Chapter III
Misunderstanding
ผมทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบิน ท้องฟ้าวันนี้ทัศนวิสัยปลอดโปร่ง มีเมฆเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ประปราย กัปตันประกาศลดเพดานการบินพร้อมจะนำเครื่องลงจอด ที่ท่าอากาศยานลำปาง ทำให้เริ่มเห็นพื้นแผ่นดินที่ผมคิดถึงอีกครั้ง
ผมยังคงกลัวความสูง แต่เพราะภาระงานบังคับให้พอจะทำใจเดินทางโดยเครื่องบินได้ ถ้าวันไหนอากาศดีก็มีแค่ช่วงขึ้นกับลงนี่แหละที่ทำให้รู้สึกเสียวเล็ก ๆ ในที่สุดคุณกัปตันที่พูดรัวและเร็วมาก ก็อนุญาตให้เราปลดเข็มขัดนิรภัย หลังจากที่เครื่องจอดสนิทเทียบกับงวงช้าง ที่ยื่นออกมารับผู้โดยสารเข้าไปในตัวสนามบิน
“เฟรม เฟรม” เจ้าเด็กร้ายยังไม่ยอมตื่น ทั้งที่ทุกคนกำลังเตรียมตัวลงจากเครื่อง ไหนว่าตื่นเต้นขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรก พอเครื่องขึ้นก็หลับ ยังไงของมัน
“เฟรม ไอ้เฟรม” ผมเริ่มเขย่าตัวเด็กนี่เบา ๆ ถ้าไม่ตื่นจะลองถีบดู
เจ้าเฟรมงัวเงียตื่น และเดินตามผมลงมาโดยที่ไม่ลืมเอาเมียที่เก็บไว้ที่ช่องเก็บของเหนือศีรษะมาด้วย คงต้องยกกีต้าร์ตัวนี้ให้มันสักวัน ผมคิด
ขณะที่เข็นรถกระเป๋าสัมภาระออกมาจากเกท ผมก็ให้เจ้าเฟรมโทรตามคนที่ไซด์งานที่นัดกันไว้ว่าจะมารับเรา หากปลายสายยังไม่ทันที่จะรับ
“อะนั่นพี่เขน พี่เขน พี่เขน” มันตะโกนแล้ววิ่งนำหน้ารถเข็นไป มาทำไม
“หวัดดีรุ่ง” ร่างสูงทัก ขณะที่ผมเข็นรถตามเข้าไปสมทบ ผมพยักหน้าตอบ
“พอดีรถที่ไซด์งานก่อสร้างพาลูกค้าไปดูงานข้างนอก เขนเลยอาสามารับ” พระเอกจริง ๆ ผมคิดในใจ
“เฟรมเอากีต้าร์มาด้วยเหรอ ดีไว้เล่นให้พี่ฟังบ้าง”
“ของพี่รุ่ง” เฟรมรีบตอบ ก็กอดไว้ซะขนาดนั้น ใครจะคิดว่าของผม
“รุ่งเล่นกีต้าร์ได้ด้วยเหรอ นึกว่าเล่นแต่กลอง” มันไม่ใช่ประโยคคำถามใช่ไหม ผมจึงเพียงยิ้มตอบกลับไป
“มาเขนช่วยเข็นรถ” เขนจึงรับหน้าที่เข็นรถเข็นไปที่รถแทน ขณะที่เด็กร้ายคุยจ้อไปตลอดทาง
โรงแรมที่ผมกับเฟรมพักใกล้กับไซด์งานก่อสร้าง กว่าจะได้พักที่นี่ต้องปฏิเสธเสียงอ้อนวอนของเด็กร้ายกับเขนที่จะให้ไปพักที่บ้านเช่าของเขนอยู่นาน ก็จองแล้วจะยกเลิกไม่ได้ ผมยังคงยืนยันในหลักการ และเหตุผล
เมื่อมาถึงไซด์งานโปรเจคก็เริ่มดำเนินตามแผนที่วางไว้ ผู้รับเหมาที่เลือกไว้เข้าไซด์งานกับผมทันที แล้วสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นก่อนที่งานตกแต่งจะเริ่ม
‘ให้มันได้อย่างนี้สิวะ’
ผมร้องในใจ ผมให้ผู้รับเหมากลับไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาดูแผนงานที่น่าจะต้องปรับเปลี่ยนอีกที ต้องคุยกันภายในก่อนเรื่องแบบนี้ไม่ใช่ไม่เคยเกิดแต่อย่าให้เกิดจะดีที่สุด
“เฟรมนัดประชุมกับฝ่ายก่อสร้าง โครงสร้างจริงมันไม่เหมือนแบบที่ให้เรามา” ผมเริ่มเครียดตั้งแต่วันแรก
“นัดใครพี่เขนเหรอพี่” เฟรมยังคงเบลอ ๆ เพราะมาถึงวันแรกเราก็ทำงานกันเลย งานโปรเจคก็อย่างงี้เตรียมใจไว้
“อืม ทั้งทีมนั่นแหละ พี่รอที่ห้องประชุม ถ้าทีมเขาพร้อมเมื่อไหร่ให้เข้ามาได้เลย” ผมเดินถือแบบก่อสร้างไป ขณะพี่เฟรมยังดูงง
“รุ่งมีอะไรเหรอครับ” คนตัวโตเข้ามาเป็นคนแรก ตามมาด้วยเฟรม และทีมฝ่ายก่อสร้างอีกสามคน
“ผมดูโครงสร้างจริงกับผู้รับเหมาเมื่อสักครู่ ไม่เหมือนแบบที่ทางคุณให้ผมมาออกแบบ” ผมเลื่อนแบบที่มีปัญหาให้เขาดู
“ในแบบไม่ได้มีเสาตั้งอยู่ตรงโซนนี้ ตอนออกแบบก็คิดมาให้โล่งกว่านี้ เพื่อเปิดรับวิวภูเขาด้านหลัง” ผมเริ่มอธิบายคอนเซปต์หลักของโปรเจค
“ผมก็เสนอกลับไปแล้วไงครับ ว่าที่ปรึกษาแนะนำว่าถ้าทำแบบนั้นมันจะรับน้ำหนักไม่ได้” เขาตอบ
“แต่ทำไมแบบที่ผมได้มายังเป็นแบบเดิม ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยน” ผมไม่ยอม
แล้วประเด็นนี้ก็ถูกถกเถียง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตามเหตุผลของต่างฝ่ายที่มี อย่างที่ผมเคยบอกพี่บลูไว้ว่าผมต้องสั่งซื้อคลังแสงอาวุธมาสะสม เพื่อมารบเต็มขั้น
คนที่ต้องคุมคอนเซปต์ภาพรวม กับคนที่ต้องลงรายละเอียดมักมองต่างมุมกันเสมอ คราวนี้ไม่มีกรรมการห้ามทัพเวลาที่ใช้จึงยืดยาว พร้อมทั้งยังหาข้อสรุปไม่ได้ เขนเถียงจนหน้าขาว แดงขึ้น แดงขึ้นด้วยอารมณ์ โมโห แล้วประโยคสุดท้ายก็ตะโกนออกมา
“เออ จะทำอะไรก็ทำ จะคอยดู” แล้วก็เดินหนีออกไป กระแทกประตูดังโครม โชคดีที่เป็นออฟฟิศชั่วคราวจึงเป็นแค่ประตูไม้อัด ไม่ใช่กระจกที่ต้องกลัวแตกร้าวเสียหาย แต่นั่นก็ทำให้คนทั้งไซด์รู้ว่าผมกับ ‘เขา’ มีเรื่องกันตั้งแต่วันแรก
“เฮ้อ...”ผมถอนหายใจขณะที่ทีมฝั่งเขาออกไปหมด เฟรมทำหน้าเหวอ แบบคนไม่เคยเห็นสนามรบ
“กลับเฟรม ไปทำต่อที่โรงแรม คงต้องปรับแผน รอเปลี่ยนโครงสร้างโซน AF” ผมเก็บของเดินออกจากห้อง คนในไซด์แอบมองผมกันใหญ่ เชื่อว่าเป็นเพราะไอ้หล่อนั่นตะโกน ผมคงดังชั่วข้ามคืนแน่ ๆ
ตลอดสามอาทิตย์ที่ผ่านมา มีประชุมติดตามงานวันเว้นวัน ผมลงสนามรบกับไอ้คุณชายทุกครั้ง ได้บาดแผลคนละแผลสองแผล ถ้าวันไหนที่เขาชนะ ด้วยการต้อนผมให้จำนนด้วยเหตุผล วันนั้นจะไม่เสียเลือดเสียเนื้อกันเท่าไหร่
ในทางกลับกัน
ถ้าวันไหนที่เขาให้เหตุผลผมไม่ได้ ผมก็ชนะ ซึ่งก็เกือบทั้งหมดของการรบ ซึ่งผมมีประสบการณ์ทำงานมามากกว่า ชื่อของผมจึงดังกระฉ่อน เพราะไอ้หล่อมันตะโกนฟาดงวงฟาดงาไปทั่ว โดนไปตาม ๆ กัน ตั้งแต่ผู้รับเหมายันแม่บ้าน
จนผมสังเกตว่าเวลานัดประชุมทีไร พนักงานที่ออฟฟิศชั่วคราวจะอยู่น้อยลง น้อยลงทุกที ส่วนตัวผมเองรู้สึกพอใจ เพราะงานส่วนใหญ่สามารถเดินไปได้ตามแผน จะได้บ้างเสียบ้างก็เป็นเรื่องปกติในการรบ หลักสำคัญคือ ควบคุมจุดยุทธศาสตร์ให้ดี อย่าให้เพลี่ยงพล้ำ ก็เท่านั้น
ผมคงติดเกมส์มากไป ความเป็นจริงเราก็ไม่ได้อยู่สนามรบหรอก ก็ห้องทำงานดี ๆ นี่เอง แต่บรรยากาศมันให้ ยิ่งตอนต้องปะทะกับรถถังอย่างไอ้หล่อ
ใจจริง ผมก็ยอมรับว่าก็มีบางเรื่องที่ผมคาดผิดเหมือนกันในรายละเอียดเล็กน้อยที่เขามักจะมองเห็นมันเสมอ มันก็เป็นข้อดีของการทำงานกับคนที่ ‘มองต่างมุม’ มัน ‘เติมเต็ม’ ส่วนที่ขาดซึ่งกันและกัน แล้วงานภาพรวมจะออกมาดี
ส่วนเจ้าเฟรมเริ่มชินชากับบรรยากาศการทำงานมากขึ้น เพราะสามอาทิตย์ที่ผ่านมา นอกจากโรงแรมกับไซด์งานเรายังไม่เคยออกไปไหนเลย ทุ่มกับงานตลอดเจ็ด วัน ยี่สิบสี่ชั่วโมงจริง ๆ ซึ่งมันเป็นช่วงรอยต่อของแผนของทั้งสองฝ่าย ถ้าผ่านตรงนี้ไปได้ ก็เหลือแค่ควบคุมผู้รับเหมาให้ดำเนินการตามแผน แล้วคอยเคลียร์ปัญหาที่คาดไม่ถึงเท่านั้นเอง
เป็นไปตามคาด
คนทั้งไซด์หายไปจนเกือบร้าง วันนี้เป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของเฟสแรก ก่อนที่ผู้รับเหมาจะเตรียมเข้าพื้นที่เพื่อเร่งทำงานอย่างเต็มที่ ผมให้เฟรมไปดูหน้างานกับผู้รับเหมา เลยต้องมาคนเดียว
ไม่น่ากลัวหรอก หมอนั่นแค่โกรธแต่ก็ไม่ถึงจะฆ่าผมให้ตาย ผมว่าช่วงท้าย ๆ เขาก็อ่อนลงมาก คงเริ่มชินกับลักษณะงานมากขึ้นเหมือนเฟรม เริ่มรับฟัง และเปิดใจได้มากขึ้น แต่เรื่องควบคุมอารมณ์ผิดหวัง เมื่องานไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ ยังตกอยู่ อาจจะเพราะเขาแสดงอารมณ์เก่ง เลยโกรธง่าย
ผมค่อย ๆ ผลักประตูห้องประชุมมันใกล้พังมิพังแหล่ มากกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เป็นเพราะเขานั่นล่ะ คงต้องให้คนทำพังมาซ่อมคืน ผมคิดเพลินจนลืมมองว่าคนที่แอบนินทาในใจมานั่งรอ อยู่ก่อนแล้ว
“หวัดดีรุ่ง เฟรมไม่มาเหรอ”
“อืม ออกไปดูผู้รับเหมา ต้องรอทีมคุณก่อนไหม” ผมถามกลับ
“ไม่ต้องหรอก เริ่มคุยได้เลย พวกมันพร้อมใจกันป่วยหมด สงสัยกลัวผมจะฆ่าพวกมัน” ผมสำลักน้ำลาย ฝืนยิ้มออกไป ก็รู้ตัวนี่นะ
เราใช้เวลาไม่นานสรุปแผนทั้งหมดในเฟสนี้ และเริ่มวางตารางเวลาคร่าว ๆสำหรับเฟสต่อไป
“เขนดีใจนะ ที่งานออกมาใช้ได้” เขาบอกหลังจากที่เลิกประชุม
“ไม่หรอก” ผมพูดหน้านิ่ง เขาดูเอ๋อ เอ๋อ เหมือนเสียความมั่นใจ
“ออกมาดีมาก ๆ เลยทีเดียว เผลอ ๆ จะดีที่สุดตั้งแต่ผมทำโปรเจคมาเลย” รอยยิ้มของคุณชายเริ่มกลับมา อย่างที่ไม่เห็นมาสักพักใหญ่ ๆ ที่ผ่านมาเห็นแต่รถถังพุ่งชนตลอด
“ขอบคุณ คุณมากจริง ๆ” ผมยิ้มขอบคุณเขาจากใจ
“รุ่งผมขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม”
“อะไรเหรอครับ”
“เลิกเรียก เขนว่าคุณสักทีได้ไหม เขนเรียกรุ่ง ว่า 'รุ่ง' มาได้ชาติกว่าแล้วนะ” ผมลืมไปแล้ว งานทำให้ผมลบอะไรบางอย่าง ออกไปได้ช่วงระยะหนึ่ง
“ผมไม่ชิน” ผมตอบ ทั้งที่ความในใจกลับตรงกันข้ามกับคำตอบ
“ไม่เป็นไร นานไปก็ชิน วันนี้เลิกเร็วรุ่งไปกินข้าวกันไหม เขนมีร้านอาหารเหนืออร่อยแนะนำ รุ่งได้ออกไปไหนบ้างรึยัง”
“เอ่อ ยังเลยเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ได้ แต่ผมต้องรอเฟรมก่อน” ผมเตรียมกันชน
“แต่รุ่งต้องรอเฟรมก่อน ต้องพูดอย่างนี้สิ พูดตามจะได้ชินสักที” เขาบังคับให้ผมพูด
“รุ่งต้องรอเฟรมก่อน”
“ดีมาก งั้นไปตามเฟรมกัน” เขาลากผมออกไป ถ้ามีใครมาเห็นตอนนี้ ซึ่งความเป็นจริงคือไม่มี ก็คงจะงงกันเป็นไก่ตาแตกว่าไปสงบศึกกันตอนไหน
ทุกคน ‘เข้าใจผิด’ ว่าเราทะเลาะกัน โกรธกัน และน่าจะเกลียดกันน่าดู
ทั้งที่จริง ทำไมผมจะไม่รู้ ว่า...
‘เขา’ คนนี้โกรธง่ายหายเร็ว
‘เขา’ คนนี้แบ่งเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้
‘เขา’ คนนี้ไม่เคยโกรธผม แต่กลับโกรธตัวเอง ที่งานไม่เป็นดังคาด
ผมรู้ว่าผม ‘เข้าใจ’ เขามาตลอด และรู้ว่าเขาก็ ‘เข้าใจ’ ผมเหมือนกัน
แค่ผมแกล้งลืมเลือน…บางอย่างไปเท่านั้น
อาหารนอกโรงแรมมื้อแรกทำให้เฟรมตื่นเต้นไม่หยุด
“โห พี่เขนนี่อะไรอะ เหมือน หม่ำบ้านเราปะ?” เฟรมใช้ส้อมจิ้มอาหารที่หน้าตาคล้าย ไส้กรอกขึ้นมา
“เปล่า นี่เรียกว่าไส้อั่ว นี่ไงรุ่ง ไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม ลองดูไหม?” เขาไม่รอคำตอบ จัดแจงตักอาหารทุกอย่างที่พูดถึง ใส่จานข้าวผม
“อ้าว...รุ่ง” เขาหยิบทิชชู่มาเช็ดปากให้ผม
“ปากเลอะอะ กินดี ๆ นะ เคี้ยวเยอะ ๆ อย่ารีบ เดี๋ยวย่อยยาก” ผมรู้สึกอึ้ง
"........................................"
“นี่พี่เขน อยู่จนเป็นคนพื้นที่แล้วสิ กินอาหารเหนือเนียนเลย ได้กลับบ้านบ้างหรือเปล่าพี่?” เขาขมวดคิ้วคำนวณเวลา
“คราวก่อนที่กลับกรุงเทพฯ ก็ครั้งเข้าไปประชุมกับรุ่ง ก็ไม่ได้เข้าบ้านรีบไปรีบกลับงานมันเร่ง แต่คิดถึงรุ่งเลยขอกลับไปเห็นหน้าหน่อย” เขาหันมายักคิ้วให้ ผมกลืนน้ำลาย เล่นอะไรของเขา
“นี่ก็น่าจะสามเดือนกว่า เกือบสี่เดือนแล้ว” ยังเนียนพูดต่อ ผมก็จะเนียนไม่สนใจเหมือนกัน
“ป่านนี้แฟนพี่ไม่ลืมหน้าพี่ไปแล้วเหรอ ระวังงานรุ่ง แต่รักไม่รุ่งนะพี่” เฟรมแซว แอลกอฮอล์คงทำให้คึกคักขึ้น
“ใครบอกว่าพี่มีแฟน” เขาหันไปถามเฟรม
“อ้าวก็...” ผมเคยบอกเจ้าเฟรมว่า ‘ที่เขนดุขึ้น หงุดหงิดง่าย คงเพราะคิดถึงแฟนที่บ้าน’ ปลอบใจน้องมันที่เห็นว่าเขนเปลี่ยนไป
ผมรีบส่งสายตาดุไปทางเฟรม เขนมองตามสายตาที่เฟรมมองผมกลับมา งานเข้าสิครับ
“เอ่อ... ก็เห็นวันนั้น ก่อนมาลงพื้นที่ คุณยังคุยโทรศัพท์กับสาวหวาน ๆ อยู่” ผมตอบเสียงอ่อย ไม่น่าเล่าให้เจ้าเฟรมฟังเลย... เขนทำท่าครุ่นคิด
‘เฮ้ยไม่เครียดขนาดนั้น มีก็มี ไม่มีก็ไม่มีสิวะ’ ผมคิดในใจ
“จำได้แล้ว น้องจอย ญาติเขนที่มาเรียนกรุงเทพฯ อะ ไม่ใช่แฟนหรอก” อืมใช่ชื่อนั้น ทำไมผมจำได้ด้วยวะ
“อย่าว่าแต่แฟนเลย แค่จะเริ่มบอกเขาว่าพี่ชอบเขา พี่ยังไม่ได้บอกเลย”
มองใคร มองมาทำไม ดวงตาของเขาเศร้าจนผมอึดอัด
“ก็ยังดีพี่ ผมนี่ยังหาคนที่ชอบไม่ได้เลย นี่ยังมีแค่น้องกีต้าร์อยู่เลย” ใช้ได้เลยไอ้น้อง ผมกดไลค์เบา ๆ บรรยากาศที่อึดอัดค่อย ๆ คลี่คลายเมื่อหัวข้อสนทนาเปลี่ยนเป็นเรื่องดนตรี
สักพักคนที่กรำงานอย่างหนักมาเกือบทั้งเดือนก็ต้องรีบแยกย้ายกันไปพักผ่อน เขนมาส่งผมกับเฟรมที่โรงแรม ก็เด็กร้ายมันเมาไม่เป็นท่า ไอ้นี่เป็นพระเอกได้แป๊บเดียว สักพักก็เป็นผู้ร้าย หลังจากที่เขนแบกเฟรมไปนอนที่เตียง ผมก็เดินมาส่งเขาที่หน้าประตูห้อง
“ขอบคุณ คุณมาก ทั้งเรื่องเฟรม และเรื่องงานด้วย ขอบคุณจริง ๆ” ผมตั้งใจกล่าวลา
“รุ่งขอบคุณ เขนมาก ทั้งเรื่องเฟรม และเรื่องงานด้วย ขอบคุณจริง ๆ พูดให้ชิน” เขาบังคับอีกครั้ง
อ้าวยังไม่ลืมอีกเหรอ เห็นว่ามึน ๆ พอกันกับเฟรม มีผมคนเดียวที่ไม่ได้กินเบียร์นั่น
“รุ่งขอบคุณ เขนมาก ทั้งเรื่องเฟรม และเรื่องงานด้วย ขอบคุณจริง ๆ” ผมออกจะเก้อ ๆ เมื่อต้องพูดออกไป
“รุ่ง... เขนไม่มีใครจริง ๆ นะ อย่าเข้าใจผิด” สายตาจากเขาที่ส่งมาระยิบระยับมากกว่าปกติ
“เอ่อ...อืม” จะให้พูดยังไงเล่า ตัวช่วยก็สลบเหมือดไปแล้ว ผมเริ่มรู้สึกร้อน ๆผะผ่าวที่ใบหน้า
“รุ่งเชื่อเขนนะ” เขาชะโงกหน้าเข้ามาใกล้เพื่อคาดคั้นคำตอบ
“อืม เชื่อ ๆ คุณเมาแล้วกลับเถอะ” ผมพยายามตัดบท
“แค่นี้เขนไม่เมาหรอกรุ่ง ขอแค่รุ่งเชื่อเขน มีอะไรไม่แน่ใจก็ถามเขนนะ เขนไม่อยากให้รุ่งเข้าใจผิด” ตอนนี้นอกจากใบหน้าที่รู้สึกร้อน ผมยังได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรงอย่างชัดเจน
“ผมเชื่อคุณกลับเถอะ”
“รุ่งเชื่อเขน ต้องพูดอย่างนี้สิ” ยังบังคับไม่เลิก
“รุ่งเชื่อเขน ทีนี้กลับนะ พรุ่งนี้ยังมีงานอีก” คนที่บอกว่าตัวเองไม่เมายิ้มเอ๋อ
“อืม จะไปแล้ว เออ... รุ่งเสาร์อาทิตย์นี้ไม่ทำงานได้ไหม ไปงานวันเด็กกับเขนหน่อย” รถถังพ่นไฟจะไปงานวันเด็ก นี่นะไม่ได้เมา
“งานวันเด็กที่ไหน เขนไม่ใช่เด็กแล้วนะ” ผมตอบขำ ๆ เริ่มมั่นใจว่าเมาจริง
“ที่บริษัทครับ ไปจัดงานวันเด็กที่เชียงราย ไปเป็นเพื่อนเขนหน่อย รุ่งจะได้ไปเที่ยวด้วย” อ๋อยังพูดรู้เรื่อง
“ขอดูงานก่อนแล้วกัน” ขอแบ่งรับแบ่งสู้ก่อน ถ้าปฏิเสธไปคงไม่กลับแน่
“งั้นพรุ่งนี้เขนมารอฟังคำตอบนะ ราตรีสวัสดิ์ครับรุ่ง”
เขายกนิ้วสองนิ้วแตะที่ริมฝีปากตัวเอง และมาแตะลงบนริมฝีปากผมอย่างรวดเร็ว แล้วเดินออกไป สมองผมหยุดทำงาน แต่หัวใจกลับทำงานอย่างหนักหน่วงเต้นถี่รัวใกล้จะระเบิด
มันกลับมาอีกแล้วความรู้สึกนี้… ความรู้สึกที่ ‘เก็บ’ มานาน
ถูก ‘กู้’ กลับคืน
ด้วยปลายนิ้วเพียงสองนิ้ว