ตอน ๑๑.๒
แม้จะเลิกเรียนแล้ว ไตติลาก็ยังกลับบ้านไม่ได้ ทั้งที่ใจแล่นกลับไปอยู่ที่อพาร์ทเม้นต์เจเสียนานแล้ว แต่ว่ารายงานคู่ที่ต้องทำใกล้จะถึงกำหนดส่ง เพราะนับจากนี้แค่สามสัปดาห์ ก็สอบไฟนอลสำหรับภาคเรียนใบไม้ผลิดแล้ว จึงผลัดไม่ได้ที่จะต้องไปค้นข้อมูลจากห้องสมุด แม้ไตติลาจะส่งสาตาอ้อนวอนคู่ทำรายงานของตน ทว่าไม่เป็นผล เพราะคู่ทำรายงานคนนี้คือ สมิท ไทสัน
“งานจะส่งแล้ว ผมไม่อยากเสี่ยงไม่มีงานส่งนะ” สมิท ไทสันพูดด้วยดวงหน้าเคร่งเครียด
“แต่ผมลองค้นในห้องสมุดเราแล้ว มันไม่มี” ไตติลาพยายามหาทางต่อรอง เพราะตั้งใจไว้แล้วว่า วันนี้จะค้นช่องที่ใต้พรมให้ทั่ว ว่ามีอะไรซ่อนอยู่กันแน่ แต่เพราะเมื่อเช้ากษิดิสมาเสียตั้งแต่ก่อนเขาจะตื่น จนเป็นอันต้องพักแผนการนี้ไว้ก่อน รวมถึงกระดาษใบที่เขาซุกไว้ ในกองผ้า ด้วยความเก่าจนกรอบนั้น กระดาษจากเดิมเป็นสองซีกจึงป่นกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเสียแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นเราไปที่อื่น” สมิท ไทสัน เสนอหอสมุดกลางของมหาวิทยาลัยเก่าแก่แห่งหนึ่ง
“ทำไมหรือ หรือว่าวันนี้มีนัด?”
“เปล่าๆ ไม่มี” ไตติลาตอบไปแล้วนึกอยากจะทุบตัวเอง อย่างน้อย ถ้าตอบว่ามีนัดก็น่าจะพอเป็นข้ออ้างให้ได้กลับบ้าน
“งั้น ไปกันเถอะ” สมิท ไทสันเดินนำไป ที้งไตติลายกมือขึ้นทึ้งผมตัวเอง
หอสมุดกลางของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ให้บรรยากาศเก่าแก่โดยแท้ ตกแต่งด้วยศิลปะโบราณ ประณีต สวยจนไตติลานึกอิจฉาที่โรงเรียนตนไม่มีห้องสมุดแบบนี้บ้าง โถงกลางมีบันไดหินอ่อนซ้ายขวานำขึ้นไปสู่ชั้นสอง โคมระย้ากลางโถงที่ให้แสงนวลอบอุ่นเป็นประกายระยับ ไตติลาแหงนหน้ามองจนคอตั้งบ่า โดยมี สมิท ไทสัน ยืนรออย่างใจเย็น
“ขอเดินดูรอบๆก่อนได้หรือเปล่า?” ไตติลาถามคู่ทำรายงานของตน ชายหนุ่มยิ้มจางๆให้ รอยยิ้มนั้นชวนให้นึกถึงใครอีกคนขึ้นมา
“เอาสิ ผมรอในห้องนั้นนะ” สมิท ไทสัน ชี้เข้าไปในห้องโถงขนาดย่อยลงมาเล็กน้อย ที่นี่เหมือนจะจัดแบ่งหนังสือประเภทสาขาต่างๆแยกไว้เป็นห้องโถงไป ไตติลาเดินดูโน่นนี่อย่างเพลิดเพลิน ก่อนจะขึ้นไปชั้นสอง
“จริงสิ ถ้าจำไม่ผิด คุณดิสบอกว่าเรียนอยู่ที่นี่นี่นา” เพียงแค่คิดถึงไตติลาก็มีความสุขแล้ว
“จะโชคดีได้เจอที่นี้หรือเปล่านะ” ไตติลาเริ่มภาวนาในใจ ในทุกขั้นบันไดหินอ่อนอันนำไปสู่ชั้นสอง เขาเดินตามป้ายบอกทางไปตามห้องโถงขนาดย่อมๆพื้นหินอ่อน ได้กลิ่นหนังสือเก่าลอยเข้าจมูก กลิ่นที่ไตติลาแอบให้นิยามว่า ‘กลิ่นของความรู้’
ร่างโปร่งนั้น เดินไปตามชั้นวางหนังสือที่สูงท้วมหัว หยุดพิจารณารูปปั้นใหญ่น้อยรายทาง หมุนลูกโลกเก่าคร่ำ เพื่อหาประเทศไทย หรือแม้แต่หยุดหยิบจับหนังสือบางเล่มขึ้นดูทั้งที่เป็นสาขาวิชาที่ตนไม่เข้าใจเลยสักนิด จนถึงด้านในสุด เคาท์เตอร์ไม้เล็กๆที่มีหนังสือเรียงรายอยู่บนนั้นมากมายนับไม่ถ้วน ที่ไตติลาเดาว่า น่าจะรอการจัดเก็บ บรรณารักษ์สูงวัย ที่ผิวกายเหี่ยวย่น และเส้นผมสีเทา เงยหน้าขึ้นมองไตติลาลอดแว่นสายตา ขณะที่คิ้วที่กลายเป็นสีขาวย่นเข้าหากัน ไตติลายิ้มตอบจางๆ ก่อนชายชราผู้นั้นจะคลี่ยิ้มตอนรับ
“ไม่ใช่เด็กที่นี้ใช่ไหม?” เมื่อเสียงแหบแห้งนั้นถาม ไตติลาเกาแก้มเขินๆเหมือนถูกจับได้
“ครับ”
“หาอะไรอยู่หรือ?”
“ผมมาหาข้อมูลทำรายงานครับ แต่ว่าอยากขอชมให้ทั่วก่อน”
“ชอบห้องสมุดหรือ?” ไตติลายิ้มรับ ชายชรา บรรณนารักษ์หัวเราะในคอเบาๆ
“เอาเถอะตามสบาย” บรรณารักษ์ชราขยับแว่นให้เข้าที่อีกครั้ง ก่อนจะลุกยืนหันหลังให้ไตติลา ไตติลาจึงเตรียมจะพละจากไป แต่แล้วก็ชะงัก
“เอาเล่มนี้ไปดูสิ เผื่อจะสนใจศิลปะบ้าง” ไตติลาเอียงคอมอง ก่อนจะรับหนังสือมาถือไว้
“แต่ผมยืมออกไม่ได้” ชายชรายิ้มเอ็นดู
“อ่านเสียที่นี่สิ” ไตติลารับคำ ก่อนจะขอตัวเดินกลับไปหาเพื่อน
ไตติลาพลิกหนังสือในมือ ดูเหมือนจะเห็นหนังสือผลงานนักศึกษา ที่บางภาพไตติลาก็ดูไม่ออกว่ามันคืออะไร หรือบางภาพก็เป็นออกแบบบ้าน หรือห้อง ไตติลาลอบเห็นว่าสมิท ไทสันเดินกลับไปกลับมาตามชั้นหนังสือ ก่อนจะยกกลับมาด้วยหลายเล่ม ทว่ายังไม่อยากสนใจจะทำงานตอนนี้
“อ่านอะไรอยู่” สมิท ไทสัน กระซิบข้ามโต๊ะ ไตติลาที่หยิบแว่นสายตาขึ้นมาใส่ มองลอดแว่น ก่อนจะตอบ
“หนังสือ” มือนวลบางค่อยพลิกหน้าต่อไปอย่างใจเย็น
“รู้แล้วว่าหนังสือ” มือของคนนั่งตรงข้าม เอื้อมมาดึงออกจากมือไตติลา
“เฮ้ ผมอ่านอยู่นะ” สมิท ไทสัน ยิ้มยียวน เมื่อเห็นคนตรงหน้าทำท่าแยกเขี้ยวใส่ ก่อนจะส่งหนังสือเล่มหนาให้ไตติลาแทน
“ถึงคุณจะเด็กกว่าผม แต่ทำแบบนี้ไม่ดีเลย”
“ใครว่าผมเด็กกว่า ผมก็อายุเท่าคุณ” ไตติลาแอบร้องอ้าว ชักอยากคาดโทษเพื่อนสาว ผู้เอาข่าวลวงมาขยาย
“ไหนใครว่า คุณเป็นพวกเด็กไอคิวสูง พาสชั้นมา” เจ้าตัวเลิกคิ้วอย่างเหลือเชื่อ
“อย่างนั้นเชียว แล้วเขาว่าไงอีก?”
“ไม่รู้!” ไตติลาชะโงกหน้ามาตอบเสียงแข็ง
“แล้ว ‘ใครคนนั้น’ เขาบอกหรือเปล่าว่าคุณอีคิวต่ำ” ไตติลากรอกตาเบาๆ อย่างขัดใจ ถึงกับอดพูดกับตัวเองไม่ได้
“ปากอย่างนี้นี่มันน่า”
“ผมว่าคุณควรจะเริ่มทำงานได้แล้ว” สมิท ไทสันให้ไตติลายังแอบบ่นหงุงหงิงแต่ก็ยอมทำงานแต่โดยดี เขาจะพลิกหนังสือที่ยึดมาจากไตติลาเล่น ดูผ่านๆ อย่างไม่ค่อยสนใจนัก แต่แล้วก็ต้องจับจ้องนิ่งอยู่ที่ภาพผลงานหนึ่ง
“แล้วคุณจะไม่ทำหรือไง?” ไตติลาขมวดคิ้ว สมิท ไทสัน จึงวางหนังสือเล่มนั้นลงอย่างช้าๆ และเริ่มลงมือทำงาน
หลังสามชั่วโมงผ่านไป รายงานเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมากแล้ว ไตติลาถอดแว่นออก พักสายตา มือนวลบางดันหนังสือเล่มหนาออกราวกับไม่อยากจะเห็นมันอีกแล้ว สมิท ไทสันเริ่มเก็บเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของตน พลางรวบรวมหนังสือที่พวกตนได้ค้นคว้า เตรียมนำกลับไปวางบนโต๊ะสำหรับหนังสือที่ถูกหยิบมาอ่านแล้ว ไตติลาเปิดหนังสือที่ได้มาจากชั้นบนออกดูอีกครั้ง เขาพลิกหน้าถัดไปเรื่อยๆ จนเกือบท้ายเล่ม ลายเส้นคุ้นตาคุ้นใจถูกพิมพ์เป็นภาพในหนังสือนั้น ภาพบ้านกึ่งทรงไทยกึ่งโมเดิลแปลกตาทำให้ไตติลาชะงักงัน สายตาเหลือบมองชื่อเจ้าของผลงานทันที
‘ Mr.Kasidit Thaison’ หัวใจไตติลาเต้นแรงกว่าปรกติ เมื่อเหลือบมองกรอบเล็กๆข้างๆกันนั้น แม้ดวงหน้าจะมีหนวดเครารกครึ้มอย่างไร แต่ดวงตาคู่นี้ ไตติลาไม่เคยลืม ไตติลากวาดสายตาอ่านรายละเอียดประกอบผลงานอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสะดุดเข้ากับปีผลงาน ‘1958’
ไตติลาบวกลบเลขในใจ ช่องว่าง ‘52ปี’ กว้างเกินกว่าจะจินตนาการ
โปรติดตามตอนต่อไป
เย้ยยยยยย รู้ได้ไงว่าเมศลืม เเหะๆ
จริงๆก็ไม่เชิงลืมนะคะ เพราะเมศก็ไม่ได้ไปไหนหรอกค่ะ เขียนตอนต่อไปเสร็จเเล้วค่อยมาเเปะต่อ
อ้อ ถ้าไม่นับไปทำบุญให้ชีวิตมีสิริมงคลบ้างอะไรบ้าง อิอิ
เดาว่าอ่านตอนนี้กันเเล้วจะเกิดอาการบางอย่างเเบบว่า
กันบ้างเล็กน้อยถึงปานกลาง
ยินดีรับฟังทุกความคิดเห็นค่ะ