บทที่ ๑๕ (ครึ่งแรก)
วันหยุดวนกลับมาอีกครั้ง มิ้งชวนณิชเข้าไปในเมืองเพื่อหากิจกรรมทำในวันว่าง แน่นอนว่าคนที่มาจากสังคมคนเมืองคงหนีไม่พ้นห้างสรรพสินค้า ตอนแรกคิดยาวไปถึงการเที่ยวร้านเหล้าผับบาร์ แต่เพราะพรุ่งนี้มีงานต่อจึงต้องระงับไว้ก่อน
เข้าช่วงบ่ายพวกเขาดูหนังไปหนึ่งเรื่อง หลังดูเสร็จมิ้งจึงเดินซื้อของโดยมีณิชเดินเป็นเพื่อน จนทั้งคู่มาถึงชั้นซูเปอร์มาร์เก็ต พวกเขาไม่รอช้าหาเสบียงที่ตนต้องการกักตุนไว้ทันที
“หนูอยากกินอาหารฝรั่งบ้างอ่ะ ซื้อเส้นมักกะโรนีไปให้ป้าแจ่มทำให้ดีไหมพี่ณิช คุณตรีบอกว่าป้าแจ่มทำได้นะ อร่อยด้วย”
หญิงสาวตัวเล็กผมฟูทันสมัยพูดอย่างขอความเห็น ขณะที่เธอกำลังเลือกซื้อของกินจำพวกขนมไปตุนไว้ แน่นอนว่าซูเปอร์มาร์เก็ตในห้างสรรพสินค้าย่อมมีสินค้าทั้งของสดของแห้ง นี่เธอก็เพิ่งขนขนมเกาหลีลงรถเข็นไปเป็นกระบุง
“พี่ก็ไม่เคยเห็นป้าแจ่มทำอะไรไม่อร่อย” ณิชพูด
เขาเห็นด้วยกับมิ้ง ไม่ใช่พวกเขาเบื่ออาหารไทยหรืออาหารใต้ แต่เพราะคิดถึงอาหารชาติอื่นด้วยเลยซื้อไปติดครัวไว้ วันไหนว่างๆ ถ้าป้าแจ่มไม่สะดวกทำให้ เขาค่อยทำกินเองก็ยังได้ นี่กำลังคิดอยู่ว่าจะลองทำอาหารเมนูง่ายๆ ให้จีรัชญ์ทานดู
“ยิ้มอะไรคนเดียวน่ะพี่ณิช”
“คิดอะไรเพลินๆ น่ะ”
“คิดถึงคุณตรีรึเปล่า รู้นะว่าตอนนี้หายใจเข้าออกก็คุณตรีๆ น่ะ” มิ้งยิ้มล้อเพราะเธอรู้ดีว่าตอนนี้รุ่นพี่เธอไม่มีใจไปผูกพันกับใคร นอกจากหนุ่มในฝันที่ดันมีชีวิตจริงขึ้นมาเสียได้
สายตาของณิชเผลอมองตามจีรัชญ์ตลอด และเธอคิดว่าเจ้าตัวก็คงไม่รู้ว่าเวลาเห็นจีรัชญ์กลับมาถึงบ้านหลังจากเลิกงาน ใบหน้าหวานของรุ่นพี่เธอยิ้มหน้าบานเสียยิ่งกว่าอะไร
เธอเคยถามณิชว่าเหตุใดถึงไม่บอกไปว่าจำอดีตได้ทั้งหมดแล้ว ณิชบอกว่าเพราะอยากรอดูท่าทีของจีรัชญ์ เหมือนเป็นการหยั่งเชิงอีกฝ่ายว่าจะทำเช่นไร แต่คงไม่ปล่อยไว้นานหรอก เพราะทุกวันนี้จีรัชญ์แทบจะพูดนับคำกับณิชได้
คนทั้งคู่กลับมาถึงวังปริพัตรอีกครั้งในช่วงบ่ายคล้อย นายพลีคนสวนกำลังขุดดินอยู่แถวรั้ววังไกลๆ กับคนงานอีกสองสามคน มีเจ้านายของคนเหล่านั้นกำลังลงแรงอยู่เช่นกัน ทำราวกับว่าตนก็คือหนึ่งในคนงานที่ถูกจ้างมา
