เอามาเสิร์ฟอีกตอน คึคึ
ไม่รู้ว่าจะตั้งชื่อว่าตอนอะไร เลยใส่ไปว่า....อย่างที่เห็น คำตอบอยู่ท้ายตอน ^____^ ปาปารัสซี่กับเจ้าชาย ^____^
รูปที่ 10
โรส
ผมค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นก่อนจะกระพริบตาเบาๆสองสามครั้งเพื่อปรับสายตาให้ชินกับแสง พอชินแล้วผมก็มองสำรวจไปรอบๆห้อง มีบุคคลหลายคนอยู่ในห้องนี้ และสองในนั้นก็น่าจะเป็นคุณหมอกับคุณพยาบาลในชุดขาว แต่ความอบอุ่นที่ได้รับอยู่นี่มัน....
“...!!?....”
“เป็นไงบ้าง?” เจ้าชายถาม
“......” จะให้ตอบยังไงล่ะเนี่ย ผมอ้าปากแต่ไม่มีเสียง
“น้ำนะ” ผมพยักหน้า
เจ้าชายรับน้ำมาจาก...น่าจะเรียกว่าทหารองครักษ์ มาป้อนให้ผม อยู่ๆก็รู้สึกว่า...ใบหน้าของตนเองก็เห่อร้อนขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่ผมก็พยายามที่จะไม่ใส่ใจนักและเอื้อมมือจะรับน้ำมาดื่ม หากพอสบตากับนัยน์ตาสีสวยจึงทำเพียงยื่นริมฝีปากออกไปจ๊วบกับหลอดดูดเท่านั้น
หลังได้น้ำให้ลำคอชุ่มชื่นแล้วผมจึงได้เวลาสำรวจคนที่นอนโอบตัวเองอยู่ ผมกำลังนอนทับหัวไหล่ของเจ้าชายนาซร์ในท่ากึ่งนอนกึ่งนั่ง เจ้าชายในชุดอาหรับเนื้อดีสีครีมบางเบาสบาย พระองค์และผมอยู่ภายใต้ผ้าห่มแพรผืนเดียวกัน เล่นเอาผมแทบไม่กล้าสบกับสายตาเจ้าชายเลย แววตาที่อ่านยากแบบนี้ไม่รู้ว่าพระองค์กำลังคิดอะไรอยู่ จากนั้นผมก็มองไปรอบๆห้องอีกครั้งด้วยใบหน้าร้อนๆและใจตุ้มๆต่อมๆ คิดในใจแต่เพียงว่า....
...เก็บอาการหน่อยสิจีเนียซ...
...ต่อว่าตนเองในใจเบาๆด้วยความรู้สึกแปลกๆ...
...ไม่เข้าใจ...
...ไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมบรรยากาศมันถึงเหมือนจะเปลี่ยนไป....
แต่ก็นั่นแหละ ผมยังไม่พร้อมจะถามและไม่รู้ว่าอีกคนพร้อมจะตอบกันด้วยหรือเปล่า?
...ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลแน่ๆ และดีหน่อยนึงที่ทุกคนที่อยู่ในห้องแห่งนี้ ไม่แสดงอาการอะไรหรือสายตาแปลกๆอะไรให้ผมรู้สึกอึดอัดใจและอายไปมากกว่าที่เป็นอยู่
“ที่ไหนครับ?” ผมขมวดคิ้วเบาๆหันไปถามคนที่นอนเคียงข้าง แต่ก็ไม่กล้าที่จะสบตาอยู่ดี
“รีสอร์ท Amira ชลบุรี”
“.......”
งั้นหรอ ผมพยักหน้ารับรู้เบาๆ คุณหมอตรวจดูอาการผมอีกเล็กน้อย เหมือนก่อนหน้านี้ก็ตรวจไปแล้วรอบนึงกระมัง
“อุณหภูมิร่างกายอยู่ในระดับปกติแล้วกระหม่อม แต่ยังต้องรับพระโอสถอย่างต่อเนื่องระยะหนึ่งก่อนพะย่ะค่ะ”
“ขอบใจมากท่านหมอ” กล่าวกับคุณหมอก่อนจะพยักหน้าให้นายทหารองครักษ์
“เชิญครับท่านหมอ” นายทหารองครักษ์ที่ผมจำชื่อได้ว่าเขาชื่อ ‘ฮะซิน’ เขาน้อมรับก่อนจะหันไปพูดกับคุณหมอ
“กระหม่อมทูลลาพะย่ะค่ะ” เจ้าชายทำเพียงพยักหน้าเบาๆ ส่วนผม...
“...ขะ...ขอบคุณครับ”
ก็...เขามารักษาผมนี่ครับผมก็ควรจะพูดด้วย คุณหมอท่านนั้นเพียงยิ้มและคำนับทั้งเจ้าชายและผมเท่านั้น ก่อนจะเดินออกไปพร้อมพยาบาลอีกคนตามที่ฮะซินเชิญ
ตอนนี้จึงเหลือเพียงผมกับเจ้าชายรูปงามเท่านั้น
“ผมรู้สึก...เหมือนผมหลับไปนาน?”
ผมเหลือบๆตาขึ้นไปมองเจ้าชาย มองเพียงริมฝีปากสวยนั้นเท่านั้น ไม่กล้าสบตาด้วยจริงๆมันรู้สึกแปลกๆและใบหน้าของผมก็ร้อนมากๆด้วยตอนนี้
“ใช่...เธอหลับไปหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน”
“...ง่ะ...งั้นหรอครับ” อึ้ง....จนพาลพูดแทบจะไม่ออก อีกอย่างเวลาผมหลับผมหลับเป็นตาย ยิ่งเวลาป่วยอย่าให้ปลุกเลย ไม่ตื่นแน่นอน
“หึหึ อ่อนหัดจริงๆ”
“...!!!...”
ผมหันขวับเลย คำพูด...แม้จะยั่วอารมณ์ผม แต่เมื่อผมได้สบตาคมคู่สวยนั้น อารมณ์ที่คิดว่ากำลังถูกต่อว่าก็พลันมลายหายไป สายตาที่ทอดอ่อนโยนกว่าครั้งไหน ทำให้ผมไปต่อแทบไม่ถูกได้แต่ทำหน้าบึ้งอย่างไม่สบอารมณ์และหันหน้าหนีไปอีกทางเท่านั้น
“เริ่มแล้วสินะครับ” ผมเบี่ยงประเด็น แต่เรื่องใกล้เคียงกัน เจ้าชายลูบไหล่ที่โอบอยู่ของผมเบาๆ
“ใช่”
“ผมต้องทำอะไรบ้างครับ”
“อยู่กับชั้น”
“...!!...” ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย อย่างไม่ค่อยจะเข้าใจนัก เผด็จการแปลกๆ
คือ...ระหว่างที่ผมหลับไปมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า? ตอนนี้ผมตามเจ้าชายพระองค์นี้ไม่ทันจริงๆนะ และขณะที่ถามและตอบนี้ผมก็ไม่ได้มองหน้าอีกฝ่ายด้วย เลยไม่รู้ว่าเจ้าชายทำสีหน้าแววตาอย่างไร
...เมื่อผมเงียบ เจ้าชายก็เงียบ...
เราไม่มีการพูดถึงเรื่องที่ผ่านมาและสาเหตุของการที่ผมนอนโทรมด้วยพิษไข้มาหนึ่งวันหนึ่งคืนนี่ เพราะมันไม่จำเป็น เราก็แค่...เดินหน้าต่อก็เท่านั้น แต่...ความอ่อนโยนที่เหมือนจะกลับมา...หรือเปล่า? เพราะผมรู้สึกว่ามันไม่เหมือนกับความอ่อนโยนครั้งก่อนๆ ก่อนตัวตนของผมจะเปิดเผย มันทำให้ผม....
...สับสน...
“...แต่ข้อมูล...”
ผมเงยหน้าและกำลังจะพูดแย้งถึงภารกิจของตัวเอง แต่คงเป็นการกระทำที่พลาดอย่างแรง เพราะก่อนจะจบประโยคริมฝีปากของผมก็ถูกช่วงชิงไปเสียแล้ว
“อ้ะ...”
ผมเบิกตากว้างสบกับแววตานุ่มลึก ชะงัก!! ไปทันที จนกระทั่งสัมผัสถึงความอ่อนโยน นุ่มนวลของกลีบปาก เหมือนคนละคนกันเลยกับที่เคยจูบทั้งที่เป็นบุคคลเดียวกัน ปลายเรียวลิ้นที่เริ่มจะคุ้นเคย สอดแทรกเข้ามาพัวพันเบาๆกับลิ้นเล็กของผม ผมสัมผัสถึงความอ่อนนุ่มที่กำลังหยอกล้อกับลิ้นของตนเอง ผมจูบไม่เก่งแต่ด้วยการชักนำจากผู้เชี่ยวชาญผู้สูงศักดิ์ ผมก็อดไม่ได้...เมื่อพอตั้งสติได้ก็ไม่อาจสู้สายตาคมกริบสีเขียวเข้มๆออกสีเงินนั้นได้อีก จึงได้แต่ปิดเปลือกตาลงและล่องลอยไปกับรสสัมผัสวาบหวามนั้น
ความรู้สึกรัญจวนใจกำลังก่อตัวเล็กๆ ให้ผมต้องยกมือทั้งสองขึ้นไปโอบกอดท้ายทอยของเจ้าชายอย่างห้ามใจไม่อยู่ ความรุ่มร้อนค่อยๆก่อตัวขึ้นมาพร้อมกับรสจูบที่ทวีความเร่าร้อนขึ้น...ช่างอันตรายเสียจริง
เจ้าชายถอนริมฝีปากออก แล้วเราก็สบตากันอีกครั้ง ความต้องการเสพความเร่าร้อนของพระองค์ปรากฎทางแววตาอย่างไม่ปิดบัง จนผมเองก็เพิ่งรู้สึกถึงความร้อนราวกับไฟแผดเผาบนใบหน้าของตนเอง...ที่คงส่งผลให้ใบหน้าผมแดงจัดกว่าเดิมแน่ๆ เจ้าชายเลื่อนริมฝีปากที่ฉ่ำไปด้วยรสสัมผัสก่อนหน้านี้เข้ามาหากลีบปากของผมอีกครั้ง เพียงแตะอย่างแผ่วเบา แล้วผละออก หนึ่งครั้ง...สองครั้ง...สามครั้ง...ก่อนจะหยอกล้อกับกลีบปากที่เหมือนจะเริ่มเจ่อของผม ทาบทับเบาๆ เละเล็มเบาๆ ก่อนจะบดขยี้...แรงขึ้น...และแรงขึ้นโดยไม่ได้ถอนริมฝีปากออกแต่อย่างใด เป็นเพียงการบดขยี้กลีบปากเท่านั้น จนเป็นผมเองที่ทนไม่ไหว...
“อืออออ...”
....ต้องเป็นฝ่ายอาจหาญส่งลิ้นของตัวเองเข้าไปหาลิ้นร้อนของพระองค์ก่อน ปากสวยของเจ้าชายดูดดุนลิ้นร้อนของผมตอบเบาๆ แต่เสียวซ่านสะท้านไปทั้งตัว จนผมทนแรงต้านทานนั้นแทบจะไม่ไหว ต้องค่อยๆปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง อดใจที่จะลองเล่นลิ้นกอดเกี่ยวพัวพันกับลิ้นของพระองค์ไม่ได้ พอลิ้นเรียวได้สัมผัสกันความร้อนแรงในรสจุมพิตก็ทวีความเร่าร้อนมากขึ้น หนักหน่วงคล้ายจะกลืนกินแต่ก็อ่อนโยน
รับรู้เพียงรสสัมผัสซาบซ่านจากการจุมพิตรับอรุณที่แสนจะต้านทานไหว ฝ่ามือร้อนของเจ้าชายลูบไล้สัมผัสไปตามท้ายทอยและเส้นผมทางด้านหลังศีรษะของผม อีกมือก็ประคองแผ่นหลังของผมเบาๆ ความเสียวซ่านจากการสัมผัสแผ่นหลังของผมแล่นจิ๊ดขึ้นมาให้ขนลุกซู่ไปทั่วทั้งตัว จนเผลอตัวขยับเบียดเข้าหาแผ่นอกแข็งแกร่งตรงหน้า แค่นั้นคงยังไม่พอ รสสัมผัสจากฝ่ามือที่ลูบไล้แผ่นหลังของผมไปมาจนผมเริ่มต้านความรัญจวนนั้นไม่ไหว ต้องจิกเล็บลงบนลาดไหล่ของพระองค์แน่นๆเพื่อช่วยบรรเทาอาการสั่นสะท้าน
แรงสัมผัสของรสจูบยังแผ่วเบาแต่หนักหน่วงซาบซ่านในความรู้สึก ยังดำเนินต่อไป...และต่อไป อีกครั้งที่เป็นผมที่ไม่อาจผ่อนระบบการหายใจได้ จึงต้องออกแรงบีบบ่ากว้างของอีกฝ่ายอย่างแรง พระองค์คงรับรู้ส่งผลให้เจ้าชายค่อยๆละริมฝีปากออก ผมลืมตาขึ้นมาด้วยอาการหอบหายใจอย่างหนัก ในจังหวะที่สามารถเรียกเลือดมาหล่อเลี้ยงใบหน้าให้ได้แดงเข้มยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยเพราะเจ้าชายยังไม่วายใช้ลิ้นอุ่นร้อนของพระองค์เลียกลีบปากของผมด้วยแววตาอยากจะกลืนกินผมเข้าไปทั้งตัว
....แล้วผมจะต้านยังไงไหวนอกจากรีบก้มหน้าลงหายใจหอบหนัก แล้วซ่อนใบหน้าแดงๆของตัวเองเอาไว้เท่านั้น ด้วยหัวใจที่ตื่นรัวกระเด็นกระดอนจะออกมาจากอกอยู่แล้ว ทำไมถึงยังทำแบบนี้นะ ผมไม่เข้าใจเลย
“เอ๊ะ!!”
อะไรไปกระตุ้นเจ้าชายละเนี่ย พระองค์ใช้มือเชยคางให้ใบหน้าของผมเงยขึ้นมา แล้วพระองค์ก็ทาบริมฝีปากลงมาหนักๆอีกหนึ่งครั้ง แถมท้ายด้วยการ...
“อื้อออ...”
...ดูดกลีบปากล่างของผมอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง ผละออก...ก่อนจะแลบลิ้นมาเลียริมฝีปากของพระองค์เองอย่างคนเพิ่งได้ลิ้มลองของอร่อยมายังไงอย่างงั้น เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงเวลาไม่กี่วินาที แต่มันกลับทำให้ผมไปต่อไม่ถูกกันเลยทีเดียว
“อาบน้ำเองได้มั้ย?” เจ้าชายพูดด้วยแววตาหวานฉ่ำพร้อมกับสบสายตาอึ้งๆของผมไปด้วย
“...ดะ..ดะ...ได้...ครับ” ผมต้องกระพริบตาปริบๆเพื่อเรียกสติสตังของตัวเองอย่างยากเย็น ก่อนตอบ
อาบน้ำ...ปกติก็ต้องอาบเองอยู่แล้ว แต่เจ้าชายกลับถามเหมือนผมอาบน้ำเองไม่เป็นซะงั้น
“อีกสักพัก ชั้นจะให้คนมารับ”
พระองค์ลูบแก้มของผมเบาๆก่อนผละจากและลุกเดินออกไป
ผมได้แต่นั่งให้หายจากอาการหัวใจจะวายของตนเองอีกพักหนึ่ง ก่อนจะตัดใจค่อยๆลุกไปจัดการกับร่างกายของตนเอง ผมหลับยาวไปถึงสองคืนกับอีกหนึ่งวัน ความรุนแรงของยานั้นช่างไม่ปราณีผมเอาซะเลย อีกทั้งเจ้าชายที่ออกจะ.... อ่า....ไม่ไหว ผมจำได้...จำได้หมดทุกฉากทุกตอน ไม่ได้สลบไสลเป็นลมไปก่อนแต่อย่างใด จำได้แม้กระทั่งประโยคสุดท้าย
‘เด็กน้อยที่น่ารัก...แม้กระทั่งความฝันของเธอก็ต้องเป็นชั้น’
...น่าอายจริงๆ....
...และเหมือนร่างกายกำลังถูกคุกคามยังไงก็ไม่รู้...
ตอนนี้อาการเจ็บปวดตามร่างกายอันจากกิจกามอันเร่าร้อนนั้นยังคงมีอยู่ แต่ผมก็รับรู้ได้ว่าร่างกายนี้ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี เพียงแค่คิดถึงเหตุการณ์เสียเวอร์จิ้นนั้นผมก็อดที่จะหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอีกไม่ได้ ไม่รู้ว่าตอนไอ้กรีนมันเจอจะรู้สึกอายอย่างผมหรือเปล่า?
...เฮ้อ...ถึงตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะดีใจหรือเสียใจดี (ก็....เจ้าชายก็สเป็คอ่ะ แต่ให้ฉึกๆกันจริงๆนี่...ยังไม่ไหว อายว่ะ) แต่ตอนนี้...ไม่ทันแระ ความรู้สึกกับเจ้าชาย...ผมรู้สึกปลาบปลื้มและชื่นชมพระองค์มากๆ อ้อ...ยังมีทั้งความเกรงกลัวและท้าทายอีกด้วย (นี่แหละสเป็คผม คึคึ) ก็เลยอดจะเขินอายเวลาที่ได้สบกับแววตาที่ยากจะอ่านความรู้สึกแต่คมกริบเหมือนอยู่เหนือผู้คนตลอดเวลานั้นไม่ได้ ทั้งการกระทำที่ชวนหวั่นไหวบ่อยครั้งที่เล่นเอาหัวใจของผมเต้นโครมคราม ยอมรับว่าแปลกๆ ความรู้สึกต่อสายตาเหล่านั้นมันแปลกๆ มันไม่ใช่รักชอบแบบที่ผมคิดว่าผมเข้าใจ ผมเข้าใจความรักมีหลายแบบ แต่นี่ผมกลับอธิบายไม่ถูก เพราะเวลาเพียงแค่นี้มันไม่ทำให้คนเราเกิดรักกันได้หรอก ไม่มีทาง!! เอาไว้มีโอกาสเจอกรีนก่อนค่อยถามมันดีกว่า แบบว่า...คนมันมีประสบการณ์ก่อนอ่ะนะ น่าจะ...นะ แต่ถ้าพูดถึงพวกเจ้าสัว...เออ...ผมไม่ได้ไปเรียน ซ้ำยงไม่ได้ติดต่อบอกพวกมันเลย คงต้องโทรหาแล้วล่ะ
ส่วนเรื่องงานของผมนั้น เดิมคนประจำการอยู่ประเทศไทยมีผมคนเดียว อืมมม..งานก็เยอะอ่ะนะ แต่เป็นของหน่วยอื่นมากกว่า ของผมมันงานซ้ำซ้อนเลยนานๆมีที แต่งานนี้มันใหญ่เกินกว่าที่ผมจะทำคนเดียวได้ เลยต้องมีการตั้งทีมขึ้นมา พูดแบบนี้ไม่ได้แปลว่าผมเก่ง หรือมีอำนาจหน้าที่อันยิ่งใหญ่อะไร อย่างที่ผมเคยบอกไปในทีมของไวท์เตอร์กับพี่เกรย์ที่เป็นรุ่นพี่และมักได้รับมอบหมายเป็นหัวหน้าทีมนั้น กลุ่มพวกเราถือว่างานกระจอกมาก เราทำหน้าที่ติดตามผลมากกว่า โดยการทำแค่ดูอยู่ห่างๆแล้วก็รายงาน ช่วยเหลือได้ภายใต้คำสั่ง ในแต่ละครั้งใช้เวลาสั้นๆ นานสุดก็แค่วันเดียว งานหลักเราจึงไม่ใช่บู๊ เพราะถ้าเราฝืนคำสั่งเราอาจจะตายได้ อาจถูกพวกเดียวกันหรือฝ่ายตรงข้ามฆ่าก็ได้ แต่ที่เคยเจอฝ่ายตรงข้ามจะฆ่าเราก่อน เอาเป็นว่านอกจากเบื้องบนสายตรงของพวกเราแล้ว คนในองค์กรแทบจะไม่รู้ว่ามีหน่วยงานประเภทเราอยู่ด้วย
สรุปก็คือเราทำหน้าที่เหมือนพวกหน่วยสอดเนม แต่งานเราสบายกว่านั้น มันไม่เสี่ยงขนาดนั้น อย่างเช่นผมเคยถูกแฝงตัวไปเป็นนักเรียนทัศนศึกษาในโรงเรียน เป้าหมายดูแค่ว่าคนที่ส่งไปปฏิบัติการต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ และรายงาน จากนั้นก็ให้ทำตัวกลมกลืนกับนักเรียนธรรมดาและกลับออกมา เหมือนงานของกลุ่มปฎิบัติการเหล่านั้นไม่ได้มีพวกเรารวมอยู่ด้วย ไม่เคยมีใครรู้ว่าองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจโลกจะมีกลุ่มของพวกเรา...นั่นแหละ อีกเพราะหน่วยสอดเนมก็มีอยู่แล้วของมัน พวกเราเป็นแค่ตัวเสริมให้การรายงานของหน่วยสอดเนมน่าเชื่อถือเท่านั้น เราจึงได้ทำเฉพาะงานที่สำคัญจริงๆ เพราะงานของพวกเรามันมักซ้ำซ้อนกับงานของหน่วยอื่น
และการที่ผมต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในภารกิจระดับ A ครั้งนี้ เพราะเจ้าชายนาซร์เลือกมาเมืองไทย จะด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่อาจทราบได้ เพราะผมไม่ได้รับการแจ้งมา เบื้องต้นที่เราประชุมกันครั้งแรกแผนที่วางไว้ก็แค่เพียงให้ผมดูอยู่ห่างๆ เป็นเพียงนักศึกษาธรรมดาอย่างที่เคยเป็น เพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนั้นสายเราก็รายงานมาว่าฝ่ายตรงข้ามได้ใช้บริการของตระกูลเอลลิทท์ แสดงว่างานนี้ ‘ฆ่าล้างโคตร’
....ฆ่าล้างโคตรจริงๆ....
เพราะปัญหานี้มันเริ่มมาจากการแก่นแย่งที่จะเป็นผู้นำประเทศ ประเทศหนึ่งในแถบทะเลทราย‘ประเทศเบซาเลเอล’ ประเทศที่ประชากรในประเทศเชื่อว่าปกครองโดยพระผู้เป็นเจ้า ผู้ปกครองประเทศต้องสืบเชื้อสายโดยตรงเท่านั้น
‘เจ้าชายนาซิม ฟาราห์ นาดีร อัล-เฮลมันด์’ เป็นบุตรชายคนที่ห้าของกษัตริย์แห่งประเทศเบซาเลเอล มีพระมารดาเป็นคนญี่ปุ่น และด้วยการที่พระองค์มีพระมารดาเป็นชาวต่างชาติ พระองค์จึงถูกตัดสิทธิ์จากการเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ แต่ด้วยความสามารถของพระองค์ บ่อน้ำมันในประเทศเบซาเลเอลทั้งหมดจึงตกเป็นสัมปทานของ ‘บริษัท Helmand Shell’ บริษัทที่เจ้าชายนาซร์เป็นผู้ก่อตั้ง และแหล่งสนับสนุนเงินทุนหลักของประเทศเบซาเลเอลก็คือ...บริษัท Helmand Shell
ส่วน ‘เจ้าชายราออฟ อัลบา อัชชา อัล-เฮลมันด์’ มงกุฎราชกุมารหนึ่งในผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นรัชทายาทคนต่อไป และเป็นพระเชษฐาของเจ้าชายนาซร์เป็นพระญาติที่สนิทกันกับเจ้าชายนาซร์มากที่สุด พูดถึงตอนนี้คงพอมองเห็นแล้วว่าเจ้าชายนาซร์จะสนับสนุนใครขึ้นครองราชย์ ระหว่างเจ้าชายราออฟพระเชษฐาที่มีความเก่งกล้าสามารถด้านการปกครองกับรัชทายาทคนอื่นที่ต้องการเพียงเงินสนับสนุนจากบริษัท Helmand Shell
ทั้งหมดนี้ผมเพียงอธิบายให้เห็นภาพ เพราะภารกิจของคุล เราไปไม่ถึงเรื่องของการเมืองการปกครองในประเทศนั้น เพียงแต่คุลก็ไม่รู้ว่าเป้าหมายของตระกูลเอลลิทท์เป็นใคร และสัปดาห์ต่อมาพี่ทาอิได้ขอร้องให้ผมเป็นปาปารัซซี่จำเป็นให้ด้วยการเอาของชอบมาล่อลวง หลังจากตกปากรับคำงานแอบถ่ายไปผมจึงได้ขอเปลี่ยนคำสั่งใหม่ จริงๆก็ไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ แค่ขอคำสั่งใหม่จากดูอยู่ห่างๆ ขยับมาใกล้ชิดยิ่งขึ้น แต่นิสัยกระต่ายตื่นตูมเวลาแอลกอฮอล์เข้าสู่สายเลือดเลยทำให้อาชีพปาปารัซซี่ของผมไปไม่รอด และสุดท้ายตัวตนที่แท้จริงก็ถูกเปิดเผย (ผมแอบคิดว่ามีคนจงใจเปิดเผยด้วยซ้ำ) (ปอลอ..ระหว่างนี้ลืมงานแอบถ่ายไปแล้ว อีกเดี๋ยวก็จะได้เดือดร้อน)
“เชิญทางนี้ครับ”
หลังชำระร่างกายตนเองจนสดชื่นและออกมาจากห้องผมก็พบกับฮะซิน คนๆเดียวกับที่อยู่ในห้องตอนผมตื่น เขาเชิญให้ผมเดินไปตามเส้นทางหนึ่ง แม้จะบอกว่าที่นี่เป็นรีสอร์ท แต่มันก็หรูหราเกินกว่านั้นไปมากโข มันเหมือนบ้านหรือคฤหาสน์สไตล์รีสอร์ทที่ผมเคยเห็นภาพตามโฆษณาแพงๆมากกว่า สวยงามและปลอดโปร่ง เดินตรงมาไม่นานเราก็มาเจอกับสวนสวยที่ร่มรื่นสบาย ถัดมาก็เป็นห้องอาหาร เป็นห้องอาหารที่ส่วนตัวพอสมควร พอก้าวเข้ามาเจ้าชายนาซร์ก็นั่งรออยู่ก่อนแล้ว พระองค์อยู่ในชุดที่เรียกว่า โต๊ป (Thobe) เป็นชุดแต่งกายสำหรับชีวิตประจำวัน โดยมากจะเห็นเฉพาะในกลุ่มอ่าวอาระเบีย ลักษณะชุดยาวคลุมข้อเท้า ผ่าหน้าความกว้างพอสำหรับสวมหัวได้ เสื้อแขนยาว ส่วนใหญ่นิยมใช้ผ้าสีขาวตัดเย็บ แต่ของพระองค์เป็นสีครีมโดยใช้ผ้าเนื้อดีคล้ายผ้าแพร คอตั้งเหมือนขอบคอชุดจีนลายกลัดสีทองลากเป็นเส้นรอบคอยาวกว้างประมาณสามนิ้วลงมาถึงหน้าท้อง แขนยาวปลายแขนแบบปล่อย ด้านข้างมีทหารองครักษ์อีกสองสามคนในชุดสูทสากล แต่คนที่ยืนอยู่ใกล้พระองค์ที่สุดผมจำได้ว่าเขาชื่อ ‘ซาอิด’
“ขะ...ขอโทษที่มาช้าครับ”
ผมเคยบอกไปแล้วกับเจ้าชายผมไม่ถนัดใช้คำราชาศัพท์ เลยเลือกที่จะพูดเฉพาะคำที่สามารถพูดได้เท่านั้น เพราะดูเหมือนพระองค์ก็ไม่ได้จะใส่ใจเรื่องนี้ด้วย หรือบางทีผมอาจจะคิดมากไปเอง แต่เอาเป็นว่าเจ้าชายเคยอนุญาตแล้วก็แล้วกัน
“.....” พระองค์เพียงมองมานิ่งๆ และยิ้มมุมปากบางเบาเท่านั้นเหมือนที่เคย
ความรู้สึกย้อนกลับไปในหลายวันก่อนที่ได้ดินเนอร์กับพระองค์
อาหารเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว พอผมนั่งลงที่เก้าอี้อีกตัว พนักงานก็เสิร์ฟอาหารทันที เรานั่งทานอาหารเพียงสองคนในบรรยากาศที่...ส่วนตัวสุดๆ หากแต่พอทานได้สักพัก...
“ดีใจที่ทรงเสด็จมานะเพคะเจ้าชาย”
ผมเงยหน้าขึ้นมามองไปตามเสียงหวาน แล้วก็..
อึ้ง!!
ผู้มาใหม่เป็นหญิงสาวที่จัดได้ว่าสวยงามจับใจเลย หล่อนอยู่ในชุดอาหรับแบบผู้หญิงสีชมพูมีลวดลายเป็นลูกไม้สวยงาม ท่วงท่างามสง่า หล่อนยิ้มน้อยๆแต่มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ กิริยามารยาทผู้ดีสุดๆ สง่างามมากในความรู้สึกของผม ผมคงจะค้างไปอีกนานหากไม่ได้ยินเสียงนี้
“อมิร่า ไม่มีแขกหรือไง?” เรียบๆแต่ก็เหมือนดุอยู่ในที
“คิคิคิ ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมชั้นก็แค่อยากมาเห็นด้วยตาตัวเองเท่านั้นเองเพคะ”
“......” เจ้าชายไม่พูดอะไรต่อ แต่หรี่ตาลงเล็กน้อยอย่างรู้ทัน
“โถ่...เจ้าพี่จะไม่แนะนำให้หม่อมชั้นรู้จักหน่อยหรือเพคะ”
“.....นั่นสิ” เจ้าชายเงียบก่อนยิ้มมุมปากอย่างร้ายๆ (ผมแอบขนลุกด้วยอ่ะ) ตอบคนมาใหม่ แล้วพระองค์ก็หันมาสบตาผมที่มองพระองค์อยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะแนะนำชื่อสาวสวย
“เจ้าหญิงอมิร่า อาล อีซา บูไซย์ เจ้าของรีสอร์ท ส่วนนี่จีเนียซ สิรธีร์” และแนะนำผมต่อท้ายแก่เจ้าหญิงแสนสวยและผู้เป็นเจ้าของรีสอร์ท
“...เอ่อ” ติดอ่างเลย เป็นถึงเจ้าหญิงเลยหรอเนี่ย
“(ยิ้มหวาน)...สวัสดีจ้า”
“สะ...สวัสดีครับ” ผมพนมมือไหว้อย่างเก้ๆกังๆ
“คิคิ อืม...” เจ้าหญิงเธอเดินเข้ามาหาผม
“เธอนี่น่ารักจริงๆเลยนะ~...... โอ้...ขออภัยเพคะ”
เธอทักผมตอบ ก่อนจะเอื้อมมือเพื่อที่จะแตะใบหน้าของผม สายตาเจ้าหญิงเธอเคลิบเคลิ้มเหมือนจะหลงใหลอะไรซะอย่าง แต่มือนั้นกลับชะงักไปเมื่อผมสังเกตว่าเธอสบตาเข้ากับแววตาคมกริบของเจ้าชาย เจ้าหญิงผละจากผมออกไปเล็กน้อยแต่ก็ยังคงรอยยิ้มหวานสวยไว้บนใบหน้า มองไม่ออกสักนิดว่าเจ้าหญิงพระองค์นี้คิดอะไรอยู่
“งั้นหม่อมชั้นไม่รบกวนแล้วดีกว่า ว่าแต่อาหารถูกปากมั้ย? จีเนียซ”
ผมยังงงปนอึ้งอยู่ แต่ก็ตอบกลับไป
“ก็..ครับ เอ่อ..กระหม่อม”
“ดีจ้ะ หม่อมชั้นทูลลาเพคะ ขัดข้องประการใดเรียกหม่อมชั้นได้ทุกเมื่อนะเพคะ”
เจ้าชายไม่ตอบ แต่พยักหน้าให้คล้ายจะรำคาญ
รำคาญ!!
เฮ้ย!!!
ฮะฮะครั้งแรกเลยนะที่ผมอ่านสีหน้าแววตาแบบนี้ออกน่ะ ไม่ไหวแฮะเผลอยิ้มออกมาจนได้ แต่ดูเหมือนรอยยิ้มผมคงไม่ได้ถูกใจใครอีกคนสักเท่าไหร่
“ชอบหรือ?”
“ครับ?”
“.......” เจ้าชายไม่ยอมพูดต่อ แต่กลับมองผมนิ่งๆ เกร็งขึ้นมาทันทีเลยแฮะ
“ทานต่อเถอะ”
“คะ..ครับ” ‘อะไรของเค้านะ’ คิดในใจเบาๆอย่างไม่เข้าใจ
ผมก็เลยต้องหันกลับมาทานที่เหลือต่อ ไม่นานมื้อเช้าของเราก็เรียบร้อย
ผมเดินตามเจ้าชายมาที่ห้องๆหนึ่ง ฮะซินเดินเฉียงนำหน้า ส่วนซาอิดกับทหารองครักษ์อีกสองสามคนตามหลังอีกที ห้องนี้เต็มไปด้วยภาพเขียนขนาดใหญ่ และชั้นหนังสือขนาดใหญ่ มีหนังสือจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ เหมือนห้องนี้ไว้อ่านหนังสือและพักผ่อนไปในตัว ฮะซินเดินไปกดๆอะไรที่ภาพวาดภาพหนึ่ง ภาพนั้นค่อยๆเคลื่อนไปด้านหลังก่อนจะเลื่อนตัวออกด้านข้าง ปรากฏเป็นประตูขนาดกว้างประมาณหนึ่งเมตรสูงจรดเพดาน ไฟติดทันที ข้างในปรากฏเป็นบันไดตัวทอดยาวลงไป เราทุกคนเดินลงไปตามทางที่ปรากฏ ลงไปด้านล่างก็เป็นทางเดินยาวกว้างประมาณสองเมตรทอดตัวยาวไปอีกประมาณ 5 เมตรได้
ตลอดทางจะมีภาพเขียนประดับตามทางเดินตลอด ผมแน่ใจว่าภาพเหล่านี้จะต้องมีกลไกอะไรบางอย่างซ่อนอยู่แน่นอน(จากประสบการณ์) เราเดินไปสักพักก็เจอห้องกว้างๆโล่งๆ มีเพียงชุดโซฟาสีดำวางอยู่ตรงกลางหนึ่งชุดเท่านั้น ผนังด้านข้างเต็มไปด้วยลวดลายต่างๆ เป็นภาพเขียนฝาผนัง ดูไม่ออกว่าเป็นภาพอะไร ฮะซินเดินไปที่ผนังฝั่งหนึ่งและก็เหมือนเดิม กดรหัสอะไรบางอย่างลงไปพร้อมทั้งสแกนเยื่อตา อีกครั้งที่ภาพนั้นเคลื่อนตัวไปด้านหลังและเลื่อนออกด้านข้าง ข้างในปรากฎเป็นห้องๆหนึ่ง ภายในห้องนั้นมีคนอยู่ประมาณสี่ห้าคน บนโต๊ะตัวไม่ใหญ่มากนักมีกระเป๋าเซฟสีเงินอยู่สองใบ เพียงแค่เห็นผมก็พอจะเดาได้แล้วว่า....
...เวลานั้นมาถึงแล้ว....
...ใช่ ก็พรุ่งนี้ก็ถึงวันปลิดชีพของคนๆนั้นแล้วนี่นา...
TBC
ทักทายทักทายยยยยยย
เหมือนจะปมเยอะ แต่จริงๆไไม่เยอะหรอก
ค่อยๆอ่าน ค่อยๆทำความเข้าใจไปนะ
ขอบคุณที่ตามอ่านกัน
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ รัก...ทึ่สุด
ปอลอบวกเป็ดให้ทุกคนเลย จู๊บๆ
uri