1.5/2
วันจันทร์อีกหนงานไม่เสร็จ เมื่อคืนนอนไปสองชั่วโมง รีบออกจากหอตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง นั่งทำงานรอร้านข้าวเปิด ผมหอบหิ้วงานวางไว้บนเก้าอี้ตัวนึง กระเป๋าวางบนเก้าอี้อีกตัว ส่วนผมนั่งบนเก้าอี้อีกตัว ครอบครองโต๊ะตัวใหญ่ พอร้านเปิดก็ต้องกินก่อน มือติดกาว ติดสี แต่ก็ต้องกิน คนมันหิว โกยข้าวใส่ปากความเร็วไม่ธรรมดา รีบกินรีบทำงาน แทบไม่รู้รสชาติของอาหารที่เข้าปาก กินเสร็จคนยังบางตาวันนี้ตี๋เลนนอนคงไม่ได้มาขอนั่งด้วยล่ะเพราะผมกำลังจะไป ขอผมเก็บงานแผ่นนี้แล้วจะย้ายตัวเองไปทำงานบนตึก
จรดดินสอลากไปได้สองเส้น เสียงคุ้นๆก็ส่งคำถามประจำมาให้
“ขอนั่งด้วยได้ไหมครับ”
“เออๆ” ผมตอบไม่เงยหน้าขึ้นมองหน้ามันด้วยซ้ำ คนกำลังยุ่ง ผมว่ามันจงใจแล้วแหละ โต๊ะว่างเต็มไม่นั่ง เสือกมาขอนั่งด้วยได้ยินเสียงช้อนส้อมกระทบกัน แต่ที่ชัดกว่าคือกลิ่นทินเนอร์ที่เหมือนใครเอากระป๋องสีวางไว้ใกล้ๆ ผมสูดจมุดฟุดฟิด เงยหน้าขึ้นมองก็เข้าใจ
ไอ้ตี๋เลนนอนไม่มีแว่นเลนนอนครับวันนี้ ใส่เสื้อกระทิงแดงเปื้อนสีเป็นดวงๆ ผมรวบเป็นมวย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงไม่ได้กลับเมื่อคืนนี้ มันคงอยู่ทำคัทเอาท์ ที่มหาลัยแต่ละคณะจะรับผิดชอบทำคัตเอาท์ของคณะเวลามีกิจกรรมอะไร ปกติแล้วจะทำตอนกลางคืนแล้วเสร็จตอนเช้า ภายในคืนเดียว ใช้แรงคนกับความถึกพอสมควร
ผมอยากถามมันเหมือนกันว่าทำไมต้องโผล่มาขอนั่งด้วยทุกวัน แต่วันนี้ไม่ว่างจะคุยกับใครตอนนี้ ผมว่าพรุ่งนี้เดี๋ยวมันก็มา ค่อยถามพรุ่งนี้แล้วกัน เก็บงานเสร็จตามที่ตั้งใจเอาไว้ กำลังจะลุก ไอ้ตี๋เลนนอนก็อ้าปากพูด
“พี่ๆ ผมมีเหลือขวดนึง ผมให้” มันหยิบเอ็มร้อยห้าสิบขึ้นมาจากในกระเป๋าย่าม
“ไม่เป็นไรๆ” มันใส่ยาอะไรให้ผมรึเปล่าเนี่ย แอบคิดระแวงเหมือนกัน และตามมารยาท ไม่ขอรับดีกว่า
“พี่เอาไปเหอะ ผมให้จริงๆ” มันพูดเสียงอ้อนวอน ทำไงได้วะ...
“เออขอบใจๆ” แล้วผมก็รับมาหยิบใส่กระเป๋าก่อนจะหอบข้าวของออกไปจากโรงอาหาร
ต้องขอบใจไอ้เอ็มร้อยขวดนั้นจริงๆ ผมกับไอ้ฉุยแบ่งกันกินคนละครึ่งขวด มีแรงทำงานไปได้อีกครึ่งวัน ก่อนที่ครึ่งบ่ายจะพาตัวเองเข้าสู้สภาวะหลับในนั่งฟังบรรยาย
...
วันนี้งานเสร็จไม่เร่งรีบ ได้นอนเต็มอิ่ม มาตามเวลาปกติ คนในโรงอาหารยังไม่เยอะ ซื้อข้าวมันไก่ไม่เอาหนังราดน้ำจิ้มจนท่วมมานั่งกินสบายอารมณ์ จับเวลาได้ห้านาทีพอดิบพอดี ผู้ชายตัวสูงผมยาวก็มายืนหน้าหงอยเรียกร้องความสนใจ วันนี้มันแต่งตัวไม่หลงยุค รวบผมมาซะตึงเลยดูเรียบร้อยเกินปกติ
“ขอนั่งด้วยคนได้ไหมครับ”
“นั่งดิ” ผมพยักหน้าพร้อมกับพูด มันยิ้มนิดๆ ลากเก้าอี้นั่งลงกินข้าวเรียบร้อยเหมือนทุกครั้ง
“ทำไมต้องมาขอนั่งด้วยทุกวัน” ผมถามแทรกจังหวะการกินของมัน ช้อนส้อมในมือหยุดกึกลง
“ผมอยากรู้จักพี่ครับ” คำพูดมันสุภาพนะ แต่การกระทำมันช่างกวนตีน จากเมื่อวันศุกร์ที่แล้วผมรู้แล้วว่ามันคือไอ้เฟรชชี่นิชคุณหัวเกรียนเมื่อปีที่แล้วช่างหล้าหาญขึ้นตึกมาขอเบอร์ดาวคณะแต่เสือกซวยได้เบอร์ผมไปแทน ผมว่ามันคงจำผมได้ตั้งแต่ทีแรก มีแต่ผมนี่แหละที่พึ่งจำมันได้
“รู้จักไปทำไม”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” ผมว่ามันมีเหตุผล แต่มันไม่พูดมากกว่า
“น้องใช่นิชคุณที่เคยมาขอเบอร์ดาวคณะหรือเปล่า” ผมถาม ถามเพื่อยืนยันความถูกต้อง มันยิ้มกว้างให้ผมเป็นคำตอบแล้วพยักหน้า
“พี่จำผมได้เหรอ” จำการกระทำได้ แต่จำหน้าไม่ได้ถือว่าจำได้ไหม การที่เราจำเรื่องของคนคนหนึ่งได้ครบถ้วนแต่ดันจำหน้าไม่ได้นี่ถือว่าจำได้หรือเปล่า และในทางกลับกันเราจำหน้าคนนี้ได้แต่กลับจำไม่ได้เลยว่าเขาคือใคร ทำอะไร แบบนี้จะเรียกว่าจำได้หรือไม่ได้
“จำหน้าไม่ได้ แต่ได้ยินคนเรียกก็เลยนึกขึ้นได้” ก็มันผ่านมาปีนึงแล้ว
“พี่ชื่อดาวจริงๆป่ะ”
“จะบ้าเหรอวะ ผู้ชายที่ไหนชื่อดาว” มันปัญญาอ่อน มันล้น หรือมันขาดเนี่ยผมก็ไม่เข้าใจ
“แล้วพี่ชื่ออะไร”
“แล้วน้องชื่ออะไร” ผมถามมันกลับไปแทนที่จะตอบ นิชคุณมันยิ้มเหมือนจะเขิน แต่ไม่ใช่
“ผมชื่อซอง” ชื่อมันแปลกมาก ซองภาษาไทยที่ชื่อออกเสียงแบบซองจดหมาย ซองใส่ของ ไม่ได้ใกล้เคียงกับฉายานิชคุณอะไรของมันเลยสักนิดเดียว
“พี่ชื่อตุล” มาจากเดือนเกิดของผม
“ขอบคุณครับ”
“ขอบคุณอะไร”
“ขอบคุณที่พี่บอกชื่อผม” มันพูดยิ้มๆ ผมก็เออออไป มันเหมือนจะซื่อ แค่ไม่ซื่อ ไม่รู้มันคิดอะไรอยู่เหมือนกัน แต่เด็กคณะมันก็ขึ้นชื่อเรื่องบ้าๆบอๆอยู่แล้ว
……………………………………………………………………………....
วันพุธ ยังไม่ทันได้นั่งหย่อนก้นลงเก้าอี้ ไอ้ซองก็เดินมาหน้าชื่นบาน หอบกระดาน เดินตรงมาหา ไม่ต้องรอมันขออนุญาต
“นั่งเลย เดี๋ยวจะไปซื้อน้ำ” ผมบอกมันที่พยักหน้ารับ จากที่เหมือนไม่รู้จักตอนนี้เลยกลายเป็นรู้จักไปแล้ว ซื้อกลับมาซองมันก็นั่งกินข้าวเรียบร้อยเหมือนเดิม ข้างนอกดูเหมือนจะเป็นคนกล้าๆแต่ลึกๆแล้วก็ดูเป็นคนขี้อาย การแต่งตัวเหมือนจะทำให้ดูเถื่อนสกปรก แต่มองไปก็เรียบร้อยดูสงบเสงี่ยมแปลกดีเหมือนกัน ผมนั่งกินข้าวไปเงียบๆไม่มีบทสนทนาใดๆ แต่คราวนี้พอกินเสร็จผมกลับไม่ลุกขึ้นในทันทีเหมือนทุกครั้ง
“พี่ลงไปก่อนนะ” ผมพูด
“ครับพี่”
.................................................................................
ผมนั่งกินข้าวเช้ากับไอ้ซองมาร่วมสองสัปดาห์ได้ บางวันก็มีเพื่อนผมมานั่งด้วย เพื่อนไอ้ซองบ้าง เราไม่ค่อยคุยอะไรกัน รู้แค่ว่าผมเรียนคณะไหน มันเรียนคณะไหน กับแค่รู้ชื่อ แค่นั้น แต่วันนี้ ผมไม่ได้ไปกินข้าว มาถึงมหาลัยผมตรงดิ่งขึ้นตึก งานผมไม่เสร็จ ผมหอบโน้ตบุ๊คมาตั้ง รีบเรียงงานจัดเลย์เอาท์แล้วเซฟก่อนจะวิ่งไปปรินท์ที่ห้องปรินท์ แล้วมันก็ชิบหายตรงที่พี่ที่อยู่ประจำวันนี้ยังไม่มา ผมเริ่มเครียด มันสายแล้ว ใกล้เวลาเข้าเรียน ผมไม่รอ วิ่งลงตึกในมือกำแฟลชไดร์ฟไปปรินท์ที่คณะตรงข้าม ราคาแพงกว่าแต่ยังดีกว่าไม่ได้ปรินท์ ร้านเปิดแล้ว ไม่มีคนโชคดีเป็นของผม ผมนั่งรองานปรินท์ จุดบุหรี่ขึ้นมาสูบพ่นควันช้าๆให้สมองโล่ง มองออกไปที่ถนนตัดผ่านคณะ เห็นไอ้ซองเดินยิ้มร่ามากับผู้หญิงหน้าตาน่ารักในชุดนักศึกษาที่บ่งบอกว่าไม่ใช่ทั้งเด็กคณะผมหรือคณะมันเพราะปกติพวกผมไม่ต้องใส่ชุดนักศึกษาอยู่แล้ว หรือจะเป็นคนที่มันกำลังจีบ หรืออาจจะเป็นแฟนมัน
ก็โอเค เหมาะกันดี…
ผมคิดในใจแล้วโยนบุหรี่ลงพื้น ใช้ส้นรองเท้าเหยียบให้ดับ
งานพรีเซนต์ของผมผ่านไปด้วยดีตอนเที่ยงเลยลงมานั่งสูบบุหรี่ผลิตก๊าซให้ต้นไม้เอาไปเป็นส่วนประกอบในการสังเคราะห์แสง เมื่อเช้ายังสูบได้ไม่ถึงครึ่งมวน ยังพออยู่ในโควตา มีเพื่อนๆเป็นขาประจำมาร่วมกลุ่มพ่นควันพิษสามสี่คน
“เดี๋ยวนี้มึงนั่งกินข้าวกับใครทุกเช้าวะ” หนึ่งสาวที่นั่งร่วมพ่นควันกับผมถามขึ้นมา อีบัวตัวแสบ
“นิชคุณ” ผมพูดขำๆ
“กุพึ่งรู้นะว่านิชคุณแม่งไว้ผมยาวด้วย ถุ้ยอีตุล บอกมาๆ มึงไปรู้จักเด็กคณะโน้นได้ไงวะ แฟนใหม่มึงเหรอ”
“ไม่ใช่เว้ย คนรู้จักกันเฉยๆ”
“เหรอ กุก็นึกว่ามึงจะมาแนวใหม่ เอาแบบหล่อๆ เซอร์ๆ”
“อิจฉากุหรือไง” ผมแกล้งแหย่สาวถึกแบบมันเล่น
“ผัวกุหลอกว่ามึงค่ะอีกอีตุล” นึกสงสัยว่าใครผัวมัน เรียนด้วยกันมาสามปีไม่เห็นจะเคยเห็นโผล่มาให้เห็นสักตัว
.........................................................................................
เช้านี้เป็นเช้าที่สองแล้วที่ผมไม่ได้ขึ้นไปกินข้าวเช้าที่โรงอาหาร เบื่อไม่รู้จะกินอะไร ผมเลยไม่กินแล้วขึ้นเรียนเลยคิดอยู่ว่าไอ้ซองมันจะรอไหม แต่คิดไปคิดมา มันจะรอทำไมเพราะปกติก็ไม่เคยรอกันอยู่แล้วแค่ขึ้นมากินข้าวพร้อมกันแล้วนั่งด้วยกันเฉยๆ อาจารย์เปิดสไลด์ไปเรื่อยๆ ผมก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง นั่งวาดรูปเล่นไปเรื่อย
ตอนเที่ยงก็หิ้วท้องเดินออกไปหาข้าวกินแถวท่าเรือ อยากอาหารแขกประเภทมะตะบะขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ คนเต็มร้าน ยืนรอไปได้สักห้านาทีกว่าจะได้มีโต๊ะนั่งพอกันจำนวนคนห้าคน รออาหารไปอีกครึ่งชั่วโมง เพื่อนอีกคนที่หิวโซมาตั้งแต่เมื่อเช้าแทบล้มโต๊ะเพราะอาหารช้าเกินจะทน อาหารพอมาถึงน้ำดันไม่มาตาม กว่าจะมาเสิร์ฟน้ำ ข้าวกับมะตะบะที่สั่งเอาไว้ก็แทบหมด มากี่ทีก็แบบนี้ทุกรอบ แต่ชีวิตเหมือนไม่ค่อยมีทางเลือก
ระหว่างเดินเบียดคนกลับไปมหาลัย ก็ได้เจอคนที่ไม่คิดว่าจะเจอมันตอนนี้
“พี่ตุล” เสียงมาจากด้านหลัง หันไปก็เจอมันมาเดินตามหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มันที่ว่าไม่ใช่ใคร นิชคุณขาก้วย เสื้อย้วย ผมยาว
“เออหวัดดี ไปไหนมา” ถามตามมารยาท มันเดินแทรกคนข้างๆมาตีคู่กับผม ส่วนเพื่อนผมมันเดินนำลิ่วๆไปโน่น ตามปกติฟุตบาทแถวนี้มันแคบเลยเดินแบบตัวใครตัวมัน เจอกันที่ปลายทาง
“กลับมอครับ ออกมาซื้อเคลียร์พ่นงาน พอดีสโมของขาด” ผมพยักหน้ารับรู้ สโมฯ ก็คือร้านขายเครื่องเขียนเล็กๆที่มีของที่ต้องการแทบทุกอย่าง แต่ช่วงนี้ของหมดบ่อยอาจจะเป็นเพราะน้ำท่วมช่วงก่อนหน้านั้น กระดาษร้อยปอนด์เรียบกับชานอ้อยนี่หมดประจำช่วงนี้ ไม่รู้ว่าเอาไปเรียนหรือเอาไปกินกันแน่ ซื้อมาเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ ยังดีที่รอบมหาลัยมีร้านขายเครื่องเขียนราคาถูกกว่าท้องตลาดเล็กน้องพอให้เป็นทางเลือกที่สองได้
“งานเยอะไหม” เป็นคำถามพื้นฐานที่ต้องถามอีกเช่นกัน
“ก็เรื่อยๆอ่ะพี่ พี่งานยุ่งเหรอ ไม่เห็นไปกินข้าวตอนเช้าเลยผมเลยไม่รู้จะไปขอใครนั่งด้วย” นี่มันต้องนั่งกินกับคนอื่นด้วยเหรอถึงจะกินข้าวได้ แปลกคนนะมัน แต่ผมก็ว่าดูการแต่งตัวมันก็น่าจะบอกอยู่แล้วว่ามันแปลก
“เออ มาสายด้วยเลยไม่ได้ขึ้นไป”
“มีงานอะไรอยากให้ช่วยบอกผมได้นะพี่ ผมอยากช่วย” ผมว่าซองมันคนดีมีน้ำใจนะ แต่ผมจะไปให้มันช่วยตอนไหน เจอมันทีไรไม่หอบงานก็เห็นตัวเปื้อนสี
“เออ ไม่เป็นไรหรอก ขอบใจมาก” แล้วก็หมดบทสนทนาของมันกับผมสำหรับวันนี้ อีกนิดเดียวก็จะถึงมหาลัย ผมเดินแยกไปรวมกับกลุ่มเพื่อน ปล่อยให้มันเดินเข้าประตูข้างมหาลัยตรงไปคณะมัน
...
เช้าวันศุกร์ผมไปเดินขึ้นโรงอาหาร ไปกินข้าว ยังไม่ทันขึ้นถึงโรงอาหาร เสียงทักคุ้นๆก็เรียกผมไว้ก่อน ตอนนี้มันเช้ามาก คนยังไม่ค่อยมี แต่ไอ้ซองมาแล้ว ทีแต่ก่อน โผล่มาเอาตอนสายๆ ชักจะยังไงอยู่นะมัน
“ทำไมวันนี้มาเช้า” ผมถามมัน ไอ้ซองแต่งตัวเรียบร้อยผิดปกติมากที่สุดกว่าวันอื่น ใส่เสื้อนักศึกษาแต่ก็ยังหลุดระเบียบตรงใส่กางเกงสีเบจพับขาขึ้นโชว์รองเท้าหนังหุ้มข้อของมัน ผมรวบเรียบร้อย แว่นตาเลนนอนห้อยไว้กับคอเสื้อ
“วันนี้ไปรับรางวัลที่หอศิลป์ครับพี่” ว่าแล้ว ว่าแล้วว่ามันต้องไปงานอะไรสักอย่าง และว่าแล้วว่ามันต้องเก่ง
“ดีใจด้วย เทพนี่หว่า”
“ขอบคุณครับพี่”
ผมกับมันแยกย้ายกันไปซื้อข้าวแล้วก็กลับมานั่งด้วยกัน ผมสังเกตหลายทีแล้วว่าซองมันคงจะชอบกินเผ็ดไม่ว่าอะไรมันจะต้องใส่พริก กินแล้วก็จะหน้าแดง ปากแดง เพราะว่ามันเป็นไอ้ตี๋ผิวเผือก ก่อนที่มันจะมาเป็นสภาพเซอร์ขนาดนี้ ตอนเฟรชชี่ในความทรงจำอันเลือนลางของผมไอ้นิชคุณหรือไอ้ซองวันนั้นลุคมันคนละแบบกับตอนนี้ …มันเป็นตี๋หัวเกรียนดวงซวย
“ซองทำไมอยากรู้จักพี่ถามจริงๆ” จู่ๆผมก็ถามมันออกมา
“พี่ดูเป็นคนน่าคบหา” เหตุผลนี้มันจะน่าเชื่อไหมวะ น่าคบหา คำศัพท์มัน ภาษาเขียนมาก
“เอาอะไรมาเป็นเกณฑ์”
“ไม่รู้ครับพี่” มันเงยหน้าขึ้นมาตอบยิ้มๆ มึงไม่รู้ กุไม่รู้ด้วยก็ได้วะ...
ผมกำลังจะลุกเอาจานไปเก็บ พอดีกับที่ไอ้ซองมันยัดข้าวคำสุดท้าย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ารีบกินให้ทันผม ผมน่ะกินข้าวเร็วเป็นปกติอยู่แล้วถ้าอยากไปพร้อมกันทำไมไม่บอกวะ จะมาเร่งกินเพื่อ สะอึกเลยไงล่ะมึง ผมยื่นขวดน้ำให้มันกินแก้สะอึก มันยกมือไหว้ของคุณ มารยาทงาม เพราะผ่านการรับน้องมาอย่างหนักตามสไตล์คณะมัน
“เดี๋ยวก่อนพี่ตุล”
“อะไร”
“ขอที่อยู่พี่ได้ป่ะ”
“เอาไปทำไมวะ”
“เอาไว้ติดต่อไง” ไอ้บ้า จะส่งจดหมายหรือไงวะ นี่มันยุคไหนแล้ว มือถืออะไรไม่มีหรือไง
“ที่อยู่เนี่ยนะ เอาเบอร์มือถือไปดีกว่าไหม”
“ไม่เอาพี่ผมไม่ชอบใช้โทรศัพท์มันมีคลื่นรบกวน ขอที่อยู่แทน” เอาวะ มันขอผมก็ให้ ซองมันหยิบสมุดโน้ตเล็กสำหรับจดกับสเตชบางอย่างคร่าวๆจากกระเป๋าเสื้ออออกมาให้พร้อมกับดินสอสองบีที่เหลาใช้จนเหลือแท่งยาวเท่านิ้วก้อย ผมเขียนที่อยู่หอของผมให้ไป นึกสภาพไม่ออกว่าจะติดต่อยังไง ส่งจดหมายเหรอ นานไปไหมกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง
“หอนี้เหรอพี่”
“อือ”
“หอเพื่อนผมก็อยู่แถวนี้ ขอบคุณครับพี่” มารยาทงามว่ะนิชคุณ แต่แปลกคนนะมัน
...
เช้าวันเสาร์ผมตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตาแต่ขี้เกียจอาบน้ำเลยลอกคราบออกไปหาข้าวกิน แต่ตอนกำลังจะเดินออกจากหอ คนดูแลหอก็ยื่นซองจดหมายสีน้ำตาลตุ่นๆทำจากกระดาษน้ำตาลที่เอาไว้ห่องาน หน้าซองจ่าหน้าถึงผมแต่ไม่ติดแสตมป์ อาจจะมีคนเอามาให้เองล่ะมั้ง อยู่ๆผมก็นึกถึงซอง ไอ้ซองที่เป็นคนนะไม่ใช่ซองจดหมาย อย่าบอกนะว่ามันส่งมาจริงๆ ติดต่อทางจดหมาย... เชื่อมันเลย ผมเดินไปแกะซองจดหมายไป ข้างในก็เจอสูจิบัตรแบบแผ่นพับสำหรับงานแสดงผลงานของการประกวดแห่งหนึ่ง ผมรู้แล้วล่ะว่าคงเป็นไอ้ซองที่ส่งมาจริงๆ หอศิลป์ที่จัดแสดงอยู่ไกล แถมงานผมก็เยอะ
...คงไม่ได้ไปว่ะ ไว้เจอหน้าจะบอกมันแล้วกัน
...
เช้าวันจันทร์นิชคุณคนเดิมกลับมาแล้วด้วยเสื้อผ้าดิบทรงแบบเสื้อพื้นบ้านล้านนาตัวโคร่ง และกางเกงยีนส์เก่าๆของมัน ผมปล่อยยาวสยายใส่แว่นดำทรงกลมกันแดดจากอากาศร้อนๆอันคุ้นเคย แต่ผมไม่ได้เจอซองมันที่โรงอาหารเหมือนทุกครั้ง คราวนี้เจอที่หน้ามหาลัย ซองเดินตรงมาหาแบบที่ผมก็เดาได้
“ขอถือช่วยได้ไหมครับ” พูดเพราะ ขนาดจะช่วยยังขอ ดูคนแต่ภายนอกไม่ได้จริงๆ เห็นมันดูท่าทางดิบๆแต่นิสัยนุ่มนิ่มผิดกับภายนอก ผมพยักหน้าให้มันถือแผ่นชาร์จติดแบบงานส่วนผมถือโมเดลงานอีกถุงเอง ผมกับมันเดินเงียบๆตรงขึ้นไปบนโรงอาหารโดยไม่ต้องเอ่ยกันออกมา เพราะยังไงมันก็เป็นที่ประจำอยู่แล้ว
วันนี้ผมกับซองกินข้าวร้านเดียวกัน อันที่จริงก็มีอยู่สองร้าน ถามว่ามหาลัยไหนที่มีร้านข้าวแค่สองร้าน ก็ที่นี่ล่ะ...
“ชอบกินเผ็ดเหรอ” ผมชวนมันคุยระหว่างที่ยืนรอคิวสั่งข้าวราดแกง
“ก็ชอบนะ ชอบพวกอาหารรสจัดๆ อาหารอีสาน อาหารใต้” มันพูดแล้วก็ยิ้ม เหมือนดีใจที่ผมถาม กระตือรือร้นที่จะตอบ
“หน้าไม่เห็นเหมือนจะเป็นคนกินเผ็ด นึกว่าชอบกินแบบพวกจืดๆ อาหารจีน อะไรพวกนี้” ผมแกล้งล้อปมด้อยมันเล่น ตี๋เลนนอน มันหัวเราะขำไปกับมุขผม
“อุตส่าห์ใส่แว่น ไว้ผมยาวแล้วยังไม่หายตี๋อีกเหรอ”
“ลองไว้หนวดดิ” เรียนคณะมันผู้ชายสักครึ่งคณะไม่ไว้หนวดก็ไว้เครา
“ลองแล้วเหมือนอาแปะเลยไม่ไว้” พูดไปยิ้มไป ก็อดไม่ได้ที่ต้องยิ้มตามมัน ถึงคิวสั่งข้าวผมกับมันก็ต่างคนต่างสั่งเดินเอาจานไปวางที่โต๊ะ ผมกำลังจะลุกไปซื้อน้ำแต่มันก็อาสา
“เอาน้ำอะไรเดี๋ยวผมซื้อให้”
“น้ำเปล่าขวดนึง” ผมพูดแล้ววางเงินสิบบาทลงบนมือมัน “ขอบใจมาก”
...
วันอังคารมาถึง เมื่อวานผมลืมบอกมันว่าไปดูงานแสดงไม่ได้ กะว่าเดี๋ยวจะบอกวันนี้ แต่กลับกลายเป็นว่าวันนี้ผมนั่งกินข้าวคนเดียวที่โรงอาหารเป็นครั้งแรกในรอบหลายอาทิตย์ ซองมันคงงานยุ่ง มาสายหรืออาจจะติดธุระซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่คนเรียนแบบผมแบบมันจะเลือกละทิ้งอาหารเช้าและการนอนเพื่อทำงานให้เสร็จ
ผมกินข้าวเสร็จก็ลงมาซื้อกระดาษเตรียมจะเอาขึ้นไปทำงานในคาบเรียนตามที่อาจารย์สั่งเอาไว้ ทีแรกลืมไปแล้วเหมือนกัน เจอหน้าไอ้ฉุยถึงนึกขึ้นได้ หน้าไอ้ฉุยดันไปเหมือนกับอาจารย์คนสอนวิชานี้โดยบังเอิญ เหมือนบางมุม ไม่ทั้งหมด เหมือนแค่หน้าแต่นิสัยไม่เหมือน ไอ้ฉุยไม่ใช่คนทำงานเนี้ยบที่สุด อยู่ในระดับเนี้ยบเท่ามนุษย์ทั่วไป แต่อาจารย์คนนี้เนี้ยบเหนือมนุษย์ หักคะแนนกระทั่งเศษฝุ่นบนงาน จนพวกผมต้องมีแปรงส่วนตัวเอาไว้ปัดฝุ่นก่อนส่งงานทุกรอบ ร้านขายกระดาษคนเยอะเหลือเชื่อ เยอะจนล้นออกมาข้างนอก ยังมีเวลาเหลือ ไม่รู้อะไรดลใจ ผมชวนไอ้ฉุยเดินออกไปซื้อร้านข้างนอกมหาลัย
ระหว่างทางผ่านห้องภาพพิมพ์ ไอ้ฉุยสะกิดผม
“เห้ยน้องดาว นั่นนิชคุณนี่หว่า ฮ่าๆ” สำหรับไอ้ฉุย พอพูดถึงชื่อนี้ ชื่อดาวมันต้องโผล่กลับมาหาผมทุกครั้ง ผมหันไปมองตามมือไอ้ฉุย ซองอยู่ในห้องภาพพิมพ์ กำลังทำงานอยู่กับเพื่อนมันแต่เช้า สภาพแค่เห็นก็รู้ว่าเหนื่อย
“มึงจำได้ด้วยเหรอ ทีแรกกุจำไม่ได้” ผมพูดกับฉุย มองเข้าไปในห้อง ซองไม่เห็นผม แต่ผมเห็นมัน
“กุไม่โง่เหมือนมึงไงไอ้ตุล มึงนี่ก็กล้าลืมหน้าผู้ชายคนแรกที่มาขอเบอร์มึงได้ยังไงวะ ฮ่าๆ” ไอ้เหี้ยฉุยพูดจากวนตีนฉลาดนักนะมึง
“เพราะมึงไงฉุย ไอ้จังไร” ผมด่าเพื่อนข้างตัว เดินออกจากมหาลัยไปซื้อกระดาษ เดี๋ยวค่อยบอกมันวันพุธก็แล้วกัน
........................................................................................
วันพุธ ซองนั่งรอผมหน้าห้องสมุด... ไม่ต้องให้ผมตามหาตัวยากเลย
“พี่ตุลหวัดดี”
“ทำไมมาแต่เช้าเลยวะ” ผมถามมันงงๆ
“มาตั้งแต่ตีห้าแล้วพี่ ไปใส่บาตรแถวท่าเตียนมา” ท่าทางจะบุญหนักแต่เช้า
“ไปดูงานไม่ได้ว่ะ” ผมรีบบอกมันก่อนที่จะลืมบอก
“อ้าว ทำไมล่ะพี่ อยากให้ไปนะ มีงานคนดังๆเพียบเลย ดีมาก” ฟังเสียงซองมันเหมือนแอบผิดหวังเล็กๆ ผมรู้สึกผิดทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องที่ผิดเท่าไหร่ แต่มันก็อุตส่าห์เอาสูจิบัตรงานไปส่งให้ถึงที่คงตั้งใจอยากจะให้ผมไปดู วันพรุ่งนี้ผมมีส่งงาน แล้วมันก็เป็นวันสุดท้ายของงานแสดง
“งานพี่เยอะว่ะ มีส่งงานด้วยโทษทีๆ”
“อ้อ... งั้นไม่เป็นหรอกพี่ งานไม่เสร็จละแย่เลย”
ผมกับมันเดินขึ้นไปกินข้าวพร้อมกัน แต่ซองมันเหมือนเงียบไป ผมไม่ชวนคุยมันเลยไม่พูดอะไร ผมรู้สึกอึดอัดแปลกๆทั้งที่มันก็ไม่น่าที่จะอึดอัดตรงไหน มันก็เป็นเรื่องปกติ ก่อนหน้านั้นผมกับมันก็แค่เพื่อนร่วมสถาบันที่เหมือนเป็นคนแปลกหน้าด้วยซ้ำ
ผมกำลังนั่งเขียนแบบ คืนวันพุธกลายเป็นวันพฤหัสบดีเรียบร้อย ตาพร่ากับแสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ผมเพ่งมันมาหลายชั่วโมงแบบไม่หยุดพัก พวกคอ ปวดไหล่ ปวดหลัง และตอนนี้กำลังเริ่มที่จะปวดหัว กองกระดาษร่างงานกระจายเต็มห้องจนไม่มีที่เดิน ผมถอนหายใจเฮือก เซฟงานที่ค้างเอาไว้ เดินเหยียบเศษกระดาษออกไปสูบบุหรี่ที่ริมระเบียงห้อง นั่งเก้าอี้ที่ผมทำเองกับเพื่อนจากบรรดาไม้เหลือใช้ในการทำโปรเจคของเพื่อนอีกภาค สูบไปครึ่งมวนก็มีแมวเดินมาเล่นด้วย ห้องผมอยู่ชั้นหนึ่ง แมวแวะมาประจำ ตัวนี้ก็ขาประจำ แรกๆไม่คุ้นกัน จนตอนนี้ยอมให้จับได้แล้ว ถึงจะไม่ค่อยอ้อนก็ตาม
“ดึกๆดื่นๆไม่นอนนะมึง” ผมพูดกับแมว มันเป็นนิสัยส่วนตัวของผมที่เวลาอยู่คนเดียวผมจะพูดกับสัตว์ตัวนั้นตัวนี้ ไม่ได้บ้านะ แต่เหมือนได้ระบาย
“กุมีเรื่องสงสัย” ผมใช้นิ้วเกาหลังหูแมวเบาๆแล้วพูดขึ้น
“ซองมันจีบกุป่าววะ”
ผมระบายความในใจที่ผมไม่กล้าพูดกับใครออกมาแล้วเมื่อกี้ แมวฟังไม่รู้เรื่องหรอก แต่ก็ยังดีที่ได้พูดออกมา อัดนิโคตินเข้าปอดตามมาอีกเฮือกใหญ่ ควันที่พ่นออกมาเยอะจนบดบังรัศมีการมองเห็นเบื้องหน้าให้พร่ามัวไปชั่วอึดใจ แมวร้องเหมียวแล้วเดินหนีควันพิษจากผม
ผมยังหาคำตอบไม่ได้อยู่ดี...
....................................................โปรดติดตามตอนต่อไป.....................................................................7-5-2012
ไม่จบแฮะสองตอน เลยเอามาลงก่อน ตอนหน้าน่าจะจบได้ล่ะมั้งนะ
ขอบคุณทุกคนมากที่เข้ามาอ่านกัน ทั้งจากนิยายอีกเรื่องและบางคนที่เข้มาอ่านโดยบังเอิญ
เรื่องนี้ไม่เครียด เรื่อยๆเฉื่อยๆตามใจฉันสุดๆ
ปล.มีตอบโพสด้านล่างนะจ้ะ