ภาคจิ้งจอกไฟ
บทที่สามสิบสาม
เรื่องราวของจิ้งจอกไฟเริ่มขึ้นก่อนที่กวางทองจะถือกำเนิดหลายปี
เรื่องราวเริ่มขึ้นตั้งแต่ครั้งที่จิ้งจอกไฟยังเป็นจิ้งจอกไฟตัวน้อยแล้วพบกับกลุ่มพรานป่าเข้ามาล่าสัตว์ในเขตรอบนอกของป่าสีทองเมืองลั่ว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีสัตว์ป่าและของป่าหายาก
พื้นที่ป่าไม่มีรั้ว ไม่มีประตู นอกจากพรานจากหมู่บ้านใกล้เคียงจะมาที่นี่แล้ว ก็ยังมีพรานจากเมืองอื่นเดินทางเข้ามาเช่นกัน
แต่พรานป่าที่ติดอยู่ในใจของจิ้งจอกไฟคือ อาต๋า ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านพรานป่าฝั่งตะวันตกของป่าสีทองเมืองลั่ว
เช้ามืดวันนั้น ฝูงจิ้งจอกออกหากินใกล้แหล่งน้ำเหมือนที่ผ่านมา
จิ้งจอกไฟกับจิ้งจอกขาวเป็นพี่น้องกัน ทั้งคู่ยังไม่ถึงวัยที่จะแยกออกจากฝูง จึงมักจะเล่นอยู่ด้วยกันอยู่เสมอ ขณะที่จิ้งจอกสีน้ำตาลสองตัวที่เป็นพ่อกับแม่คอยดูอยู่ไม่ห่าง กับยังมีจิ้งจอกสีน้ำตาลตัวน้อยอายุไม่ถึงหนึ่งปีอีกถึงหกตัวเล่นอยู่ใกล้แม่
จิ้งจอกขาวตัวน้อยชอบน้ำเย็นจึงลงไปแช่อยู่ในน้ำอยู่ครึ่งตัว ปลาตัวหนึ่งพลัดหลงมา ก็หันมาเรียกพี่ชายแล้วกระโดดไล่ตามปลาที่เป็นเป้าหมายห่างออกไป
ลูกดอกลูกหนึ่งพุ่งผ่านใบหน้าจิ้งจอกไฟ พี่ชายร้องบอกน้องให้รีบหนี แต่ไม่ทัน!
ลูกดอกจำนวนมากดั่งเม็ดฝนพุ่งตรงไปหาจิ้งจอกขาวที่อยู่ในลำธาร
หนึ่งในนั้นปักเข้าที่ด้านข้างลำตัวของจิ้งจอกขาว!
ร่างเล็กๆ ลอยขึ้นเหนือน้ำแล้วตกลงมากระแทกสายน้ำแล้วจมลง
เมื่อหันกลับมามองพ่อกับแม่พบว่าทั้งคู่ล้วนถูกยิงจนล้ม
ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งวิ่งออกมาจากหลังพุ่มไม้ที่ใช้เป็นที่ซ่อนตัวเพื่อตรงเข้าโจมตี
พรานคนหนึ่งใช่มีดไล่ฟันจิ้งจอกสีน้ำตาลตัวน้อยที่ล้าหลังกว่าผู้อื่น พรานผู้นี้ล่าด้วยความเหี้ยมโหดยิ่ง เมื่อฟันจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่ง ก็ไล่ตามไปสังหารจิ้งจอกน้อยตัวต่อไป หาได้สนใจเสียงร้องทักท้วงของพรานคนอื่นที่ว่าจิ้งจอกตัวลูกยังเล็กเกินไป พวกเขาต้องการเพียงตัวพ่อกับแม่ และจิ้งจอกสีขาวกับสีแดงที่อยู่ในลำธารเท่านั้น
เมื่อตระหนักว่าตนเองคือเป้าหมาย ในสายตาของจิ้งจอกไฟก็มองเห็นสิ่งต่างๆ ผ่านม่านโลหิต หูได้ยินเพียงเสียงลูกดอกแล่นผ่าน รู้สึกถึงความหวาดกลัวผสานความโกรธแค้นอยู่ในทุกขุมขน
ลูกดอกลูกแล้วลูกเล่าพุ่งผ่านด้านข้างและใบหน้า แม้จะทำให้ฝีเท้าซวนเซแต่ไม่อาจทำให้ล้มลง จิ้งจอกไฟหลบหนีไปไกล แล้วกลับมาใหม่ในวันถัดมา พบเพียงหยดเลือดมากมายอยู่บนฝั่ง
แต่ขณะที่เดินตามหา ว่าอาจจะยังมีผู้ใดที่พลัดหลงอยู่ในละแวกนี้ หูได้ยินเสียงฝีเท้าของกลุ่มคนที่ตรงเข้ามา จึงหลบไปอยู่ด้านหลังของต้นไม้ใหญ่เพื่อลอบมอง
หลายคนในกลุ่มนี้มีกลิ่นของจิ้งจอก และกลิ่นเลือดติดอยู่
แต่คนหนึ่งในกลุ่มนั้น...เป็นชายหนุ่มผิวเข้ม และจิ้งจอกไฟก็ไม่อาจละสายตาจากคนผู้นี้ได้ จนกระทั่งเขาหันมาเห็นจิ้งจอกไฟที่ซ่อนตัวอยู่ใต้พุ่มไม้หนา
ด้วยความตกใจที่ถูกพบเห็นจิ้งจอกไฟส่งเสียงขู่ในลำคอ
ชายหนุ่มวางอาวุธในมือ ค้อมตัวลงต่ำ ก้าวช้าๆ เข้ามาหา เพื่อแสดงท่าทีว่าไม่ได้เป็นภัยคุกตาม
แต่กลุ่มนายพรานที่เดินทางมาด้วยกันไม่คิดเช่นนั้น เมื่อหันมาเห็นว่าสหายพรานวางอาวุธแล้วเดินไปทางพุ่มไม้ ก็หันมามองแล้วเริ่มล้อมเข้ามาหา
จิ้งจอกไฟก้าวถอยหลัง แล้วกระโจนหนี เหล่านายพรานก็พากันร้องตะโกนไล่ตาม ลูกดอกหลายลูกเฉี่ยวด้านข้างไป ได้รับบาดเจ็บ จิ้งจอกไฟยิ่งเร่งฝีเท้า
เพราะนี่คือเป้าหมายสำคัญ พวกพรานป่าจึงไล่ตามอย่างไม่ลดละ
มองเห็นเขตป่าสีทองอยู่ตรงหน้า จิ้งจอกไฟรวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้าย กระโจนสุดตัวเพื่อเข้าไปในป่า ลูกดอกอาบยาสลบลูกหนึ่งปักเข้าที่สะโพก แต่จิ้งจอกไปยังไปต่ออีกหลายก้าว
เมื่อหันมามอง เห็นว่าชายหนุ่มผิวเข้มผู้นั้น หันไปเตือนนายพรานคนอื่น ว่าจิ้งจอกไฟเข้าไปในเขตป่าสีทองแล้ว
นายพรานทั้งหมดจึงหยุดยืนอยู่ที่แนวเขตนั้น
ดวงตายาวเรียว ขนสีแดงเพลิงเปื้อนโลหิตพลิ้วไหวในสายลมเย็น จิ้งจอกไฟจดจำทุกคนที่ทำร้ายครอบครัว โดยเฉพาะคนผิวเข้มที่แสดงท่าทีเป็นมิตร
เสียงคำรามของสัตว์บาดเจ็บดังก้อง!
ทุกก้าวย่างที่เดินลึกเข้าไปในป่าสีทอง ทิ้งหยดเลือดไว้ตามรายทาง...
การไล่ล่าที่เกิดขึ้นย่อมได้ยินถึงหูของเทพเสือโคร่งศิลาดำ ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องพื้นที่รอยต่อระหว่างปีสีทองกับป่ารอบนอก จึงมุ่งตรงไปยังจุดที่นกกามาแจ้งข่าว ระหว่างทางพบจิ้งจอกไฟได้รับบาดเจ็บสาหัส และหมดสติอยู่จึงพากลับมาให้บิดาช่วยรักษา
"จิ้งจอกไฟ" เทพเสือโคร่งภูผาถอนลูกดอกอาบยาสลบแล้วรักษาให้ตามอาการ "ขนสีสวยขนาดนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ในเขตรอบนอกของป่า" ความสวยงามและแตกต่างของสัตว์ป่า ทำให้ตกเป็นเป้าหมายของการไล่ล่า แต่จิ้งจอกไฟตัวนี้ยังเล็กเกินกว่าที่จะถูกล่า
ที่ผ่านมาเทพเสือโคร่งศิลาดำมักสนใจแต่เพียงการปกครองดูแลบรรดาพี่น้องของตน นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาสนใจที่จะดูแลผู้อื่น
แต่จะอย่างไรนี่คือสัตว์ป่าที่ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ทั้งหลงเหลืออยู่เพียงตัวเดียว ความอาฆาตแค้นที่อยู่ในใจจึงรุนแรงตามไปด้วย
ในยามนั้นเทพเสือโคร่งภูผาคิดเพียงเรื่องที่ว่า หากจิ้งจอกไฟฟื้นขึ้นมาแล้วจะหันมาอาละวาดใส่ผู้ดูแล เพราะคิดว่าเป็นศัตรู จึงบอกบุตรชายให้ออกไปตรวจตราพื้นที่ใกล้เคียงที่พบจิ้งจอกไฟ ในระหว่างที่ตนดูแลรักษา
แต่ถ้าเทพเสือโครงภูผารู้กาลข้างหน้าว่า ต่อไปจะเกิดเรื่องใดขึ้นจะปฏิเสธการรักษาเช่นนั้นหรือ
ย่อมมิใช่!
หากรู้ล่วงหน้าได้ เทพเสือโคร่งภูผาผู้เป็นบิดาจะต้องเร่งรัดบุตรชายให้มีฝีมือแข็งแกร่งกว่าเดิมอีกสักสิบเท่าต่างหาก
หลังจากที่หายไปราวหนึ่งชั่วยาม เทพเสือโคร่งศิลาดำก็กลับมารายงาน ว่าดูจากร่องรอยแล้วกลุ่มนายพรานที่มาล่าฝูงจิ้งจอกมีจำนวนมากถึงสิบคน พวกเขาเข้ามาในพื้นที่สองวันติดต่อกัน และฝูงจิ้งจอกพ่อแม่ลูกครอบครัวหนึ่งถูกล่า
เทพเสือโคร่งภูผาถอนหายใจด้วยความสงสาร
พรานป่าย่อมล่าสัตว์ จะเพื่อเอาหนัง เนื้อ หรือกระดูกไปใช้ประโยชน์ แต่การล่าทั้งครอบครัวเกือบสิบชีวิตไม่เว้นแม้แต่จิ้งจอกที่มีอายุไม่ถึงหนึ่งปีนั้นช่างโหดร้าย
"จิ้งจอกไฟตัวนี้หนีรอดมาเพียงตัวเดียว จากลำธารในเขตป่า เข้ามาถึงที่ป่าสีทองนี่" เทพเสือโคร่งศิลาดำกล่าวรายงานต่อ
ผู้เป็นบิดาซึ่งให้การรักษาบาดแผลหลายแห่งให้กับจิ้งจอกไฟเสร็จสิ้นนานแล้วเปลี่ยนเป็นฝ่ายถามบุตรชาย
"เจ้าจะดูแลเจ้าลูกไฟตัวเล็กนี่ด้วยตนเองหรือ"
เทพเสือโคร่งศิลาดำมองจิ้งจอกไฟตัวน้อยด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วง บิดาจึงกล่าวเตือน
"เขาไม่ใช่สัตว์เทพ การรักษาต้องระมัดระวัง นอกจากนี้ยังเป็นจิ้งจอก เจ้าไม่อาจวางใจในคำพูดของเขาทั้งหมด"
แม้ผู้เป็นบุตรจะตอบรับคำสั่งของบิดา แต่ผู้เป็นบิดาก็รู้ดีว่า บุตรผู้นี้จะเลือกรับฟังคำแนะนำบางประการที่สอดคล้องกับเจตนาของตนเองเท่านั้น
ก็...บิดากับบุตรนี่นะ...
บิดาอย่างไร บุตรก็อย่างนั้น...
โดยทั่วไปไม่ว่าจะอยู่ในร่างของเทพเสือ และร่างมนุษย์ บุตรผู้นี้จะมีรูปร่างหน้าตาคล้ายบิดามากที่สุด แต่ในสีเหลือง ขาว และดำที่เป็นสีพื้นฐานของเสือโคร่งนั้น ศิลาดำจะมีส่วนที่เป็นสีดำมากกว่าสีเหลือง นอกจากนี้ยังมีความลับที่รู้กันเป็นการภายในว่า ในบางเวลาจารึกของศิลาดำจะปรากฏขึ้นที่ดวงตา
ดวงตาซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นสีเหลืองเหมือนกับบิดา จะเปลี่ยนเป็นสีดำขลับปราศจากสีอื่นปน และเมื่อเวลาที่เป็นเช่นนั้นใบหูของเขาก็จะเปลี่ยนเป็นสีดำเช่นกัน
เหตุใดจารึกนี้จึงไม่อยู่อย่างถาวรเหมือนสัตว์เทพในป่าสีทองตนอื่น ขนาดอาจารย์เทพสูงสุดที่เขาเทียมฟ้ายังไม่ทราบ แล้วผู้ใดจะทราบได้
รู้แต่เพียงว่าจารึกศิลาดำไม่มีผลต่ออารมณ์หรือพลังใด ๆ
นอกจากนี้เขายังเป็นเทพเสือโคร่งที่มีฝีเท้ารวดเร็ว สามารถพรางกลิ่นสาบเสือ และซ่อนตนอยู่ได้เป็นเวลานาน ทำให้ผู้เป็นบิดาไว้วางใจมอบงานสำคัญให้อยู่เสมอ
หลายคราที่เทพเสือโคร่งภูผาถึงกับออกปากว่า ไว้ใจบุตรผู้นี้มากกว่าไว้ใจตนเองเสียอีก
เทพเสือโคร่งศิลาดำถามบิดาอีกคำว่าอาการของจิ้งจอกไฟยังมีเรื่องที่ต้องเป็นกังวลอีกหรือไม่ เมื่อบิดาบอกว่าไม่มี ผู้เป็นบุตรก็อุ้มจิ้งจอกไฟตัวน้อยกลับไปพักที่ถ้ำแสงจันทร์
ถ้ำแห่งนี้เดิมเป็นของเทพเสือโคร่งภูผาที่เคยพำนักอยู่ในช่วงเยาว์วัย ต่อมาเมื่อครองคู่กับนางเทพเสือโคร่งบงกชก็ย้ายไปอยู่ที่ถ้ำของนาง และเมื่อเทพเสือโคร่งศิลาดำเริ่มเข้าสู่การบำเพ็ญฌาน และฝึกฝนตนเองก็ย้ายมาพักที่ถ้ำเดิมของบิดาแห่งนี้ตามลำพัง
จากนั้นเมื่อเสือโคร่งศิลาแดง และมุกดาเริ่มการบำเพ็ญฌานก็จะมาฝึกที่ถ้ำแห่งนี้
มีเพียงในช่วงที่กำลังจะบรรลุขั้นเทพ ที่จะต้องขึ้นไปฝึกกับอาจารย์เทพสูงสุด เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง
แต่โดยทั่วไปบรรดาเทพเสือโคร่งมักฝึกฝนด้วยตนเองเป็นหลัก
ถ้ำแห่งนี้มีความคดเคี้ยวและลึกกว่าถ้ำยาของเทพเสือโคร่งภูผา
ที่เรียกว่าถ้ำแสงจันทร์ก็เพราะในถ้ำนี้มีอยู่ห้องหนึ่ง ที่มีช่องว่างอยู่ที่เพดาน ในยามค่ำคืนจะมีแสงจันทร์ลอดผ่าน และในห้องนี้เช่นกันที่มีบ่อน้ำเล็กๆ สูงเพียงเข่า แต่ไม่มีเส้นทางน้ำที่ไหลออกมา ทำให้ถ้ำแสงจันทร์มีความชื้นสูง ไม่เหมาะกับการดูแลรักษาสัตว์ป่วย แต่เพราะในเวลานี้ยังไม่อาจหาที่พักอื่นได้ เทพเสือโคร่งศิลาดำจึงจัดที่พักให้กับจิ้งจอกไฟอยู่ใกล้กับปากถ้ำ
ลูกดอกนี้มีฤทธิ์รุนแรง ดังนั้นหลังการรักษาอาการบาดเจ็บในเบื้องต้น เทพเสือโคร่งภูผาผู้เป็นบิดาจึงต้องให้จิ้งจอกไฟหลับต่อเนื่องหลายชั่วยาม พร้อมแนะนำบุตรที่จะต้องทำหน้าที่ดูแลต่อไปว่าเมื่อฟื้นขึ้นมาจะยังมีอาการไข้จากบาดแผลเหล่านั้น ทำให้เทพเสือโคร่งศิลาดำต้องคอยจับตาดูแลจิ้งจอกไฟอย่างใกล้ชิด
บ่ายวันหนึ่งเทพเสือโคร่งมุกดาซึ่งเป็นน้องสาวแวะมาหาพี่ใหญ่ที่ถ้ำแสงจันทร์ เห็นว่าพี่ใหญ่อยู่ในร่างมนุษย์ นางจึงเปลี่ยนร่างจากเสือโคร่งสีขาวมาเป็นมนุษย์
เมื่อนางเป็นเสือโคร่ง นางเป็นเสือโคร่งตัวใหญ่ไม่ต่างจากพี่ชายของนาง และเมื่อนางเป็นมนุษย์ นางก็เป็นสตรีตัวใหญ่แทบไม่ต่างจากพี่ชายของนาง
"พี่ใหญ่ น้องมาแล้ว นั่นจิ้งจอกไฟหรือ"
"ใช่"
"ถูกอาวุธมาหรือ" นางเดินเข้ามาดู เห็นว่าได้รับการรักษาพยาบาลมาแล้วแต่ก็ยังดูไม่ดีนัก "มีไข้ด้วยนี่ ท่านพ่อให้สมุนไพรมาด้วยหรือไม่"
"ไม่"
เพราะเป็นพี่น้องที่สนิทกัน นางจึงมิได้ประหลาดใจกับการที่กล่าวคำไปยืดยาวแล้วได้คำตอบมาทีละคำ
"บอกท่านพ่อหรือไม่ ว่าท่านจะดูแลจิ้งจอกไฟน่ะ"
"บอกแล้ว" เทพเสือโคร่งศิลาดำได้แต่นั่งมองดูจิ้งจอกไฟที่กำลังหายใจเป็นลมร้อนออกมา "พากลับไปหาท่านพ่อดีไหม"
น้องหญิงส่ายหน้า "ไม่ต้องหรอก พี่ใหญ่ไปรองน้ำจากบ่อด้านใน มาหยดน้ำใส่ปากเขา... "
กล่าวคำยังมิทันจบเทพเสือโคร่งศิลาดำก็รีบเข้าไปภายในถ้ำ เพื่อรองน้ำสะอาดมาส่งให้ นางจึงสอนพี่ใหญ่เรื่องการหยดน้ำ เพื่อป้อนจิ้งจอกไฟ
"เขาแข็งแรงมากเลยนะ โดนมาขนาดนี้ยังหนีเข้ามาถึงป่าสีทองได้"
เทพเสือโคร่งศิลาดำเห็นด้วยกับคำกล่าวนั้น
จิ้งจอกไม่ใช่สัตว์ขี้ขลาด แต่พวกเขาฉลาดมาก และเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม จึงไม่เลือกวิธีการต่อสู้ การพบกับศัตรูที่เข้มแข็ง และครอบครัวถูกสังหารต่อหน้าเช่นนั้น อาจเป็นแรงผลักดันให้จิ้งจอกไฟหนีสุดตัวเพื่อหาที่พึ่งพิง
เช้าวันถัดมาจิ้งจอกไฟลืมตาขึ้น เทพเสือโคร่งสองพี่น้องที่ล้วนอยู่ในร่างของเทพเสือในยามพักผ่อน จึงเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์
"ข้าคือเทพเสือโคร่งมุกดา และนี่คือพี่ใหญ่ของข้า เทพเสือโคร่งศิลาดำ เขาช่วยเจ้าไว้"
จิ้งจอกไฟพยักหน้าและยังอยู่ในร่างเดิม นางจึงหันมาหาพี่ใหญ่ "เขาเปลี่ยนร่างไม่ได้ คงเข้าใจคำพูดกันได้เพียงบางคำ" และนางไม่รู้ว่าจิ้งจอกไฟกำลังคิดอะไรอยู่ "แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาได้แล้วก็เป็นเรื่องที่ดี"
เมื่อมีเทพเสือโคร่งมุกดามาช่วยดูแล เทพเสือโคร่งศิลาดำผู้เป็นพี่ใหญ่จำต้องเลี่ยงออกไปอยู่นอกถ้ำเพื่อมิให้พลังของเทพเสือโคร่งสองตนกดดันจิ้งจอกไฟมากเกินไป
ในวันที่สามเทพเสือโคร่งศิลาแดงจึงมาถึง เขาเป็นเทพในลำดับรองจากเทพเสือโคร่งศิลาดำ จึงมักจะสลับกับเทพเสือโคร่งมุกดาไปทำหน้าที่รับใช้มารดา
ว่าที่จริงเขาได้กลิ่นของสัตว์ต่างถิ่นจากในระยะไกล ทั้งรู้เรื่องที่พี่ใหญ่เก็บจิ้งจอกไฟกลับมารักษา แต่ก็ยังเจตนาไม่เปลี่ยนร่างจนเข้ามาถึงถ้ำ เมื่อเห็นว่าจิ้งจอกไฟที่ยังมีอาการบาดเจ็บตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ขดตัวชิดผนังถ้ำก็รู้สึกพึงพอใจมาก
เทพเสือโคร่งมุกดาเห็นดังนั้นก็ขู่พี่รอง "น้องจะฟ้องพี่ใหญ่ว่าพี่รองแกล้งจิ้งจอกไฟ"
เทพเสือโคร่งศิลาแดงจึงเปลี่ยนร่างกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ ในยามที่เป็นเสือโคร่งศิลาแดง ผนึกสีแดงปรากฏอยู่ที่หน้าผากอย่างเด่นชัด แต่เมื่อเป็นมนุษย์ ผนึกสีแดงของเขาอยู่ที่สีผม ซึ่งมีสีแดงปะปนอยู่กับสีดำ ทำให้ดูเหลื่อมสีแปลกตาจนจิ้งจอกไฟเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ
"จิ้งจอกพวกนี้เจ้าเล่ห์ ใครๆ ก็รู้ มันอาจเสแสร้งหวาดกลัว แต่แท้จริงรอจังหวะที่จะโจมตีพี่ใหญ่ก็ได้"
"พี่ใหญ่ช่วยเหลือเขา หากจะโจมตีก็ต้องไปโจมตีคนที่ทำร้ายเขาสิ"
"ว่าไงเจ้าตัวเล็ก" เทพเสือโคร่งศิลาแดงคุกเข่าลงข้างหนึ่ง "หากอยากกลับไปแก้แค้นให้ฝูง เจ้าก็ต้องรักษาตัวเองให้แข็งแรง"
"เขายังอ่อนแออยู่ พี่รองอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย"
"ไม่ให้พูดตอนนี้แล้วจะไปพูดตอนไหน ลูกผู้ชายต้องมีความมุ่งมั่นรู้หรือไม่" จากนั้นก็หันมาถามน้องสาว "ถ้าเขาจะเปลี่ยนจากสัตว์ป่า กลายเป็นสัตว์เทพที่สามารถแปลงร่างนี่ น่าจะใช้เวลาสักกี่ปี"
เทพเสือโคร่งมุกดาไม่แน่ใจ "เคยได้ยินว่าราวร้อยปีนะ"
"ร้อยปี พรานพวกนั้นคงตายไปหมดแล้ว" เทพเสือโคร่งศิลาแดงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยกยิ้มมุมปากมิได้กล่าวในสิ่งที่คิด แต่เปลี่ยนไปถามน้องสาวเรื่องการบำเพ็ญฌานของนาง
"น้องกับพี่ใหญ่รอพี่รองมาหลายวันแล้ว" นางหันไปชะโงกมองหน้าถ้ำ "เขาออกไปหาอาหารมาให้จิ้งจอกไฟ เดี๋ยวก็คงมา"
เทพเสือโคร่งศิลาแดงกระตุ้นน้องสาว "ออกไปดูสิ ข้ายังมีเรื่องให้ต้องออกไปทำอีกนะ"
"รู้แล้วน่า"
เมื่อนางออกไป เทพเสือโคร่งศิลาแดงจึงลดเสียงลงเมื่อกล่าวกับจิ้งจอกไฟ
"รักษาตนเองให้หาย พยายามเรียนรู้วิธีสื่อสารกับสัตว์อื่นๆ แล้วฝึกวิชากับพี่ใหญ่ให้แข็งแกร่ง" ดวงตาสีเหลืองของเสือโคร่งหันไปมองด้านนอก "เจ้าเริ่มต้นจากการเป็นจิ้งจอกไฟที่เต็มไปด้วยความแค้นตัวหนึ่ง หนทางจึงยาวไกลสักหน่อย กว่าที่จะไปถึงขั้นสัตว์เทพ ซึ่งจะว่าไป ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นนั้นก็แก้แค้นได้" รอยยิ้มที่มุมปากนั่นกลับมาอีกครา "เอาไว้ให้เจ้าแข็งแรงขึ้นก่อน เราค่อยมาคิดหาทางอื่นดีกว่า"
ดวงตาของจิ้งจอกไฟมองประสานกับเทพเสือโคร่งศิลาแดง
แน่ใจว่า นี่คือผู้ที่คิดเหมือนกันโดยที่ไม่ต้องกล่าวคำพูด
เทพเสือโคร่งผู้นี้มิได้คิดจะช่วยเหลือ แต่เขาต้องการพรรคพวกเพื่อที่จะลงมือต่อมนุษย์ที่อยู่ข้างนอกป่าเหล่านั้น
"จำไว้ว่าอย่าพูดเรื่องแก้แค้นกับพี่ใหญ่ ส่วนน้องหญิงมุกดา เจ้าก็เห็นแล้วว่านางเชื่อฟังพี่ใหญ่ขนาดไหน"
เสียงฝีเท้าที่เข้ามาใกล้ทำให้เทพเสือโคร่งศิลาแดงแตะนิ้วชี้ที่ริมฝีปาก แล้วหันไปยืนรอ
เมื่อเทพเสือโคร่งศิลาดำมาถึงก็วางปลาตัวเล็กไว้ใกล้กับจิ้งจอกไฟ จากนั้นก็หันมาพยักหน้าเรียกน้องชายและน้องสาวไปที่ห้องด้านในของถ้ำ
เทพเสือโคร่งมุกดาก้าวเข้าไปในห้อง จากนั้นเปลี่ยนร่างกลับเป็นเสือโคร่งตัวใหญ่ ส่วนเทพเสือโคร่งศิลาดำ และศิลาแดงที่อยู่ด้านนอกประสานกำลังเคลื่อนย้ายหินก้อนใหญ่มาปิด
เทพเสือโคร่งมุกดาเริ่มการบำเพ็ญฌานนับจากนั้น...
ส่วนเทพเสือโคร่งสองพี่น้องเมื่อจัดการเรื่องราวของน้องสาวเสร็จก็กลับออกมา โดยเทพเสือโคร่งศิลาแดงอยู่พูดคุยกับพี่ใหญ่อีกครู่หนึ่งจึงกลับไป
หลังจากนั้นเทพเสือโคร่งศิลาดำก็ให้การดูแลจิ้งจอกไฟในแบบที่เสือโคร่งจะปฏิบัติต่อจิ้งจอก นั่นคือหาอาหารมาวางไว้ให้ทุกวัน จากนั้นก็จะออกไปอยู่ที่ข้างนอกถ้ำตลอดเวลา จนถึงวันที่จิ้งจอกไฟแข็งแรงขึ้น ก็พาไปที่ฝูงจิ้งจอกแห่งป่าสีทอง
นางจิ้งจอกหิมะมิได้รังเกียจที่จะรับจิ้งจอกไฟเข้าฝูงที่มีกันอยู่เพียงสี่ตน ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมดแล้ว แต่เมื่อนางเห็นจิ้งจอกไฟมองตามหลังเทพเสือโคร่งศิลาดำที่กลับออกไปจนลับตา นางก็รู้สึกได้ว่าจิ้งจอกไฟตัวนี้ไว้ใจเทพเสือโคร่งศิลาดำ และไม่ค่อยอยากจะอยู่ที่ฝูงเล็กๆ ของนางสักเท่าใด
"ท่านศิลาดำพักอยู่ในเขตป่าเสือ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อเจ้า พักอยู่ที่นี่กับพวกเราสักระยะ หลังจากนั้นหากต้องการแยกไปอยู่ตามลำพังก็ไม่ว่าอะไร"
จิ้งจอกไฟหันมาหานางจิ้งจอกหิมะ และบอกกับนางว่า ต้องการฝึกฝนเรื่องการสื่อสารและการต่อสู้ เพราะต้องการมีร่างกายที่แข็งแรง
ที่มิได้บอกก็คือนี่คือคำแนะนำของเทพเสือโคร่งศิลาแดง
“ข้าอยู่ที่เขตป่าด้านนอกนั่นมาตลอด ถ้ากลับออกไป ก็ต้องอยู่ตามลำพัง”
“นั่นก็จริง” ในเขตป่าสีทองเต็มไปด้วยพลังเวทย์ และฌานลึกลับผสานกับสัญชาติญาณแห่งสัตว์ป่า จิ้งจอกไฟอาจรู้สึกกดดันและอยากกลับไปอยู่ข้างนอกเช่นเดิม
“ขอรบกวนให้ท่านช่วยสอนเรื่องการต่อสู้ และการใช้ชีวิต”
นางรับคำขอที่แสนจะธรรมดานี้ และให้คำแนะนำเพื่อให้จิ้งจอกไฟนำไปปฏิบัติ
สัตว์เทพในป่าสีทองมีแนวทางการดำรงชีวิตที่แตกต่างจากสัตว์ป่าในเขตรอบนอก ตั้งแต่การสื่อสาร แนวเขตของสัตว์ป่า และลำดับชั้น
เทพเสือโคร่งศิลาดำผู้ช่วยชีวิตจิ้งจอกไฟ อยู่ในลำดับของเทพที่เป็นผู้ปกครองของป่าสีทองแห่งนี้ มีการประพฤติตนดีงาม และพลังฌานที่แข็งแกร่งทำให้ได้รับการเคารพนับถือจากสัตว์เทพ และสัตว์ป่าในป่าสีทอง นางจิ้งจอกหิมะจึงมีความภูมิใจที่เทพเสือโคร่งศิลาดำพาจิ้งจอกไฟมาให้ดูแล และถ่ายทอดความรู้ให้
วันหนึ่งจิ้งจอกไฟออกไปฝึกตามลำพังใกล้กับบึงนกกระเรียน ทำให้พบกับนกยูงทอง และกวางไพลิน ทั้งสองอยู่ในร่างของสัตว์เทพ และรับจิ้งจอกไฟเป็นเพื่อนอย่างง่ายดาย ทั้งยังพาจิ้งจอกไฟท่องเที่ยวทั่วป่าสีทอง
และในวันหนึ่ง จิ้งจอกไฟก็หาญกล้าที่ออกไปนอกเขตป่าสีทองตามลำพัง
สถานที่ที่ไปก็คือที่ซึ่งเต็มไปด้วยความทรงจำเลวร้าย
จิ้งจอกไฟเดินก้มหน้าดมหากลิ่นไปทั่วบริเวณ จากนั้นใบหูก็ตั้งขึ้น มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่อยู่ใกล้กับหมู่บ้าน
ยิ่งใกล้หมู่บ้าน ต้นไม้ยิ่งบางตา มองเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังมัดรวมไม้ฟืน จิ้งจอกไฟเหลียวมองรอบๆ ดมกลิ่นหลากหลายที่เจือจางอยู่ในอากาศ จนแน่ใจว่าในระยะใกล้ๆ นี้ไม่มีผู้อื่นอยู่อีกจึงเดินเข้าไปหา
ชายหนุ่มผู้นั้นเงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน มือคว้าอาวุธที่วางอยู่ข้างกาย จิ้งจอกไฟจึงหมอบตัวลง หูตก หางตก ส่งเสียงเล็กๆ เพื่อแสดงความเป็นมิตร
"จิ้งจอกไฟ" รอยแผลที่ใบหน้า ที่เกิดจากลูกดอกยังชัดเจน "เจ้านั่นเอง หายดีแล้วหรือ"
แม้การไล่ล่าในครั้งนั้นจะผ่านไปหลายเดือนแล้ว แต่ชายหนุ่มผู้นี้จำเรื่องราวที่เกิดได้อย่าแม่นยำ
ชายหนุ่มผิวสีเข้มผู้นี้มีชื่อว่าอาต๋า เขาคือคนแรกที่เห็นดวงตางดงามของจิ้งจอกไฟหลังพุ่มไม้ และได้แต่กล่าวโทษความด้อยประสบการณ์ของตนเองว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการไล่ฆ่าจิ้งจอกทั้งฝูง
หลังการโอบล้อมเพื่อไล่ล่าฝูงจิ้งจอกในวันแรก มีจิ้งจอกไฟตัวหนึ่งหลบหนีไปได้ หัวหน้ากลุ่มพรานเชื่อว่าจิ้งจอกไฟตัวนั้นจะต้องย้อนกลับมาที่ฝูงอย่างแน่นอน จึงมีส่วนหนึ่งที่แบกร่างของจิ้งจอกที่ล่าได้กลับไป ส่วนที่เหลือหยุดรออยู่ใกล้ๆ โดยอาต๋าเป็นหนึ่งในคนที่หยุดรอ แต่เมื่อได้สบตางดงามคู่นั้น ก็พาลลืมตัววางอาวุธแล้วเดินเข้าไปหา ทำให้สหายรู้พรานคนอื่นรู้ตำแหน่งของจิ้งจอกไฟ และพากันไล่ตาม
แต่การถูกตามล่าเป็นครั้งที่สองนี้ทำให้จิ้งจอกไฟบาดเจ็บหนัก รอยเลือดเป็นทางยาวไปทางป่าสีทองนั้นบ่งบอกเป็นอย่างดี
แต่อาต๋าเชื่อว่าจิ้งจอกไฟที่หลบหนีเข้าไปในป่าสีทองจะรอดชีวิต
ดังนั้นเมื่อได้เห็นจิ้งจอกไฟอีกครา อาต๋าจึงยินดีเป็นอย่างยิ่ง
จิ้งจอกไฟผู้งดงาม ก้มคอลงต่ำ ก้าวช้าๆ เข้ามาหา ยอมให้สัมผัสที่ด้านข้างของใบหน้าอย่างง่ายดาย
"จิ้งจอกไฟ เจ้าเชื่องและวางใจมนุษย์มากเกินไป พวกนายพรานล้วนต้องการขนของจิ้งจอก และหนังเสือ รู้ไหมว่าขนของเจ้าน่ะ ได้ราคาดีขนาดไหน...เรื่องครอบครัวของเจ้าข้าเสียใจด้วย ทีแรกพวกเราต้องการเพียงขนของจิ้งจอกตัวโตเต็มวัยไปให้กับชนเผ่าที่อยู่นอกด่าน" ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของชายหนุ่มบ่งบอกถึงความเสียใจจากใจจริง "แต่พอไปถึงกลับพบจิ้งจอกที่มีขนสีสวยอีกสองตัวอยู่ด้วย ผลก็เลยเป็นอย่างที่เจ้าเห็น แต่ข้าขอสัญญาว่านั่นจะเป็นการล่าครั้งสุดท้ายของข้า" เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเดินใกล้เข้ามา จิ้งจอกไฟก็ผุดลุกขึ้นยืน
"จะไปแล้วหรือ ข้าคืออาต๋านะจิ้งจอกไฟ"
จิ้งจอกไฟเลียแก้มของอีกฝ่ายแล้วผละไปแอบมองจากหลังพุ่มไม้ ดวงตาเรียวยาวดั่งมีเปลวไฟขณะลอบฟังเสียงสนทนาระหว่างอาต๋ากับเพื่อนๆ จนกระทั่งทั้งหมดกลับไปที่หมู่บ้าน
ในกลุ่มนี้ทั้งหมดคือผู้ที่ร่วมอยู่ในกลุ่มที่สังหารครอบครัวของตน แม้จะไม่มีเจ้าคนบ้าคลั่งที่ไล่ฟันน้องเล็กของเขา แต่จิ้งจอกไฟให้คำมั่นต่อตนเองในใจ ว่าจะตามหาคนผู้นั้นให้เจอ และล้างแค้นให้ได้!
เมื่อกลับมาถึงฝูงจิ้งจอกในยามค่ำ นางจิ้งจอกหิมะ ไต่ถามด้วยความเป็นห่วง แต่จิ้งจอกไฟมิได้ให้คำตอบใด
กลิ่นมนุษย์ที่ติดอยู่ ทำให้ผู้อาวุโสมองเห็นเรื่องราวอย่างคร่าวๆ
"จิ้งจอกไฟ อย่าทำตัวให้ข้าต้องใช้ถ้อยคำรุนแรงกับเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เต็มใจที่จะอยู่กับข้า แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้ามีเป้าหมาย แต่การจะทำให้สำเร็จได้ตามเป้าหมายนั้นมันต้องรู้จักอดทน และวางแผนให้ดี ไม่ใช่ดื้อรั้น"
จิ้งจอกไฟมีสีหน้าท่าทางสลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่นั่นมิได้มีผลให้นางจิ้งจอกหิมะต้องสงสาร เพราะนอกจากจะเป็นจิ้งจอกเช่นกันแล้ว นางยังเป็นจิ้งจอกหิมะจากป่าสีทองที่มีลำดับชั้นสูงกว่า
แต่ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่เข้าใจ
จิ้งจอกเป็นทั้งนักล่า และผู้ที่ถูกล่าเพื่อเอาหนังที่สวยงาม
"อย่าดื้อรั้น และอย่าใจร้อนจนทำให้ความตั้งใจนั้นเสียหาย แต่ก็จะต้องไม่ใจเย็นจนเสียเรื่องเช่นกัน"
วันถัดมาจิ้งจอกไฟออกไปเที่ยวเล่นกับกวางไพลิน และนกยูงทองเหมือนเดิม จากนั้นก็พากันไปเล่นอยู่ใกล้กับบึงของกระเรียนโกเมน
ปกติที่นี่จะเงียบสงบ แต่เมื่อมีเสียงฝีเท้า และเสียงเอะอะโวยวายของนกยูงทองก็ทำให้ผู้อาวุโสอย่างกระเรียนโกเมนต้องออกมาดู
"ป่าสีทองมีบึง มีลำธารมากมาย แต่เจ้าสามตัวนี้กลับมาเล่นส่งเสียงดังอยู่หน้าบ้านข้า"
นกยูงทองตอบด้วยเสียงอันกังวาน "มันบังเอิญ"
แต่เพราะกวางไพลินหัวเราะเสียงใส กระเรียนโกเมนจึงได้แต่ส่ายหน้า "เอาเถอะ อยากเล่นที่นี่ก็เล่นไป แต่อย่าไปรบกวนพวกที่อยู่ในน้ำ" เมื่อกระเรียนโกเมนมองต่อมาเห็นจิ้งจอกไฟจึงเดินเข้ามาหา แล้วเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ ทั้งนกยูงทองและกวางไพลินจึงเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ตามไปด้วย
"เจ้าคงเป็นจิ้งจอกไฟที่ศิลาดำพามานั่นเอง"
กระเรียนเป็นสัตว์ที่มีศีลสูงส่ง และมีความอ่อนโยนจึงก้มลงลูบศีรษะจิ้งจอกไฟด้วยความเมตตา
"มาอยู่ด้วยกัน ไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้"
แต่นกยูงทองส่ายหน้า "แต่เขายังเป็นสัตว์ป่าอยู่เลย บางอย่างที่เราพูดเขาเข้าใจ แต่ส่วนใหญ่แล้วเราไม่ค่อยเข้าใจว่าเขาต้องการอะไร"
"มันก็เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้กันไป"
"แต่ถ้าจิ้งจอกไฟพูดกับพวกเราได้น่าจะดีกว่านี้"
"เจ้ามันติดนิสัยสื่อสารด้วยคำพูด จนลืมสัญชาติญาณของสัตว์ป่าไปแล้ว"
กวางไพลินทำตาวาวแล้วคุกเข่าลงต่อหน้ากระเรียนโกเมน "เช่นนั้นก็รบกวนท่านผู้เฒ่าช่วยสอนพวกเราทั้งสามด้วยนะเจ้าคะ"
"สอนอะไร" จู่ๆ ก็มาคุกเข่าลงตรงหน้าแล้วเจ้านกยูงทองกับจิ้งจอกไฟก็พากันคุกเข่า และหมอบลงพร้อมกันเช่นนี้ รู้สึกสังหรณ์ใจชอบกล
"ก็สอนเรื่องการสื่อสารไงเจ้าคะ สอนวิชาให้พวกเราแข็งแกร่งขึ้น"
กระเรียนโกเมนเลิกคิ้วขึ้นสูง นกยูงทองกับกวางไพลินเกิดและเติบโตที่นี่ยังจะต้องการเรียนรู้เรื่องการสื่อสารอะไรอีก
...หรือว่าเรียนเพื่อเจ้าจิ้งจอกไฟตัวเล็กนี่...
"ดี เพื่อนกัน ก็ต้องส่งเสริมกัน ช่วยเหลือกันแบบนี้"
กระเรียนโกเมนพึงพอใจมาก และตั้งใจสอนเพื่อนทั้งสามอย่างเต็มที่
จบบทที่สามสิบสาม
จิ้งจอกไฟมี 7 ตอนจบ ก็จะเป็นการจบบริบูรณ์ของ Sunrise แล้วครับ
ขอบคุณที่กรุณาติดตามครับ
ไจฟ์ที