http://www.youtube.com/v/ekQQgq8lhic&hl=en_US&fs=1ตอน ๑๐
ไตติลาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากถูกวางยาสลบ โลกทั้งโลกของไตติลาช่างไร้สมดุล หัวสมองมึนชา ดวงตาของไตติลากวาดมองไปรอบอย่างคนไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ไตติลาหลับตาลงอีกครั้ง สดับฟังเสียงใบปัดน้ำฝนหน้ารถทำงานของมันอย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับเสียงเม็ดฝนตกพรำลงบนกระจกหน้า ก่อนจะลืมตาขึ้นใหม่ คราวนี้ภาพต่างๆชัดขึ้นกว่าก่อน เช่นเดียวกับสติของไตติลาที่กลับคืนมาอย่างช้าๆ จึงระลึกได้ว่ากำลังจะกลับไปพักฟื้นที่บ้านตน
“เข้าใจแล้วว่าทำไมหมอถึงไม่ให้ขับรถกลับเอง?” ไตติลายกมือกุมศีรษะตัวเอง
“มึนมากไหม เวียนหัวคลื่นไส้อะไรบ้างหรือเปล่า?” เพื่อนสาวถามด้วยความเป็นห่วง
“แน่ใจนะว่า อยู่คนเดียวได้แน่น่ะ?”
“ได้สิ เดี๋ยวก็หายมึนแล้ว”
“ถ้าแกไม่ไหวต้องบอกชั้นนะ โทรศัพท์น่ะพกไว้กับตัวเลย มีอะไรให้รีบโทรมา”
“ไม่มีอะไรหรอก แกอย่าห่วงเลย สัญญาเลย ถ้าไม่ไหวจะโทรบอกแกคนแรก”
“พี่คริษฐ์รู้หรือเปล่าว่าแกผ่าตัด” คนขับรถหันมามองผู้โดยสารครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับไปมองถนนเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนสี
“ไม่ต้องบอกหรอกน่า” ทั้งคู่เงียบไปนาน ไตติลาใช้ความคิดกับตัวเองเงียบๆ ค่าใช้จ่ายต่างๆเพิ่มขึ้นอีกเท่าทวี เมื่อเจ็บป่วยเช่นนี้ แม้จะมีประกันสุขภาพ ในหัวไตติลากำลังวางแผนว่าจะทำอย่างไรดีกับเรื่องเหล่านี้
“ช่วงนี้ แกดูเงียบๆไปนะ คือ เหมือนแกเอาแต่เก็บตัวในห้อง” ไตติลาหันมองคนพูด ดวงหน้านั้นมีเค้าจริงจังเด่นชัด
“แกคิดไปเองหรือเปล่า เรียน ทำงาน เหนื่อยก็กลับบ้าน ไม่ได้ต่างจากเดิมที่ตรงไหน”
“ ไม่รู้สิ ฉันแค่รู้สึก” ไตติลายิ้มปลอบโยน
“ไม่มีอะไรหรอก เชื่อสิ” เพื่อนสาวพยักหน้ารับรู้เบาๆ
ไตติลากลับเข้าพาร์ทเม้นต์เจได้สำเร็จ จากการช่วยเหลือของเพื่อนสาว แม้จะไม่มีแผลเปิดภายนอกเนื่องจากเป็นวิธีการผ่าตัดใหม่ ที่ทำให้คนไข้บอบช้ำน้อยลง แต่ก็ปฎิเสธว่ามันคือการตัดเนื้อบางส่วนออกไปความเจ็บปวดจึงแล่นปราดมาขึ้นมาทุกครั้งที่ขยับกาย แม้ว่าไตติลาจะแค่ต้องการหยิบเสื้อกันหนาวจากตู้เสื้อผ้าสูงจรดเพดาลของตน ตู้เสื้อผ้าที่พับผ้าเรียบร้อยแบ่งประเภทเป็นระเบียบนั้นยังคงเป็นอย่างที่มันจะเป็น ทว่ากลิ่นค่อนข้างอับทำให้ สายตาของไตติลาสอดส่ายหาจนไปสะดุดเข้ากับบางสิ่งที่มุมตู้ ด้านที่ใช้เป็นตู้เก็บของ ฝั่งที่เขาไม่ได้เปิดบ่อยนัก ใต้ที่นอนเก่าเก็บนั้น ฝั่งชิดกับผนังตู้ด้านใน พรมกลับปูดโปนออกมา
“น้ำรั่ว? เสียตังค์อีกสิ” ไตติลาอุทานอ่อนใจ
หากเป็นในยามที่ร่างกายไตติลายังสมบูรณ์ดี คงไม่ยากเย็นที่จะยกที่นอนเก่านั้นออก เพื่อตรวจดูว่าอะไรทำให้พรมเปิดขึ้นอย่างนั้น ทว่าในขณะนี้ร่างกายของเขายังอุทธรณ์ต่อความเจ็บปวดไม่ขาด เขาจึงทำได้เพียง เขย่งปลายเท้า ใช้มืออีกข้างดันตัวไว้กับกำแพง ส่วนมือที่เหลือจับพรมที่เปียกชื้น ไตติลาลองคลำดูพบว่าไม้ที่ปูบริเวณดังกล่าวบวมน้ำจนปริออกจนสามารถใช้มือดึงออกมาได้ ทว่าใต้ไม้ชิ้นนั้น กลับไม่ใช่พื้นปูนแข็งๆ แต่เป็นช่องว่างเล็กๆ กระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกพับไว้ ไตติลาใช้ปลายนิ้วคีบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา
“แผ่นพับ?” ไตติลามองสภาพโดยรวมอย่างสงสัย แผ่นพับโฆษณาร้านซักรีด เก่าจนเหลืองกรอบนั้น พิมพ์ข้อความรายละเอียดร้านเอาไว้ พร้อมเบอร์โทรศัพท์ ไตติลาอ่านคร่าวๆ ก่อนจะคลี่กระดาษนั้นออกอย่างเบามือ ทว่ากระดาษที่เก่าจนกรอบนี้กลับไม่อาจทานทน และขาดออกเป็นสองซีก
“เส้นโค้ง?” ไตติลาอุทานอย่างแปลกใจ เมื่อหงายกระดาษซีกหนึ่งในมือขึ้นเป็นเส้นโค้งต่อกันสองเส้น มือนวลนั้นหงายอีกซีกขึ้นเป็นเส้นโค้งแบบเดียวกัน ไตติลาเอาทั้งสองซีกมาต่อกันใหม่
“เลขแปด...ไม่ใช่สิ อินฟินิตี้” ไตติลากระซิบบอกตนเองด้วยเสียงอันเบาหวิว
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ลายเส้นบนกระดาษคุ้นตาคุ้นใจไตติลาเกินกว่าจะไม่สงสัย เพราะเขาเพิ่งเห็นกษิดิสเขียนเครื่องหมายแบบนี้ด้วยปรกกาแบบเมจิกอยู่เมื่อเร็วๆนี้ ความสงสัยต่างๆผุดพรายขึ้นในใจอย่างห้ามไม่อยู่ มือนวลคว้าโทรศัพท์มือถือของตนกดหมายเลขตามใบปลิวแล้วโทรออก เขาได้ยินเสียงสัญญาณ รอสายอยู่อึดใจ ก่อนจะมีเสียงที่ปลายสายรับ ทว่าไตติลาไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่กดตัดสายไปอย่างเงียบเชียบ ในหัวไตติลากำลังปั่นป่วนคิดหาเหตุผลมากมาย
“เพิ่งผ่าตัดมาไม่ใช่หรือ?ทำไมไม่นอนพัก?” ไตติลาสะดุ้งกับเสียงทุ้มนุ่มซึ่งดังมาจากประตูห้องตน ที่เปิดอ้าไว้
“ครับ!?” ร่างสูงใหญ่ของกษิดิสยืนอยู่ที่หน้าประตู คิ้วเข้มนั้นขมวดเข้าหากันน้อยๆ เมื่อจับความรู้สึกผิดแปลกบางอย่างที่แขวนลอยในอากาศได้
“มีอะไรหรือเปล่าติลา?” แม้น้ำเสียงนั้นจะทอดอ่อน ทว่าดวงตาเข้มจัดนั้นกลับมีเค้ากังวลใจอันซ่อนไว้ไม่มิด
“เปล่าครับ ผมแค่หาเสื้อกันหนาว”ไตติลาหันกลับไปหยิบเสื้อกันหนาวบนชั้นวางมอย่างสุ่มๆ พร้อมกับที่ซ่อนกระดาษเก่าแผ่นนั้นไว้ในกองผ้า
“ขอเข้าไปนะครับ?” กษิดิสพูดอย่างสุภาพก่อนจะก้าวเข้ามาในห้อง วันนี้กษิดิสแ ต่งกายด้วยชุดธรรมดาเหมือนอยู่บ้านมากกว่าเป็นการออกไปนอกบ้าน ไตติลามัวแต่ให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของร่างสูงใหญ่นั้น มืออุ่นคลี่เสื้อกันหนาวที่เคยอยู่ในมือไตติลาออก ก่อนจะกางให้สวม พร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่นดังเดิม
“หมอว่าอย่างไรบ้าง? เจ็บหรือเปล่า?” ไตติลามองดวงหน้าคมสันนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย ขณะที่มือแข็งแรงคู่สวย ช่วยกลัดกระดุมให้ และผูกสายคาดเอวให้เรียบร้อย
“คุณหมอว่าไม่ได้เป็นอะไรหนักหนา แต่ก็ปวดนิดหน่อยครับ”
“เอนหลังหน่อยดีกว่านะ หน้าซีดเหลือเกิน เดินไหวไหม?” แม้จะเคลือบแคลงในใจอย่างไร ทว่าน้ำเสียงอ่อนโยน สัมผัสสุภาพอบอุ่น และดวงตาที่พราวระยับด้วยความอาทรนั้น เป็นสิ่งที่ไตติลานึกรักอย่างปฎิเสธไม่ได้
“เดินไหวครับ แต่ต้องขอเกาะแขนหน่อย” ไตติลายิ้มจางกับตัวเอง เมื่อครู่ยังกายกรรมเอากระดาษแผ่นนั้นออกมาได้ กับแค่เดินกลับไปที่เตียงเองทำไมจะทำไม่ได้ เพราะยายังไม่หมดฤทธิ์ดี แต่การได้เกาะแขนกษิดิสเดินสักหน่อยจะกระไรหนักหนา
“ระวังนะ” ไตติลาเกาะแขนแข็งแรงนั้นจนเอนหลังลงพิงกองหมอน กษิดิสคลี่ผ้าห่ม ห่มให้เรียบร้อยอีกชั้นหนึ่ง
“มียาอะไรต้องทานหรือเปล่า?”ไตติลาตอบว่าพี่ กษิดิสจึงเป็นธุระหาน้ำมาให้ก่อนจะนั่งลงที่ข้างเตียง ไม่พูดอะไรอีกเพียงแต่จ้องมองมาเงียบๆ จนไตติลากินยาเรียบร้อย
“มองอะไรครับ?” ไตติลาถามแผ่วเบา คนถูกถามยกริมฝีปากหยักสวยที่มีไรหนวดเขียวครึ้มขึ้นเล็กน้อย
“ติลา....มองไตติลา” เจ้าของชื่อ เม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาสูงอีกนิดจนเหลือแต่ลูกตา
“ขอมองหน่อย ติลาไม่สึกหรอก ใช่ไหม?” ไตติลามุดหายไปในผ้าห่ม เมื่อดวงตาเข้มจัดคู่นั้นพราวระยับจนคนมองสบทนสะเทิ้นอายไม่ไหว
“มองไว้ จะได้จำแม่นๆ” มือนวลค่อนข้างเย็นนั้น โผล่พ้นชายผ้าห่มหนาออกมา จับข้อมือแข็งแรงไว้ ฝ่ามืออบอุ่นคู่นั้นกุมมือนวลนั้นไว้ ถ่ายเทความอุ่นจากเลือดเนื้อสู่อีกคน
“หือม์” กษิดิสเอียงคอมองคนที่ยอมโผล่หน้าพ้นผ้าห่มจนได้ นิ้วเรียวยาวเกลี่ยวเส้นผมที่อยู่ใกล้ตาให้แผ่นเบา
“คุณดิสมีอะไรปิดบังติลาหรือเปล่า?” กษิดิสชะงักงันไปเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มจาง ทว่าไม่อาจรอดพ้นสายตาไตติลาไปได้
“ทำไมหรือครับ? ติลาอยากรู้อะไร?”
“ผมแค่รู้สึกว่า เรารู้ข้อมูลพื้นฐานของกันและกันน้อยไปหน่อย” ไตติลาอาจบอกเล่าเกี่ยวกับตนเองมากมาย แต่กษิดิสพูดถึงตนเองน้อยครั้งจะแทบไม่เคย
“กระผมชื่อ นายกษิดิส ไทสรรค์ เชื้อชาติไทย สัญชาติไทย ติลาอย่างรู้แบบนี้หรือ?” คนพูดทำซุ่มเสียงราวกับทหารมารายงานตัว จนไตติลาหัวเราะ บ่นว่าสะเทือนแผลผ่าตัด แต่ก็ยังคะยั้นคะยอให้คนพูดพูดต่อไป
“ เอ...บอกอะไรอีกดี อ้อ..ความสามารถพิเศษ ทำอาหารเป็น หลายอย่างเอาไว้ขุนคนตัวผอมๆให้อ้วนใหญ่ ทำได้สารพัดประโยชน์ ปัดกวาดเช็ดถู ตัดหญ้า แบกหาม แม้แต่งานบ้านงานเรือนถักไหมพรมก็ยังไหว” คนฟังหูผึ่งทำตาโต
“จริงน่ะ?”
“ผมให้ยายเจ้าของห้องเช่าเขาสอน ตอนนี้ถักลายง่ายๆได้ อุปกรณ์ขอยืมมิสแก เสียสตางค์แค่ค่าไหมพรม ไปเลือกๆเอาว่าชอบสีไหน ใส่แล้วไม่ซักคนดูไม่ออก”
“ซ๊กม๊ก” ไตติลาล้อพลางทำท่าผงะออกห่างจนลุกขึ้นนั่ง แต่คนถูกล้องง
“แปลว่าอะไร?”
“สกปรกน่ะสิครับ แล้วยังไงอีกครับ”
“ติลาอยากรู้อะไรอีกล่ะ” ไตติลาคิดอยู่อึดใจ
“ปีเกิดครับ” ดวงตาที่มองสบกันนั้น แน่วแน่จนกษิดิสต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาเสียเอง
“มันสำคัญนักหรือ?” เป็นครั้งแรก ที่เสียงทุ้มนุ่มนวลนั้นแผ่วเบาและไม่มั่นคง ราวกับมีความน้อยเนื้อต่ำใจปนอยู่อ่อนจาง
“ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นหรอกครับ คุณดิสออกจะตัวใหญ่ อย่าใจน้อยเลย เดี๋ยวหัวล้านนะครับ”
“แน่ะ ล้อพี่” กษิดิสเอานิ้วเคาะปลายจมูกไตติลาเบาๆ เจ้าตัวทำหยีตาเหมือนทุกครั้ง กษิดิสอดใจไม่ไหวที่จะยื่นหน้าเข้าไปใกล้เสียงจนปลายจมูกแตะกัน ไตติลามองสบดวงตาเข้มจัดที่ล้อมด้วยแพขนตายาวนั้นอยู่ห่างไปเพียงชั่วระยะหายใจ
“ติลารอหน่อยนะ แล้วผมจะเล่าให้ฟัง” เสียงนั้นกระซิบแผ่วเบา ฝากร่องรอยความหนักแน่นผ่านน้ำเสียงและแววตา
“ครับ” กษิดิสหัวเราะในคอ แตะหน้าผากตนลงบนหน้าผากนวลนั้น โดยมือแข็งแรงนั้นแตะต้นคอนวลแผ่วเบา ก่อนจะลดมือลงและทำท่าจะถอยห่างออกไป
“คุณดิสอยู่นิ่งๆก่อน” กษิดิสครางสงสัยในคอ กว่าจะรู้ตัว ริมฝีปากนุ่มๆนั้นก็ฝากรอยหวานไว้บนริมฝีปากของตนเสียแล้ว ไม่ได้รุ่มร้อนเสียจนแทบหลอมละลาย หากหวานล้ำตราตรึงกว่าครั้งใด ดวงตาคู่สวยที่กษิดิสมักนึกชมเคลิ้มฝันอย่างไม่ปิดบัง
“นอนเถอะ จะได้หายเร็วๆ… นะครับ?” ไตติลาคลี่ยิ้มหวาน ก่อนจะยอมนอนให้ใครอีกคนห่มผ้าให้ความอบอุ่น
“หลับตาเสีย” ไตติลาทำตามอย่างว่าง่าย เพียงไม่นานก็ผ่อนลมหายใจยาว เข้าสู่ห้วงนิทรา
Softly
I will leave you
Softly
For my heart would break
If you should wake
And see me go
แผ่วเบา
ฉันจำจากจร
นุ่มนวล
เพราะหัวใจฉันจะแตกสลาย
หากเธอฟื้นคืนจากนิทรา
และเห็นฉันลาลับ
So I leave you
Softly
Long before you miss me
Long before your arms can beg me stay
For one more hour
For one more day
ด้วยเหตุนั้นฉันจึงจากลา
อย่างอ่อนเบา
ก่อนที่เธอจะระลึกถึงฉัน
ก่อนที่อ้อมแขนของเธอจะอ้อนวอนให้ฉันอยู่ต่อ
เพียงอีกชั่วโมง
เพียงอีกชั่ววัน
“ฝันดีนะครับ...ติลาคนดี” กษิดิสทำได้เพียงฝากเสียงกระซิบผ่านห้วงฝัน ด้วยหวังว่า ‘หัวใจรัก’ จะหลับอุ่นสบาย ทว่าเพียงชั่วกระพริบตาเดียวกลับเหลือเพียงร่างที่ทอดลมหายใจสม่ำเสมอไปในห้วงฝันอยู่เพียงเดียวดาย ภายในห้องนั้น
โปรดติดตามตอนต่อไป
ตอนนี้เป็นตอนที่สั้นที่สุดนะคะ เลยอัพทีเดียวหมดไปเลยดีกว่า หวานเเหววให้ตายใจ อิอิ
เพลงก็โบร๊าณโบราณ เห็นครั้งเเรกนึกว่าอาหนิงนิรุตม์ 55+
เมศมีเรื่องรบกวนคุณผู้อ่านกันหน่อยนะคะ (ไม่ได้จะยืมตังค์นะคะสบายใจได้ เคี๊ยกกก)
ขอความคิดเห็นเกี่ยวกับ การเคาะบรรทัด ว่าเคาะห่างกันเเบบนี้ อ่านเเล้วรู้สึกเป็นยังไงมั่งคะ?สำหรับอาทิตย์หน้าคาดว่าจะไม่ได้อัพนะคะ แต่เมศเเวะเวียนมาชมทุกคอมเมนต์ทุกวันอยู่เเล้วค่ะ(กิจวัตรประจำวัน เปิดคอมเมื่อไหร่ต้องเข้ามาดูๆเเลๆ) เเวะเวียนมาคุยกันได้ค๊า
ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นค่ะ
โดยส่วนตัวคิดว่าการจัดหน้ากระดาษให้ดูดีในเเต่ละที่ที่นำเรื่องไปลง มันย๊ากกกกกยากค่ะ 55+
ปล..วั๊ยย~ แปะยูตู๊ปได้เเล้ว เย้ๆ
ปล.2 ไปตามได้ที่สนามสอบ เเต่อาจจะเหลือเป็นซากเนื่องจากโดนข้อสอบ "ฟาดฟัน"