JKL THE SERIES: LOVE 27.03.2018 (END)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: JKL THE SERIES: LOVE 27.03.2018 (END)  (อ่าน 20105 ครั้ง)

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: JKL THE SERIES: KEEP: DELETE 31.01.2018
«ตอบ #60 เมื่อ31-01-2018 17:06:07 »

รอค่ะ

ออฟไลน์ april

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +239/-12
Re: JKL THE SERIES: KEEP: DELETE 31.01.2018
«ตอบ #61 เมื่อ31-01-2018 20:24:41 »

มารอทุกวันค่ะ

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: KEEP: MISUNDERSTANDING 01.02.2018
«ตอบ #62 เมื่อ01-02-2018 11:44:17 »

Chapter III

Misunderstanding



 

ผมทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบิน ท้องฟ้าวันนี้ทัศนวิสัยปลอดโปร่ง มีเมฆเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ประปราย กัปตันประกาศลดเพดานการบินพร้อมจะนำเครื่องลงจอด ที่ท่าอากาศยานลำปาง ทำให้เริ่มเห็นพื้นแผ่นดินที่ผมคิดถึงอีกครั้ง

ผมยังคงกลัวความสูง แต่เพราะภาระงานบังคับให้พอจะทำใจเดินทางโดยเครื่องบินได้ ถ้าวันไหนอากาศดีก็มีแค่ช่วงขึ้นกับลงนี่แหละที่ทำให้รู้สึกเสียวเล็ก ๆ ในที่สุดคุณกัปตันที่พูดรัวและเร็วมาก ก็อนุญาตให้เราปลดเข็มขัดนิรภัย หลังจากที่เครื่องจอดสนิทเทียบกับงวงช้าง ที่ยื่นออกมารับผู้โดยสารเข้าไปในตัวสนามบิน

“เฟรม เฟรม” เจ้าเด็กร้ายยังไม่ยอมตื่น ทั้งที่ทุกคนกำลังเตรียมตัวลงจากเครื่อง ไหนว่าตื่นเต้นขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรก พอเครื่องขึ้นก็หลับ ยังไงของมัน

“เฟรม ไอ้เฟรม” ผมเริ่มเขย่าตัวเด็กนี่เบา ๆ ถ้าไม่ตื่นจะลองถีบดู

เจ้าเฟรมงัวเงียตื่น และเดินตามผมลงมาโดยที่ไม่ลืมเอาเมียที่เก็บไว้ที่ช่องเก็บของเหนือศีรษะมาด้วย คงต้องยกกีต้าร์ตัวนี้ให้มันสักวัน ผมคิด

ขณะที่เข็นรถกระเป๋าสัมภาระออกมาจากเกท ผมก็ให้เจ้าเฟรมโทรตามคนที่ไซด์งานที่นัดกันไว้ว่าจะมารับเรา หากปลายสายยังไม่ทันที่จะรับ

“อะนั่นพี่เขน พี่เขน พี่เขน” มันตะโกนแล้ววิ่งนำหน้ารถเข็นไป มาทำไม

“หวัดดีรุ่ง” ร่างสูงทัก ขณะที่ผมเข็นรถตามเข้าไปสมทบ ผมพยักหน้าตอบ

“พอดีรถที่ไซด์งานก่อสร้างพาลูกค้าไปดูงานข้างนอก เขนเลยอาสามารับ” พระเอกจริง ๆ ผมคิดในใจ

“เฟรมเอากีต้าร์มาด้วยเหรอ ดีไว้เล่นให้พี่ฟังบ้าง”

“ของพี่รุ่ง” เฟรมรีบตอบ ก็กอดไว้ซะขนาดนั้น ใครจะคิดว่าของผม

“รุ่งเล่นกีต้าร์ได้ด้วยเหรอ นึกว่าเล่นแต่กลอง” มันไม่ใช่ประโยคคำถามใช่ไหม ผมจึงเพียงยิ้มตอบกลับไป

“มาเขนช่วยเข็นรถ” เขนจึงรับหน้าที่เข็นรถเข็นไปที่รถแทน ขณะที่เด็กร้ายคุยจ้อไปตลอดทาง

โรงแรมที่ผมกับเฟรมพักใกล้กับไซด์งานก่อสร้าง กว่าจะได้พักที่นี่ต้องปฏิเสธเสียงอ้อนวอนของเด็กร้ายกับเขนที่จะให้ไปพักที่บ้านเช่าของเขนอยู่นาน ก็จองแล้วจะยกเลิกไม่ได้ ผมยังคงยืนยันในหลักการ และเหตุผล

 





เมื่อมาถึงไซด์งานโปรเจคก็เริ่มดำเนินตามแผนที่วางไว้ ผู้รับเหมาที่เลือกไว้เข้าไซด์งานกับผมทันที แล้วสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นก่อนที่งานตกแต่งจะเริ่ม

‘ให้มันได้อย่างนี้สิวะ’

ผมร้องในใจ ผมให้ผู้รับเหมากลับไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาดูแผนงานที่น่าจะต้องปรับเปลี่ยนอีกที ต้องคุยกันภายในก่อนเรื่องแบบนี้ไม่ใช่ไม่เคยเกิดแต่อย่าให้เกิดจะดีที่สุด

“เฟรมนัดประชุมกับฝ่ายก่อสร้าง โครงสร้างจริงมันไม่เหมือนแบบที่ให้เรามา” ผมเริ่มเครียดตั้งแต่วันแรก

“นัดใครพี่เขนเหรอพี่” เฟรมยังคงเบลอ ๆ เพราะมาถึงวันแรกเราก็ทำงานกันเลย งานโปรเจคก็อย่างงี้เตรียมใจไว้

“อืม ทั้งทีมนั่นแหละ พี่รอที่ห้องประชุม ถ้าทีมเขาพร้อมเมื่อไหร่ให้เข้ามาได้เลย” ผมเดินถือแบบก่อสร้างไป ขณะพี่เฟรมยังดูงง

“รุ่งมีอะไรเหรอครับ” คนตัวโตเข้ามาเป็นคนแรก ตามมาด้วยเฟรม และทีมฝ่ายก่อสร้างอีกสามคน

“ผมดูโครงสร้างจริงกับผู้รับเหมาเมื่อสักครู่ ไม่เหมือนแบบที่ทางคุณให้ผมมาออกแบบ” ผมเลื่อนแบบที่มีปัญหาให้เขาดู

“ในแบบไม่ได้มีเสาตั้งอยู่ตรงโซนนี้ ตอนออกแบบก็คิดมาให้โล่งกว่านี้ เพื่อเปิดรับวิวภูเขาด้านหลัง” ผมเริ่มอธิบายคอนเซปต์หลักของโปรเจค

“ผมก็เสนอกลับไปแล้วไงครับ ว่าที่ปรึกษาแนะนำว่าถ้าทำแบบนั้นมันจะรับน้ำหนักไม่ได้” เขาตอบ

“แต่ทำไมแบบที่ผมได้มายังเป็นแบบเดิม ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยน” ผมไม่ยอม

แล้วประเด็นนี้ก็ถูกถกเถียง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตามเหตุผลของต่างฝ่ายที่มี อย่างที่ผมเคยบอกพี่บลูไว้ว่าผมต้องสั่งซื้อคลังแสงอาวุธมาสะสม เพื่อมารบเต็มขั้น

คนที่ต้องคุมคอนเซปต์ภาพรวม กับคนที่ต้องลงรายละเอียดมักมองต่างมุมกันเสมอ คราวนี้ไม่มีกรรมการห้ามทัพเวลาที่ใช้จึงยืดยาว พร้อมทั้งยังหาข้อสรุปไม่ได้ เขนเถียงจนหน้าขาว แดงขึ้น แดงขึ้นด้วยอารมณ์ โมโห แล้วประโยคสุดท้ายก็ตะโกนออกมา

“เออ จะทำอะไรก็ทำ จะคอยดู” แล้วก็เดินหนีออกไป กระแทกประตูดังโครม โชคดีที่เป็นออฟฟิศชั่วคราวจึงเป็นแค่ประตูไม้อัด ไม่ใช่กระจกที่ต้องกลัวแตกร้าวเสียหาย แต่นั่นก็ทำให้คนทั้งไซด์รู้ว่าผมกับ ‘เขา’ มีเรื่องกันตั้งแต่วันแรก

“เฮ้อ...”ผมถอนหายใจขณะที่ทีมฝั่งเขาออกไปหมด เฟรมทำหน้าเหวอ แบบคนไม่เคยเห็นสนามรบ

“กลับเฟรม ไปทำต่อที่โรงแรม คงต้องปรับแผน รอเปลี่ยนโครงสร้างโซน AF” ผมเก็บของเดินออกจากห้อง คนในไซด์แอบมองผมกันใหญ่ เชื่อว่าเป็นเพราะไอ้หล่อนั่นตะโกน ผมคงดังชั่วข้ามคืนแน่ ๆ

 







ตลอดสามอาทิตย์ที่ผ่านมา มีประชุมติดตามงานวันเว้นวัน ผมลงสนามรบกับไอ้คุณชายทุกครั้ง ได้บาดแผลคนละแผลสองแผล ถ้าวันไหนที่เขาชนะ ด้วยการต้อนผมให้จำนนด้วยเหตุผล วันนั้นจะไม่เสียเลือดเสียเนื้อกันเท่าไหร่

ในทางกลับกัน

ถ้าวันไหนที่เขาให้เหตุผลผมไม่ได้ ผมก็ชนะ ซึ่งก็เกือบทั้งหมดของการรบ ซึ่งผมมีประสบการณ์ทำงานมามากกว่า ชื่อของผมจึงดังกระฉ่อน เพราะไอ้หล่อมันตะโกนฟาดงวงฟาดงาไปทั่ว โดนไปตาม ๆ กัน ตั้งแต่ผู้รับเหมายันแม่บ้าน

จนผมสังเกตว่าเวลานัดประชุมทีไร พนักงานที่ออฟฟิศชั่วคราวจะอยู่น้อยลง น้อยลงทุกที ส่วนตัวผมเองรู้สึกพอใจ เพราะงานส่วนใหญ่สามารถเดินไปได้ตามแผน จะได้บ้างเสียบ้างก็เป็นเรื่องปกติในการรบ หลักสำคัญคือ ควบคุมจุดยุทธศาสตร์ให้ดี อย่าให้เพลี่ยงพล้ำ ก็เท่านั้น

ผมคงติดเกมส์มากไป ความเป็นจริงเราก็ไม่ได้อยู่สนามรบหรอก ก็ห้องทำงานดี ๆ นี่เอง แต่บรรยากาศมันให้ ยิ่งตอนต้องปะทะกับรถถังอย่างไอ้หล่อ

ใจจริง ผมก็ยอมรับว่าก็มีบางเรื่องที่ผมคาดผิดเหมือนกันในรายละเอียดเล็กน้อยที่เขามักจะมองเห็นมันเสมอ มันก็เป็นข้อดีของการทำงานกับคนที่ ‘มองต่างมุม’ มัน ‘เติมเต็ม’ ส่วนที่ขาดซึ่งกันและกัน แล้วงานภาพรวมจะออกมาดี

ส่วนเจ้าเฟรมเริ่มชินชากับบรรยากาศการทำงานมากขึ้น เพราะสามอาทิตย์ที่ผ่านมา นอกจากโรงแรมกับไซด์งานเรายังไม่เคยออกไปไหนเลย ทุ่มกับงานตลอดเจ็ด วัน ยี่สิบสี่ชั่วโมงจริง ๆ ซึ่งมันเป็นช่วงรอยต่อของแผนของทั้งสองฝ่าย ถ้าผ่านตรงนี้ไปได้ ก็เหลือแค่ควบคุมผู้รับเหมาให้ดำเนินการตามแผน แล้วคอยเคลียร์ปัญหาที่คาดไม่ถึงเท่านั้นเอง

 







เป็นไปตามคาด

คนทั้งไซด์หายไปจนเกือบร้าง วันนี้เป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของเฟสแรก ก่อนที่ผู้รับเหมาจะเตรียมเข้าพื้นที่เพื่อเร่งทำงานอย่างเต็มที่ ผมให้เฟรมไปดูหน้างานกับผู้รับเหมา เลยต้องมาคนเดียว

ไม่น่ากลัวหรอก หมอนั่นแค่โกรธแต่ก็ไม่ถึงจะฆ่าผมให้ตาย ผมว่าช่วงท้าย ๆ เขาก็อ่อนลงมาก คงเริ่มชินกับลักษณะงานมากขึ้นเหมือนเฟรม เริ่มรับฟัง และเปิดใจได้มากขึ้น แต่เรื่องควบคุมอารมณ์ผิดหวัง เมื่องานไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ ยังตกอยู่ อาจจะเพราะเขาแสดงอารมณ์เก่ง เลยโกรธง่าย

ผมค่อย ๆ ผลักประตูห้องประชุมมันใกล้พังมิพังแหล่ มากกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เป็นเพราะเขานั่นล่ะ คงต้องให้คนทำพังมาซ่อมคืน ผมคิดเพลินจนลืมมองว่าคนที่แอบนินทาในใจมานั่งรอ อยู่ก่อนแล้ว

“หวัดดีรุ่ง เฟรมไม่มาเหรอ”

“อืม ออกไปดูผู้รับเหมา ต้องรอทีมคุณก่อนไหม” ผมถามกลับ

“ไม่ต้องหรอก เริ่มคุยได้เลย พวกมันพร้อมใจกันป่วยหมด สงสัยกลัวผมจะฆ่าพวกมัน” ผมสำลักน้ำลาย ฝืนยิ้มออกไป ก็รู้ตัวนี่นะ

เราใช้เวลาไม่นานสรุปแผนทั้งหมดในเฟสนี้ และเริ่มวางตารางเวลาคร่าว ๆสำหรับเฟสต่อไป

“เขนดีใจนะ ที่งานออกมาใช้ได้” เขาบอกหลังจากที่เลิกประชุม

“ไม่หรอก” ผมพูดหน้านิ่ง เขาดูเอ๋อ เอ๋อ เหมือนเสียความมั่นใจ

“ออกมาดีมาก ๆ เลยทีเดียว เผลอ ๆ จะดีที่สุดตั้งแต่ผมทำโปรเจคมาเลย” รอยยิ้มของคุณชายเริ่มกลับมา อย่างที่ไม่เห็นมาสักพักใหญ่ ๆ ที่ผ่านมาเห็นแต่รถถังพุ่งชนตลอด

“ขอบคุณ คุณมากจริง ๆ” ผมยิ้มขอบคุณเขาจากใจ

“รุ่งผมขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม”

“อะไรเหรอครับ”

“เลิกเรียก เขนว่าคุณสักทีได้ไหม เขนเรียกรุ่ง ว่า 'รุ่ง' มาได้ชาติกว่าแล้วนะ” ผมลืมไปแล้ว งานทำให้ผมลบอะไรบางอย่าง ออกไปได้ช่วงระยะหนึ่ง

“ผมไม่ชิน” ผมตอบ ทั้งที่ความในใจกลับตรงกันข้ามกับคำตอบ

“ไม่เป็นไร นานไปก็ชิน วันนี้เลิกเร็วรุ่งไปกินข้าวกันไหม เขนมีร้านอาหารเหนืออร่อยแนะนำ รุ่งได้ออกไปไหนบ้างรึยัง”

“เอ่อ ยังเลยเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ได้ แต่ผมต้องรอเฟรมก่อน” ผมเตรียมกันชน

“แต่รุ่งต้องรอเฟรมก่อน ต้องพูดอย่างนี้สิ พูดตามจะได้ชินสักที” เขาบังคับให้ผมพูด

“รุ่งต้องรอเฟรมก่อน”

“ดีมาก งั้นไปตามเฟรมกัน” เขาลากผมออกไป ถ้ามีใครมาเห็นตอนนี้ ซึ่งความเป็นจริงคือไม่มี ก็คงจะงงกันเป็นไก่ตาแตกว่าไปสงบศึกกันตอนไหน

 





ทุกคน ‘เข้าใจผิด’ ว่าเราทะเลาะกัน โกรธกัน และน่าจะเกลียดกันน่าดู

ทั้งที่จริง ทำไมผมจะไม่รู้ ว่า...

‘เขา’ คนนี้โกรธง่ายหายเร็ว

‘เขา’ คนนี้แบ่งเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้

‘เขา’ คนนี้ไม่เคยโกรธผม แต่กลับโกรธตัวเอง ที่งานไม่เป็นดังคาด

 

ผมรู้ว่าผม ‘เข้าใจ’ เขามาตลอด และรู้ว่าเขาก็ ‘เข้าใจ’ ผมเหมือนกัน

แค่ผมแกล้งลืมเลือน…บางอย่างไปเท่านั้น

 

อาหารนอกโรงแรมมื้อแรกทำให้เฟรมตื่นเต้นไม่หยุด

“โห พี่เขนนี่อะไรอะ เหมือน หม่ำบ้านเราปะ?” เฟรมใช้ส้อมจิ้มอาหารที่หน้าตาคล้าย ไส้กรอกขึ้นมา

“เปล่า นี่เรียกว่าไส้อั่ว นี่ไงรุ่ง ไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม ลองดูไหม?” เขาไม่รอคำตอบ จัดแจงตักอาหารทุกอย่างที่พูดถึง ใส่จานข้าวผม

“อ้าว...รุ่ง” เขาหยิบทิชชู่มาเช็ดปากให้ผม

“ปากเลอะอะ กินดี ๆ นะ เคี้ยวเยอะ ๆ อย่ารีบ เดี๋ยวย่อยยาก” ผมรู้สึกอึ้ง

"........................................"

“นี่พี่เขน อยู่จนเป็นคนพื้นที่แล้วสิ กินอาหารเหนือเนียนเลย ได้กลับบ้านบ้างหรือเปล่าพี่?” เขาขมวดคิ้วคำนวณเวลา

“คราวก่อนที่กลับกรุงเทพฯ ก็ครั้งเข้าไปประชุมกับรุ่ง ก็ไม่ได้เข้าบ้านรีบไปรีบกลับงานมันเร่ง แต่คิดถึงรุ่งเลยขอกลับไปเห็นหน้าหน่อย” เขาหันมายักคิ้วให้ ผมกลืนน้ำลาย เล่นอะไรของเขา

“นี่ก็น่าจะสามเดือนกว่า เกือบสี่เดือนแล้ว” ยังเนียนพูดต่อ ผมก็จะเนียนไม่สนใจเหมือนกัน

“ป่านนี้แฟนพี่ไม่ลืมหน้าพี่ไปแล้วเหรอ ระวังงานรุ่ง แต่รักไม่รุ่งนะพี่” เฟรมแซว แอลกอฮอล์คงทำให้คึกคักขึ้น

“ใครบอกว่าพี่มีแฟน” เขาหันไปถามเฟรม

“อ้าวก็...” ผมเคยบอกเจ้าเฟรมว่า ‘ที่เขนดุขึ้น หงุดหงิดง่าย คงเพราะคิดถึงแฟนที่บ้าน’ ปลอบใจน้องมันที่เห็นว่าเขนเปลี่ยนไป

ผมรีบส่งสายตาดุไปทางเฟรม เขนมองตามสายตาที่เฟรมมองผมกลับมา งานเข้าสิครับ

“เอ่อ... ก็เห็นวันนั้น ก่อนมาลงพื้นที่ คุณยังคุยโทรศัพท์กับสาวหวาน ๆ อยู่” ผมตอบเสียงอ่อย ไม่น่าเล่าให้เจ้าเฟรมฟังเลย... เขนทำท่าครุ่นคิด

‘เฮ้ยไม่เครียดขนาดนั้น มีก็มี ไม่มีก็ไม่มีสิวะ’ ผมคิดในใจ

“จำได้แล้ว น้องจอย ญาติเขนที่มาเรียนกรุงเทพฯ อะ ไม่ใช่แฟนหรอก” อืมใช่ชื่อนั้น ทำไมผมจำได้ด้วยวะ

“อย่าว่าแต่แฟนเลย แค่จะเริ่มบอกเขาว่าพี่ชอบเขา พี่ยังไม่ได้บอกเลย”

 

มองใคร มองมาทำไม ดวงตาของเขาเศร้าจนผมอึดอัด

 

“ก็ยังดีพี่ ผมนี่ยังหาคนที่ชอบไม่ได้เลย นี่ยังมีแค่น้องกีต้าร์อยู่เลย” ใช้ได้เลยไอ้น้อง ผมกดไลค์เบา ๆ บรรยากาศที่อึดอัดค่อย ๆ คลี่คลายเมื่อหัวข้อสนทนาเปลี่ยนเป็นเรื่องดนตรี

สักพักคนที่กรำงานอย่างหนักมาเกือบทั้งเดือนก็ต้องรีบแยกย้ายกันไปพักผ่อน เขนมาส่งผมกับเฟรมที่โรงแรม ก็เด็กร้ายมันเมาไม่เป็นท่า ไอ้นี่เป็นพระเอกได้แป๊บเดียว สักพักก็เป็นผู้ร้าย หลังจากที่เขนแบกเฟรมไปนอนที่เตียง ผมก็เดินมาส่งเขาที่หน้าประตูห้อง

“ขอบคุณ คุณมาก ทั้งเรื่องเฟรม และเรื่องงานด้วย ขอบคุณจริง ๆ” ผมตั้งใจกล่าวลา

“รุ่งขอบคุณ เขนมาก ทั้งเรื่องเฟรม และเรื่องงานด้วย ขอบคุณจริง ๆ พูดให้ชิน” เขาบังคับอีกครั้ง

อ้าวยังไม่ลืมอีกเหรอ เห็นว่ามึน ๆ พอกันกับเฟรม มีผมคนเดียวที่ไม่ได้กินเบียร์นั่น

“รุ่งขอบคุณ เขนมาก ทั้งเรื่องเฟรม และเรื่องงานด้วย ขอบคุณจริง ๆ” ผมออกจะเก้อ ๆ เมื่อต้องพูดออกไป

“รุ่ง... เขนไม่มีใครจริง ๆ นะ อย่าเข้าใจผิด” สายตาจากเขาที่ส่งมาระยิบระยับมากกว่าปกติ

“เอ่อ...อืม” จะให้พูดยังไงเล่า ตัวช่วยก็สลบเหมือดไปแล้ว ผมเริ่มรู้สึกร้อน ๆผะผ่าวที่ใบหน้า

“รุ่งเชื่อเขนนะ” เขาชะโงกหน้าเข้ามาใกล้เพื่อคาดคั้นคำตอบ

“อืม เชื่อ ๆ คุณเมาแล้วกลับเถอะ” ผมพยายามตัดบท

“แค่นี้เขนไม่เมาหรอกรุ่ง ขอแค่รุ่งเชื่อเขน มีอะไรไม่แน่ใจก็ถามเขนนะ เขนไม่อยากให้รุ่งเข้าใจผิด” ตอนนี้นอกจากใบหน้าที่รู้สึกร้อน ผมยังได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรงอย่างชัดเจน

“ผมเชื่อคุณกลับเถอะ”

“รุ่งเชื่อเขน ต้องพูดอย่างนี้สิ” ยังบังคับไม่เลิก

“รุ่งเชื่อเขน ทีนี้กลับนะ พรุ่งนี้ยังมีงานอีก” คนที่บอกว่าตัวเองไม่เมายิ้มเอ๋อ

“อืม จะไปแล้ว เออ... รุ่งเสาร์อาทิตย์นี้ไม่ทำงานได้ไหม ไปงานวันเด็กกับเขนหน่อย” รถถังพ่นไฟจะไปงานวันเด็ก นี่นะไม่ได้เมา

“งานวันเด็กที่ไหน เขนไม่ใช่เด็กแล้วนะ” ผมตอบขำ ๆ เริ่มมั่นใจว่าเมาจริง

“ที่บริษัทครับ ไปจัดงานวันเด็กที่เชียงราย ไปเป็นเพื่อนเขนหน่อย รุ่งจะได้ไปเที่ยวด้วย” อ๋อยังพูดรู้เรื่อง

“ขอดูงานก่อนแล้วกัน” ขอแบ่งรับแบ่งสู้ก่อน ถ้าปฏิเสธไปคงไม่กลับแน่

“งั้นพรุ่งนี้เขนมารอฟังคำตอบนะ ราตรีสวัสดิ์ครับรุ่ง”

 

เขายกนิ้วสองนิ้วแตะที่ริมฝีปากตัวเอง และมาแตะลงบนริมฝีปากผมอย่างรวดเร็ว แล้วเดินออกไป สมองผมหยุดทำงาน แต่หัวใจกลับทำงานอย่างหนักหน่วงเต้นถี่รัวใกล้จะระเบิด

 

มันกลับมาอีกแล้วความรู้สึกนี้… ความรู้สึกที่ ‘เก็บ’ มานาน

 

ถูก ‘กู้’ กลับคืน

ด้วยปลายนิ้วเพียงสองนิ้ว






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: JKL THE SERIES: KEEP: MISUNDERSTANDING 01.02.2018
«ตอบ #63 เมื่อ01-02-2018 12:28:32 »

 :pig4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: JKL THE SERIES: KEEP: MISUNDERSTANDING 01.02.2018
«ตอบ #64 เมื่อ01-02-2018 14:57:19 »

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: KEEP: WISH 02.02.2018
«ตอบ #65 เมื่อ02-02-2018 11:53:03 »

Chapter IV

Wish



 

สายลมเย็นพัดกระหน่ำเต็นท์สีแดงเข้มที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำค้างที่พร่างพรม ทำให้ผมสะดุ้งตื่น ด้วยความหนาวเหน็บ เมื่อกวาดตาดูรอบ ๆ ตัว ก็เริ่มคุ้นเคยกับที่พักแรมเมื่อคืน

กว่าจะรอให้ 'รุ่ง' เลิกงานก็เกือบสามทุ่ม ทำให้ผมต้องเหยียบคันเร่งมาด้วยความเร็วมากกว่าหนึ่งร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อตามมางานวันเด็กที่เชียงรายให้ทันในเช้าวันนี้ กว่าจะมาถึงงานก็ปาไปเกือบตีสาม แล้วจึงแยกย้ายกันเข้าพักตามเต็นท์ที่ทางบริษัทจัดเตรียมไว้ให้ก่อนหน้า

ในขณะที่เฟรมยังหลับสนิทคุดคู้ขดเป็นกุ้งอยู่ข้าง ๆ ผม หากแต่ถุงนอนที่ถัดไปจากเฟรมกลับว่างเปล่า ผมจึงรีบออกมาจากเต็นท์เพื่อหาเจ้าของถุงนอน

“รุ่ง ทำไมตื่นเช้าจัง” ผมพบเขานั่งที่โต๊ะไม้ข้าง ๆ เต็นท์ที่พักไม่ไกล

“อรุณสวัสดิ์เขน” เขาหันหน้ามาทางผม พร้อมกับรอยยิ้มที่แต่งแต้มไปด้วยแสงแรก ของพระอาทิตย์

“เรามาดูพระอาทิตย์ขึ้นอะ เขนมาดูสิเพิ่งขึ้นเอง”

 

หวาน... หวานจนผมพูดไม่ออก

หวานจนหัวใจของผมเต้นจังหวะถี่รัว เกือบจะหยุดทำงานกะทันหัน

หวานจนทะเลหมอกและพระอาทิตย์สีกุหลาบด้านหลัง แทบจะกลายเป็นภาพขาวดำ จนกระทั่งเขาเบือนหน้าหันกลับไป หัวใจของผมจึงค่อย ๆ กลับมาทำงานปกติอีกครั้ง ผมจึงตัดสินใจก้าวเดินต่อ ไปยืนอยู่หลังโต๊ะไม้เงียบ ๆ เพราะไม่อยากรบกวนดอกทานตะวันที่กำลังเหม่อมองดวงอาทิตย์อย่างหลงรักสุดหัวใจ

“สวยมากเลยนะเขน” เจ้าดอกทานตะวันเฝ้ารำพัน

“อืม สวย หวานจริง ๆ” คนถามไม่ได้หันกลับมาเห็น คนตอบที่ไม่ได้หลงใหลใฝ่ฝันในสิ่งเดียวกัน เราทั้งสองคนต่างเงียบ เพื่อชื่นชมความงามที่ต่างกันออกไป...

