้าที่ของตนเช่นปกติ ในระยะนี้สิงห์น้อยรู้สึกมีกำลังกายกำลังใจมากขึ้น เมื่อคำขอร้องของตนนั้นเป็นผล อาจารย์อัตรคุปต์ยินยอมให้ตนติดตามช่วยเหลือกองกำลังสิงหราชในที่สุด


ร่างบอบบางย่างเท้ามุ่งหน้าตรงไปยังเรือนผู้ไข้ ตาคมกวาดมองบรรยากาศภายในคูหายามเช้าโดยรอบ จำนวนมฤคินทร์ที่เข้ามาขอพักพิงเพิ่มจำนวนมากขึ้นในทุกวันจนเริ่มแออัด โดยมากมักเป็นสามัญสิงห์และทุรพล บ่งบอกถึงสถานการณ์ความเลวร้ายขณะนี้ได้เป็นอย่างดีเสียจนพิรัลหวาดหวั่นใจ


“นั่นรึทุรพลที่เสนอตัวติดตามขบวนท่านกัญจน์ แลท่านนิลปารัชญ์” เสียงพูดคุยดังขึ้นจากข้างเรือนเฝ้าไข้ ทำให้ทุรพลน้อยชะงักขาที่จะก้าวเข้าสู่ตัวเรือน คิ้วได้รูปเลิกขึ้นน้อยๆ เมื่อรับรู้ได้ว่าบทสนทนานี้กล่าวถึงตน และดูจะไม่ใช่ในแง่ที่ดีนัก


“จักไปช่วยรึไปเสนอตัวกันแน่หนา คิกๆ”


“เห็นว่ายังมิทันถึงฤดู รู้กระสันยากเสียแล้วรึ”


“ว่ามิได้หนา ยังมิถึงฤดู แต่มีผู้บุกเข้าหาแล้วหนาเจ้า”


“ข้ารู้สึกโชคดีนักที่ท่านอาคิรามิใช่อุตมางค์”


“อย่าได้วางใจไป แม้เป็นสามัญสิงห์ก็ยังอดใจมิไหวเทียวหนา ดูไอ้คีรีนั่นปะไร” เหลือบหางตามองตามเสียง กลุ่มผู้ที่กำลังสนทนากันอย่างออกรสนั้นประกอบด้วยทุรพลหญิงหนึ่งบุรุษหนึ่งแลสามัญสิงห์สาวอีกสองตนหน้าตาไม่คุ้นเคย ทั้งกิริยามารยาทผิดแผกไปจากศิษย์แห่งคูหาสรรพยา ดูทีแล้วไม่พ้นเหล่าผู้อพยพหนีร้อนมา ทั้งสี่ยืนจับกลุ่มส่งสายตามาทางตน เห็นได้ชัดว่าจงใจดักรอเพื่อการนี้โดยเฉาะ เรียวปากอิ่มกระตุกยิ้มมุมปาก ยอบตัวลงกระซิบสั่งคู่หูสี่ขา เสียงแผ่ว


“ไปจัดการ” กีหมีตัวโตพองขนฟูตั้ง อ้าปากกว้างวิ่งตื๋อเข้าใส่กลุ่มมฤคินทร์ร่างบอบบางทันทีหลังได้รับคำสั่ง ด้วยความน่าเกรงขามของรูปลักษณ์และคมเขี้ยวขาว ครั้นจะออกตัววิ่งหนี กีหมีตัวนั้นยิ่งทำท่าแยกเขี้ยวคล้ายกระโจนใส่ ทำให้แข่งขาแข็งไปหมด ทำได้เพียงยืนนิ่งตัวสั่นร้องเรียกเจ้านายของมันให้มาจัดการปากคอสั่นเท่านั้น


แฮ่!


“ว้าย! พิรัลมานำกีหมีของเจ้าออกไปเสีย! ”


“มันมิได้จักทำอันตรายพวกเจ้าดอก มันคงจักอยากบอกพวกเจ้าเท่านั้น ว่าหากพูดสิ่งดีมิได้แล้วไซร้ควรรู้จักเงียบปากเสีย”


“เจ้าพิรัล! อย่าคิดว่าพวกข้ารู้มิทันเจ้าหนา ทำเป็นว่าเก่ง ว่าประเสริฐนักหนา คิดหมายท่านกัญจน์ ฤๅท่านนิลปารัชญ์เล่า” แม้มีกีหมีน่าหวาดกลัวยืนขวางหน้า แต่ความริษยาภายในใจกลับผลักดันริมฝีปากให้ไม่ยอมแพ้


“ข้าคิด ฤๅเจ้าคิด ข้ามิพูดบอกเจ้าไยจึงมารู้จิตรู้ใจข้า เจ้าพ่นพล่ามออกมา หากมิคิดในหัว ไหนเลยจักเอ่ยออกมาได้ เช่นนี้แล้วผู้ใดกันหนาที่คิด”


“พิรัล! ”


“อีกประการ ข้ามิได้ต้องการให้ผู้ใดมาสรรเสริญ ลำพังเป็นทุรพลนั้นโดนสิงห์วรรณะอื่นเดียดฉันท์อยู่แล้ว ไยพวกเจ้าทั้งสองที่เป็นทุรพลด้วยกันจึงยังว่าร้ายต่อกันอีกเล่า เช่นนี้จักคิดหวังให้ผู้อื่นมองดีได้รึ เหตุการณ์ที่เผชิญอยู่ดังอัคคีผลาญลามไปทั่วมากน้อยล้วนร้อนกายใจด้วยกันทั้งสิ้น พวกเจ้ายังต้องหนีมาซ่อน ณ ที่นี้ มิใช่ฤๅ หากหาได้มีใจคิดช่วยกันดับไฟแล้วจงนิ่งเสียเถิด อย่าได้ทำตัวเป็นไฟกองเล็กขัดแข้งขัดขากันเลย ไปเจ้าจันอิน”


พิรัลนลินว่ากราดก่อนจะเดินเลี่ยงหนีมาเสีย สิงห์น้อยไม่อยากต่อความ ได้แต่ทอดถอนหายใจคล้ายปลดปลง เหตุการณ์ลุกชิงทุรพลที่เกิดขึ้น ทำให้ทุรพลได้รับกระแสความเกลียดชังจากเหล่าสามัญสิงห์ที่ได้รับความสูญเสียบางตน โดนกล่าวโทษด่าทอว่าเป็นต้นเหตุอยู่เป็นนิจ ที่ผ่านมาพิรัลนลินนั้นทำได้เพียงวางท่านิ่งเฉย ราวกับตนจับปฏิกิริยาเหล่านั้นมิได้ แม้น้ำคำกระทบกระเทียบเผ็ดร้อนก็ทำเพียงไม่ได้ยิน จะกล่าวว่าสิงห์น้อยเคยชินจนด้านชานั้นเห็นจะไม่ถูกเสียทีเดียว ทุกครั้งที่ต้องพานพบกับกิริยาดังนี้ พิรัลรู้สึกเจ็บปวดในอกอยู่เสมอ แต่เพราะการนิ่งเฉยเป็นทางออกที่ดีที่สุด สิงห์น้อยจึงแสร้งบื้อใบ้มิรู้เห็นเสียก็เท่านั้น แต่ครานี้เป็นทุรพลด้วยกันพิรัลนลินจึงไม่คิดทน ตอกกลับไปบ้างให้แสบคันพอคิดได้ ทว่าเห็นอาการดิ้นเร่าและแววตาเคืองขุ่นที่ส่งมาแล้ว สิงห์น้อยคิดว่าคงเสียเปล่า...


พิรัลนลินถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นัยน์ตากลมหลับลงนิ่งนานกำหนดลมหายใจเข้าออกช้าๆ เพื่อปรับอารมณ์ของตนเองให้กลับมาคงที่ ด้วยยังมีสิงห์บาดเจ็บรอให้ดูแลบาดแผลอีกหลายตน จนกระทั่งอารมณ์ร้อนรุ่มคลายลง ทุรพลน้อยจึงย่างเท้าเข้าสู้เรือนผู้ไข้พร้อมล่วมยาในมือ งานของพิรัลในเช้านี้เริ่มจากอุตมางค์สิงห์หนุ่มอย่าง ราชสีห์กัญจน์ หนึ่งในต้นเหตุการณ์ปะทะฝีปากรับอรุณ เป็นรายแรก


“ขอสมานะจ๊ะ” พิรัลยอบตัวลงนั่งหลังกล่าวขออนุญาตสิงห์หนุ่มเพื่อทายาบาดแผลบนแผ่นหลังกำยำ


“ตามสะดวกเถิดเจ้า” ราชสีห์หนุ่มส่งยิ้มให้ทุรพลน้อยเป็นการอนุญาต


“บาดแผลสมานโขแล้ว ยามขยับรู้สึกขัดยอกอยู่ฤๅไม่จ๊ะ”


“หามีแล้วเจ้า ที่ข้าหายเร็วเช่นนี้คงเพราะน้ำหนักมือเจ้าเบายิ่งนัก แลเจ้าเล่าเจ็บมากฤๅไม่” ดวงตาคมสีน้ำตาลเข้มเหลือบสายตาลงมองรอยช้ำบนข้อมือเล็ก เรื่องที่เกิดขึ้นกับพิรัลนลินเมื่อวันก่อน เขารับรู้และโกรธแค้นแทนทุรพลน้อยตนนี้อยู่มากโข


“ข้าหาได้เป็นอันใดจ้ะ ดีที่พี่อาคิรา แลเจ้าจันอินคอยช่วยไว้”