ณิชยืนมองกายกำยำของไอ้หาญ คนคนนี้มีชีวิตผ่านมานับร้อยปีได้ยังไง เหงามากไหม มีเพื่อนใหม่บ้างหรือเปล่า เคยร้องไห้กี่ร้อยกี่พันครั้งกับความทรมานที่ตกอยู่ในห้วงเวลาของฝ่ายที่ต้องรอเช่นนี้
“กลับกันมาแล้วเหรอคะ ป้าทำเค้กมะตูมเสร็จพอดี คุณณิชคุณมิ้งลองไปชิมสิคะ เดี๋ยวป้าเอาน้ำไปให้คุณตรีก่อนแล้วป้าจะตามไปที่ครัวค่ะ”
ป้าแจ่มเดินออกมาพร้อมพี่หวีแม่บ้านอีกคน ในมือหญิงสูงวัยถือถาดที่มีแก้วหลายใบ และน้ำมะตูมที่อยู่ในขวดพลาสติกแช่เย็นไว้แล้ว ส่วนพี่หวีก็ถือกระติกที่ภายในบรรจุน้ำแข็งมาจำนวนหนึ่ง ป้าแจ่มเสริมว่าจีรัชญ์ย้ำเสมอเรื่องอาหารการกิน หากตนได้ทานอะไร คนที่มาช่วยงานก็ต้องได้ทานเช่นนั้น ไม่มีการแบ่งชนชั้นใครคือนายใครคือบ่าว ท้ายสุดทุกคนก็มีชีวิตและจิตใจไม่ต่างกัน
“เดี๋ยวผมยกไปให้เองครับ รบกวนป้าแจ่มกับพี่หวีไปช่วยมิ้งขนของเธอครับ รายนั้นซื้อของมาเยอะมาก” ณิชพูดก่อนจะรับของเหล่านั้นมาถือไว้เอง กระติกน้ำแข็งที่มีน้ำหนักไม่น้อยถูกคล้องไว้ที่แขน ถาดแก้วและขวดน้ำมะตูมก็อยู่บนถาดที่ถือด้วยมือสั่นๆ แต่เขาก็ยังยืนยันจะเอาไปให้จีรัชญ์เองให้ได้
“คุณจีรัชญ์ครับ ผมเอาน้ำมะตูมมาให้” หนุ่มกรุงเรียกอีกฝ่ายก่อนจะรีบวางของทั้งหมดลงบนโต๊ะม้าหินอ่อนใต้ต้นลีลาวดี สะบัดอาการปวดแขนที่เกร็งมาตั้งแต่หน้ามุขคฤหาสน์จนถึงขอบรั้วกำแพงสูง
ชายหนุ่มเจ้าของชื่อที่โดนเรียกหันมามอง ใบหน้าคมเข้มเต็มไปด้วยเหงื่อ แต่เจ้าตัวกลับยกแขนขึ้นซับลวกๆ พอให้ไม่เข้าตาก็เท่านั้น ก่อนจะเดินมาหาณิชที่รินน้ำใส่แก้วยื่นให้ตน
“ป้าแจ่มบอกคุณเข้าในเมืองไปซื้อของ ได้ของครบไหม” คนถามถามพลางรับน้ำมะตูมมาดื่ม รสชาติหวานอ่อนๆ และกลิ่นเฉพาะตัว ทำให้รู้สึกคลายความเหนื่อยล้าจากการทำงานพอได้บ้าง
“ผมไม่ค่อยได้ซื้อหรอกครับ ส่วนใหญ่เป็นมิ้งมากกว่า” ณิชตอบก่อนจะมองสำรวจพื้นที่โดนรอบ ซึ่งตอนนี้คนงานยังคงทำหน้าที่ต่อไป
“คุณจะทำอะไรเหรอครับ ขุดทำไม”
“ว่าจะลงต้นแก้วสักหน่อย”
“ผมชอบดอกไม้หอม ชอบมาก โดยเฉพาะดอกพุดน้ำบุษย์” ณิชโพล่งกลับไปทันทีแล้วรอดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนจีรัชญ์จะเก็บอาการเก่งเสียเหลือเกิน นอกจากจะทำทีเป็นดื่มน้ำจนหมดแก้วแล้ว ยังหันไปคุยกับนายพลีไม่สนใจเขาอีก