เมื่อดอกทานตะวันอาบอิ่มแสงอาทิตย์จนเต็มที่ จึงหันกลับมามองผมบ้าง

“เขนก็ตื่นเช้านะ” ผมอยากตอบว่า ผมตื่นตั้งแต่เห็นแสงแรกจากพระอาทิตย์จากในตา 'รุ่ง' แล้ว อย่าเรียกว่าตื่น เรียกว่าถูกปั๊มหัวใจให้เต้นขึ้นอีกครั้งเลยก็ว่าได้

“เฟรมล่ะ” รุ่งเอียงหัวน้อย ๆ มองที่เต็นท์

“รายนั้นน่าจะอีกนาน ยังหลับสนิทอยู่เลย รุ่งหิวหรือยัง ไปเดินดูทางโน้นไหม เผื่อมีอะไรกิน” ผมชวน พร้อมรีบพารุ่งเดินออกมาจากโซนที่พัก ก่อนที่กันชนของรุ่งจะตื่นมาปฏิบัติหน้าที่ ผมคงต้องหาอะไรให้เจ้าเฟรมทำ เพื่อจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองให้นานที่สุด







แผนของผมสำเร็จด้วยการดึงให้เฟรมไปเล่นกีต้าร์ และร้องเพลงกับเด็ก ๆ แล้วลากรุ่งมาช่วยอีกทีมที่กำลังจัดซุ้มของขวัญให้เด็ก คนที่ถูกลากมาเริ่มเข้าโหมดเคร่งขรึมโหมดประจำของเขา เมื่อต้องมาจัดการกับของขวัญกองโตเกือบสามพันชิ้น สมองในหัวสวย ๆ คงเริ่มคิดหนักกับการจัดการของขวัญ

มีสักเรื่องไหม...ที่จะไม่ซีเรียส ผมหละขำ

เขาเป็นคนตั้งใจกับงานทุกอย่าง จนทำให้สีหน้าที่แสดงออกมาติดจะเครียด และกังวลอยู่ตลอด ทั้ง ๆ ที่ถ้าเขายิ้มเพียงสักนิด พระอาทิตย์ก็พระอาทิตย์เถอะ แทบจะดับสูญไปเหมือนช่วงเวลาเมื่อตอนเช้า

เรามาทำกิจกรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีกับชุมชนที่ศูนย์การค้าไปตั้งอยู่ คล้าย ๆ กับค่ายอาสาที่ทำตอนอยู่มหาวิทยาลัย จะแตกต่างกันก็ตรงที่มีบริษัทสนับสนุนอย่างเป็นทางการ แล้วให้พนักงานอาสามาช่วยกันทำความดีตอบแทนสังคม

ช่วงสาย ๆ ใกล้เวลาเก้าโมงเช้า เราเพิ่งจะแกะของขวัญออกมาจากกล่องใหญ่ และถุงซึ่งแพ็คของขวัญของเด็ก ๆ แบบที่รวม ๆ กันมา และต้องทำการแจกจ่ายของพวกนี้ช่วงบ่าย หลังจากที่เด็ก ๆ ได้เล่นเกมส์ ฟังดนตรี และกินอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว ทีมเราจึงเหลือเวลาเพียงสามชั่วโมง ที่จะเรียงของขวัญกว่าสามพันชิ้น ซึ่งไม่ใช่แค่เรียงแยกประเภท เพื่อทำการจับสลากของขวัญ เหมือนที่หลาย ๆ งานทำกันโดยทั่วไปอย่างที่ผมเข้าใจ

“มันเป็น Wish List อะ เขน” รุ่งกำลังอธิบายให้ผมฟังอีกครั้ง หลังจากที่ได้ประชุมกับทีม อย่าถามผมว่าทำไมต้องอธิบายให้ฟังอีกครั้ง ก็เมื่อกี๊ผมเฝ้ามองแต่ใบหน้าหวานนั่น จนแทบไม่ได้ยินอะไรเลย

“แบบว่า พี่เขามาเก็บข้อมูลแล้วว่าในวันเด็กเนี่ย น้องแต่ละคนต้องการของขวัญอะไร แล้วก็ไปหาซื้อมาให้ตรงกับของที่น้องอยากได้” รุ่งพยายามอธิบาย อย่างใจเย็น

“แล้วพอตอนจะแจกก็ต้องแจกของขวัญให้ตรงกับเด็ก ๆ แต่ละคน เราก็ต้องเรียงของขวัญตามหมายเลขประจำตัวน้อง ตอนน้องมารับจะได้รับของขวัญที่ขอไว้”

“หมายความว่าเราต้องจับคู่เด็กกับของสามพันชิ้นเหรอ” ผมย้ำความเข้าใจ ก็ว่าถึงดูเคร่งเครียดกันนัก รุ่งพยักหน้าในขณะที่ใบหน้ามีร่องรอยความกังวลฉายชัด

“โอเค เข้าใจละ รุ่งให้เขนทำอะไรบอกมาเลย” รุ่งดูตกใจ

“อ้าวไม่ช่วยกันคิดก่อนเหรอ” คิ้วเริ่มชนกันถาวร

“ไม่คิดอะ เขนมาใช้แรงงาน” ให้รุ่งสั่งดีกว่า ผมจะได้เนียนอยู่ด้วย โดยแกล้งทำว่าไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร แล้วเราก็แบ่งทีมเป็นทีมละสองคนเพื่อจัดเรียงของขวัญตามเลขประจำตัวนักเรียน แยกตามห้อง แยกตามระดับชั้น โดยคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างผมก็ต้องจับคู่กับคนที่ทำหน้าที่วางแผนและแบ่งงาน ทีมของเราได้เด็กชั้นประถมปีที่สาม ซึ่งรุ่งเริ่มลงมือเรียงของขวัญเงียบ ๆ ส่วนผม เมื่อมีตัวอย่างที่ดี ก็แค่ทำตาม

“รุ่ง ทำไมตอนเด็ก ๆ ไม่มีใครมาถามเขนอย่างนี้บ้างนะ ว่าอยากได้อะไร” ผมมองรถบังคับบิ๊กฟุตสีแดงที่ถือในมือ

“เขนโตแล้ว อิจฉาเด็กรึไง” รุ่งเลิกคิ้วแล้วอมยิ้ม

“แค่เขนคิดว่าวิธีนี้ก็ดีนะ ดีกว่าจับสลากหรือเซอร์ไพรส์ มันไม่ได้ของที่อยากได้จริง ๆ”

“ก็จริงนะ มันเป็นวิธีที่ตอบความต้องการ ความปรารถนา ทำความฝันให้เป็นจริง” รุ่งเริ่มคล้อยตาม และเหม่อมองหุ่นยนต์เบ็นเท็นในมือ

“วันเด็กปีหน้า เขนจะเขียน Wish List บ้างอะ” ผมพูดจริงจัง

“แล้วจะส่ง Wish List ของเขนให้รุ่ง รุ่งต้องหาของขวัญให้เขนนะ”

“อืม อะไรนะ” รุ่งเพิ่งออกจากภวังค์

“รุ่งรับปากแล้ว เขนคิดก่อนว่าอยากได้อะไร” ผมรีบฉวยโอกาสไว้ ก่อนที่จะรีบเปลี่ยนประเด็น

“ถ้าเป็นรุ่ง รุ่งอยากได้อะไร ถ้าต้องเขียน Wish List” ผมถามเพราะอยากรู้จริง ๆ คิ้วของรุ่งจึงกลับมาผูกโบกันอีกครั้ง

หนึ่งนาที...ผ่านไป สองนาที...ผ่านไป สามนาที...ผ่านไป

“อยากนั่งรถไฟ” รุ่งตอบ

“ทำไมอะ รุ่งไม่เคยนั่งเหรอ” ผมสงสัย

“ไม่ชอบเครื่องบิน อยากนั่งรถไฟดูวิวที่เลื่อนผ่านไปช้า ๆ” ผมยังงง ๆ อยากได้ แค่นั้นเองหรือ

“อ้าว เขนเรียงผิด ถึงเลขอะไรแล้วนี่” ผมมัวคุยเพลิน จึงต้องรีบกลับมาไล่เรียงของขวัญห้อง 3/3 ใหม่ ทำให้ไม่เห็นอีกคนที่พยายาม ‘เก็บ’

Wish List... สิ่งที่ปรารถนาที่สุด

ที่ไม่มีทางหวนกลับมาอีกแล้ว

จึงเลือกตอบเพียงแค่สิ่งที่ต้องการ มันคงดี ถ้าได้นั่งรถไฟ ชมวิวบรรยากาศเหมือนที่เห็นเมื่อเช้า ในเมื่อสิ่งที่ปรารถนาที่สุด ดีที่สุด มันไม่มีทางเป็นจริงได้เลย

 







แทบไม่อยากคิดถึงช่วงบ่ายที่ผ่านมา เราต้องรับมือกับเด็กกว่าสามพันคน ที่มารอรับของขวัญ แม้ทุกคนจะได้ของขวัญตามที่ตัวเองอยากได้ แต่เมื่อตุ๊กตาบาร์บี้สุดหรูที่อยากได้นักหนา มาเทียบกับโดเรมอนตัวโตของเพื่อนก็เปลี่ยนใจร้องไห้ อยากได้ตุ๊กตาตัวโตบ้าง

บางคนได้เครื่องบินบังคับ ก็พอเปิดกล่องของขวัญลองเล่น แต่เมื่อขึ้นบินครั้งแรก เครื่องบินก็ติดลมบนลอยหายไป อ้าวทำยังไงกันล่ะทีนี้ ทำอะไรไม่ถูกกันเลยทีเดียว

รุ่งของผมจึงต้องกลายเป็นพี่เลี้ยงปลอบเด็กร้องกระจองอแง หาของขวัญจากซุ้มเล่นเกมส์ มาปลอบใจ กว่าจะผ่านไปได้ เล่นเอาอาสาทุกคนหมดแรงไปตาม ๆกัน อาหารมื้อเย็น ของทีมงานก็หมดหายไปในพริบตาเดียว

เราจึงมานั่งล้อมวงรอบกองไฟ ดื่มเบียร์กระป๋องที่ถูกแจกจ่าย เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย ในขณะที่อุณหภูมิภายนอกกำลังลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไป

เป็นอีกครั้งที่ เจ้าเฟรม หนุ่มนักดนตรีขวัญใจสาว ๆ รุ่นเล็กรุ่นใหญ่ในวันนี้ คอพับไปก่อนเพื่อน เพราะทั้งเฟรม และผมต้องดื่มเบียร์ในส่วนของรุ่งไปด้วย และเบียร์ส่วนของรุ่งดูเหมือนจะได้รับมามากกว่าคนอื่นสามเท่า เพราะวันนี้นอกจากเด็ก ๆ ที่ติด 'พี่รุ่ง' แล้ว ชาวอาสายังชื่นชม 'รุ่ง' กันมากจริง ๆ เพราะเป็นทั้งคนคิดแผนการจัดของขวัญ แก้ไขปัญหาเด็กงอแง

เล่นเอาพนักงานศูนย์การค้าภาคเหนือซึ่งเป็นแฟนคลับของผมเปลี่ยนใจไปกันหมด เบียร์ที่เหลือนั่นก็ได้มาจากแฟนคลับของรุ่ง เสน่ห์แรงเหลือรับจริง ๆ จนผมเริ่มหนักใจ

“เฟรม เขน ไปนอนได้แล้ว ถ้าไม่ไหวเหลือก็เหลือ ไม่ต้องกินหรอกทิ้งไปเถอะ” รุ่งมองเบียร์ที่เหลืออีกหลายสิบกระป๋องจากแฟนคลับของเขา กับหนุ่มน้อยเฟรมที่เมาฟุบลงไปกับโต๊ะ

“เขนยังไหวไหม คงต้องลากเฟรมกลับ” ผมพยักหน้า ในขณะที่โลกผมหมุนเล็กน้อย

เราหิ้วปีกเจ้าเฟรมกันคนละข้าง โดยมีรุ่งเป็นคนนำทางเพื่อกลับไปเต็นท์ที่พักด้วยความทุลักทุเล แล้วไอ้เด็กร้ายที่รุ่งเรียกก็ร้ายสมชื่อ มันอาเจียนอยู่ข้างเต็นท์ที่พัก เล่นเอาผมเกือบสร่าง

“ก็ยังดีที่ไม่เข้าไปปล่อยในเต็นท์ เขนดูเฟรมก่อน เดี๋ยวรุ่งไปหาผ้าชุบน้ำมา” พูดเสร็จรุ่ง ก็เดินกลับไปโซนรอบกองไฟอีกครั้ง

ผมจึงลากเจ้าเฟรมเข้ามาในเต็นท์ก่อน ให้มันแลกที่นอนกับผมเมื่อคืนก็แล้วกัน เหม็นขนาดนี้ให้นอนข้างรุ่งเดี๋ยวรุ่งนอนไม่หลับกันพอดี

เสร็จเรียบร้อยผมจึงนั่งหมดแรงอยู่ข้างเฟรม ลำพังลากมันเข้ามาไม่เท่าไหร่ แต่ความเพลียที่สะสมมาตั้งแต่ขับรถเมื่อคืน ตื่นเช้ามาเฝ้าดอกทานตะวัน รบกับของขวัญ และเด็กสามพันคน ผสมด้วยแอลกอฮอล์ที่เริ่มจะออกฤทธิ์ ทำให้หนังตาของผมเริ่มค่อย ๆ หรี่ลงใกล้ปิด







ผมรู้สึกตัวอีกครั้ง เมื่อมีคนกำลังเข้ามาในเต็นท์ และแว่วๆ เสียงของเฟรมที่โวยวายอยากจะนอน รุ่งคงกำลังดูแลเช็ดหน้าเช็ดตาให้เฟรม จิตสำนึกของผมกระตุ้นให้ไปทำหน้าที่นั้นแทน ไม่อยากให้รุ่งต้องอยู่ใกล้ใคร แม้แต่เฟรมก็เถอะ แต่ร่างกายกลับ ไม่ยอมรับฟังคำสั่ง จนผมถอดใจปล่อยให้ร่างกายได้พักผ่อน เสียงเฟรมที่โวยวายเงียบลง สติของผมก็เลือนราง

อะไรเย็น ๆ ที่หน้า ปฏิกิริยาอัตโนมัติทำให้ผมเบือนหน้าหนี และปัดผ้าเย็นออกจากหน้าตัวเอง แล้วจึงค่อย ๆ รู้สึกถึงมือนิ่ม ๆ ที่จับหน้าผมไว้ไม่ให้หันหนี สติจึงค่อย ๆ กลับมา

“รุ่ง เหรอ” ผมลืมตาขึ้นมามอง

“อยู่นิ่ง ๆ ก่อนเขน เดี๋ยวเช็ดหน้าให้ คงไปอาบน้ำไม่ไหวแล้วสิ” รุ่งพูดขณะเช็ดหน้าให้ผมต่อไป

“รุ่ง...จ๋า ทำไมถึงดีอย่างนี้คะ” ผมเอื้อมมือจับมือที่กำลังเช็ดหน้าผม

“เอ่อ... เขนเมาแล้ว” ผมคิดไปเองรึเปล่า เหมือนรุ่งกำลังเขิน และรีบดึงมือออกจากมือของผม

“เดี๋ยวรุ่งจะไปอาบน้ำ เขนพักผ่อนเถอะ” รุ่งกำลังจะลุกออกจากเต็นท์ไป

“ไปคนเดียวเหรอ เขนไปด้วย” ผมพยามเรียกสติ ฝืนลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล

“เขน ไม่ต้องไปหรอก นอนเถอะ” รุ่งต้องรีบเข้ามาประคองผมที่ใกล้จะล้ม

“ไม่เอาเขนจะไปด้วย ไหว” ผมพยายามยืนให้ตรง

“เขนจะอาบน้ำเหรอ” ผมรีบส่ายหัว

“เปล่า ไปเป็นเพื่อน เขนไม่ทิ้งรุ่งไปคนเดียวหรอก ไม่มีวันทิ้งรุ่งหรอก”

“เขน...” ผมยืนนิ่ง รุ่งไปไหน ผมไปด้วย

“งั้นรอตรงนี้ ที่โต๊ะนี่แล้วกัน” รุ่งชี้ไปโต๊ะที่เราดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันเมื่อเช้า ซึ่งอยู่ระหว่างทางไปห้องน้ำ และไม่ห่างจากที่พัก

“ห้องน้ำอยู่ไม่ไกล ถ้าเขนรอ ก็รอตรงนี้นะ” เขายิ้มน้อย ๆ ให้ผม แม้จะไม่หวานจับใจเหมือนเมื่อเช้า แต่ก็ทำเอาหัวใจของผมแทบจะละลาย

“ครับเขนจะรอรุ่งอยู่ตรงนี้ จนกว่ารุ่งจะกลับมา” ผมทิ้งตัวนั่งที่โต๊ะไม้

“.................................................” รุ่งค่อย ๆ หันหลัง และเดินออกไป

 

ผมมองตามไป เป็นเพราะสติที่รางเลือนของผมรึเปล่านะ?

ที่ทำให้ผมรู้สึกว่า รอยยิ้มนั้นมันช่างแสนเศร้า...เหลือเกิน

 

เวลาไม่เคยหมุนกลับ เวลาทำให้สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลง

 

แต่ทำไม บางอย่างกลับเหมือนเดิม

มันเป็นความจริง หรือความฝัน

 

เหตุการณ์ บาง...เหตุการณ์ คำพูด บาง... คำพูด

มันเหมือนย้อนวนซ้ำรอยเดิม

 

มันจุดประกายความหวัง ‘ความปรารถนา’ สิ่งที่ ‘หัวใจ’ ปรารถนาที่สุด...

แต่ ‘สมอง’ กลับคิดย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ บอกกับตัวเองว่า

มันไม่มีทางเป็นจริงได้เลย...





#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: JKL THE SERIES: KEEP: WISH 02.02.2018
«ตอบ #66 เมื่อ02-02-2018 12:05:49 »

 :L2: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: JKL THE SERIES: KEEP: WISH 02.02.2018
«ตอบ #67 เมื่อ02-02-2018 13:17:32 »

 :pig4:

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: KEEP: REASON 03.02.2018
«ตอบ #68 เมื่อ03-02-2018 10:23:55 »

Chapter V

Reason

 



ช่างเป็นเช้าวันจันทร์ที่แสนจะอ่อนเพลียมาก ๆ เพราะผมต้องฝืนบังคับร่างกายตัวเองให้ลุกขึ้นจากที่นอน ก็หัวใจของผมมันดันไปถึงที่ไซด์งานแล้วน่ะสิครับ เมื่อวานผมขับรถกลับมาจากเชียงราย ตอนสาย ๆ มาถึงลำปางก็บ่ายมากแล้ว กว่าจะแวะไปส่งรุ่งกับเฟรม แล้วก็โดนไล่กลับมานอน

ผมนอนหลับไปทั้ง ๆ ที่ไม่ได้กินข้าวเย็น เหนื่อยจริง ๆ ครับ ทั้ง ๆ ที่อุตส่าห์ตั้งใจจะชวนรุ่งไปพักผ่อน หลังจากที่กรำงานหนักในงานเฟสแรก

แต่ก็คุ้ม... ผมยังจำรอยยิ้มที่แสนติดตาตรึงใจของดอกทานตะวันยามเช้าได้ชัดเจนราวกับว่าผมเคยเห็นภาพนั้นมาก่อน ถึงจะเคย หรือไม่เคยเห็นมาก่อน...

