ตอนที่ ๑๕ ผู้แต่ง :: FANISMZ“เชี่ย” ผมตะปบปากตัวเองไว้ได้ทันก่อนจะหลุดเสียงอุทานอันอ่อนหวานให้ถึงหูอีกฝ่าย จิณณ์กดปุ่มฉุกเฉินเพื่อแจ้งพนักงานข้างล่าง ดูเหมือนมันจะไม่มีท่าทีว่าจะตกใจจนตัวเย็นอย่างผมเลย ผมเหลือบมองรอบตัว ลิฟต์ตัวนี้ไม่ใช่ลิฟต์แก้วตัวที่เคยใช้แต่มันเป็นลิฟต์ปกติที่มีกระจกเงาติดโดยรอบ เห็นอะไรแวบ ๆ ทางหางตาผมก็ขยับเข้าหาคนข้างตัวโดยไม่ต้องคิด
“ไม่เป็นไร ข้างล่างมีช่างอยู่ เดี๋ยวก็เรียบร้อย” เจ้าบ้านท่านว่าอย่างนั้นผมก็ได้แต่พยักหน้าหงึก ๆ นิ่งอยู่กับความมืดได้อึดใจผมก็คิดได้ว่าถ้าไม่พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสเสียตอนนี้แล้วจะไปทำอีกเมื่อไหร่ ลองเอื้อมมือไปแตะแขนก่อน เมื่อจิณณ์ไม่ได้ปัดออกหรือขยับหนีผมก็เขย่าแขนพี่มันพอให้รู้สึก
“อะไร” เจ้าของแขนก้มลงถาม ผมร้องเรียกหาความมั่นใจในความมืดนั้น
“ผม...ผมจะพยายามไม่พูดหยาบก็ได้แต่ไม่รับประกันนะว่าจะทำได้ตลอดเวลา พี่ก็รู้ว่าผมเป็นแบบนี้มาตลอดสิบกว่าปี จะให้เปลี่ยนในชั่วข้ามคืนไม่ได้หรอกนะ ผมอาจจะห้ามคำสบถสาบานอะไรพวกนั้นได้...บ้าง แต่ไอ้คำสร้อย คำมาลา วะโว้ยทั้งหลายนั่นน่ะอนุโลมให้หน่อยได้ไหม”
“ถ้าไม่ได้เต็มใจทำจะฝืนไปทำไม”
“ก็พี่อยากให้ผมทำไม่ใช่หรือไง” ผมย้อนเสียงห้วน อะไรของมันวะ ง้อขนาดนี้แล้วยังทำเสียงเข้มใส่กูอีก จิณณ์ดึงแขนออกจากมือผมบอกด้วยน้ำเสียงระดับเดิม
“ลืมมันซะเถอะ มันยากนี่”
“ก็มันยาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้ พี่อย่าเพิ่งโกรธได้ไหมเล่า”
“ฉันไม่ได้โกรธ พอเถอะ ยิ่งพูดมากอากาศจะยิ่งเบาบางลงนะ” ผมครางฮื่อ พอมันไม่ให้จับแขนผมก็จับไหล่แทน จากสายตาที่พอจะชินกับความมืดแล้วผมพอมองออกว่าเราสองคนกำลังยืนประจันหน้ากันอยู่ ผมเคาะนิ้วกับไหล่หนาทั้งสองข้าง ลากเสียงยาวเหมือนเวลาพูดกับพ่อหรือแม่ไม่มีผิด
“พี่หายโกรธก่อน...นะ...นะะะ...”
“ฉันไม่ได้โกรธ”
“จิณณ์ ผมพูดจริงนะ ตั้งใจจะพยายามแล้วพี่จะไม่ช่วยกันเลยเหรอ ใจร้ายว่ะ อุ่ย...” หลุดไปอีกหนึ่งดอกกับคำต้องห้าม จิณณ์แทบจะปลดแขนผมออกจากคอแต่พอทำไม่ได้พี่มันก็ถอนใจเฮือกใหญ่ ผมเขี่ย ๆ ปลายนิ้วกับกลุ่มผมตรงท้ายทอยอีกฝ่าย ไม่ลืมทำเสียงในคอเบา ๆ เป็นการกระตุ้นคนใจแข็งไปในตัว
“หายโกรธ”
“บอกว่าไม่ได้โกรธ” ผมตั้งท่าจะเถียงไอ้เสียงนิ่ง ๆ ที่บอกไม่ได้โกรธแต่ในจังหวะนั้นไฟในลิฟต์ก็สว่างวาบขึ้นมาเสียก่อน ลิฟต์กระตุกจนเซกันทั้งสองฝ่าย ผมเผลอรัดต้นคอคนตัวสูงกว่าไว้แน่น ลืมสนใจแม้จะรู้สึกว่าเอวตัวเองโดนกอดเข้าหมับ ดีที่หน้าผากไม่โขกกระจกด้านที่จิณณ์ยืนพิงอยู่ พอมองกระจกที่สะท้อนภาพตรงหน้าผมก็ต้องอ้าปากค้าง เชื่อแล้ว เชื่อแล้วว่ามันไม่ได้โกรธ เพราะไม่มีคนกำลังโกรธที่ไหนเค้าจะยิ้มเจ้าเล่ห์ได้อย่างนี้อีกแล้ว!
“สัญญาแล้วนะ”
ไอ้...ไอ้...ไอ้พี่เลว! มันหลอกผม!
“ห้าทุ่มแล้ว วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะ”
ได้ยินอาจารย์ท่านประกาศิตมาแบบนั้น ผมเลยหงายหลังราบไปกับพื้น หลับตาพึมพำกับตัวเองเหมือนคนเสียสติไปชั่วขณะ ผมไม่ได้บ้าหรอก ไม่ได้โกรธที่จิณณ์แกล้งอำจนเลอะเลือนแต่ผมกำลังทำตัวเป็นคนดี พยายามท่องจำและระลึกถึงความรู้ที่ได้เรียนทั้งวัน แต่ยิ่งนึกถึงมันก็ยิ่งสับสน ผมเลยนึกภาพตัวเองนั่งยัดความรู้ลงไหดินเผาแล้วก็ปิดฝาฝังดินไว้ อีกสี่ห้าวันพี่คุณจะขุดขึ้นมาทุบก่อนเข้าห้องสอบนะความรู้ที่รัก
“พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ามืดนะคุณ”
“อือ” ผมขานรับสั้น ๆ แม้จะแค้นแสนแค้นกับเรื่องในลิฟต์แต่จำต้องเชื่อฟังท่านไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นอนาคตอาจได้เรียนเกินหลักสูตรสี่ปีก็เป็นได้ จบไปหนึ่งวิชาเหลืออีกสามวิชาสำหรับห้าวันที่เหลือ ผ่านตัวหินที่สุดไปแล้วผมก็ไม่หนักใจเท่าไหร่ เพราะตัวที่เหลือผมเข้าเรียนประจำ (แต่มันดันไม่ค่อยเข้าใจ) คะแนนเก็บอยู่ในระดับปานกลางค่อนไปทางบวกแต่ก็ยังอยากติวเพื่อความมั่นใจอีกหน่อย ผมคงใช้เวลากับมันไม่มาก ตั้งใจว่าจะกลับมาทวนไอ้ตัวยากโคตรนี่อีกรอบในวันก่อนสอบ วางแผนให้ตัวเองในหัวเป็นรูปเป็นร่างแล้วก็สบายใจขึ้นมาก อารมณ์ก็ดีจนยอมให้จิณณ์ซ้อนหัวไปวางบนตักมันได้
“เหนื่อยไหม” ผมครางรับ หลับตาให้พี่มันซับผ้าเย็นไปตามใบหน้าและซอกคอแบบไม่เกี่ยงงอน คิดถึงโปรแกรมติวพรุ่งนี้แล้วก็อยากจะหลับยาวให้รู้แล้วรู้รอด
“เราจำเป็นต้องวิ่งตอนเช้าด้วยหรือ”
“เปลี่ยนบรรยากาศไง วิ่งไป ท่องหนังสือไป เอาวิชาที่ติววันนี้แหละไปท่องเป็นการทบทวนไม่ให้ลืม”
“แต่ผมเพิ่งขุดดินฝังไหไปเองนะ” ผมเพ้อไปตามเรื่อง จิณณ์คงไม่เข้าใจมันเลยพล่ามต่อ “ถ้านั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เดิมนาน ๆ มันจะทำให้แก้วกาแฟของนายล้น”
“แก้วกาแฟ?” ผมลืมตาขึ้นมองคนพูด จิณณ์ยกมุมปากยิ้ม อืม สงสัยพี่มันจะรู้ว่าช่วงนี้ผมห่างเกินการชื่นชมความหล่อมานานเลยตอกย้ำให้เห็นกันลืม โอเค พี่หล่อมากจิณณ์ ตกลงจะอธิบายเรื่องแก้วกาแฟของผมได้หรือยัง
“ใช่ สมองเราเหมือนแก้วใบหนึ่ง เวลาได้รับอะไรมาก ๆ ถึงจุดที่ไม่สามารถรับได้แล้วมันก็จะล้นเหมือนกาแฟที่ถูกรินเติมจนเต็มแก้ว ส่วนที่ล้นน่ะก็จะเสียเปล่าแถมยังทำให้เลอะอีกด้วย ทางที่ดีเราควรจะทำให้มันว่างเสียก่อน การได้พักผ่อน เปลี่ยนบรรยากาศหรือการออกกำลังกายเป็นทางหนึ่งที่จะทำให้แก้วกาแฟของนายว่างได้ เข้าใจหรือยัง”
“เข้าใจ ถ้าอย่างนั้นการที่เรานอนหลับมันก็น่าจะพอแล้วไม่ใช่หรือ”
“ไม่พอ เรากำลังเรียนหลักสูตรเร่งรัด นายเป็นคนเบื่อง่ายแถมยังต้องย้ำจริงจังถึงจะจำได้ ขืนนอนแล้วก็ตื่นมาอ่านซ้ำ ๆ กันหลาย ๆ วัน นายอาจเป็นบ้าไปก่อนจะทันได้เข้าห้องสอบ” นั่น ดันรู้นิสัยผมอีก
“ผม...ไม่รู้สิพี่ ผมตั้งใจนะ ตั้งใจและพยายามแล้วแต่มันก็ยังได้เท่านี้ ขณะที่บางคนเค้าแทบไม่ต้องอ่านหนังสือเลยทำไมเค้าทำได้ มันเหนื่อยแล้วก็ล้ามากเลยนะ มากจน มากจนผมไม่รู้ว่าตัวเองจะทำได้หรือเปล่า” ยิ่งพูดเหมือนตัวเองยิ่งอ่อนแอ ผมหลับตาลงอีกครั้ง ไม่เข้าใจตัวเองแต่ก็สรุปเอาว่าเป็นเพราะความเครียดที่มันสะสมมานับเดือนบวกกับสภาพร่างกายที่ถูกใช้งานหนักในช่วงหลัง ๆ มานี้ทำให้สภาพจิตใจเปราะบางตามไปด้วย เพียงแค่ได้พูดสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจออกไป เพียงแค่ได้นอนหลับตา มีมืออุ่น ๆ คอยลูบผมให้ มีเสียงนุ่ม ๆ คอยพึมพำรับคำ
น้ำตามันก็ไหลได้เอง
“คุณ” เจ้าของเสียงนุ่มเอนตัวลงนอนข้างผม ฝ่ามือที่ไล้ขึ้นลงบนหลังทำให้ผมยอมจำนนต่อความอ่อนโยนนั้น จิณณ์จะรั้งเข้าไปกอดจะดุจะตีอะไรก็ช่างมันแล้ว ตอนนี้ขอผมร้องให้พอใจก่อนก็แล้วกัน “ไม่เป็นไร มันแค่เรื่องเล็ก ๆ ถ้านายผ่านมันไปได้นายจะเข้มแข็งขึ้นนะ”
“ผมรู้”
“เค้าเรียกว่าความกดดัน มันอาจจะลำบาก อาจจะเป็นทรมานในตอนนี้ แต่ถ้านายพยายามและเอาชนะมันได้ นายจะภูมิใจเมื่อได้หันกลับมามอง แล้วความสำเร็จที่ได้มามันก็จะยิ่งทำให้นายดีใจมากกว่าการที่ได้มันมาโดยไม่ผ่านอุปสรรคอะไรเลย ความทุกข์น่ะมันทำให้เรารู้จักกับคำว่าความสุขนะ” จิณณ์พูดถูก ผมรู้อย่างที่มันรู้แต่ที่ผมไม่รู้คือผมจะทำตามแนวทางนั้นได้อย่างไร
“ผมแค่เหนื่อยเท่านั้นเองจิณณ์ แค่ ไม่รู้จะจัดการกับความอ่อนแอของตัวเองยังไง”
“เหนื่อยได้แต่อย่านาน เหนื่อยก็พักแล้วก็ลุกขึ้นสู้ใหม่ ที่สำคัญ ฉันก็อยู่ตรงนี้ นายหิวอยากกินข้าว คอแห้งอยากดื่มน้ำหรือเหนื่อยจนอยากนอนนิ่ง ๆ ขอแค่คุณเอ่ยปากบอก อยากจะให้ฉันทำอะไร คงไม่ต้องย้ำใช่ไหมว่าฉันพร้อมจะทำให้คุณเสมอ” ผมไม่ตอบเพราะไม่รู้จะตอบยังไง อยากขอบใจ อยากตอบรับเป็นคำพูดแต่หนังตามันก็หนักจนทำอย่างที่นึกไม่ไหว เสียงนุ่ม ๆ กับไออุ่นที่เริ่มคุ้นเคยทำให้สติผมลางเลือนแล้วก็ทำในสิ่งที่เรียกว่าหลับคาอกคนปลอบไปอย่างไม่น่าอภัย
เช้าวันแรกของการสอบ
ผมเดินช้า ๆ ไปตามถนนหน้าตึกเรียน ไม่ต้องเร่งรีบเพราะมีคนบุกบ้านมาปลุกตั้งแต่เช้ามืด บังคับให้ผมลุกขึ้นมาวิ่งออกกำลังกายตอนเช้าอย่างที่เคยทำมาตลอดอาทิตย์โดยมีแม่ยืนทำหน้าปลาบปลื้มอยู่ตรงประตูครัว อาบน้ำ กินข้าวเช้าเสร็จ นาฬิกาปลุกของผมก็ขับรถมาส่งถึงหน้ามหาวิทยาลัยบอกว่าตัวเองมีงานต้องจัดการเลยต้องรีบไป ผมเลยได้เดินเตร่เข้ารั้วมาชนิดที่ว่าชมดอกไม้หมดสวนของมหาวิทยาลัยแล้วก็ยังเข้าห้องทันเวลาสอบแน่นอน
บุรินทร์กับวาโบกมือให้ทันทีที่เห็นผมเดินขึ้นตึกไป สองคนนั้นนั่งห่างจากคนอื่น ๆ ออกมานิดหน่อย ไม่มีกองหนังสือตรงหน้าทั้งที่คนรอบตัวกำลังขะมักเขม้นกับการทวนเนื้อหาหน้าตาเคร่งเครียด แบบนี้แสดงว่ามั่นใจกันน่าดู
“เดินตัวเปล่ามาเลยนะ” บุรินทร์ถือคติเปิดก่อนย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง ผมชายตามองมันอย่างไม่ถือโทษ วันนี้ได้ออกกำลังกายตอนเช้า สมองโปร่ง อารมณ์เลยดีด้วย “ตัวเปล่าที่ไหน สะพายเป้ใบเท่าบ้านมาแบบนี้ ซอยแถวบ้านเค้าเรียกตัวเปล่าหรือตี๋”
“บ๊ะ! มีสติตอบโต้เพื่อนแสดงว่าไม่กังวลเรื่องข้อสอบแล้ว”
“ไม่กังวลกับผีน่ะสิ เมื่อไหร่จะเริ่มสอบสักทีวะ” อุ่ย หลุด
“อีกตั้งครึ่งชั่วโมง กินอะไรมาหรือยังล่ะ กองทัพมันต้องเดินด้วยพยาธิในท้องนะ ปล่อยพวกมันหิวเดี๋ยวก็ได้ร้องประท้วงกลางห้องสอบหรอก” อยากจะตอบว่ากินมาเต็มท้องแล้วแต่ไอ้ตี๋มันก็ร่ายยาวจนผมไม่มีช่องไฟจะแทรก วาเลยใช้ฝ่ามือดันหน้ามันเป็นการบอกให้หยุด จังหวะนั้นเองโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น บุรินทร์กับวาหันไปชี้ชวนกันดูขื่อดูคาน เหมือนไม่สนใจแต่หูนี่กระดิกเชียว
“คุณภัทรพูด”
( จะเข้าห้องสอบแล้วใช่ไหม )
“อือ อีกครึ่งชั่วโมง ทำธุระเสร็จแล้วหรือ”
( ยัง ถ้าเข้าไปแล้วเค้าห้ามใช้โทรศัพท์เลยโทรมาก่อน ไม่ต้องคิดมากนะ ค่อย ๆ คิด ทำข้อที่ง่ายก่อน ข้อยากเก็บไว้ทีหลังแล้วก็อย่ามองว่ามันเป็นข้อยากหมดล่ะ ก่อนจะตอบก็วางโครงเรื่องกับหัวข้อที่สำคัญไว้ก่อนแล้วค่อยเขียนรายละเอียด อย่าลืมดูเวลาด้วย เข้าใจไหม )
“จิณณ์ พี่ย้ำจนผมจำได้แล้ว”
( ฉันเป็นห่วง กลัวนายเครียดจนลืม กลัวสารพัดเลยคุณ )
“ผมจะเข้าห้องสอบไม่ได้จะไปรบ พี่อย่าเวอร์ไปเลยน่า”
( ฉันเป็นห่วง )
“รู้” เสียงนั้นบอกมาเบา ๆ ผมก็เลยต้องเบาเสียงตามไปด้วย
( ตั้งใจทำข้อสอบนะ ถ้าทำคะแนนได้ดีสอบเสร็จจะพาไปเที่ยว ) ของรางวัลน่าสนใจจนทำให้ผมพยักหน้าแรง ๆ ทั้งที่รู้ว่าปลายสายคงไม่เห็น คุยกันอีกสองสามประโยคจิณณ์ก็วางสายไป ผมจัดการปิดเครื่องก่อนจะซุกมันไว้ในเป้ เงยหน้าขึ้นมาก็จ๊ะเอ๋กับดวงตาพราวระยับสองคู่
“โทรศัพท์เครื่องนี้ซื้อมาจากไหนนะคุณ”
“ชั้นสี่ มาบุญครองไง เราไปด้วยกัน นายจำไม่ได้หรือบุรินทร์” บุรินทร์ทำหน้าหมายมั่น
“ได้การละ ฉันจะไปซื้อโทรศัพท์ของร้านนั้นมาใช้ เผื่อจะได้โทรไปยิ้มไปเหมือนใครแถวนี้บ้าง สนใจไหมวา จะได้ไปซื้อพร้อมกันเลย” โชคดีที่วาไม่เออออไปกับมัน ผมเลยได้ลงไม้ลงมือกับไอ้ตี๋คนเดียว บุรินทร์ร้องโอยเมื่อถูกกำปั้นแบบไม่มีรูทุบไหล่เข้าให้ ถ้าไม่ติดว่าคนอื่น ๆ กำลังตั้งใจท่องหนังสือผมจะขบหัวมันแถมให้อีกอย่าง แซวไม่ดูตาม้าตาเรือ เดี๋ยวจะไม่เหลือชีวิตไปเจอลูกศิษย์นะขอเตือน
การสอบวันสุดท้ายผ่านพ้นไปได้ด้วยดีสำหรับผมและเพื่อน ๆ ดีในที่นี้หมายถึงว่าผมได้ทำข้อสอบครบทุกข้อแต่คำตอบจะโดนใจอาจารย์จนได้คะแนนสวย ๆ มาหรือไม่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง ขณะที่คนอื่น ๆ พากันถกถึงเรื่องข้อสอบที่เพิ่งทำไปอย่างเมามันพวกเราสามคนกลับมองหน้ากันแล้วก็ถอนใจ พอได้แล้วกับเรื่องวิชาการต่อจากนี้คือช่วงปิดเทอม ผมจะออกเที่ยวสักสองอาทิตย์ติด ๆ กัน นอนตื่นสายให้สมอยาก ตามไปกินร้านอร่อยที่ได้ยินมาให้ครบ เป็นการเรียกกำลังคืนมาก่อนจะต้องมาเผชิญกับตำราเรียนของปีสองต่อไป
เราสามคนลากสังขารอันอิดโรยมานั่งที่โต๊ะประจำ นอกจากโค้กเย็น ๆ คนละกระป๋องแล้วก็ไม่มีใครเรียกร้องอย่างอื่นอีก เพิ่งสามโมงพวกเรากินข้าวเที่ยงก่อนจะเข้าไปสอบวิชาสุดท้ายตอนนี้เลยยังอิ่มจนไม่โหยหาสิ่งใดทั้งสิ้น
“มีโปรแกรมจะไปไหนหรือเปล่า”
“วันนี้หรือ” พอวาพยักหน้ารับบุรินทร์ก็บอกเสียงอ่อน
“ฉันไม่มี หมดแรงแล้ว อยากกลับไปนอน”
“จะกลับไปนอนหรือไปไหนกันแน่ เดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับเพื่อนฝูงนะ ทำตัวน่าสงสัย” ผมเปรยลอย ๆ ไม่มองหน้ามันแต่แอบเห็นนะว่าบุรินทร์ลอบค้อนให้น่ะ แหมะ ตั้งแต่รักเด็กเนี่ย ติดนิสัยเด็กมาเต็ม ๆ เลยนะตี๋
“ไปนอนคือนอนจริง ๆ ว่าแต่คนอื่นดูตัวเองเสียก่อน โน่น ทำไมคนที่สอบเสร็จไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วแถมยังทำเรื่องขอจบเรียบร้อยถึงได้ยังวนเวียนไปมาแถวนี้อยู่ไม่ทราบ” ผมหันไปมองตามที่มันบุ้ยปากนำแล้วก็ยักไหล่ “จะไปรู้หรือ ปากมีก็ถามเอาเองสิ”
“แหม แค่นี้ทำเขิน” ก่อนที่สงครามน้ำลายจะลุกลามไปถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือ เป้าหมายของการสนทนาก็เดินเป็นพยัคฆ์หน้าหยกมาถึงโต๊ะเสียก่อน มองหน้าหล่อ ๆ นั่นแล้วก็เกิดคำถามอีกจนได้ สอบเสร็จไปแล้ว เรียนจบแล้วเรียบร้อยรอแต่เข้าพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตร งานก็มีมาจ่อรอคิวให้ทำเต็มมือแล้วทำไมยังทำหน้าเครียดอีก
“เป็นอะไร” ไอ้เรื่องจะเก็บความสงสัยไว้ในใจนั้นหาใช่วิถีคนแมนไม่ พอจิณณ์นั่งลงปุ๊บผมก็ถามปั๊บ ฝ่ายนั้นเลิกคิ้วนิด ๆ คลื่นความหล่อพัดด้วยกำลังแรงสองร้อยแปดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงกระแทกใส่หน้าผมดังปัก! แม้แต่ช่วงที่ผมอ่อนแอเพราะการสอบมันก็ยังไม่คิดปรานี
“ใคร”
“ก็พี่นั่นแหละ เป็นอะไรทำหน้าเครียด ท้องผูกหรือไง”
“ทำข้อสอบได้ไหม” ผมหัวเราะหึ
“ได้ทำมากกว่า” จิณณ์แทบจะถอนใจพรืด ตาคมมองผมก่อนจะหันไปเอาคำตอบกับวาและบุรินทร์ เพื่อนทั้งสองคนก็แสนดีตอบรับอย่างฉะฉานว่าได้ทำทุกข้อแต่เรื่องคะแนนคงต้องขึ้นอยู่กับอาจารย์ เท่านี้สีหน้าเคร่งเครียดก็คลายลงอย่างเห็นได้ชัด จิณณ์ยิ้มรับนิสิตสาวสองสามคนที่ผ่านมาทักทายแล้วก็หันมามองผมที่นั่งกระดกน้ำโค้กอยู่เงียบ ๆ เห็นผมหรี่ตามองมันก็บอกเสียงอ่อน
“รุ่นน้องที่โรงเรียนเก่าน่ะ”
“ใคร”
“น้องผู้หญิงกลุ่มเมื่อกี้ไง”
“หมายถึงใครถามจ้าาา” เห็นจิณณ์ทำหน้าเหวอได้ผมก็หัวเราะชอบใจ แหม โดนบุรินทร์เล่นงานด้วยมุขควายบ่อย ๆ เคยโกรธมันหัวฟัดหัวเหวี่ยง ไม่คิดเลยว่าพอลองได้เอามาใช้เองมันจะสะใจถึงขนาดนี้ ผมหัวเราะจนโดนวาทุบแขนเข้าให้เลยหันไปไล่เบี้ยกับคนที่นั่งหน้านิ่งอยู่ข้าง ๆ
“แล้วมาทำอะไรแถวนี้” เพราะตั้งแต่วันแรกที่สอบ จิณณ์โทรมาหาก่อนผมจะเข้าห้องสอบแค่ไม่กี่นาทีแล้วต่อจากนั้นเป็นเวลาสองอาทิตย์ที่หมอนี่หายหน้าหายตาไปจากชีวิตผม อยู่ ๆ ก็โผล่มาในวันสุดท้ายของการสอบแบบนี้ ใครบ้างจะไม่ข้องใจ
“มารับ”
“อ๋อ”
“ดีเนาะ สอบเสร็จก็มีคนมารับไม่ต้องเหนื่อยกลับบ้านเอง ว่าแต่เดี๋ยวนี้ยังปั่นจักรยานเป็นหรือเปล่า หรือว่าตั้งแต่มีรถรับส่ง ไม่ได้ปั่นมาจอดไว้ตรงรถไฟฟ้าเหมือนเมื่อก่อนแล้ว” ไอ้ตี๋มันทำหน้าซื่อถามเหมือนกำลังชวนผมคุยเรื่องยาสามัญประจำบ้าน ทั้งที่ใจความนั้นมันตั้งใจเหน็บผมตั้งแต่พยางค์แรกจรดพยางค์สุดท้ายของประโยค รังสีความอาฆาตของผมคงรุนแรงใช้ได้ตี๋มันเลยลุกพรวดย้ายไปนั่งซุกหลังวาทันที
“จะกลับเลยหรือเปล่า” จิณณ์ถามแต่มือนั้นจัดการคล้องสายเป้ให้ผมเรียบร้อย
“จะรีบไปไหนเนี่ย ผมไม่ต้องรีบกลับไปอ่านหนังสือแล้วนะ อย่างน้อยก็ตลอดช่วงปิดเทอมนี้”
“ไม่อ่านหนังสือก็ไปเที่ยว ไม่อยากไปหรือ” เป็นทางเลือกที่น่าสนใจใช้ได้ ผมหันมามองหน้าเพื่อนทั้งสอง มองหน้าเป็นเชิงขอความเห็นแต่เจ้าสองคนกลับยิ้มแปลก ๆ
“ไม่สนใจหรือ ไปเที่ยวคลายเครียดกัน ไปที่ไหนกันดี ทะเลดีไหม” วาถอนใจเฮือก มองตากับบุรินทร์แล้วก็บอกเสียงอ่อน “นายไปเถอะ ฉันมีโปรแกรมแล้วล่ะ บุรินทร์เองก็เหมือนกัน”
“แล้วกัน ทั้งสองคนวางแผนกันไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ ฉันไม่เห็นรู้เรื่องด้วยเลย” ก็มันจริงนี่นา ทุกทีเวลาจะไปไหนก็ต้องบอกกันเสมอ แล้วนี่มันโปรแกรมทัวร์ช่วงปิดเทอมใหญ่ด้วยนะ สำคัญขนาดนี้ไม่บอกเพื่อนได้ไง ผมหน้างออุตส่าห์ดีใจว่าจะได้ไปเที่ยวด้วยกัน วากับบุรินทร์หัวเราะฝืน ๆ ถ้าให้เดาโปรแกรมของวาคงเกี่ยวข้องกับพี่พีร์ ส่วนของบุรินทร์ก็คงมีน้องมอปลายมาเกี่ยวด้วยแน่ ๆ หื่อออออ ไอ้พวกเห็นแฟนดีกว่าเพื่อน พวกนายทำอย่างนี้กับคุณภัทรที่แสนดีได้ยังไง
“น่า อย่างอนไปเลย นายก็ไปกับพี่จิณณ์สิ เผลอ ๆ จะสนุกจนลืมเราสองคน”
“นั่นมันนายแล้ว อะไรวะ ก่อนสอบก็ยุ่งจนไม่มีเวลาไปไหนด้วยกันแล้วหลังสอบยังไม่ได้ไปด้วยกันอีก เคือง” ก่อนจะออกอาการเคืองมากกว่าเดิมจิณณ์ที่นั่งเงียบมาตั้งแต่เมื่อครู่ก็กระตุกชายเสื้อผม บอกเสียงเบา “พอได้แล้วล่ะ ถ้านายไม่อยากไปกับฉันก็ไม่เป็นไร เอาเป็นว่าที่ตกลงกันไว้ยกเลิกไปก็แล้วกัน”
“ผมไปตกลงกับพี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“จำไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ มันไม่มีผลอะไรแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันไปก่อนนะ” พี่มันยิ้มบอกแล้วก็ลาเพื่อนอีกสองคนของผมอย่างรวบรัด ผมได้แต่ยืนมองคนตัวสูงเดินตัดถนนหน้าตึกไปยังรถที่จอดอยู่ไม่ไกล บอกไม่ถูกว่ากำลังรู้สึกอย่างไรแต่ไม่ใช่สบายใจแน่
“ตามไปสิคุณ ถึงนั่งอยู่ตรงนี้ก็ไม่ได้ไปเที่ยวอยู่ดีนะ”
“ช่างปะไรล่ะ”
“โอเค ช่างก็ช่าง นั่นก็แค่พี่จิณณ์ ไม่เกี่ยวกับฉันอยู่แล้ว”
“ไม่เกี่ยวกับฉันเหมือนกัน”
“พวกนายนี่นะ” ผมถอนใจเฮือกใหญ่แล้วก็วิ่งตัวปลิวไปหารถคันสวยที่จอดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เคาะกระจกสีทึบแล้วก็รอให้เจ้าของรถเขาเลื่อนกระจกลงให้
“ตั้งใจจะไปทำอะไรบ้างล่ะ”
“ล่องแพ เคยไปไหม” ไม่เคยแต่เรื่องอะไรจะบอก เมื่อเห็นว่าโปรแกรมน่าสนใจใช้ได้ผมก็อัญเชิญตัวเองเข้าไปนั่งคู่คนขับ จิณณ์ไม่ถามอะไรให้เสียเวลา ขับรถตรงไปบ้านผมอย่างรู้งาน
โปรดติดตามตอนต่อไป ((หายไปหลายวันเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้มาอัพให้อีกตอนนะคะ กลัวว่าอัพสองตอนพร้อมกันแล้วคนอ่านจะสับสนค่ะ ^^ ))