เหงื่อเม็ดเป้งผุดซึมตามกรอบหน้า เพราะอากาศร้อนและมาจากการออกแรง ทำให้ณิชเลือกจะซับหน้าให้อีกฝ่ายด้วยผ้าเช็ดหน้าของตน เขาทำเพราะใจอยากทำ และคิดว่าหากเป็นตัวเองในอดีตก็คงทำแบบนี้เช่นเดียวกัน
แต่จีรัชญ์ที่หันกลับมาเห็นว่าณิชกำลังจะทำอะไร เขากลับจับข้อมืออีกฝ่ายไว้มั่น จ้องมองนัยน์ตาสวยที่กำลังมองเขาและเต็มไปด้วยความใน ตั้งแต่ณิชฟื้นขึ้นมาจากการหลับใหลที่ยาวนาน ท่าทีของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนไป ณิชดูพยายามเข้าหาเขามากขึ้น อาจเพราะอยากรู้เรื่องราวของหาญ หรือไม่ก็เพราะเห็นว่าอยากทดแทนบุญคุณที่เขาเคยช่วยอีกฝ่ายไว้ก็เป็นได้
ความใกล้ชิดที่ณิชพยายามลดระยะห่างระหว่างเขาสองคนทำให้เขาหวั่นใจ กลัวเหลือเกินว่าตนเองจะเผลอใจไปรักอีกฝ่ายเข้าอีกครั้ง เพราะมันคือสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในชาตินี้ แม้บ่วงชะตาที่ผูกพันกันมาแต่ชาติปางก่อนโน้น จะทำให้ต้องมาวนเวียนประสบพบเจอกันทุกครั้งไป แต่ชาตินี้เขาขอทรมานด้วยใจที่ตัดขาด อยู่ไปกับวันเวลาที่หาจุดสิ้นสุดนี้ไม่ได้ด้วยใจที่ไร้รักยังดีเสียกว่า
“จะทำอะไร”
“ผมจะซับเหงื่อให้ รู้ไหมว่าสภาพคุณตอนนี้เป็นยังไง เหงื่อทั้งตัวทั้งหน้าแล้ว”
“ไม่เป็นไร ผมไม่ต้องการ”
คำพูดปฏิเสธที่จะรับน้ำใจจากอีกฝ่ายทำณิชถึงกับหน้าชา ใบหน้าที่เคยแต้มไปด้วยรอยยิ้มสวยสลดลงด้วยความใจเสีย หาญไม่ให้อภัยในสิ่งที่เขาเคยทำไว้เมื่อชาติที่แล้วหรือยังไง ทำไมถึงได้เฉยเมยใส่กันได้ ทำราวกับแค่คนร่วมงานกันเพียงเท่านั้น
เขารู้สึกได้ว่ากำแพงที่จีรัชญ์สร้างขึ้นมาหนามาก และถ้าหากเขายังหยั่งเชิงอยู่อย่างนี้ เห็นทีคงจะไปไม่ถึงไหน นอกจากจะช่วยกันให้หลุดพ้นคำสาปไม่ได้แล้ว จะยิ่งห่างเหินกันไปใหญ่
“เย็นนี้คุณว่างไหม ผมมีเรื่องจะคุยด้วย” ณิชตัดสินใจที่จะบอกความจริงวันนี้ คงไม่เก็บไว้อีกต่อไปแล้ว
“ไม่ว่าง” จีรัชญ์ตอบเสียงห้วน ไม่หันมองอีกฝ่ายสักนิด
“งั้นคืนนี้”
“ไม่”
“คุณจีรัชญ์ ถ้าคุณยังหลบผมอยู่อย่างนี้ ผมจะขโมยกุญแจจากคุณอีก เพื่อหาสมุดและจดหมายที่ตอนนี้คุณเอาไปซ่อนอีกครั้ง ต้องพลิกวังปริพัตรหาผมก็จะทำ ต่อให้คุณโกรธหรือเกลียด หรือจะไล่ผมออกจากที่นี่ผมก็จะไม่ไป เพราะสมุดเล่มนั้นคือของผมไม่ใช่ของคุณ!”
ณิชพูดอย่างเหลืออด ข้อมือที่เคยถูกกำไว้ถูกอีกฝ่ายปล่อยทิ้งราวกับข้อมือเขาคือของร้อน เขากำหมัดด้วยความโกรธและน้อยใจก่อนจะเดินหนี ไม่สนใจจีรัชญ์อีกเลย
สีหน้าจีรัชญ์เมื่อได้ฟังคำพูดณิชจบก็อึ้งไปไม่น้อย แต่เพราะความนิ่งขรึมทำให้ไม่มีใครจับสังเกตได้ว่าคนทั้งสองมีปากเสียงกัน นายพลีหันมาเรียกเจ้านายให้ไปตรวจงาน จีรัชญ์จึงปัดเรื่องณิชออกไปก่อน แม้ในใจตอนนี้จะเรียกหาไอ้มั่นเสียงแข็งก็ตาม
‘ไอ้มั่น! คุณณิชมองเห็นมึงแล้วใช่ไหม’
ดวงวิญญาณของบ่าวผู้ซื่อสัตย์ที่กำลังนั่งดูมิ้งรื้อถุงเครื่องประทินโฉมอยู่สะดุ้งโหยง เมื่อได้ยินเสียงไอ้เกลอเรียกลั่นกระแทกกระแสจิต แต่มันกลับเงียบไม่ตอบ เพราะมันคือบ่าวของคุณปราณ เจ้านายสั่งอย่างไรไว้ก็ต้องทำตาม จะให้ปริปากเรื่องที่คุณปราณสั่งไว้หรือ นั่นคงเป็นสิ่งสุดท้ายที่มันจะทำ ได้แค่ลอบขอโทษไอ้เกลอในใจเพียงเท่านั้น
‘มึงเงียบใส่กูเช่นนี้หมายความว่าอะไร เขาเห็นมึงแล้วใช่ไหม’
ยิ่งไอ้มั่นไม่ตอบก็ทำให้จีรัชญ์เครียดหนัก กลายเป็นปล่อยให้นายพลีคุมคนงานที่จ้างมา ส่วนตนนั้นเดินเข้าคฤหาสน์เพื่อไปตามหาณิช จะได้คุยกันให้รู้เรื่อง แต่อีกฝ่ายกลับหายต๋อมไปขลุกอยู่ในครัวกับป้าแจ่ม จะเข้าไปขัดตอนนี้ก็คงแปลกไปหน่อย จึงเลือกจะเดินขึ้นห้องตัวเองไปอาบน้ำเสียก่อน ลงมาอีกทีก็ได้เวลามื้อเย็นแล้ว
หญิงสาวเพียงคนเดียวบนโต๊ะอาหารมองรุ่นพี่ของเธอสลับกับเจ้าของวัง บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองมันแปลกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จีรัชญ์เงียบเป็นปกติแต่รู้สึกได้ถึงความกดดันที่แผ่ออกมาจากตัว ส่วนณิชเงียบจนผิดปกติ หน้าตาก็ติดไปทางบึ้งตึงและไม่เงยหน้าขึ้นจากจานข้าวเลยสักนิด
“ผมอิ่มแล้ว ขอตัว” ณิชยอมเสียมารยาทแม้อาหารในจานจะพร่องไปเพียงครึ่งก็ตาม รู้สึกทานอะไรไม่ลงเมื่อต้องมาร่วมโต๊ะกับคนที่ไม่คิดจะสนใจตนแบบนี้
“เอ่อ...พี่ณิช...” มิ้งเรียกเสียงเบา แต่อีกฝ่ายไม่ได้หันกลับมามองแล้ว เธอเหลือบมองจีรัชญ์ที่มองตามหลังคนที่จากไป จากนั้นไม่นานจีรัชญ์ก็ลุกตามไปอีกคน
‘เกิดอะไรขึ้นน่ะพี่มั่น’
