CHAPTER 18: Even If Saving You Sends Me Into Heaven (Part I) “ขยันอะไรขนาดนี้ครับ เพื่อนม่อน?”หืม?
ม่อนแจ่มเงยหน้าจากรายงานการประเมินนวัตกรรมถนอมอาหารรูปแบบใหม่ขึ้นมองผู้มาเยือน
“ไง เลิกเรียนละ?”
“เรียบร้อย” ไอดิลยิ้มให้ “แล้วนี่มึงอ่านอะไรหน้าเคร่ง”
หนุ่มวิศวฯสิ่งแวดล้อมขยับนั่งลงข้างๆ แหวกผองเพื่อนที่นั่งอยู่ก่อนออกนิดๆ “พวกมึงขยับๆ กูจะนั่งข้างเพื่อนม่อน”
“ฮึ่ย ไอ้สองตัวนี้” เมษเพื่อนเครื่องกลโวย กอดกีต้าร์ที่ตั้งสายอยู่ก่อนหน้าแนบอก “พวกมึงกิ๊กกันป่ะเนี่ย ขาดกันไม่ได้”
“ช่าย..” ไอดิลลอบสบตากับม่อนแจ่มอย่างมีเลศนัย แล้วหันไปรอบวง “กูกิ๊กกับเพื่อนม่อน”
ก่อนจะกระซิบริมหูคู่ซี๊เบาๆ
“กูพยายามจินตนาการมึงเป็นหมอกอยู่”
“กูก็กำลังพยายามจินตนาการมึงเป็น..”
แม้ไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่ก็เป็นอันรู้กัน
.
.
“กูเหมือนหมอกยัง..” ม่อนแจ่มถามในอีกอึดใจ
“แล้วกูเหมือนพชรยัง..” ไอดิลถามกลับบ้าง
.
.
ฮ่ะๆ!
มีเพียงเสียงหัวเราะภายหลังการพยายามนั้น และม่อนแจ่มก็เอ่ยขำๆ “พอๆ มึงนี่ มาทำกูเสียสมาธิหมด”
“ขยันแต่ต้นเทอมเลยวะ กูต้องเอาบ้างแล้ว”
“ไม่เชิงๆ” ม่อนแจ่มทำเสียงจึ๊กจั๊ก “กูอ่านรายงานการประเมินของบริษัทน่ะ ยังไม่จบเลย เดี๋ยวคุณพ่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา กูเกิดตอบไม่ได้ คุยไปคนละเรื่องล่ะแย่เลย”
“แหม.. เพิ่งเปิดเรียน แล้วเราก็สนุกสนานกับการเรียนการงานที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดขนาดนี้ บอกพ่อมึงไปซี๊ ว่ายังไม่มีเวลา”
หงึ.. ม่อนแจ่มส่ายหน้าดิก
“ไม่ใช่แค่งาน แต่คือเกียรติยศ คุณพ่อพูดเสมอ” ม่อนแจ่มยิ้มตั้งใจ “ไม่มีข้อจำกัด ไม่มีข้อแม้ ไม่มีข้อแก้ตัว”
“โอ้ว ฮ่ะๆ” ไอดิลตบไหล่เล็ก หยอกล้ออย่างสนิทสนม “สมเป็นทายาทประดิษฐาพงศ์จริงๆครับเพื่อนม่อน”
,,Use me as you will,
Pull my strings just for a thrill
And I know I’ll be okay,
Though my skies are turning grey..“เฮ้ยๆ คุณพ่อแน่เลย” ม่อนแจ่มรีบส่องโทรศัพท์มือถือ และก็ใช่จริงๆ
สายเข้า ‘คุณพ่อ’ม่อนแจ่มยกยิ้ม นัดแนะกันเพียงไม่กี่คำแล้วก็วางสาย
“เขาเลิกตั้งเพลงเป็นเสียงเรียกเข้ากันแล้วไอ้ม่อน มึงนี่เชยจริงๆ”
ไอดิลแซวขณะเพื่อนรักเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงสแลค
“เหร๊อ!?” ม่อนแจ่มผลักไหล่ไม่จริงจังนัก
“โซว แอม โกอิ้ง โฮม, แบ็ค ทู เดอะ เพลส แวร์ ไอ บิลอง, แวร์ ยัวร์ เลิฟ แฮส ออลเวย์ส์ บีน อินัฟ ฟอร์ มี
นี่มันเสียงเรียกเข้าเกรียนที่ไหนวะ?”
เออว่ะ! ไอดิลลืม
“แหม.. ก็กูชอบเพลงนั้น”
“กูก็ชอบเพลงนี้นี่นา”
“อ่าฮะ.. Your Guardian Angel นี่นะ”
“ฮื่อ” ม่อนแจ่มพยักหน้า ยิ้มเขินๆ
“หมายถึง.. มึงอยากมี Guardian Angel หรือมึงอยากเป็น Guardian Angel เองล่ะ?”
ม่อนแจ่มคิดแป๊ปหนึ่ง แล้วอ้อมแอ้มตอบ “กูเป็น Guardian Angle เองก็ได้”
ไอดิลปล่อยก๊าก “โธ่ พชร! ต้องมีเทพผู้พิทักษ์เป็นคนแคระซะแล้วหรือนี่”
“ไอ้ดิ้ล!”
สองร่างเล็กบอกลาเพื่อนฝูงและวิ่งไล่เตะกันไปตามทางจนถึงหน้าหอสามชายตามปกติ
“กูจะรอพ่อตรงนี้แหละ ท่านบอกว่าออกมาจากคณะอ.ก.แล้ว”
“งั้นเอากระเป๋า เอาหนังสือมึงมา กูจะพาขึ้นไปไว้บนห้องให้ก่อน เดี๋ยวลงมาอยู่เป็นเพื่อน”
“โอเช!” ม่อนแจ่มเก็บเอกสารใส่กระเป๋า ส่งให้เพื่อน เหลือไว้ติดตัวแค่โทรศัพท์มือถือ
ไอดิลรับมา พลางลอบขำ
บอกว่าไม่ค่อยสนิทกับพ่อ แต่พอเขาจะมาเยี่ยม กูก็เห็นมึงตื่นเต้นใหญ่เลยนะนี่! ไอดิลย่างเท้าขึ้นบันได ใจยังนึกถึงเพื่อนคู่หูที่รอบิดาอยู่เบื้องล่าง อดจะนึกยิ้มดีใจไปด้วยไม่ได้
ทั้งพ่อทั้งแม่ของไอ้ม่อนยังไม่เคยได้มาเยี่ยมเลย คนมาส่งเข้าหอตอนเปิดเทอมคือลุงสมซึ่งเป็นคนขับรถ ส่วนพ่อๆของไอดิลนั้นมาส่งเขาทั้งคู่เลย แถมคำชี้แนะและกำลังใจสู่ชีวิตมหา'ลัยอีกเป็นกระบุง
ประตูห้อง 338 ถูกผลักเปิดออก ..รูมเมทปรัชญาไม่ได้อยู่ในห้อง แต่ไอดิลเห็นกระเป๋าของพชรแล้ว แสดงว่าเลิกเรียนแล้ว แต่ตัวคนอยู่ไหนในตอนนี้นั้นสุดที่ไอดิลจะคาดเดา
ไอดิลถอนหายใจน้อยๆเมื่อนึกถึงร่างสูงต่างคณะ ..พชรมีลักษณะบางอย่างที่ทับซ้อนกับคนคุ้นเคย
ไอดิลไม่แน่ใจว่ามันเป็นคุณสมบัติเฉพาะของคนเรียนเมเจอร์ปรัชญาเลยหรือเปล่า แต่ความเป็นคนซับซ้อน เข้าถึงไม่ง่าย และเก็บอะไรไว้ภายในใจมากมาย ..คุณสมบัติเหล่านี้ พ่อน่ารักมีเพียบเลย
เฮ้อ.. ก็หวังว่าไอ้ม่อนจะหาประตูที่นำเข้าไปสู่ใจพชรเจอนะ
เอ้อ.. แต่ถึงหาไม่เจอ ไอ้ม่อนมันก็คงเอาหัวโหม่งทะลุเข้าไปเองนั่นแหละ ไอดิลไม่น่าต้องกังวลหนุ่มสิ่งแวดล้อมหัวเราะขำความคิดตัวเอง วางข้าวของลงบนโต๊ะ ไม่ลืมที่จะหยิบขลุ่ยออกจากกระเป๋า
ประคองไว้ในมือ เช็ดด้วยผ้าบางเบาๆทั่วเลา พร้อมใช้คัตตอนบัดปาดฝุ่นออกจากรูบังคับเสียง ก่อนเก็บใส่ถุงผ้าสีเนื้อไม้เอาไว้เรียบร้อยเหมือนทุกที แล้วจึงออกจากห้อง ตามลงไปสวัสดีบิดาของคู่ซี๊ที่จะมาเยี่ยม
ลงมาถึงข้างล่าง ไอดิลก็ไม่เห็นม่อนแจ่มที่โต๊ะม้าหินอ่อนเสียแล้ว แต่เขาเห็นคนอื่นแทน
“พชร เจอตัวพอดี!”
ร่างกำยำ เดินมาจากอีกฝั่ง ล้างไม้ล้างมือที่ก๊อกน้ำข้างหอ ไอดิลจึงรีบแจ้นเข้าไปทักทาย
“ปลูกต้นไม้อีกเหรอ?”
“ยัง” ใบหน้าคมส่ายน้อยๆ “ช่วยลุงจ่อมขนมารอไว้ข้างหอเฉยๆน่ะ”
โอ้ พอดีเลย!
“ไป ไปด้วยกันก่อน” ไอดิลพยักหน้าชักชวน พลางสอดส่ายสายตามองไปอีกฝั่ง
“มีอะไรหรือ?”
“พ่อไอ้ม่อนมา ไปหวัดดีกัน” รูมเมทสิ่งแวดล้อมตอบเสียงใส
ทว่า.. ดูเหมือนผู้รับไม่เข้าใจสาร
“พ่อ?”
“ใช่” ไอดิลพยักหน้าแรงๆ ทำไมพชรเข้าใจอะไรยากเหมือนคู่ซี๊เขาไปได้
“พ่อไอ้ม่อน”
“พ่อเครื่องกล..”
“อื้ม” ไอดิลพยักหน้าอีก เล่าเสริม “พ่อมันมาเยี่ยม แม่งรีบแจ้นจากคณะมารอเลย อยู่ตรงไหนไม่รู้เนี่ย”
พชรชะงักอยู่เพียงแค่นั้น ดวงตาเบิ่งค้างอย่างที่ไอดิลไม่เข้าใจ
..
“มาสิ พชร” มือเล็กพยายามคว้าท่อนแขนของรูมเมทปรัชญามา
ถ้าเป็นเวลาอื่น ไอดิลคงไม่มีวันลากพชรมาได้ แต่ขณะนี้ ดูรูมเมทร่างสูงจะไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองเอาเสียเลย
“ไอดิล พอดีกูไม่..”
“ไปหวัดดีพ่อไอ้ม่อนแป๊ปนึงเถอะน่าพชร” หนุ่มสิ่งแวดล้อมชักชวน “นั่นไง อยู่นั่น!”
ไอดิลชี้ไม้ชี้มือไปยังทางเดินใต้หลังคาริมถนนที่ซึ่งมี Mercedes Benz คันใหญ่สีดำจอดอยู่
ม่อนแจ่มกำลังพูดคุยกับชายร่างใหญ่ผู้หนึ่งซึ่งยืนหันหลัง ใกล้ๆกันมีชายอีกคนที่แต่งตัวเป็นคนขับรถยืนนอบน้อมอยู่ด้วย
“คงเป็นคนนั้น..”
..
ดวงตาสีเข้มมองข้ามไหล่รูมเมทร่างเล็กไปยังแผ่นหลังชายที่อยู่เบื้องหน้า
ชายรูปร่างสูง.. ผมมีสีขาวแซมเล็กน้อยในวัยประมาณห้าสิบ..
ชายซึ่งคนที่นอนจ้องหน้าเขาก่อนหลับทุกคืนกำลังพูดคุยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ..ด้วยแววตาที่แสดงความเคารพนับถือ
ม่อนแจ่มก็คงเป็นลูกที่ดีคนหนึ่ง.. ลูกที่รักและเคารพบิดา..
“คุณพ่อครับ มาพอดี นั่นรูมเมทม่อน!”
เสียงเล็กเอ่ยดังมา ไอดิลจึงสาวเท้าเข้าไปก่อน พลางพยักพเยิดให้พชรตามมา
“นี่ไอดิลครับ เรียนวิศวฯ สิ่งแวดล้อม” ม่อนแจ่มแนะนำ
แล้วชายผู้นั้นก็ค่อยๆหันมา.. หันมาในองศาที่เห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
คนที่พชรเคยเห็นในหน้าหนังสือพิมพ์ซึ่งเปียกชุ่มหยาดน้ำตามารดาและช่องข่าวท้องถิ่นคืนที่ลุงแสงเมามาย
นั่นพ่อ.. พชรคิด ก่อนที่จะเสริมกับตัวเอง
..พ่อของม่อนแจ่ม“สวัสดีครับ” ไอดิลยกมือไหว้ อดจะอุทานนิดหนึ่งไม่ได้เมื่อเห็นบิดาเพื่อนรักชัดๆ "อะ.."
คุณพจน์ ประดิษฐาพงศ์เป็นชายรูปร่างใหญ่ ใบหน้าคมสัน และแน่นอน เพื่อนม่อนของเขาไม่คล้ายคลึงเลยแม้แต่นิดเดียว
ไอ้ม่อนคงเหมือนมารดากระมังนะ..
คนเป็นผู้ใหญ่ส่งยิ้มตอบกลับให้ ดวงตาฉายแววกรุณา “สวัสดี”
.
.
“พชร!” ไอดิลโบกมือเรียก
ขายาวจำต้องขยับเดินเข้าไปช้าๆ พยายามก้มหน้าลง พอๆกับที่อยากจะมองตรง
“คุณพ่อ นี่พชรครับ” ม่อนแจ่มยิ้มกว้าง ดูเสียงจะสดใสยิ่งกว่าตอนแนะนำเพื่อนซี๊เสียอีก “พชร มนุษยฯปรัชญา”
คนถูกแนะนำกลืนน้ำลายในลำคออย่างฝืดเคือง ก่อนจะค่อยๆยกมือประนมขึ้น
ไหว้..
ทำความเคารพบุคคลตรงหน้าเป็นครั้งแรกในชีวิต
ทำความเคารพในฐานะที่เขาเป็นรูมเมทของบุตรชาย
“สวัสดีครับ” พชรพยายามพูดให้ชัด ศีรษะก้มลง ก่อนค่อยๆเงยขึ้น ..สบสายตา
“สวัส-” ริมฝีปากที่แต้มรอยยิ้มน้อยๆนั้นจางไปเมื่อมองเด็กหนุ่มตรงหน้าเต็มๆตา
ดวงตาสีเข้มสองคู่ประสานกัน นายพจน์เผลอมองเข้าไป
ลักษณะดวงตาเช่นนี้.. ทำไมจึงดูคุ้นเคยนักมือที่ยกขึ้นรับไหว้ชะงัก พิจารณาคนยืนตรงข้าม
“พชร..” นายพจน์เอ่ยทวนชื่อ ขมวดคิ้วน้อยๆ พยายามนึกว่าเคยเจอเด็กหนุ่มคนนี้ที่ไหนหรือเปล่า
“เคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่านี่?”
พชรเบือนหน้านิดหนึ่ง “ไม่ครับ ผมไม่คิดว่า..จะเคยพบ”
“อ้อ..” นายพจน์พยักหน้า
ไม่เคยพบหรือ นั่นสินะ เขาอยู่แต่ที่บริษัท พบคู่ค้าทางธุรกิจก็ไม่มีเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวลูกชายเช่นนี้หรอก
แต่ก็เถอะ.. ใบหน้าคม คิ้วเข้ม ดวงตาเด็ดเดี่ยว
เพราะ.. อะไรบางอย่างทำให้ถามออกไป
“ครับ..”
พชรตอบได้เพียงแค่นั้น หน้าก้มลงน้อยๆอีกครั้ง
ริมฝีปากเม้มบางๆ อะไรบางอย่างอัดแน่นอยู่ในหัว
รูปถ่ายบนหัวเตียงมารดา..
หยดน้ำตาของเธอ..“ผม..”
ใบหน้าคมเงยขึ้นสบดวงตาสีน้ำตาลเมื่อมองข้ามไหล่นายพจน์ไป
ในแสงแดดที่ส่องสว่าง ..ที่ยืนอยู่คือม่อนแจ่มแห่งวิศวฯเครื่องกล
ข้อมือขวายังรู้สึกถึงด้ายขาวที่เจ้าตัวผูกเอาไว้ให้..
‘ปางห้ามญาติ’
‘พระประจำวันของคนเกิดวันจันทร์..’“เราจะพูดอะไรนะ?” นายพจน์เพ่งมอง รอฟังคำที่เด็กหนุ่มยังไม่ได้เอ่ยออกมา
“ผม..”
..
“ขอตัวเลยนะครับ”
“อ้อ เอาสิ” นายพจน์พยักหน้า “ขอโทษที คนแก่น่ะนะ ก็ถามอะไรไปเรื่อย”
ไม่เลย นายพจน์ไม่ใช่คนพูดไปเรื่อย แต่ก็ละความคิดนั้นเสีย
“สงสัยเราเป็นคนใต้นั่นล่ะนะ ฉันถึงรู้สึกว่าดูคุ้นนัก หน้าคมเสียขนาดนี้” นายพจน์หัวเราะหึหึ กลับมาอารมณ์ดี
พชรพยักหน้ารับ ดวงตาหรุบลงต่ำ ความลังเลทำให้การกลับหลังหันเชื่องช้ากว่าปกติ
“พชรหน้าคล้ายคุณพ่อเลย จริงๆด้วยครับ!” ไอดิลหัวเราะน้อยๆบ้าง เอ่ยตามประสาคนขี้เล่น
“ถ้าป้ายามมาบอกว่า ผู้ปกครองของห้อง 338 มาพบรูมเมทผม แล้วเป็นคุณพ่อละก็ ผมคงไปตามพชรมาพบแทนม่อนแน่ๆเลย แหะๆ”
..
“พชรหน้าคล้ายคุณพ่อจริงๆครับ” ม่อนแจ่มยอมรับ
มองหน้าบ่อยและนาน ..จนจำรายละเอียดบนใบหน้าผู้ถูกกล่าวถึงได้หมดแล้ว
ทีแรก เขาคิดไม่ออกเลยว่าทำไมจึงรู้สึกว่าคุ้นเคยกับใบหน้าพชรนัก ในขณะที่ก็แน่ใจว่าไม่เคยพบกันมาก่อน
เพิ่งจะตระหนักได้ในตอนหลังว่าเป็นเพราะพชรหน้าคล้ายบิดานี่เอง
อย่างไรก็ตาม..
“แต่พชรไม่ใช่คนใต้หรอกนะครับคุณพ่อ” ม่อนแจ่มบอกยิ้มๆ “พชรเป็นคนลำพูน”
“ลำพูนหรือ?” นายพจน์ไม่ได้ยิ้มด้วย เสียงที่เปล่งออกมานั้นแปลกใจ ทว่า หน้าเรียวของผู้เป็นลูกพยักยืนยัน
“นามสกุลก็บอกอยู่ครับ” ม่อนแจ่มเสริม “เพชรหละปูน”
หละปูน เป็นคำเรียกขานจังหวัดลำพูนในภาษาถิ่น
ใช่แล้ว.. นามสกุลของพชรบอกที่มา..
‘พชร เพชรหละปูน’
เพชรหละปูน อย่างนั้นหรือ?
ปฏิกิริยาของผู้ฟังนั้นมากกว่าที่คาดคิด นายพจน์หันกลับไปมองตามแผ่นหลังทันที
“พชร!” เสียงทุ้มเรียกหนักๆ ทำให้ขายาวชะงักค้าง
เสียงนี้ที่เรียก เรียกชื่อ.. ชื่อที่แม่ตั้งพชรจำต้องหันหน้ากลับมา ปรับท่าทีให้เป็นปกติที่สุด นายพจน์สาวเท้าเดินเข้าไปใกล้
“เรานามสกุลเพชรหละปูนหรือ?”
..
“ครับ..” พชรไม่รู้จะตอบเป็นอื่นได้อย่างไร
“รู้จักเพชรลดาไหม!”
นายพจน์ไม่อาจห้ามได้ เขาถาม ..ถามออกไปก่อนจะทันได้ยั้งตัวเอง “เพชรลดา เพชรหละปูน”
พชรก้าวถอยหลัง
พูด.. พูดชื่อเพชรลดา..
ด้วยแววตา.. แววตาแบบนี้..
แววตานี่มัน..
ร่างสูงกลืนน้ำลาย
พูดสิ.. แค่พูดออกไป
‘เขา’ ยืนอยู่ตรงหน้านี้แล้ว ไม่ต้องขอพบ ไม่ต้องรอ ไม่ต้องไปหาด้วยตัวเองเลย
มิหนำซ้ำ.. ยังตั้งคำถามชวนให้ตอบขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน
ไม่มีอะไรง่ายดายกว่านี้อีกแล้ว
แค่พูด..
พูดว่าเพชรลดาคือแม่
พูด.. ว่าพชรเป็นลูกชายของเธอ
เพียงเท่านั้น.. ชายผู้นี้ก็จะต้องรู้แน่ว่าเพชรลดาตั้งครรภ์ตั้งแต่วันที่จากเชียงใหม่ไป..
“เอ่อ..” ม่อนแจ่มเดินเข้ามาใกล้ เลิกคิ้วน้อยๆ
“ใครหรือครับคุณพ่อ พชรรู้จักไหม? ญาติหรือครับ?” ดวงหน้าขาวมองบิดาตนและรูมเมท พูดสลับกับแต่ละคนไปมา
“เพื่อนคุณพ่อหรือครับ แล้วพชรรู้จักไหม?”
เสียงซื่อถามซ้ำ พยายามช่วยหาคำตอบ ตามปกติวิสัยที่เป็นคนมีน้ำใจ
พชรละสายตาจากนายพจน์ มองผู้มีศักดิ์เป็นลูกชาย..
ใบหน้ายังแจ่มใส.. ดวงตายังเป็นประกาย.. น้ำเสียงช่างเจรจา..
‘กูแค่.. อยากวาดภาพให้ ทำสิ่งที่กูถนัด
วาดภาพเป็นของขวัญ ของขวัญที่เงินซื้อไม่ได้ ..ของขวัญวันเกิดของคุณพ่อ’…
‘เหี้ย.. กูดับอนาถแน่แบบนั้น’…
'ก็แล้ว.. ไม่ว่าจะถูกหรือผิดที่ตัดสินไม่ได้นั่น ..กูพอช่วยอะไรได้บ้างไหม'“รู้จักเพชรลดาหรือเปล่า.. พชร?”
นายพจน์ถามซ้ำ ซึ่งคนถูกถามเพียงยืนนิ่ง..
‘กูไม่เคยโกหก’จำได้ว่าเคยพูดประโยคนี้และมันเป็นอย่างนั้น
ตั้งแต่เรียนปรัชญา พชรเริ่มเข้าใจว่าในบางครั้ง คนเราก็คงมีเหตุผลดีๆที่ต้องโกหก ..โกหกเพื่ออะไรสักอย่าง..
แต่เขาไม่เคยพูดโกหก หากไม่ต้องการพูดความจริง พชรจะไม่พูดอะไรเลย
สำหรับเขา.. การโกหกเป็นการทำลายเกียรติของตนเองอย่างน่าละอาย และยังคงเป็นอยู่จนบัดนี้ ไม่มีเปลี่ยนแปลง
..
แต่ว่า..
‘..พชร’“ไม่.. รู้จักครับ”
เสียงเข้มพยายามเอ่ยแต่ละคำออกมา
..
“นามสกุลนี้มีเยอะในลำพูน บางคนผมก็ไม่รู้จักเลย ไว้.. ผมจะลองถามแม่ดูครับ”
"แม่เราชื่อ-"
“แม่ผมชื่อนิภา..”
น้ำเสียงที่ตัดบทนั้นแห้งผาก
พชรฝืนก้มหัวน้อยๆ สื่อนัยยะอำลาผู้ใหญ่ตรงหน้า ทั้งที่ต้นคอขัดแข็งจนแทบจะกดลงมาไม่ได้
ร่างกำยำหันหลังอีกครั้ง ค่อยๆก้าวจากไปในทิศทางเดียวกับที่เข้ามา
หัวใจทระนงเจ็บแปลบด้วยความรู้สึกร้ายกาจที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยในชีวิต.. ขาแข็งแรงถูกถ่วงด้วยน้ำหนักของบางสิ่งที่ไม่รู้คำนิยาม..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ขอบคุณในการติดตามเหมือนเคยครับ(Thanks to.. Your Guardian Angel - Red Jumpsuit Apparatus)