บทที่ ๑๓ (ครึ่งหลัง)9 เดือนผ่านไป
ชายหนุ่มร่างกำยำรับจ้างทำงานแบกข้าวสารที่ท่าเรือ เหงื่อไคลไหลย้อยแต่ไม่ทำให้มันสนใจไปกว่างานที่ทำแล้วได้อัฐ วันนี้ก็อย่างเช่นทุกวันที่มันทำงานเช้าจรดเย็น มันเก็บหอมรอมริบเอาอัฐชดใช้ส่วนที่หยิบยืมของคุณปราณออกมาใช้ก่อนจนหมด จนตอนนี้เงินของมันเองก็พอจะมีซื้อของใช้บ้างแล้ว มันจะรอวันที่ตนเองมีเบี้ยมีอัฐมากกว่านี้ เพื่อจะได้พร้อมไปพบกับคุณปราณและดูแลอีกฝ่ายได้อีกครั้ง ถึงวันนั้นต่อให้มันไม่ได้เป็นถึงคุณหาญ ขอแค่เป็นหาญที่ไร้คำว่าไอ้และความเป็นทาสติดกาย ก็คงมีค่าพอจะรักกับคุณปราณได้บ้างแล้ว
ตอนนี้ไอ้หาญได้สร้างกระท่อมเล็กๆ ของมันไว้หลังวัด หลวงตาที่เป็นเจ้าอาวาสท่านใจดีให้มันได้ใช้ที่ดินตรงนั้นปลูกที่อยู่อาศัย เพราะเห็นว่ามันเป็นคนดี มิเคยมีเรื่องกับใคร หรือทำให้เดือดร้อนตั้งแต่มาอยู่ที่วัดแห่งนี้
“ไอ้หาญ ไอ้หาญโว้ย” เสียงหลวงตาตะโกนเรียกไอ้บ่าวซื่อ มันอาบน้ำอยู่ข้างกระท่อมรีบผลัดเปลี่ยนผ้านุ่งก่อนจะโผล่หน้าออกมา
“ขอรับหลวงตา”
“ประเดี๋ยวข้าจะไปทำธุระสักหน่อย วานให้เอ็งพายเรือไปให้ข้าได้หรือไม่ ไอ้พวกเด็กวัดไม่อยู่สักคนข้าไม่รู้จะไปขอให้ใครช่วยแล้ว”
“ได้ขอรับ ขอข้าใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนนะขอรับ ประเดี๋ยวข้าจะตามไป”
หลวงตาพยักหน้ารับคำก่อนจะเดินจากไป ไอ้หาญรีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า นุ่งโจงกระเบนและเอาผ้าขาวม้ามาโพกหัวให้เรียบร้อย ก่อนจะรีบไปหาหลวงตาที่รอท่าอยู่ตรงท่าน้ำอีกฝั่งหนึ่งของวัดแล้ว
“เอ็งรออยู่แถวนี้แหละ” หลวงตาบอก เมื่อมันพายเรือมาเทียบท่าของวัดที่คุณปราณเคยมาก่อกองทรายกับมัน ไม่คิดเลยว่าหลวงตาจะมาทำธุระที่นี่ ทำให้ไอ้หาญต้องระวังตัวเป็นยิ่งยวด เพราะกลัวจะเจอเข้ากับคนที่รู้จักท่านออกญาฯ
ไอ้หาญหลบไปอยู่หลังโบสถ์ ประตูหลังถูกเปิดอยู่และมันได้ยินเสียงที่คุ้นเคย จึงแอบลอบเข้าไปในโบสถ์ซ่อนตัวอยู่หลังพระประธานองค์ใหญ่ พอเยี่ยมหน้าออกไปดูก็พบว่ามีลูกเจ้าขุนมูลนายทั้งหลายกำลังร่ำเรียนตำรากันอยู่ พระครูที่สอนก็ไม่ใช่ใครอื่น หลวงพ่อที่มันเคยเจอเมื่อปีก่อนนั่นเอง
ก่อนหน้านี้มันเคยคิดจะเรียนหนังสือ แต่เพราะหลวงตาไม่ได้สอนมันจึงไม่รู้จะหาที่เรียนอย่างไร และไม่คิดว่าจะให้ใครมาถอดความในสมุดบันทึกและจดหมายของคุณปราณด้วย เพราะมันไม่รู้ว่าคุณปราณเขียนความลับอะไรไว้มากแค่ไหน อาจจะเป็นการนัดหมายกับมันให้ไปเจอกันที่ใดที่หนึ่งก็ได้ หากมันจะอ่านก็ต้องอ่านได้ด้วยตัวมันเองเท่านั้น
เพราะเหตุนี้ตั้งแต่วันนั้นไอ้หาญจึงแอบมาที่วัดแห่งนี้บ่อยๆ เพื่อที่มันจะได้อ่านหนังสือออก มันไม่กล้าที่จะเข้าไปเสนอหน้าทักทายหลวงพ่อเพราะเกรงว่าจะไปรบกวน และทำให้ลูกศิษย์ของหลวงพ่อจะไม่พอใจ ที่คนต่ำต้อยอย่างมันอยากรู้อยากเห็นเรื่องหนังสือ
ไอ้หาญใช้กิ่งไม้แทนดินสอและใช้พื้นดินแทนกระดานชนวนในการขีดเขียน มันมีอัฐจากการทำงานมาก็จริง แต่หากจะไปซื้อก็คงมากอยู่จึงอยากเก็บไว้เสียดีกว่า เผื่อว่าวันใดมันถอดข้อความจนไปหาคุณปราณได้ มันจะได้มีเบี้ยไว้เลี้ยงคุณเขาไม่ให้ลำบาก
ไอ้บ่าวซื่อหัดอ่านหัดเขียนตามที่ตนจะพอทำได้ แต่กระนั้นมันก็ยังต้องทำงานจึงใช้วิธีท่องจำไปด้วย เจอสิ่งใดก็ลองอ่านดู หากสงสัยว่าใช่หรือไม่ก็ถามพ่อค้าแถวนั้นจนโดนแซว
“มึงจะอยากรู้หนังสือไปไยวะ รู้ไปก็ไม่ทำให้มึงมีชีวิตดีกว่านี้ดอกโว้ย หนังสือเขาให้พวกขุนน้ำขุนนางเขาเรียนกัน นี่ที่กูรู้ก็เพราะพ่อกูสอนมาดอก อย่าได้หวังเลยว่าจะได้ร่ำเรียนวิชาอย่างลูกพระยา” เถ้าแก่พูดพร้อมกับรอยยิ้มหยัน ไอ้หาญไม่ปริปากอันใดสักคำ ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ามัน ว่าสิ่งที่มันทำอยู่นั้นเพราะเหตุใด
ไอ้หาญแบกกระสอบข้าวสารขึ้นบ่ารอบสุดท้ายลงจากเรือ ที่ตรงข้ามกันมีเรือมาจอดเทียบท่ารอขนของอยู่แล้ว มีพวกขุนนางที่จะไปเมืองฝรั่งต่อแถวเตรียมขึ้นเรือ ผู้คนมากหน้าหลายตาทั้งมียศและไม่มียืนออกันอยู่เต็มท่าเรือ จนดูคับแคบไปถนัดตา
แต่ระหว่างที่มันกำลังจะแบกกระสอบไปขึ้นเกวียนก็พบหญิงสาวคุ้นตาผู้หนึ่ง เธอเดินเคียงคู่มากับชายหนุ่มที่ดูมียศและฐานะ คุณนวลจันทร์ส่งยิ้มหวานให้ชายข้างกาย ท่าทางสนิทสนมนั่นสื่อให้รู้ว่าบุคคลทั้งสองหาใช่คนรู้จักกันธรรมดาไม่
“มึงจะยืนดูอะไรนักวะ รีบๆ ขนของไปลงเกวียนได้แล้ว” เถ้าแก่เร่งเมื่อเห็นว่าไอ้หาญยังคงอ้อยอิ่งไม่ยอมไปเสียที ไอ้หาญยอมตัดใจจากความสงสัยเพื่อทำงานต่อให้เสร็จ ก่อนจะลอบมองหนุ่มสาวที่กำลังเดินไปขึ้นเรือ
“เถ้าแก่รู้จักหญิงคนนั้นหรือไม่” คนถูกถามหันมองด้วยความสงสัย เพราะไม่บ่อยนักที่ไอ้บ่าวคนนี้มันจะพูดออกมา
“นั่นคุณนวลจันทร์ บุตรตรีท่านออกญาณรงค์ภักดี ผู้ดูแลท่าเรือแห่งนี้เช่นไรเล่า ส่วนข้างกันนั้นก็หลวงศักดิ์เป็นสามีของคุณนวลจันทร์”
สามีของคุณนวลจันทร์กระนั้นหรือ ไอ้หาญใจเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อได้ยินข่าวดีครั้งแรกในรอบเกือบปี รอยยิ้มกดไว้เกือบไม่มิด ทำให้มันต้องก้มหน้าซ่อนแววตาและสีหน้าแห่งความดีใจไว้ แสดงว่าคุณปราณหาได้แต่งงานกับคุณนวลจันทร์ไม่ แต่คงหนีไปรอมันที่ไหนสักแห่งตามที่บอกไว้ในจดหมายเป็นแน่ เช่นนี้แล้วค่ำนี้มันจะกลับไปลองอ่านจดหมายให้จงได้
“ข้าคิดว่าคุณนวลจันทร์จะออกเรือนไปกับบุตรท่านออกญาศรีรัตนกรเสียอีก เห็นเขาลือกันมาเสียนานว่าจะดองกัน” ลูกน้องคนหนึ่งร่วมวงสนทนาด้วยเมื่อได้ยินเถ้าแก่พูดถึงบุตรสาวของท่านออกญาณรงค์ภักดี
“มึงอย่าเอ็ดไป เขาพูดกันทั้งบางว่าลูกท่านออกญาศรีรัตนกรน่ะสิ้นเสียแล้ว ก่อนวันออกเรือนไม่กี่วันนี่เอง เขาว่าจมน้ำตาย!”
มีความสุขได้เพียงเสี้ยวนาทีไอ้หาญก็ต้องได้ยินข่าวร้ายที่สุดในวันนี้ มันตัวชาวาบ ขนบนกายลุกชันทุกเส้นจนรู้สึกได้
“ท่านออกญาศรีรัตนกรจัดงานศพให้ลูกชายเสร็จก็ได้ข่าวร้ายอีก เมื่อคุณหญิงราตรีศรีภรรยาก็มาด่วนจากไปเพราะตรอมใจเรื่องลูกชาย กลายเป็นว่าไม่เป็นอันทำอันใด ในเรือนมีบ่าวอยู่เพียงไม่กี่คน นอกนั้นก็หนีออกกันหมดเพราะเขาว่าท่านออกญาฯ สติฟั่นเฟือนเสียแล้ว”
คำบอกเล่าถึงความเป็นไปในระยะเวลาที่มันเฝ้ารอคุณปราณ ทำไอ้หาญทรุดลงไปกองกับพื้น คนอื่นคิดว่ามันเป็นลมเพราะทำงานหนัก แต่แท้จริงแล้วหัวใจมันต่างหากที่กำลังจะตาย หากสิ่งที่เถ้าแก่กล่าวมาเป็นจริง นี่คงเป็นเรื่องที่ทำให้มันไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว
ไอ้หาญรีบวิ่งกลับกระท่อมที่หลังวัดป่า มันรีบรื้อหาสมุดบันทึกและจดหมายของคุณปราณที่ทิ้งไว้ให้ ในคราแรกตั้งใจว่าจะให้ตนเองอ่านได้คล่องก่อนจึงจะเริ่มถอดความ เพราะมันไม่อยากให้ใครอ่านให้จริงๆ
แต่เมื่อได้ฟังคำของเถ้าแก่ก็ทำเอามันเริ่มร้อนใจ มันยังไม่เชื่อว่าสิ่งที่เถ้าแก่พูดนั้นเป็นความจริง คุณนวลจันทร์เธออาจมีเหตุผลอื่นก็ได้ที่ต้องแต่งงานกับชายอื่น และคุณปราณไม่มีทางอายุสั้น อาจเป็นข่าวลวงเพื่อหลบหนีดั่งเช่นมันก็เป็นได้
ไอ้บ่าวซื่อไม่มีทางเลือกมากนัก มันพออ่านออกเขียนได้ก็จริง แต่ก็ไม่เก่งดั่งคนที่มีครูสอน มันจึงขออนุญาตหลวงตาพายเรือไปยังวัดที่หลวงพ่ออยู่ มันจะเอาไปให้หลวงพ่อช่วยดูให้ว่าสิ่งที่มันอ่านนั้นถูกหรือไม่ ในตอนนี้ต่อให้คนของท่านออกญาฯ จับมันได้ มันก็ไม่สนแล้ว
“หลวงพ่อขอรับ” ไอ้บ่าวใจร้อนรนดั่งไฟสุมรีบวิ่งเข้าไปในวัด โชคยังเข้าข้างมันอยู่บ้างที่เจอหลวงพ่อกำลังเอาข้าวให้หมาแม่ลูกอ่อนกินอยู่ หลวงพ่อหันมาเจอมันจึงยิ้มให้
“เอ็งนั่นเอง ไปไงมาไงล่ะ”
“ข้ามีเรื่องจะขอให้หลวงพ่อช่วยขอรับ”
ท่าทางร้อนรนของมันทำให้หลวงพ่อถึงกับแปลกใจ เพราะเท่าที่จำได้ไอ้ทาสคนนี้หาใช่คนใจร้อนดั่งไฟไม่ ท่าทีของมันสงบเรียบนิ่งราวสายน้ำไหล นี่หากไม่ใช่เรื่องทุกข์ใจจริงๆ คงไม่มีทางแสดงออกแบบนี้เป็นแน่
“ถ้าเช่นนั้นไปกุฏิข้าก็แล้วกัน” หลวงพ่อเดินนำไปที่กุฏิของตน ตักน้ำจากโอ่งล้างเท้าให้สะอาดเสียก่อนจะขึ้นกุฏิไป ไอ้หาญทำตามก่อนจะรีบเดินตามแล้วไปหมอบอยู่ข้างแคร่เตี้ยๆ ที่หลวงพ่อนั่งอยู่
“มีกระไรก็ว่ามา”
“ก่อนนี้ข้าแอบมาเรียนหนังสือที่นี่...”
“เรื่องนั้นข้ารู้” หลวงพ่อยิ้มเอ็นดูในความซื่อของมัน เมื่อเดือนก่อนหางตาตนเห็นอยู่บ้างว่ามีคนแอบอยู่หลังองค์พระตอนที่กำลังสอนอยู่ อีกทั้งเมื่อเดินไปดูหลังจากมันไปแล้วก็พบดินที่มันขีดเขียนตัวอักษร ดูมันพยายามไม่เลวเลยทีเดียว
“ขอรับ ข้าขออภัยหากทำให้หลวงพ่อครูต้องโกรธ”
“ข้าจะไปโกรธได้เยี่ยงไร ข้าหาใช่คนที่จะมาบังคับกฎเกณฑ์ใดได้ เอ็งใคร่เรียนก็เรียนไปเถิด ข้าเป็นเพียงแค่ผู้มอบความรู้เพียงเท่านั้น” หลวงพ่อกล่าวอย่างคนใจดี ไอ้หาญกราบแนบพื้นเพื่อขอบคุณความกรุณานี้ ก่อนมันจะเข้าเรื่องที่ทำให้มันมาอยู่ที่นี่ในตอนนี้แทน
“ข้าอยากลองอ่านจดหมายของคนผู้หนึ่งขอรับ แต่ไม่รู้ว่าข้าจะอ่านถูกต้องหรือไม่”
“ถ้าเช่นนั้นเอ็งจงอ่านให้ข้าฟัง ไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามข้าได้ ผิดถูกอย่างไรข้าจะได้ชี้แนะให้” หลวงพ่อครูกล่าว ก่อนยิ้มอ่อนๆ จะระบายบนใบหน้า
ไอ้หาญสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะผ่อนออกแล้วค่อยๆ คลี่กระดาษออก ใจมันเต้นแทบทะลุอก นาทีต่อจากนี้มันจะรู้แล้วว่าคุณปราณแสร้งตายและไปอยู่ที่ใด คำของเถ้าแก่นั้นทำให้มันหวั่นใจจนไม่กล้าที่จะเริ่มอ่านสิ่งที่อยู่ในมือ มันเงยหน้ามองหลวงพ่อครูด้วยใจที่สั่นไหว หลวงพ่อทำเพียงยิ้มให้อย่างคนใจเย็น
“อ่านเถิด จะได้ไม่ค้างคาสิ่งใดอีก”
“ถะ...ถึงหัวใจของปราณ” ไอ้หาญเริ่มอ่านด้วยใจที่เต้นกระหน่ำ ใบหน้าไอ้บ่าวซื่อยิ้มอ่อนๆ ด้วยเพราะดีใจว่าในที่สุดมันก็ได้อ่านจดหมายของคุณปราณเสียที หลวงพ่อโบกมือให้มันเชิงว่าอ่านต่อไปได้เลย
ไอ้หาญอ่านข้อความบนจดหมายที่เขียนไว้อย่างเรียบง่ายและเข้าใจได้ คุณปราณกล่าวว่าจดหมายคือสิ่งที่ตั้งใจฝากมากับไอ้มั่น เพราะมันคือทางเดียวที่คุณปราณจะสื่อสารกับมันได้ คุณปราณกล่าวขอโทษมันจนไอ้บ่าวซื่อปวดหน่วงในอกเป็นที่สุด ยอดดวงใจจะขอโทษมันไปไย ทั้งที่หาได้ผิดอันใดเลย
“เพราะความกลัวทำให้ข้าขละ...” ไอ้หาญเริ่มอ่านติดขัดเพราะไม่เข้าใจคำนัก มันยื่นจดหมายให้หลวงพ่อดู
“ขลาดเขลา” หลวงพ่ออ่านให้ฟัง จากนั้นไอ้บ่าวซื่อจึงเริ่มอ่านอีกครั้ง
“เพราะความกลัวทำให้ข้าขลาดเขลา และความรู้ผิดทำให้ข้ามิอาจมีชีวิตอยู่ได้ ข้าขอชดใช้ความรู้สึกผิดนี้ด้วยชีวิตที่มี ขอเอ็งจงอย่าถือโทษว่าเป็นความผิดของตน”
อ่านมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างมาจุกอยู่ที่คอ ใจที่เคยเต้นระรัวเพราะความตื่นเต้นและรอคอยจะได้รู้ความจริงถึงการนัดหมาย บัดนี้เต้นหนักอยู่ในอกและเจ็บปวดเจียนจะขาดใจ แต่เพราะต้องอ่านให้จบมันจึงฝืนอ่านต่อ
“อย่าคิดว่าเพราะเราต่างชนชั้นกันจึงทำให้คู่กันไม่ได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรหัวใจของข้ามันเป็นของเอ็งเสมอ ต่อให้เอ็งต้อ...”
“ต้อยต่ำ” หลวงพ่อเสริมให้เมื่อไอ้หาญอ่านติดขัด สีหน้าโศกสลดของมันดูหม่นมอง ต่างจากคราแรกที่เริ่มอ่าน
“ต่อให้เอ็งต้อยต่ำเท่าชั้นดินก็ยังเป็นที่รักของข้า ข้าหวังว่า หากวันใดที่เอ็งอ่านสิ่งที่ข้าเขียนได้ วันนั้นเอ็งจะให้อภัยในสิ่งที่ข้าทำกับเอ็งไว้ รัก จากสายลมของหาญ”
สิ้นคำสุดท้ายไอ้หาญยังนั่งนิ่งอยู่เช่นเดิม มันไม่เข้าใจนักว่าสิ่งที่คุณปราณต้องการบอกคือสิ่งใด แต่ที่แน่ใจคือการสั่งลาโดยที่อีกฝ่ายรู้อยู่แล้วว่าตนกับมันไม่มีทางได้พบเจอกัน
“หลวงพ่อขอรับ ถ้อยความที่ข้าได้อ่านไป โปรดไขความกระจ่างให้ข้าได้หรือไม่ ข้าโง่เขลานักเกินกว่าจะเข้าใจได้”
หลวงพ่อมองหนุ่มกำยำผิวเนื้อดำกร้านหมอบอยู่บนพื้น สายตาของมันมีแต่ความเศร้าโศก ซึ่งตนพอรู้แล้วว่ามันหาได้โง่เขลาอย่างปากพูดไม่ เพียงแต่มันยังไม่อยากยอมรับสิ่งที่ตนคิดก็เท่านั้น
“เอ็งได้เจอเขาบ้างหรือไม่” หลวงพ่อไม่ได้ขยายความเรื่องจดหมายในทันทีแต่อย่างใด แต่ถามกลับไปเพื่อให้อีกฝ่ายได้คิดให้ถี่ถ้วน
“ไม่เลยขอรับ นานเกือบนับปีแล้วกระมัง”
“หากเอ็งมิได้เจอคนของเอ็ง ถ้าเช่นนั้นถ้อยความที่ว่า
ความรู้ผิดทำให้ข้ามิอาจมีชีวิตอยู่ได้ ข้าขอชดใช้ความรู้สึกผิดนี้ด้วยชีวิตที่มี มันคือสิ่งบ่งบอกแล้วว่าเขาเลือกไปในทางใด จากเป็นวันใดก็ได้เจอกัน แต่จากตายมีเพียงใจที่ยังอยู่”
ความจริงที่ตอกย้ำมันในตอนนี้ทำไอ้หาญนิ่งไปหลายอึดใจ สิ่งเดียวที่มันปฏิเสธคือการไม่ได้อยู่ด้วยกันของมันกับคุณปราณ แต่มาบัดนี้คุณปราณกลับจากมันไปไกลเสียแล้ว น้ำตาที่เอ่อคลอไหลอาบแก้มอย่างห้ามไม่ได้
“มะ...ไม่ใช่ว่าหนีหายไปหรอกหรือขอรับ” หลวงพ่อไม่ตอบอันใด เพราะคำตอบมันมีให้เห็นอยู่แล้ว เพียงแต่อีกฝ่ายจะรับหรือไม่ก็เท่านั้น
แต่กระนั้นมันก็ยังไม่ยอมแพ้ กราบลาหลวงพ่อเสร็จก็รีบวิ่งลงกุฏิไป มันจะไปเรือนท่านออกญาฯ เพื่อไปสืบหาความจริงว่าเป็นเช่นไร
หลวงพ่อครูที่ไอ้หาญเรียกมองตามแผ่นหลังกว้างของไอ้บ่าวซื่อที่หายไปไกลลับ มีเพียงดวงวิญญาณตนหนึ่งที่คอยอยู่ใกล้ไม่ห่าง หากแต่เพราะอยู่กับคนละโลกแล้ว ทำให้คนเป็นไม่สามารถมองเห็นได้
“หัวใจที่สลายยากจะกลับคืน กรรมของมันครั้งนี้หนักนัก คนอื่นอาจจากไปหลายภพหลายชาติ แต่มันจะมีเพียงชาติเดียวที่ต้องอยู่กับความทรมาน”
ดวงวิญญาณของไอ้มั่นหมอบลงเพื่อก้มกราบ น้ำตาของวิญญาณที่ล่องลอยอาบแก้มด้วยเพราะสงสารไอ้เกลอใจจะขาด ก่อนมันจะหายตัวไปเพื่อไปพบกับไอ้หาญที่กำลังบุกเรือนท่านออกญาฯ
ไอ้หาญพายเรือมาถึงท่าน้ำที่ที่มันเคยนอนเล่นเป็นประจำ ภายในเรือนเงียบเชียบราวไร้คนอยู่ บ่าวไพร่ที่เคยทำงานอยู่ทุกพื้นที่ในบริเวณเรือน บัดนี้ไม่มีให้เห็นแม้แต่คนเดียว เศษใบไม้ใบหญ้าปลิวว่อนยามสายลมโบกพัดเข้ามาในช่วงเย็นย่ำ ตีนกระไดที่เคยถูกขัดถูเสียจนแววเกลี้ยงมีคราบดินติดอยู่เต็ม ราวกับไม่ได้เช็ดถูมานานมากแล้ว ไอ้หาญมองไปรอบๆ เพื่อหาสิ่งมีชีวิตอื่นที่มันพอจะพูดคุยได้แต่ก็ไม่พบใคร
เมื่อขึ้นไปบนเรือนที่แทบจะรกร้าง มันเห็นเพียงแค่ลุงขำที่นอนหลับอยู่กลางเรือนเพียงเท่านั้น ไอ้หาญย่องไปทางห้องคุณปราณ แต่ก็ไม่รอดพ้นจากลุงขำได้
“ไอ้หาญ!! นั่นไอ้หาญใช่หรือไม่ นี่มึงกล้ากลับมาที่นี่อีกรึ!” ลุงขำร้องถามอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ไม่คิดว่าจะเห็นไอ้ทาสที่ทำให้เรือนที่เคยสงบสุขแห่งนี้ต้องมีมลทิน ไอ้หาญตั้งท่าจะสู้แต่ลุงขำกลับโบกมือไปมา ก่อนจะนั่งลงที่เดิม
“ข้าไม่มีแรงจะสู้กับเอ็งดอกไอ้หาญ หมดเรี่ยวหมดแรงที่จะสู้เอ็งแล้ว และถึงสู้อย่างไรก็คงไม่ชนะเอ็ง” ลุงขำพูดอย่างคนยอมแพ้ตั้งแต่เห็นหน้าของอีกฝ่าย มนต์ดำที่สาปแช่งไอ้หาญมันศักดิ์สิทธิ์ เพราะคนสาปแช่งเต็มไปด้วยความแค้นเหลือคณานับ
“แล้วเอ็งมาที่นี่ทำกระไร ไยไม่หนีไปอย่างที่เอ็งทำในคราแรกเล่า” ชายสูงวัยที่บัดนี้ท่าทางไม่ได้แข็งแรงดังแต่ก่อนเอ่ยถาม ร่างกายที่เคยมีน้ำมีเนื้อดูซูบผอมลงกว่าครั้งหลังสุดที่ไอ้หาญเจอเมื่อปีก่อน
“ลุงก็รู้ว่าข้ากลับมาทำไม” ไอ้หาญบอกไปด้วยท่าทีที่ยังระวังตัว มันถอยห่างอีกฝ่ายมาอีกสักหน่อย เพราะมันไม่รู้ว่าภายในเรือนนี้มีพวกไอ้คมหรือใครซ่อนตัวอยู่หรือไม่
“ข้าไม่รู้ดอก เพราะที่นี่ไม่มีสิ่งใดที่เอ็งถวิลหาอีกแล้ว คุณปราณไม่อยู่ให้เอ็งมาเจอดอก”
“แสดงว่าคุณปราณหนีไปได้หรือ” ไอ้บ่าวซื่อโพล่งถามไปทันที พร้อมกับใจที่ยังมีหวัง
“หึ หนีรึ? จะว่าไปมันก็คล้ายกับการหนีนั่นแหละ คุณเขาจากไปไกลลับไม่กลับมาแล้ว” ลุงขำพูดเหมือนคนเพ้อหน่อยๆ ยามคิดไปถึงเรื่องราวเลวร้ายที่เกิดขึ้น
“ลุงหมายความว่าเยี่ยงไร ข้าไม่ใคร่เข้าใจนัก”
ลุงขำมองหน้าไอ้บ่าวซื่อที่บัดนี้มีแต่ความสับสนแสดงออกมา ตอนอยู่ที่เรือนนี้ไอ้หาญเป็นคนพูดน้อย ทำงานเก่ง ไม่เคยมีเรื่องชกต่อยกับใครให้ได้เคืองใจกัน มันมักจะอยู่คู่กับไอ้มั่นที่ชวนกันไปไหนมาไหนตลอด วันหนึ่งๆ มันพูดแทบนับคำได้ ท่าทางกิริยาของมันก็นิ่งขรึม เชื่อฟังคำสั่งเป็นอย่างดี จนไม่คิดว่ามันจะกล้าลักลอบสมสู่กับคุณปราณได้
แต่ความรักย่อมเป็นความรัก ยากจะหักห้ามใจไม่ให้รักได้ มันยังคิดเลยว่าหากไอ้หาญยังไม่หนีไป มันก็คงโดนสำเร็จโทษให้ตายตกไปตามๆ กัน ซึ่งนั่นคงดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้
“เอ็งไม่เคยรู้สิ่งใดเลย ข้าจะบอกให้และจงฟังให้ดี คุณปราณตายแล้ว ตายไปตั้งกะปีก่อนโน้น ต่อมาคุณหญิงก็มาสิ้นบุญตามไปอีกคน ส่วนท่านออกญาฯ หรือก็สติไม่ดีเสียแล้ว ขังตัวเองอยู่ในห้องมิเห็นเดือนเห็นตะวัน พวกบ่าวไพร่ทั้งหลายก็หนีหายไปกันหมด หาได้มีใครอยากอยู่กับเจ้านายที่สติฟั่นเฟือนไม่ ตอนนี้ที่เรือนจึงมีแค่ข้าเพียงคนเดียวที่ยังอยู่ แต่ก็แก่เต็มทน ไม่รู้จะอยู่ไปอีกนานแค่ไหน ห่วงก็แต่ท่านออกญาฯ ว่าจะอยู่เช่นไรหากไม่มีข้า”
ไอ้หาญไม่รับรู้สิ่งอื่นใดอีกเลยนอกจากคำว่าคุณปราณตายแล้ว ไม่จริง! คุณปราณจะทิ้งมันไปได้เยี่ยงไร
“มะ...ไม่...ไม่จริงใช่หรือไม่ ที่ลุงพูดเป็นคำปด เพื่อให้ข้าถอดใจจากคุณปราณใช่หรือไม่” ไอ้หาญขยับเข้าไปใกล้คนสูงวัย เสียงของมันสั่นไม่สามารถควบคุมได้ ความกลัวเกาะกุมใจจนมิอาจปัดออกไป
“หากเอ็งไม่เชื่อก็จงตามข้ามา” ลุงขำเดินนำไปทางห้องคุณปราณ ในห้องนั้นมีฝุ่นเกาะหนาเพราะไม่มีใครเข้ามาทำความสะอาดนานแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ไอ้หาญปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้นคือโกศเก็บกระดูกที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง ข้างกันมีดอกพุดน้ำบุษย์ที่แห้งกรอบช่อหนึ่งวางอยู่ เป็นตัวบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าที่เก็บกระดูกนี้เป็นของใคร
“ดอกไม้นั่นคุณหญิงราตรีท่านมักจะนำมาให้คุณปราณเสมอ แต่เมื่อคุณหญิงจากไปก็ไม่มีใครเข้ามาในห้องนี้อีก”
ไม่ต้องเอื้อนเอ่ยความใดก็รับรู้ถึงความเสียใจของไอ้บ่าวซื่อได้ ตอนนี้แม้แต่แรงจะยืนแทบไม่มี หุ่นกำยำของไอ้หาญทรุดลงตรงหน้าโกศกระดูกของคุณปราณ ยอดดวงใจของมันที่ตอนนี้มีเพียงเถ้ากระดูกทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า
“คุณปราณบอกว่าจะล่วงหน้าไปก่อน หากมีบุญวาสนาต่อกันคงได้พบกับเอ็งในวันหนึ่ง” ไอ้มั่นบอกกับมันถึงสิ่งที่คุณปราณฝากมา แต่ไม่คิดเลยว่าคุณปราณจะล่วงหน้าไปก่อนมันไกลเสียแล้ว
“คุณปราณเจ็บปวดหรือไม่” ไอ้หาญร้องไห้สะอื้นอยู่นานก่อนจะเก็บก้อนความเสียใจไว้ มันหันมาถามลุงขำที่ยังคงอยู่กับมันไม่ไปไหน มันเพียงแค่อยากรู้ว่านาทีสุดท้ายของคุณปราณนั้นเจ็บปวดหรือไม่ ทรมานหรือไม่
“ตอนตายน่ะรึ คงไม่ดอก คุณเขาตกบ่อบัวที่ชอบไปเป็นประจำนั่นแหละ พวกข้าไปพบก็สายไปเสียแล้ว”
ยิ่งได้ฟังเรื่องราวของอีกฝ่ายผ่านจากปากของคนอื่น ยิ่งทำให้ไอ้หาญจมดิ่งอยู่กับความเสียใจ ความสูญเสียที่ไม่อาจเอาสิ่งใดมาแลกได้ทำให้มันคิดอยากจะตายตามไปเสีย ในเมื่อชีวิตนี้ไร้คุณปราณ ไอ้หาญหรือจะอยู่ได้ อย่างน้อยหากมันตายลงไป ก็อาจจะได้เกิดใหม่ในชาติภพหน้า และได้เจอคุณปราณอีกครั้งก็เป็นได้
มันลุกขึ้นก่อนจะค้นหาของมีคมที่พอจะหาได้ในห้องนี้ พบเจอกรรไกรเล่มหนึ่งก็จับจ้วงแทงตัวเองซ้ำๆ แต่แล้วไม่เป็นผล รอยแผลเหวอะหวะที่มันคิดว่าควรจะมีไม่ปรากฏให้เห็น ไอ้บ่าวซื่อตกใจเป็นอย่างมาก แต่คิดว่าคงเพราะกรรไกรไม่มีความคมแล้ว มันจึงเดินออกจากห้องไปเพื่อหาของสิ่งอื่นมาปลดปล่อยความเสียใจของมันในชาตินี้
แต่แล้วเหมือนฟ้ากลั่นแกล้งมันอีกครั้ง เมื่อความจริงอีกข้อหนึ่งถูกเปิดเผยว่ามันโดนคำสาปแช่งของท่านออกญาฯ เข้าเสียแล้ว ไม่ว่าอย่างไรมันก็จะมีชีวิตไม่ใช่คนแต่ก็ไม่ใช่ผี ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตปกติเหมือนดั่งเช่นคนอื่นได้ หากมันมีแผลก็เป็นเพียงแค่รอยแดง หาใช้รอยแผลดั่งเช่นคนเป็นเป็นไม่ ที่ท่านออกญาฯ ทำกับมันเช่นนี้ ทรมานเสียยิ่งกว่าตอนรับรู้ว่ามันสูญเสียคนที่มันรักไปแล้วตลอดกาลเสียอีก
แต่คำสาปแช่งนี้จะมลายหายไปก็ต่อเมื่อมันเจอคุณปราณอีกครั้ง ในภพภูมิที่ตรงกัน ในเวลาที่เหมาะสม ในที่ที่ถูกที่ควร เพียงเท่านั้นชะตาจะทำหน้าที่สลายมนต์ตราบทนี้เอง
ไอ้หาญที่ใจเต็มไปด้วยความโกรธแค้นบุกเข้าห้องท่านออกญาฯ พังประตูเข้าไปก็เห็นชายแก่ที่เคยมีศักดิ์มีศรีแบกอยู่บนบ่านั่งอยู่บนเก้าอี้โยก แต่บัดนี้กลับเนื้อตัวซูบผอมดูราวยาจก ดวงตาเหม่อลอยดูไร้จุดหมายจับจ้อง ที่แขนมีผ้าขาวพันไว้ดูสกปรก คาดว่านั่นคงเป็นรอยแผลเป็นที่ทิ้งไว้หลังจากสาปแช่งเขา
หมดสิ้นแล้วความศรัทธาในตัวของคนที่เคยให้ที่ซุกหัวนอน เหตุใดจิตใจโหดเหี้ยมราวผีห่าครอบงำถึงเพียงนี้ ความเถรตรงและการให้อภัยไปอยู่ที่ใดในซอกหลืบของจิตสำนึก ลุงขำรีบตามเข้ามาในห้อง แต่ไม่ว่าจะห้ามอย่างไรคนที่มีชีวิตนิรันดร์อย่างไอ้หาญหรือจะล้มลงได้
ไอ้หาญคว้าดาบของท่านออกญาฯ ขึ้นมา ดาบที่เคยใช้บั่นคอเพื่อนรักของมันเสียขาดสะบั้นอย่างไม่ไยดี ท่าทางโกรธเกรี้ยวไม่ต่างกับท่านออกญาฯ ตอนที่ทำกับไอ้มั่น ดวงตาแข็งกร้าวเต็มไปด้วยความโกรธที่อีกฝ่ายทำกับยอดดวงใจและเกลอของมัน
จะย่ำยีใจมันสักเท่าไหร่ไอ้หาญไม่เคยนึกเอามาเป็นความแค้น แต่นี่แม้แต่ไอ้มั่นยังต้องมาตายเพียงเพราะต้องการหาคนมารับโทษทัณฑ์ อีกทั้งลูกชายของตนต้องมาฆ่าตัวตายเพราะบิดาไม่ยอมรับและให้อภัย
“ยะ...อย่า...อย่า!! กูกลัวแล้ว กลัวแล้ว อย่าทำร้ายกู” ท่านออกญาฯ ยกมือพนมขึ้นไว้ ตั่วสั่นงันงกเมื่อเห็นไอ้หาญกลายเป็นผีไปเสียแล้ว ผีที่มีเงาดำทะมึนสูงใหญ่ หน้าตาน่ากลัวเสียจนไม่กล้ามอง ร่างของชายสูงวัยล้มลงจากเก้าอี้ หมอบคลานราวหมาบาดเจ็บเบียดชิดริมผนัง ยกมือปัดป้องพัลวันเมื่ออีกฝ่ายย่างสามขุมเข้าหา
“นี่นะหรือออกญาศรีรัตนกรคนที่กูเคยรู้จัก!! ที่กูเห็นตอนนี้มึงก็มิต่างกับผีห่าสักตัวหนึ่งที่ไร้ชาติภพให้ไปอยู่!! โกรธกูหรือ ไยไม่เข่นฆ่ากูเสีย ไยต้องมาพรากเพื่อนกู พรากหัวใจของกูด้วย!!”
ดวงตาที่แดงก่ำหลั่งน้ำใสออกมาจนไหลอาบแก้ม หาใช่เพราะความเสียใจอย่างเดียวที่มี มันเต็มไปด้วยความทุกข์ระทมสุดจะกลืนกับสิ่งที่มันต้องเจอ มือที่กำดาบไว้แน่นเสียจนถ้าด้ามดาบไม่แข็งแรงพอ ก็คงจะหักในนาทีใดนาทีหนึ่ง ลุงขำไม่กล้าเข้ามาใกล้เพราะไอ้หาญในตอนนี้ขาดสติราวกับคนที่ตนไม่เคยรู้จัก หากเข้าไปไม่ระวังคงโดนฟันคอขาดเป็นแน่
ดาบคมกริบแวววาวถูกเงื้อขึ้นสุดแขน ไอ้หาญมองคนตรงหน้าที่ท่าทางราวหมาจนตรอก พร่ำเพ้อแต่ว่ามันคือผี ในคราแรกอยากฟันคอเสียให้สิ้นตายตามกันไป แต่หากทำอย่างนั้นมันก็คงต้องผูกกรรมกับชายผู้นี้ไปอีกหลายชาติ จึงขอสิ้นสุดไว้แต่เพียงชาตินี้คงดีเสียกว่า
ไอ้หาญตัดสินใจฟันลงมาเพื่อตัดแขนท่านออกญาฯ ข้างที่เคยกรีดเพื่อใช้เลือดสาปแช่งมัน จนแขนข้างนั้นขาดกระเด็นไม่ต่างจากหัวของไอ้มั่น เลือดสีแดงฉานเจิงนองไปทั่วพื้น พร้อมเสียงร้องโหยหวนของออกญาศรีรัตนกรที่เจ็บปวดเจียนตาย
“กู! ไอ้หาญ! ทาสชั่วที่มึงเคยกล่าวหา ขออโหสิสิ่งที่มึงทำกับกูไว้นับแต่บัดนี้! แต่หากวันใดที่ฟ้าประจักษ์เป็นใจว่าสิ่งที่กูทำนั้นหาใช่ความผิดร้ายแรงไม่ ก็ขอให้มึงตายอย่างทรมาน แม้ในวันสุดท้ายของชีวิตก็ขอให้มึงจมอยู่กับบาปกรรมที่มึงก่อไว้ ให้สาสมกับที่มึงพรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากกู!!”
เคร้ง!!
ดาบสูงศักดิ์ที่ผ่านมือนักรบบรรพบุรุษของออกญาศรีรัตนกรมามากถูกทิ้งไว้ไม่ไยดี ลุงขำแทบจะตกใจตายกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ก่อนจะรับเข้าไปดูอาการของเจ้านายตนที่ดิ้นพราดๆ อยู่บนพื้นห้อง จากนั้นไอ้หาญก็เดินจากไปไม่เหลียวกลับมามองอีก
นับแต่นี้ไป...ชีวิตที่เหมือนไร้ชีวิตของมันกำลังเริ่มขึ้น
“ไอ้หาญคนนี้จะรอคุณปราณนะขอรับ ไม่ว่านานแค่ไหนบ่าวก็จะรอ” ไอ้หาญเงยหน้าขึ้นบอกฟ้า ฝากไปกับสายลมและแสงจันทร์เผื่อว่ามันจะถึงหูของยอดดวงใจของมันเข้าสักวัน
--##--##--##--##--##--##--
“พี่ณิชหิวไหม หนูซื้อกล้วยปิ้งมากินด้วยกันนะพี่” มิ้งบอกคนที่นอนอยู่บนเตียงด้วยน้ำเสียงสดใส ณิชฟื้นแล้วตั้งแต่เที่ยง ซึ่งวันนี้เป็นวันที่ 3 ที่ณิชอยู่โรงพยาบาล ตอนแรกคิดว่าไม่มีหวังเรื่องที่ณิชจะฟื้น แต่อีกฝ่ายกลับตื่นลืมตาขึ้นมาซะงั้น ถือว่าเป็นเรื่องดีที่เธออยากฉลองทันทีที่ณิชออกจากโรงพยาบาล
ณิชเงียบไม่ได้ตอบอะไร เขาเพียงแค่ยิ้มให้รุ่นน้องตนเพียงเท่านั้น ก่อนจะกวาดสายตาไปทั่วห้องพักผู้ป่วยพิเศษเพื่อมองหา ‘ไอ้หาญ’ คนที่รอคอยเขามานานจนเกินจะนับเวลาได้
โปรดติดตามตอนต่อไปขอบคุณทุกความเห็นค่ะ