‘คุณปราณโวยใส่ไอ้หาญเรื่องที่ไม่ยอมเข้าใกล้น่ะสิ คืนนี้ข้าว่าคงคุยกันยาว’
‘พี่ไปดูหน่อยสิ หนูอยากรู้ว่าเขาคุยกันว่ายังไงบ้าง’
‘ไม่เอา ข้าไม่ยุ่งเรื่องเจ้าเรื่องนาย’
‘วุ้ย! พี่มั่นนี่ซื่อจริง’
มิ้งถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะตักข้าวเข้าปากคำโต ตอนนี้ทั้งโต๊ะอาหารมีแค่เธอเพียงคนเดียวที่ยังทานอยู่ ป้าแจ่มก็ยังไม่เข้ามาเพราะยังไม่ถึงเวลาเก็บโต๊ะ เธอจึงแอบตักอาหารและวิ่งไปหยิบธูปในห้องพระมาจุดให้ไอ้มั่นได้กินเป็นเพื่อนเธอ
วิญญาณของไอ้บ่าวตัวดำตักข้าวเข้าปาก แม้จะไม่ได้รับรู้รสชาติเต็มๆ อย่างตอนมีชีวิต แต่ก็ทำให้มันมีเพื่อนนั่งเล่าเรื่องราวชีวิตของคนสมัยนี้ฟังแก้เบื่อ โดยหารู้ไม่ว่าชั้นบนนั้นกำลังเกิดอารมณ์มาคุระหว่างคนสองคน
“คุณณิช เดี๋ยวก่อน” จีรัญ์รีบเข้าไปคว้าแขนอีกฝ่ายไว้ก่อนเจ้าตัวจะเดินเข้าห้องตัวเองไป ณิชหันมามองด้วยสายตาโกรธๆ ก่อนจะมองเมินไปอื่นเสีย
“คุณรู้เรื่องผมแล้วทำไมไม่บอก”
“เพราะผมอยากรู้ว่าคุณจะทำยังไงกับสิ่งที่ตัวเองต้องเจอ แต่นอกจากคุณจะไม่ยุ่งกับผมแล้ว ยังทำตัวห่างเหินราวผมเป็นคนอื่น” พูดมาถึงตรงนี้ความน้อยใจที่สะสมมาตั้งแต่บ่ายก็เอ่อล้นเกือบเป็นน้ำตา เขาจึงกะพริบตาถี่ๆ ไล่มันไป
เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน จากที่ไม่ใช่คนขี้แย แต่พอมารู้เรื่องราวอดีตของตัวเองและผู้ชายคนหนึ่งที่รอเขามาเป็นร้อยปื ความอ่อนแอก็มีมาเรื่อยๆ ราวกับไม่ใช่ตัวเอง จากที่เคยเป็นผู้ชายธรรมดาๆ ก็รู้สึกตัวเล็กขึ้นมาจนอยากให้อีกฝ่ายปกป้อง
จีรัชญ์ดึงณิชให้มาที่ห้องนอนของเขา ปิดประตูลงกลอนให้เรียบร้อยเพื่อจะได้แน่ใจว่าจะไม่มีใครแอบฟัง มองไปรอบห้องไม่เจอไอ้เพื่อนเกลอ เขาก็วางใจในการรู้ความของมันว่าไม่ควรเข้ามายุ่งในเวลานี้
“คุณรู้แค่ไหน รู้มากแค่ไหนคุณณิชบอกผมมาให้หมด” ใจคนถามเต้นรัวอยู่ในอกเพราะลุ้นกับคำตอบ ณิชเก็บงำเรื่องนี้ไม่บอกเขามานานแค่ไหน ตั้งแต่วันที่ฟื้นเลยหรือเปล่า
“รู้ว่าคุณอยู่อย่างทรมานเพราะคำสาปที่พ่อผมเป็นคนแช่งไว้ ผม...”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ก้อนความเสียใจก็จุกตื้อที่ลำคอจนพูดไม่ออก ยิ่งมองใบหน้าอีกฝ่ายใกล้ๆ ก็ยิ่งเสียใจที่เขาเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด แม้ไอ้หาญจะเปลี่ยนไปจากเดิมตามยุคตามสมัย แต่นัยตาซื่อก็ยังคงเป็นแววตาคู่เดิมที่มองเขาไม่เคยเปลี่ยน
“ฮึก...” แล้วมันก็สุดทนจนณิชต้องโผเข้ากอดอีกฝ่ายเต็มรัก ปล่อยเสียงร้องไห้โฮกับอกกว้างที่รองรับเขาไว้ไม่ถอยห่างอีกต่อไป ยิ่งเสียใจมากเท่าไหร่ คนตัวเล็กกว่าก็ยิ่งกอดรัดอีกฝ่ายไว้แน่นมากขึ้นเท่านั้น
จีรัชญ์ลมหายใจสะดุด เสียงสะอื้นของณิชฟังดูน่าสงสารจับใจ มันร้าวรานทรมานจนเขาเองก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นหลังจากณิชตื่นจากฝันร้าย หรือละเมอหาไอ้หาญคนในฝันอีกแล้ว แรงกอดกระชับที่เขาได้รับ มันทำให้รู้สึกว่าคนคนนี้กอดราวกับกลัวว่าเขาจะหายไปในนาทีใดนาทีหนึ่ง หากถามว่าชาตินี้เขามีความสุขมากที่สุดตอนไหน คงตอบได้ว่าตอนนี้ และเขาอยากหยุดนาทีนี้ไว้ให้นานที่สุด เพราะหลังจากนี้ไม่รู้ว่าเขาจะได้เจอความสุขเช่นนี้อีกไหม
อ้อมกอดที่โหยหามานานแสนนาน ห้วงเวลาที่แสนทรมานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ ทำให้จีรัชญ์เผลอกอดตอบอีกฝ่ายไป น้ำตาของมันไหลเป็นสายเงียบๆ ไปพร้อมกับเสียงสะอื้นของยอดดวงใจ
“หะ...หาญ ผมขอโทษ ขอโทษจริงๆ อึก...ฮือ” ณิชพยายามหาช่องว่างระหว่างเสียงสะอื้นของตัวเองเพื่อตั้งสติ จะได้พูดกับอีกฝ่ายให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่มันก็ยากเหลือเกินเมื่อเขาห้ามร่างกายตัวเองไม่ได้ สะอึกสะอื้นราวเด็กน้อยจนจีรัชญ์ลอบยิ้มขำทั้งน้ำตา
ใบหน้าของชายหนุ่มที่มีเสี้ยวความหวานก้มงุดติดอก บี้ไปมาเหมือนออดอ้อน จีรัชญ์ลอบเช็ดน้ำตาของตัวเองก่อนจะลูบกลุ่มผมนุ่ม ใจหนึ่งก็ดีใจที่ได้ยินอีกฝ่ายเรียกชื่อตนอีกครั้งในวันที่จำเรื่องราวในอดีตได้ แต่อีกใจก็ปวดหนึบเพราะสิ่งที่ณิชรู้คงมีเพียงเสี้ยวของเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด
จีรัชญ์ปล่อยให้ณิชร้องไห้กับอกตนจนเสื้อเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา ก่อนณิชจะยอมผละออกทำให้เห็นปลายจมูกแดงจัด และดวงตาที่แดงก่ำพร้อมแพขนตาที่ยังมีหยาดน้ำตาเกาะ ท่าทางน่าเอ็นดูจนเขาอดใจไม่ไหวต้องเช็ดคราบน้ำตาให้
“ผมใจร้ายกับคุณมากเลย ผมขอโทษจริงๆ” ณิชพูดไปปากก็เริ่มเบะ เพราะพอเริ่มพูดน้ำตาก็พาลจะไหลอยู่ร่ำไป
“ผมไม่โกรธ ไม่เคยโกรธคุณเลย”
คนที่ยอมโน้มกายลงมาเพื่อให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกัน ทำให้ณิชมองหน้าอีกฝ่ายไม่ละสายตา ความอบอุ่นของหาญในความฝันเขาได้สัมผัสมันจริงๆ แล้วในวันนี้ จากที่คิดเคืองน้อยใจก่อนหน้านี้หายเป็นปลิดทิ้ง เพราะไม่ว่ายังไงเขาก็คือคนผิดอยู่ดี หากจีรัชญ์จะระวังตัวก็ไม่แปลกหรอก ยิ่งถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมเข้าใกล้ เขาก็ต้องรุกเข้าหา ไม่ว่าอย่างไรในชาตินี้หาญจะต้องถูกปลดปล่อยจากคำสาปนี้
เจ้าของห้องขอตัวเข้าไปเปลี่ยนเสื้อ เนื่องจากเสื้อเลอะไปด้วยน้ำตาและน้ำมูกของเขาเต็มไปหมด น่าอายเหมือนกันแต่จะทำอย่างไรได้เมื่อมันห้ามตัวเองไม่ได้ เขาแอบเดินตามไปที่ห้องแต่งตัว แผ่นหลังกว้างที่เต็มไปด้วยบาดแผลจากการถูกเฆี่ยนตี คาดว่ามาจากครั้งหลังสุดที่โดนจับขังในกระท่อม มันยังคงเห็นชัดเจนราวกับรอยเพิ่งเกิดได้ไม่นาน
ณิชแอบย่องเข้าไปใกล้ขณะที่จีรัชญ์กำลังยืนเลือกเสื้ออยู่ ภายในห้องแต่งตัวจัดวางเป็นระเบียบและมีกลิ่นสะอาด เขาเดินเข้าไปใกล้แผ่นหลังกว้างมากยิ่งขึ้น ความทรงจำที่ได้รู้ความจริงมาไหลพรั่งพรูเข้าหัวราวกับฉายหนังซ้ำ ก่อนมือเรียวจะแตะไปบนผิวขรุขระตามรอยแผลที่เคยเห็นมาก่อนหน้านี้แล้ว และโอบกอดอีกฝ่ายจากทางด้านหลังไว้
จีรัชญ์ยืนนิ่ง เขารับรู้นานแล้วว่าณิชเข้ามาในห้อง แต่ที่ไม่สนใจเพราะคิดว่าอีกฝ่ายก็คงเข้ามาล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ แต่ผิดจากที่คิดไว้อยู่มากโข อ้อมกอดที่อีกฝ่ายมอบให้พร้อมแรงจูบซับแผ่วเบาตามรอยแผลทำใจเขาเต้นอย่างหนักหน่วง หากยังเป็นแบบนี้ต่อให้เขาหักห้ามจิตอย่างไร โชคชะตาที่ถูกกำหนดมาแล้วก็คงฝืนไม่ได้อย่างที่ไอ้มั่นเคยพูดไว้
โปรดติดตามส่วนต่อไป
ขอบคุณทุกความเห็นค่ะ