“เช่นนั้น เมื่อครู่เล่า” เสียงทุ้มเถียงกันด้านนอกนั้นราชสีห์หนุ่มได้ยินเต็มสองหู เมื่อมองตามพบว่าสิงห์เหล่านั้นหาใช่สิงห์ในปกครองของตน จึงไม่อาจกระทำการลงโทษสิ่งใดได้


“เสียใจมากกว่าจ้ะ” พิรัลนลินยอมรับตามตรง พร้อมเผยยิ้มฝืดเฝื่อน


“ข้าอยากเร่งวันคืนให้หายบาดเจ็บเร็วขึ้นนัก นอกจากไอ้พวกสิงห์ทรราชแล้ว พวกต่ำช้าเยี่ยงไอ้คีรีข้าจักจัดการเสียให้สิ้น” สายตาลึกซึ้งที่ราชสีห์หนุ่มส่งมานั้นชัดเจนเสียจนทุรพลน้อยรู้สึกตัว พิรัลนลินเสหลบตากลับไปมองยังบาดแผล แล้วส่งยิ้มเบี่ยงความไม่ให้เป็นการเสียน้ำใจต่อกัน


“เช่นนั้นท่านกัญจน์ต้องหมั่นทายาจ้ะ ท่านกัญจน์ฟื้นตัวเร็วนัก ยิ่งได้ยาขนานนี้ท่านอาจารย์ลงมือเตรียมให้ อีกมิกี่เพลาแม้แต่ร่องรอยคงมิหลงเหลืออีก”


“พวกข้าติดหนี้น้ำใจท่านอัตรคุปต์มากมายนัก แลเจ้าด้วยหนาเจ้าพิรัล”


“ล้วนเป็นความเต็มใจของพวกเราจ้ะ” พิรัลยิ้มรับอีกครา ก่อนขอแยกตัว


ตอนนี้พิรัลนลินหมายมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าการเข้าร่วมกลุ่มยับยั้งราชสีห์ทุรยศในครั้งนี้ นอกจากได้เป็นส่วนหนึ่งในการล้างแค้นให้ครอบครัวแล้ว ทุรพลน้อยจะสามารถใช้มันเป็นการพิสูจน์ตัวเองให้สิงห์ทุกผู้ทุกตน โดยเฉพาะทุรพลด้วยกันได้รับรู้ว่าสิงห์ชนชั้นวรรณะเช่นตนนั้นมีคุณค่าเช่นกัน






                    และแล้ววันที่ต้องเดินทางก็มาถึง เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นพ้นขอบฟ้า ขบวนของราชสีห์หนุ่มอันประกอบไปด้วย กลุ่มนักรบบัณฑูรสีหะ ในความปกครองของกัญจน์ราชสีห์ ราชสีห์นิลปารัชญ์ อาคิรา แลพิรัลนลิน ก็เตรียมพร้อมออกเดินทาง


ร่างโปร่งบางกระชับห่อผ้าบนไหล่ กวาดสายตาไปรอบกายช้าๆ เป็นครั้งสุดท้าย ด้วยไม่รู้ว่าตนจะได้กลับมายังคูหาแห่งนี้ได้เมื่อใด แม้ถ้ำสรรพยาแห่งนี้จะไม่ใช่ที่เกิด แต่สถานที่แห่งนี้คือที่ที่พิรัลเติบโตคลุกคลีมาทั้งชีวิต จนแม้นหลับตาลงภาพทุกซอกหลืบในสถานที่แห่งนี้ก็เด่นชัดมิเพี้ยนผิดแม้สักองคุลี


“ท่านเขมอารัณย์เล่าจ๊ะ” เมื่อพินิจมองขบวนสิงห์ ทำให้พิรัลนลินสังเกตได้ว่า บัดนี้ในขบวนได้ขาดคนธรรพ์ผู้สร้างสีสันไป...มิน่าเล่า ถึงได้รู้สึกเงียบสงบกว่าที่ควรเป็น


“อย่าได้สนใจเลยเจ้าพิรัล คนธรรพ์ผู้นั้นไปมาว่องไวดั่งลมหอบ เอาแน่เอานอนมิได้ดอก” กัญจน์ที่คอยท่าอยู่แล้ว ไม่รอช้าที่จะเป็นผู้ไขความสงสัย เพลานี้สิงห์หนุ่มกลับมาแข็งแรงดังเดิม บาดแผลบนร่างกายกำยำเหลือเพียงริ้วสะเก็ดเพียงเล็กน้อย ราชสีห์หนุ่มที่หาโอกาสจะได้มีโอกาสพูดคุยกับพิรัลนลินเตรียมชวนคุยต่อ ทว่าความมาดหมายของสิงห์หนุ่มเป็นอันต้องสะดุด เมื่ออาคิราเดินเข้ามาพรากเจ้าพิรัลนลินเสียว่องไว จนเผลอคิดเป็นเล่นว่าสามัญสิงห์ตนนี้จงใจ


“ไปล่ำลาอาจารย์เสียพิรัล เราจำต้องเดินทางแล้วเจ้า”


“จ้ะ”


“ศิษย์ขอกราบลาท่านอาจารย์” พิรัลนลินและอาคิรา ก้มลงกราบแทบเท้าของผู้เป็นอาจารย์


“เจริญสุขหนาเจ้า ข้าขออำนวยพรให้ทุกผู้ตน จงประสบผลสำเร็จดังหวัง นำความสงบสุขคืนแก่ สีหมุข ด้วยความราบรื่น” ฝ่ามืออุ่น แตะลูบลงบนกระหม่อมศิษย์น้อยเป็นการล่ำลาครั้งสุดท้าย พิรัลนลินที่ต้องจากลาจากคูหาเป็นครั้งแรกรู้ในใจหายเสียจนรู้สึกแสบร้อนนัยน์ตา ทุรพลน้อยเงยสบมองใบหน้าของอาจารย์อีกครั้ง สลักราชสีห์ชราลงกลางดวงใจด้วยความรู้สึกสำนึกถึงบุญคุณในทุกลมหายใจเข้าออก




เมื่อออกพ้นจากปากถ้ำที่โอบอุ้ม พ้นเขตขัณฑ์ของราชสีห์อัตรคุปต์มาแล้ว พิรัลนลินจึงหยุดเท้าตัวเองไว้ ยอบกายลงกอดร่างกีหมีคู่หูไว้แน่นนาน


“เจ้าจันอิน เราต้องลากันตรงนี้หนา หนทางข้างหน้ามิอาจรู้ได้ แลยามนี้เจ้าเติบใหญ่เต็มตัวแล้ว จงกลับคืนสู่ธรรมชาติของเจ้าเสีย รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีหนากัลยาณมิตรของข้า” เสียงหวานสั่นสะท้านจวนเจียนร่ำไห้ มือเรียวลูบกลุ่มขนฟูหนาสีเหลืองทองเป็นครั้งสุดท้ายแล้วตัดใจผละจาก


กีหมีหนุ่มฟังความรู้ภาษาทำเพียงส่งเสียงครางเครือแผ่วเบา หมอบราบลงบนพื้นดินดวงตาแห่งนักล่าหม่นหมอง นั่งมองผู้ที่ตนยกเป็นเจ้านายเดินจากไปจนลับตา จึงวิ่งโผทะยานเข้าป่าพงไปเช่นกัน




การเดินทางในเวลาต่อมาก็ยังคงเป็นไปอย่างราบเรียบเงียบเชียบ เชื่องช้าไม่เร่งร้อน ด้วยแม้เป็นเหล่าสิงห์วัยฉกรรจ์ แต่บางตนยังมีอาการบาดเจ็บอยู่ ใช้เวลาถึงกึ่งสัปดาห์ทั้งหมดจึงมองเห็นปากถ้ำแก้วอันเป็นอาณาเขตที่ราชสีห์ทั้งหลายใช้เป็นศูนย์รวบรวมกำลัง


ยามก้าวผ่านเขตอาคมที่กางกั้นปากถ้ำเอาไว้ สภาพแวดล้อมโดยรอบพลันแปลงเปลี่ยน ภายในถ้ำแห่งนี้กว้างขวางโอ่อ่า โดยจุดสนใจที่ดึงสายตาของผู้มาเยือน หนีไม่พ้นเรือนหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านกลางคูหา ด้านข้างทั้งซ้ายขวามีเรือนน้อยใหญ่รายล้อมลดหลั่นไล่ระดับอย่างเป็นระเบียบ ให้ความรู้สึกเป็นชุมชนเพื่อการอยู่อาศัยมากกว่าถ้ำของอาจารย์อัตรคุปต์ที่ตนจากมา และใหญ่โตมากกว่าบ้านเกิดของพิรัลหลายเท่าตัว พิรัลนลินเข้าใจแล้วว่านี่คงเป็นอีกประการหนึ่งของความต่างระหว่างชุมที่ปกครองโดยอุตมางค์ และชุมที่ไร้อุตมางค์


ทุรพลน้อยไล่สายตาไปรอบกาย เหล่ามฤเคนทร์ในร่างมนุษย์ที่ต่างพากันหยุดยืนมองการมาเยือนผู้มาใหม่อยู่นั้น แม้มีมนุษย์สิงห์ผิวสีอื่นปะปนบ้าง หากส่วนมากล้วนมีผิวพรรณขาวผุดผ่องราวเปลือกหอยสังข์ ร่างกายสูงใหญ่ ท่วงท่าสง่างามไม่เว้นแม้แต่ที่ยังเป็นเด็กรุ่น เป็นเอกลักษณ์ประกาศในตัวเองว่าคูหาแห่งนี้คือถ้ำของไกรสรราชสีห์ เผ่าพันธุ์เดียวกับพี่อาคิรา


ด้วยกว่าจะมาถึงถ้ำ นั้นได้เข้าสู่ช่วงเวลาเย็นย่ำมากแล้ว หลังจากตัวแทนผู้ครองคูหาออกมาต้อนรับขับสู้ขณะเดินทางเรียบร้อยแล้ว พิรัลจึงแยกตัวออกมาเติมเต็มความหิวด้วยผลไม้ที่ถูกจัดเตรียมไว้ เช่นเดียวกับท่านนิลปารัชญ์ ซึ่งเป็นสิงห์มังสวิรัติเช่นกันจนอิ่มท้อง ส่วนห้องหับภายในเรือนถูกจัดเตรียมไว้ให้อย่างเรียบร้อย เหล่าสิงห์ในขบวนเดินทางจึงพากันแยกย้ายพักผ่อนร่างกาย จากการรอนแรมเดินทางเพื่อเอาแรง


ด้วยถ้ำของราชสีห์ชั้นอุตมางค์เป็นถ้ำวิเศษ โดยมากจึงมักถูกเนรมิตให้สะท้อนทัศนียภาพภายนอกเข้ามาภายในคูหา ดังนั้นเมื่อล่วงเข้าสู่ช่วงราตรีกาล พิรัลนลินจึงสามารถมองเห็นเหล่าดวงดาวที่พากันส่องแสงระยิบเกลื่อนฟ้า ล้อรับขับแข่งกับแสงจันทร์นวล จนฟากฟ้าเบื้องบนพริบพราวราวอัญมณี ด้านนอกเรือนบนลานกว้างกลางคูหาแก้วยังคงมีสิงห์วัยหนุ่มนั่งก่อกองไฟจับกลุ่มสนทนากันแผ่วเบา ทอดสายตามองไกลไปยังเรือนหลังน้อยบ้างเริ่มดับไฟตะเกียงภายในเรือนของตนบ้างแล้วเช่นเดียวกับพิรัล เมื่อขึ้นจากท่าน้ำประจำเรือนหลังชำระล้างร่างกาย เนื้อตัวอันเหนอะหนะหนักอึ้ง จึงผ่อนคลายเบาสบายตัว เจ้าสิงห์น้อยนั่งลงหน้าตั่งวางเครื่องหอม มือเรียวเก็บรวบผมยาวของตนมาถักเป็นเปียหลวมๆ ไว้ด้านหลัง สิงห์ทั่วไปมักมีผมยาวตามสภาพร่างเมื่อยามเป็นมฤเคนทร์ที่มีแผงคอฟูสวย ความยาวนั้นล้วนแล้วแต่ใจชมชอบ บ้างยาวเพียงไหล่ บ้างเพียงกลางหลัง แต่พิรัลนลินนั้นเมื่อครั้งยังเยาว์ ทุรพลน้อยจำได้ว่าแม่รักเส้นผมของเขามาก นางสิงห์บุษบันมักหวีสางลงน้ำมันหอมจนผมลูกน้อยของนางเป็นเงางามอยู่เสมอ พิรัลนลินจึงคอยดูแลรักษาผมของตนที่แม่ชอบไว้อย่างดีจนคลอเคลียบั้นเอว เมื่อสิงห์น้อยจัดการกับเส้นผมของตนเรียบร้อย จึงโน้มตัวลงเป่าเปลวไฟจากปลายเทียน


เพียงชั่วไฟดับ เจ้าสิงห์น้อยพลันรู้สึกกระสับกระส่าย ภายในทรวงอกร้อนวูบดั่งไฟสุม เหงื่อใสไหลซึมตามไรผมจนชื้นเปียก ดวงใจระรัวสั่นจนแข่งขาอ่อนแรง เจ้าตัวเม้มปากแน่น แข็งใจเดินไปวักน้ำในคนโทมุมห้องเข้าสู่ใบหน้าและลูบเนื้อตัว แล้วค่อยผ่อนลมหายใจเข้าออก เพื่อควบคุมตัวเองให้สงบลง...พิรัลนลินรู้ดี มันคือสัญญาณเตือน


...ได้โปรดเถิดตัวข้า เทวดาฟ้าดินแลองค์อินทร์ผู้ทรงเมตตา ช่วยชะลอ ‘มัน’ ไว้อีกสักหน่อย ขอโอกาสให้ข้าได้ช่วยเหลือ แลปลดแอกตนเองจากเหตุการณ์เลวร้ายครานี้ไปก่อนด้วยเถิด...


กว่าจะสามารถข่มตาให้หลับลงได้นั้น สิงห์น้อยต้องใช้เวลาสงบสติอารมณ์ตัวเองจนค่อนคืน แต่ภารกิจที่ตนมีทำให้สิงห์พลัดถิ่นมิสามารถพักกายสู่ห้วงแห่งนิทรารมณ์ได้นานดั่งต้องการ ร่างแบบบางอาศัยเพียงน้ำฉ่ำเย็นรินรดใบหน้าสร้างความสดชื่น แล้วสั่งตัวเองลุกขึ้นมาตระเตรียมอุปกรณ์สำหรับทาผิวให้เหล่าสิงห์ที่บาดแผลยังไม่หายสนิทดี แต่เช้าตรู่


เสียงกุกกักผสมเสียงพูดคุยดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าผู้ต้องได้รับการรักษามาถึงแล้ว ประจวบกับที่ร่างบางเตรียมยาเสร็จพอดิบพอดี พิรัลนลินจัดแบ่งขี้ผึ้งยาแจกจ่ายให้แก่สิงห์ทุกตนอย่างถ้วนทั่ว


“เพลานี้แผลของพวกท่านดีขึ้นมาก พี่อาคิราจึงทำขี้ผึ้งไว้ให้พวกท่านใช้แทน ทาบริเวณแผลทุกเช้าเย็นนะจ๊ะ หากหมดเมื่อใดมาขอปันไปเพิ่ม หมั่นทาอย่าได้ขาดจนกว่าแผลจะหายสนิทนะจ๊ะ”


“ขอบน้ำใจเจ้าหนาพิรัล” บรรดาสิงห์หนุ่มต่างขอบอกขอบใจทุรพลน้อยด้วยมิตรไมตรีอันดีงาม อย่างที่พูดได้ว่าผิดแผกจากสิงห์ชุมอื่นพึงกระทำ โดยส่วนใหญ่หากไม่เฉยเมยไปเสีย ก็ออกอาการดูถูกเหยียดหยันหรือจ้องเอาเปรียบกันร่ำไป...เช่นนี้คงถูกดังคำที่ว่า หัวเป็นเช่นไร หางย่อมเป็นเช่นนั้น ไม่ผิด


“แผลข้าอยู่ด้านหลัง มิใคร่ถนัดนัก รบกวนเจ้าช่วยทีได้ฤๅไม่เล่า” กัญจน์ราชสีห์รับสีผึ้งไว้ในมือแล้ว กลับไม่ยอมจากไป สิงห์หนุ่มเมื่อเห็นว่ายามอยู่ที่นี่ พิรัลไม่มีงานรักษาล้นมือเท่าที่คูหาสรรพยา เขาจึงกล้าที่จะเอ่ยปากร้องขอ


...แม้ความจริงแผลของกัญจน์จะมิต้องทาหยูกยาใดแล้ว แต่ความสำออยเพื่อให้ได้ใกล้ชิดทุรพลน้อยอีกสักหน่อย คงมิมากไปกระมัง


“ได้จ้ะ”


“เจ้าพิรัล เจ้าผสมดอกไม้ลงในขี้ผึ้งด้วยฤๅ” อุตมางค์หนุ่มนั่งหันหลังยิ้มกริ่ม เมื่อนิ้วเรียวแตะแต้มลงบนแผ่นหลังแผ่วเบา สัมผัสนุ่มนวลเคล้ากลิ่นหอมระรวยคล้ายดอกไม้อ่อนๆ พาให้จิตใจราชสีห์หนุ่มชื่นบานเป็นอย่างยิ่ง


“มิได้จ้ะ”


“เอ กลิ่นหอมนัก หอมหวานนวลจมูกดีพิลึก เช่นนั้นมาจากที่ใดกัน” เพียงได้ยินพิรัลนลินถึงกับนิ่งงัน ภายในใจดวงน้อยกระตุกวูบด้วยความหวาดหวั่น ด้วยราชสีห์กัญจน์นั้นเป็นอุตมางค์ หากใกล้ถึงช่วงฤดูเขาย่อมได้กลิ่นพิรัลนลินก่อนผู้ใด


“คงเป็นเครื่องหอมจากเรือนใกล้เคียงกระมังจ๊ะ” พิรัลโป้ปดคล้ายไม่รู้ความ ใจอยากรีบผละตัวออกโดยไว เป็นโชคที่เข้าข้างเมื่อเสียงทุ้มเรียบราบของอาคิราดังขึ้นขัดเสียอีกครา


“เจ้าพิรัล ผู้นี้คือท่านศศิน เป็นคู่ครองของราชสีห์ผู้ดูแลถ้ำแห่งนี้” อาคิราเดินเข้ามาพร้อมไกรสรสีหะตนหนึ่ง เมื่อเสียงทุ้มเอ่ยแนะนำสิงห์ตนนั้นให้แก่พิรัลนลินได้รู้จัก ทุรพลน้อยจึงเงยหน้าสบมองท่านศศินผู้นั้นอย่างเต็มตา หลังจากมีโอกาสได้เห็นเพียงครู่เดียวจากการที่อีกฝ่ายออกมาต้อนรับเมื่อเย็นวาน


มฤคินทร์เบื้องหน้าตนนี้นั้นมีผิวขาวนวลเนียนดังกลีบดอกมะลิลา ผมยาวสลวยดำขลับเช่นเดียวกับลูกนัยน์ตาถูกถักรวบทิ้งปลายลงด้านหลังอย่างประณีต ร่างสูงโปร่งนั้นแม้ไม่บึกบึนทว่าไม่อาจเรียกว่าอรชรแบบบาง โดยรวมแล้วทานศศินผู้นี้ทั้งรูปงามและน่าเกรงขามภายในตนเดียว


“ข้าไหว้จ้ะ”


“ยินดีที่ได้พบเจ้า ข้าห่างหายจากการเจรจาพาทีกับทุรพลด้วยกันมานานเหลือเกิน” ศศินรับไหว้พิรัลนลินด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล...ทั้งน้ำเสียงและกิริยาท่าทาง ทุรพลผู้นี้มิใช่งดงาม หากเป็นสง่างาม


“ใกล้หายดีแล้วฤๅไม่เล่า ท่านกัญจน์” ศศินบ่ายหน้าถามอาการอุตมางค์หนุ่ม ด้วยรอยยิ้มบาง


“ดีขึ้นโข หากข้ายังมิใคร่หายสนิทนักดอก” ปากพูดประดับรอยยิ้มเก้อเขิน ส่วนครรลองสายตานั้นจับจ้องไปยังทุรพลน้อยข้างกายอย่างไม่ปิดบัง


“พิรัลเจ้ามีกิจอันใดอยู่ฤๅไม่”


“เสร็จสิ้นทั้งหมดแล้วจ้ะ พี่อาคิรามีสิ่งใดจักใช้ข้าฤๅไม่จ๊ะ”


“หาใช่อาคิราดอก เป็นข้าเอง เจ้ามากับข้าสักประเดี๋ยวเถิด” ศศินตอบปฏิเสธแทนผู้ถาม เมื่อทุรพลน้อยพยักหน้ารับ เขาจึงเบี่ยงตัวเชิญสิงห์น้อย ไปหาที่เงียบสงบเพื่อพูดคุยปล่อยทิ้ง สิงห์หนุ่มทั้งสองไว้เบื้องหลัง


“จ้ะ”


“เช่นนั้นไปหอตำราเถิด พวกข้าไปหนาท่านกัญจน์ ท่านอาคิรา”




หอตำราบนเรือนใหญ่อันเงียบสงบ กลางเรือนมีตั่งเขียนตัวใหญ่ตั้งไว้ ด้านข้างฝาเรือนนั้นเต็มไปด้วยหีบอัดแน่นเป็นด้วยตำรับตำราละลานตา คาดว่าคงมากยิ่งกว่าหอตำรายาในคูหาสรรพยาหลายเท่าตัว


เมื่อทุรพลทั้งสองเข้ามายังสถานที่อันเป็นส่วนตัวดีแล้ว ศศินก็ไม่รอช้าที่จะเอ่ยปากถามความตั้งใจของตนออกมาทันที ด้วยสีหน้ามีแววกังวล ด้วยทุรพลด้วยกันนั้นดูกันออก ทุรพลน้อยเบื้องหน้านั้นนอกจากความงดงามอันเป็นรูปลักษณ์ประจำตนแล้ว ผิวพรรณกลับเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล ยามเยื้องย่างแย้มยิ้มดูจับตาคล้ายถูกปกคลุมไปด้วยมนตราเสน่หาบางประการ เช่นนี้ศศินที่ร้อนผ่านหนาวมาก่อนคิดว่าตนมองไม่ผิด


“เป็นเช่นไรบ้างเจ้าพิรัล มิใช่ว่าใกล้ถึงฤดูแรกแล้วฤๅ”


“จ้ะ ใกล้แล้ว อาการเตือนเริ่มมาแล้วจ้ะ” พิรัลหน้าเศร้ายอมรับโดยดี เพราะตนนั้นกำลังหนักใจอย่างยิ่ง สิงห์น้อยพลิกทุกตำรับยาจนถ้วนทั่วแล้ว ไม่มีแขนงไหนเลยที่จะช่วยชะลอการถึงฤดูได้ อาจารย์เคยบอกว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติในการดำรงเผ่าพันธุ์จึงไม่มีใครคิดปรุงมันขึ้นมา


“เจ้าเรียนรู้ถึงมันดีแล้วฤๅ”


“พอรู้จ้ะ ทว่า...มิมากนัก” ทุรพลน้อยส่งยิ้มแห้ง พิรัลนลินไม่มีผู้รู้คอยให้คำปรึกษามากนัก และอาศัยเพียงอ่านตำราในหอตำราซึ่งก็มิได้มานัก


“กว่าจักได้จับคู่ข้าผ่านมันมาหลายฤดูเทียว อย่าได้เกรงใจที่จักถามข้านะเจ้า ถือว่าเราทุรพลล้วนเป็นพี่น้องกัน” ใบหน้าคมส่งยิ้มบางคล้ายปลอบ ทั้งมืออุ่นยังเอื้อมมากุมมือเรียวไว้ จนพิรัลนลินนึกอุ่นใจขึ้นมาไม่น้อย


“ขอบพระคุณจ้ะ”


“มิต้องไหว้พี่ มีผู้ไหว้วานพี่มาดอก” ศศินส่ายหน้าปฏิเสธคำขอบคุณ เปลี่ยนคำเรียกขานตนให้สนิทสนมยิ่งขึ้น ทั้งยังคงติดรอยยิ้มบางไว้บนริมฝีปากไม่คลาย


“ผู้ใดกันจ๊ะ”


“พี่ว่าเจ้าคาดถูกแม้พี่มิบอก พิรัลหากกล่าวกันแต่ต้น พวกเรานั้นเข้าฤดูหาได้แน่นอน แต่ละตนแตกต่างกันไป ที่คล้ายกันคือ พวกเราเข้าฤดูทุกมาส ทรมานเสียร่วมเจ็ดทิวาราตรี” ยามต้องเอ่ยถึงประสบการณ์ที่ตนผ่านพ้นมา รอยยิ้มบนเรียวปากกระจับคล้ายเลือนหายไปกว่ากึ่งหนึ่ง ส่วนพิรัลนลินนั้นถึงกับหน้าเสีย ด้วยหากต้องต่อสู้กับการเข้าฤดูเช่นนี้เขาคงไม่เป็นอันทำอะไร


“ตะ แต่ข้าได้ยินว่ามีอาการเพียงปีละหนึ่งหน หนละเจ็ดทิวา หากร้างรามิได้เข้าคู่แล้ว อาการจะทรงตัวเพียงสิบหกทิวาราตรีเท่านั้น”


“เป็นเช่นนั้นได้ยามเจ้าได้เข้าคู่แล้วเท่านั้นดอก หากเจ้าได้เข้าคู่แล้ว ยามถึงฤดูในหนึ่งขวบปีเจ้าจักมีอาการ กระสันสังวาสราวเจ็ดทิวา ก่อนแลหลังสี่ถึงห้าทิวาคืนช่วงเพลาที่เจ้าแลคู่ครองมีโอกาสติดลูก ช่วงนี้เจ้าอาจมีอาการกระสันอย่างอ่อนบ้าง หากเจ้ายังครองพรหมจรรย์ไร้คู่ อาการเข้าฤดูนั้นจักมาเยือนเจ้าทุกเดือน สามทิวาบ้าง เจ็ดทิวาบ้าง เพื่อกระตุ้นให้พวกเรามีคู่เพื่อสืบเผ่าพันธุ์เช่นไรเล่า”


“หายุติธรรมไม่ เหตุใดมีเพียงทุรพลเช่นเราที่ทนทรมาน” เมื่อความหวังดับสูญ ทั้งยังเลวร้ายกว่าที่คาด ความพาลจึงบังเกิด


“เจ้าตัวน้อย มิใช่เพียงเราดอกหนา อุตมางค์นั้นเป็นเช่นกัน เพียงแต่มิได้รุนแรงเท่า” ศศินยกมือขึ้นลูบใบหน้านวลด้วยความเอ็นดู แม้จะรู้เช่นนั้น แต่พิรัลไม่ได้รู้สึกดีขึ้นแต่อย่างใด ภายในใจกรีดร้องว้าวุ่นดิ้นรนหาทางออกให้ตัวเอง กลับคล้ายวิ่งวนอยู่ในที่มืดไม่ปาน


“เจ้ารับไว้เรียนรู้เสีย ถึงเพลาเข้าฤดู จักได้ตั้งตัวได้ทัน” ศศินเมื่อเห็นน้องน้อยเงียบนิ่งไป ครั้นใบหน้ายังซีดเผือดสลับขุ่นเคือง จึงหยิบยื่นตำราเล่มหนึ่งให้


พิรัลนลินรีบประนมมือขอบคุณก่อนรับมาเปิดดูคร่าวๆ มีความหวังในใจขึ้นมาอีกนิด


“ตำรานี้คัดลอกมาจากชุมของพี่เอง ดูทีว่าลายมือนั้นคุ้นตาฤๅไม่” ศศินเอ่ยต่อพลางยกยิ้มเย้า


มีหรือที่พิรัลนลินจะจำไม่ได้ ลายมือหนักแน่นเป็นระเบียบเช่นนี้ ลายมือของพี่อาคิรา...






+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สิงหา...ถึงนักอ่าน


เนื่องจากทางเล้าปิดปรับปรุงเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เราเลยมาลงชดเชยคืนวันศุกร์นะคะ

สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณทุกความคิดเห็น

หากมีคำผิด หรือจุดที่อยากแนะนำ นักอ่านสะกิดเตือนได้เลยนะคะ

ผู้เขียนน้อมรับฟังนักอ่านทุกท่าน ด้วยความขอบคุณ

สำหรับตอนที่ ๗ จะลงในคืนพรุ่งนี้นะคะ








ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด