Just…Ask;
๑๖. วอนขอ
เสียงหวานสะอื้นแว่วเพียงแผ่วเบา ดังสายลมพัดผ่าน
ใครร้องไห้
‘พี่ชาย...’
ใคร
มีเพียง ‘คนเดียว’ ที่เรียกอย่างนี้หรือมิใช่
‘คนเดียว’ ที่หัวใจเพ้อพร่ำเรียกหา
หากยิ่งฝืน สติยิ่งจมลึก พร่าเลือน ขาดหาย.........
จมดิ่งสู่ความเย็นยะเยือก เหน็บหนาว มืดมิด
หากเหมือนกำลังก้าวเดินล่องลอย จะไปที่ใด
‘พี่ชาย...’
เสียงเรียกฉุดรั้ง กำลังจะไปที่ใด
‘อรุณ….’
น้องพี่ อยู่ที่ไหน เราอยู่ที่ไหน ต้องกลับไป มีคนรอ
สัมผัสอบอุ่นแทรกซึมแทนที่ หากอาการปวดร้าวศีรษะก็กลับมาร้าวลึกชัดเจน หากรู้ กลับมาแล้ว ที่เดิม ห้องเดิม มาได้อย่างไร แสงอาทิตย์ยามเย็นทอแสงสีส้มสวยสาดส่องทางตะวันตก ห้องสีขาวถูกแต่งแต้มเรืองรอง เสียงหายใจแผ่วเบาข้าง ๆ ทำให้หันไปมอง คนที่นั่งหลับฟุบอยู่ข้างเตียง แม้เรือนผมจะปกปิดใบหน้าหวานกว่าครึ่ง
หาก...คนที่แจ่มชัดในหัวใจ แจ่มชัดในความทรงจำ อย่างไรก็คงยังเป็นเช่นนั้น
เสียงนี้สินะ ที่เพรียกหา
เสียงนี้สินะ ที่ทำให้ย้อนคืนกลับมา
สัมผัสที่อบอุ่นส่งผ่านจากมือเล็กที่เกาะกุม
แม้ว่าอย่างไร ไม่ว่าอย่างไร
น้องน้อยก็ยังคงรัก แม้จะเป็นความรัก เฉกเช่นครอบครัว ดังเช่น ‘พี่ชาย’
เพียงพอแล้วต่อหัวใจ
แม้ว่าเลือกสิ่งใด เขาก็ยังเป็น ‘พี่ชาย’ ดังเดิม
หรือมิใช่
พอแล้ว พอใจแล้ว
ไม่ขอสิ่งใดมากไปกว่านี้ น้องเสียสละมาพอแล้ว
ไม่ว่าน้องน้อยของพี่เลือกสิ่งไหนก็พร้อมยอม
หากแต่ยังหวนคิด ‘ทางเลือกที่สาม’
คงสายไปแล้ว ใช่หรือไม่
พยายามข่มใจอย่างยิ่ง แต่ก็สุดกลั้นอาการไออย่างหนักของตน
“พี่ชาย” ร่างบางจึงสะดุ้งตื่น เงยหน้าขึ้นมองอย่างรวดเร็ว
“พ..พี่ ไม่เป็นไร” นึกโทษตัวเองที่หยุดไอไม่ได้ จนอีกคนต้องรีบคว้าแก้ว และช่วยประคองขึ้นให้ดื่มน้ำ
“จิบน้ำสักนิด เถอะครับ ค่อย ๆ” ขมคอยิ่งนักหากฝืนกลืนเพราะคนตรงหน้า น้ำอุ่นช่วยบรรเทาอาการระคายคอได้เป็นอย่างดี จึงส่งแก้วกลับให้ คนที่นั่งบนเตียงกลับใช้มือเกลี่ยเช็ดน้ำมุมปากให้ก่อนที่จะรับแก้วไปวาง
“ยังปวดหัวไหมครับ” จึงได้แต่พยักหน้า
“รอสักครู่” น้องเดินหายไปทางประตูพักเดียว แล้วจึงย้อนกลับมา
“ให้นวลเตรียมข้าวต้มไว้แล้ว เดี๋ยวทานเสียหน่อย จะได้ทานยา ยังมีไข้อยู่ไหมครับ” มือบางสัมผัสที่หน้าผากอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวทานข้าวต้ม ทานยาเสร็จค่อยเช็ดตัวนะครับ ยังมีไข้ต่ำ ๆ ”
“ตามหมอฝรั่งมาช่วยตรวจดูอาการแล้ว ไข้หวัดใหญ่ ต้องรอดูอาการปอดบวมแทรกซ้อนด้วย”
“ทำให้อรุณต้องลำบาก” คนกำลังพูดชะงัก ห้องทั้งห้องเงียบจนได้ยินแม้เสียงหายใจ ก่อนที่อีกคนจะฝืนตอบ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” หากแต่สายตาที่ส่งกลับมาใหม่ไม่เหมือนเดิม จนเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“นวลหรือ เข้ามาสิ”
“ค่ะคุณ ข้าวต้มกับยา”
“ส่งมาเดี๋ยวฉันจัดการเอง”
“ไม่เป็นไรหรอกอรุณ ไปพักเถอะ ให้นวลดูแลต่อก็ได้” สายตาคมกริบ ยากจะคาดเดาหันมาสบเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะแย่งชามข้าวต้มมาจากนวลที่ทำหน้าลำบากใจ
“นวลออกไปก่อน ฉันดูแลเอง มีอะไรแล้วจะเรียก” แล้วข้าวต้มก็เดินทางมาถึงเตียงพร้อมคนที่ให้ความสนใจเพียงทำให้ข้าวต้มตรงหน้าเย็นลง ก่อนที่วางชามไว้โต๊ะข้างเตียง และเข้ามาช่วยประคองให้ลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง
“ทานก่อนเถอะครับ จะได้ทานยา” แล้วช้อนก็ถูกยื่นมารอที่ปาก หากรับประทานได้เพียง สองสามคำก็ฝืนกลืนต่อไม่ไหว จึงส่ายหน้าปฏิเสธ
“มันขมคอ”
“อีกสามคำนะครับ รองท้องไว้หน่อย ยาจะได้ไม่กัดกระเพาะ”
โดนล่อหลอกอย่างนี้ มาเรื่อย ๆ จนรู้ตัวอีกที ข้าวต้มก็น่าจะใกล้หมดชาม จึงทิ้งตัวลงนอน คนป้อนแม้จะยอมละความพยายาม แต่ก็ขู่ต่อ
“อย่าเพิ่งนอนนะครับ ฝืนสักนิด นอนทับตะวันจะฝันไม่ดี”
“ทานยา เช็ดตัวสักหน่อยจะได้นอนยาวทีเดียว” ก่อนที่จะถูกดึงขึ้นจากที่นอนอีกครั้ง เพื่อทานยาอีกรอบ
“เอนหลังไว้อย่างนี้ก่อนครับ จะไปเตรียมน้ำกับผ้าเช็ดตัว” แล้วคนพูดก็ยกถาดอาหาร และยาออกไป พร้อมกลับมาพร้อมอ่างน้ำใบเล็ก
“ไม่ต้องหรอกอรุณ ตามนายกรอบมาก็ได้”
“นายกรอบไม่อยู่ครับ ใช้ให้ไปซื้อของ”
“ตามจ้อยก็ได้”
“จ้อยเป็นเด็กติดไข้มาจะทำอย่างไร”
“พี่ไม่อยากรบกวน” ไม่อยากต้องฝืนใจใคร และกลัวหัวใจตัวเอง กลัวความใกล้ชิดยิ่งนักสำหรับคนที่กำลังจะหักห้ามใจ
หากแต่สายตาเช่นเดิมที่ถูกส่งมาทำให้ยอมจำนน บุคลิกนี้ห่างหายไปนาน เห็นครั้งสุดท้ายตั้งแต่งานของท่านพ่อและแม่จ๋า
ไม่ใช่คนเอาแต่ใจ หากเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก เมื่อตั้งใจจริง
ความร้อนระอุของร่างกายถูกผ้าเช็ดตัวชุบน้ำเย็นดูดซับไป อาจเพราะสบายตัวขึ้นมาก และอาจจะด้วยฤทธิ์ยา จึงทำให้หลับไปอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
นับเป็นคืนที่สามที่แทบไม่ได้ลุกจากเตียงไปไหน เพราะกลัวคนดูแลดุ ทั้ง ๆ ที่อาการดีขึ้นมากแล้วก็ตาม แม้ในขณะนี้เจ้าตัวไม่อยู่ ก็ยังส่งลูกสมุนมาคอยเฝ้า
“ตื่นแล้วหรือครับ” เมื่อมองหาคนที่เคยอยู่เฝ้าประจำที่เกือบไม่เคยย่างกรายออกไปจากห้อง
“คุณ ต้องทำงานแทนคุณชาย ออกไปที่ห้องทำงาน เดี๋ยวก็มา”
“แล้วเราทำอะไรอยู่” เจ้าจ้อยก้มตัวขยุกขยิกอยู่ข้างเตียงจนต้องชะโงกตามลงไปดู
“ทำการบ้านน่ะสิ คุณให้มานั่งทำที่นี่ เฝ้าคุณชายแทน” เหมือนจะเป็นการบ้านศิลปะอะไรสักอย่าง ที่ดูอย่างไรก็ดูไม่ออก
“อยากได้อะไรไหมครับ”
“หิว”
“อ่อ ลืมเลย เดี๋ยวมานะ” เจ้าเด็กน้อยก็วิ่งออกไปไม่เห็นฝุ่น จึงเอนตัวนอนลง เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง นอนจนปวดเมื่อยไปหมด อยากไปเดินเล่น ถ้าคนดูแลกลับมาจะยอมพาไปเดินเล่นไหมนะ
ขณะที่นอนคิดอะไรเพลิน ๆ ก็ได้ยินเสียงคนคุยกันเดินใกล้เข้ามา และเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูจึงหลับตาลง
“ยังหลับอยู่อีกหรือ”
“สงสัยเพราะฤทธิ์ยาครับ จึงทำให้นอนได้นาน แต่ถ้าตื่นขึ้นมาทีไรก็ไม่ยอมจะอยู่เฉย ๆ สักที”
“แล้วงานที่ห้างเป็นอย่างไรบ้าง”
“โชคดีช่วงนี้ไม่มีอะไร คุณก๋งมาเยี่ยมเมื่อวาน เห็นท่านว่าจะเข้าไปดู ๆ ให้ครับ ส่วนเอกสารก็ให้นายกรอบไปรับมาที่วัง ผมยังตรวจทาน และลงนามแทนได้”
“คุณก๋งฉลาด เอาไปสอนให้รู้เท่ากันทั้งสองคน หรือจะพูดให้ถูกก็ฉลาดกันทั้งบ้าน ทั้งท่านพี่และพี่ไหม เลี้ยงมาคู่กันแท้ ๆ เลยนะ”
“คงไม่ถึงขั้นนั้นหรอกครับ ผมเพียงทำแทนได้บ้าง”
“เคยรู้เรื่องซินแส ที่เคยดูดวงพวกเธอสองคนตอนเด็กบ้างหรือเปล่า”
“อะไรหรือครับ”
“อยากรู้จริง ๆ ต้องไปถามคุณก๋ง ฉันเองแค่เคยได้ยินเรื่องผ่าน ๆ” ท่านอาตอบเหมือนต้องการรีบตัดบท สิ่งที่ไม่ควรเอ่ยถึง
“วันนี้คงไม่กวนแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะแวะมาใหม่”
“ครับ”
“อรุณ อย่าลืมสัญญาที่ไว้ให้กับอา” ‘สัญญา’ อะไร
“ถ้าชายเกิ้งอาการดีขึ้น ก็รีบจัดการเสีย” หรือตัดสินใจแล้ว
“ครับ”
“งั้นอาไปก่อน”
“ครับ”
เมื่อเสียงประตูกำลังจะปิดลงอีกครั้ง ก็ได้ยินเสียงฝีหนักก็ดังขึ้น
“อาหารมาแล้วคร้าบ”
“รีบวิ่งทำทำไม เดี๋ยวก็หกเลอะหมดหรอก”
“ชั้นนี้แล้ว”
“ชั้นไหน”
“แหม ก็ชั้นสอง อารมณ์ดีแล้วสินะ” เสียงโต้ตอบราวอายุใกล้เคียงกัน
“รีบยกมาทำไม”
“ก็คุณชายเกิ้ง บอกว่าหิว” เมื่อเรื่องแตก จึงรีบลุกขึ้นนั่ง
“เอ๊ะ ยังไม่ตื่นนี่”
“อ้าว ก็ตื่นแล้วนี่ไง คุณชายมาแล้วครับ” คนหันกลับมาทำหน้าฉงน
“ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
“เอ่อ สักพักแล้ว แต่นอนเอนหลังเพลิน ๆ อยู่” จึงได้แต่ยิ้มเนียนให้แววตาดุ
“ท่านชายมาเยี่ยม”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้เธอก็มาใหม่” เสียงถอนหายใจชัด คนฉลาดรู้ทันไปเสียหมด
“ไม่ทานด้วยกันหรือ”
“กินแล้วครับ” คนตอบใจดี ช่วยประคองมาที่โต๊ะ และรินน้ำให้
“เขาไปกินกับท่านชายมาแล้ว เหลือแค่เรา” เรานี่คงรวมฉันด้วยสินะ
“งั้นก็ไปกินได้แล้ว ‘เรา’ น่ะ ทางนี้ฉันดูต่อเอง” แม้ผู้ปกครองยังระอา จึงอดขำไม่ได้ ก่อนที่จะโดนหางเลขไปด้วย
“ก็พอกันทั้งคู่นั่นล่ะ” จึงได้แต่ก้มหน้ากินข้าวอย่างจริงจัง เมื่อคนที่นั่งกำกับการรับประทานอาหารข้าง ๆ อารมณ์ดีขึ้น เริ่มแย่งส้อมมาจิ้มขนมหวาน จึงกล้าเอ่ย
“อยากเดินเล่น”
“มืดแล้วน้ำค้างลงจัด” คนข้าง ๆ จึงมองออกไปทางนอกหน้าต่าง อย่างชั่งใจ
“เบื่ออยู่ในห้องจะแย่” จึงได้แต่ร้องขอ
“สบายดีแล้วหรือครับ”
“หายแล้ว ไปวิ่งแข่งกันยังไหว”
“ดี จะได้กลับห้องเสียที” สายตาที่มองมามีแววสับสน
“อรุณ” เมื่อหายดี อีกคนก็ตัวออกห่างทันที ไม่น่าเลย
“คืนนี้คงไม่ต้องเช็ดตัวแล้ว ถ้าหายดีแล้วก็ควรจะอาบน้ำเองได้แล้วครับ เดี๋ยวจะให้เด็กขึ้นมาช่วย”
“แล้วถ้า อยากเปลี่ยนบรรยากาศ” คนพูดจบ ก็ลุกขึ้นหันหลังเดินไปทางประตูเชื่อมภายในห้อง และหยุดก่อนปิดประตูห้อง
“จะไปนอนอ่านหนังสือที่ห้องก็ได้” แล้วประตูก็ปิดลง
หมายความว่าอย่างไร....
ร่างโปร่งยังคงยืนอยู่ ณ ระเบียงที่ยื่นออกไปทางสวนฝรั่งที่เดิม เหมือนกันกับวันนั้น ที่ล่วงเลยมาเกือบครบรอบหนึ่งปีเต็ม
“อรุณ” เมื่อเดินออกมาสมทบ กลับถูกลากกลับเข้ามาในห้อง
“เข้ามานั่งเล่นข้างในก่อนครับ ข้างนอกยังมีละอองฝน ออกมาไม่ได้” หน้าฝน และหยาดฝนยังคงตกประปรายเย็นชุ่มฉ่ำไปทั้งสวน
“เอนหลังตรงนี้” และถูกบังคับให้นอนลงอีกครั้ง ที่ตั่งริมระเบียง
“ไม่อยากนอนเลย” แม้ยอมทำตาม หากเปลี่ยนเป็นฝ่ายรั้งมือเล็กไว้ไม่ให้ผละหนี
“จะนั่งเป็นเพื่อนครับ” คนปลอบจึงทรุดตัวนั่งที่พื้นที่ปูพรมข้าง ๆ เมื่อความเงียบมาเยือนอีกครั้ง น้องน้อยจึงเริ่มกระสับกระส่าย
“ที่ห้องไม่มีหนังสือแล้ว เจ้าจ้อยช่วยหอบไปเก็บที่ห้องหนังสือให้”
“พี่ชายอยากอ่านหนังสือเรื่องอะไรครับ ผมจะไปหยิบมาให้”
“เราคุยกันดี ๆ สักทีได้ไหม อรุณ”
“พี่ชาย”
“อย่าหนีปัญหา หลบกันไปหลบกันมา อย่างนี้เลย”
“รังแต่จะทรมาน และเหนื่อยหนักกันทั้งคู่ จริงไหม”
“..............................................................” คนนั่งเงียบยังคมก้มหน้าไม่ยอมสบตา หากพยักหน้าว่าพร้อมจะรับฟัง
“พี่ขอโทษอรุณ ให้อภัยพี่ได้ไหม เราน่าจะได้คุยกันดี ๆ ก่อน”
“พี่เหมือนเป็นคนใจร้าย ที่เอาแต่จะบีบบังคับผลักไสไล่ส่งน้อง”
“ทั้งหมดพี่ยอมรับผิดทุกอย่าง”
“พี่ผิด ที่ใช้เพียงบทบาทหน้าที่ความเป็นพี่ในการตัดสิน ตามเหตุและผล”
“พี่เพียงอยากให้น้องมีความสุขกับทุกอย่างที่น้องเลือก และทุกสิ่งที่น้องรัก”
“พี่ผิดที่ประมวลความทุกอย่างเพียงฝ่ายเดียว โดยไม่ได้สอบถามความเห็นของน้อง”
“และไม่ได้ฟังเสียงของหัวใจตัวเอง” ลำคอแห้งผาก บางสิ่งอยากเหลือเกินจะเอื้อนเอ่ย เมื่อทุกอย่างมันสายไปเสียแล้ว
“ทั้งที่ครั้งหนึ่ง พี่เชื่อว่าพี่น่าจะมีโอกาสดีกว่าทุก ๆคน”
“แต่คง...สายไปแล้ว”
“พี่รู้ดีว่าพลาดไปแล้ว ทำพลาดไปแล้ว และคงไม่มีวันย้อนคืนมาได้อีก”
ด้วยความอัดอั้นภายในหัวใจ เสียงที่กล่าวออกไปจึงแตกพร่า จนใบหน้าหวานเงยขึ้นมามองจึงถือโอกาสช้อนคางเล็ก มิให้หลบสายตาได้อีก
“อรุณ พี่เพียงอยากให้รู้ว่า ไม่ว่าน้องตัดสินใจเลือกสิ่งไหน”
“...............................................................”
“พี่ก็พร้อมจะยอมรับทุกสิ่ง”
“หากแต่” ลมหายใจสะดุด ด้วยเพราะข้างในดวงหทัยปวดร้าว
“ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ พี่เพียงอยากจะถามเพียงว่า” กลับกลายเป็นตัวเองที่เสมองหลบเลี่ยง มิกล้าสบแววตาโศกคู่เดิม
“ถ้าพี่จะขอ เป็นทางเลือก อีกทางได้ไหม”
“พี่ขอเป็น ‘ทางเลือกที่สาม’ หากอรุณยังคงต้องการ” เมื่อหันมองกลับมาก็พบว่าน้องน้อยน้ำตาเอ่อล้นไหลริน เพราะเหตุใด
“อรุณ” จึงทรุดตัวลงจากตั่งมาโอบกอดปลอบโยน มดตัวเล็กไว้
“อย่าร้องเลยน้องพี่ พี่ขอโทษ”
“พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้อรุณอึดอัดใจ”
“พี่ไม่ได้ต้องการให้อรุณยกโทษให้”
“พี่ยอมทุกสิ่งไม่ว่าอรุณจะเลือกสิ่งใด”
“ขอเพียง อรุณมีความสุข พี่ก็พร้อมจะอยู่เคียงข้างเสมอ”
“อย่าร้องนะคะ คนดีของพี่ พี่ยอมทุกอย่าง”
“อรุณ จะโกรธ จะเกลียด พี่ต่อไปก็ได้ ไม่ต้องให้อภัยพี่ก็ได้นะคะ”
“นิ่งซะนะคะ คนดีของพี่” จึงได้แต่เช็ดน้ำตาให้น้องน้อย ซึ่งครั้งนี้คงเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกันเพียงนี้
คงจะเป็น ‘สัญญา’ ที่ได้ให้ไว้กับท่านอา ท่านชายศศธร ท่านเป็นผู้เหมาะสมที่สุดจริง ๆ แม้แต่ใจยังยอมรับ ต่อแต่นี้ต่อไปคงต้องปล่อยมือนี้แล้ว คงทำได้แค่ประคับประคองชื่นชมอยู่ห่าง ๆ
สายไปแล้ว จะไม่วิงวอน ร้องขอ สิ่งใดแล้ว
#JKLTHESERIES
https://www.youtube.com/watch?v=gso4A7jXEpQ