แต่ผมสาบานว่า ผมจะทำทุกทางเพื่อให้ได้เห็นมันไปตลอดชีวิต

 





ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาผมงัดเอารายชื่อร้านอาหารที่มีทั้งหมดในจังหวัดลำปางมาสลับสับเปลี่ยน ชวนรุ่ง และเฟรมไปลองชิม เจ้าคนหลังนี่ไม่ต้องชวนก็วิ่งตามก้นขวิด ผิดกับคนแรกที่ต้องตื๊อแล้วตื๊ออีก รอแล้วรออีก จนกว่าจะใจอ่อนยอมไปกินข้าวด้วยแต่ละมื้อ

“นี่หมูแดดเดียว ของอร่อยร้านนี้เลย รุ่งกินเยอะ ๆ เขนว่ารุ่งผอมกว่าตอนอยู่กรุงเทพฯ อีก” ผมบริการตักอาหารต่าง ๆ ให้คนตรงข้าม

“พอแล้วเขน รุ่งน้ำหนักขึ้นเหอะ” รุ่งเคี้ยวแก้มตุ้ย ๆ ในขณะอาหารที่ผมตักให้ยังคงล้นจาน

“จริงเหรอ เอ่อ แต่เขนว่ารุ่งมีแก้มหน่อยจะน่ารัก” รุ่งทำหน้าเพลีย ๆ ไม่รู้เพราะว่าพักผ่อนไม่พอ หรือเพราะที่ผมกำลังจีบเขาซึ่ง ๆ หน้า ใช่ครับ ผมกำลังเร่งเครื่องสุดตัว ไม่เหยียบเบรคอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าใครก็ตาม

“งั้น ถ้าพี่รุ่งอิ่มแล้ว ผมกินให้เอง” กันชนทำงานอีกแล้วครับ

“แต่เฟรมนี่ ตัวลั่นแน่นอน” จนรุ่งยังอดแซวน้องตัวเองไม่ได้

“ไม่เป็นไรพี่ กลับบ้านคราวนี้ แม่ผมเห็นแล้วจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะพี่รุ่ง พี่เขน เลี้ยงผมดี” มันยังพูดไปเคี้ยวไป

“เฟรมจะกลับบ้านเหรอ กลับเมื่อไหร่” ผมดีใจจนออกนอกหน้า

“เสาร์อาทิตย์นี้แหละพี่ แม่ไม่เห็นหน้าผมจะเป็นเดือนแล้ว”

“แล้วรุ่งล่ะ” รุ่งกำลังจะตอบ แต่เซ็นเซอร์กันชนทำหน้าที่ดีเกินไป เจ้าเฟรมจึงชิงตอบ

“พี่รุ่งไม่ได้กลับ ได้หยุดแค่เสาร์อาทิตย์ พี่รุ่งไม่ค่อยชอบขึ้นเครื่องบิน ไงฝากพี่เขนด้วยนะครับ” ที่ผมหว่านเมล็ดพืช โดยการเลี้ยงข้าวเจ้าเฟรมมาตลอดอาทิตย์ เริ่มจะออกผล ผมรู้ว่าตัวเองหุบยิ้มไม่ได้เลย ในขณะที่คู่กรณีทำท่าเหมือนอยากเปลี่ยนกันชนใหม่







บ่ายวันศุกร์ ผมรู้ว่าเจ้าเฟรมต้องรีบเคลียร์งานเอกสารให้เสร็จก่อนกลับบ้าน คนที่เดินตรวจความเรียบร้อยกับผู้รับเหมาประจำอาทิตย์แทนก็ต้องเป็นรุ่ง ปกติผมก็ให้น้องในฝ่ายมาเดิน แต่เมื่อโอกาสมาถึงแล้ว ผมไม่มีทางปล่อยให้พลาดโอกาสแน่ ๆ

เราเดินตรวจไซด์พร้อมสรุปความคืบหน้าโปรเจคประจำอาทิตย์ งานก่อสร้างก้าวหน้าไปได้มากกว่าแผนที่วางไว้ คิ้วของคนบางคนจึงไม่ชนกันเท่าไหร่ แต่แลดูจะเหม่อ ๆ เพราะคงใกล้จะหมดแรงเต็มที

ทุกคนที่ไซด์ต่างแอบชื่นชม ‘รุ่ง’ อยู่เงียบ ๆ เพราะความรับผิดชอบ และความมุ่งมั่นในงานของเขาที่ไม่เป็นที่สองรองใครจริง ๆ นับรวมเสน่ห์ความเงียบขรึม ไม่โหวกเหวกโวยวายเหมือนผมเข้าไปอีก สาว ๆ จึงต่างพากันเทใจไปทาง ‘รุ่ง’ โดยที่เจ้าตัวไม่รู้

หากแต่ความนิ่งเงียบของเขานั่นแหละครับที่ทำให้คนเข้าถึงยาก และไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่จริง ๆ บางครั้งจึงดูเหมือนว่าเงียบน่ากลัว เรื่องดื้อนี่ก็คอนเฟิร์มได้ คนคิดเยอะเขาจะมีสิ่งที่เขาคิดในใจไว้แล้วเสมอ ถ้าเหตุผลที่เราให้ มีน้ำหนักไม่เพียงพอ ก็อย่าหวังเลยว่าจะเปลี่ยนใจเขาได้ หรือบางครั้งถึงเหตุผลเพียงพอ ก็ยังคงดื้อ ขอลองแบบที่เขาคิดดูก่อน

ด้วยความเชื่อมั่นในตัวเองที่มีอยู่เต็มเปี่ยม จนดูเหมือนว่าเขาไม่ค่อยจะเปิดรับ แต่ถ้าทำงานด้วยกันซักพักก็จะรู้ว่าเขาฟัง แต่จะเอาข้อมูลที่ได้จากเราไปวิเคราะห์รวมกับความคิดของตัวเอง แล้วมักจะได้ทางออกที่ดีขึ้นมาอีกทางหนึ่ง ซึ่งตัวตนของเขาทั้งหมดนั่น เป็นสิ่งดึงดูดที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนอยากเข้ามาเป็นคนสนิทที่ ‘รุ่ง’ จะเปิดใจให้ และผมก็เป็นหนึ่งในนั้น

เป็นหนึ่งในคนที่ชื่นชมเขามานาน...โดยที่เจ้าตัวไม่เคยรู้....

 





“รุ่ง เย็นนี้ไปส่งเฟรมแล้วมีโปรแกรมไปที่ไหนต่อไหม” ผมถามเขาหลังจากที่เราเดินตรวจไซด์เสร็จแล้ว

“คงไม่แล้วหละ อยากพัก” สภาพ ‘รุ่ง’ ตอนนี้ถ้าเป็นมือถือ ก็เป็นมือถือที่ขึ้นสัญญาณ SOS

“กลับไปพักที่โรงแรมเหรอ มันอุดอู้ น่าเบื่อออก รุ่งเคยไปบ่อน้ำพุร้อนไหม”

“ไม่เคยอะ” ผมรีบใส่ข้อมูลไปในสมองที่กำลังเบลอ

“ที่ลำปางมีอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน มีบ่อน้ำพุร้อน ไปอาบน้ำแร่ตอนนี้อากาศกำลังดีเลย ขับรถชั่วโมงกว่าก็ถึง”

“เห็นว่าที่ฝ่ายเขาจะไปเที่ยวกัน รุ่งไปไหม เดี๋ยวส่งเฟรมเสร็จเราขับรถไปกันเลย รุ่งนอนในรถก็ได้”

“ที่ฝ่ายจะไปกันเหรอ” อาการข้อมูลโอเวอร์โหลดแสดงให้เห็นชัดแจ้ง

“เขนได้ยินมาว่า...เขาจะไปกันนะ” ผมรีบปิดการขาย ในขณะลูกค้ายังประมวลผลไม่ทัน

“อืม...ก็ได้ แต่รุ่งขอไปนอนรอในรถนะ ไม่ไหวแล้ว”

“งั้นเดี๋ยวเขน ไปตามเฟรมก่อน เราจะได้รีบไปกันเลย” สำเร็จ ผมพยายามเก็บอาการดีใจให้แนบเนียนขึ้น

สามทุ่มกว่า ๆ เราก็มาถึงบ้านพักอุทยานหมายเลขสาม “บ้านคำหยาด” ซึ่งอยู่ไกลจากที่ทำการอุทยานมากที่สุด ผมจัดการเลือกด้วยตัวเอง เพราะอยากอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ผมปลุกรุ่งที่หลับสนิทตลอดการเดินทาง เพื่อขึ้นไปนอนพักด้านบนบ้าน คนเพิ่งตื่นงัวเงียเดินตามว่าง่ายเป็นลูกเป็ดน้อยเดินตามแม่ แล้วกลับมาหลับสนิทอีกครั้งทันทีที่ล้มตัวลงนอน

“Good Night ครับรุ่ง” ผมบอก ทั้งที่แน่ใจว่ารุ่งคงไม่รับรู้

แค่....อยากจะพูดคำนี้ในทุก ๆ ค่ำคืน

 





หลังอาบน้ำเสร็จ ผมเดินสำรวจรอบบ้านหมายเลขสาม ซี่งเป็นเรือนไม้สองชั้นขนาดเล็ก ชั้นล่างมีห้องน้ำ โต๊ะทานอาหารเล็ก ๆ และทีวีเครื่องจิ๋ว เมื่อเดินผ่านบันไดที่ค่อนข้างชันสู่ห้องโล่งด้านบนที่มีที่นอนขนาดเตียงเดี่ยวปูไว้สามที่ จริง ๆ แล้วบ้านหลังนี้พักได้สามคนครับ แต่กันชนขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว

ผมจึงวางกระเป๋าของเราสองคนไว้บนที่นอนที่เหลืออีกที่ ผมหยิบแผ่นพับแนะนำอุทยานแห่งชาติ สถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติ และการให้บริการ มาศึกษาข้อมูลไว้ก่อนที่ต้องเริ่มโปรแกรม ‘เขนทัวร์’ นี่ครับ ไกด์ก็ต้องศึกษาข้อมูลไว้พาลูกทัวร์เที่ยวในวันพรุ่งนี้ เมื่อวางแผนโปรแกรมทัวร์เรียบร้อย ผมจึงปิดไฟล้มตัวลงนอน และหันหน้าไปทาง ‘รุ่ง’

แม้ในความมืด แต่ใบหน้าหวานกลับชัดเจนในทุกรายละเอียดในใจของผม แม้จะเป็นครั้งแรกที่ผมมีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกับรุ่งมากขนาดนี้

หากเพราะเขาเป็นคนที่ผมแอบรัก รักมานาน... ครั้งนั้นผมอาจเคยผิดพลาด แต่มันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว ครั้งนี้ผมจะทำทุก ๆ วิถีทางที่จะได้ส่ง ‘รุ่ง’ เข้าสู่ห่วงนิทราทุก ๆ คืน และตลอดไป

 





“เขน เขน ตื่นเถอะสายแล้ว”

“รุ่งเหรอ” ผมงัวเงียลุกขึ้นนั่งยิ้ม นอกจากเมื่อคืนจะเป็นคืนที่ดีที่สุด เช้านี้ก็ยังเป็นเช้าที่วิเศษที่สุด เมื่อได้ยินเสียงคนที่เรารักปลุก และลืมตามาพบเขาเป็นคนแรก รุ่งอยู่ในชุดใหม่ แสดงว่าน่าจะตื่นได้สักพักแล้ว

“เขน รุ่งไปเดินไปที่ทำการอุทยานมา ไม่เห็นเจอใครที่ฝ่ายเขนเลย เขาพักกันที่ไหนอะ”

“เอ่อ...ที่ฝ่ายเขนเหรอ”

“อืม...ที่เขนบอกว่าเขาจะมาเที่ยวที่นี่กันไง” เอ่อ...เรื่องแตกซะแล้วครับ

“เอ่อ... เห็นว่าเขาชวน ๆ กันว่าจะมา แต่ไม่รู้ว่ามาเมื่อไหร่เหมือนกัน” ผมตอบยิ้ม ๆ

“อ้าว เขนไม่ได้นัดกันมาวันนี้เหรอ”

“เปล่า ซักหน่อย เขนบอกว่า เขาจะมากัน แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะมาเมื่อไหร่” ผมตีแบ๊ว

“อ้าว” รุ่งดูงง ๆ ผมรีบฉวยโอกาสดำเนินการตามแผนต่อ

“รุ่ง รอเขนอาบน้ำแป๊บนึง เดี๋ยวออกไปหาอะไรกินกันดีกว่า เห็นว่าเขามีไข่ต้มในน้ำพุร้อนด้วย ไปลองกินกัน” ผมขายทัวร์ โปรแกรมแรก แล้วรีบลุกจากที่นอนไปเข้าห้องน้ำก่อนที่คนแรมต่ำจะประมวลผลทัน

 





‘รุ่ง’ เหมือนจะระแวดระวังมากขึ้น เมื่อรู้ตัวว่าตกหลุมพรางของผม แต่ก็ไม่ได้โวยวายอะไร ปล่อยให้เลยตามเลย เราจึงเริ่มโปรแกรมท่องเที่ยวด้วยการไปตามเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ลองไปต้มไข่ในบ่อน้ำพุร้อน เยี่ยมชมโรงไฟฟ้าพลังน้ำ แวะนั่งสูดอากาศเย็น ๆ ที่น้ำตกแจ้ซ้อนในช่วงเช้า และมาใช้บริการห้องอาบน้ำแร่ของอุทยานในช่วงบ่าย เรียกความสดชื่น เติมพลังชีวิตกลับมาได้จนเต็มอีกครั้ง

‘รุ่ง’ ดูผ่อนคลาย และดื่มด่ำกับธรรมชาติจนลืมเรื่องเมื่อเช้า ผมจับทางได้ตั้งแต่เริ่มวางแผนนี้ ว่าเวลาอยู่ในบรรยากาศธรรมชาติ ‘รุ่ง’ จะดูสบาย ๆ ดูเหมือนว่ากำแพงที่เขาพยายามกั้นผมไว้ก็จะลดลงไปด้วย ผมจึงพยายามที่จะรักษาระยะห่างไว้พอสมควรเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลาย ตลอดช่วงวันที่ผ่านมา

ตกกลางคืนก่อนเข้านอน เราได้นั่งคุยสักพักเกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ ในโปรแกรมทัวร์วันนี้ และนัดแนะกันจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นก่อนกลับในเช้าวันพรุ่งนี้

เสียงหายใจยาว และสม่ำเสมอ ทำให้ผมมั่นใจว่าตอนนี้ ‘รุ่ง’ กำลังกำลังก้าวสู่ดินแดนแห่งความฝัน ตรงกันข้ามกับผมที่เริ่มตื่นเต้น และกังวลใจกับแผนการที่ใคร่ครวญไว้สำหรับวันพรุ่งนี้

ห้วงความคิดส่วนหนึ่งกำลังประท้วง ด้วยเหตุผลที่ว่าระยะเวลาที่ได้รู้จักใกล้ชิดกันมันยังสั้นเกินไป แต่หัวใจกลับก่อกบฏอย่างรุนแรง และสั่งให้รุกเดินหน้าต่อไป อย่ารีรออะไรอีก เพราะไม่อยากให้เกิดความผิดพลาดเหมือนครั้งนั้น...’

ผมหยุดไม่ได้แล้ว...

เมื่อหัวใจทำการปฏิวัติสมองได้สำเร็จ ก็เริ่มขึ้นมาบัญชาการให้ร่างกายให้ค่อย ๆ ลุก และเดินออกจากห้องนอน ไปทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ

 





“รุ่ง...จ๋า ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน รุ่งตื่นไหวไหม” วันนี้ผมเป็นฝ่ายปลุกเขาบ้าง

“อือ...อืม” เสียงงัวเงียของเด็กชาย ‘รุ่ง’ ตัวน้อย ที่ยังคงพลิกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มที่ปกคลุมอยู่ทั้งตัว ก่อนที่เจ้าตัวจะดันศีรษะออกมาพ้นขอบผ้าห่ม เผยให้เห็นผมบางส่วนที่ชี้ตั้งขึ้นไม่เป็นทรง แล้วจึงพลิกตัวตะแคงข้างมาทางเสียงเรียกของผม หมอนนุ่ม และแขนข้างหนึ่งบังซีกซ้ายของใบหน้าหวานไว้ ผมจึงเห็นเพียงดวงตาข้างขวาที่ค่อย ๆ เปิดเปลือกตามองผมอย่างแอบงอนเล็ก ๆ ที่โดนปลุกแต่เช้า

เล่นทำเอาผมเกือบลืมหายใจ...

ผมสาบานได้ว่าถ้าแฟนคลับของ ‘รุ่ง’ ถ้าได้มาเห็นภาพ ๆ นี้คงจะกรีดร้องพร้อมกับหยุดหายใจไปพร้อม ๆ กับผม

“วันนี้เขนตื่นเช้าจัง” เสียงแหบ ๆ ของคนที่เพิ่งจะตื่นนอนที่ค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นนั่งจ้องมองผมด้วยความสงสัย

“.....................................” ผมยังคงตอบไม่ได้ เนื่องด้วยกำลังพยายามเรียนวิธีการหายใจใหม่อีกครั้ง

“เขน เขนเป็นอะไร” สีหน้า ‘รุ่ง’ ดูจริงจัง แม้ผมจะไม่เห็นว่าหน้าของตัวเองตอนนี้ว่าเป็นอย่างไร แต่คงใกล้เคียงคนที่อยู่ในอาการช็อคใกล้โคม่า

“ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”

“ปะ...เปล่าไม่ได้เป็นอะไร” อากาศกลับมาวนเวียนในปอดอีกครั้ง ถึงแม้ว่าลมหายใจจะยังไม่ปกตินักก็ตาม

“ดูหน้าเหมือนจะเป็นลม เหมือนคนไม่ได้นอน ตื่นเช้าไปหรือเปล่า วันนี้ยังไม่ไปดูพระอาทิตย์ก็ได้นะ นอนพักก่อนไหม”

เพราะน่ารักอย่างนี้ คนที่แอบรัก จึงหลงหัวปักอยู่ตราบเท่า....ทุกวันนี้

“ไม่เป็นไรจริง ๆ รุ่ง รีบไปเถอะเดี๋ยวไม่ทันพระอาทิตย์” เมื่อสติกลับคืนมาผมจึงรีบชวน เพราะไม่อยากให้แผนที่วางไว้ล้มครืนไม่เป็นท่าอีกครั้ง

“งั้น ไปล้างหน้าล้างตากันก่อน เผื่อจะดีขึ้น ถ้าไม่ไหวก็บอกนะ” จึงกลับกลายเป็นผม คนที่มาปลุก ต้องเดินตามคนที่เพิ่งตื่นลงไปที่ตัวบ้านชั้นล่าง

เราเดินช้า ๆ ออกไปรอคอยพระอาทิตย์ที่ใกล้เวลาจะทอแสงแรกในของวัน เมื่อเดินออกมาจากตัวบ้านบรรยากาศภายนอกยังปกคลุมด้วยความมืด และเงียบสงบ เงียบจนผมได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเริ่มเต้นไม่ปกติอีกครั้ง

 





ใช่ครับ อย่างที่รุ่งคาดไว้ เมื่อคืนหลังจากเตรียมการเสร็จผมนอนไม่หลับทั้งคืน เฝ้ามองสิ่งที่เตรียมไว้เพื่อจะให้เขา

สำหรับผม ‘สิ่งนี้’ เป็นตัวแทนของ ‘รุ่ง’ ตั้งแต่...สิบปีก่อน ที่ผมเคยแอบหลงรักเขาครั้งแรก แม้ ‘รุ่ง’ จะหลงรักพระอาทิตย์อย่างถอนตัวไม่ขึ้น แต่ตัวเขากลับเสมือนแสงจันทร์ที่ ‘อบอุ่นนุ่มนวล’ ไม่ร้อนแรงแผดเผาเฉกเช่นแสงอาทิตย์

แม้บุคลิก ‘รุ่ง’ จะดูภายนอกนิ่งเงียบ เข้าถึงยาก ไม่เปิดรับใคร

แต่สิ่งนั้นกลับทำให้เขามี ‘เสน่ห์ ชวนให้ค้นหา น่าติดตาม’

แม้ ‘รุ่ง’ จะดูเด็ดเดี่ยว ตั้งมั่น และเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ

แต่ท่าทีที่แสดงออกกลับดู ‘อ่อนไหว บอบบาง น่าทะนุถนอม’

 

ผมกำลังหวนคำนึงถึงอดีต ในความทรงจำที่ผ่านมา

ผมเคยให้ ‘สิ่งนี้ง กับเขามาก่อน แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่เคยรู้...

 

ณ จุดชมวิว ยังคงมีเพียงแสงเลือนราง แม้เวลาจะล่วงเลยมาพอสมควรแล้ว แต่กลับไม่เห็นแสงแรกของพระอาทิตย์อย่างที่ตั้งใจ เมื่อท้องฟ้ายังคงถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก เรายังคงนั่งรอเงียบ ๆ เฝ้ารออย่างอดทน

รอ... ‘แสงแรก’ ของวันใหม่

 

“เขนกลับเถอะ วันนี้คงไม่มีโชคแล้วล่ะ” รุ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เจือจางความผิดหวังพร้อมกับทอดถอนใจ ก่อนที่จะลุกขึ้นกลับหลังหันให้กับดวงอาทิตย์ที่ไม่มีวี่แววว่าจะโผล่พ้นกลุ่มเมฆออกมาได้

ผมกำลังรวบรวมความกล้า ลุกขึ้นตาม และเอ่ยรั้งเขาไว้

“รุ่งครับ” รุ่งหันกลับมามองผม

“รุ่ง เขนมีอะไรจะให้รุ่ง” ผมกลั้นใจ

“อะไรเหรอ” รุ่งเอียงคอสงสัยเล็กน้อย

ผมยื่น ‘สิ่งนั้น’ ที่ตั้งใจขับรถไป-กลับกว่าสองชั่วโมงเพื่อไปนำมา และเดินฝ่าความมืดเพื่อแอบเอามาซ่อนไว้ที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืน



‘ดอกลิลลี่’ กำลังแย้มบานสีขาวบริสุทธิ์ส่งกลิ่นหอมรวยรินไปทั่วบริเวณ ผูกด้วยริบบิ้นเส้นเล็ก ๆ สีแดง

ดอกไม้... ที่เต็มไปด้วยความรู้สึก ‘อบอุ่นนุ่มนวล’

ดอกไม้... ที่ส่งกลิ่นหอมเย้ายวน กรุ่นกลิ่นกรำจายไปด้วย ‘เสน่ห์ ชวนให้ค้นหา น่าติดตาม’

ดอกไม้... ที่พิศดูลักษณะภายนอกที่ ‘อ่อนไหว บอบบาง น่าทะนุถนอม’

ดอกไม้... ที่ผมเคยเพียรส่งให้เขาทุก ๆ เช้าที่มหาวิทยาลัยตลอดระยะเวลาเกือบปี

 

‘ดอกลิลลี่’ ดอกไม้ที่เป็นตัวแทนของ ‘รุ่ง’ ในความรู้สึก ความทรงจำ ทั้งในอดีต และปัจจุบันของผม

 

“อะไร...............” รุ่งรับ ‘ดอกลิลลี่’ ไปถือไว้ในมือและก้มหน้าจ้อง ‘สิ่งนั้น’ ก่อนจะนิ่งเงียบเหมือนพูดไม่ออก

“รุ่ง...จำได้ไหมดอกลิลลี่...เหมือนกันกับลิลลี่ เมื่อสิบปีที่แล้ว... ที่มีคนเอาไปวางไว้ให้รุ่ง ที่ล็อกเกอร์ทุก ๆ เช้า” ผมสูดหายใจเข้าไปเต็มปอดอีกครั้ง เพื่อผ่อนคลายความกดดัน ก่อนที่จะสารภาพ

“............................”

“เขน เป็นคนเอาไปวางไว้เอง ทุก ๆ วันตลอดหนึ่งปี... ก่อนที่ รุ่ง จะย้ายไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ” คอของผมแห้งผาก

“............................”

“เขน พลาดเองที่ไม่เคยบอกให้รุ่งรู้... เพราะกลัว...ไม่กล้า จนต้องตัดใจปล่อยรุ่งไป...”

“เขนไม่คิดว่าจะมาเจอรุ่งอีกครั้ง เมื่อมาทำงานที่นี่ พอพบรุ่งอีกครั้งเขนก็ยังไม่กล้า... ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปทัก ทั้ง ๆ ที่เขนมารอ รุ่ง ทุกเช้าที่ทำงาน เพื่อให้ได้อยู่ใกล้ ๆ รุ่งในลิฟต์ เพียงแค่สองสามนาที” ผมค่อยพูดอย่างยากเย็น เพราะต้องคอยผ่อนลมหายใจที่ติด ๆ ขัด ๆ อยู่ตลอดเวลา

“...........................”

“เขนอยากบอกรุ่ง เขนแอบรักรุ่ง รักมานานแล้ว”

“...........................”

“และตอนนี้เขนก็กำลังตกหลุมรักรุ่งเป็นครั้งที่สอง”

“...........................”

“รุ่ง ให้โอกาสเขน ได้ไหม” หัวใจผมเต้นแรงรัว ราวกับว่าจะระเบิดออกมา

“...........................”

“รุ่ง.......................” ใบหน้าของคนที่ผมแอบรักมาตลอดสิบปี ค่อย ๆ เงยขึ้นมามอง ใบหน้าที่เรียบเฉย เกินกว่าที่จะคาดเดา

“ขอบคุณมาก ขอบคุณเขนมากจริง ๆ แต่.....รุ่งขอโทษ เราเป็นเพื่อนกันได้ไหม” สายตาที่มองผมเยือกเย็น นิ่งลึกบาดใจ

“ทำไม....” เหมือนใครมาสาดน้ำเย็นใส่ ผมรู้สึกรุ่งไปทั้งตัว

“.............................”

“ทำไมเหรอรุ่ง เขน...ไม่ดียังไง ผิดตรงไหน...”

“บอก...... เหตุผล..... เขนหน่อยได้ไหม” ผมเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ เหมือนหัวใจถูกกระชากออกไปจากร่าง

“เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้นเขน” สายตา รุ่ง ยังคงเรียบนิ่งเหมือนน้ำที่อยู่ในบ่อ ที่ไม่สามารถ คาดเดาความลึกได้

“รุ่ง ไม่อยากทำร้ายใครอีกเขน ไม่อยากทำร้ายคนอื่น”

‘คนอื่น’ ผมคือ...คนอื่น

“รุ่ง.......................”

“รุ่ง.......................ยังลืม ‘เขา’ ไม่ได้” รุ่งหลบตา และหันหลังกลับไป แวบเดียวที่ผมเห็นความเจ็บปวดจากดวงตาคู่นั้น

คงเป็นเพราะ ‘เขา’ คนนั้นของรุ่งที่เปลี่ยนสายตาที่เรียบเฉย เข้าสู่ความเจ็บปวดได้

“ไม่อยากให้เขนต้องรอ”

“ถ้าเขนจะรอ” รุ่งยังคงนิ่ง ไม่แม้จะหันกลับมามองที่ผม

“เขน...อย่ารอเลย รุ่งพยายามจะลืมมันมานานมาก...มากกว่าสิบปีซะอีก แต่มันไม่เคยลืมได้เลย...”

เสียงรุ่งถอนหายใจดังชัด ผมรับรู้ได้ทันทีว่า รุ่งกำลังทรมานมาก มันทำให้ผมเจ็บซ้ำ เท่าทวีเมื่อเห็นคนที่เรารักเจ็บ

ผมเริ่มไม่รับรู้ถึงประสาทสัมผัสทั้งห้า เพราะกำลังบาดเจ็บสาหัส แต่ผมต้องรู้เรื่องหนึ่ง

“แล้วเรื่องที่ผ่านมาของเรา รุ่งเห็นเขนเป็นแค่เพื่อนอย่างนั้นเหรอ” รอยยิ้มแสนหวานยามเช้านั่น... ไม่ใช่ของผมหรอกหรือ

“ขอโทษ... รุ่งขอโทษ ที่อาจ...ทำให้เขนเข้าใจผิด เขนมีส่วนคล้าย ‘เขา’ คนนั้นมากจริง ๆ”

"...................................." ผมหลับตาลง แต่ทุกอย่างกลับสว่าง กระจ่างชัด เข้าใจแล้ว ผมเข้าใจมันทั้งหมดแล้ว

“รุ่งไม่ผิดหรอก เขนเข้าใจผิดเอง กลับไปก่อนเถอะ ขอเขนนั่งตรงนี้สักพัก” ผมยังคงหลับตา ทรุดตัวนั่งลงที่เดิม

ไม่ไหว....แล้ว

ฝืน....ยืนไม่ไหวอีกแล้ว

เจ็บ เจ็บมากเกินไปจริง ๆ

 

เมื่อผมได้ยินเสียงฝีเท้ารุ่งค่อยๆเดินจากไป... น้ำตาก็เริ่มรินไหล...

 

ผมเคยสงสัยว่า... ทำไมระหว่าง ‘เรา’ รุ่งถึงได้ตั้งกำแพงไว้สูงนัก

เหตุผล...เป็นเพราะ รุ่งพยายามจะแสดงให้ผมรู้อย่างชัดเจน ตั้งแต่แรกแล้วว่า ใจเขาไม่พร้อมที่จะเปิดรับใคร

 

ผมเคยสงสัยว่าทำไมเขาถึงหลงรัก พระอาทิตย์นัก

เหตุผล... เป็นเพียงเพราะ ‘เขา’ คนนั้น คนที่...คงมีส่วนคล้ายกันกับผม ที่พร้อมจะแผดเผาทุกสิ่ง......

 

รอยยิ้มแสนหวานนั่น เป็นรอยยิ้มของดอกทานตะวันจริง ๆ สินะ

ดอกทานตะวันที่หลงรักพระอาทิตย์อย่างหมดใจ

จนไม่มีสายตาหลงเหลือไว้มองใคร

 

ทั้ง ๆ ที่ทุกสิ่ง...ทุกอย่าง...ชัดเจนอยู่ตั้งแต่แรก

นี่ใช่ไหมที่เรียกว่าความรักทำให้คนตาบอด

 

ผมจึง... ไร้เหตุผล

ตาบอดคิดเข้าข้างตัวเอง คิดเอาเองว่ารอยยิ้มนั่น... เป็นของผม

 

ผมค่อย ๆ ลืมตา

แล้วพบว่า ‘ดอกลิลลี่’ ถูกวางทิ้งไว้ตรงที่นั่งข้าง ๆ ที่ที่เคยเป็นของ ‘รุ่ง’

 

หาก

 

‘รุ่ง’ ที่ไม่ใช่ของผม

‘รุ่ง’ ไม่เคยเป็น ‘ดอกลิลลี่’ ของผม

 

แต่

 

‘รุ่ง’ เป็น ‘ดอกทานตะวัน’ ของ ‘เขา’ คนนั้น......





#JKLTHESERIES

 

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: JKL THE SERIES: KEEP: REASON 03.02.2018
«ตอบ #69 เมื่อ03-02-2018 17:58:39 »

แล้วไง รออ่านตอนหน้าค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: JKL THE SERIES: KEEP: REASON 03.02.2018
« ตอบ #69 เมื่อ: 03-02-2018 17:58:39 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: JKL THE SERIES: KEEP: REASON 03.02.2018
«ตอบ #70 เมื่อ04-02-2018 02:10:49 »

?????

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: KEEP: TOGETHER 04.02.2018
«ตอบ #71 เมื่อ04-02-2018 19:41:45 »

Chapter VI

Together

 

‘รุ่ง’ ไม่เคยเป็น ‘ดอกลิลลี่’ ของผม

 

แต่

 

‘รุ่ง’ เป็น ‘ดอกทานตะวัน’ ของ ‘เขา’ คนนั้น.....

 

ผมถอนหายใจอีกครั้ง...

ผมนั่งตรงนี้ นานเท่าไหร่แล้วไม่รู้...

และยังไม่ได้คำตอบให้กับตัวเอง ว่า.....จะทำอย่างไรต่อไป

 

‘รุ่ง’ ไปกินข้าวรึยัง ไม่หิวแย่แล้วเหรอ ผมเป็นห่วง...

คิดได้....แค่นี้....ตอนนี้

 

ถ้าอะไรมันจะ...ยากนัก

ถ้ามันจะ...ยุ่งนัก

 

ผมเลือกที่จะเก็บ……ความเจ็บปวดไว้ในลิ้นชัก

แล้วเลือกที่จะ ‘ซื่อตรง’ กับความรู้สึกของตัวเอง

 

เหตุผลของผมคือ ผมเข้าใจในสิ่งที่ ‘รุ่ง’ เป็น ผมเข้าใจในสิ่งที่ ‘รุ่ง’ รู้สึก เพราะความรู้สึกที่ผมเลือก ‘เก็บ’ ไว้ ก็คือ...ความรู้สึกเดียวกับที่ ‘รุ่ง’ เป็นอยู่

เรากลับมาเริ่มต้นทำงานในอาทิตย์นี้ ด้วยอาการที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เจ้าเฟรมด่าผมยับว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะในขณะที่ผมดูสบาย ๆ แต่ทำไมพี่ชายของเขากลับ

นิ่ง.......นิ่งว่าที่เคยเป็น

เงียบ.......เงียบกว่าที่เคยรู้สึกได้

ผมให้คำตอบมันไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวที่เฟรมต้องไปถาม ‘รุ่ง’ เอง แต่สำหรับผม ผมเข้าใจ

 



ทุกเช้าผมยังคงตื่นเช้ามาด้วยความรู้สึกหลงรักการทำงานเป็นอย่างยิ่ง คุณลองรักหรือชอบใครสักคนในที่ทำงานสิครับ ก็จะมีอาการเหมือนกับผมตั้งแต่มี ‘รุ่ง’

ผมเริ่มต้นกิจวัตรประจำวันทุกเช้าด้วยการส่งข้อความไปปลุกอีกคน เพราะผมปรารถนาที่จะให้รุ่งตื่นขึ้นมาพบมันเป็นสิ่งแรก ตามด้วยการแวะตลาดเช้าใกล้บ้านที่ผมผูกซื้อ ‘ดอกลิลลี่’ สีขาวไว้ประจำ คุณป้าเจ้าของร้านบรรจงผูกโบสีแดงสดให้ทุก ๆ เช้า และนำไปวางไว้ที่โต๊ะทำงานของ ‘รุ่ง’ จวบจนก่อนนอนก็ไม่ลืมที่จะส่งข้อความกล่าว ‘ราตรีสวัสดิ์’ ให้ลูกเป็ดน้อยนอนหลับฝันดี

การทำงานในเฟสที่สองไม่ได้ยากมากนัก เมื่อแผนที่ ‘รุ่ง’ วางไว้ค่อนข้างรัดกุม ถ้าจะมีความยุ่งยากเกิดขึ้น ก็มักจะเกิดจากปัญหาของผู้รับเหมาเอง ดังนั้นการควบคุม ดูแล ติดตาม จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เมื่อมีระยะเวลาที่จำกัดมาตีกรอบ ความกดดัน ก็มักจะตามมา และความผิดพลาดก็จะมีขึ้นเสมอ ๆ

ดังเช่นวันนี้ที่มีเหตุเพลิงไหม้ในสถานที่ก่อสร้าง แม้ไม่ได้ใหญ่โตลุกลาม เพราะเรามีเจ้าหน้าที่ดับเพลิงคอยประจำการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง และมีอุปกรณ์ที่เพียบพร้อม แต่ที่ต้องจัดการ คือ การป้องกันไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีก ซึ่งจะดีกว่าเมื่อเกิดเหตุแล้วจึงมาตามแก้ เราจึงต้องเข้าห้องประชุมกันอีกครั้งพร้อมกับผู้รับเหมา ซึ่งหน้าที่ความรับผิดชอบโดยตรงเรื่องความปลอดภัย เป็นของฝ่ายก่อสร้าง

“ก่อนอื่นในการประชุมครั้งนี้ เราไม่ได้ต้องการหาคนผิด หรือลงโทษใคร แต่อยากให้เราร่วมกันหาสาเหตุของปัญหา และแนวทางการป้องกันในอนาคต” ผมจึงเริ่มเปิดการประชุม มันเป็นความเชี่ยวชาญส่วนตัวของผมในเรื่องความเป็นเหตุเป็นผล

จนใคร...บางคน เคยพูดลับหลังว่า...ตรงเป็นไม้บรรทัด

แล้วบทสรุปของที่ประชุมคือการเพิ่มความรู้และทักษะในการเกิดและการป้องกันอัคคีภัย ซึ่งเราจัดกันอย่างสม่ำเสมอในทุก ๆ อาทิตย์ แต่กลับพบว่าพนักงานของเราเกินครึ่ง และผู้รับเหมาบางส่วนที่ต้องเร่งเข้าทำงานไม่ได้มาเข้าร่วมฝึกอบรมในช่วงเวลาที่ผ่านมา ฝ่ายบุคคลจึงรวบรวมรายชื่อทั้งหมดและจัดรอบพิเศษ

“อ้าว...รุ่ง เฟรม มาเรียนกับเขาด้วยเหรอ” ผมยิ้มน้อย ๆ ให้กับคู่พี่น้องที่กำลังเดินเข้ามาสมทบกับเพื่อน ๆ พนักงานคนอื่น ๆ เจ้าคนน้องที่หน้ามุ่ยแสดงอาการดีใจทันทีที่เห็นผม

“พี่เขนจัดเห็นไหมพี่รุ่ง ผมบอกแล้ว แค่พี่รุ่งโทรมาบอกพี่เขน เราก็ไม่ต้องเข้าฝึกอบรมแล้ว”

“ไม่ได้เฟรม ไม่เห็นเมล์หรือไง ฝ่ายบุคคลเขาให้เข้าก็ต้องเข้า” รุ่งพูดขณะก้มหน้าลงชื่อเข้าเรียน

“อะ...ก็พี่รุ่ง เป็นคนพิเศษอะ ใช่ไหมพี่เขน ไม่ต้องเรียนก็ได้ใช่ไหม” มันชงเพื่อหาทางเอาตัวรอด

“เรื่องคนพิเศษนั่นก็ใช่ แต่เรื่องเรียนมันคนละเรื่อง” ผมตอบเจ้าเฟรม

ใช่ครับ ผมไม่ได้ปิดบังใครอีกแล้วเรื่องที่ผมแอบรัก ‘รุ่ง’ อย่างเป็นทางการ คนทั้งไซด์เห็นผมมาพร้อมกับ ‘ดอกลิลลี่’ ทุกเช้า เห็นผมแทบไม่ค่อยได้อยู่ฝ่ายตัวเอง เมื่อมีเวลาว่าง เห็นผมตระเวนเป็นไกด์เชลล์ชวนชิมพาทั้งรุ่ง และเฟรมออกไปกินข้าวกลางวัน และข้าวเย็น แทบจะพูดได้ว่าเห็นรุ่งที่ไหนก็จะเห็นผมที่นั่น และที่เขาแอบเม้าท์กันก็เรื่องที่ว่า ผมคงรักเขาข้างเดียว เพราะรุ่งดูนิ่ง เงียบ และเฉยชามากขึ้น ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจ...ก็ทุกอย่างมันคือความจริง

“มันมีเหตุผลที่ต้องเรียน เราต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้รับเหมานะเฟรม ถ้าเราคุมคนของเราไม่ได้ ก็อย่าหวังจะไปบังคับคนอื่นได้” ผมยิ้มกับปฏิกิริยาของเฟรม ปกติออกจะดูลุย ๆ แต่กลับกลัวเรื่องฟืนไฟ

“พูดเหมือนกันซะ ลอกกันมาปะเนี่ย หรือพวกพี่มีโทรจิต” เฟรมมองหน้ามุ่ยหันไปทางรุ่ง ผมจึงเข้าใจ กว่าจะลากกันมาได้คงกำราบกันไปแล้วรอบหนึ่ง

สีหน้าเจ้าเฟรมดีขึ้นเมื่อพบว่าวิทยากรที่มาให้ความรู้นั้นปล่อยมุขขำกระจาย ขนาดรุ่ง ก็ยังคงขำในใจ ผมเริ่มสัมผัสถึงความรู้สึกภายใต้สีหน้าที่เรียบเฉยได้มากขึ้นเรื่อย ๆ เวลาเขานึกสนุกอะไรขึ้นมา ตาจะหรี่ลงเล็ก ๆ และมีประกายความเจ้าเล่ห์เล็กน้อย และผมดีใจที่เขามีความสุข แม้จะไม่มีโอกาสได้เห็นยิ้มหวานเหมือนเมื่อก่อนแล้วก็ตาม

หลาย ๆ คนคงอาจรู้สึกเจ็บปวด เมื่อเราสารภาพ ‘รัก’ แล้วถูกปฏิเสธ ผมยอมรับว่าอาการนั้นก็เล่นงานผมอย่างสาหัสในช่วงแรก แต่ไม่ใช่ตอนนี้

ไม่ใช่เพราะผมเก่งอะไร

ไม่ใช่ว่าเพราะผมจะเลิก... ‘รัก’ ได้แต่อย่างใด

เพราะ ‘ความเข้าใจ’ และ ‘ความรัก’ ต่างหากที่ทำให้ผมไม่ท้อใจ

 





การเรียนในวันนี้มีทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ โดยผมรับหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์พร้อมควบตำแหน่งผู้ช่วยวิทยากรเมื่อเข้าสู่ภาคปฏิบัติ ในสายตาพนักงานในไซด์งานส่วนมากมักจะเห็นว่าผมดุ เฉียบขาด ก็คงเพราะลักษณะงานของผมที่ต้องควบคุมผู้รับเหมาที่มีตั้งแต่วิศวกร นายช่าง จนถึงคนงานก่อสร้าง มันบังคับให้ผมต้องวางตัวเป็นมาเฟียในไซด์ แต่ในทางตรงกันข้ามเวลาเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินใด ๆ ผมกลับเป็นคนที่ถูกเรียกหา คนแรกเสมอ เฉกเช่นตอนนี้

เมื่อวิทยากรแบ่งกลุ่มพนักงานเป็น 5 กลุ่ม และมีการจุดไฟที่เชื้อเพลิงจริง ๆ ทั้ง 3 ประเภทคือ ของแข็ง ของเหลว และก๊าซ แล้วให้พนักงานแต่ละกลุ่มทดลองดับไฟจริง ๆ ด้วยอุปกรณ์ดับเพลิง ทำให้ผมกลายเป็นคนที่ถูกต้องการตัวมากที่สุด ให้เข้าไปช่วยดูแลเผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน

พนักงานหลายคนมีอาการกล้า ๆ กลัว ๆ ถ้าจะให้พูดจริง ๆ ก็คงเป็นกลัวซะมากกว่า เมื่อต้องเข้ามาดับไฟที่กำลังลุกไหม้จริง ๆ ผมต้องช่วยวิทยากรดูแลเวียน ๆ กันไปทุกกลุ่ม ผมเหลือบไปมองเจ้าเฟรมมันเริ่มมีอาการหวาดหวั่นเกาะรุ่งอยู่แจ ส่วนรุ่ง ผมไม่กังวลเลยว่าเขาจะทำไม่ได้ ใจเย็นซะขนาดนั้น ถ้าเกิดเหตุจริง เรื่องที่น่ากลัวก็แค่ เขาจะใจเย็นเกินจนไฟที่ไหม้มันดับไปแล้วก็เท่านั้น

 

แล้วเหตุก็เกิดขึ้นจริง ๆ กับเจ้าเฟรม

เหตุการณ์เกิดขึ้นไวมากจนหลายคนอึ้ง เมื่อเฟรมต้องใช้อุปกรณ์ดับเพลิงเพื่อดับไฟที่กำลังลุกไหม้น้ำมันเบนซิน ผมไม่ทันเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนแรก หันไปอีกทีก็เห็นเฟรมทิ้งถังดับเพลิงแล้วตกใจกับประกายไฟที่กำลังลุกขึ้นไหม้ขากางเกงยีนส์ของเขา ผมกำลังวิ่งเข้าไปช่วย แต่ใจผมหายเมื่อเห็นพี่ชายเฟรมที่อยู่ใกล้กว่าพุ่งตัวไปดึงเฟรมออกมา เมื่อมาถึงตัวทั้งคู่ผมรีบฉีดเคมีดับเพลิงลงไปที่บริเวณขาของเฟรม พริบตาไฟก็ดับพร้อมทิ้งผงเคมีสีขาวไว้ที่ปลายขากางเกง เฟรมทรุดนั่งลงยังช็อกกับเหตุการณ์

“ฟ..เฟรม เป็นอะไร...ไหมเฟรม เจ็บไหม” รุ่งตกใจมาก ละล่ำละลักถาม ผมรีบฉวยกรรไกรจากกล่องอุปกรณ์เจ้าหน้าที่ฝึกอบรมมาตัดเหนือรอยไหม้บนขากางเกง เจ้าเฟรมยังช็อกไม่ตอบคำถาม แต่จับมือรุ่งที่นั่งคุกเข่าให้กำลังใจอยู่ข้าง ๆ ไว้แน่น

“เฟรมเป็นอะไรมากไหม เขน” รุ่งหันกลับมาถามผมที่กำลังดูรอยแผล

“น่าจะไฟลวกนิดหน่อย แต่ไม่มาก ดีที่รุ่งรีบลากออกมาก่อน แต่คงต้องพาไปพบหมอ” รุ่งพยักหน้ารับ ก่อนหันกลับไปมองน้องชายที่ยังไม่ยอมพูด

“เฟรมคงยังช็อกอยู่ รุ่งไป พาไปโรงพยาบาลกันก่อน” เราสองคนช่วยพยุงเจ้าเฟรมออกมาทันที

ตามคาดเฟรมไม่ได้เป็นอะไรมาก เพียงไฟลวกขั้นที่หนึ่ง ที่เซลล์หนังกำพร้าชั้นผิวนอกเท่านั้น หลังจากทำแผลเสร็จก็ได้น้ำเกลือไว้ล้างแผล ครีมสเตอรอยด์ป้องกันการอักเสบ และยา แก้ปวดกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้าน เจ้าตัวเพิ่งเริ่มหายช็อก และโทรไปเล่าวีรกรรมของตัวเองให้ที่บ้านฟังขณะที่นั่งอยู่ตอนหลังของรถ ได้ข่าวว่าคนที่ช่วยเป็นรุ่งกับผมไม่ใช่เหรอ

“รุ่งเป็นอะไรไหม...ไม่โดนไฟลวกตรงไหนใช่ไหม ตอนเข้าไปช่วยเฟรม” ผมเพิ่งมีโอกาสได้ซักถาม ตอนที่หมดเรื่องยุ่ง ๆ ของเด็กร้าย

“ไม่เป็นไรหรอก ขอบคุณนะเขน ถ้าเขนไม่เข้ามารุ่งคงทำอะไรไม่ถูก” รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ผมไม่ได้สัมผัสมานาน

“เขน ก็แทบทำอะไรไม่ถูก....ตอนที่รุ่งกระโจนเข้าไปเหมือนกัน” ถ้าไม่ติดว่าเป็นไอ้เด็กร้าย ผมคงโกรธมากที่ทำให้คนที่ผมรักต้องเสี่ยง ผมยิ้มตอบ

“พี่ ๆ เราแวะกินข้าวเย็นที่ไหนอะ หมอบอกให้ผมต้องกินโปรตีนเยอะ ๆ แผลจะได้หายเร็ว สเต็กดีไหม” ผมกับรุ่งหันหน้าไปมองเด็กร้ายพร้อมกันแล้วถอนหายใจ ตอนมากับตอนกลับจากโรงพยาบาลนี่มันคนละคนกันหรือเปล่าวะ

เราแวะกินสเต็กกันก่อน แล้วผมจึงไปส่งไอ้เด็กร้ายกับรุ่งที่โรงแรม ก่อนกลับเจ้าเฟรมยังเดินตามผมออกมา

“ออกมาทำไม ไม่รีบขึ้นไปพัก” ผมกำลังจะเริ่มเอ็ดมัน

“ผมจะมาขอบคุณ ขอบคุณมากครับพี่” มันทำตาซึ้งสำนึกบุญคุณ

“เออ….แกเป็นน้องพี่นี่หว่า” ผมตบไหล่มันเบา ๆ

“ใครบอก... ผมน้องพี่รุ่งหรอก” ไอ้นี่มันกวน ซึ้งได้ไม่นานปรับอารมณ์ไม่ทันกันเลยทีเดียว

“เออ เออ ไปละ” ผมขี้เกียจเถียง จึงหันกลับไปจะเปิดประตูรถ

“พี่เขน พี่รักพี่รุ่งจริง ๆ ใช่ปะ” มันถามสีหน้าจริงจัง

“เออ แล้วไง” ผมขมวดคิ้ว ไอ้หมอนี่มันจะมาไม้ไหน

“ผมก็อยากตอบแทนอะไรพี่เล็ก ๆ น้อย ๆ” มันหันซ้ายหันขวา ทำหน้าเจ้าเล่ห์

“อะไร” ความลับเยอะจริง

“คือ...พี่รุ่งให้ผมแจ้งแอดมิน เรื่องจองโรงแรมต่อ พอดีที่กรุงเทพฯ เขาจองให้มาแค่เดือนครึ่ง เผื่ออยากเปลี่ยนใจไปพักที่อื่น”

“แล้วผมลืม เลยยังไม่ได้แจ้งกลับไปให้เขาต่อให้อ่ะ นี่เพิ่งนึกได้ ที่ล็อบบี้เขาบอกว่าคืนนี้จองเป็นคืนสุดท้ายแล้ว”

ไอ้นี่มันร้ายจริง ๆ มันลืม กลับมาบอกว่าตอบแทนผม แต่ก็อดยิ้มไม่ได้

“หมายความว่า จะไปอยู่กับพี่”

“ใช่พรุ่งนี้ พี่ก็เนียนมารับเลย เดี๋ยวผมแอบเก็บของพี่รุ่งไว้” นั่นไงรุ่งเลี้ยงลูกงูเห่าไว้กับตัวจริง ๆ ด้วย

“พี่เอาพี่รุ่งไปคนเดียวได้ไหม” ผมหมั่นไส้

“โห่...พี่แล้วผมจะไปอยู่ไหนเล่า ให้ผมไปอยู่ด้วย รับรองผมไม่เป็น กขค หรอก”

“แล้วรุ่งจะยอมเหรอ” ผมไม่แน่ใจ

“โอย พี่รุ่งจะทันอะไร...พอฉุกละหุกก็รีบ ๆ จับตัวขึ้นรถไป พอคิดได้ก็ถึงบ้านพี่ละ”

“ไม่โกรธหรอก ผมรับรองโกรธใครเป็นที่ไหน ว่าไงพี่” มันรีบคาดคั้น

“เออ เออ ให้มากี่โมง”

“เขาให้เช็คเอ๊าท์ ก่อนเที่ยง...พี่มาสัก 11 โมงแล้วกัน แต่ทำเนียน ๆ มึน ๆ นะ” มันสอนจระเข้ว่ายน้ำ ไม่รู้ว่าผมก็เคยใช้มุกคล้าย ๆ อย่างนี้มาแล้ว

“เออ ขอบใจ เจอกันพรุ่งนี้ ขอบใจว่ะ” ผมตบบ่ามัน แล้วขับรถออกมา

 

ไหนใครว่า ‘รุ่ง’ จะไม่โกรธ แต่โชคดีที่โกรธเฟรม ไม่ได้โกรธผม เรา (ผมกับเฟรม) ปฏิบัติการตามแผนที่เตรียมเอาไว้ โดยจี้จุดอ่อนของ ‘รุ่ง’ คนที่วางแผนเก่ง ๆ ทำตามแผนจนเคยชิน พอเกิดเหตุการณ์เหนือความคาดหมาย หรือไร้รูปแบบเหมือนที่ผมกับเฟรมใช้กันอยู่เนี่ย ก็จะทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่เป็นไปตามที่วางไว้ แต่ที่ว่าอาการโกรธของรุ่งก็คือ ไม่พูดด้วย เท่านั้นแหละครับ

ถ้าเป็นผม ผมก็คงโกรธเหมือนกัน นอกจากเฟรมจะลืมทำตามคำสั่งแล้ว ยังออกตัวเป็นไส้ศึกอย่างชัดเจน

“โหพี่รุ่ง พูดกับผมหน่อยเถอะ นี่บ้านพี่เขนโคตรน่าอยู่เลย ใกล้ ๆ บ้านก็มีตลาดด้วยนะพี่”

“ผมเบื่อโรงแรมอะ ผมแทบจะอาเจียนเป็นขนมปัง ไข่ดาว ไส้กรอก อิงลิช เบรคฟาสต์นั่นแล้ว”

“อยากกิน น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ไข่ลวก ไรงี้บ้างอะ” มันยกแม่น้ำทั้งห้าขึ้นมาง้อพี่ชาย โดยอ้างถึงแต่เรื่องผลประโยชน์ของตัวมันเอง เจ้าเฟรมเอ๋ย ถ้าเป็นผม ผมก็โกรธมากขึ้น รุ่งเดินหนีมันเข้าไปในสวนเล็ก ๆ หลังบ้าน

“รุ่ง...เขนขอโทษ” ผมเริ่มเคลียร์ความผิดส่วนของตัวเอง ผมทิ้งตัวนั่งที่โต๊ะหินอ่อนในสวน ตรงข้ามรุ่ง

“รุ่งไม่โทษเขนหรอก ต้องขอบใจไม่ว่า ที่ให้มาอยู่ด้วย”

“ไม่งั้นคงต้องจ่ายเงินเองชั่วคราว กว่าที่แอดมินจะทำเรื่องจองที่พักให้ใหม่” รุ่งพูดเรียบ ๆ ถึงว่าเฟรมมันถึงไม่กลัว แค่เกรง ๆ

“ขำอะไรเขน” เขามองผมแอบหัวเราะ

“ขำรุ่ง ว่าโกรธได้แค่นี้เหรอ นี่โกรธมากแล้วใช่ไหมเนี่ย”

“คนอื่นเขาไม่รู้หรอกนะว่าโกรธอยู่”

“.................................” ผมแน่ใจว่าผมได้สายตาค้อน ๆ มาทีนึง ก่อนที่จะเอ่ยตรง จนผมกลั้นหายใจ

“แล้วเขน แน่ใจเหรอ...ว่าจะให้รุ่งอยู่ด้วย ไม่เจ็บเหรอ” รุ่งยังจ้องตา ต้องการคำตอบ

ผมไม่กล้าสบตา แกล้งมองไปทางอื่น

“เขน ‘เก็บ’ ความเจ็บปวดใส่ลิ้นชักไว้แล้ว ไม่เป็นอะไรหรอก ขอแค่ให้ได้อยู่ใกล้ ๆ ได้อยู่เคียงข้าง...รุ่ง ก็พอแล้ว”

“เขน ‘เข้าใจ’ นะว่ารุ่งลืม ‘เขา’ ไม่ได้หรอก... เขนยังลืมรุ่ง ไม่ได้เลย” ผมยิ้มให้กับความรู้สึกของตัวเองก่อนที่จะกล่าวต่อไป

“แต่บางทีที่เราเรียกความรู้สึกในอดีตว่า ‘ความทรงจำ’ เพราะเราอาจไม่มีทางลืมมันได้เลยจริง ๆ ก็ได้”

“………………………” ผมสูดหายใจเต็มปอดแล้วหันกลับมาเผชิญหน้า

“แต่.....เขนจะรอรุ่ง”

“เขนไม่ได้ ‘รอ’ ให้รุ่งลืม ‘เขา’ คนนั้นหรอก”

“รุ่ง ‘เก็บ’ มันไว้เถอะ”

“แต่เขนจะรอ....ที่จะเริ่มต้นความรักครั้งใหม่กับรุ่ง”  ผมยิ้มให้กับรุ่งอย่างมีความสุข ตอนนี้ผมมีความสุขมากจริง ๆ





#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ april

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +239/-12
Re: JKL THE SERIES: KEEP: TOGETHER 04.02.2018
«ตอบ #72 เมื่อ04-02-2018 19:56:45 »

รอเป็นเพื่อนเขน

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: JKL THE SERIES: KEEP: TOGETHER 04.02.2018
«ตอบ #73 เมื่อ04-02-2018 20:33:40 »

เป็นกำลังใจให้รักมั่นคงของเขนจ้า

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: JKL THE SERIES: KEEP: TOGETHER 04.02.2018
«ตอบ #74 เมื่อ04-02-2018 23:26:04 »

 :L2: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: KEEP: PERSISTENCE 05.02.2018
«ตอบ #75 เมื่อ05-02-2018 11:13:56 »

Chapter VII

Persistence

 





“แต่.........เขนจะรอรุ่ง”

“เขนไม่ได้ ‘รอ’ ให้รุ่งลืม ‘เขา’ คนนั้นหรอก”

“รุ่ง ‘เก็บ’ มันไว้เถอะ”

“แต่เขนจะรอ....ที่จะเริ่มต้นความรักครั้งใหม่กับรุ่ง”

 

‘รอ........คำ คำนี้อีกแล้วเหรอ.....’

เขายังคงส่งรอยยิ้มกว้างที่เต็มไปด้วยความสุขกลับมาให้ผม ขณะที่ภายใน ‘สมอง’ กับ ‘หัวใจ’ ของผม กำลังทำการต่อสู้กันอย่างหนักหน่วง เราสองคนจึงปล่อยให้ความเงียบแผ่คลุมไปทั่วบรรยากาศของบ้าน เพื่อใช้เวลาฟังเสียงข้างในหัวใจของตัวเอง

บางทีความ ‘เข้าใจ’ ก็ไม่ต้องใช้คำพูดอะไร

เขนดูเหมือนจะ ‘เข้าใจ’ ผม

เขาไม่รุกเร้า กดดัน หรือต้องการคำตอบ เหมือนแค่…ต้องการบอกสิ่งที่ตั้งใจและที่เขารู้สึก เฉกเช่นเดียวกันกับที่ผมก็ ‘เข้าใจ’ เขาเสมอมา

‘เก่งจริง ๆ’ ผมชื่นชมเขาด้วยใจจริง และแอบอิจฉา ‘คนคนนี้’ เล็ก ๆ เสมอ

ถ้าเพียงแต่....ผมทำได้เหมือน ‘เขา’ เรื่องราว ความทรงจำ ความสัมพันธ์ พวกนี้ คงจบลงไปนานแล้ว แค่เพียงฟังเสียงหัวใจของตัวเองที่ค่อย ๆ ชัดเจนมากขึ้น ทุก ๆ วัน หากสำหรับผม ‘สมอง’ กลับชนะมาโดยเสมอ.....จึงต้อง ‘ฝืน’ ใจ ตัวเองมาโดยตลอด

“พี่เขน พี่เขน” เสียงตะโกนลั่นบ้านของเด็กร้ายทำลายความเงียบ

“อะไร เฟรม” เขนหันกลับไปมองคนที่กำลังวิ่งเข้ามาใหม่ในสวน ส่วนผมยังคงแสดงทีท่าโกรธอยู่

‘ไม่สนใจด้วยหรอก’

“บ้านพี่มีห้องนอนแค่สองห้องเหอะ แล้วผมนอนไหนอะ” มันโวยวาย แสดงว่าตลอดเวลา ที่หายเงียบไปคงสำรวจบ้านมาจนเรียบร้อยแล้ว

“พี่ก็บอกแล้วว่า ให้รุ่งมาคนเดียวพอ ก็ดันตามมาเอง อยากนอนไหนก็นอนไปเถอะ โซฟาก็ได้” เขนแกล้งมันผมแน่ใจ

“เฮ้ย ได้ไงอะพี่เขน พี่รุ่ง....” ยังมีหน้ามาขอความช่วยเหลือจากผม

“ไม่รู้ ก็อยากมามากนัก ก็หาทางเอง แต่ห้องนอนอีกห้องเป็นของพี่แน่นอน และพี่ก็จะนอน คนเดียว” ผมช่วยผสมโรงเอาคืน แล้วจึงเดินหนีเด็กที่กำลังโวยวายเสียงดัง และเริ่มสำรวจบ้านบ้าง

ผมไม่เคยมาบ้านเช่าของเขน แต่จำได้ว่าเขนตั้งใจตั้งแต่แรกที่จะไม่อยู่โรงแรม แต่อยากได้บ้านเช่าที่ให้อารมณ์ว่าได้มาใช้ชีวิตพื้นเมืองจริง ๆ บ้านไม้สองชั้นหลังนี้ไม่ใหญ่นัก ภายนอกร่มรื่นไปด้วยเงาต้นมะม่วงต้นสูงใหญ่หน้าบ้าน กับสวนรก ๆ เล็ก ๆ ที่มีโต๊ะหินอ่อนหลังบ้าน

เมื่อเดินเข้ามาในตัวบ้านก็จะพบโซฟาที่ไม่เข้าชุดกัน และทีวีตู้ปลาเครื่องขนาดย่อมในห้องรับแขก กับครัวที่แม้เห็นแวบแรกก็รู้ว่าไม่เคยได้ใช้งาน เพราะมีเครื่องครัวระเกะระกะวางอยู่สองสามชิ้น และห้องน้ำเล็กติดกับครัวหลังบ้าน

ผมหยิบกระเป๋าสัมภาระของผมที่ไม่ได้เก็บเอง แล้วเดินผ่านบันไดไม้ขึ้นไปชั้นสอง ของบ้าน ข้างบนมีห้องเพียงสองห้องอย่างที่เด็กร้ายมันโวยวาย ผมเปิดเข้าไปห้องแรก ก็พบที่นอนที่ยังไม่ได้เก็บกับเสื้อผ้าของเขนกองอยู่กระจัดกระจาย จึงปิดประตู และเดินไปอีกห้องตรงกันข้าม ห้องนี้ใหญ่กว่าห้องของเขน

‘ทำไมไม่นอนห้องใหญ่’ ผมแปลกใจ

 





ห้องนอนใหญ่ของบ้านมีเฉลียงระเบียงไม้เล็ก ๆ ยื่นออกไปในสวนหลังบ้าน มีเก้าอี้ไม้เล็กสองตัววางไว้เพื่อให้ชมทิวทัศน์ ซึ่งเมื่อมองพ้นรั้วบ้านไปก็เป็นทุ่งนากว้าง วิวน่าจะดีกว่าห้องด้านโน้นที่หันไปทางถนนใหญ่หน้าบ้านด้วยซ้ำ ผมไม่ได้ออกไปที่ระเบียงในทันที เพราะยังได้ยินเสียงเด็กร้ายกับเขนยังเถียงกันเบา ๆ เรื่องที่นอน

จึงหันกลับมาวางกระเป๋าไว้ที่เตียง และเมื่อเปิดดูก็พบว่า ของใช้เสื้อผ้าต่าง ๆ ถูกยัด ๆ มาด้วยกัน เรียกให้ถูกว่าถูกโยน ๆ เข้ามารวมกันในกระเป๋าก็ว่าได้ เพราะไอ้เด็กร้ายนั่นมันจัดการตอนผมลงไปกินอาหารเช้า ผมเริ่มรื้อของใช้ส่วนตัวออกมาอย่างหัวเสีย แล้วคิดถึงใบหน้าของเขนที่หัวเราะเยาะผมเรื่องการแสดงอารมณ์โกรธ ‘ว่านี่ผมโกรธได้แค่นี้เหรอ นี่โกรธมากแล้วใช่ไหมเนี่ย’ ผมโกรธนะครับ โกรธเต็มพิกัดแล้วจริง ๆ หากแต่เมื่อคนเรา ‘เก็บ’ อะไร อะไร ไว้มาก ๆ เป็นเวลานาน จนเคยชิน ก็ส่งผลให้มีปัญหา เมื่อต้องการแสดงออกมา

ผมเก็บเสื้อผ้า และข้าวของเครื่องใช้เข้าตู้เรียบร้อย ก็เดินไปนั่งที่ระเบียงเมื่อเสียงโหวกเหวกโวยวายนั่นเงียบไปได้สักพัก ปล่อยอารมณ์ให้เปิดรับสัมผัสของสีเขียวสบายตาของนาข้าวพี่กำลังพลิ้วไหวตามสายลม

‘ดีเหมือนกันนะ’

ใจจริงผมก็แอบเบื่อห้องสี่เหลี่ยมในโรงแรมอยู่มากเอาการ ในระหว่างที่ผมกำลังเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์เบื้อหน้า จึงสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ที่ทำให้ผมหันกลับไปมอง

“รุ่ง....รุ่งจ๋า เขนเข้าไปได้ไหม” คุณเจ้าของบ้านขออนุญาต

“อืมเข้ามาสิ ไม่ได้ล็อกประตู” ผมตอบแล้วหันกลับมาดูวิวต่อ เขนเดินเข้ามาหยุดด้านหลังผม บริเวณที่ประตูเชื่อมออกมานอกระเบียง

“โอเค ไหมรุ่ง พออยู่ได้ไหม บ้านมันไม่กว้างเท่าไหร่” เขาเริ่มออกตัวอย่างเกรงใจ ทั้งที่ควรจะเป็นผมมากกว่าที่ต้องเกรงใจ

“ดีเลยล่ะเขน รุ่งชอบบรรยากาศ ร่มรื่น แต่ดูปลอดโปร่งดี” เมื่อได้ยินดังนั้นร่างสูงจึงเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ข้าง ๆ อีกตัว

“คิดไว้แล้วว่ารุ่งน่าจะชอบห้องนี้” เขายิ้ม

“คิดไว้แล้วนี่แสดงว่าคิดมาตั้งแต่ต้นงั้นเหรอ” ผมหันไปถามอย่างสงสัย ประโยคมันแปลก ๆ

“เอ่อ ก็ตั้งแต่เลือกหาบ้านเช่าไง ก็เขนบอกรุ่งตั้งแต่อยู่กรุงเทพฯ แล้วว่าอยากให้มาอยู่ด้วย” เขาเริ่มเก้อเขิน หน้าขาวเริ่มมีเลือดฝาดให้เห็น

“แล้ว มั่นใจได้ยังไง ว่ารุ่งจะมาอยู่” ผมถามต่อ

“ไม่มั่นใจหรอก แต่อยากให้เป็นมากกว่า เขาใช้คำว่าอะไรนะ ‘Wish’ ปรารถนาอะ เหมือน Wish list ไง”

ผมแอบยิ้มให้กับท่าทีของเขาที่ช่างซื่อตรงกับความคิด ความรู้สึก เหลือเกิน นี่วางแผนตั้งแต่เลือกบ้าน งั้นที่เลือกไปนอนที่ห้องเล็กก็คงวางแผนไว้แล้วเช่นกัน เขนชอบเสียสละ... สิ่งที่ดีที่สุดให้คนอื่นเสมอ นิสัยพี่ชายคนโต

“แล้วเจ้านั่นล่ะ ได้ที่นอนหรือยัง มีห้องใต้บันไดไหม” ผมยังเคืองเด็กร้ายอยู่ แต่ก็อดห่วงไม่ได้

“ให้นอนห้องเขน มีฟูกที่นอนอยู่อีกอัน มันกำลังเก็บของอยู่” เขนตอบอย่างเอ็นดูเฟรม

“ให้นอนห้องรุ่งก็ได้ ห้องนั้นเล็กกว่า” ผมเสนอ

“ไม่ นอนกับเขนดีแล้ว มันอยู่ใกล้รุ่งแค่นี้ก็พอแล้ว แสบนักไม่น่าไว้ใจ” ตอบตรงไม่เกรงใจกันเลย

“ถ้ารุ่งเหงา อยากให้ใครมานอนเป็นเพื่อน ให้เขนมาดีกว่านะ” หยอดกันต่อหน้าตลอด ๆ ผมจึงถอนหายใจดัง ๆ ประชดไป เพลียเหลือเกิน

เมื่อเฟรมเก็บของเสร็จก็ตามมาสมทบที่ห้องผม แล้วโวยวายเมื่อพบว่าห้องนี้ใหญ่กว่าห้องที่มันต้องอยู่กับเขน

“โห ถ้าให้ผมอยู่ห้องนี้ ผมก็ไม่ต้องนอนฟูกเสริมอะ เตียงกว้างกว่าตั้งเยอะพี่รุ่งตัวนิดเดียว นอนกับผมสบาย”

“ไม่ได้ ไม่ต้องแม้แต่จะคิด และไม่ต้องเข้ามาในห้องนี้อีก” เขนล็อกคอ และกำลังจะลากเจ้าเฟรมออกไป

“รุ่ง ไปหาอะไรกินกันที่ตลาดเถอะ อย่าลืมล็อกห้องไว้ด้วย กุญแจห้องอยู่ที่ตู้หัวตียง” พร้อมหันกลับมากำชับผม

 





ตลาดสดหน้าซอยทางเข้าบ้าน มีร้านค้า ร้าอาหารที่เปิดตลอดวัน เรากินอาหารตามสั่งง่าย ๆ ที่ร้านข้างทางในมื้อเย็น

“พี่ครับ ขอชาเย็นแก้วนึง สั่งน้ำอะไรกัน” เขนหันกลับมาถามผมกับเฟรมหลังจากที่สั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว

“พี่รุ่ง ชอบนมสตรอเบอรี่ งั้นเอานมเย็นสองที่แล้วกัน พอแทนกันได้” นอกจากมันจะเริ่มชง มันยังเป็นไส้ศึกตัวฉกาจอีกด้วย

หลังจากที่เราสามคนอิ่มท้อง ก็เริ่มเดินย่อยในตลาดเย็นที่มีของขายตามแผงลอยข้างทาง เฟรมถือของกิน และขนมพะรุงพะรัง แทบจะซื้ออาหารทุกอย่างที่เห็น จึงทำให้ผมเริ่มใจอ่อน มันคงเบื่ออาหารโรงแรมมากจริง ๆ ถึงมีความสุขมากมายที่ได้ดินตลาดแบบนี้ ซึ่งขนมพวกนั้นก็น่ากินมากจริง ๆ ครับ ผมก็ซื้อติดมือกลับมานิดหน่อยเหมือนกัน หากแต่คนตัวโตก็ไม่ได้ยอมให้ถือเอง

“ปกติ เขนมาเดินบ่อยไหม” ผมถาม ขณะที่เฟรมวิ่งเข้าไปชาร์จร้านโรตี

“ช่วงแรก ๆ ก็มาบ้าง แต่เดินคนเดียวมันเหงา ส่วนมากก็แวะซื้อเข้าไปกินที่บ้านมากกว่า แต่ช่วงหลัง ๆ กลับจากส่งรุ่งตลาดก็วายแล้ว” ใช่สินะกว่าจะกินข้าวเย็น กว่าจะไปส่งผม ที่โรงแรม กว่าจะเข้าบ้านก็ปาเข้าไปสี่ทุ่ม ห้าทุ่มทุกคืน

“แต่มีรุ่งมาอยู่ด้วยเรามาเดินบ่อย ๆ ก็ได้ ถ้ารุ่งชอบ”

“อืม แต่เจ้านั่นคงชอบมากกว่า” ผมพยักพเยิดไปทางเด็กร้ายที่ซื้อโรตีมาหลายอัน

“จะกินเข้าไปหมดเหรอนั่น” เขนถาม

“หมดสิ พี่ก็ช่วย ๆ กันนี่ผมซื้อมาเผื่อพี่สองคนด้วย น่ารักปะล่ะ พี่เขนช่วยถือหน่อยสิ” มันชมตัวเอง พร้อมกับยื่นถุงมาให้เขน

“ใครว่าจะช่วย ซื้อเองก็ถือเอง” ถุงของกิน ของใช้ ที่เขนถืออยู่ ที่มีของผมอยู่ด้วยก็ไม่ใช่น้อย

“เออ สิ ผมไม่ได้น่ารัก บอบบางเหมือน ‘ดอกลิลลี่’ นี่” ได้ยินดังนั้น เขนจึงรีบดึงผมให้เดินนำออกไปก่อนที่ผมจะฆ่ามัน

เราเดินนำหน้าเฟรม ที่เดินร้องเพลงรักคลอเบา ๆ มาตลอดทาง เขนดูขำขำ ผมจึงคลายความเคืองเด็กร้ายมาได้บ้าง

ครับผมรู้สึกสบายใจมากขึ้น เพราะคำพูดและท่าทีของเขน ที่แม้เขายังแสดงออกอย่างซื่อตรงกับความรู้สึกซึ่งดูเหมือนจะมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เขาก็ระมัดระวังเซฟตี้โซนของผมเสมอ

รวมทั้งในส่วนที่ผมตั้งใจจะ ‘เก็บ’ ไว้ เขาก็ดูไม่สนใจจะรื้อฟื้น ซักถามหรือร้องขอให้ ‘ลืม’ มันทำให้ผมไม่อึดอัดที่เลือกจะรักษาสัมพันธภาพดี ๆ ระหว่างเราสองคนไว้

เมื่อเดินเลยตลาดมาเพียงครู่ เราก็ได้ยินเสียงแหลมเล็ก ร้องแหบ ๆ ราวกับว่าน่าจะร้องมานานพอสมควร จนเสียงใกล้แห้ง เรามองตามเสียงนั่นไปข้าง ๆ กองขยะ ผมจึงเดินเข้าไปตามเสียงที่จวนเจียนจะแหบแห้ง แล้วจึงพบลังกระดาษสีน้ำตาลใบย่อมที่ปิดอยู่

“รุ่ง ฝากของก่อน เดี๋ยวเขนดูเอง” เขนยื่นถุงที่ถือมาให้แล้วจึงย่อตัวลงไปเปิดลังกระดาษ แล้วอุ้มอะไรบางอย่างขึ้นมาด้วยท่าทีทะนุถนอม ลูกแมวตัวผอมบางสีขาว ตัวสั่นไปทั้งตัว แต่ยังคงร้องและพยายามแผดเสียงให้ดังขึ้นด้วยความตื่นกลัวทั้งที่เสียงที่ร้องออกมาแทบจะเป็นเสียงลม

“แมวอ่ะ รุ่ง ไม่รู้ใครเอามาทิ้งไว้”

“อะไรอะพี่” ตัวแสบรีบเดินเข้ามาดู

“แมวถูกทิ้ง น่าสงสารมัน” เขนตอบ ขณะกำลังลูบหัวแมวตัวเล็กเพื่อปลอบให้หายตื่นกลัว

“พี่เขนจะเลี้ยงเหรอ เราอยู่ที่ลำปางอีกไม่กี่เดือนเองนะพี่ เดี๋ยวก็กลับกรุงเทพฯ คอนโดพี่เขาให้เลี้ยงแมวเหรอ” เขาดูครุ่นคิดครู่เดียว แล้วอุ้มแมวตัวน้อยแนบอกไว้ด้วยมือข้างเดียว

“อืม ไม่เป็นไร เอากลับไปก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน” ก่อนที่จะเอื้อมอีกมือมาแย่งของในมือผม

“ไม่เป็นไรเขน เดี๋ยวรุ่งถือเอง” ผมพยายามแย่งถุงพวกนั้นกลับมา

“รุ่งไม่เป็นไร แต่เขนเป็น ถ้าให้รุ่งถือ ไม่ต้องห่วงหรอกเจ้าเปี๊ยกนี่ตัวนิดนึง” ลูกแมวสีขาวที่ยังดิ้นหาทางหนีจากมือเขน แต่ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเพราะแค่กำมือเบาก็แทบไม่เห็นเจ้าตัวจ้อยนั่นแล้ว







เมื่อกลับมาถึงบ้านทุกคนก็ยุ่งขิงกับเจ้าแมวตัวเล็กนั่น โชคดีที่ซื้อทั้งขนมนมเนยกลับมา กันเยอะ แบ่งโน่นนิดนี่หน่อย แมวตัวบางก็กินจนพุงป่องใส คงไม่ได้กินอะไรมาสักพัก เลยกินไม่ยั้งซะขนาดนั้น

ก่อนที่ผู้ชายสามคนจะเดินตามลูกแมวน้อยตัวเดียว หลังจากที่มันกินอิ่ม ขับถ่ายเรียบร้อย และเริ่มเดินหาที่นอน มันไม่ยอมนอนกล่องที่เฟรมใส่ผ้านุ่ม ๆ ไว้ให้ พออุ้มเข้าไปในกล่องก็ตะเกียกตะกายออกมาตลอด จนเหนื่อยใจ มันเดินเฉิดฉายเลือกที่นอน จนขึ้นไปชั้นที่สองของบ้าน เราลองปล่อยมันแล้วเดินตามเงียบ ๆ อยากรู้ว่ามันจะทำอะไร สักพักมันเดินมาหน้าประตูห้องผมที่ล็อกไว้แล้วร้อง ผมจึงเดินไปไขกุญแจ พอเข้าไปได้เจ้าลูกแมว ก็กระโดดขึ้นเตียง เตรียมนอนบนหมอนอย่างถือสิทธิ์

“ไม่เป็นไรเขนให้นอนนี่ก็ได้” ผมเริ่มเอ็นดูมัน น่าจะเป็นแมวบ้านมาก่อน ถึงอยู่กับคนได้เนียนขนาดนี้

“พลาดแล้ว พี่เขน หวงนัก ไงล่ะ เอามือที่สามเข้ามาเองเลยนะนี่” เฟรมเริ่มแซว

“เออ มันเป็นตัวผู้หรือตัวเมียเนี่ย” ผมหันขวับกลับไปมองคนพูดที่หน้าตาจริงจัง

“อ้าว ตัวเมียเหอะ” เฟรมเดินมายกขาลูกแมว ติดเรทหรือเปล่า

“เอองั้นไม่เป็นไร”

“เป็นเอามากนะนี่” เฟรมยังไม่หยุด

“ไป ไปได้แล้ว ออกไปทั้งคู่นั่นแหละ” ผมหมดความอดทน ทำได้แค่ถอนหายใจเสียงดัง

“ไปพี่ถูกไล่แล้ว หมาหัวเน่าเหมือนกัน ไปด้วยกัน” เฟรมชวนร่างสูงที่ยังยืนอยู่ แล้วเหมือนรู้งานเดินออกไปก่อน

“ให้มันนอนนี่ ไม่รบกวนรุ่งนะ” เขาถามย้ำ

“อืม ไม่หรอก นี่ก็มีหมอนอีกใบ” ผมตอบ แมวตัวนิดเดียวไม่น่ากลัว ถ้าน่ากลัว ก็กลัวเจ้าของแมวมากกว่า

“งั้นฝากรุ่งไว้ก่อนแล้วกัน ถ้ามันกวนเรียกเขนได้เลยนะ” มันไม่กวนอะไรหรอก ผมกลัวว่าจะนอนทับมันแบนมากกว่า

“อืม ตามนั้นล่ะ” ผมตอบ ลุกขึ้นไล่เขาพร้อมจะเดินไปปิดประตูห้อง เขนยังยืนรออยู่ที่หน้าประตู

“เขนดีใจมาก ๆ เลยที่ ‘รุ่ง’ ยอมอยู่ที่นี่” เขาพูดแล้วยังยืนยิ้ม

“อืม ขอบคุณมากนะเขน” ผมกำลังจะปิดประตู

“ราตรีสวัสดิ์ครับรุ่ง......” ปลายนิ้วเพิ่งสัมผัสริมฝีปากเขน และกำลังยื่นมา ผมถอยหลังแล้วทำหน้าดุ

ผมเป็นคน ‘ความจำ’ ดี ไม่ยอมให้เกิดขึ้นซ้ำสองหรอก เขายิ้มเขิน ๆ

“แล้วก็ไม่ต้องส่งข้อความมาอีกแล้วนะ” ผมตอกกลับ คนที่ยังคงยืนงง ผมจึงรีบปิดประตู แล้วยืนหันหลังพิงประตูที่เพิ่งล็อกสนิท มือกุมหัวใจของตัวเองไว้

ประตูห้องนอนล็อกแล้ว แต่ประตู...หัวใจกลับหวั่นไหวอย่างประหลาด

ไม่เคยหวั่นไหวแบบนี้มานาน แม้เหตุการณ์จะไม่มีอะไร

เมื่อก่อนผมก็...หวั่นไหวบ้าง ผมยอมรับ แต่ตอนนั้นมันเกิดขึ้นพร้อมความรู้สึกเจ็บ ๆ จุก ๆ บอกไม่ถูก

แต่ครั้งนี้.... มันไม่มีอาการเจ็บนั่น ทำไม......

ผมเริ่มกลัวใจตัวเอง กลัวว่าจะคง ‘ฝืน’ ให้นิ่งเฉยได้อีกไม่นาน......

 

ในขณะนั้นนอกประตูอีกด้านผู้ชายอีกคนก็ทรุดนั่งพิงประตูบานนั้นอยู่เช่นเดียวกัน มือกุมหัวใจของตัวเองไว้ ยิ้มกว้างสว่างไสวอยู่คนเดียว

 

ตลอดเวลาผมทำใจไว้เสมอว่า จะ ‘รัก’ แม้ว่าจะสูญเปล่า......

เพราะตลอดมา....ที่เพียรส่งความรักไป เหมือนคลื่นกระทบหินผา ไม่เคยมีปฏิกิริยาใด ๆ ตอบกลับ แต่…..ประโยคประชดประชันเพียงประโยคเดียว

 

‘แล้วก็ไม่ต้องส่งข้อความมาแล้วนะ’

 

อ่านสินะ......

‘รุ่ง’ อ่านข้อความที่ผมเพียรส่งไป........ ทุกวัน ทุกคืน

 

หัวใจของผมพองโต





#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: JKL THE SERIES: KEEP: PERSISTENCE 05.02.2018
«ตอบ #76 เมื่อ05-02-2018 11:30:39 »

 :L2: :pig4: :L1:

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: KEEP: RETURN 06.02.2018
«ตอบ #77 เมื่อ06-02-2018 10:20:52 »

Chapter VIII

Return

 

เป็นเช้าวันอาทิตย์ที่แสนสดชื่นจริง ๆ ครับ เมื่อได้ตื่นเช้ามาสูดกลิ่นไอธรรมชาติ แม้ใจจริงผมอยากนอนต่ออีกสักหน่อยก็เถอะ แต่เมื่อแมวตัวเล็กมันอยากเข้าห้องน้ำ เดินวนเวียนแล้ววนเวียนอีก ร้องซะลั่นห้อง ผมจึงจำเป็นต้องลุกพามันมาที่สวนหลังบ้านเพื่อให้มันปฏิบัติภารกิจ แล้วนั่งมองดูมันนั่งเลียขนทำความสะอาดตัวเอง

ขนสีขาวขมุกขมัวของแมวน้อยที่เห็นตอนพบครั้งแรก เริ่มสะอาดขึ้นหลังจากเมื่อคืนที่เขนเอาผ้าชุบน้ำบิดหมาด ๆ เช็ดตัวให้มันอย่างเร็วจนขนฟู ซึ่งดูเหมือนเช้านี้แมวน้อยจะรีบตกแต่งขนใหม่ให้เป็นสไตล์ที่เป็นมันเอง ยิ่งดูเจ้าแมวน้อยกับคนที่เก็บมันมาน่าจะขาวสว่างใสเกือบเท่า ๆ กัน

“รุ่ง Morning ครับ” น่าจะตายยากทีเดียว แค่คิดถึงเจ้าตัวก็มา

“ทำไมตื่นเช้าจัง เจ้า ‘เหมียว’ มันกวนหรือเปล่า” เขาถามขณะเดินมานั่งข้างที่โต๊ะหินอ่อน

“เปล่าหรอก เมื่อคืนก็นอนด้วยกันดี ถ้าจะมีก็ตอนเช้าน่ะ มันอยากเข้าห้องน้ำ เลยพามา” เหมือนรู้ว่าคนตัวโตมา เจ้าแมวน้อยรีบเดินมากระโดดนั่งตักเขนเลยทีเดียว มันมองหน้าแล้วร้อง

“มันจะเอาอะไร มันจะหิวหรือเปล่านะรุ่ง” เกมส์ทายใจแมวน้อยเริ่มต้นขึ้น เพราะเราสองคนไม่เคยมีใครเลี้ยงแมวมาก่อนเลย

“มีนมในตู้เย็น เดี๋ยวลองเอามาให้กินดูก่อน” ผมบอกพร้อมลุกไปเทนมใส่จานมาให้ มันรีบตะกุยตะกายจากตักเขนมาที่จานแล้วกินอย่างไม่คิดชีวิตเหมือนเมื่อคืน

“แมวกินอะไรบ้างอะรุ่ง” เขนถาม

“เอ่อ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เล็ก ๆ นี่น่าจะกินนมมั้ง แต่ถ้าโตหน่อยก็รู้แค่ว่าแมวชอบปลาทู” หรือเปล่า ผมตอบอย่างไม่แน่ใจ

“รุ่งว่า ลองไปถามสัตวแพทย์ดีกว่าว่าต้องเลี้ยงยังไง แต่ตกลงเขนจะเลี้ยงมันจริง ๆ เหรอ” เขนดูครุ่นคิดสักครู่

“ไม่รู้เหมือนกัน...แต่สงสารมัน ลองเลี้ยงดูก่อน เดี๋ยวค่อยไปถามที่ไซด์ ว่าใครอยากได้ลูกแมวบ้าง” น้ำเสียงเหมือนยังตัดใจไม่ได้

“งั้นพาไปร้านหมอก่อน แล้วค่อยว่ากัน” ผมจึงสรุปให้

“อืม”







เราได้ข้อมูลมาจากร้านหมอมากมาย และเจ้าเหมียวก็โดนจิ้มไปหนึ่งเข็ม คุณหมอดูจะขำ ๆ ที่ผู้ชายสามคนกำลังพยายามจะเริ่มเลี้ยงแมว ก่อนกลับบ้านเราแวะซื้ออาหารแมว และอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการเลี้ยง ชามอาหาร กระบะทราย ทรายแมว ของเล่นแมว ที่ร้านขายอาหารสัตว์

ก่อนจะมามุงแมวกันอีกครั้งที่บ้าน ทั้งบังคับให้กินยาถ่ายพยาธิ พยายามจะตัดเล็บให้มัน ตามที่คุณหมอสอน หลังจากที่มันข่วนเขนเลือดซิบไปหนึ่งที ตอนที่จับมันให้คุณหมอฉีดยา แล้วตั้งชื่อเล่นชั่วคราวของมันว่า 'เหมียว' ก็เขนเรียกมันอย่างนั้นเมื่อเช้าก็น่ารักดีผมว่า

วันพักผ่อนทั้งวันจึงกลายเป็นวันเจ้าเหมียวไปโดยปริยาย เท่าที่สังเกตเจ้าเหมียวดูจะติดเขนเอามาก ๆ ทั้งเล่นซน และคลอเคลียเขนไม่ห่าง เหมือนจำได้ว่าใครเป็นคนแรกที่ช่วยมันมา

“แหม เสน่ห์แรงจริงพี่เขน อย่าว่าแต่สาว ๆ เลย แมวยังติดใจ พี่รุ่งอย่าเล่นตัวมากล่ะ เดี๋ยวมีแมวขโมยชิงตัดหน้าไป” เรื่องเก่ายังไม่หายเคืองกันดี เจ้าเฟรมก็เริ่มสร้างเรื่องใหม่

มันทิ้งระเบิดไว้ก่อนที่จะลากเมียกีต้าร์ของผม หนีไปเล่นข้างบนบ้าน

“........................”

“ยิ้มอะไร” ผมถาม ขณะที่เขนกำลังลูบตัวเจ้าเหมียวที่นอนอยู่บนตัก

“เปล่า ยิ้มให้ตัวเอง” ไปโรงบาลไหมเขน ผมแอบคิด

“รุ่งไม่ต้องกลัวแมวขโมยอย่างที่เฟรมบอกเลยนะ สายตาเขน ความรักที่เขนมี ไม่เคยมีให้ใครคนอื่นเลยนอกจากรุ่ง”

“ตั้งแต่เขนตกหลุมรักรุ่งครั้งแรกที่มหา’ลัย จนรุ่งไปเรียนต่อ มีใครหลาย ๆ คนผ่านเข้ามา”

“ตอนนั้น....เขนก็ไม่รู้หรอกว่าทำไม เขนถึงรักใครไม่ได้เลย..........”

“จนมาพบรุ่งอีกครั้ง เขนถึงเข้าใจว่าตลอดมาเขนไม่เคยมองเห็นใครอีกเลย” เหมือนความรู้สึกที่ถูก ‘เก็บ’ มันพรั่งพรูออกมาจากใจของเขน

ผมได้แต่อึ้ง....กับเรื่องราวหลายอย่างที่ได้รับรู้จากมุมมองของอีกคน

“ตอนแรกเขนก็พยายามนะที่จะหักห้ามใจ แต่มัน...บังคับตัวเองไม่ได้เลย เขนตื่นมารอรุ่งหน้าลิฟต์ทุกเช้า ขอแค่เพียงได้เห็นหน้ารุ่งตอนนั้นก็ดีใจมากแล้ว ทั้งที่รู้ว่ารุ่งอาจไม่เห็นเขนเลย.....”

ไม่ ไม่ใช่หรอกผมคิด ทำไมจะไม่เห็น แต่.....

“จนได้มาทำโปรเจคนี้ ครั้งแรกที่เขนเห็นรุ่งที่ห้องประชุม...เขนดีใจมาก ที่ได้มีโอกาสได้รู้จักรุ่งจริง ๆ สักที”

“ดีใจที่วันนั้นกล้าที่จะชวนรุ่งลงไปกินข้าว กลับไปคืนนั้นเขนนอนไม่หลับเลย”

“เหมือนกำลังตกหลุมรักครั้งที่สอง ที่ลึกลงไปกว่าเดิม และเขนคงจะออกมาไม่ได้อีกแล้วตลอดชีวิต” เขนเสมือนตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองแล้วกำลังเพ้อออกมา

แม้เรื่องราวต่าง ๆ ยังดำเนินอยู่ และยังไม่มีบทสรุป

แม้ผมเคยปฏิเสธไปแล้ว ครั้งหนึ่ง

 

เขาก็ยังยิ้มอย่างมีความสุข กับความรักของเขา

ในขณะที่หัวใจของผม มันกำลังสั่นคลอน

 







เมื่อมีเจ้าเหมียวเข้ามาในชีวิต เหมือนชีวิตชายโสดของพวกเราสามคนหมดลง ไม่ได้กินข้าวนอกบ้าน และเที่ยวเล่นเตร็ดเตร่ในตอนเย็นเช่นเดิม เพราะต้องรีบกลับซื้อข้าวเข้ามากินที่บ้าน เพื่อมาให้อาหาร และเป็นเพื่อนเล่นของเหมียว ก็ออกอาการเห่อพอ ๆ กันทั้งสามคน ไม่เว้นแม้เจ้าเฟรม ที่ขยันซื้อของเล่นแมวเข้ามาหลอกล่อดึงความสนใจเจ้าเหมียวจากเขน

“แหม....พี่เขนก็ได้ให้อาหาร พี่รุ่งก็นอนกับมัน ก็ให้มันเล่นกับผมบ้างเหอะ” เด็กมันเหวี่ยงขณะที่เหมียวมันสนใจอยากเล่นกับเขนมากกว่า

อย่าพูดถึงเรื่องจะยกเหมียวให้ใครเลย แค่นี้ก็แย่งกันอุตลุดจนถึงขั้นต้องแบ่งคิวกันเลยทีเดียว โชคดีที่ผมได้ล็อกคิวเวลานอน ไม่ได้ขี้โกงนะ แต่เหมียวมันเลือกผมเอง ปัญหาแย่งคิวดาราช่วงเย็นส่วนมากก็เป็นของเขนกับเฟรม

เย็นวันพุธฝนตกหนัก เรารีบซื้อข้าวเย็นแล้วรีบบึ่งรถกลับบ้านเพื่อมาหาเหมียวเช่นเคย มันอยู่กลางวันตัวเดียวคงเหงา เมื่อมาถึงบ้านเขนกับเฟรมก็รีบแย่งกันไปชิงคิวดาราเช่นเคย

“อ้าว มีอะไรกัน” ผมตามมาสมทบในบ้าน ก็เห็นผู้ชายสองคนเริ่มเดินกันขวักไขว่ เหมือนเล่นซ่อนหา

“เหมียวมันไปไหน ไม่รู้รุ่ง” เขนตอบ

“ไปดูข้างบนหรือยัง เดี๋ยวรุ่งไปดูที่ห้องให้”

 

ตอนนี้เลยเป็นผู้ชายสามคนเดินกันขวักไขว่ทั่วบ้านแทน เขนกับเฟรมเริ่มออกไปดูบริเวณรอบบ้าน ส่วนผมถูกมาเฟียกำชับให้ดูในบ้านให้ละเอียดอีกครั้ง

“รุ่งไม่ต้องออกมา ฝนตกหนักเดี๋ยวไม่สบาย หาเหมียวในบ้านให้เขนอีกรอบแล้วกัน”

เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่า เขนกับเฟรมเดินเข้ามาด้วยสภาพเปียกปอน

“เป็นไงบ้าง เจอไหม” ผมรีบถาม เฟรมส่ายหน้า ขณะที่เขนนิ่งเงียบ

“เดี๋ยวรอให้ฝนซาสักหน่อย เถอะแล้วออกไปช่วยกันหาใหม่ ไปอาบน้ำสระผมกันก่อนเดี๋ยวเป็นหวัด” เฟรมทำตามอย่างว่าง่าย ขณะที่อีกคน

“เขนขอออกไปดูอีกรอบก่อน” เขนกำลังหันหลังกลับไปหาต่อ

“เดี๋ยว...เขน ให้รุ่งไปด้วย” ผมกำลังจะวิ่งตามไป

“รุ่งกินข้าวหรือยัง” เขามองไปที่โต๊ะอาหารในครัว

“เดี๋ยวค่อยรอกลับมากินพร้อมกันก็ได้”

“ไม่ได้ รุ่งกินไปก่อนเลยนะ อยู่นี่แหละเดี๋ยวเขนมา” ผมจึงโดนบังคับให้อยู่ในบ้านอีกรอบ

ผมกับเฟรมกินข้าวเสร็จก็มานั่งรอเขนที่ห้องรับแขก จะห้าทุ่มแล้วเขนยังไม่ได้กินอะไรเลย ฝนก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะซาลง กลับตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนผมเริ่มร้อนใจ เพราะเขนไม่ได้เอาร่มไปด้วย

“เฟรมรออยู่ที่นี่นะ เดี๋ยวพี่ไปตามเขนก่อน” ผมเดินไปหยิบร่ม

“ผมไปเองก็ได้พี่” เฟรมกำลังจะแย่งผมอีกคน

“เฟรมอาบน้ำสระผมแล้ว ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพี่รีบไปรีบมา” ผมจึงรีบตัดบท

 

ผมเดินฝ่าสายฝนมาถึงหน้าบ้าน ก็เห็นร่างสูงกำลังห่อตัวเดินเข้ามาอย่างเร็ว ผมจึงรีบแบ่งที่ในร่มให้

“เจอแล้วรุ่ง” เขนห่อตัวบังฝนให้เจ้าเหมียวตัวสีขาวที่กำลังสั่น

“สงสัยโดนหมาไล่ เขนไปเจอบนต้นไม้ซอยถัดไป” นอกจากเหมียวตัวสั่น ผมก็สังเกตว่า คนตัวโตก็กำลังสั่น จนปากเขียว

“อืม รีบเข้าบ้านก่อน” ผมรีบนำเข้ามาในบ้าน

“เขนส่งเหมียวให้เฟรมดูต่อก่อน เขนไปอาบน้ำ” ผมเริ่มออกคำสั่งบ้าง ขณะที่เขนละล้าละลังเป็นห่วงเหมียว ผมเลยใช้วิธีลากคนตัวโตขึ้นมาบนห้อง ยื่นผ้าเช็ดตัวให้ และผลักเข้าห้องน้ำไป แล้วจึงเดินกลับมาดูเหมียวกับเฟรม

“เหมียวเป็นไงบ้าง มีแผลอะไรไหม” ตอนนี้เจ้าเหมียวถูกเฟรมใช้ผ้าเช็ดจนขนแห้งฟูฟ่อง นอนหลับอยู่ในอ้อมอกเฟรม

“ผมดูแล้วไม่มีนะพี่ แต่ยังสั่นอยู่เลย ผมให้กินนมแล้ว เลยกอดไว้ให้มันหายหนาว” เฟรมตอบ

“งั้นเฟรมเอามันขึ้นไปนอนห้องพี่ก่อน” เฟรมกำลังจะขยับลุกขึ้นช้า กลัวเหมียวตื่น

“อ่อ ลืมไปเฟรมเดี๋ยวก่อน” ผมเดินไปหยิบยาลดไข้ มาพร้อมแก้วน้ำยื่นให้

“กินกันไว้ก่อนเดี๋ยวเป็นหวัด” ผมบังคับ

“โห พี่ผมไม่เป็นอะไรหรอก ไปห่วงแฟนพี่ดีกว่า” มันยังกวน

“จะกินไม่กินเฟรม” ผมเริ่มติดนิสัยมาจากมาเฟียมาแล้วใช่ไหม

 

ในขณะที่ผมบังคับคนหนึ่งได้ แต่มันไม่ได้ผลกับอีกคน

“เขน ลงไปกินข้าวก่อน จะได้กินยา” ผมขึ้นมาตามเขนที่ห้อง เจ้าตัวอาบน้ำเสร็จก็นอนลงทั้งที่ไม่เช็ดหัวให้แห้ง

“เขนมึนหัว ขอนอนพักแป๊บเดียว เดี๋ยวก็หายไม่เป็นไรนะรุ่ง” ผมรู้ คนตัวโตไม่ชอบกินยา

“ดูสิตาแดง จมูกแดง หัวก็ยังไม่แห้ง ลุกขึ้นมาก่อนนะเขน” ผมพยายามดึงแต่ไม่เป็นผล เขนนอนคว่ำซุกหน้าหนี แถมทำเสียงแกล้งกรนให้ด้วยซ้ำ จนผมอ่อนใจ

 







เช้าวันรุ่งขึ้นก็เป็นไปตามคาดเฟรมมาตามแต่เช้ามืดว่าเขนไข้ขึ้นสูง แต่ยังคงดื้อไม่ยอมไปโรงพยาบาล เฟรมจึงต้องมาเช็ดตัวเพื่อลดไข้ให้ โดยมีผมนั่งกำกับ

“คนมีความรักก็งี้แหละ เป็นหวัดง่ายมีคนเอาใจหน่อยก็หาย” เจ้าคนดื้อยังฝืนพูดทั้งที่เสียงแหบแห้ง

“เอาไงดีพี่รุ่ง” เฟรมถามขึ้นเพราะถึงเวลาที่เราต้องไปทำงานแล้ว

“เฟรมไปทำงานเถอะพี่เฝ้าเอง ฝากแจ้งฝ่ายบุคคลว่าเขนไม่สบาย ส่วนพี่ Work @ Home ถ้ามีอะไรด่วนก็โทรมา” ผมตัดสินใจ เฟรมยังไม่ผ่านทดลองงาน หยุดจะดูไม่ดี แต่ผมสามารถทำงานที่บ้านได้ ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศทุกวันด้วยซ้ำ

“งั้นผมไปก่อนนะพี่” เฟรมบอกก่อนออกไป

 

เมื่อเจ้าเฟรมออกไปทำงาน ผมก็หอบโน้ตบุ๊กมานั่งทำงานที่ห้องของเขน ตอนนี้เจ้าของห้องหลับสนิทไปด้วยฤทธิ์ยา แต่กว่าจะกินยาได้ ต้องทั้งขู่ทั้งปลอบ ยากยิ่งกว่าบังคับ เจ้าเหมียวกินยาถ่ายพยาธิซะอีก

"รุ่ง.....รุ่ง......รุ่งจ๋า....." ผมเดินไปดูเขนที่เตียงตามเสียงเรียก

"เขน เป็นอะไร อยากได้อะไรหรือเปล่า?" เขนยังคงหลับตา ละเมอสินะ

คิ้วหนาขมวดชนกัน ใบหน้าขาวมีสีแดงระเรื่อ เหงื่อเริ่มชุ่มไปทั่ว ไข้ขึ้นเหรอ... ผมวางมือลงที่หน้าผากขาวเพื่อวัดอุณหภูมิ ไข้สูงจริง ๆ ด้วย ยังไม่ถึงสี่ชั่วโมงเลยที่กินยาลดไข้ คงต้องเช็ดตัวลดไข้อีกครั้ง ผมนำผ้าขนหนูกับอ่างใบเล็กมาวางไว้ข้างเตียง

'เฮ้อ.....ดื้อไม่เข้าเรื่องจริง ๆ นะเขน' เมื่อความร้อนของร่างกายถูกดูดซับออกมา สีหน้าของเขนก็ดูดีขึ้น

แต่ถ้าเพียงคนป่วยตื่นมาเห็นคนที่กำลังพยาบาลตอนนี้....

ผมรู้สึกว่าเลือดกำลังสูบฉีดพล่านไปทั่ว ใจของผมกำลังเต้นแรงจนได้ยินอย่างชัดเจนในความเงียบนี้

คงเพราะเป็นเวลานาน......นานมาก

ที่เราเคยได้อยู่ใกล้กันมาก.....มากเท่าขณะนี้

 

เมื่อเช็ดตัวเสร็จก็ใกล้เวลากินยาอีกครั้ง ผมจึงลงไปอุ่นโจ๊กที่เฟรมซื้อมาให้ก่อนไปทำงาน ผมถอนหายใจ แค่คิดยังเหนื่อยเลย ถ้าไม่กินคราวนี้จะจับกรอกจริง ๆ ด้วย

"เขน.....เขน......ตื่นก่อน กินโจ๊กก่อนนะ" ผมพยายามปลุกเจ้าตัวโต เขนไม่เคย ไม่ขานรับผม ทำไมไข้ขึ้นอีกแล้วล่ะเพิ่งเช็ดตัวไปเอง

"เขน เขน ได้ยินรุ่งไหม...เขน" ตัวยังร้อนมาก ไม่ได้การแล้ว ต้อง ‘ป้อนยา’ ลดไข้ให้ได้ก่อน และต้องลากไปโรงพยาบาลให้ได้

 

ผมรวบรวมความกล้า

ความกล้าที่ต้องใกล้ชิด...มากขนาดนั้น

 

ความกล้าที่ต้อง...เสี่ยงเล่นกับความรู้สึกใน ‘หัวใจ’ ตัวเอง

ผมต้องตัดสินใจในชั่วเสี้ยววินาที เพราะ....หัวใจตอนนี้กำลังร่ำร้อง.......

 

ไม่สามารถสูญเสีย ‘เขน’ ไปได้อีกแล้ว

แม้ว่าในอนาคตความสัมพันธ์ นั้นจะเป็นเช่นไร........ ผมกลั้นใจ

 







“อ้าว พี่รุ่งอยู่นี่เอง พี่เขนเป็นไงบ้าง........”

“ผมได้รับข้อความแล้วรีบมาเลย” เฟรมหอบไปขณะกำลังพูดรัว

“……………………………....”

“พี่รุ่ง...... พี่รุ่ง……ได้ยินไหม พี่เขนเป็นหนักเหรอ ไหนอยู่ไหน อยู่ห้องไหนพี่” เฟรมเริ่มลุกลี้ลุกลน

“.......ไม่เป็นไรแล้ว ถึงมือหมอแล้ว” ผมรวบรวมสติตอบน้องก่อนที่จะตกใจไปมากกว่านี้

“พ...พอดีไข้ขึ้นสูงมาก.......กลัวช็อค พี่เลยพามาโรงพยาบาลก่อน”

“ตอนนี้ไข้เริ่มลดแล้ว หมอฉีดยาลดไข้และให้น้ำเกลือ ตอนนี้ให้นอนพักอยู่สงสัยว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่ ต้องรอดูอาการ”

“เฮ้อ....ค่อยโล่งหน่อย ก็ดูหน้าพี่รุ่งสิซีดขนาดนี้ นึกว่าพี่เขนเป็นอะไรไป” หน้าผมตอนนี้เหรอ

“.........เฟรมเข้าไปเยี่ยมก่อนสิ อยู่ห้องยี่สิบ ตึกห้า ไม่แน่ใจว่าตื่นหรือยัง เดี๋ยวพี่ตามไป” ผมตอบในขณะที่สติของตัวเองค่อย ๆ กลับมา ผมกำลังนั่งอยู่ที่ทางเข้าหน้าห้องตรวจสมองยังมึน ๆ เบลอ ๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจริง ๆ รับรู้เพียงต้องพาเขนมาให้ถึงโรงพยาบาล ต้องใช้แรงที่มีทั้งหมดกึ่งพยุง กึ่งลากคนป่วยมาที่รถ และขับรถมาที่โรงพยาบาล

 

แต่

สิ่งที่ทำให้สติขาดหายไป.......... เมื่อหวนคิดย้อนกลับ...........

ก็เริ่มรู้สึกร้อนผะผ่าว ที่ริมฝีปากตัวเอง จนเผลอยกมือขึ้นมาปิด

 

ตอนนั้น.....ผมรู้แต่เพียงต้อง ‘ป้อนยา’ ลดไข้ให้ได้ เพื่อประวิงเวลาลดอาการไข้ ที่ถ้าขึ้นสูงมากอาจช็อคได้ ไข้ของคนป่วยกำลังขึ้นสูง เพ้อเรียก เพียง..........

‘รุ่ง…......รุ่ง…......รุ่งจ๋า’

 

เพียงชั่ววินาที สมองผมประมวลวิธีการ ‘ป้อนยา’ ให้กับคนป่วยที่ไม่ได้สติเพียง.....วิธีเดียว  เมื่อรวบรวมความกล้าได้ ผมใช้มือประคองใบหน้าขาวที่ตอนนี้แดงจัดร้อนระอุไปทั่วด้วยพิษไข้ ก่อนที่จะโน้มตัวลงค่อย ๆ บรรจงประทับริมฝีปากลงไป ขบเม้มเบา ๆ ที่เรียวปากสีแดงสดภายนอก เพื่อให้คนใต้ร่างเผยอเปิดช่องให้ลิ้นเรียวบางแทรกลงไปจูบ...... อย่างดูดดื่ม ปลุกเร้าให้คนที่ขาดสติจูบตอบ สอดประสานเรียวลิ้นอย่างไม่รู้ตัว

“อือ.........อืม”

เมื่อร่างสูงเริ่มคราง...กับจูบรสหวาน...ด้วยอารมณ์เพ้อ...กึ่งฝัน ก็รีบถอนริมฝีปากออกมา หยิบยาเม็ดลดไข้ใส่ปากตัวเอง

“รุ่ง.............”

“อยู่นี่...........” ก่อนที่จะกดจูบลงไปอีกครั้ง คนใต้ร่างเปิดริมฝีปากตอบรับทันทีในครั้งนี้ ลิ้นเรียวบางค่อย ๆ สอดแทรก กดจูบลงลึก แล้วดันยาเม็ดลดไข้ลงให้ลึกเท่าที่จะลึกได้

เมื่อได้รสขมของยาที่ตัดกันกับความหวานของรสจูบคนป่วยจึงเริ่มจะเบือนหน้าหนี มือเล็ก ๆ จึงต้องฝืนใบหน้าขาวไว้ เพิ่มดีกรีของการจูบให้ลึกขึ้นเพื่อเพิ่มรสหวาน..... สรรค์สร้างอารมณ์มัวเมาดื่มด่ำในรสจูบ จนคนไข้เผลอกลืนเม็ดยาเข้าไป และรีบถอนริมฝีปากออก

 

ก่อนที่ทุกๆอย่างจะไปผ่านไปเร็วดัง...ภาพฝัน...........

มันเป็นวิธีเดียวที่คิดได้....

 

เพราะ ‘เขา’ คนนั้น

‘เขา’ คนนั้น......ในความทรงจำที่ติดตรึงฝังลึก........

 

เคย..........

เคย............ใช้วิธีนี้.....กับผม

 

‘ความทรงจำ’ บางอย่าง…….

กำลังหวนกลับ......ซ้ำ......ย้ำ...... รอยเดิม





#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: JKL THE SERIES: KEEP: RETURN 06.02.2018
«ตอบ #78 เมื่อ06-02-2018 12:00:28 »

หวานมากกกก

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: JKL THE SERIES: KEEP: RETURN 06.02.2018
«ตอบ #79 เมื่อ06-02-2018 13:23:07 »

รุ่งจำอดีตได้เหรอ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: JKL THE SERIES: KEEP: RETURN 06.02.2018
« ตอบ #79 เมื่อ: 06-02-2018 13:23:07 »





ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: JKL THE SERIES: KEEP: RETURN 06.02.2018
«ตอบ #80 เมื่อ06-02-2018 17:17:19 »

ละมุนละไมมากจ้า

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: KEEP: DREAM 07.02.2018
«ตอบ #81 เมื่อ07-02-2018 10:03:19 »

Chapter IX

Dream



 

“พูดไม่รู้เรื่องหรือไง!!! บอกให้ถอดออก ถ้าไม่ทำผมจะทำเอง” ผมตะโกนอย่างเหลืออด

“ไม่ได้นะคะคุณ ยังถอดสายน้ำเกลือออกไม่ได้ คุณหมอยังไม่อนุญาต” นางพยาบาลคนที่ดูอายุมากที่สุดเป็นคนตอบ ตอนนี้มีทั้งนางพยาบาล และบุรุษพยาบาลมายืนอออยู่ เต็มห้อง

“แล้วหมออยู่ไหน คนอนุญาตได้ไปไหน แล้วมากันเยอะแยะทำไม ไม่ได้เรื่องสักคน” ผมดึงสายน้ำเกลือออกเองก็ได้ ก็แค่นี้

“ถอยไป! ไป! ไปให้หมด” ผมจะออกไปจากห้องนี้ จะไป....

“อะไรกันครับ เกิดอะไรขึ้น” คนที่ผมกำลังจะไปหา พุ่งเข้ามาในห้องพร้อมเฟรม

“......................................” เสียงในห้องเงียบกริบ มองมาที่ผมคนเดียว อ้าวซวยละสิ

“อะไรกันเขน โวยวายอะไรดังไปถึงข้างนอก ทำไมไม่พักผ่อน” รุ่งส่งสายตาดุ ผมก็ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย คนพวกนี้ต่างหาก

“รุ่งจ๋า..............เขนตื่นมาหารุ่งไม่เจอ จะออกไปตามหา” ผมรีบเดินมาจับแขนรุ่งไว้ หน้าหวานถอนหายใจ เหมือนจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“อ้าว....แล้วทำไมสายน้ำเกลือหลุด เลือดไหลใหญ่แล้ว กลับไปนอนเลย” ผมจำต้องยอมกลับไปนอนแต่ก็ลากรุ่งไปด้วย

".........................................."

“คุณพยาบาลครับ รบกวนช่วยดูแผลให้หน่อยครับ” ทีกับคนอื่นพูดซะเพราะ ทีกับผมดุเอา ดุเอา คุณพยาบาลเข้ามาห้ามเลือดจากแผลที่ผมดึงเข็มที่แทงน้ำเกลือออก

“แล้วหายดีแล้วเหรอ ดึงเข็มออกทำไม”

“ก็รุ่งไม่อยู่ ให้ไอ้เฟรมไปตามก็ไม่มาซักที เขนก็จะออกไปตามเอง”

“ตอนแรกก็บอกให้เอาน้ำเกลือออกให้ดี ๆ ก็ไม่ยอม เขนก็เลย.........”

“ดึงออกเองเหรอพี่ โห.........เท่ห์สุด ๆ อะ ไม่เจ็บเหรอ” เฟรมมันมองตามนางพยาบาลที่ทำแผลให้

“เจ็บสิวะ ถามได้”

“โคตรแมนเลยพี่” เฟรมมองผมอย่างชื่นชม ในขณะที่รุ่งส่ายหัว

“โคตรดื้อ ล่ะสิไม่ว่า”

“ดูสิ เขาเลยวุ่นวายกันหมดเห็นไหมเขน ไม่อายบ้างหรือไง” คุณพยาบาลยังแอบยิ้มขำผม เมื่อเห็นว่าผมแพ้ทางร่างบางข้างหน้า

“ก็รุ่งหายไป” ผมตอบเลี่ยง ๆ ก็จะอายก็ตอนรุ่งเข้ามาดุนี่แหละ

“จะไม่ให้รุ่งไปไหนเลยรึไง เขนไม่ใช่เป็นเด็กแล้วนะถึงอยู่คนเดียวไม่ได้ เจ้าเหมียวยังเก่งกว่าเลย”

“ก็ปล่อยให้เหมียวมันเก่งกว่าไป ก็เขนอยากอยู่กับรุ่ง” ผมตอบเอาแต่ใจ

“แล้วรุ่งไปไหนมา เขนรอ.....ตื่นมาก็ยังไม่เห็นรุ่ง ให้เฟรมไปตามก็ไม่มา” รีบอ้อนต่อ

“น้องมันก็มาตามแล้ว แต่ยังไม่ได้กินข้าว ก็เลยไปหาอะไรกินกันหน้าโรงพยาบาล”

“หรือไม่ต้องให้กินอะไรเลย หรือไง” หน้าหวานเริ่มเหวี่ยงใส่

“ก็เขนคิดถึง เขนไม่ชอบโรงพยาบาล รุ่งจ๋า.......เรากลับบ้านกันนะ”

“คุณหมอให้กลับได้แล้วเหรอ”

“อืม...เอ่อ...................”

“ยังค่ะ” พยาบาลที่เถียงกับผมตอบอย่างเหลืออด

“เขนจ๋า.............รุ่งให้เลือก ซ้ายหรือขวา” รุ่งกลับมายิ้มหวานให้ผม

“เลือกอะไรอะ อะไรซ้าย อะไรขวา” ผมยังงง รุ่งจะให้อะไร

“เลือกมาก่อน เดี๋ยวบอก” ขวาร้าย ซ้ายดี ผมคิด

“เอา...ซ้าย”

“คุณพยาบาลครับ ต้องให้น้ำเกลือใหม่ใช่ไหมครับ เจาะข้างซ้ายได้เลยครับ”

ผมจะจำจนวันตายว่ายิ้มอย่างนั้น.........โคตรน่ากลัว

 





ผมตื่นเช้ามาก็ไม่เห็นรุ่งอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ผมเลือกที่จะรอคอยอย่างสงบ ก็เมื่อคืนผู้ชายหน้าสวยคนนั้นขู่ไว้.....

‘ถ้าเขนสร้างเรื่องอะไรอีก แม้แต่อย่างเดียว...จะให้เฟรมมาเฝ้า แล้วรุ่งจะไม่มาอีก แม้แต่มาเยี่ยมก็จะไม่มา’ คนคนนี้พูดจริงทำจริงซะด้วย เรื่องอะไรจะให้ไอ้เด็กร้ายนั่นเฝ้า ผมรอเฉย ๆ ก็ได้

“คุณรุ่งฝากบอกว่า...จะกลับไปบ้านไปทำธุระ แล้วจะเข้ามาทานอาหารเช้าด้วยนะคะ” แม้จะเปลี่ยนเวรกันแล้วแต่ดูเหมือนพยาบาลทุกคนจะรู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น

“นี่ยาก่อนอาหารค่ะ” พยาบาลยื่นถ้วยแก้ว ถ้วยเล็กที่บรรจุยาเม็ดเล็กสีสันสดใส

“วางไว้ที่โต๊ะก่อนครับ” รุ่งไม่อยู่ก็ไม่ต้องกิน เดี๋ยวแอบทิ้งก็ได้ ก็รุ่งไม่อยู่กับเขนเอง

“ไม่ได้หรอกค่ะ คุณรุ่งกำชับไว้ว่าให้ทานให้ดูต่อหน้า กลืนแล้วให้อ้าปากให้ดูด้วย” พยาบาลตอบยิ้ม ๆ

“คุณพยาบาลคนสวยครับ ผมไม่ต้องกินไม่ได้เหรอครับ ขอเป็นยาฉีดได้ไหม ฉีดใส่น้ำเกลือนี่ก็ได้” ไหน ๆ ก็เจ็บเพราะเข็มน้ำเกลือสองแผลแล้ว ก็ไม่อยากทรมานกินยา

“ยาก่อนอาหารมีแต่ยาเม็ดนะคะ” พยาบาลใจร้าย

“งั้นผมก็ไม่กิน” ใครจะมาบังคับได้

“ก็ได้คะ......แต่ถ้าคุณรุ่งมาถาม พี่ก็ต้องตอบตามความจริงนะคะ” ผมมองตาค้าง

“ครับ ๆ มา มา กินเลยก็ได้” นี่ขนาดไม่อยู่นะ.........ยังไม่วาย

‘เฮ้อ..........’ ผมไม่น่าหลงรักคนฉลาด แถมวางแผนรอบคอบอย่างนี้เลย แต่ตอนนี้ก็กลับตัวไม่ทันแล้ว

กินก็กิน

 





"รุ่งจ๋า...เขนกลืนไม่ทันแล้วนะ" คนป้อนเงยหน้าจากชามโจ๊ก ขึ้นมาค้อน

“ก็ไม่กินเอง ใครจะรู้ล่ะ” พร้อมทั้งส่งสายตาอาฆาตมาให้

“ก็เขนป่วยอยู่ ก็อยากให้คนที่เรารักเอาใจ” รุ่งหลบสายตา

“เอ้า....งั้นรีบกินกินเข้าสิ อย่ามัวแต่พูด ที่กลืนไม่ทันก็เพราะมัวแต่เวิ่นนี่ล่ะ” ผมอยากพิสูจน์อะไรบางอย่าง

“รุ่งจ๋า......ยังร้อนอยู่เลย เป่าให้หน่อยนะ น้า” คนป้อนถือช้อนนิ่ง จ้องหน้าผมพร้อมจะเอาเรื่อง เข้าล็อก ผมจ้องกลับ

“................................................”

“รุ่งจ๋า....เขินเขนเหรอคะ” หน้าหวานเริ่มแดงเรื่อ อย่าน่ารักอย่างนี้สิ

“กินเอง ไม่ป้อนแล้ว” ชามโจ๊กแทบแตกเมื่อคนวางกระแทกลง แล้วเดินหนีเข้าห้องน้ำไป

ในที่สุดก็เหวี่ยงออกมาจนได้

‘เยส’ รุ่งเขินจริง ๆ นั่นแหละไม่ผิดแน่ ตอนนี้ผมแทบอยากจะตะโกนให้คนทั้งโรงพยาบาลรู้

 





วันนี้ผมจะได้กลับบ้านหลังจากที่นอนโรงพยาบาลมาสองคืน เป็นการนอนโรงพยาบาลที่มีความสุขมากจริง ๆ ตลอดมาผมไม่เคยชอบโรงพยาบาล แต่คงเพราะคนที่เฝ้าไข้เป็นคนที่เรารัก แม้จะอยู่ที่ที่เคยเกลียดมากแค่ไหนก็สุขใจ

รุ่งนั่งที่โซฟารอผมกินอาหารเช้า แต่ไม่ยอมป้อนอาหารผมอีกเลย

“......................................................” ปากกำลังเม้มน้อย ๆ สายตานั่นแปลว่ากำลังจะหาเรื่อง ผมค่อย ๆ ตีความใบหน้าเฉยเมยนั่นได้ทีละน้อย ผมยังคงละเลียดกินต่อ แต่ก็มองอย่างระแวดระวัง

“เขน.......อิ่มหรือยังอะ” ประกายตาระยิบแบบนี้เอาเรื่องแน่

“กินข้าวเสร็จจะได้ให้พยาบาลมาฉีดยาก่อนกลับ”

“อะไรอะ ทำไมมียาฉีดด้วยอะ” ผมเริ่มโวยวาย หลังอาหารมื้อเช้าก็ไม่มียาฉีดแล้วนี่นา

“อ้าว ก็คุณพยาบาลเมื่อวานเล่าให้ฟังว่าเขนอยากได้ยาฉีด ไม่ใช่เหรอ” มีสายลับเยอะจริง ๆ ดูเหมือนพยาบาลสาว ๆ พวกนั้นจะชอบเข้ามาดูโน่น นั่น นี่ ตลอดเวลาที่รุ่งมาเฝ้าผม ทีผมอยู่คนเดียวก็ไม่ค่อยเห็นมีใครจะเข้ามา

นี่มาอยู่แค่สองวัน คงไปคุยกันมาล่ะสิ คงต้องลากรุ่งกลับบ้านให้เร็วที่สุด

“รุ่งเลยขอเปลี่ยนให้ไง ได้ยาฉีดมา”

“รุ่งใจร้าย” ก็ผมถอดน้ำเกลือแล้วตั้งแต่เมื่อคืน ให้ยาทางสายน้ำเกลือไม่ได้ ก็ต้องใช้เข็มแทงอีกแผลน่ะสิครับ

“ก็เลือกเอาว่าแขนซ้ายหรือแขนขวา” หน้านิ่งฉายแววเจ้าเล่ห์ชัด

“ไม่เอาอะ เขนจะหายแล้ว ไม่ต้องฉีดยานะ ให้กินดีกว่านะ รุ่งนะ” ผมรีบอ้อน

“แน่ใจนะ...เอ้า งั้นก็รีบกินซะ จะได้กลับบ้าน” รุ่งส่งแก้วใบเล็ก ๆ ที่ใส่ยาเม็ดเล็ก ๆ ไว้เรียบร้อย

“รุ่งหลอกกันนี่นา” เล่นเตรียมไว้แล้วขนาดนี้

“เปล่า ไม่ได้หลอกหรือเขนอยากได้ยาฉีดจริง ๆ รอแป๊บ เดี๋ยวไปตามพยาบาลก่อน” รุ่งกำลังจะเดินออกไปจริง ๆ

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรอะรุ่ง กินยาเม็ดนี่แหละ กินแล้ว ๆ” ร่างบางหันกลับมาอมยิ้ม

ไม่เป็นไรจริง ๆ

ถึงจะหลอกผมก็ยอมให้หลอกไปทั้งชีวิต ยอมให้รุ่งคนเดียว

 





ผมยิ้มกว้างเมื่อมาถึงบ้าน และพบเฟรมกับเหมียวมารออยู่ที่หน้าบ้าน

“เป็นไงพี่เขน หายดีแล้วสิ ได้กำลังใจดีนี่นะ” ผมยิ้มกว้างให้เฟรม

“ไม่เห็นไปเยี่ยมพี่เลย” แล้วดึงเจ้าเหมียวมากอด

“ก็ถ้าผมไป พี่รุ่งก็จะอยู่บ้านดูเจ้าเหมียวนี่ ผมรู้ใจพี่หรอก เลยอาสาอยู่กับเจ้าเหมียวแทน”

“เออ เออ ไม่เป็นไรดีแล้ว”

“จะคุยกันตรงนั้นอีกนานไหม จะกินไหมเนี่ยบาร์บีคิวอะไรนี่ อะเขน” รุ่งเปิดหลังรถ แล้วหยิบของออกมา เราแวะซื้อของมาทำบาร์บีคิวกินกันตอนเย็น ฉลองที่ผมได้กลับบ้าน จริงแล้วผมเบื่ออาหารโรงพยาบาลมากเลยครับ เลยอ้อนอยากให้รุ่งทำอะไรให้กิน

 

‘นะรุ่งนะ อยากทำกับข้าวกินกันที่บ้าน รุ่งทำให้หน่อย เดี๋ยวเขนเป็นลูกมือเอง’

‘ก็ทำเป็นแต่บาร์บีคิว เคยทำกินตอนไปเรียนที่โน่น’

‘รุ่งทำอะไรเขนก็กินหมดแหละ’

 

“กินสิครับ” ผมรีบไปช่วยถือของ

“เฮ้ย ทำบาร์บีคิวเหรอพี่ อยากกินพอดี” เลยได้ลูกมือเพิ่มอีกคน

เราปิ้งบาร์บีคิวอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนหลังบ้าน เจ้าเฟรมออกไปซื้อเบียร์ที่ตลาดหน้าซอยมาดื่ม เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ

“เขนห้ามกิน ยังไม่หายไข้ดี” รุ่งสั่งเมื่อเดินมาเห็น

“อ้าว ผมกินคนเดียวก็เหงาสิพี่รุ่ง” เฟรมบ่นอุบอิบ

“เออ...เดี๋ยวพี่กินเป็นเพื่อนเอง” ผมหันไปมอง ขณะที่คนพูดเดินกลับเข้าไปในครัว

“รุ่งกินเป็นเหรอ” ผมไม่เคยเห็นรุ่งดื่มแอลกอฮอล์เลยนี่ครับ

“เป็นสิพี่ ตอนที่นอนโรงแรม ผมกับพี่รุ่งก็ไปกินกันบ่อยออก แต่พี่รุ่งเขาไม่กินนอกที่พักเท่าไหร่อะ คอไม่แข็ง” แล้วคนที่เม้าท์คนอื่นว่าคอไม่แข็งก็ฟุบไปอีกรอบ ผมจึงต้องลากมันไปนอนบนโซฟาในห้องรับแขก ตัวเจ้าเด็กร้ายมันไม่ใช่เล็กเลย จะลากขึ้นไปบนบ้านไงไหว ผมมองขึ้นไปตามบันได แล้วก็ฉุกคิด แล้วทำไม....

รุ่งยังนั่งดื่มเบียร์กระป๋อง บาร์บีคิวหมดไปสักพักใหญ่ ๆ แล้ว แต่ไฟในเตาปิ้งยังคุอยู่ ทำให้เกิดเงาสีทองสะท้อนไหวฉาบอยู่ที่ใบหน้าหวาน

“เพิ่งเคยเห็นรุ่งดื่มแอลกอฮอล์” ผมทัก

“นาน ๆ ที แต่ส่วนมากกินเล่นที่บ้าน ตอนอยู่ที่โน่นหาน้ำเปล่ากินยาก ก็เลยพอกินได้” ที่ว่าพอกินได้ก็คอแข็งกว่าเฟรมเมื่อดูจากจำนวนกระป๋องที่กินไปเท่า ๆ กัน แต่ก็คงเริ่มออกอาการมึน ๆ

“........................................” ยิ่งเมายิ่งเงียบ

“รุ่ง....เขนขอบคุณนะครับ ที่ช่วยดูแลช่วงที่เขนไม่สบาย” เป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของอาหารมื้อเย็นวันนี้ ผมอยากเลี้ยงขอบคุณรุ่ง

“อืม......แต่ตัวหนักชะมัด” รุ่งทำหน้ายุ่ง

“หืม อะไรนะ” เรื่องอะไร

“ก็ตัวหนักนะตอนแบกลงมาอะ เกือบตกบันไดคอหัก” รุ่งตอบยิ้ม ๆ เหมือนสติลอย ๆ

“คนป่วยดื้ออะ ไม่ยอมกินยา เลย....อืม....”

“อะไรนะครับ”

“เลย....บังคับป้อนยา แล้ว....เอ่อ....ก็แบกบ้าง......ลากบ้างกว่าจะลงมาถึง”

“รุ่งครับรุ่ง” ผมเรียกพร้อมจ้องหน้าหวาน

“หืม.........อารายอะ” อาการตาปรือเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ เหมือนเช้าวันนั้นตอนตื่นนอน อย่างนี้นี่เองถึงไม่ค่อยกินเบียร์นอกบ้าน

ผมมองลึกลงไปในแววตาคู่นั้น......แม้ไม่ได้อยากฉวยโอกาสคนเมา แต่อยากจะพิสูจน์อะไรเพิ่มสักอย่าง จึงเคลื่อนตัวไปใกล้ก่อนใช้มือข้างหนึ่งโอบเอวร่างบางเข้ามาใกล้ตัว

“รุ่ง....ครับ” ผมเชยคางใบหน้าหวานให้มองประสานสายตา และรับรู้ได้จากดวงตาปรอยนั่นที่หรี่จนใกล้จะปิด ว่าสติกำลังจะค่อย ๆ จางหายไป

“เขนรักรุ่งนะครับ” ผมค่อย ๆ โน้มใบหน้าลงไป พร้อมกับเชยคางเรียวขึ้นรอรับ เพื่อจะบรรจงจูบริมฝีปากบาง

“อืม....อย่า....ไม่ได้นะ” คนเมาผลักผมออกอย่างไร้สติ

“ไม่ได้นะ.....ทำผิดต่อ ‘เขา’ ไม่ได้” แต่คำพูดที่ปล่อยออกมากลับเป็นความจริงแท้

คนเมาที่ไหน.....จะโกหกได้

 



ผมโอบรุ่งมากอดแนบอกอีกครั้งชั่วอึดใจ แล้วจึงประคองร่างบางไปนอนที่ห้อง เจ้าเหมียวที่มานอนรออยู่ก่อนหน้าบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนที่จะรับรู้ว่ารุ่งมาแล้ว มันเดินมานอนพาดที่คอของรุ่งอย่างถือสิทธิ์ เจ้าของมาดูแลต่อแล้วผมจำต้องถอยห่างออกไป

มันคงเป็นเพียง ‘ความฝัน’ ที่ไม่มีทางเป็นจริง....

ตลอดที่ผมมีไข้สูง ‘ความฝัน’ ของผม วุ่นวาย วนเวียน

 

ผมฝันว่า.......คนที่ผมหลงรักเขาอย่างสุดใจ........มอบจูบที่หวานซึ้งให้

 

มันเหมือนจริงมากจน...ผมจดจำ...

ทุกอณูแห่งความหวานของรสจูบนั้นได้ เสมือนยังซึมซาบอยู่ที่ปลายลิ้น

 

มันเหมือนจริงมากจน...ผมจดจำ……..

ทุกอณูแห่งความอบอุ่นที่กรุ่นกำจาย....ติดตรึงอยู่ที่ริมฝีปาก

 

ช่างเป็นรสจูบที่หวานซึ้งตรึงใจ.....จนแทบไม่อยากตื่นขึ้นมาเจอความจริง

ปรารถนาจะหลับตาอยู่อย่างนั้น เพื่อฝันถึงเธอตลอดไป....................





#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: JKL THE SERIES: KEEP: DREAM 07.02.2018
«ตอบ #82 เมื่อ07-02-2018 13:53:39 »

 :pig4:

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: JKL THE SERIES: KEEP: DREAM 07.02.2018
«ตอบ #83 เมื่อ07-02-2018 16:20:01 »

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ april

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +239/-12
Re: JKL THE SERIES: KEEP: DREAM 07.02.2018
«ตอบ #84 เมื่อ07-02-2018 16:37:40 »

รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: JKL THE SERIES: KEEP: DREAM 07.02.2018
«ตอบ #85 เมื่อ07-02-2018 17:45:39 »

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
Re: JKL THE SERIES: KEEP: DREAM 07.02.2018
«ตอบ #86 เมื่อ08-02-2018 03:01:50 »

ภาษาสวยมาก
เหมือนเก็บดอกไม้กลีบบาง หอม ๆ
มาเรียงร้อยเป็นมาลัยงาม

ตัวละครทั้งภาคอดีตและภาคปัจจุบัน
ไม่หลุดคนแรคเตอร์เลย อ่านแล้วรู้ว่าใครกลับมาเป็นใคร
แบบไม่ต้องเดามาก

... ดีจังค่ะ

ขอบคุณนะคะสำหรับเรื่องดี ๆ เรื่องนี้

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: KEEP: FEELING 08.02.2018
«ตอบ #87 เมื่อ08-02-2018 10:43:34 »

Chapter X

Feeling





 

อาการมึนเมาหายเป็นปลิดทิ้ง ไม่น่าเลย…. เกือบไปแล้ว.........

ถ้าเรียกสติกลับมาไม่ทัน…ถ้าเพียงแต่ปล่อยอารมณ์ ตามความรู้สึก

 

สมองสั่ง บางอย่างยังคงต้องปกปิดกดเก็บไว้

เพื่อให้ ‘แผลเดิม’ ในใจที่รวดร้าว มันคลายความเจ็บปวด

 

‘ดอกลิลลี่’ สีขาวแรกแย้มผูกโบสีแดงสดปักอยู่ในหลอดแก้วใสทรงสูง ส่งกลิ่นหอมละมุนเบาบาง ช่วยสร้างบรรยากาศสดชื่นให้กับห้องทำงานในออฟฟิศชั่วคราว ซึ่งเจ้าของดอกไม้นำมาปักไว้ด้วยตัวเองก่อนที่จะกลับไปทำงาน

ทุก ๆ เช้าก่อนมาทำงาน เขนยังคงขอแวะที่ร้านดอกไม้เพื่อรับ ‘ดอกลิลลี่’ ที่สั่งไว้ทั้ง ๆ ที่คนรับก็นั่งอยู่เคียงคู่ในรถ แม้จะพยายามเกลี้ยกล่อมให้เลิกอย่างไรก็ไม่เป็นผล ยังคงมั่นคง และสม่ำเสมอ จนผมลอบถอนหายใจ

จะแข็งขืนได้นานแค่ไหน..............

 

ในเมื่อความรู้สึก.... ที่เก็บไว้ในใจ..... นับวันมันยิ่งชัดเจน

ในเมื่ออารมณ์...... ที่กดไว้ข้างใน..... มันร้องร่ำต้องการแสดงออก

 

แค่สติลดเลือนไปเพียงเล็กน้อย สิ่งที่เก็บ และกดไว้ก็ค่อย ๆ แทรกซึมออกมาเฉกเช่นเมื่อคืน เมลที่ทำงานไม่ได้เปิดเช็คมานาน ตั้งแต่ยุ่ง ๆ เรื่องดูแลคนป่วย เช้านี้จึงได้แต่เคลียร์อีเมลนับร้อยฉบับ มากกว่าครึ่งเป็นการแจ้งอัพเดตสถานะโปรเจคซึ่งภาพรวมตอนนี้ ก็กำลังคืบหน้าเป็นไปได้ด้วยดี เมลฉบับสุดท้ายมาจากพี่บลู

“อ้าว........ทำไม” เกิดอะไรขึ้น

“เฟรมพี่ออกไปโทรคุยธุระกับพี่บลูหน่อย เดี๋ยวมา…กินกลางวันกันก่อนได้เลยนะ” ผมบอกน้องและฝากบอกอีกคนไว้

 

“ครับพี่บลู โปรเจคก็ไม่มีอะไรติดขัดครับ แค่รอ Monitor กับแก้ปัญหา Case by case”

“เฟรมเหรอครับก็น่าจะทำได้ แต่บาง Case อาจต้องให้ประสานแจ้งกลับไปให้พี่ตัดสินใจ”

“น้องน่าจะอยู่ได้ครับ เขนก็ยังอยู่”

“ผมยังไงก็ได้ครับ ถ้าจำเป็น”

“โอเคครับ จันทร์หน้าพบกันครับ”

“ฝากความคิดถึง ถึงพี่เชนด้วยครับ”

 

ผมยืนพิงกำแพง รู้สึกเหมือนหมดแรง จริง ๆ

ร่างกายไม่เป็นไร แต่หัวใจกำลังจะ....

 

ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้าย แต่มันมักเป็นอย่างนี้เสมอ........

เส้นทางมักวนเวียนมาบรรจบ.....เหตุการณ์ย้ำซ้ำรอยแผลเดิม ๆ

 

เมื่อใดที่เสียงข้างในหัวใจจวนเจียน.....ใกล้จะมีพลังมากกว่าสมอง

เส้นทาง....ทางเดินอีกเส้นก็จะปรากฏ.....คล้ายดังพรหมลิขิต

 





ตลอดอาทิตย์ที่เหลือผมเร่งตามเก็บงานต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เฟรมโดนเรียกให้ประกบติดเพื่อสอนงานให้ได้ครอบคลุมในทุก ๆ ด้าน เด็กคนนี้เก่งผมเชื่อ เขาสามารถ เอาตัวรอดได้

ผมกลับมาใช้บริการรถที่ออฟฟิศอีกครั้งเมื่อต้องเคลียร์งานดึกดื่น และออกมาก่อนที่ใครบางคนจะตื่น จึงพบเพียงเจ้าเหมียวที่นอนด้วยกันทุกคืน คงเป็นสัญชาตญาณที่ทำให้มันดูเหมือนจะอ้อนมากกว่าเดิม

“กลัวไม่มีคนนอนด้วยละสิ” ผมกำลังคุยกับเจ้าตัวขาว ที่ไม่ได้ผอมกะหร่องเหมือนตอนแรกที่พบ ตอนนี้แมวสาวน้อยขนฟู อ้วนกลม เมื่อได้รับการดูแลอย่างดี

“ถ้ารุ่งไม่อยู่เหมียวนอนกับ....เขนนะ” ผมบอกเจ้าแมวที่ขึ้นมานั่งให้ลูบหัวลูบหางบนตักอย่างเอาใจ

“เฟรมมันนอนดิ้นเดี๋ยวทับแบน รู้ไหม”

“.........................................”

“เหมียวรักรุ่งไหม......ถ้ารักรุ่ง ลืมรุ่งเถอะนะ”

“รุ่งไม่อยากให้เหมียวเจ็บ การรอคอยมันทรมานเกินไป.....อย่ารออีกเลยนะ”

“อย่าฝืนอีกเลยนะ......”

“รุ่งจะเฝ้าดู....เหมือนเดิม ดูเวลาที่เหมียวมีความสุข อยากให้เหมียวมีความสุข แค่เหมียวมีความสุข รุ่งก็มีความสุขแล้ว”

“รุ่ง................รักเหมียวนะ”

“ดูแลตัวเองดี ๆ” มันร้องตอบเหมือนเข้าใจ

อยากที่จะ...กล้าพูดกับใครบางคนแบบนี้ เพราะกลัว...กลัวหัวใจตัวเองจะไม่เข้มแข็งพอ

 





คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่ผมนอนที่บ้านหลังนี้ ตีสามกว่าแล้วผมกำลังเก็บของอย่างเงียบ ๆ คืนพรุ่งนี้จะค้างที่ออฟฟิศ เดินทางกลับเช้าวันถัดไป แอดมินเมลมาคอนเฟิร์มเรื่องการจองตั๋วเครื่องบินแล้ว ตั๋วน่าจะมาส่งเช้าวันนี้ หันมาอีกทีเจ้าเหมียวก็มานอนเอี้ยมเฟี้ยมภายในกระเป๋าเดินทาง

“ว่าไง จะไปด้วยเหรอ” มันร้องตอบ

“เหมียวอยู่นี่แหละ ฝากดูแลคนที่นี่ด้วย เขามีเหมียวเขาจะมีความสุข

“เหมียวรักรุ่ง เหมียวทำเพื่อรุ่งนะ” มันยังคงนอนนิ่ง ผมอุ้มเหมียวออกมานอนที่เตียง

“เดี๋ยวรุ่งมานอนด้วย แป๊บเดียวเดี๋ยวจะเสร็จแล้ว” ในที่สุดของทั้งหมดก็อยู่ในกระเป๋าเดินทางใบย่อม กีต้าร์คงทิ้งไว้ให้เฟรม คงต้องยกให้ซักที หลังจากยื้อกันมานาน ผมเปิดม่านหน้าต่างกลับมานั่งที่เตียงเหมียวขึ้นมานอนบนตักอีกครั้งอย่างรู้หน้าที่ ผมลูบขนให้ ‘หลับนะเหมียว หลับให้สบาย’ เสียงครางเบา ๆ ในคออย่างมีความสุขของเหมียวทำให้ ใจผมชื้นขึ้นมาบ้าง ขณะมองไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ากำลังเริ่มสว่าง



เขาชอบคิดว่าผมหลงรักพระอาทิตย์ เปล่าเลย.....

‘เพียงแต่พระอาทิตย์ที่ทอแสงอบอุ่นในช่วงเช้า

 

ปลอบประโลมหัวใจ ว่าวันใหม่ ๆ การเริ่มต้นใหม่ ๆ กำลังมาถึง

ชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า วันเวลาไม่เคยย้อนหมุนกลับ

 

อดีตทำได้ก็แค่เพียง……..สลักไว้ในความทรงจำ.......เก็บไว้’

 

ตลอดมานานเท่า.....นาน ผมเฝ้ามองเพียงแสงนวลของดวงจันทร์

สิ่งนี้ต่างหากที่ผมรัก มันอบอุ่น สว่างไสว มีเสน่ห์

 

เพียงแต่อดีตที่ผ่านมา.......ทำให้ไม่สามารถเฝ้ามองตอนพระจันทร์เปล่งแสงแผ่นวลในยามค่ำคืนที่มืดมิดได้ มันเจ็บปวดจนเกินไป........

 

ทำได้เพียงแอบชื่นชม.....ร่ำลาแสงนวลในรุ่งอรุโณทัย......

พร้อมทั้งจรดลึกไว้ในความทรงจำ





ผมลาเหมียวสำหรับค่ำคืนสุดท้ายของเรา แล้วจึงค่อยขนกระเป๋าเดินทาง และขับรถออกมาจากบ้านก่อนที่ทุกคนจะตื่น มีเพียงเหมียวที่มาส่งหน้าบ้าน ผมมองบ้านหลังนั้นจนลับสายตา และเดินทางต่อไป

“รุ่ง..... ออกมาก่อนอีกแล้ว ใจคออาทิตย์นี้จะไม่เจอหน้าคร่าตาเขนบ้างเลยเหรอ” เขนมาส่ง ‘ดอกลิลลี่’ เช่นเคย

“ก็เห็นมาทุกเช้า ก็เจอทุกวันเหอะ”

แค่น้อยลงไง.....จะได้ชิน ผมมอง ‘ดอกลิลลี่’ ดอกสุดท้าย

“ข้าวก็ไม่ไปกินด้วย ไปกลับเองนี่นะ ใครจะเชื่อว่านอนบ้านเดียวกันแต่ไม่ได้เจอกันเลย” คนตัวโตเริ่มโวยวายหนัก

“ก็เจอเหมียวทุกคืน เขนหลับก่อนเอง แล้วจะมาโทษใคร” ก็ต้องโวยวายกลับ ถึงจะ ไม่ผิดปกติ

“.....................................................”

“คืนนี้กลับกี่โมง เขนจะรอกลับด้วยกัน” เขาประกาศ

“ไม่รู้คิดดูก่อน ต้องเคลียร์งานให้เสร็จ” เอาไงดี ผมจะหนีอย่างไร

“งานอะไรมากมาย เฟรมบอกว่ารุ่งเร่งงานขึ้นตั้งแต่คุยกับพี่บลู” ผมมองไปที่นกพิราบ ไส้ศึก แล้วหันกลับมาตอบ

“ก็หัวหน้าให้งานก็ต้องทำนี่เขน กลับไปได้แล้ว รุ่งต้องทำงานต่อ” ผมรีบไล่ ก่อนจะถูกคาดคั้นมากกว่านี้

“พี่รุ่งไม่คิดจะบอกพี่เขน เลยเหรอพี่” เฟรมพูดพร้อมยื่นซองตั๋วเครื่องบินให้ ผมเลิกคิ้ว

“รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมถามน้อง

“แอดมินโทรมาถามรายละเอียดการจองตั๋วกับผม ตั้งแต่สองวันก่อน ตอนพี่รุ่งไปเดินตรวจงาน” เฟรมยังคงจ้องผม

“อืม ขอบใจมากเฟรม” ผมกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“พี่ต้องขอโทษด้วย งานด่วนต้องกลับไปช่วยดูโปรเจคที่สุราษฎร์ พี่ไม่ห่วงที่นี่แล้ว พี่เชื่อเฟรมทำได้” ผมตบบ่าน้องเบา ๆ ก่อนที่เฟรมจะพรั่งพรูความรู้สึกออกมา

“ผมไม่เป็นไรหรอกพี่ แต่พี่เขน พี่น่าจะบอกเขาหน่อย”

“ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง.....ระหว่างพี่สองคน แม้ผมรักพี่ทั้งคู่ แต่ผมก็รักพี่รุ่งมากกว่า”

“ผมเคารพในการตัดสินใจของพี่ และคิดว่าพี่คงมีเหตุผลที่ทำ”

“แต่พี่รุ่ง บางเรื่องไม่ต้องใช้เหตุผลหรอกนะ ปล่อยตามอารมณ์ตามความรู้สึกบ้างก็ได้”

“.........................................”

“ผมขอโทษนะพี่” ภายนอกดูสบาย ๆ ขำ ๆ แต่ข้างในกลับอ่อนไหวกับความรู้สึก เจ้าเฟรมเป็นศิลปินตัวจริง

“เฟรมไม่ได้ผิดอะไรหรอก ขอบคุณที่เข้าใจพี่ เรื่องนั้นพี่ขอคิดดูก่อน” ผมอาจจะดูเหมือนดื้อ อย่างที่แล้ว ๆ มา



แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เลย..........ผมกลัวใจตัวเอง

ยิ่งใกล้ยิ่งเจ็บ.......เป็นอย่างนี้ตลอดมา

 

สำหรับบางคน.......มันง่ายที่จะเริ่มใหม่

แต่กับผม

แม้ปรารถนาที่จะเริ่มใหม่แค่ไหน มันก็กลายเป็นกดลึกลงไปที่แผลเดิม

 





ใกล้เที่ยงคืนแล้ว หลังจากที่มอบหมายงานให้เฟรมเรียบร้อย ผมก็บอกน้องให้กลับบ้าน ไปก่อน เฟรมเหมือนจะเข้าใจหลาย ๆ อย่างมากกว่าที่คิด

เป็นครั้งแรกที่ผมมา ที่ฝ่ายก่อสร้าง คนยังอยู่กันประปราย งานผู้รับเหมาเร่งมากจึงต้องทำทั้งวันทั้งคืน เลยมีเวรที่ต้องอยู่เฝ้าสลับสับเปลี่ยน ผมเดินเข้ามาขณะที่หลายคนดูแปลกใจและแอบอมยิ้ม ก็รู้กันทั้งไซด์ว่าเขนคิดยังไงกับผม คนคนนั้นไม่เคยปิดบัง แต่ทุกคนคิดมาเสมอว่า เป็นเพียง........ ข้างเดียว ผมกวาดตามองไม่พบคนที่ต้องการ

“เขนไม่อยู่เหรอครับ” ผมถามน้องผู้หญิงที่คลับคล้ายว่าเป็นแอดมินประจำแผนก

“ไปเดินตรวจงานค่ะ สักพักคงมา” เธอตอบเขิน ๆ

“งั้น ฝากบอกไว้แล้วกันครับว่าผมมา จะรออยู่ที่โต๊ะ” ผมส่งยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะกลับไปรอบ้าง

ผมนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะเพียงครู่ ใบหน้าขาวก็ยื่นเข้ามา

“รุ่งไปที่ฝ่ายเขนมาเหรอ” คนถามยิ้มกว้าง

“อืม...เฟรมกลับไปก่อนแล้ว คืนนี้รุ่งจะค้างที่นี่ เลยว่าจะชวนไปหาอะไรกิน”

“ไม่กลับบ้านเหรอ งานยุ่งมากเลยหรือไง เขนจะไปฟ้องพี่เชนว่าพี่บลูใช้งานรุ่งหนัก”

“งั้นอย่าเพิ่งฟ้อง ไว้ฟ้องทีเดียว รุ่งมีเรื่องจะบอก” ผมเลือกที่จะไม่หนีอีกต่อไป

“เขนยังขับรถไหวไหม หาอะไรกินแล้ว ขับรถไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน” เขนดูยังงง ๆ แต่ก็ยังพยักหน้ารับ เขารู้ว่าที่ไหน........

 





เราสองคนกลับมานั่งที่เดิมเพื่อรอคอยดวงอาทิตย์ท่ามกลางความมืดที่เงียบสงัด มีเพียงเสี้ยวจันทร์คลายแสงนวลผ่องเรืองรอง.....

นานแล้วที่ไม่กล้ามองแสงจันทร์ตรง ๆ เช่นนี้ ได้เพียงแอบชื่นชมอยู่ไกล ๆ

 

เมื่อกล้า...ที่ต้องเผชิญ ก็ต้องกล้า...ที่จะพูดไป

“เขน รุ่ง........ต้องกลับกรุงเทพฯ เช้านี้” ผมค่อย ๆ เริ่มเล่า

“.................................................”

“โปรเจคที่สุราษฎร์มีปัญหาต้องเปลี่ยนทีม รุ่งต้องกลับไปช่วยพี่บลูเตรียมโปรเจคนั้นต่อ แล้วคงต้องลงพื้นที่ช่วงปลายปี”

“.................................................”

“เพิ่งรู้เมื่อต้นอาทิตย์...ขอโทษที่ไม่ได้บอก”

“.................................................”

“ที่นี่เฟรมจะอยู่ดูต่อจนเสร็จ ฝากน้องด้วยนะ” เขนยังคงนิ่งแต่พยักหน้ารับ การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้เสมอในการทำงาน คนทำงานเข้าใจมันดี

 

ครั้งแรกที่นั่ง ที่นี่ ครั้งนั้นเขนเป็นคนเล่า ผมได้แต่รับฟัง

แต่ครั้งนี้กลับกัน เขนนั่งรับฟังอย่างเงียบ ๆ

 

“รุ่งขอบคุณมาก สำหรับช่วงเวลาดี ๆ ที่ผ่านมา ขอบคุณ....ความสุขและเสียงหัวเราะ ที่มอบให้ ขอบคุณ....ความรู้สึกดี ๆ ที่มีให้ รุ่งมีความสุขมากจริง ๆ ที่ได้ร่วมงาน”

“และได้มี.......” มันจะเจ็บปวดทั้งคนพูดและคนฟัง ผมรู้ แต่ต้องพูดออกไป

“ ‘เพื่อน’ ดี ๆ เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน”

“...........................................”

“ขอโทษ...ที่...........................”







#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
Re: JKL THE SERIES: KEEP: FEELING 08.02.2018
«ตอบ #88 เมื่อ08-02-2018 11:03:37 »

ยังสวยงาม ...
แต่เริ่มอ่านไม่สนุกแล้วค่ะ รำคาญ "รุ่ง"
จริง ๆ ก็รำคาญมาตั้ง "อรุณ" แล้ว ... 555+

สงสัยต้องงดการติดตามอ่านไปสักพัก
รอไว้ "จบ" แล้วค่อยกลับมาอ่านรวดเดียว จะดีต่อใจ "กว่า" เนอะ :bye2:

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: JKL THE SERIES: KEEP: FEELING 08.02.2018
«ตอบ #89 เมื่อ08-02-2018 13:07:47 »

เฮ้อ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด