บทที่ ๑๙ (ครึ่งแรก)“พี่มั่น! เล่ามาว่าเมื่อกี๊เกิดอะไรขึ้น” มิ้งหันไปไล่บี้กับไอ้มั่นหลังจากคนทั้งคู่เดินหายเข้าไปด้านในแล้ว ไอ้มั่นที่ยืนอยู่ใกล้กันจึงหัวเราะเบาๆ
“หาได้มีเรื่องอันใดให้เจ้าต้องกลัวไม่ คุณปราณเพียงแต่ขับเจ้าสี่ล้อนี้ตกหลุมเบ้อเริ่มตรงทางเข้าซอย จนตัวรถเป็นรอยถลอกเพียงแค่นั้น”
“แต่พี่รีบหายตัวไปเลย หน้าตาเหมือนรู้ว่าเกิดเรื่องร้ายแรง”
“ข้าก็แค่แสดง มิเช่นนั่นเจ้าจะได้เห็นไอ้หาญในมุมนี้รึ”
อันที่จริงมันตกใจเมื่อได้ยินเสียงคุณปราณ แต่เมื่อไปดูก็พบว่าอีกฝ่ายแค่จอดรถริมถนนและลงมาดูสภาพรถตนเองเท่านั้น อีกทั้งยังอยู่ในที่ชุมชน พอถามก็ได้ความอย่างที่บอกมิ้งไป จากนั้นมันก็นั่งรถมากับคุณปราณจนมาเจอไอ้หาญที่โกรธจัดนั่นแหละ ไอ้หาญนะไอ้หาญ หากไม่ห่วงเขาจริง มีหรือจะร้อนเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนี้
ทางด้านจีรัชญ์ที่ลากณิชเข้ามาในบ้านได้ก็โดนณิชยื้อตัวให้หยุดที่โถงกลาง ณิชมองจีรัชญ์ด้วยใบหน้าอมยิ้ม เขาไม่ได้โกรธอีกฝ่ายทำรุนแรงใส่ เพราะแม้ท่าทีขึงขังที่แสดงออกมันจะดูดุดันอยู่ในที แต่ความรู้สึกจริงๆ ที่ได้รับนั้นจีรัชญ์ทำเพียงกดแรงมือให้แน่นกว่าเดิมเพียงแค่นั้น ไม่ได้ฉุดกระชากลากถูเหมือนพวกชอบความรุนแรงที่ทำกัน
“ใจเย็นๆ ก่อนได้ไหม ผมเดินไม่ทัน”
“ผมโกรธคุณมากนะคุณณิช เรื่องตอนนั้นที่โดนเด็กวัยรุ่นรุมทำร้ายมันไม่ทำให้คุณรู้สึกกลัวบ้างเลยรึไง ก็รู้อยู่ว่าที่ทางแถวนี้มันเปลี่ยว ทำไมถึงได้...”
“พอก่อนหาญ ใจเย็นๆ ขึ้นไปคุยกันข้างบนเถอะ”
ณิชพูดเบาๆ มือเรียวยกขึ้นลูบแขนข้างที่อีกฝ่ายยังจับข้อมือเขาไว้มั่น เพื่อปลอบให้ความร้อนใจของเจ้าตัวเย็นลง พี่หวีแม่บ้านเดินออกมาดูเพราะเห็นว่าที่โต๊ะรับประทานอาหารไม่มีใครอยู่เลยทั้งที่กับข้าวยังเต็มโต๊ะ ณิชไม่อยากให้อาการโกรธจนฟิวส์ขาดของไอ้หาญทำแม่บ้านตกใจจึงคิดว่าเลี่ยงขึ้นไปคุยกันข้างบนคงจะดีกว่า
เมื่อขึ้นมาข้างบนได้ไอ้หาญก็พาคนของมันเข้าห้องในทันที อยากจะต่อว่าให้สมกับความเป็นห่วงที่พลุ่งพล่านในอกก่อนหน้านี้ แต่เมื่อหันกลับมาเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายก็ทำมันฉุนกึก ณิชไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้หรือยังไง
“ยิ้มอะไร” จีรัชญ์ถามเสียงเข้ม มองอีกฝ่ายที่ยังคงมองมาที่เขาพร้อมรอยยิ้มดูมีเลศนัย
“คุณดูโกรธมาก”
“ใช่! ผมโกรธที่คุณไม่รู้จักห่วงตัวเอง จะออกไปไหนมาไหนผมไม่เคยห้าม แต่ไม่ใช่กลับตอนมืดค่ำแบบนี้ ผมคิดว่าเหตุการณ์โดนทำร้ายในครั้งนั้นมันจะทำให้คุณจำว่าที่ทางแถวนี้ไม่ปลอดภัย แต่คุณก็ยัง...อุ๊บ!”
คนที่ครั้งหนึ่งเคยใจเย็น พูดน้อย และพูดแต่คำว่าขอรับ ทำเขาอดไม่ได้ที่จะจูบปิดปากเพื่อกลืนคำต่อว่าเหล่านั้นเข้าไปให้หมด สองมือเรียวประคองแก้มสากของอีกฝ่ายไว้ ไม่ให้เจ้าตัวได้ทั้งตั้งตัวว่ากำลังโดนจู่โจมอยู่ มอบรสจูบที่เต็มไปด้วยความออดอ้อนเพื่อขอโทษในสิ่งที่ตนได้ทำลงไป หวังว่าจูบนี้จะง้ออีกฝ่ายได้สำเร็จ
ในเมื่อสุทินบอกว่าจีรัชญ์ชอบอะไรเดิมๆ ชอบเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนดั่งคนรักเดียวใจเดียว เช่นนั้นเขาก็ต้องปลุกจิตวิญญาณของคุณปราณให้ทำงานอีกครั้ง ใช้วิธีการง้อแบบถึงเนื้อถึงตัวอย่างที่ไอ้หาญเคยชอบคงจะดีที่สุด
จีรัชญ์ยืนแข็งเป็นแท่งหินเมื่อโดนณิชประกบปิดปากเสียอย่างนั้น แทนที่จะสำนึกว่าเขากำลังต่อว่าและตัวเองต้องสำนึกผิด กลับกลายมาจูบเขาเพื่อปิดคิดต่อว่าเหล่านั้นเสีย กลีบปากที่กำลังขยับอยู่บนริมฝีปากของเขาดูซุกซน เขาจะผละออกแต่ก็โดนรั้งไว้จนทนไม่ไหว ต้องอุ้มอีกฝ่ายไปทิ้งบนเตียง
“อย่ามาเล่นแบบนี้กับผม”
ในที่สุดปากก็หลุดห่างออกจากกัน จีรัชญ์คร่อมณิชอยู่มองอีกฝ่ายตาเขม็งอย่างตำหนิ แม้ใจจะเต้นรัวในอกเพราะรสจูบวาบหวามเมื่อครู่
“ผมไม่ได้เล่น อยากรู้เหมือนกันว่าคนที่พยายามทำใจแข็งเหมือนหินจะทนได้สักกี่น้ำ ปากบอกไม่ห่วงแต่ตอนนี้คุณกำลังเป็นห่วงผมอยู่ชัดๆ”
ณิชยิ้มเย้ยที่เขารู้สึกว่าตนเองกำลังเหนือกว่าจีรัชญ์ ถึงแม้ตอนนี้เขาจะนอนอยู่ใต้ร่างของอีกฝ่ายก็ตาม นิ้วเรียวไต่แตะไปบนผิวที่โผล่พ้นเสื้อของอีกฝ่ายเบาๆ ลำแขนแข็งแรงที่มีมัดกล้ามและผิวคล้ำแดดน่าสัมผัส
จีรัชญ์เงียบจับมือณิชที่กำลังซุกซนไต่ไปทั่วตัวเขาไว้ เขาไม่รู้จะโต้ตอบอีกฝ่ายไปอย่างไรดีเพราะทุกอย่างชัดเจนจนไม่อาจค้านได้ เขาเป็นห่วงณิชจนแทบบ้า คิดไว้เลยว่าถ้าขับรถออกไปแล้วไม่เจอณิชใจเขาคงแหลกเหลวไปอีกครั้ง
สายตาสองคู่สอดประสาน ต่างฝ่ายต่างมองลึกเข้าไปในดวงตาที่ใครๆ ต่างบอกว่าเป็นหน้าต่างของหัวใจ จีรัชญ์เห็นแต่ความอยากรู้ อยากลอง และโหยหาตัวเขาจากสายตาของณิช ส่วนณิชที่มองตอบไม่ยอมแพ้ค่อยๆ หุบยิ้มลง เพราะเขารู้สึกได้แค่ความท้อถอยจากจีรัชญ์ที่ส่งผ่านมาเท่านั้น
“คุณไม่รู้อะไรเลย ไม่เคยรู้อะไรเลย”
หลังจากที่เงียบไปนานจีรัชญ์ก็พูดขึ้นในที่สุด ดวงตาคมที่เคยแข็งกร้าวเพราะความโกรธก่อนหน้านี้อ่อนลง ทอดมองคนใต้ร่างที่ยังคงมองเขาไม่ละสายตา ดวงตาคู่นี้คู่เดิมที่เขาจำได้แม่นไม่เคยเปลี่ยน คิดถึงใจจะขาดแต่เพราะไม่อยากเจ็บช้ำจนเกินทนอีกจึงอยากตัดใจเสียตั้งแต่ต้น
รู้ว่ามันยากเพราะโชคชะตาผูกเขาสองคนไว้ด้วยกัน
รู้ว่าคนเดียวที่จะช่วยเหลือเขาได้มีเพียงคนตรงหน้าเท่านั้น
รู้ว่าทุกอย่างต้องดำเนินไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แต่ขอแค่เพียงชาตินี้ได้ไหม ที่มันจะอยู่ซ่อมแซมความรู้สึกที่ติดค้างไว้จากเมื่อสองชาติก่อนให้กลับมาเข้มแข็งได้อีกครั้ง ขอให้มันได้อยู่กับความว่างเปล่าต่อไปอีกสักหน่อย เพราะอย่างน้อยๆ มันก็ได้รู้ว่าความเสียใจในชาตินี้มันเป็นคนเลือกเอง หาใช่เพราะการดูคนรักจากไปอย่างไม่มีวันกลับอีกครั้ง
มือเรียวยกขึ้นปาดน้ำตาจากดวงตาสวย ไอ้หาญร้องไห้ต่อหน้ายอดดวงใจของมันอีกครั้งหนึ่ง ร่างกายที่กำยำสูงใหญ่เอนลงซบกับอกบางราวคนกำลังหมดแรง ไร้เสียงสะอื้นแต่ร่างกายกลับสั่นเทาเพราะความสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ อ้อมแขนแข็งแรงกอดร่างของณิชไว้ราวกับกลัวอีกฝ่ายจะหายไปในนาทีใดนาทีหนึ่ง ความเปียกชื้นของเสื้อตรงอกที่จีรัชญ์ซบอยู่เขารับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายต้องทนแบกรับทุกอย่างไว้มากแค่ไหน
“ผมไม่อยากเสียคุณไปซ้ำๆ แม้ปากผมจะบอกว่าเข้าใจว่ามันเป็นโชคชะตาแต่ผมไม่เคยทนได้ แต่เพราะคำสาปทำให้ต้องทน ผมเคยทำทุกอย่างที่คนคนหนึ่งจะทำได้ ผมตามหาคุณ ผมแทบพลิกแผ่นดินทุกตารางนิ้วมองหาเพียงแค่คุณคนเดียว แต่ท้ายสุดผมก็เสียคุณไปอยู่ดี ชาตินี้...ผมอยากพัก ผมเหนื่อยจนแทบยืนไม่ไหวแล้ว”
เพราะมันต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว วันที่มันเสียใจที่สุดจนไม่อยากมีชีวิตแต่ก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทนต่อไป นาทีแล้วนาทีเล่า วันแล้ววันเล่า ในขณะที่ทุกอย่างดำเนินไปแต่มันก็ยังคงจมอยู่กับความเสียใจเช่นเดิม
ครั้งหนึ่งเคยวาดหวังเสียสวยหรู คิดไว้ว่าตนต้องหลุดพ้นจากคำสาปนี้ แต่เมื่อไม่เป็นดังหวัง อีกทั้งยังเจ็บปวดทรมานกว่าครั้งแรกที่รู้ว่าคุณปราณตายเป็นไหนๆ ไอ้หาญที่เคยลั่นวาจาไว้ว่าขออโหสิกรรมให้ท่านออกญาศรีรัตนกรกลับทรุดกายลง ร้องไห้ทุรนทุรายอยู่บนพื้นพร้อมใจที่โกรธเกลียดคนที่ทำให้มันเป็นเช่นนี้ มันคับแน่นในอกแทบหายใจไม่ออก
ณิชเงียบฟังสิ่งที่จีรัชญ์กำลังระบายออกมา เขากอดกระชับอีกฝ่ายเพื่อสื่อให้รู้ว่าชาตินี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะต้องช่วยคนคนนี้พ้นคำสาปให้ได้
“ผมสัญญา...ในชาตินี้ผมจะรักษาตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อคุณ คุณจะไม่มีวันมองผมจากไปเหมือนชาติที่แล้วมา ถ้าคุณเหนื่อยผมจะเป็นที่พักพิงที่สุดท้ายของคุณเอง”
เขากระซิบบอกคนที่ต้องอยู่กับความเสียใจมาตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา ในอกเจ็บแปลบยามคิดไปถึงว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้ไอ้หาญต้องมาเจอแบบนี้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่ฆ่าตัวตายเพื่อหนีความเจ็บปวดที่เทียบไม่ได้สักครึ่งหนึ่งของไอ้หาญในตอนนี้เลย
คนทั้งคู่นอนกอดกันอยู่อย่างนั้นจวบจนจีรัชญ์เผลอหลับไป ณิชก้มมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในอ้อมกอด ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยไล่ความเมื่อยขบ ไอ้มั่นปรากฏตัวขึ้นที่มุมห้องเมื่อคิดว่าให้เวลาคนทั้งคู่พอสมควรแล้ว มันเดินเข้าไปใกล้เตียงเห็นไอ้เกลอรักหลับสนิทอย่างที่ไม่ได้เห็นมาสองสามวันแล้ว ส่วนเจ้านายของมันลุกขึ้นนั่งนวดไหล่นวดแขนเพราะก่อนหน้านี้โดนไอ้หาญนอนทับอยู่
“มันเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
“เขายังคงยึดติดกับอดีตอยู่ สำหรับผมมันคืออดีตที่ผมจำไม่ได้ แต่กับหาญ...มันคือความทรงจำที่ไม่เคยลืม ผมไม่รู้ว่าชาติก่อนผมกับเขาเป็นยังไงบ้าง นายพอจะเล่าได้ไหม”
ณิชถามพลางเดินออกจากห้องของจีรัชญ์มาหยุดอยู่ที่ระเบียงกว้าง ที่สามารถมองเห็นสระบัวได้อย่างชัดเจน แต่เวลานี้มืดแล้วจึงเห็นได้เพียงรำไรจากแสงไฟที่พอส่องถึงเท่านั้น
“ขอรับ” ไอ้มั่นรับคำก่อนจะนั่งคุกเข่าลง ไม่ตีตนเสมอนายเหมือนอย่างที่ทำในวันวาน แต่ณิชกลับบอกให้อีกฝ่ายยืนขึ้นข้างตนแทน
ไอ้มั่นเล่าว่าตั้งแต่ครั้งที่ไอ้หาญรู้ว่าคุณปราณตายแล้วในชาติแรก ไอ้หาญพยายามก่อร่างสร้างตัว ทำทุกอย่างเพื่อรอวันที่จะได้พบคุณปราณอีกครั้ง โดยตอนนั้นไอ้มั่นเป็นเพียงแค่วิญญาณเลื่อนลอย ไม่สามารถสื่อสารใดๆ กับไอ้หาญได้เพราะคุณปราณยังไม่เกิด มันได้แค่เฝ้าดูชีวิตของไอ้เพื่อนรักที่ดำเนินไปในแต่ละวันด้วยความทุกข์ทรมาน สงสารเพื่อนจับจิตแต่ตนเองทำได้แค่มอง และต้องรอเวลาต่อไปเช่นกัน
ไอ้หาญเฝ้ารอทุกวันตั้งแต่วันที่รู้ข่าวว่าคุณปราณตาย สิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวตัวมันไว้ได้คือสมุดบันทึกและจดหมายที่คุณปราณให้ไว้ ผ้าเช็ดหน้าของยอดดวงใจเปรียบเหมือนชีวิตของไอ้หาญก็ว่าได้ มันพกติดกายตลอดเวลา หมั่นซักให้สะอาดด้วยความทะนุถนอม สร้อยที่คุณปราณให้ไว้มันเก็บไว้มิดชิดมิให้ใครได้พบเห็นหรือรู้ได้
ไอ้หาญไม่ทิ้งเวลาให้สูญเปล่า ถึงแม้มันจะรอคุณปราณไปด้วยแต่มันก็ไม่งอมืองอเท้า ด้วยแต่เดิมเป็นคนขยันอยู่แล้วไอ้หาญจึงเร่งทำงาน ยังดีที่หลังจากนั้นไม่นานก็มีการเลิกทาส ทำให้มันพอที่จะทิ้งตัวตนความเป็นทาสชั้นต่ำดั่งคำของท่านออกญาฯ พูดไว้เบื้องหลัง มันเก็บทุกสลึงที่ได้มาสะสมไปทีละน้อย เก็บหอมรอมริบจนพอจะสร้างกระท่อมสักหลังที่แข็งแรงไว้อยู่พักพิง คราแรกมันคิดว่าการเกิดใหม่ของคุณปราณคงจะมาถึงในไม่ช้า แต่รอมาเป็นสิบๆ ปี มันก็ยังไม่เจอใครที่หน้าตาละม้ายคล้ายคุณปราณเลย
เมื่อเริ่มมีเงินสักก้อนไอ้หาญก็เริ่มออกตามหาคุณปราณไปด้วย ไอ้บ่าวซื่อมีจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังเพราะคิดว่าต้องเจอคุณปราณในสักวันหนึ่ง มันขึ้นเหนือไปทำงานอยู่พักใหญ่ ก่อนจะลงใต้เพื่อเปลี่ยนตัวตนใหม่ จากทาสคนหนึ่งที่ไม่รู้วิชากลับกลายมาเป็นคนมีหลายอาชีพ เริ่มจากจับกังไปเป็นคนทำบัญชี จนได้มาค้าขายเปิดร้านค้าข้าวสาร ออกทะเลหาปลาก็เคยทำมาแล้ว จนได้รู้จักกับพวกนายเรือฝรั่งจึงได้ศึกษาภาษาต่างประเทศไปด้วย
มันได้ไปอยู่ต่างประเทศเพราะไปช่วยท่านทูตตกเรือได้ทันท่วงที ทำให้เขาเอ็นดูรับไอ้หาญไปอยู่ด้วยเพราะเห็นว่ามันทำงานดี อีกทั้งยังพูดคุยภาษาต่างประเทศเป็น จนมันได้ศึกษาเล่าเรียนที่บ้านของเขา ก่อนจะกลับมาประเทศไทยอีกครั้งในบทบาทใหม่ที่ต่างจากเดิม ไปกลับหลายต่อหลายครั้งในตัวตนที่ต่างออกไป จนได้กลับมาเป็นแพทย์ที่เมืองไทย
ในแต่ละครั้งก็ต้องเปลี่ยนตัวตนเพื่อไม่ให้ใครจำได้ การปลอมตัวจึงเป็นสิ่งที่ไอ้หาญถนัดนัก เพื่อนฝูงที่สนิทด้วยไม่มีสักราย ในตอนแรกยังดีที่พวกตัวตนเอกสารต่างๆ ยังไม่แพร่หลายนัก แต่เมื่อบ้านเมืองพัฒนามากขึ้น อะไรหลายๆ อย่างที่เคยจัดการได้ง่ายจำต้องเปลี่ยนไป
ไอ้หาญไม่สามารถทำตัวแบบที่อยู่ๆ ก็หายตัวไปได้อีกแล้ว มันต้องทำให้คนอื่นเชื่อว่าตัวของมันตายไปแล้วจริงๆ และต้องไม่กลับไปที่เดิมเพื่อกันคนเดิมๆ จำได้ มีครั้งหนึ่งที่มันบังเอิญเจอตาแก่ๆ คนหนึ่ง ซึ่งชายคนนั้นเคยรู้จักกับไอ้หาญเมื่อหลายสิบปีก่อน ฝ่ายนั้นตกใจเกือบช็อกตาย ยังดีที่ไอ้หาญบอกว่าตัวมันคือหลานชายหาใช่ไอ้หาญคนเดิม จากนั้นก็รีบจากมาเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไม่สามารถถามไถ่อะไรมันได้อีก
ในส่วนของเรื่องเอกสารการมีตัวตนของมันนั้น ไอ้หาญจะต้องเลือกหาคนที่จะทำหน้าที่สำคัญนี้ด้วยตัวเอง ลองใจสารพัดจึงจะให้มาจัดการเรื่องตัวตนของมันในทางกฎหมาย ซึ่งแต่ละคนที่ไอ้หาญเลือกนั้นจะต้องทำงานให้กับมันไปชั่วชีวิต ผูกสัญญากันจนกว่าอีกฝ่ายจะสิ้นอายุขัยอย่างที่ควรจะเป็น และจนกว่าไอ้หาญจะปลดออกจากการเป็นผู้ช่วยด้านนี้ คนล่าสุดที่เพิ่งเสียชีวิตไปก็ราว 2-3 ปีก่อนเห็นจะได้
หากเข้าไปในห้องเก็บเอกสารที่เป็นห้องลับในคฤหาสน์หลังนี้ จะพบว่าไอ้หาญมีใบมรณะบัตรของตนเองหลายใบ แต่ละใบการตายก็จะอยู่ในช่วงวัยที่ไม่แก่เลย หากพูดในสมัยนี้ก็เรียกว่าตายตั้งแต่ยังหนุ่ม ก่อนจะเริ่มเปลี่ยนเป็นคนใหม่ในอาชีพใหม่วนเวียนแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ต่างจากคนที่ตายแล้วกลับชาติมาเกิดใหม่
“แล้วเรื่องวังปริพัตรล่ะ”
เขาพอจะรู้เรื่องชีวิตของไอ้หาญคร่าวๆ บ้างแล้ว แต่ที่อยากรู้อีกอย่างคือจีรัชญ์มีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับวังนี้ หากจะบอกว่าอีกฝ่ายก่อร่างสร้างตัวจนมีคฤหาสน์เป็นของตนเองก็พอเข้าใจได้ แต่นี่คือวัง แสดงว่าคนที่เคยเป็นเจ้าของจะต้องมียศที่สูงศักดิ์ไม่น้อย ต้องเป็นลูกเจ้าลูกนายไม่ใช่คนเดินดินธรรมดาอย่างไอ้หาญแน่นอน
“ในตอนนั้นไอ้หาญเพิ่งกลับมาจากยุโรป ก่อนหน้านี้มันได้ไปๆ กลับๆ เปลี่ยนตัวตนไปเรื่อยๆ เพื่อตามหาคุณปราณทั้งที่เมืองไทยและต่างแดน จนครั้งนั้นมันเลือกที่จะกลับมาอีกครั้งเพราะไปอยู่ที่ยุโรปได้ราว 5-6 ปีเห็นจะได้ หลังจากที่มันเฝ้ารอมาเป็นร้อยกว่าปีมันกลับมาก็ได้เจอคุณปราณขอรับ”
ฟังมาถึงตรงนี้ลมหายใจณิชถึงกับสะดุด ก้อนความเสียใจจุกตื้อที่ลำคอแทบกลืนน้ำลายไม่ได้ หมัดกำแน่นวางอยู่บนราวระเบียงแบบปูน มันเย็นเฉียบราวแช่อยู่ในน้ำแข็ง แต่เพราะเรื่องราวที่ไอ้มั่นกำลังถ่ายทอดให้ฟังต่างหากที่แช่แข็งตัวณิชในตอนนี้
การรอคอยแค่เพียงหนึ่งวันยังว่านาน แต่นี่เวลาผันผ่านมาเป็นร้อยปีที่ไอ้หาญต้องรอเขา ไม่แปลกที่จะวาดหวังว่ามันจะได้ครองรักกับยอดดวงใจในตอนนั้น เพราะคิดว่าการทรมานของวันคืนที่ยาวนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์กำลังจะสิ้นสุด แต่พอไม่ใช่อย่างที่คิดเลยปิดใจ ตั้งปราการกักขังตัวเองไว้เพื่อฝืนชะตากรรม
“แต่เดิมวังแห่งนี้เป็นของหม่อมเจ้าจุลปรีชา ปริพัตร ท่านเป็นบิดาของคุณปราณในชาติก่อนขอรับ ท่านเสียไปก่อนที่ไอ้หาญจะเจอคุณปราณ วังนี้จึงมีคุณหญิงช่อทิพย์ภริยาของท่านชายเป็นเจ้าของ คุณปราณคือลูกคนกลางของคุณหญิง มีพี่ชายและน้องสาวด้วยขอรับ”
“พวกเขาขัดขวางผมกับไอ้หาญไหม”
ไอ้มั่นเงียบไป มันทำเพียงยิ้มและนึกไปถึงเหตุการณ์ในช่วงปีนั้นที่ไอ้หาญได้พบกับคุณปราณอีกครั้ง...
โปรดติดตามส่วนต่อไปสวัสดีค่ะ ผอบขอทักทายคนอ่านอย่างเป็นทางการ
ผอบดีใจมากๆ ที่มีคนเข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้
ขอบคุณนักอ่านคนเดิมๆ ที่เมนต์ให้กันตลอดตั้งแต่ตอนแรกๆที่ลง
คุณ blove
คุณ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก
คุณ anterosz
คุณ cavalli
คุณ Ginny Jinny
คุณ nightsza
คุณ fullfinale
เป็นขาประจำที่ผอบมักเห็นบ่อยๆ ขอบคุณที่อ่านนิยายและสละเวลาแสดงความเห็นให้ได้รู้ว่ามีคนรออยู่
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย และฝนตกแทบทุกวัน ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