JKL THE SERIES: LOVE 27.03.2018 (END)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: JKL THE SERIES: LOVE 27.03.2018 (END)  (อ่าน 20050 ครั้ง)

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: FULFILL (BREATHE) 26.02.2018
«ตอบ #120 เมื่อ26-02-2018 10:01:15 »

Chapter IV: Fulfill (Breathe)

 

เสียงลมหายใจทั้งสองที่สอดประสาน เร่งเร้าอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ภายในหัวใจให้ประทุขึ้นจนไม่สามารถฉุดรั้ง ‘บทรัก’ ที่กำลังก่อกำเนิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่ประตูห้องนอนถูกปิดลงสนิทเสียด้วยซ้ำ สองร่างไร้ซึ่งถ้อยคำใด ๆ ที่จะกล่าวระหว่างกัน เพราะเพียงชั่ววินาทีที่สบสายตาก็รับรู้ชัดถึงความต้องการภายในที่หัวใจร่ำร้อง ด้วย ‘สายใยแห่งความรัก’ ที่เชื่อมโยงทั้งสองดวงวิญญาณกลับมาเชื่อมชิดสนิทอีกครั้ง

ใครว่า... ความห่างไกลเป็นตัวแปรของความคิดถึงและคะนึงหา

บางครั้ง แม้กายชิดสนิทแนบก็มิได้บรรเทาความลุ่มหลงและโหยหาในกันและกัน ที่มันเรียกร้อง... มากขึ้น... มากขึ้น..... มากขึ้น และจมลึกลงทุกที

แรงปรารถนาที่ปลุกเร้ามีฤทธิ์ร้ายคล้ายยาเสพติดที่ทำให้ภาพในสมองขาวโพลนล่องลอยรับรู้เพียงประสาทสัมผัสทางร่างกายที่ชัดเจน แจ่มแจ้งในทุกอณูแห่งความหวาน กว่าสติบางส่วนจะกลับคืน ก็จวนเจียนจะทำให้คนในอ้อมกอดขาดใจ จึงจำใจถอนจูบรสร้อนแรงออกจากริมฝีปากบาง ร่างเล็กแทบจะทรุดฮวบอยู่หน้าประตูในทันที หากเพียงเขาไม่ได้ประคองเอวบางไว้

ก่อนที่จะรวบร่างบางไว้กระชับ และนำพาทั้งสองร่างมาที่เตียงที่แสนอ่อนนุ่ม โดยไม่ปล่อยเวลาแม้เพียงเสี้ยววินาทีให้ขาดหาย เสมือนดั่งลมหายใจของกันและกัน

ณ จุดเริ่มต้น เฉกเช่นมหาสมุทรที่ทรงพละกำลัง ลดทอนพลังอันมหาศาลที่คับคั่งภายใน เพียรส่งเพียงฟองคลื่นสีขาวโอบล้อม สาดซัด ผะแผ่ว หาดทรายละเอียดเนียนนุ่ม อย่างใจเย็น หยอกเย้า...ย้ำ...ซ้ำ....ความสนิทแนบทั่วทุกตารางนิ้ว

จนได้รับสัญญาณตอบรับจากผู้รับรสสัมผัสที่ค่อย ๆ ส่งเสียงครวญครางหวานอย่างสุดกลั้น และปลดปล่อยความต้องการที่มากเกินความควบคุม

จึงเริ่มบทรักต่อไปที่รุกเร้า เรียกร้อง สอดรัด ด้วยสัมผัสทางกายที่แนบชิดยิ่งขึ้น คนใต้ร่างตอบสนองรสสัมผัสทุกสัมผัสอย่างเทียมเท่า หนทางรักที่ดำเนินต่อดังเหมือนไม่มีจุดสุดสิ้น

คลื่นลมในทะเล ปั่นป่วน ถาโถม ซัดสาด ฝั่งฝันอันแสนรื่นรมย์

ดั่ง...’ทะเลคลั่ง’ ที่ ใหลหลง คลั่งไคล้ มัวเมาใน ‘รสรัก’ อย่างถอนตัวไม่ขึ้น

ระดับดีกรีสอดประสานจึงเร่าร้อน รุนแรง เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยสุดขีดความอดทนอดกลั้นอีกต่อไป จวบจนรวมหลอมสองร่างและลมหายใจเป็นหนึ่งเดียว

 

ห้องนอนทั้งห้องกลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง แว่วเพียงเสียงหอบหายใจของร่างทั้งสองที่ยังกระหวัดเกี่ยวรัดกันจนยากจะแยกออก มือเล็กค่อย ๆ ไล้ซับเหงื่อเม็ดโตที่ผุดออกมาตามไรผมหยักศกของใบหน้าคมที่ยังซุกซบอยู่ในอ้อมอกของตนเอง อย่างแสนรัก แสนทะนุถนอม

คนตัวโตจึงเงยหน้าขึ้นมามองคนใต้ร่าง ใบหน้าหวานที่ยังมีเลือดฝาดสีกุหลาบระเรื่อ ปลายหางตายังมีร่องรอยน้ำตารื้นชัดเจน

“ยังเจ็บอยู่เหรอครับ” เสียงยังคงแตกพร่า ก่อนที่จะจูบลบรอยน้ำตานั่น

“เปล่า...” ร่างบางยังคงพูดน้อยอยู่เช่นเดิม โดยเฉพาะเมื่อบทรักที่เร่าร้อนเพิ่งพ้นผ่าน

“งั้น...น้ำตานี่มาจากไหนครับ” จึงเริ่มกระเซ้าคนรักต่อ ขณะที่ปลายจมูกยังคงวนเวียนคลุกเคล้าใบหน้าหวานไล่เรียงมาถึงลำคอระหง

“เขน... อย่าพึ่ง......... พักก่อน” ร่างบางเริ่มประท้วง มือเล็กเริ่มออกแรงผละออกจากอ้อมกอด เมื่อผมกำลังจะเริ่มก่อกวนอีกครั้ง

“หึหึหึ” ไม่ยอมปล่อยให้หนีกันง่าย ๆ ผมจึงกดน้ำหนักโอบกระชับเก็บกักร่างบางไว้

“หมายความว่า ถ้าหายเหนื่อยแล้วต่อได้” คนที่ให้คำตอบได้เบือนหน้าหนี

“เขนรักรุ่ง นะครับ” ใบหน้าหวาน เสมือนถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงจัดอีกครั้ง ทั้งที่ไม่ยอมหันกลับมาสบสายตา

“รุ่งจ๋า...........รักเขนบ้างไหม” ผมอยากได้ยินจริง ๆ เพราะไม่เคยได้ยินคนคนนี้พูดออกมาอย่างจริงจังเลยสักครั้ง ๆ ทั้งที่ผมเป็นฝ่ายพร่ำบอกเสมอ โดยเฉพาะตลอดช่วงระยะเวลาเกือบสามเดือนที่ได้ครอบครองเรือนร่างของคนรัก คนที่ปรารถนา และใฝ่ฝันถึงมานาน

แม้จะ ‘รู้’ จากสายตา

แม้จะ ‘รู้’ จากการกระทำ

แม้จะ ‘รู้’ จากความอารมณ์และความรู้สึก

แม้จะ ‘รู้’ จากความแนบชิดที่สื่อสารผ่านจิตวิญญาณ

แม้จะ ‘รู้’ ว่าคนที่ ‘เก็บ’ มานานมันไม่ง่ายนักสำหรับเขาที่จะเอ่ยมันออกมา

แต่......ก็ยังคงปรารถนาที่จะได้ยลยิน และผมคิดว่าผม ‘รู้’ วิธี……

 

“รุ่งจำครั้งแรกที่พบกันอีกครั้งที่มหา’ลัย ได้ไหม” ผมเริ่มเล่า ขณะที่พลิกตัวตะแคงข้าง โดยใช้อ้อมแขนแข็งแกร่งประคองร่างบางมาประกบเคียงข้าง อย่างไรก็ไม่ปล่อยให้คนในอ้อมกอดหนีหาย มือของแขนข้างที่ถูกอีกคนทับยังคงกดสะโพกกลมให้แนบชิด และไม่ยอมถอนเรือนกายที่ยังซ่อนเร้นอยู่ในร่างบางออก คนตัวเล็กจึงทำเสียงจิจ๊ะเบา ๆ อย่างขัดใจ ก่อนที่จะยอมซุกใบหวานมุดลงในอ้อมอกอีกครั้ง ผมใช้นิ้วม้วนผมอ่อนนุ่มเล่นแล้วจึงเล่าต่อ

“ทั้งที่ตอนนั้นเขน ไม่เคยคิดว่าตัวเองเคยมีความรักมาก่อน ตอนนั้นเข้าใจว่าไม่เคยรู้จักความรักเลยด้วยซ้ำ ชีวิตช่วงที่ ’ความทรงจำ’ และ ‘รุ่ง’ ขาดหายไปเหมือนลมหายใจมันติด ๆ ขัด ๆ เหมือนใช้ชีวิตไปวัน ๆ เหมือนอะไรที่สำคัญในชีวิตขาดหาย   ตอนนั้นรู้เพียงว่าต้องอยู่ให้ได้เพื่อครอบครัว”

“แต่เมื่อเพียงพบรุ่งอีกครั้ง แค่เดินสวนกันหลังหอประชุม เหมือนเขนลืมวิธีการหายใจ ทั้งที่รุ่งเดินผ่านไปนานแล้วยังก้าวขาไม่ออกจนเพื่อนที่เดินตามมาต้องสะกิดจึงรู้สึกตัวอีกครั้ง แล้วรู้เพียงเพียงแต่ว่าต้องไปหน้าเวทีให้ได้ เขนเดินฝ่าผู้คนขอทางไปเรื่อย ๆ จนพบรุ่ง ตลอดคอนเสิร์ตเหมือนทุกอย่างหยุด เหมือนโลกนี้มีแค่เขนกับรุ่ง เหมือนชีวิตนับจากนั้นมีความหมายมากขึ้น เหมือนหายใจได้เต็มปอดอีกครั้ง”

“จนกระทั่งเขนเตรียมไปสารภาพ ‘รัก’ กับรุ่ง....”

“และมารู้อีกครั้งว่า... รุ่งก็จากไปแล้ว..............”

“แต่ถึงอย่างนั้น ชีวิตเขนก็ยังมีความสุขมากกว่าตอนก่อนพบรุ่ง เหมือนหาเจอแล้ว เหมือนค้นพบแล้ว แม้จะอยู่ไกลกันขนาดไหน แม้จะไม่ได้พบกันอีก แต่เพียงแค่ได้ ‘รู้’ ว่ามี ‘รุ่ง’ ในโลกใบนี้ให้เขนได้ ‘รัก’ แค่ได้ ‘รู้’ ว่า ‘รักรุ่ง’ ก็เพียงพอต่อหัวใจแล้ว”

ผมปลดปล่อยคำพูดทุก ๆ คำออกมาจากความรู้สึกข้างใน

“ตอนนั้นพี่บลูมาพบเขนตอนที่ถือช่อ ‘ดอกลิลลี่’ ไปสารภาพรักกับรุ่ง ต้องขอบคุณพี่บลูกับพี่เชนมากจริง ๆ ที่คอยส่งข่าวของรุ่งให้เป็นระยะ ๆ”

“ตลอดเวลาที่เฝ้ารอคอยรุ่ง ก็เห็นว่าเส้นทางของเรานับวันยิ่งห่างไกลกันไป มากขึ้น มากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นแรงผลักดันทำให้เขนต้องพยายามเรียนให้ดีขึ้นเพื่อจะตามรุ่งไปให้ได้ ขอแค่ใกล้ที่สุดเพียงแค่ช่องทางการได้รับข่าวคราวของรุ่งก็ยังดี ยิ่งเมื่อพี่เชนไปเยอรมัน เขนก็คิดแต่ทำยังไงก็ได้ต้องตามพี่เชนไปให้ได้ จนมาคิดทีหลังว่าทำไมไม่ไปอังกฤษนะ”

“ตอนนั้นรุ่งหนี.....” ผมอมยิ้ม เมื่อเสียงเล็กเริ่มแทรกขึ้นมา นี่ไงแผนตะล่อมให้เปิดเผยความในใจเริ่มได้ผล

“หนีหัวใจตัวเอง มันยังไม่พร้อมจริง ๆ นะเขน”

“ไม่ว่าเพื่อน ๆ จะหว่านล้อมให้เลิกเก็บ ‘ดอกลิลลี่’ มากแค่ไหน หรือจะช่วยเหลือมากเพียงใด”

“แต่รุ่ง ‘รู้’ ตั้งแต่แรกว่าเป็นเขน แม้ไม่มั่นใจนัก แต่ก็ตัดใจทิ้งไม่ได้”

“แต่เมื่อแน่ชัด เมื่อวันที่เขนไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลวันนั้น”

“ว่าหนีหัวใจตัวเองไม่พ้น และรู้ว่าถ้าอยู่เมืองไทยต่ออาจเป็น ‘รุ่ง’ เองที่เดินเข้าไปหาเขน”

“แล้วไม่รู้ว่าถ้าย้อนกลับไปครั้งนั้น เขนจะเป็นอย่างไรบ้าง”

“จึงเลือกทางที่จะจากไปอีกครั้ง............” เสียงหวานแผ่วเบาเหมือนถูกกลืนหาย ผมกระชับร่างบางแนบอก ให้กำลังใจกันและกัน เรื่องบางเรื่องมันยากเกินกว่าที่จะเล่า โดยเฉพาะจากมุมมองของคนที่ ‘เก็บ’ และ ’เจ็บ’ มาแสนนาน


“ไม่ใช่เขนคนเดียวหรอกที่คอยตามข่าว แค่สายข่าวของรุ่งดีกว่าเขนแค่นั้นเอง” คนตัวเล็ก เงยหน้าขึ้นมามองเจ้าเล่ห์ เรื่องนี้ผมไม่เคยรู้มาก่อน รุ่งสืบข่าวผมด้วยอย่างนั้นเหรอ

“เราสัญญากันไว้ เขาส่งข่าวเขนให้รุ่งทุกเดือนตั้งแต่เราแยกจากกันครั้งแรก เขาเพิ่งเลิกส่งตอนที่รุ่งกลับไปขอยกเลิกสัญญา เมื่อต้นปีนี่เอง”

“เขาให้สัญญาไว้ เขารักษาสัญญา และสม่ำเสมอเหมือนลูกชายเขา”

“ใครเหรอ”

“คุณพ่อของเขนไง เราสัญญากันไว้ตั้งแต่ตอนเขนป่วย พ่อส่งเมลให้รุ่งทุกเดือนสิบกว่าปีเลยนะ”

“จริงเหรอ” พ่อไม่เคยบอกผมมาก่อน แม้กระทั่งเราสองคนกลับมาคบกันอีกครั้ง ผมรักและเทิดทูนผู้ชายคนนั้นเสมอ เพราะรู้ว่าเขาเสียสละ และเป็นห่วงผมเสมอมา แต่ไม่รู้ว่าเขาทำเพื่อผมและคนที่ผมรักมากมายเพียงนี้

“จริงสิ ก็เรา ‘รัก’ คนคนเดียวกัน”

“...........................................”

“อะไรนะ” ผมเกือบคิดไม่ทันคำบอกรักขี้โกงนั่น

“จริง ๆ แล้วก็เหมือนที่เต้กับไทม์บอก ไม่รู้หรอกว่าเราเริ่ม ‘รัก’ กันตอนไหนเลยด้วยซ้ำ หรือมันอาจเป็นตั้งแต่วินาทีแรกที่พบกัน ตั้งแต่รุ่งเดินเข้าห้องเรียนมา คล้ายกับว่าสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองมาเหมือนอ่านกันได้ทะลุ เหมือนพบคนที่เหมือนกันมาก แม้ในตอนแรกในหัวใจรุ่งเองยังไม่ยอมรับ แต่ความรู้สึกข้างในมันบอกว่าเขนไม่เหมือนใคร ไม่ต้องปิดบังอะไร เพราะเหมือนรู้อยู่แล้ว”

“เขนชัดเจนตั้งแต่แรกเหมือนทุกครั้ง และระยะเวลาแห่งความผูกพันนั่นมันค่อย ๆ สร้างให้เกิดความรู้สึกดี ๆ ที่มีคนคอยเดินเคียงข้าง คอยปกป้อง คอยห่วงใยดูแล เราไม่เคยพยายามให้คำนิยามที่ชัดเจนกับมัน จนเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียก แต่สิ่งที่สามารถอธิบายคนอื่นให้เข้าใจได้ก็คือเพียง….. เพื่อนสนิท”

“จนเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความชัดเจนในความสัมพันธ์มากขึ้น”

“.............................................”

“อะไรเหรอรุ่ง”

“.............................................”

“อะไรล่ะ”

“ขอเวลาบ้างสิ” คนตัวเล็กเริ่มประท้วง มาถูกเร่งเร้า

“งั้นเขนเอาเวลาไปทำอย่างอื่นนะ” มือที่เกาะกุมที่สะโพกจึงเริ่มซุกซน ขณะที่อีกข้างกำลังหยอกล้อปลายยอดหน้าอกสีหวาน จมูกคมค่อย ๆ จรดลงทีไรผมอ่อนนุ่มไล้ลงมาที่หน้าผาก อารมณ์หวาน ๆ ข้างในใจเริ่มจะฉุดไม่อยู่

“อะ เดี๋ยวเขน..... จะฟังไม่ฟัง” ร่างบางเริ่มปัดป้องพัลวัน

“ก็รุ่งไม่เล่า” ผมยังไม่ยอมเลิกราง่าย ๆ

“เล่าแล้ว เล่าแล้ว......” เสียงถอนหายใจชัดเจน ตั้งใจประชด ผมจึงต้องตั้งสติกลั้นความต้องการของตัวเองอีกครั้ง

“จูบแรก ตอนไม่สบาย.....”

“หืม” ผมไม่เคยรู้ว่าเราเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งมากแค่ไหนก่อนอุบัติเหตุครั้งนั้น

“.......................................” ผมเชยคางแหลม เพื่อให้ใบหน้าหวานที่ซุกอยู่ในอกขึ้นสบตา แต่ดวงตากลับปิดสนิท คนตัวเล็กกำลังกัดริมฝีปากตัวเองอยู่ อย่างสะกดกลั้น แต่สีเลือดฝาดทั่วใบหน้า และจังหวะการเต้นของหัวใจที่แนบชิด บอกให้ถึงความรู้สึกเขินอายนั่นได้อย่างดี

“เล่ามานะ......รุ่ง” ตอนนี้จังหวะหัวใจของผมก็กำลังเต้นผิดปกติ

 

‘จูบ...ตอนไม่สบาย’ ผมมีความหลังกับจูบอันแสนอ่อนหวานในฝันที่ตามหลอกหลอนเช่นเดียวกัน และให้ความรู้สึกว่ามันมีความเชื่อมโยงกันแน่ ๆ

“ก็....การแสดงออกมันเริ่มแปรเปลี่ยนจากแค่เพื่อนสนิทหลังจากที่เขน....จูบป้อนยาให้รุ่ง จูบแรกตอนไม่สบาย” ใบหน้าหวานฝืนมุดลงไปในอ้อมอกอีกครั้ง ผมต้องรุกเรื่องจูบแรกนี่ก่อน

“แล้วยังไงต่อ”

“ก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้นแล้ว หลังจากนั้นความสัมพันธ์ร่างกายที่เริ่มชัดเจนขึ้นจนเรียกว่าเพื่อนไม่ได้แล้ว เราก็กลายเป็นคนรัก เขนก็แทบจะย้ายบ้านมานอนบ้านนี้ เหมือนกับตอนนี้ คนรอบข้างใกล้ ๆ ตัว ครอบครัว เพื่อนสนิทก็ค่อย ๆ รู้ จนเขนให้ ‘ดอกลิลลี่’ ดอกแรก ในวันปัจฉิมม.ต้น เกือบทั้งโรงเรียนก็รู้ว่าไม่ได้แค่เพื่อนสนิทกัน”

“แล้วยังไงต่อ”

“ไม่มีอะไรแล้ว” ผมรู้ว่าความสัมพันธ์ในอดีตคงไม่มีอะไรมากกว่าจูบนั่น เพราะครั้งแรกของ ’เรา’ เกิดขึ้นในคืนที่เราเปิดเผยความในใจกัน แต่.....

“เขนถามถึงจูบนั่น” ผมต้องเคลียร์เรื่องจูบในฝันนั่นให้ได้

“อะไรอีกล่ะ” รุ่งเงยหน้าขึ้นมองครั้งแรก อย่างเริ่มงอน

“ที่ลำปาง ตอนเขนป่วย รุ่งป้อนยายังไง” สายตาตื่นตระหนก ก่อนที่จะมุดลงไปที่เดิม

“เขนจำได้เหรอ.......”

“ไม่แน่ใจแต่คิดว่าใช่”

“............................”

“ก็.......รุ่งสัญญาไว้แล้วว่าจะไม่ให้ใครจูบอีก ตั้งแต่ก่อนไปอังกฤษ ครั้งแรก”

“แต่...เขนบอกเองว่าถ้าเขนไม่สบายให้รุ่งป้อนยาแบบนั้นได้นี่นา”

“รุ่งก็ไม่ผิด ก็เขนอนุญาตแล้ว”

“และรุ่งก็เป็นคนจูบ ไม่ได้ถูกจูบ”

คิดแล้ว....ผมแน่ใจว่าคงต้องใช้เวลาอีกนานให้คนตัวเล็กค่อย ๆ คลายความลับที่ ‘เก็บ’ มานาน แต่วันนี้เท่านี้น่าจะเพียงพอ ก็ผมมีเวลาทั้งชีวิต ที่จะไม่มีวันยอมปล่อยให้คนในอ้อมกอดหนีหายไปไหนได้อีก

“ไม่รู้ละ เขนงอน”

“อะไรล่ะ รุ่งไม่ได้ทำผิดตรงไหนเลยนะ”

“ไม่รู้”

“...........................”

“ให้ง้อยังไงอะ”

“..........................”

“รุ่งยังไม่ตอบเลยว่ารักเขนบ้างรึเปล่า”

“ยังต้องตอบอีกเหรอ”

“............................”

“…………………….รุ่งรักเขน”

“.............................”

“อะไรอ่ะ ก็ยอมพูดแล้ว”

“.............................”

“เขน...................ก็ได้”

ในที่สุดผมก็รู้แล้วว่าจูบในความฝันนั่นเป็นความจริง จูบหวานซึ้งตรึงใจ ที่ซึมซาบอยู่ในทุกอณูความรู้สึก คือจูบนี้เอง

จูบที่.....เคยเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ในอดีต

จูบที่.....ตอกย้ำความปรารถนาในปัจจุบัน

จูบที่.....เป็นดังคำมั่นที่จะเคียงข้างกันในอนาคต

 

ดั่ง... ลมหายใจเดียวกัน จากนี้จนชั่วนิรันดร์





#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: FULFILL (NOW AND FOREVER) 26.02.2018
«ตอบ #121 เมื่อ26-02-2018 10:04:34 »

Chapter V: Fulfill (Now and forever)

 

ผมยังคงฝัน แต่มันไม่ใช่ฝันร้ายเดิม ๆ อีกต่อไป

หลายต่อหลายครั้งเมื่อตื่นขึ้นมาจากความฝัน คล้ายว่าเรากำลังพยายามโอบอุ้มสายน้ำไว้ในอุ้งมือ มันจะค่อย ๆ เล็ดลอดเหือดหายเลือนลางหายไป แต่ความฝันครั้งนี้ของผมกลับชัดเจน และแจ่มชัดมากขึ้น เมื่อตื่นลืมตาก็พบกับใบหน้าคมที่พบในฝัน

แม้วันเวลาที่ผันผ่านจะแปรเปลี่ยนบางอย่างไป แต่เค้าโครงใบหน้าเดิมที่จรดลึกในความทรงจำ และการกระทำทั้งหมดของเขา ทำให้เขา ‘ผู้ชายที่ผมรัก’ ตั้งแต่แรกพบวันนั้น กับผู้ชายที่นอนเคียงข้างในวันนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด

ผมยังคงตราตรึงสายตาคมที่จ้องลึกราวกับว่าทะลุเข้ามาข้างในหัวใจ เพียงเศษเสี้ยววินาทีแรกที่พบกัน จากสายตาที่เฝ้าดูแล ห่วงใย ติดตามในวัยเยาว์ และกลับกลายเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความลุ่มหลง ปรารถนา และภักดี

เปลี่ยนชีวิตที่เคยโดดเดี่ยว อยู่เพียงลำพังเงียบ ๆ ในโลกแห่งความฝัน ให้มีความหมายขึ้นมาในทุก ๆ ลมหายใจ แม้หนทางของชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลา ทั้งวันเวลาที่เคยนำพาทางเดินของเราทั้งสองมาพบกัน และวันเวลาก็เคยพรากเส้นทางความรักของเราให้แยกจากกัน

แม้ตอนนี้เส้นทางชีวิตวกกลับมาบรรจบกันอีกครั้ง แต่อดีตที่เคยประสบทำให้ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะเก็บเกี่ยวทุก ๆ นาทีที่เราอยู่ด้วยกัน ทำให้ทุก ๆ วินาทีที่เราอยู่ด้วยกันมีคุณค่า สรรค์สร้างทุก ๆ เสี้ยววินาทีให้ ‘ผู้ชายที่ผมรัก’ มีความสุข

แสงแรกแห่งดวงอาทิตย์กำลังสาดส่อง ผมจำต้องปลุกพระจันทร์ที่กำลังจมอยู่ในห้วงนิทราให้ไปปฏิบัติภาระหน้าที่ในวันใหม่ จึงแกล้งเกลี่ยลูกผมที่งอเป็นคลื่นเล็ก ๆ ที่ล้อมกรอบใบหน้าขาวอย่างเบามือ ค่อย ๆ สอดนิ้วเรียวเข้าแทรกในลอนผมหยักศกนุ่มหนา พร้อมดันตัวเองขึ้นจากอ้อมอกอุ่น แล้วโน้มตัวลงเพื่อมอบจุมพิตต้อนรับเช้าวันใหม่

คนตัวโตตอบรับรสจูบทันที อย่างเคลิบเคลิ้ม กึ่งฝัน แน่ชัดว่ายังไม่ตื่น แต่ปฏิกิริยาที่ตอบสนองมันทำให้รู้ว่ากำลังฝันถึงอะไรอยู่กันแน่ ผมลอบยิ้ม เมื่อพยายามจะถอนจูบออก กลับมีลูกแมวผวาตามหารสจูบติดตามไม่ยอมปล่อย คงต้องปลุกด้วยวิธีนี้จริง ๆ ให้ขาดอากาศหายใจคงตื่นมาเอง แล้วเพียงสักพักก็ได้ผล ดวงตาคมโตเปิดเปลือกตาปรือขึ้นมามอง ผมจึงแกล้งกัดริมฝีปากไปเบา ก่อนจะผละออก

“รุ่ง............” คนตัวโตยังงัวเงียแต่กลับดึงผมเข้าไปสู่อ้อมอกแข็งแกร่งอีกครั้ง

“ตื่นได้แล้วเขน เช้าแล้วนะ วันจันทร์ด้วยรถติด” ผมพยายามดิ้นออกจากอ้อมกอด แต่ยิ่งดิ้นยิ่งกลับรัดแน่นหนามากกว่าเดิม

“อีกสิบนาทีนะ....รุ่ง”

“งั้นปล่อยก่อน รุ่งไปอาบน้ำก่อนนะเขน”

“ไม่อะ กำลังฝันดี” เอาแต่ใจ นิสัยเด็ก ๆ แบบเดิม ๆ ที่ซ่อนอยู่ค่อย ๆ แสดงออก

“เขนก็นอนฝันไปก่อน ปล่อยรุ่งก่อนนะ” ผมพยายามอ้อน

“ฝันดี จะดีที่สุดถ้ามีคนในฝันอยู่ด้วยนี่นา”  แล้วก็แพ้ลูกอ้อนของอีกคน

“อีกเดี๋ยวค่อยอาบน้ำด้วยกันนะ”

บางที..... ‘รู้’ จักกันดีเกินไป

เพราะ..... ‘รัก’ กันมากเกินไป

ก็ทำให้..... ‘ยอม’ กันง่ายเกินไป

ผมเริ่มอ่อนใจ

 

‘ดอกลิลลี่’ สีขาวแรกแย้มปักอยู่หลอดแก้วใสทรงสูงที่โต๊ะทำงาน ทั้ง ๆ ที่เจ้าของออกไปทำงานที่ไซด์งานก่อสร้างนอกเขตปริมณฑล แต่เขาคนเดิมก็ยังคงทำทุกวิถีทาง และสม่ำเสมอ

ผมเริ่มคุ้นเคย และเลิกคาดเดามานานแล้วว่าทำอย่างไร

‘รู้’ แค่เพียงว่าใคร....หัวใจก็สุขล้น

“สดชื่นจริง ๆ นะพี่ ได้กลิ่นหอมของดอกลิลลี่ตอนเช้านี่” นี่คือคำทักทายของเด็กร้ายที่มาทำงานสาย

“พี่บลูครับ กี่โมงแล้วครับ” ผมจึงจัดกลับให้

“เฟรมเก้าโมงกว่าแล้ว สายกี่ครั้งแล้วเดือนนี้” พี่บลูหันตีหน้าขรึมเสริมทัพ

“โถ.....พี่บลูก็ผมไม่มีใครมารับมาส่งเหมือนคนบางคนนี่นา” มันไม่เลิก

“พี่บลูวันนี้ผม ‘เอารถมาเอง’ วันนี้กลางวันออกไปหาอะไรกินข้างนอกกันไหมครับ” ให้มันรู้ซะบ้าง

“อืมเปลี่ยนบรรยากาศไปข้างนอกบ้างก็ดี เบื่อเด็กแถวนี้” พี่บลูตอบ

“ใช่สิ ก็ผมมันคนมาทีหลังนี่นา ทำไงก็โดนรุม” ผมกับพี่บลูลอบยิ้มให้กัน

“ให้ผมไปด้วยคนแล้วกัน” มันสรุปหน้าตาเฉย เหมือนยอมซะอย่างนั้น ง่ายไปไหม

 

หลังจากที่โปรเจคใหม่ของผมนำเสนอบอร์ดบริหารผ่านแล้ว ช่วงนี้จึงอยู่ระหว่างหา Reference เพื่อเป็นข้อมูลวาง Concept ให้กับโครงการ บรรยากาศในทีมจึงดูสบาย ๆ มากกว่าช่วงที่ต้องทำแผนเคร่งเครียด เราจึงออกไปเตร็ดเตร่เดินศูนย์การค้าอื่นเล่น ในช่วงพักกลางวันพร้อมหาอะไรทานกัน จริง ๆ แล้วก็คล้าย ๆ มาสำรวจตลาดในตัวด้วย

เราสามคนมานั่งที่ร้านโซน Open Air ระหว่างรออาหารกลางวันที่สั่งไป โชคดีวันนี้ไม่ร้อนจัด บรรยากาศแบบนี้จึงพอนั่งรับอากาศภายนอกได้ พร้อมกับนั่งฟังเฟรมบ่นพร่ำไปเรื่อย ๆ กับพี่บลู โดยผมก็ยังคงฟังเพลิน ๆ นั่งเก็บข้อมูลพร้อมแจมบ้างเป็นระยะ ๆ

ZZZZZZZZZZZZZZZ ข้อความยังคงถูกส่งมาตรงเวลาทุกวัน

‘วันนี้ยุ่งมากไหมครับ อย่าลืมทานข้าวกลางวันนะ เป็นห่วง วันนี้เขนกลับดึกนะครับ’

“พี่บลูครับ ชาเขียวที่สั่งไปเมื่อกี๋ไม่ต้องใส่น้ำเชื่อมแล้วล่ะครับ แค่นั่งใกล้พี่รุ่งมดก็จะขึ้นอยู่แล้ว” นอกจากมันจะยื่นหน้ามาอ่านข้อความด้วยแล้ว เด็กร้ายยังเหน็บแนมให้ซ้ำ

“เออ ถ้าไม่ใส่ก็เก็บไว้ให้พี่ พี่ยอมเป็นเบาหวาน” จึงรับให้ซะเลย จะอะไรมากมายก็แค่คน ‘รักกัน’ จึงกลายเป็นคนแซวเริ่มเขินแทน

“เดี๋ยวผมมาครับพี่บลู” ผมขอตัวออกมาโทรศัพท์และแทบไม่ทันจะได้ฟังเสียงรอสาย

“รุ่งจ๋า...คิดถึงครับ” ถ้อยคำที่ทำเอาหัวใจไหวหวั่น

“...........มันใช่คำทักทายเหรอ คำนั้นน่ะ” เขาไม่ทักทายหรือสวัสดีกันแล้วหรือไง

“ก็เขนคิดถึง ไม่กล้าโทรไป กลัวรุ่งยุ่งอยู่”

“รุ่งคิดถึงเขนเหรอ”

“..............................” ยังห่างกันไม่ถึงครึ่งวันเลยนะเขน

“ไม่ตอบแสดงว่าคิดถึง”

“เฮอ........................” คิดเอาเองก็ได้ คนเรา

“ทานข้าวหรือยังครับ”

“กำลังจะกิน สั่งอาหารแล้ว รออยู่ วันนี้รุ่งออกมาทานข้างนอกกับเฟรมกับพี่บลู”

“โห......อิจฉา เขนต้องกินในไซด์งานคนเดียว”

“งานยุ่งเหรอ เห็นว่าจะกลับดึก เขนไม่ได้เอารถไปด้วย จะกลับยังไง” นี่แหละประเด็นที่ทำให้รีบโทรมา ก็เมื่อเช้าเราออกมาด้วยกัน ผมแวะไปส่งเขนที่ไซด์งานก่อนมาที่ออฟฟิศ

“น่าจะดึกนะรุ่ง ผู้รับเหมาต้องเร่งงานโครงสร้างหลักนิดหน่อย คงเที่ยงคืนได้ เดี๋ยวเขนกลับแท็กซี่เอง รุ่งกลับก่อนเลย”

“เหนื่อยไหม...”

“แค่มีรุ่งคอยเป็นห่วงก็หายเหนื่อยแล้ว”

“อืม... เป็นห่วงนะเขนดูแลตัวเองดี ๆ” ผมกล้าที่จะพูดตามความรู้สึกตัวเองมากขึ้น

“ค..ครับ แล้วจะรีบกลับนะครับ” กลับเป็นผมที่รู้สึกดีใจ เมื่อ ‘รู้’ ว่าคำพูดจากหัวใจไม่กี่คำ ที่เอ่ยออกไป ทำให้คนปลายสายตอนนี้น่าจะยิ้มจนแก้มแทบแตก

“แล้วพบกัน รุ่งจะรอ” ผมจึงวางสายไป ผมเริ่มตระหนัก ‘เขา’ ค่อย ๆ เริ่มเปลี่ยนแปลงมุมมองของผมอีกครั้ง มุมมองที่ไม่เคยรู้...

เปลี่ยน...ให้ยอม ‘เปิดใจ’ และ ‘เปิดรับ’ เขาเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง

เปลี่ยน.... ให้กล้าที่ยอมรับ ‘ความรัก’ ของเขาเข้ามาอย่างเต็มหัวใจอีกครั้ง

เปลี่ยน..... ให้เฝ้าดูวันพรุ่งนี้รักเราจะเป็นอย่างไร......

 

“พี่กลับก่อนรุ่ง”

“พรุ่งนี้พบกันครับพี่บลู พี่เชน” ผมมองตามทั้งสองคนเดินออกไป สามทุ่มกว่าแล้วทำงานจนเพลิน เจ้าเฟรม และคนอื่น ๆ ในฝ่ายทยอยกลับไปตั้งแต่เลิกงาน มีเพียงพี่บลูกับผมที่นั่งคุยกันทำงานกันไปเรื่อย จนพี่เชนมาตามพี่บลูกลับไป

พี่บลูเพิ่งทราบเรื่องราวของผมกับเขนช่วงก่อนเรียนมหาลัย ก่อนหน้านี้ผม ‘เก็บ’ ไว้ได้ดีทำให้ทั้งคู่ไม่ได้ระแคะระคายอะไร

ใช่ครับ ทั้งสองคนรู้เรื่องที่เขนแอบชอบผมมานาน และพี่บลูรู้ว่าผมก็รู้ เพราะเป็นคนบอกผมเองว่าเจ้าของดอกลิลลี่ที่อุตส่าห์หอบมาให้ถึงอังกฤษเป็นใคร แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าผมรู้สึกอย่างไร

เมื่อพี่เชนตามเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยจึงได้รู้เพิ่มเติมอีกว่าพี่เชนใช้ความพยายามมากเพียงไรในการแย่งโปรเจคที่ลำปางมาให้เขน ทั้ง ๆ ที่ปกติทั้งสองคนจะพยายามหลีกเลี่ยงการทำงานโครงการเดียวกันอย่างมาก รวมทั้งเรื่องที่พี่เชนแอบงอนตอนที่พี่บลูเรียกผมกลับมาจากลำปางด้วย

แต่ก่อนที่ผมจะได้กล่าวขอบคุณพี่บลูกับพี่เชน ก็ได้พบว่าคู่กรณีอีกคนหนึ่งแทบจะยกบ้าน ยกที่ดิน สละทรัพย์สินทั้งหมดให้พี่ทั้งสองไปแล้ว

“แค่นี้เชนมันก็น้ำหนักขึ้นแล้วล่ะรุ่ง” พี่บลูกล่าว

“เขนมันเลี้ยงข้าวมาเกินเดือนแล้วละมั้ง” ก่อนที่จะส่งสายตามองพี่เชนแบบระอา

คู่นี้เขาน่ารักจริง ๆ ครับ นี่ก็คงไปแวะเล่นฟิตเนสกันก่อนกลับบ้าน ผมปิดโน้ตบุ๊ก ก่อนที่จะตัดสินใจ เพิ่งวันจันทร์ งานช่วงนี้ก็ไม่หนักอะไร ไปเดินเล่นที่ไซด์ก่อสร้างบ้างน่าจะดี เขนยังเคยมารอรับผมกลับบ้าน ผมไปรับบ้างก็ไม่น่าจะมีอะไร ไม่อยากกลับบ้านเพียงคนเดียวแล้ว

เพราะตอนนี้...ในหนึ่งชีวิต ‘เรามีกัน’ สองคนแล้ว

 

ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ฝ่าการจราจรออกมานอกเมืองได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ไซด์ก่อสร้างทุกที่มีออฟฟิศชั่วคราวอยู่ที่ชั้นใต้ดินที่มักจะถูกเร่งให้สร้างเสร็จก่อนส่วนอื่น ๆ ผมจอดรถและเดินเข้าไปในออฟฟิศ แล้วจึงพบ รปภ. นั่งเฝ้าอยู่

“ขอโทษครับ ผมมาพบคุณเขน ฝ่ายก่อสร้าง”

“ครับ คุณเขนเพิ่งออกไปเดินตรวจงานกับผู้รับเหมาเมื่อสักครู่ ให้วิทยุตามให้ไหมครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้” ผมจึงเลี่ยงไปนั่งอ่านหนังสือเล่นที่โซนรับรองลูกค้า

 

“รุ่ง...... มาทำไมไม่บอก” คนตัวโตก้าวขายาว ๆ เข้ามาในออฟฟิศอย่างรวดเร็ว

“ก็...มารับกลับบ้านไง เขนเดินตรวจงานเสร็จแล้วเหรอ ทำไมเร็วจัง”

“เปล่า.....” นั่นไง น่าจะวิ่งกลับมาจากไซด์เพราะยังหายใจหอบอย่างชัดเจน

“แล้วนี่ทิ้งผู้รับเหมามายังไง เขนกลับไปทำงานก่อน รุ่งรอได้”

“ไปเดินด้วยกันนะ” คนพูดไม่พูดเปล่า ดึงหนังสือออกจากมือผม พร้อมทั้งฉุดมือให้เดินตามไปด้วย

“จะลากคนนอกไป ๆ มา ๆ ได้ยังไงให้รุ่งรอที่นี่แล่ะ” ผมพยายามดึงมือออก

“รุ่งไม่ใช่คนนอกสักหน่อย ก็เราเป็นคนเดียวกันนี่นา”

“หัวใจของเขนมาแล้ว เขนก็อยากอยู่ใกล้ ๆ หัวใจไม่ได้เหรอ”

“.....................................” ยังดีที่ตอนนี้ไม่มีคน ไม่มีใครได้ยิน เล่นอ้อนกันอย่างนี้ผมก็ไปต่อไม่เป็น กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็มาถึงที่ก่อสร้างแล้ว

“เขนรู้ได้ยังไงว่ารุ่งมา” ผมถามขณะเดินขึ้นบันไดหนีไฟ ครับอย่าว่าแต่ลิฟต์เลย บันไดเลื่อนก็ยังไม่ได้ติดตั้ง ศูนย์การค้าที่ตอนนี้มีแต่โครงสร้างหลัก เสา พื้น เพดาน ก็ต้องอาศัยเดินตามทางบันไดหนีไฟกันไปก่อน

“เมื่อกี๋เขนอยู่ชั้นสาม มองลงมาเห็นรถ” ผมก็อุตส่าห์ไม่ให้ รปภ. ตาม เจ้าตัวก็ยังบังเอิญเห็นเองอีกจนได้

“เดี๋ยวเดินดูชั้นสามอีกนิดนะรุ่ง แล้วกลับบ้านกัน” คนเดินนำหันกลับมายิ้มให้หน้าบาน ขณะที่ผมเริ่มทำอะไรไม่ถูกไม่รู้ว่าเพราะรอยยิ้มนั่น หรือสายตาผู้รับเหมาที่มองมาแปลก ๆ เมื่ออยู่ ๆ วิศวกรที่ควบคุมงานก็วิ่งหนีหายไป และกลับมาพร้อมผู้ชายอีกคนที่เจ้าตัวลากไปด้วยตลอดเวลาโดยไม่ยอมปล่อยมือ

 

ในที่สุดคนมารับก็หลับสนิทมาจนถึงบ้าน เรานั่งกินอาหารมื้อดึกในโรงครัวจัดเลี้ยงพนักงานกว่าจะออกจากไซด์งานมาก็เลยเที่ยงคืน เขนจึงไม่ยอมให้ผมขับรถเองอย่างเคย จนมารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่ออีกคนกำลังจะอุ้มขึ้นบ้านอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรเขน เดินไหว” ผมค่อย ๆ เรียกสติตัวเองกลับมา และเดินตามร่างสูงที่จูงมือเข้ามาในบ้าน

“รุ่ง เขน ทานอะไรกันมารึยังลูก” โชคดีที่ไม่ปล่อยให้คนตัวโตอุ้มเข้ามาจริง ๆ ผมเข้าไปกอด และหอมแก้มม๊า

“หม่าม๊ายังไม่นอนเหรอครับ”

“นอนแล้วจ๊ะ แต่ได้ยินเสียงรถเลยลงมาดู แต่ไม่ต้องห่วงแล้วนี่นะ ลูก ๆ กลับมาอยู่ด้วยกันสองคนแล้ว” เอ่อ...นี่ม๊าแซวผมอย่างนั้นเหรอ

“ครับม๊า” เขนตอบให้แทนซะอย่างนั้น

“มีอะไรให้ทานบ้างครับ ผมเก็บท้องรอไว้กินกับข้าวฝีมือม๊า” กินแล้วไม่ใช่เหรอเขน แล้วสองคนก็เดินตามกันไปที่ครัว

“รุ่งทานไหมลูก” ม๊าชะโงกหน้ามาถามจากห้องครัว

“ไม่แล้วครับ เดี๋ยวรุ่งไปอาบน้ำก่อน” ผมตอบพร้อมกับก้าวขึ้นบันได เสียงคุยกันกะหนุงกะหนิงดังมาเป็นระยะ น่าจะโดนยึดแม่ไปอย่างถาวร

 

“รุ่งอาบน้ำแล้วเหรอ” คนตัวโตเพิ่งเข้ามาในห้องนอน

“อืม” ผมกำลังนั่งเล่นเกมอยู่บนเตียง

“นึกว่าจะรอให้เขนอาบให้” ผมแกล้งทำเป็นมีสมาธิในการเล่นเกม ในขณะที่เริ่มรู้สึกร้อน ๆ ไปทั่วใบหน้า โอกาสไม่ได้มาบ่อย ๆ หรอกเขน คืนนั้นมันง่วงจริง ๆ ไม่น่าพลาดเลย คงโดนล้อไปอีกนาน

แมวตัวโตจึงมาร้องเรียกความสนใจด้วยการซุกหัวมานอนที่ตัก

“เขนไปอาบน้ำก่อน” เล่นไม้นี้ผมจึงต้องเลิกเล่นเกมมาผลักเจ้าตัวโตให้ลุกไปอาบน้ำ

“ก่อน.....อะไรอะ” ยังหันกลับมาทำหน้าเจ้าเล่ห์

“.....ก่อนนอน”

“รุ่งใจร้าย” ผมมองตามคนที่เดินเข้าห้องน้ำไป และส่ายหัวอย่างอ่อนใจ

ไม่รู้จริงๆ ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร หากตั้งแต่ ‘เปิดรับ’ เขากลับเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง

ทุกๆ ลมหายใจเหมือนกลับมา ‘เติมเต็ม’

ทุกๆ ลมหายใจกลับมาเต็มไปด้วย ‘ความหมาย’

เพียงเพราะ ‘ความรัก’ ของเขาเพียงคนเดียวที่เปลี่ยนแปลง ‘ชีวิต’ ทั้งชีวิตของผม และจะมีเพียง ‘เขา’ เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ผมพร้อมยอมมอบ ‘ชีวิต’ ทั้งชีวิตของผมให้ต่อจากนี้ไปจนนิรันดร์





#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: JKL THE SERIES: LOVE: FULFILL (NOW AND FOREVER) 26.02.2018
«ตอบ #122 เมื่อ26-02-2018 21:18:46 »

 :L2: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: LOOK LIKE 27.02.2018
«ตอบ #123 เมื่อ27-02-2018 16:32:57 »

Chapter VI: Look Like

 

“พี่เขน... แพรคิดถึงจังเลยค่ะ” สาวเปรี้ยวมั่นใจเกินร้อยแผดเสียงทักทาย คนทั้งออฟฟิศชั่วคราวหันมามองกันเป็นตาเดียว

“อ้าวแพรวา มาทำอะไร” ผมถามกลับขณะที่สาวน้อยเดินตรงเข้ามาควงแขนอย่างรวดเร็ว

“แพรนัดลูกค้ามา Site Visit ค่ะ พี่เขนอ่ะไม่โทรหาแพรบ้างเลย โทรไปก็ไม่รับ แพรแอบงอนแล้วนะคะ” แพรเป็นหนึ่งในแฟนคลับแถวหน้าของผมที่กรุงเทพครับ เราพบกันตั้งแต่วันปฐมนิเทศพนักงานใหม่

“พี่ยุ่ง ๆ กลับจากลำปางก็มาอยู่ที่นี่ต่อเลย” ผมยิ้มแห้งกลับไป

“จริงเหรอค่ะ” ร่างเปรียวหันมาเผชิญหน้าแต่ยังคงไม่ปล่อยแขน ดวงตาโตเพิ่งมองอย่างคาดคั้น

“แต่ที่แพรได้ข่าวมา เหมือนพี่เขนจะยุ่ง ๆ เรื่อง ‘คนอื่น’ อยู่” ผมยิ้มบาง ๆ กลับ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรใคร

“แล้วนี่กินข้าวกลางวันหรือยัง ไปพี่เลี้ยงข้าว” ง้อสักนิดไม่น่าเป็นไร

“ก็ดีค่ะ จะได้คุยกันต่อด้วย” เราจึงเดินออกมาด้วยกัน พร้อมกับสายตาคนอื่น ๆ ที่กำลังจับจ้อง สักพักข่าวลือเรื่องแพรวาคงกระจายตัวออกไป ผมได้แต่ส่ายหน้า และถอนหายใจ

 





เราออกมาทานข้าวที่ร้านอาหารใกล้ ๆ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ผมเริ่มเบื่ออาหารที่โรงครัวจัดเลี้ยงพนักงานแล้วสิครับ หลังจากที่สั่งอาหารเรียบร้อย ผมจึงเข้ารับการสอบสวนอีกครั้ง

“แหม พี่เขนหน้าตาดูสดชื่นจังนะคะ ได้ข่าวว่ามีความรักเหรอคะ”

“ใครกันน้า...ผู้โชคดีคนนั้น” แพรวาถามอย่างรวดเร็ว และตรงประเด็นเสมอ

“แพร ไม่น่าจะรู้จักหรอก เขาชอบเก็บตัวเงียบ ๆ” ในออฟฟิศสำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพแตกต่างกับบรรยากาศที่ไซด์งานในศูนย์การค้าตามสาขาต่าง ๆ เหมือนชีวิตคนกรุง ต่างคนต่างทำงาน ความสัมพันธ์นอกเหนือจากเรื่องงานจึงมีน้อย เพราะเอาเวลาไปติดอยู่บนถนนอยู่เป็นส่วนใหญ่

โดยเฉพาะคนที่เก็บตัวอย่าง ‘รุ่ง’ ผมเชื่อว่าเกินกว่าครึ่งของพนักงานที่นี่ไม่น่าจะรู้จัก ทั้ง ๆ ที่ป็อบปูล่ามากตามสาขาที่เขาได้ไปประจำ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วยังได้ขนม และอาหารทะเลแห้งที่ถูกส่งมาจากสุราษฯ มาถึงกรุงเทพฯ แฟนคลับที่นั่นน่าจะไม่น้อยไปกว่าที่ลำปาง

“พึ่งรู้ว่าเสป็คพี่เขนชอบคนเงียบ ๆ เห็นออกจะเฮฮา นึกว่าจะชอบสาวสังคมจัดซะอีก”

“เอ่อ.........” มันอธิบายอยาก ผมจึงได้แต่ยิ้มกลับไป อาหารที่สั่งถูกลำเลียงมาส่งเรื่อย ๆ ผมจึงก้มหน้าจัดการกับอาหารตรงหน้า

“แล้วอยู่ฝ่ายไหนเหรอคะ” ผมยังยิ้มให้กับท่าที ที่กัดไม่ยอมปล่อยของแพร

“ไม่ต้องมายิ้ม เลยพี่เขนตอบมา”

“ฝ่ายออกแบบ” ผมจึงตอบไปขำไป

“คนไหนนะ แพรมั่นใจว่ารู้จักเกือบหมดนะ ทีมไหนค่ะ” พร้อมกับคำถามเริ่มชี้เฉพาะลงเรื่อย ๆ

“ทีมพี่บลู เขาไม่ค่อยได้อยู่สำนักใหญ่เหมือนกับพี่นี่แหละ”

“งั้นก็รู้จักกันตอนไปที่ไซด์สิคะ ที่ลำปางเหรอค่ะ โปรเจคนั้นแพรไม่ได้ดูซะด้วย”

“ปล่อยพี่เขนคลาดสายตาไปแป๊บเดียว แอบไปมีคนสำคัญเลย”

“ชื่ออะไรคะ สวยไหม” เล่นเอาผมตอบไม่ถูก จะว่าไม่สวยได้เหรอ ออกจะหวานปานนั้น

“.............................”

“แหมมม แค่นี่ก็ทำเป็นหวงไปได้ น้องแพรไม่ไปทำร้ายเขาหรอกค่ะ”

“พี่เขนเลือกแล้วแพรก็ไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ ก็แค่อยากเห็น อยากสกรีนนิดนึงก็แค่นั้น”

“เดี๋ยวก็คงพบสักวันแหละ” ผมยิ้มให้และชวนคุยเรื่องอื่นก่อนที่จะถูกซักมากกว่านี้

 





หลังจากทานอาหารเสร็จ เรากลับมาที่ไซด์งานอีกครั้งก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงานต่อในช่วงบ่าย

“เย็นนี้พี่เขนไปไหนไหมคะ น้องแพรทิ้งรถไว้ที่สำนักงานใหญ่ ไปส่งแพรหน่อยได้ไหม”

“เอ่อ...พี่มีนัดแล้วค่ะ”

“นัดที่สำนักงานใหญ่หรือเปล่าคะ” ผมจึงได้แต่พยักหน้าตอบกลับไป

“งั้นน้องแพรติดรถพี่เขนเข้าไปด้วยนะคะ พี่เขนจะกลับเมื่อไหร่โทรตามแพรด้วยแล้วกัน”

“เอ่อ....พี่เขนคะ ยังไงน้องแพรก็ไม่ยอมแพ้หรอกนะคะ” สาวมั่นประกาศชัดผมรู้ว่าไม่ยอมเรื่องอะไร ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินจากไป

แพรวาดูน่ากลัวในสายตาคนอื่น ๆ แต่กลับดูใส ๆ และซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองในสายตาผม คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น คนอย่างนี้ต่างหากที่คบด้วยแล้วสบายใจ เข้าใจอะไรไม่ยากและชัดเจนกับความรู้สึก เหมาะที่จะเป็นน้องสาวที่น่ารัก แม้เจ้าตัวยังประกาศกร้าวไม่ยอมแพ้

ไม่รู้ว่า... ถ้าพบอีกคนจะเป็นอย่างไร คนที่แตกต่างสิ้นเชิง

ถ้าพบกันคนนั้นจะคิดมากไหม คิดแน่นอน คิดเยอะแน่ ๆ ข่าวลือยิ่งแพร่กระจายง่าย ต้องตัดไฟแต่ต้นลม ‘โทรไปก่อนดีกว่า...ทำอะไรอยู่นะ’

“แพรรถจอดโซนไหน เดี๋ยวพี่ไปส่ง” ผมถามหลังที่จอดรถที่ชั้นใต้ดินตึกออฟฟิศสำนักงานใหญ่เรียบร้อย

“พี่เขนจะขึ้นออฟฟิศเหรอคะ”

“อืม”

“งั้นเดี๋ยวน้องแพรขึ้นไปด้วยค่ะ ไปเอาของหน่อย”

เกือบจะสองทุ่มแล้วออฟฟิศบางส่วนเริ่มปิดไฟเหลือเพียงไฟตามทางเดิน และฝ่ายที่ยังมีคนทำงานอยู่ แล้วในที่สุดสาวมั่นก็เดินตามผมมาถึงฝ่ายออกแบบ คนที่ผมมารับยังคงนั่งดูแบบก่อสร้างอยู่ที่โต๊ะทำงานของเขา ขณะที่น้อง ๆ ในฝ่ายดูจะทยอยกลับไปหมดแล้ว

“รุ่ง.......”  รุ่งเงยขึ้นมามอง แววตาฉงนเล็กน้อยเมื่อพบคนที่เดินตามเข้ามา ก่อนที่...

“สวัสดีครับ” รอยยิ้มบาดตานั้นฉายชัดส่งไปให้อีกคน

“อ..เอ่อ รุ่ง นี่น้องแพรวา อยู่ฝ่ายขาย”

“ยินดีที่รู้จักครับ พี่เรียกน้องแพร ได้ไหมครับ”

“สวัสดีค่ะ น้องแพรค่ะ ยินดีที่รู้จักค่ะพี่รุ่ง”

“ทำไมน้องแพร ไม่เคยพบพี่รุ่งมาก่อนเลย พลาดไปได้ยังไงนะคะ”

“แต่พี่รู้จักสาวสวยประจำฝ่ายขายนะครับ เมื่อปีที่แล้วที่น้องแพรเป็นเชียร์ลีดเดอร์ พี่ยังตามไปเชียร์เลยค่ะ” แล้วผมก็รู้สึกเป็นส่วนเกินของบทสนทนาต่อจากนั้น ได้แต่เฝ้ามอง ผมประเมินรุ่งไว้ต่ำเกินไปจริง ๆ ไม่คิดเลยว่าจะใช้ไม้นี้ ตั้งแต่รอยยิ้มนั่น ผมพนันได้ว่าผมได้เสียแฟนคลับไปให้อีกคนแน่แล้ว

“พี่เขนไปทานข้าวด้วยกันไหมคะ แพรอยากพาพี่รุ่งไปลองทานร้านใหม่ที่เพิ่งเปิดค่ะ”

“เอ่อ...ครับ” ผมรับปากงง ผมต่างหากไม่ใช่เหรอที่ต้องเป็นคนชวน แล้วจึงได้แต่เพียงเดินตามเมื่อแพรควงแขนรุ่งนำหน้าไป

“น้องแพรลองทานสลัดนี่นะครับ พี่ว่าน้ำสลัดเขาไม่หวานกำลังดีเชียว”

“ซูชินี่ก็อร่อยค่ะพี่รุ่ง ให้น้องแพรป้อนนะคะ” เล่นป้อนกันต่อหน้าต่อตาผม

“พี่รุ่งน่ารักจังเลยค่ะ” แถมยังเคี้ยวตุ้ย ๆ ปล่อยผมเป็นอากาศธาตุไปเลยทีเดียว

“อร่อยไหมคะ”

“อร่อยครับ”

“ทานเยอะนะคะ พี่รุ่งมีแก้มหน่อย ๆ จะน่ารักขึ้นเป็นกองเลยค่ะ”

“แล้วพี่รุ่งจะออกไซด์ เมื่อไหร่คะ”

“น่าจะหลังสงกรานต์ครับ”

“งี้ ช่วงนี้ก็อยู่สำนักงานใหญ่ตลอดใช่ไหมคะ”

“ครับ”

“น้องแพรมีร้านอร่อย ๆ แนะนำอีกเยอะเลยค่ะ เดี๋ยวเรามาทานกันอีกนะคะ”

“ครับ ช่วงนี้น้องแพรดูโปรเจคเดียวกับเขนเหรอครับ”

“ค่ะ วันนี้แพรก็พาลูกค้าไปดูสถานที่ ช่วงนี้ต้องขับรถเยอะหน่อย โชคดีวันนี้ติดรถพี่เขนเข้ามา ไม่งั้นน้องแพรก็คงนั่งแท็กซี่กลับเลยล่ะคะ”

“ดูแลตัวเองดี ๆ นะครับพี่เป็นห่วง” ถ้าจะจีบกันต่อหน้าขนาดนี้นะรุ่ง...

 







“เขน!!!”

ผมสะดุ้ง เมื่อคนที่ไม่มีท่าทีจะสนใจบุคคลที่สาม ยื่นมือมาคว้าขวดเกลือออกไปจากมือผม ขณะที่กำลังจะโรยเกลือลงไปบนเสต็กที่เพิ่งมาเสิร์ฟ ไปวางไว้ข้างตัวเอง ขณะที่แพรวามองตาม

“กินเกลือเยอะ ๆ ไม่ดี” รุ่งตอบสายตาสงสัยนั่น ก่อนที่จะหันกลับไปคุยกันสองคนเหมือนเดิม

แค่นี้...ผมก็หุบยิ้มไม่ลง

แคร์... แคร์กันสินะ ความสัมพันธ์ระหว่างเรามันเกินกว่าสิ่งที่รุ่งกำลังแสดง เพื่อทำความรู้จักกับคนใหม่อย่างแพรวา ผมจะน้อยใจไปทำไม คิดได้จึงเข้าร่วมวงสนทนาด้วยอย่างสบายใจมากขึ้น แพรวาส่งสายตาหมั่นไส้มาให้เป็นระยะ

“แล้วนี่พี่รุ่งกลับยังไงคะ”

“กลับกับพี่ไง ก็พี่มารับ” จึงโดนแพรวาค้อนให้ไปหนึ่งที

“บ้านพี่รุ่งอยู่ที่ไหนคะ ไปรถแพรก็ได้ พี่เขนอยู่คอนโดแถวนี้เองนี่ จะได้ไม่ลำบาก”

“ไม่เป็นไรครับ พี่เกรงใจ”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ ถ้าพี่รุ่งเกรงใจก็ขับรถให้น้องแพรก็ได้ น้องแพรได้มีเพื่อนกลับด้วยนะคะ” ช้าไปแล้วล่ะแพรวา ผมจึงชิงตอบออกไป

“แพรพี่ไม่ได้อยู่คอนโดมาเดือนกว่าแล้ว เรากลับ ‘บ้าน’ ด้วยกัน” ผมย้ำ แพรจึงมองกลับมากลับไประหว่างผมกับรุ่ง

“ไว้โอกาสหน้าดีกว่านะคะน้องแพร ไว้วันหลังเรามาทานข้าวกันอีกเนอะ” รุ่งจึงปลอบก่อนที่เราจะเช็กบิล และมาส่งแพรที่รถ

“ขับรถดี ๆ นะคะ ถึงแล้วโทรมาบอกพี่ด้วยนะคะ” รุ่งก้มตัวลงไปคุยกับแพร ว่าแต่ไปแลกเบอร์กันตอนไหน

“ค่ะ ถึงบ้านแล้วน้องแพรจะรีบโทรนะคะ” รุ่งจึงถอยตัวออกมา

“เอ่อ... พี่เขนคะ ขอคุยอะไรด้วยนิดนึง” ผมจึงขยับไปใกล้ แพรวาจึงค่อย ๆ กระซิบ

“แพรไม่ยอมแพ้หรอกนะคะ” ผมรู้ความหมายของมัน ‘ประโยคเดียวกันกับเมื่อเช้า’ แต่ความหมายของมัน ‘กลับกัน’ อย่างสมบูรณ์ ผมจึงยิ้มก่อนที่จะตอบ

“พี่มั่นใจคนของพี่ ‘รุ่ง’ ของพี่” แพรสะบัดหน้าก่อนที่รถจะกระรุ่งกออกไปอย่างรวดเร็ว

 







“ค่ะ ฝันดีนะคะน้องแพร” ผมต้องรีบวางสายเมื่อเจ้าเหมียวตัวโตเดินเช็ดหัวออกมาจากห้องน้ำ เมื่อจับใจความได้ว่าผมกำลังคุยกับใครก็ทิ้งตัวลงมานอนที่ตักซะอย่างนั้น

“เขน...ลุกขึ้นก่อนเลย หัวยังเปียกอยู่เดี๋ยวไม่สบาย”

“รุ่งเช็ดให้หน่อยนะ” แล้วเจ้าตัวก็ทรุดตัวลงไปนั่งข้างเตียง

“ไปให้เบอร์กันตอนไหน” นั้นไงเริ่มเปิดประเด็นเลยทันที รัศมีมาเฟียเริ่มแผ่กระจาย

“น้องแพรเขาขอตอนที่เขนไปเช็กบิลไง”

“เห็นบอกว่าจะโทรมาปรึกษาเรื่องการตกแต่งร้านค้าให้ลูกค้า”

“น้องแพร...เต็มปากเต็มคำเชียว” ผมกลั้นยิ้มคนตัวโตแต่ใจน้อย เมื่อเห็นว่าผมเริ่มแห้งจึงหยุดเช็ด และโน้มตัวไปกอดปลอบแมวที่กำลังงอน

“เหมือนกันเกินไป” ผมพูดตามความรู้สึก

“ใครเหมือนกัน” ผมไม่ได้ตอบ คิดว่าตัวน่าจะรู้อยู่แล้ว

“ชัดเจน จริงใจ รุกหนักเหมือนกัน”

ผมจึงอธิบายสิ่งที่เหมือนกันเพิ่มเติม สถานการณ์วันนี้ไม่ต่างจากวันแรกที่ไปกินข้าวกับเขนเท่าไหร่ แต่ผมไม่แน่ใจว่าพูดอะไรผิดไป เพราะตอนนี้คนตัวโตลุกขึ้นแล้วหันกลับมาเล่นงาน รู้ตัวอีกทีก็ถูกตรึงอยู่บนที่นอน

“ไม่เหมือนกันซะหน่อย” คนพูดเริ่มซุกซนอยู่ที่ซอกคอ เฮอ...คงไม่รอด แต่แกล้งยื้อเวลาอีกนิดดีกว่า

“ตรงไหน”

“ตรงที่....” ได้ผลใบหน้าคมยอมเงยขึ้นมาตอบคำถาม

“เขนรักรุ่ง”

“แล้วรุ่งก็รักเขน” ตาคู่นั้นเป็นประกายจนผมไม่กล้าสู้สายตาได้อีกต่อไป เริ่มร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า ก่อนจะเบือนหน้าหนี

“มั่นใจจริงนะ”

“พิสูจน์ไหมล่ะ”

 





มารู้ตัวว่าเพลี่ยงพล้ำก็สายไปแล้ว

รุ่งเอ๋ย......





#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ april

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +239/-12
Re: JKL THE SERIES: LOVE: LOOK LIKE 27.02.2018
«ตอบ #124 เมื่อ27-02-2018 20:11:05 »

 :กอด1:

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: THINK 28.02.2018
«ตอบ #125 เมื่อ28-02-2018 11:44:29 »

Chapter VII: THINK

 





ย้อนไป.....  10 เดือนก่อน

ผมยังคงหายใจ แต่ทุกลมหายใจกลับสร้างความรวดร้าวให้กับดวงใจที่บอบช้ำ ชีวิตต้องดำเนินต่อไปผมรู้ แต่เมื่อความรักถูกพรากจากเนื้อหัวใจ ร่างกายก็เหมือนอยู่อย่างไร้วิญญาณ

ผมยังแวะไปที่โต๊ะทำงานของ ‘รุ่ง’ ในตอนเช้า ในตอนกลางวัน ในตอนเย็น และในทุก ๆ วัน ไม่รู้ว่าเพราะอะไร โต๊ะตัวนั้นไม่มีใครกล้ามานั่งอีกเลย ผมจึงรับหน้าที่ดูแลทำความสะอาดให้มัน เหมือนที่เจ้าของเก่าเขาทำทุกวัน น้ำในหลอดแก้วใสยังถูกเติมเต็มเสมอ ทั้งที่ไม่มีดอกลิลลี่อีกต่อไป คงเหมือนความจงรักที่ถูกเติมเต็มอยู่เสมอแม้จะไม่มีคนรักอยู่เคียงข้างกาย

สุดสัปดาห์นี้น้องชายของเขากลับไปเยี่ยมบ้าน หลังจากผมส่งเจ้าเฟรมที่สนามบินก็มีเพียงผมที่ขับรถกลับบ้านคนเดียว แม้เป็นระยะเวลาอันแสนสั้นที่เราได้อยู่ด้วยกัน แต่ใจผมกลับโหยหารอยยิ้มของคนที่เคยนั่งเคียงข้าง

รอยยิ้มจากความจริงใจ รอยยิ้มที่สัมผัสได้เสมอว่ามาจากข้างใน

รอยยิ้มที่จดจำตราตรึงในหัวใจ เหมือนจรดลึกมานานแสนนานในหัวใจ

หากตอนนี้ที่นั่งเคียงข้างว่างเปล่า ไม่มีอีกแล้ว

ผมแวะซื้ออาหารแมวให้เหมียวที่ตลาด และเดินผ่านร้านขายดอกไม้ คุณป้ายังยิ้มทักทาย จึงได้ลิลลี่สีขาวติดมือมาด้วยดอกหนึ่ง

ดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมละมุน

ดอกไม้ที่ดูบอบบาง อ่อนหวาน น่าทะนุถนอม

ดอกไม้ที่ค่อยๆ แย้มผลิบาน อย่างแข็งแกร่งและอดทนนักในความรู้สึก

ดอกไม้ที่เป็นตัวแทนของความรักที่ผมมีต่อ ‘รุ่ง’ เสมอ... ความรักอันบริสุทธิ์

 

แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ลาลับ ผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม...บ้านหลังเดิม

บ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำของอดีต… อดีตที่ไม่มีวันหวนกลับ

มีเพียง ‘ความคิด’ เท่านั้น ที่หมุนย้อนกลับ

ลานจอดรถเล็ก ๆ หน้าบ้านที่มักถูกดัดแปลงเป็นสนามบอลบ้าง สนามบาส บ้าง สนามที่มีผู้เล่นเพียงสามคน แต่ปิดตัวลงเมื่อเขาจากไป เฟรมเข้าใจ และไม่เคยชักชวนกันเล่นอีก เมื่อ ‘ขาด’ เขาไป

ห้องรับแขกเล็ก ๆ ที่ ‘เขา’ มักจะนั่งที่เดิมเสมอ โซฟาเดี่ยวที่แยกตัวออกจากชุดโซฟาตัวยาวที่ผมมักครอบครอง เรานั่งดูหนังด้วยกัน เรานั่งทานข้าวด้วยกัน เรานั่งเชียร์ฟุตบอลด้วยกัน บัดนี้ว่างเปล่า.....

สวนหลังบ้านเล็ก ๆ ในบรรยากาศสบาย ๆ ที่ที่เรามักจะนั่งตรงกันข้ามเสมอที่โต๊ะหินอ่อนทรงกลม ที่ที่เรามักเลือกเป็นสถานที่ ที่จะสัตย์ซื่อกับความในใจ

ผมยังคงนั่งอยู่ตรง ‘ที่’ ที่เดิม ที่ที่ไม่มีเขาอีกต่อไป...

หลังจากไม่อาจฝืนกลืนเม็ดข้าวที่บาดคอได้อีกต่อไป ก็ได้แต่นั่งดูเหมียวเลียทำความสะอาดขนสีขาวฟูของมันหลังจากที่กินอาหารเรียบร้อย

เหมียวโตขึ้นมากแล้วนะ... รุ่ง

ไม่ได้เป็นเหมียวน้อยเหมือนเดิมแล้ว เริ่มจับหนูได้แล้ว หนูนาจากทุ่งนาหลังบ้านที่มักแอบเข้ามากินเศษอาหารในบ้านเคราะห์ร้ายไปหลายราย หลังจากรุ่งไม่อยู่แล้ว เหมียวก็ไม่เลือกนอนกับใครอีกเลย มันเลือกที่จะนอนข้างล่าง แต่ผมมั่นใจว่าไม่ใช่แค่เพียงสัญชาตญาณนักล่าของแมวตอนกลางคืนหรอกที่ทำให้มันเลือกทำอย่างนั้น เหมียวคงไม่กล้าย่างกรายเข้าไปในห้องที่เจ้าของไม่อยู่เหมือนกัน มันคงทนฝืนเก็บความหวนหา อาวรณ์ ไม่ได้เฉกเช่นเดียวกันกับผม

ห้องนั้นจึงถูกปิดตาย ห้องที่เฝ้ารอเจ้าของเพียงคนเดียว เหมือนหัวใจของผมที่เฝ้ารอเจ้าของหัวใจเพียงคนเดียว ตลอดมาผมเฝ้าหลอกตัวเองว่า รุ่งยังคงนอนอยู่ที่นั่น รุ่งยังคงนั่งเล่นที่ระเบียงนั้น

ผมไขกุญแจเปิดล็อกประตู

เฟรมสินะ เจ้าเด็กนั่นคงเข้ามาทำความสะอาดห้องให้พี่ชายของเขา เราต่างแอบเฝ้ารอคอย คนบางคนเหมือนกัน แม้ ‘รู้’ ว่าคงไม่เป็นจริง ที่นอนที่คลุมด้วยผ้าสีขาวกันฝุ่น เมื่อดึงผ้าออกกลิ่นหอมอ่อนบาง แต่ชัดเจนนักในสัมผัส แม้ตอนนี้ห้องนอนทั้งห้องหอมอบอวลด้วยดอกลิลลี่ที่วางไว้บนหัวเตียงซึ่งผมนำดอกใหม่มาเปลี่ยนเมื่อดอกเก่าเริ่มโรยรา แต่กลิ่นหอมที่ฝังลึกบนหมอนจมลึกในที่นอนกลับเป็นกลิ่นของเจ้าของห้องอยู่นั่นเอง

ผมดึงหมอนสีขาวใบฟูมาโอบกอด สูดลมหายใจแห่งความคะนึงหาเข้าบรรจุจนเต็มปอด ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันบรรเทาเบาบาง หรือกดย้ำความเจ็บปวด แต่ขอเพียงฝาก ‘ความคิด’ ฝังรอยไว้ แม้จะร้าวรานแค่ไหนก็ตาม…

ผมยังคงส่งข้อความและรู้ดีว่า ‘เขา’ อ่านมัน แม้จะไม่มีวี่แววตอบกลับ

‘รุ่งใจดีเสมอ ใจดีที่จะไม่รั้งผมไว้’ แต่มันยิ่งฉุดให้ผมจมลึกลงในหลุมรักนั้นมากขึ้น ๆ กับของบางอย่าง กับความรู้สึกบางความรู้สึก บางที ‘เวลา’ ก็ไม่ทำให้อะไรเบาบางลง

 

เมื่อเปิดประตูระเบียงออกไป สายลมยังคงพัดพากลิ่นหอมสดชื่นของทุ่งนาสีเขียวที่พลิ้วไหวผ่านเข้ามาภายในห้อง ตอนนี้จะใกล้เที่ยงคืนแล้ว ความมืดปกคลุมที่นาที่เขียวขจีให้เห็นได้เพียงเงาโบกสะบัดของต้นข้าวราง ๆ ผมนั่งลงบนเก้าอี้ที่ดีที่สุด และสิ่งที่ดีที่สุดก็ต้องเป็นของของคนที่ผมรักที่สุดเสมอ

เขาชอบนั่งตรงนี้ เชื่อได้ว่าเป็นมุมโปรด เพราะไม่ว่าครั้งได้ที่มาตามเขาที่ห้อง ‘รุ่ง’ จะนั่งอยู่ที่ระเบียงเสมอ นั่งทำงานบ้าง นั่งอ่านหนังสือบ้าง นั่งฟังเพลงบ้าง นั่งเหม่อบ้าง มีเพียงไม่กี่ครั้งที่ผมได้รับอนุญาตให้เข้ามาแอบมองโลกส่วนตัวของเขา ในช่วงที่กำแพงที่กั้นขวางระหว่างเราเบาบางลง

คืนค่ำที่มืดมิด ‘แสงจันทร์’ คลี่กระจาย อบอุ่น นวลนุ่ม ‘แสงจันทร์’ ที่เฝ้าใหลหลง เฝ้าพร่ำเพ้อ คะนึงหา แต่มิอาจสัมผัสได้จริง มิอาจได้ครอบครอง ทำได้เพียงเฝ้าชื่นชม เฝ้าภักดี

ผมจมอยู่ในห่วง ‘ความคิด’ ที่วนเวียน เรื่องราวบางอย่างคลับคล้าย คลับคลา เรื่องราวที่ ‘รุ่ง’ เล่าเรื่องราวที่แสนเจ็บปวดของคนที่รักกันอย่างสุดซึ้ง แต่มิอาจอยู่ร่วมกัน มันทำให้ผมเริ่มสงสัย ผมเองเคยมี ‘ความทรงจำหนึ่ง’ ที่สูญหายไป ทั้งที่หัวใจบอกเสมอว่ามันสำคัญนัก แต่อาการของร่างกายที่ไม่ปกติ ทำให้ตัดสินใจปล่อยมันทิ้งหายลบเลือน เนิ่นนานกว่าสิบปี

ทำไม... สัมผัสบางอย่าง สำนึกบางอย่าง

ทำให้อยากกลับมาใคร่รู้อีกครั้งว่ามันคืออะไร

นานแล้วที่ผมไม่ได้นึกถึงมัน จนเกือบลืมวิธีที่ทำให้ความเจ็บปวดนั่นคืนมา แต่ตอนนี้ปรารถนา ร้องเรียกมันกลับคืน ถ้าใจรู้ว่ามันสำคัญผมยอมกลับไปเจ็บปวด

ขอเพียง... ‘จำได้’ ว่าคืออะไร

ผมพยายามรื้อฟื้นวิธีคิดที่ทำให้ปวดหัว ใช้เวลาเกือบจนรุ่งสาง คิดย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ วุ่นวาย วนเวียน จนอ่อนล้าไปทั้งกายและใจ จนความปวดแปลบปลาบเริ่มหลับย้อนเข้ามาในสมอง อย่างนี้นี่เองคิดแบบนี้สินะ ที่ทำให้อาการกลับมา และหวังว่า ‘ความทรงจำ’ นั้นจะกลับมา ผมพร้อมแล้วที่จะเพียรพยายามอีกครั้งและอีกครั้ง

 





สามทุ่มกว่าแล้ว ผมนั่งเช็ดผมอยู่ที่เตียง ปลดปล่อย ‘ความคิด’ ให้ลอยล่อง‘เขา’ จะเป็นอย่างไรบ้างนะ อยากพบเหลือเกิน

เฟรมพึ่งโทรมาบอกว่าเครื่องลงแล้ว เขากลับมาเยี่ยมบ้านพรุ่งนี้จะเข้ามาค้างด้วยที่บ้าน และเอาของฝากจากอีกคนมาฝาก

อีกคน... คนที่หัวใจของผมห่วงหามากมายเหลือเกิน เพราะก่อนที่เราต้องเดินแยกทางอาการเขาเหมือนจะไม่ปกติ จากคนที่สดใส และอบอุ่นมากมายขนาดนั้น กลับกลายเป็นเงียบขรึม ไร้ซึ่งประกายในดวงตา อาการที่ไม่ได้เห็นมาแสนนาน

ผมยังคงสงสัยว่าสิ่งที่ตัดสินใจไปนั้นถูกต้องจริง ๆ แล้วหรือ ที่เลือกจะ ‘เก็บ’ ความทรงจำนั้นไว้เพียงคนเดียว ทั้งที่มันเป็นของเราสองคน ที่เลือกจะ ‘ทำร้าย’ ให้เขาต้องเจ็บปวดอีกครั้ง เพียงเพราะ ‘กลัว’ ว่า ทุก ๆ อย่างจะกลับไปเหมือนเดิม

จึงตัดใจ ‘ทำร้าย’ ให้เขาต้องเจ็บปวดตั้งแต่ตอนนี้ ตอนที่ยังไม่ลึกซึ้ง ตอนที่ยังแปรเปลี่ยนได้ แต่มันจริงหรือเปล่า... เพียงเพราะกลัวว่าถ้าปล่อยความสัมพันธ์ลึกซึ้งเนิ่นนาน และถ้าเขากลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง ‘ดวงใจของเราสอง’ จะทนกล้ำกลืนฝืนรับมันได้อีกหรือ

ถ้าเพียงแค่ตัวผมเอง มันเคย ‘เจ็บ’ จนเหมือนด้านชา มันเคย ‘เก็บ’ จนเหมือนไร้หัวใจ แต่ถ้าเป็น ‘เขา’ ที่ย้อนกลับไปจะเกิดอะไรขึ้น ผมไม่พร้อมยอมเสี่ยงกับหัวใจของคนรักที่เฝ้าจงรักมาเสมอ ตลอดมา

 

ข้อความยังคงมาตรงเวลา ผมรักษาสัญญาที่จะอ่านทุกข้อความ แต่เลือกที่จะไม่ตอบกลับ เพราะเราเลือกแล้ว เลือกที่ต้อง ‘หยุด’

ผมเดินไปที่โต๊ะทำงานแล้วหยิบหนังสือ Interior Design เล่มหนาออกจากกองเอกสาร หนังสือที่บรรจุดอกลิลลี่สีขาวทับแห้งจำนวน 23 ดอก หลายดอกยังไม่แห้งสนิทนัก เมื่อช่วงเย็นก่อนกลับผมแวะไปซื้อทรายซิลิก้าสำหรับดูดความชื้น ซองพลาสติกใส และกระดาษโน๊ตมา เพื่อจัด ‘เก็บ’ ดอกลิลลี่จากลำปางไว้รวมกันกับเพื่อนๆ ที่อยู่ในกล่องบนตู้เสื้อผ้า

ไม่ได้ทำมานาน เกือบสิบปี แต่ยังคงจำได้ทุก ๆ ขั้นตอน กระดาษโน้ตถูกตัดทีละใบ ๆ เขียนรายละเอียดวันที่ได้รับ ใช้โบสีแดงผูกติดกับปลายก้านดอกลิลลี่ เททรายลงในแก้วใสวางเรียงดอกลิลลี่ลงในระยะที่ห่างกันเล็กน้อย และเททรายกลบทับเป็นชั้นๆ ด้วยความประณีตจึงทำให้ใช้เวลาค่อนข้างนาน จวบจนเรียบร้อยนาฬิกาก็บอกเวลา ‘เกือบจะตีสามแล้วสินะ’

คืนค่ำมืดมิด ‘พระจันทร์’ เปล่งนวลสว่างสาดส่อง ‘พระจันทร์’ ที่เฝ้าหลงใหลเฝ้าฝันใฝ่ คะนึงหาราวกับว่าเพียงกล้าเอื้อมมือออกไปจะสามารถครอบครองได้ แต่หากความเป็นจริง กลับไกลสุดเอื้อม ทำได้เพียง...เฝ้าจงรัก เฝ้าภักดี

‘เขาจะเป็นอย่างไรบ้างนะ’ คำถามยังคงวนเวียน ‘ห่วงเหลือเกิน’ ใกล้เวลารุ่งเช้า ดังเหมือนสัมผัสอะไรได้บางอย่าง ‘หัวใจเต้นหวิวผิดจังหวะ’ มีอะไรผิดปกติ เกิดขึ้นกับ ‘เขา’ หรือเปล่า ผมยังทำได้เพียงปลดปล่อย ‘ความคิด’





#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: JKL THE SERIES: LOVE: THINK 28.02.2018
«ตอบ #126 เมื่อ28-02-2018 18:20:00 »

 :L2: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: EMPTY SPACE 02.03.2018
«ตอบ #127 เมื่อ02-03-2018 11:42:58 »

Chapter VIII: Empty Space

 





สองร่างที่ยังอิงแอบแนบชิดใต้ผ้าห่มอุ่นหนาบนเตียง อุณหภูมิในห้องแอร์เย็นฉ่ำช่วยบรรเทาความร้อนระอุ หลังจากที่พายุสงบ คนตัวโตเริ่มเซ้าซี้ ฟังเรื่องราวในอดีตที่ผันผ่าน

“นะครับ เล่าให้ฟังนิดนะ เขนอยากรู้”

“จะให้เล่ายังไง ไม่รู้จะเริ่มยังไง” ผมพยายามค่อยเรียบเรียงเรื่องราว

“ต่อจากที่ไทม์เล่าให้ฟังต่อพบกันครั้งแรก และหลังจากครั้งที่แล้วที่รุ่งเล่าถึง First Kiss นะ” อืม... ทำไมใครบางคนพูดออกมาง่ายจัง คนกำลังคิดย้อนทบทวนเรื่องราว เริ่มรู้สึกร้อน ๆ มันเหมือนเอาเปรียบกันเล็ก ๆ ที่เขาจำมันได้เพียงคนเดียว และมันก็เขินมากมายจริง ๆ ที่ต้องมาเล่าให้อีกคนฟัง แต่เมื่อสัญญาแล้ว ถ้าเล่าแล้ว เขนจะไม่ไปย้อนคิดถึงมันให้เจ็บปวดอีก ผมยอม







เรื่องมันก็ประมาณว่า กาลครั้งหนึ่ง.....

รักแรก พิสุทธิ์

รักแรก แสนสะอาด บริสุทธิ์

รักแรก เต็มไปด้วยความผูกพัน

รักแรก ตราตรึงใจจนไม่หลงเหลือ ‘สายตา’ หรือ ‘หัวใจ’ ที่จะเปิดรับใครได้อีก

‘ลุ่มหลง..อย่างลึกซึ้ง’ อาจจะใช้คำนั้นแทนคงได้อย่างเต็มปาก เมื่อมองย้อนจากตอนนี้ แต่เป็นความลุ่มหลงที่ต่างจากความรู้สึก ‘รัก’ แบบเด็ก ๆ ที่ฉาบฉวย รวดเร็ว ของคนอื่น ๆ มาก เพราะไม่ใช่เพียงอะไรบางอย่างที่ทำให้หัวใจรู้ตั้งแต่วินาทีแรกว่า ‘เกิดมาเพื่อกัน’ แต่เป็นวันเวลาที่ใช้ทำความรู้จัก ผูกพันชิดใกล้ดัง ‘เพื่อนสนิท’ แต่เริ่มต้น

จนแปรเปลี่ยนความสัมพันธ์ หลังจากที่เราทั้งสองมั่นใจในความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลง แทบไม่มี

อาทิตย์ใด... ที่ไกลห่าง

วันใดที่... ไม่ได้พบหน้า

ชั่วโมงใด... ที่ไม่ได้ยินเสียง

นาทีใด... ที่ไม่คิดถึงทุกลมหายใจเข้าออก

วินาทีใด... ที่ความรักไม่ได้ตราตรึงอยู่ในหัวใจ

ตื่นนอนตอนเช้าพร้อมกัน ไปเรียนด้วยกัน นั่งด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน เล่มเกมด้วยกัน เล่นกีฬาด้วยกัน เล่นดนตรีด้วยกัน ร้องเพลงด้วยกัน อาบน้ำพร้อมกัน เข้านอนพร้อมกัน นอนเคียงข้างกัน เหมือนมีเพียงสองคนในสายตากันและกัน แม้จะมีเพื่อนมากมายรายล้อม

แต่สายตาของคนหนึ่งมักจะแอบมอง ดูแลใส่ใจ เพียงแค่...อีกคนหนึ่ง

มักจะเป็นอย่างนั้นเสมอ...

เขนเองแทบจะย้ายมาอยู่ที่บ้านถาวร ถ้าวันไหนที่ม๊าบังคับให้กลับบ้านก็จะลากอีกคนกลับไปด้วยเสมอ จนแทบจะเป็นฝาแฝดกันเลยก็ว่าได้

จนกระทั่งวันหนึ่งที่เส้นทางอีกเส้นทางปรากฏ เส้นทางแห่งความฝัน รุ่งก็ไม่แน่ใจนักหรอก ว่าทำไมถึงปรารถนามันมากมายนัก เพียงในใจรู้ว่าอยากไปมาก อยากไปจริง ๆ อยากไปเรียนรู้หาประสบการณ์ใหม่ ๆ ในต่างแดน แต่ไม่ได้คาดคิดว่าความฝันจะเป็นจริง ขอเพียงได้ลองพยายาม ตอนนั้นคนที่เคียงข้างก็รับรู้เสมอ เขนไม่เคยขัดขวางหรือห้ามปราม ไม่ให้เดินตามความฝัน อีกทั้งยังสนับสนุน ให้กำลังใจ และอยู่เคียงข้างเสมอ

แม้ตอนนั้นลึก ๆ รุ่งมั่นใจว่าเขนน่าจะรู้ก่อนแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าความฝันของอีกคนเป็นจริง แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเพื่อหน่วงเหนี่ยวฉุดรั้งความฝัน ปล่อยให้อีกคนที่ไม่ได้คาดถึงความห่างไกลที่จะเกิดเมื่อความฝันเป็นจริง ลืมไปเสียสนิท

 





‘ไม่ไปแล้วได้ไหม จะสละสิทธิ์นะ’

‘ทำไมละรุ่ง บอกเหตุผลมาก่อน’

‘รุ่งไม่อยากไปแล้ว ไม่อยากแยกจากเขน’

‘รุ่งไปเถอะนะ ไปทำตามความฝัน’

‘เขนจะรอ สัญญาว่าจะรอ รอรุ่งคนเดียวเสมอ’

‘จริง ๆ นะ’

‘จริงสิ เขนสัญญาแล้ว’

‘จำได้ใช่ไหมถ้ารุ่งเจ็บ เขนก็จะเจ็บ แต่ถ้ารุ่งมีความสุข เขนก็จะมีความสุขด้วยเหมือนกัน’

‘รุ่งไปทำตามความฝันของรุ่งนะ และเขนจะเฝ้ารออย่างมีความสุข’

วันเวลาในช่วงนั้นผ่านไปเร็วมาก เท่าที่จำได้รุ่งเองแทบไม่อยากจะเตรียมของ เก็บกระเป๋าเลยด้วยซ้ำ กลับกลายเป็นคนที่แข็งแรงกว่าภายนอกจัดการ

‘รุ่งเหมาะกับสีขาว สีครีม’

‘เลือกแบบมีฮู๊ดดีกว่าจะได้ดึงขึ้นมาปิดหูปิดหัวด้วยจะได้ไม่เป็นหวัดนะ’

 







“เชื่อหรือยังว่าเขนไม่เคยเปลี่ยน ความจำไม่ได้ทำให้ความรู้สึกที่มีต่อรุ่งเปลี่ยนแปลงไปเลยไม่ว่าเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม มันคงฝังอยู่ส่วนไหนสักที่ในความทรงจำส่วนลึกของเขนละมั้ง” ผมเงยหน้าขึ้นมอบจุมพิตเบาที่ปลายคางเรียว อ้อมกอดของคนตัวโตจึงแน่นกระชับขึ้น

“ไม่อยากเล่าต่อใช่ไหมถึงใช้ไม้นี้ เขนไม่หลงกลหรอกแล้วยังไงต่อคะ”

ต่อจากนั้น... มีคนจัดการเลือกซื้อเสื้อผ้า เตรียมของกิน ของใช้ให้เสร็จสรรพ ในขณะที่คนจะต้องเดินทางกลับได้แต่เดินตามเสมือนคนที่กำลังถูกแยกร่างกายกับวิญญาณออกจากกัน

ตอนนั้นคิดได้แต่คิดน้อยใจ ‘ทำไมมีแต่รุ่งที่ดูเหมือนจะเป็นมากมาย’ แต่อีกคนดูเหมือนจะไม่เป็นอะไร ราวกับว่าจะสนุกเหมือนตัวเองเป็นคนจะเดินทางเสียเอง

จนหลังงานเลี้ยงส่งคืนสุดท้ายก่อนที่จะออกเดินทาง คนที่แข็งแกร่งเสมอต่อหน้าทุก ๆ คน คนที่ดูเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับการลาจากครั้งนี้ กลับนิ่งเงียบเมื่อเหลือกัน และกันเพียงสองคน คืนนั้นทั้งคืนแทบไม่มีคำพูดใดใดเอื้อนเอ่ยออกมา มีเพียงคนสองคนที่นั่งเคียงข้างกัน มือทั้งสองยังเกาะกุม ปล่อยให้เวลาทุก ๆ วินาที ผ่านไปช้า ๆ

ห้องทั้งห้องเงียบงัน แต่เหมือน ‘หัวใจทั้งสอง’ กำลังสื่อสารโดยไร้เสียง

กำลังใจถูกส่งผ่านสัมผัสอันอบอุ่นและคุ้นเคย คนที่ดูจะไม่เป็นอะไร กลับเรียกร้องการปลอบประโลม มากกว่า จน ‘รู้’ ว่าที่ได้แต่เฝ้าน้อยใจมาตลอด

เข้าใจผิด

มือทั้งสองยังคงประสานกันจนถึงวินาทีสุดท้ายที่ลาจาก เหตุผลทั้งหมดที่หัวใจทั้งสองรับรู้และเราตัดสินใจ...

แบ่ง ‘ที่ว่าง’ ตรงกลางไว้คอย เพื่อให้เราได้ถึงดั่งฝัน ร่วมกัน





#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: CENTER OF MY HEART 02.03.2018
«ตอบ #128 เมื่อ02-03-2018 11:45:53 »

Chapter IX: Center of My Heart

 





สามเดือนแล้วสินะ ที่ชีวิตของผมเหมือนอยู่ในความฝัน

คุณเคยแอบรักใครสักคนอย่างสุดหัวใจบ้างไหม แล้วลองคิดว่าวันหนึ่งคุณตื่นมาแล้วพบว่าคนคนนั้นเขานอนหลับอยู่ในอ้อมกอดของคุณ

สิ่งนี้แหละที่ทำให้ผมกำลองนอนยิ้มจนแก้มแทบจะระเบิดอยู่ตอนนี้ แม้คุณจะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องราวระหว่างผมกับเขามันออกจะลึกซึ้งเกินกว่าการแอบรักมาก ซับซ้อนจนเกินจะคาดคิดได้และยากเกินที่จะเชื่อว่าจะเป็นความจริง

แต่สำหรับมุมมองของผม คนที่ลืมว่าเคยตกหลุมรักคนในอ้อมแขนของผมครั้งแรกอย่างไร ลืมเรื่องราวแห่งความรักความผูกพันอันหวานซึ้งที่ทำให้เขายังคงถูกผูกมัดให้จงรักอยู่กับคนที่ความจำเสื่อมเช่นผม

แม้จะอยากให้ความทรงจำนั้นกลับคืนมาเพียงใด แต่ถ้าฝืนทำอย่างนั้นแล้ว จะทำร้ายเราทั้งสองคนให้แยกจากกันอีก ผมก็ยอมที่จะจำได้เพียงความรักทั้งสองครั้งหลังของผม ขอเพียงเราทั้งสองคนได้ก้าวเดินกันด้วยกัน...ต่อไปและต่อไป และมันทำให้ผมเสมือนคนที่สมหวังอย่างยิ่งในความรัก

ในฐานะคนที่แอบรักเขามาเป็นเวลายาวนาน

 





ครั้งหนึ่งผมยอมรับว่าผมเคยคิดท้อแท้ ที่ได้แต่เฝ้ารอและวิ่งไล่ตามความรักครั้งนั้น ครั้งที่ผมเคยคิดว่ามันเป็นรักแรกในช่วงปีแรกของชีวิตในมหาวิทยาลัย

แม้ในตอนนั้นตลอดหนึ่งปีที่เฝ้าอดทนทุ่มเทและพยายามอย่างยิ่งในการเข้าถึงหัวใจเขาให้ได้ ซึ่งในความเป็นจริงแค่โอกาสจะคุยกันตรง ๆ ยังไม่มีเลย แต่ผมก็ยังไม่หมดหวัง เพราะว่าถ้าเขายังไม่มีใครผมก็ยังมีโอกาส โอกาสที่จะไขว่คว้าไล่ตาม

จนกระทั่งวันที่ได้รับรู้ว่าเขาก้าวเดินออกไปไกลห่าง ยิ่งกว่าสุดลูกหูลูกตา เรียกได้ว่าข้ามขอบฟ้า คนละซีกโลกกันเลยทีเดียว มันทำให้ผมเริ่มท้อแท้ และคิดว่าคงไม่มีวันไม่มีทางที่เส้นทางระหว่างเราจะได้มาบรรจบกันอีก จนเกือบตัดใจ

แต่ไม่รู้ว่าทำไมเพียงได้รับอีเมลจากพี่บลู เพียงแค่ได้เห็นรูปถ่ายเขาบ้างเท่านั้น หัวใจกลับเฝ้ารอ โดยไม่รู้เอาแรงใจมาจากไหนมากมายในวันนั้น หากเหมือนรู้อยู่เสมอว่าเมื่อพบเขาแล้ว เขาคนที่ทำให้ชีวิตกลับมามีความหมายอีกครั้ง ผมจะไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองกลับไปล่องลอยไร้จุดหมายอีก และเมื่อเรื่องราวเดินทางมาถึงทุกวันนี้ก็แอบคิดไปเองว่า เหมือนหัวใจก็รับรู้อยู่แล้วว่ามีความรักจากอีกคนส่งมาโดยตลอด แม้ตัวเขาจะหนีไปไกลสุดโลก แต่ ‘หัวใจของเขา’ มันก็ยังเป็นของผมอยู่นั่นเอง

ความรักของเขามันจึงถูกส่งมาถึงผมอย่างสม่ำเสมอในความรู้สึก ในจิตวิญญาณทำให้รู้สึกเสมือนความรักของเขายืนอยู่ไม่ไกล และทั้งสองสิ่งทั้ง ‘ความมุ่งมั่นในความรักของผม’ และ ‘ความรักที่ถูกเก็บซ่อนกดลึกในหัวใจของเขา’ เป็นแรงใจที่ผลักดันแรงกายให้ผมก้าวเดินตามหาเขาอย่างสุดกำลัง

 





คุณ… คุณนั่นแหละ คุณเหมือน ‘คนที่รู้ว่าใคร’ เลยนะ แอบติดตามชีวิตของผมสองคนมาตลอดใช่ไหมล่ะ เบื่อหรือยัง จะเบื่อหรือไม่เบื่อผมก็อยากเล่าต่อนะ ทนฟังอีกนิดแล้วกัน คุณอยากรู้เรื่องก่อนหน้านี้ไหมล่ะ

ถ้านับเอาเฉพาะความรักนะ แค่ความรักเท่านั้นนะ ตั้งแต่พบเขา ตั้งแต่พบจุดหมาย ผมก็ไม่เคยรักใครได้อีกเลย แม้จะเป็นระยะเวลายาวนาน แม้จริง ๆ ก็ต้องยอมรับว่ามีใคร ๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตผมพอสมควรอยู่เหมือนกัน

ผมไม่ปฏิเสธว่าเคยชอบใครบ้าง เคยสงสารใครบ้าง เคยคิดว่าน่าจะลองให้โอกาสตัวเองกับหลาย ๆ คน แต่ก็อีกนั่นแหละบางทีเมื่อมันไม่ใช่ ผมก็ไม่อยากโกหกหัวใจของตัวเอง หรือเหนี่ยวรั้งใครให้ต้องเจ็บปวดไปด้วย

จึงมีเพียงคนผ่านมาแล้วผ่านไป

จนกระทั่งเส้นทางของเขาและผมได้มาบรรจบกันอีกครั้ง อย่างที่คุณก็รู้อีกเหมือนกันสงสัยไหมว่าผมน่ะรอเขามากว่าสิบปีเลยนะ แต่ทำไมเมื่อพบเขาอีกครั้ง ผมกลับปล่อยเวลาล่วงเลยไปเฉย ๆ เกือบสามเดือน

ก็ผมกลัวนะสิ

ใจหนึ่งผมก็คิด ครั้งก่อนผมอาจจะรุกหนักไปหรือเปล่า เขาถึงหนีไปซะไกลขนาดนั้น แล้วถ้าเกิดครั้งนี้เขาหนีผมไปอีก ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อไปแล้ว

อีกใจหนึ่งผมก็คิด หรือครั้งก่อนผมช้าเกินไป ก็เพราะไม่กล้าสารภาพกับเขานี่แหละทำให้ความรู้สึกทุกอย่างมันค้าง ๆ คา ๆเก็บอยู่เพียงแค่ในใจผมแค่เพียงคนเดียว

จนโชคเข้าข้างหรืออาจจะเรียนว่าพี่เข้าข้างก็ได้ เพราะสปอนเซอร์รายเดิมอย่างเป็นทางการของผมยื่นมือเข้ามาช่วย เรื่องนี้ผมรู้อยู่ก่อนแล้วพี่เชนหรือจะปิดผม ก็แกเป็นคนยุผมเองมาตลอด แต่เชื่อเถอะรุ่งไม่รู้หรอก เพราะคนอย่างพี่บลูไม่มีทางบอก

โครงการที่ลำปางโครงการแรกของผมในนามของพนักงานบริษัทอย่างเต็มตัว โครงการที่ผมยินดี และกระตือรือร้นมาก อาจจะมากเกินไปด้วยในช่วงแรกเราทะเลาะกันทุกวันเลยจริง ๆ นะ แต่คุณรู้ไหม แม้ผมจะห้ามตัวเองให้หยุดทะเลาะกับเขาในเรื่องงานไม่ได้ แต่ผมก็มีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าเขา แม้ใบหน้านั้นจะสื่อชัดว่าระอาผมแค่ไหน

แต่เขาก็โมโหได้น่ารักมากจริง ๆ นะครับ

ผมไม่เคยโกรธเขาหรอก งานกับเรื่องส่วนตัวผมแยกมันได้ แต่เพราะแยกมันได้นี่แหละ แม้หัวใจผมจะจมดิ่งหลงรักเขาหัวปักขนาดไหน แต่เรื่องงานก็ยังเห็นไม่ตรงกันอยู่ดี หากถ้าถามว่าตอนนี้ยังอยากทำงานร่วมกับเขาอยู่ไหม ผมตอบได้ทันทีเลยว่าอยากมาก แม้รู้ว่าเราคงทะเลาะกันที่ประชุมลุกเป็นไฟเหมือนเดิม แต่ผมชอบอยู่ใกล้ ๆ หัวใจนี่นา

 





คุณ คุณ ทำใจเย็น ๆ ไว้ก่อนอย่าเพิ่มน้ำตาลขึ้นซะก่อนล่ะ ยังมีอีกเรื่องที่ผมอยากเล่าให้คุณฟังคุณจำวันนั้นได้ไหม วันที่ผมไม่ได้นอนฝืนขับรถกลับเข้าเมือง เพื่อซื้อ ‘ดอกลิลลี่’ มาสารภาพความในใจกับเขา แล้วถูกปฏิเสธน่ะ

คุณรู้ไหมกว่าที่ผมจะรวบรวมความกล้าได้ก็แทบแย่ เฝ้าแต่คิดว่าผมพร้อมหรือยัง ผมจะดูแลเขาได้ดีพอไหม และตัวผมเองดีพอสำหรับเขาหรือยัง

คิดอยู่นานกว่าจะตัดสินใจได้ว่าไม่อยากปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไปเหมือนที่แล้ว ๆ มาจึงกลั้นใจสารภาพ แล้วก็ถูกปฏิเสธ และก็ถูกปฏิเสธแล้วปฏิเสธเล่า ผมยังทึ่งตัวเองที่อดทนรอมาได้จนถึงวันนี้ แต่คุณรู้ไหมว่าต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ ผมก็ยังคงจะเลือกทำทุกอย่างเหมือนเดิมอยู่ดี

ทำไมน่ะเหรอ... ก็มันยิ่งกว่าคุ้มแสนคุ้มนะสิ จริงๆ นะ

แม้คุณอาจจะรู้สึกว่าจะคุ้มตรงไหนเจ็บปวดเกือบเป็นบ้า เกือบสิบกว่าปีเชียวนะ แต่อยากให้คุณรู้ไว้เถอะว่า เพียงแค่ได้ตื่นมารอคอยอีกคนตื่น เพียงแค่นี้จะเจ็บปวดมากกว่านี้อีกร้อยเท่าผมก็ยอม

 





ชู่ววววส์ เขาขยับตัวแล้วนะ ใกล้จะตื่นแล้ว ผมคงจบเรื่องเล่าของผมวันนี้ไว้แค่นี้ก่อนนะครับ แต่อย่างไรก็ตามผมเป็นกำลังให้กับทุกคนที่ยังคงตามหาหัวใจของตัวเองนะครับ บางครั้ง บางทีความรักก็ไม่ได้สวยงามสดใสเสมอหรอกครับ

หากบางทีความเจ็บปวดมันก็ทำให้เรารู้ความแตกต่างกับความสุขได้ชัดเจน ทำให้เวลาเรามีความสุขนี่ช่างหอม และหวานเหลือเกิน อีกทั้งก็ทำให้เราใส่ใจกับทุก ๆ อย่างที่เราจะกระทำต่อไปด้วย เพราะอยากทำให้ความสุขนี้ยังคงอยู่ตลอดไป โดยที่ไม่ลืมที่จะระมัดระวัง และไม่ประมาทเมื่อความทุกข์จะมาเยือน

ดังนั้นถ้าวันใดคุณมีความทุกข์ อย่าลืมคิดถึงเรื่องราวของเราทั้งสองคนนะครับ ผมหวังว่ามันจะเป็นแรงใจให้กับคุณได้บ้าง แล้วพบกันใหม่ครับ

 







ร่างบางพลิกตัวออกจากอ้อมกอด ขยับตัวบิดขี้เกียจเล็กน้อย เหมือนกำลังปลุกเร้าตัวเองให้ฟื้นจากห้องนิทรา ผมจึงค่อยนวดหลังให้เขาเบา ๆ เพื่อช่วยให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อมากยิ่งขึ้น เขาจึงพลิกตัวหันกลับมามองตาแทบลืมไม่ขึ้น เสียงอู้อี้กระซิบออกจากริมฝีปากบางสีเชอรี่

“เขนตื่นนานแล้วเหรอ”

“ค่ะ ตื่นสักพักแล้วค่ะ”

“ทำไมไม่ปลุกล่ะ เดี๋ยวก็ออกสายกันพอดี ยิ่งร้อน ๆ ด้วย” คนที่กำลังพูดกลับปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง แต่ปากเป็ดที่ยื่นออกมาเหมือนงอนเล็ก ๆ

นี่หรือคนจะให้ปลุกใครจะกลับทำท่าจะหลับต่ออีกรอบ งั้นปลุกจริง ๆ ละนะคราวนี้ ผมจึงบดเบียดริมฝีปากลงกับกลีบริมฝีปากบางแสนงอนนั่น ใครจะอดใจไหวจริงไหม ทั้ง ๆ ที่อุตส่าห์สงสารว่าเมื่อคืนเจ้าตัวก็รับศึกหนักมามากพอแล้ว แต่กลับยั่วกันเองตั้งแต่เช้า รู้ตัวไหมนี่ว่าที่ทำนะเหมือนยั่วกันเลยนะรุ่ง

“อะ...อืมม ข เขน” น่าจะรู้ตัวแล้วสิ ว่าจะถูกปลุกด้วยวิธีนี้ จึงเริ่มประท้วง

สายไปแล้วรุ่ง

เสียงหวานที่ขาดหายไปนั่นก็เพราะฝีมือของผม ที่กดจุมพิตให้ลงลึกรุกเร้า ส่งปลายลิ้นเข้าไปกวาดต้อนความหวานภายในย้ำซ้ำอยู่เนิ่นนาน จนร่างบางจวนเจียนหมดอากาศหายใจจึงยอมเปลี่ยนจุดรุกเร้าไปซุกไซร้ที่ลำคอระหง

“เขน อย่านะ เดี๋ยวสาย” เหตุผลไม่ผ่าน สายก็ช่างสิก็มันวันพักผ่อน ออกเลทนิดน่ะได้ ผมจึงไม่สนใจคำร้องขอของเด็กน้อย

“อย่าซนนะเขนนะ เดี๋ยวค่อยไปต่อที่หัวหินก็ได้” รุ่งดันใบหน้าผมขึ้นมาสบตา

“นะที่นั่นอากาศดี บรรยากาศดีกว่าที่ห้องนี้ ไปนะเขน”

“ไปแต่เช้า จะได้ไม่ร้อน ขับรถไกลจะได้ไม่เพลียมากนะ รีบไปกันนะ”

สมองของผมบอกให้รู้ว่าผมกำลังถูกหลอกล่ออีกครั้ง แต่หัวใจนะสิมันกลับอ่อนยอมตามโดยง่าย เพราะรอยยิ้มอันแสนอ่อนหวานที่ผมยอมทำทุกอย่างจริง ๆ เพื่อให้รุ่งยิ้มให้แบบนี้

รุ่งรู้ว่ามันเป็นจุดอ่อนของผมและเล่นไม้นี้ทีไร

ผมแพ้ราบคาบทุกครั้งเลยสิน่า

 

แต่เอาเถอะอย่างที่เคยบอก ถึงรู้ว่าถูกหลอก

ผมก็ยอม ยอมเขาแค่คนเดียวจริง ๆ





#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: JKL THE SERIES: LOVE: CENTER OF MY HEART 02.03.2018
«ตอบ #129 เมื่อ02-03-2018 19:34:05 »

 :L2: :L1: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: JKL THE SERIES: LOVE: CENTER OF MY HEART 02.03.2018
« ตอบ #129 เมื่อ: 02-03-2018 19:34:05 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: MY LOVE 05.03.2018
«ตอบ #130 เมื่อ05-03-2018 13:23:30 »

 :L3: :L3:Chapter X: MY Love

 

ผ้าม่านสีเขียวจาง ๆ ไม่สามารถปิดบังแสงสว่างเริ่มสาดส่องรุกไล่เข้ามาห้องนอนที่เย็นจัดด้วยเครื่องทำความเย็น วันนี้ต้องรีบเดินทาง แต่ยังไม่อยากผละออกจากอ้อมแขนนี้จริง ๆ

แม้เป็นเวลาสามเดือนกว่าแล้ว แต่เมื่อเทียบกับเวลาตลอดสิบกว่าปีที่ผมต้องตื่นมาโดยลำพัง หัวใจจึงยังโหยหาอาวรณ์อ้อมกอดของเจ้าของผู้รุ่งยที่อยู่ข้าง ๆ กายคนนี้เหลือเกิน

อาการเมื่อยล้าจากการนอน และกิจกรรมที่หัวใจยอมตามคนข้าง ๆ มากมายนัก ร้องบอกให้ร่างกายต้องตัดใจพลิกตัวออกจากอ้อมกอด ขยับตัวบิดขี้เกียจเล็กน้อย เพื่อปลุกเร้าตัวเองให้พร้อมตื่นรับการเดินทางในวันใหม่ สัมผัสของมือใหญ่ที่ค่อย ๆ กดนวดเบาที่หลัง ตื่นแล้วเหรอ จึงพลิกตัวหันกลับมาพบใบหน้าคมที่นอนยิ้มหวานสว่างไสว

“เขนตื่นนานแล้วเหรอ”

“ค่ะ ตื่นสักพักแล้วค่ะ”

“ทำไมไม่ปลุกล่ะ เดี๋ยวก็ออกสายกันพอดี ยิ่งร้อน ๆ ด้วย” จึงแบะปากเหวี่ยงไปเล็ก ๆ แต่จริงแล้วไม่ได้งอนเรื่องนั้นหรอก กลบเกลื่อนความเขินต่างหาก ตื่นสักพักแล้ว งั้นแสดงว่าเขานอนมองผมหลับมาสักพักแล้วนะสิ

จึงลองหลับตาลงอีกครั้ง ให้อย่างไรก็ยังสบสายตาคมกริบนั่นนาน ๆ ไม่ไหว ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานเท่าไหร่แล้วก็ตาม และจริง ๆ แล้วก็ยังง่วงด้วยแหละขอนอนอีกนิดแล้วกัน อยากมองนักก็มองต่อไป แล้วสัมผัสริมฝีปากแผ่วเบาที่บดเบียด และหนักหน่วงขึ้นเรื่อยก็ทำให้ความง่วงหนีหายกระเจิดกระเจิงไปหมดสิ้น

ไม่ได้การล่ะ ถ้าปล่อยไปอย่างนี้วันนี้คงไม่ได้เดินทางแน่ จะได้ออกจากห้องหรือเปล่ายังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำ จึงพยายามเบือนหน้าหนีและส่งเสียงประท้วง

“อะ...อืมม ข เขน” แล้วก็ทำพลาดปล่อยให้ลูกแมวที่เพียงขบเม้มชิมรสริมฝีปากอยู่ภายนอกในตอนแรก ส่งปลายลิ้นเรียวลุกล้ำ กดจูบแนบชิดย้ำซ้ำอยู่เนิ่นนาน

จึงได้แต่ถอนหายใจไว้อาลัยให้ตัวเองเบากับความใจอ่อน ขณะที่ความพยายามที่จะห้ามปรามเริ่มขาดลอยด้วยสติที่กำลังพร่าเลือน จูบเก่งจริง ๆ สิให้ตาย ความรู้สึกสั่นสะท้านไปทั่วร่างทำให้ใจรู้สึกหวิว ๆ เคลิบเคลิ้มเพลินเพลิดดังลิ้มรสไวน์ชั้นดี จนไม่รู้ว่าตัวเองแทบหมดลมหายใจ

กระทั่งคนนำทางปลดปล่อยริมฝีปากให้เป็นอิสระอีกครั้ง และซุกไซร่ไล่เรียงลงไปที่ซอกคอ จึงทำได้เพียงหอบหายใจ ด้วยประสบการณ์ที่ต่างกันมากมายนัก จูบหวานนั่นแทบทำให้ผมตายได้โดยไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ เพียงเพราะด้วยลืมวิธีการหายใจ

“เขน อย่านะ เดี๋ยวสาย” นึกข้ออ้างได้เพียงเท่านี้ พยายามดึงสติของตัวเองกลับมาให้มากที่สุด แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลแต่เพียงน้อยนิด

ในเมื่อห้ามไม่ได้ หาข้ออ้างไม่ได้ ไม้ตายสุดท้ายจึงถูกงัดมาใช้ จึงดึงใบหน้าคมของเขาขึ้นมาสบสายตา

“อย่าซนนะเขนนะ เดี๋ยวค่อยไปต่อที่หัวหินก็ได้” ก็ต้องอ้อนนะสิ แม้จะผูกมัดตัวเองกลาย ๆ แต่ตอนนี้ต้องเอาตัวรอดก่อน ไปแก้ปัญหากันข้างหน้าแล้วกัน อย่างน้อยก็ยังพอมีเวลาคิด

“นะที่นั่นอากาศดี บรรยากาศดีกว่าที่ห้องนี้ ไปนะเขน” ส่งสายตาอ้อนวอนไป

“ไปแต่เช้า จะได้ไม่ร้อน ขับรถไกลจะได้ไม่เพลียมากนะ รีบไปกันนะ” ปกติใช้ได้ผลนะ แต่ครั้งนี้เริ่มไม่แน่ใจ จึงได้ส่งรอยยิ้มให้ไปทั้งที่ในใจยังคงลุ้น แล้วก็...

ได้ผล เขนแพ้ลูกอ้อนของผมเสมอ

 

พายุเพิ่งผันผ่านรุ่งยฝั่งทะเล ก้อนเมฆครึ้มค่อยลอยจางหาย เหลือเพียงแต่ท้องฟ้าใสสีสดสวยที่เจือสีส้มแสดสะท้อนพื้นน้ำทะเลด้วยเลียบไล้รุ่งยหาด ด้วยใกล้เวลาพลบค่ำทำให้ลมทะเลที่โบกพัดเข้ามาขณะนี้ยังคงเย็นสดชื่นด้วยละอองฝนที่เพิ่งลาจากไป

“หนาวไหมครับ” คนพูดกระชับมือ เหมือนต้องการส่งผ่านไออุ่นและความห่วงใยมาให้

“ไม่หนาวหรอก” เราใส่เสื้อสีขาวเบาบางมาเหมือนกันก็จริง แต่ผมโดนบังคับใส่เสื้อเชิ้ตลายสีแดงทับมาด้วยตั้งแต่ที่บ้าน คนที่ควรหนาวจึงควรเป็นเขามากกว่าผมนี่

“หายงอนแล้วเหรอ” ผมจึงล้อกลับ ก็ตลอดการเดินทาง จนถึงเวลานี้มีผมฝ่ายเดียวที่ชวนคุย ลูกแมวขี้งอน

“ก็รุ่งขี้โกง” คนตัวโตที่นาน ๆ ทีจะงอนสักที แต่ก็น่าหมั่นไส้มากกว่าน่ารักมากมายจริงๆ

“ขี้โกงอะไร พูดมาดี ๆ”

“ก็สัญญาเมื่อเช้า”

“ไหนใครบอกว่าสัญญาตอนไหน” ร่างสูงปล่อยมือ หันหลังเตรียมเดินหนี

“เขน... ” จึงต้องฉุดแขนไว้

“ดีกันนะ อุตส่าห์หนีออกมาสองคนได้ จะรีบกลับไปหาเฟรมเหรอ”

“ทั้งทริปคงได้อยู่กันสองคนแค่ตอนนี้ใช่ไหม”

ใช่ครับ พอลงจากห้องมาก็พบว่าเฟรมมารอที่บ้านพร้อมที่จะเดินทางไปด้วย เขนก็เริ่มงอนตั้งแต่ตอนนั้น และยังมาพบว่าผมนัดกับพี่เชนพี่บลูที่นี่ด้วย แถมเมื่อมากันห้าคน ก็ต้องมีเตียงเสริม และก็ไม่แปลกที่เด็กร้ายนั่นต้องมานอนห้องผมแน่นอน คนรักของผมจึงออกอาการงอนถึงขนาดนี้

“ตอนนั้นที่ลำปางเฟรมก็อยู่ด้วยนี่นา”

“ก็ตอนนั้นไม่เหมือนตอนนี้”

“ใช่ ตอนนั้นรุ่งนอนคนเดียว แล้วเขนนอนกับเฟรม ตอนนี้น้องมันก็ยอมนอนเตียงเสริมแล้วนะ”

“หรือเขนจะให้รุ่งแยกไปนอนเตียงเสริมแทน”

“ไม่ ไม่มีทาง”

“นะเขนนะ นานๆ ทีว่างพร้อมกัน ได้มาพักผ่อนแล้ว อย่าอารมณ์เสียเลย”

“น้องมันจะเสียใจ” ผมรู้ว่าจริง ๆ เขนก็รัก และแคร์เฟรมไม่ต่างจากผมหรอก

“แต่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันสองคน”

“ใครว่า ไม่ว่าเวลาไหนเราก็อยู่ด้วยกันสองคนตลอดนั่นแล่ะ” ผมดึงมือสองเราที่เกาะกุมไปวางทาบทับตำแหน่งแห่งดวงใจของเขา

“ไม่ใช่เหรอ” และส่งยิ้มให้ มุกเดิมครับ มุกเดิมที่ได้ผลเสมอ

“ยิ้มหน่อยน่า เดี๋ยวไม่หล่อนะ”

“ไม่หล่อ แล้วรุ่งจะเปลี่ยนใจเหรอ” คนมั่นใจในความหล่อยักคิ้ว ผมจึงปล่อยมือและทำหน้าครุ่นคิด หันหลังให้เดินช้า ๆ ออกมา คนมั่นใจเริ่มใจเสีย

“ก็ไม่แน่” จึงแลบลิ้นแถมให้แล้ววิ่งไม่คิดชีวิต ใช้เวลาสักพักเด็กเอ๋อนั่นจึงจะเข้าใจ แล้ววิ่งกวดตามมา เห็นอย่างนี้ผมปราดเปรียวพอตัว อย่าหวังเลยว่าจะยอมให้จับได้ง่าย ๆ

 

เมื่อดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า เราเดินกลับมาที่หาดส่วนตัวของที่พักในสภาพเปียกปอน ทรายเต็มหูเต็มหัวพอกันทั้งคู่ เพราะเล่นวิ่งไล่จับกันอยู่เกือบชั่วโมง เคยมีใครยอมใครซะที่ไหนละครับ

“โห พี่ไปเล่นน้ำกันไม่ชวนผมสักคำ” เฟรมโวยวาย และบ่นเป็นหมีกินผึ้ง

“เอ... แต่สภาพขนาดนี้ก็ไม่ไหว เล่นอะไรกันมาน่ะพี่ ไม่ห่วงหล่อกันเลย”

“อ่ะ ลืมไปพวกพี่ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้อยู่แล้วนี่ ใครจะดูดีกว่าอีกในสายตา” ผมจึงหนีหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำก่อน เจ้าเฟรมแซวซะ ทำเอาขนาดเขนก็ไม่กล้าเถียง จึงได้ยินแค่เสียงทำร้ายร่างกายกัน

“พี่รุ่ง... พี่บลู พี่เชน ทำบาร์บีคิวที่ชายหาด ผมลงไปเป็นลูกมือก่อน”

“เคลียร์กันให้เรียบร้อยนะพี่”  แล้วเสียงปิดประตูและเดินจากไป ส่วนอีกคนก็คนก็เปิดประตูห้องน้ำเข้ามา นี่คือข้อเสียของที่พักราคาสูง ห้องน้ำมักเป็นระบบเปิดไม่มีล็อก

“รุ่งจ๋า สระผมให้เขนที” ผมพึ่งล้างโฟมล้างหน้าเสร็จก็พบว่าคนพูดกำลังโอบเอวจากข้างหลัง ดูจากสายตาที่สะท้อนจากกระจกเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ส่งมาอ้อนวอนร้องขอขนาดนี้ คงต้องใช้เวลาเคลียร์กันอย่างที่เฟรมว่าสักครู่ใหญ่ทีเดียว

เกือบทุ่มกว่าที่เราจะตามมาสมทบกับพี่ ๆ น้อง ๆ ที่ชายหาด คนข้างผมเขาอารมณ์ดีขึ้นมาก จนใคร ๆ ก็สังเกตได้ คนชัดเจนมักเก็บสีหน้าไม่อยู่ แม้ไม่ต้องพูดอะไรไป สายตาทุกคู่ที่มองมาก็ยิ้ม ๆ แบบเข้าใจกันดี

โชคดีที่ผม ‘เก็บ’ เก่ง แม้เรื่องนี้จะคนละอารมณ์กับที่ต้องเก็บความปวดร้าวดังในอดีต แต่ก็พบว่าความเคยชินทำให้สามารถเก็บความเขินได้ดีเช่นกัน

บาร์บีคิวซีฟู้ด ริมทะเล ที่มีแอลกอฮอลล์คู่เคียงพอให้อาหารอร่อยลื่นคอ พร้อมด้วยเสียงกีตาร์เบา ๆ ขับกล่อม ทำให้การมาพักร้อนในช่วงสุดสัปดาห์ครั้งนี้สมบูรณ์จริง ๆ

หลังจากมื้ออาหาร เฟรมกำลังเล่นกีตาร์ขับกล่อม เขนกับพี่เชนกำลังร้องไปพลาง และช่วยกันเปิดหนังหนังสือเพลงเพื่อหาเพลงต่อไปกันไปพลาง ผมจึงมีโอกาสได้นั่งคุยเบา ๆ ในเรื่องสัพเพเหระ ที่ไม่ใช่เรื่องงานกับพี่บลูบ้าง

ตอนอยู่อังกฤษเหงา ๆ พี่บลูกับผมมักมีเวลาคุยกันอย่างนี้เสมอ ๆ เพื่อนคุยบรรเทาความเหงา ความคิดถึงบ้าน และความคิดถึงใครบางคนของเราที่มีเหมือนกันแม้จะต่างคนกันก็ตาม เพราะไม่ได้คุยกันอย่างนี้นาน จึงลืมเพลิดเพลินเสียจน รู้ตัวอีกที่เมื่อพี่เชนเริ่มแซว

“นี่ถ้ารุ่งยังไม่มีเขน พี่ก็ยังอดหึงไม่ได้นะ”

“พี่เชนยังไม่ลืมอีกเหรอครับ เรื่องกว่าสิบปีแล้ว” ผมยิ้มตอบ

“พี่รู้ว่ารุ่งคลีน แต่ความรู้สึกอีกคนน่ะ ทุกวันนี้พี่ก็ยังแอบหวั่นใจ”

“น้อย ๆ หน่อยเชน” พี่บลูส่งสายตาดุ ขณะที่คนฟังเงียบ ๆ ส่งสายตรงมาบอกว่ากำลังสงสัย

“ไม่มีอะไรหรอกเขน เชนมันเมาแล้วเพ้อ” พี่บลูพยายามตอบปัดคำถามของสายตานั่น

“อ้าว... เขนไม่รู้เหรอ พี่บลูเขาเคยจีบน้องรหัสตัวเอง”

“พี่รุ่งน่ะ เหรอพี่” เสียงเจ้าเฟรมตื่นเต้นมากเมื่อได้รู้เรื่องใหม่ ในขณะที่หน้าอีกคนเริ่มซีดเห็นได้ชัดเจน

“อืม คบกันด้วยนะ ถึงสามเดือนหรือเปล่า” พี่เชนตอบ

“เชนพอแล้ว” พี่บลูร้องห้ามเพราะเห็นอาการผู้ชายอีกคน ขณะที่พี่เชนไม่ได้สังเกต จึงทำท่าเหมือนจะเล่าต่อ จนกระทั่งเขนเอ่ย

“ผมขอตัวก่อน”

“เฮ้ย... เขน” แต่ไม่ทันเมื่อร่างสูงเดินหนีลิ่วไปตามรุ่งยหาด

“ไงล่ะเชน” พี่บลูเริ่มเอาเรื่อง

“ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวผมเคลียร์เอง” ผมต้องรีบห้ามทัพก่อนจะทำให้วงแตกกันไปก่อน

“รายนี้เขามีเหตุผล โกรธง่ายหายเร็ว” ผมยิ้มให้กำลังใจพี่เชน และเดินตามคนน้อยใจไป

 

“เขน”

“เขน รอก่อนสิ” คนที่ถูกเรียกชื่อไม่แม้จะกันมามอง พึ่งง้อได้แท้ ๆ จะใช้มุกไหนกันล่ะทีนี้

“โอ๊ย” ผมทรุดตัวลงนั่ง ร่างสูงหันกลับรีบวิ่งมานั่งประคอง

“รุ่งเป็นอะไร”

“เปล่า” ผมตีหน้าเรียบที่สุด สกัดกั้นขำไว้แทบแย่

“อ้าว”

“ไม่ใช้มุกนี้ จะวิ่งตามเขนทันไหม” คนประคองทำท่าจะผละออก แต่ผมคิดไว้ก่อนแล้วจึงใช้น้ำหนักตัวทั้งหมดฉุดเขาให้นั่งลง

“จะหนีไปไหน ไม่อยากรู้เรื่องเหรอ” จึงกระเซ้าคนหน้าบูด

“ก็นึกว่าไม่อยากเล่า ไม่เห็นเคยเล่าให้ฟัง”

“ก็ไม่มีอะไร”

“ไม่มีอะไร ไม่เล่าก็ปล่อย” คนตัวโตพยายามสะบัด

“ไม่... รุ่งบอกแล้วว่า ว่าจะไม่ปล่อยเขนไปไหนแล้ว” ต้องใช้ไม้นี้จึงจะสงบได้ จริงแล้วอีกนิดเดียวผมก็รั้งไม่อยู่แล้วเถอะ

“เขน ไม่มีอะไรจริง ๆ” ผมต้องเริ่มเล่าแล้วสินะ

“แค่ตอนปีหนึ่ง ตอนรุ่งเข้ามหาลัยมาใหม่ ๆ น่ะ สายรหัสรุ่งขาดช่วงไปปีนึง พี่บลูเขาเลยต้องลงมาดูแลรุ่งเอง ตอนนั้นพี่บลูกับพี่เชนเขายังไม่ได้คบกัน”

“แล้วรุ่งกับพี่บลูก็มีอะไรหลาย ๆ อย่างคล้ายกัน เลยสนิทกันมาก พี่บลูเขาก็สับสนบ้าง”

“แล้วก็คบกัน”

“จะเรียกว่าคบกันได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ตอนนั้นที่คุยกันก็ลองศึกษาดู ๆ กันไป”

“ตอนนั้นรุ่งก็อยากรู้ว่าจะรักใครได้อีกไหม...” ผมยิ้มให้กับท้องทะเลสีดำ

“แล้ว...”

“ก็หัวใจของรุ่งมันได้อยู่กับรุ่งนานแล้ว จะรักใครได้อีกเหรอ”

“ก็เลยบอกพี่บลูไปว่ายังไม่พร้อมจะเริ่มต้นใหม่กับใคร แกก็เข้าใจ”

“พี่บลูรู้เรื่องเราเหรอ”

“เปล่าหรอก แกไม่รู้ว่าใคร อะไร ยังไง แค่รู้ว่าหัวใจรุ่งไม่น่าจะรักใครได้อีก จริง ๆ คิดแล้วสงสารแกนะ เหมือนรุ่งเล่นกับหัวใจคนอื่น เหมือนให้ความหวัง ถ้าพี่เชนไม่เข้ามา รุ่งต้องรู้สึกผิดมากเหมือนกัน” ผมยิ้มให้กับอดีตที่ไม่มีวันหวนย้อนกลับ

“เรื่องก็แค่นี้เอง ไม่มีอะไรเลย” และส่งยิ้มให้กำลังใจคนข้าง ๆ

“ยิ่งตอนนี้พี่เขารู้แล้ว ว่าคนที่รุ่งรอเป็นใคร” ตาทั้งสองคู่ถูกดึงดูดให้มองเพียงกันและกันเหมือนมนต์สะกด

“ใครที่รุ่งรอมานาน”

“ใครที่หัวใจรักของรุ่งฝากไว้ที่เขาตลอดมา”

“ใครที่ทำให้รุ่งกลับมามีความสุขและยิ้มได้เหมือนวันนี้อีกครั้ง”

“ใครที่เป็นรักแรก รักเดียว รักสุดท้าย”

“เขนรู้ไหมเขนเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตรุ่ง มันเกินพอแล้วกับวันเวลาที่ต้องทนทรมาน มีแต่ร่างกายแต่ไร้หัวใจ มีแต่ลมหายใจแต่ไร้วิญญาณ”

“พอแล้วนะเขน” เพียงแค่คิดถึงความเจ็บปวดในวันวานน้ำตาก็รื้นขึ้นมาอย่างง่ายดาย และความรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออกก็กลับคืนมาอีกครั้ง

“รุ่ง....” ร่างสูงรวบผมเข้าสู่อ้อมกอดของเขา พร้อมกับโยกตัวเบาปลุกปลอบเด็กขี้แย

“รุ่งเป็นคนเดียวที่เขนรัก ใจหนึ่งดวงดวงนี้ จะไม่มีวันทิ้งรุ่งไปไหนอีกแล้ว”

“จะไม่มีวันนั้นอีกแล้วรุ่ง ไม่มีอีกแล้ว เขนสัญญา” ผมดันตัวออกเล็กน้อยเผื่อเงยหน้าขึ้นสบสายตาเพื่อยืนยันสิ่งที่จะพูดเอ่ยไป ถ้อยคำที่ค้างอยู่ในใจให้เขาได้รู้

“เขนก็เป็นคนเดียวที่รุ่งจะรัก รุ่งไม่รู้หรอกว่าจะมีอีกกี่คนที่ผ่านเข้ามา แต่อยากให้เขนเชื่อ ไม่มีวันที่รุ่งจะรักใครได้อีกแล้ว เพราะหัวใจรักขอรุ่งมีแค่เขนได้เพียงคนเดียวจริง ๆ มีแต่เขนทั้งหัวใจ มีแต่เขนจริง ๆ รุ่งสัญญา”

 

เรานั่งฟังเสียงคลื่นทะเลในอ้อมกอดของกัน และกันอีกสักพักใหญ่ จึงนึกได้ว่าการ์ดเข้าห้องนอนทั้งสองใบอยู่ที่เรา เฟรมจะเข้าห้องนอนอย่างไร จึงรีบเดินกลับ แล้วพบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ที่บริเวณที่เรานั่งเล่นกันแล้ว

“รุ่งลองโทรหาพี่บลูสิ”

“ไม่หึงแล้วแน่นะ” ผมอดหยอกเขาไม่ได้ เขาจึงขยี้หัวของผม และยิ้มให้แทนคำตอบ ผมจึงรีบกดโทรศัพท์โทรออก

“รบกวนหรือเปล่าครับ”

“ผมไม่รู้ว่าเฟรม...”

“อ้าวเหรอครับ ไม่รบกวนพวกพี่แน่นะครับ”

“โอเคครับ เคลียร์เรียบร้อยแล้วครับ ขอบคุณพี่บลูมากครับ” จึงวางสาย ก่อนที่จะหันกลับมาเล่าให้อีกคนที่บอกว่าไม่หึงแล้วแต่ตั้งใจฟัง และอยากรู้มากว่าคุยอะไรกันให้ได้รับรู้

“เฟรมเมาฟุบหลับไป พี่เชนแบกขึ้นไปนอนที่โซฟาที่ห้องพวกพี่เขาแล้ว”

“พี่บลูเลยให้นอนที่นั่นเลย แกจะดูแลเฟรมให้เองไม่ต้องห่วง” คนฟังยิ้มกว้าง

“งั้นเราไปนอนกันบ้างดีกว่า เขนง่วงแล้ว” คนพูดหาวโชว์ให้หนึ่งทีด้วย

ให้มันจริงเถอะเขน ดีใจมากไปไหม แต่ผมจะทำอย่างไรได้ก็รับปากไว้แล้ว และตัวช่วยก็ไม่อยู่แล้วด้วย ก็ได้แต่เดินตามคนจูงมือขึ้นห้องไปอย่างจำยอม รู้อย่างนี้เมื่อตอนเย็นไม่ยอมหรอก

เอาน่าเลยตามเลย อดีตไม่มีทางย้อนกลับ อนาคตคาดการณ์ไม่ได้ อย่างน้อยพรุ่งนี้ก็ตื่นสายหน่อยก็ได้นี่นะ ใจอ่อนอีกแล้ว แต่ทำอย่างไรได้

ก็ใจผมมันก็มีแต่เขานี่นา



#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: SOMEBODY 05.03.2018
«ตอบ #131 เมื่อ05-03-2018 13:28:29 »

Chapter XI: Somebody

 

‘ชีวิตเหมือนการเดินทาง’ บางทีเราก็ตามเสาะแสวงหาสิ่งที่ปรารถนา โดยไม่เคยรู้ว่าสิ่งที่ใจต้องการจริง ๆ คือสิ่งใด

“พี่ แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าเป็นใคร” เด็กนี่เป็นคนเดียวที่กล้าเข้ามาแทรกอยู่ในโลกของผมสองคนได้อย่างแนบเนียน

“มันอธิบายไม่ถูก คนอื่น ๆ ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ก็อาจจะประทับใจบ้างแต่พอเวลาผ่านไปก็จะรู้เองว่ามันไม่ใช่”

“แต่กับคนพิเศษ มันเหมือนเมื่อเขาเข้ามาแล้ว จะมีผลต่อหัวใจเราอย่างมาก ยิ่งพบ ยิ่งได้รู้จัก ยิ่งได้ใกล้ชิด ใจมันจะบอกว่าปล่อยไปไม่ได้” ผมกดจมูกลงในเรือนผมยุ่ง ๆ ของผู้ชายที่หลับอยู่ในอ้อมแขน

เรามานั่งเล่นกันอยู่ที่เตียงริมชายหาด วันพักผ่อนก็ขอเพียงได้พักผ่อนจริง ๆ จะให้ไปตะลอน ๆ ท่องเที่ยวที่อื่นอีกคงเป็นไปไม่ได้อีกแล้วสำหรับวัยทำงานที่ทำงานมาอย่างหนักตลอดปี ขนาดคนที่หยิบหนังสือติดมือมาอ่าน ยังอ่านหนังสือได้เพียงนิดเดียวก่อนที่จะสลบไสลลงในอ้อมกอดของผม คงโทษอะไรไม่ได้เพราะต้นเหตุที่ดูดพลังของเขาไปก็เป็นคนที่โอบกอดเขาอยู่

บางครั้งใบหน้าหวานเกินเด็กสาวของเขา ก็ทำให้ไม่ต้องระแวงระวังสายตาแปลก ๆ ของผู้คนรอบข้างเท่าไหร่ โดยเฉพาะเมื่อพักอยู่โรงแรมเกรดดีที่มีแขกมากกว่าครึ่งที่ไม่ใช่คนไทยด้วยแล้ว ความเงียบสงบจึงถูกขัดขวางเพียงบุคคลที่สามที่เข้ามาปรึกษาปัญหาหัวใจดังเช่นในตอนนี้

“แต่อย่างพี่รุ่งนี่เขาก็เรียกว่าธรรมดาไม่ได้จริงๆ หรอก คนเข้ามาเพียบ แต่พี่อะโคตรโชคดี”

โชคดีหรือเปล่า?

ถ้านับเฉพาะตอนนี้คงใช่ แต่ถ้านับเรื่องราวที่เราสองคนก้าวผ่านด้วยกันมาคงห่างไกลกับคำ ๆ นั้นมากมายทีเดียว บางทีเรื่องบางเรื่องอาจเป็น ‘พรหมลิขิต’ เกินความเข้าใจของเราว่าทำไมฟ้าท่านถึงลิขิตได้ลึกลับซับซ้อนมากถึงขนาดนี้

บ้างเชื่อว่าทุกอย่างเกิดจากกรรมหรือการกระทำ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ผมก็สงสัยว่าชาติที่แล้วเรื่องของเราสองคนคงวุ่นวายมากทีเดียว ถึงมีกรรมติดตัวมาทำให้ต้องเจ็บปวดมากมายขนาดนี้

“แล้วพอพวกพี่คบกัน พี่คิดว่าตัวเองทำตัวเปลี่ยนไปไหมหรือทำตัวเหมือนเดิม”

“หมายถึงตอนไหน ตอนจีบอยู่ หรือคบกันแล้ว”

“ทุกตอนเลยพี่ ผมอยากรู้” มันคงเอาไปทำวิจัย หรือตกหลุมรักใครเข้าให้แล้วผมว่า

“ก็เป็นตัวเองนี่แหละ แต่ก่อนคบกันความพยายามมันจะคนละแบบ อยากทำให้เขาประทับใจ อยากทำให้เขาสนใจเรา เขาจะได้เลือกเราหละมั้ง”

“แต่พอคบกันแล้วมันก็พยายามอีกแบบ ทำยังไงให้เขามีความสุขเวลาอยู่ใกล้ ๆ เรา อยากให้เขาปรึกษาทุก ๆ เรื่องกับเรา ไว้ใจเรา ช่วยกันคิด และก้าวเดินไปพร้อม ๆ กัน มองเพียงแค่เราคนเดียว มันจะเพิ่มความห่วง และหวงเข้ามา”

“หึงน่ะเหรอ แต่ผมว่าพี่ไม่ต้องหึงหรอก ผมยังไม่เห็นพี่ชายผมเขามองใครเหมือนมองพี่สักที”

“มันก็อดไม่ได้หรอก ฝากดูให้ด้วยก็ดี”

“ผมว่าคนของพี่เขาวางตัวดี จนเกือบเฉยชากับคนอื่นเลยนะ มีแค่ตอนอยู่กับพี่แหละที่เหมือนคนละคน บางทีเพลา ๆ หวานกันบ้างก็ได้ ผมจะเป็นเบาหวานแล้วเมื่อไหร่นะ ผมจะพบคนคนนั้นบ้างนะ อิจฉาพวกพี่จัง”

“ชู่ววววววว” คนโดนนินทาเริ่มขยับตัว

“เขน” เวลาเขาเรียกผมก่อนลืมตา มันทำให้หัวใจของผมพองโตเสมอ จนอดไม่ได้ที่จะกดจมูกลงไปสูดความหอมที่หน้าผากไล่เรียงลงมาที่พวงแก้มใส ก่อนกระซิบตอบที่หู

“ครับ” แล้วจึงขำเจ้าเฟรมหน้าแดงที่เสหันกลับไปพยายามวิจัยคลื่นทะเลแทนเมื่อคนในอ้อมกอดผมเขามอบจุมพิตเบาที่ปลายคางให้

“อะไรเหรอ อ้าวเฟรม มาตั้งแต่เมื่อไหร่” พอหันไปเห็นเฟรมผมเลยโดนหยิกเบา ๆ นั่นไง เขาแคร์เจ้าเด็กนี่  ยังไงก็อดหวงไม่ได้ น้องก็น้องเถอะ ผมจึงรั้งเอวบางที่พยายามจะขยับหนี

“สักพักแล้วพี่”

“เมื่อคืนเป็นไงบ้างพี่โทษที ลืมไปว่าคีย์การ์ดอยู่กับพี่”

“ผมนอนโซฟา นอนสบายพี่ไม่เป็นไร”

“กินอะไรหรือยังเดี๋ยวพี่เลี้ยง คืนนี้กลับมานอนที่ห้องนะ”

“ไม่ทันแล้วล่ะรุ่ง เขนติดสินบนเฟรมไปแล้ว” รุ่งมองไปที่อาหาร และน้ำมะพร้าวข้างตัวเฟรม ก่อนหันมาส่งสายตาเอาผิดผม

“นอนห้องพี่บลูดีกว่าพี่ ห้องนอนกับห้องรับแขกมันแยกกัน ผมได้ไม่ต้องทนดูเลิฟซีน เหมือนเมื่อกี๋ด้วย”

คำพูดเฟรมทำให้มีคนหันกลับมาเตรียมอ้าปากเอาผิดกับผมอีกหน วิธีปิดปากก็มีวิธีเดียว แม้ต้องยอมให้เฟรมน้ำตาลขึ้นหน่อย กับโดนตีเบา ๆ สองสามที ก่อนที่ร่างบางจะอ่อนลงในอ้อมอก แต่ปากรสหวานจัดก็ทำให้คุ้มกับการเจ็บตัวเสียเหลือเกิน

 

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมโดนงอน แต่จะทำอย่างไรก็ได้... นอกจากง้อ

“ห้ามเข้าใกล้ในระยะหนึ่งเมตร” เขาเอาจริง เฟรมกลั้นหัวเราะจนน้ำตาเล็ด

“รุ่ง... ก็เรามาพักผ่อน” ผมได้แต่อ้อนกลับ

“ไม่เห็นจะเกี่ยว” แต่สายตามนั่นทำให้ไม่กล้าจริง ๆ

“ไม่มีใครรู้จักหรอกมีแต่ฝรั่ง”

“นี่ไงคนรู้จัก” เฟรมหลุดขำฮาใหญ่

“เฟรมไม่นับไม่ได้เหรอ”

“ไม่ได้”

“งั้นไม่มีเฟรม ไม่เป็นไรใช่ไหม ไปเลยเฟรม”

“เขน อย่าไล่น้อง”

“ผมจะอยู่กับพี่รุ่ง ชอบดูคนทรมาน” มันได้ทีเกาะคนของผมทันที ไอ้เด็กแสบ

“เหอะ พี่ชายเราก็ทรมานไม่ต่างจากพี่หรอก” สายตาอาฆาต ถูกส่งมาจนพูดต่อไม่ได้

ถึงแม้จะเป็นชายทะเล แต่ด้วยความร้อนแรงของแสงอาทิตย์ในช่วงบ่าย ทำให้เราต้องมานั่งรวมกันที่ห้องที่เฟรมใช้นอนเมื่อคืน พี่บลูอ่านหนังสือ  พี่เชนนอนหลับหนุนตักอยู่ที่โซฟาตัวยาว ขณะที่เฟรมนั่งเกากีตาร์ข้างพี่ชายของเขาที่กำลังขะมักเขม้นในการปะทะแข้งกับผมในจอ

ถึงจะนั่งคนละฟากในรัศมี 1 เมตร แต่เขาก็เล่นเกมกับผมก็แล้วกัน แต่แมทปะทะคารมก็มีออกมาเรื่อย ๆ จนพี่บลูส่ายหัว ส่วนเจ้าเฟรมเปรยเยาะเย้ย

“พี่เขนนี่ลักกี้อินเกม แต่จะไม่ลักกี้อินเลิฟนะ ถ้ายังจะเล่นกันต่ออะ”

“งั้นเลิกเล่น”

“เฮ้ย!! ได้ไงอะเขน ชนะแล้วชิ่งเหรอ ไม่ให้แก้มือหน่อยเหรอ” คนรักของผมครับ แต่เขาก็เป็นเพื่อนของผมด้วย

“เล่นต่อก็ได้ แต่รุ่งต้องมานั่งนี่” ผมชี้ที่ว่างข้าง ๆ ผม

“ไม่มีทาง” ปากเป็ดแบะออกอย่างถือดี

“คืนนี้คืนสุดท้ายแล้ว ออกไปหาอะไรกินกับหาเพลงฟังข้างนอกไหม” ในขณะที่เฟรมเสี้ยม พี่บลูก็ช่วยไกล่เกลี่ยสุดฤทธิ์

“จะออกไปไหนข้างนอกเหรอ” พี่เชนตื่นอย่างรวดเร็ว

“ดีพี่ ผมเปรี้ยวปากอยู่ด้วย เผื่อสวรรค์จะลิขิตให้ผมพบเนื้อคู่ที่หัวหิน”  ในเมื่อรุ่งก็ไม่ได้มีความเห็นอะไร ผมว่าไงก็ว่าตามกัน แต่เที่ยวกลางคืนทั้งที่คนรักยังงอนอยู่นี่ต้องลำบากไม่ใช่ย่อยทีเดียว

 

เนื่องด้วยพี่บลูกับพี่เชนตัวติดกันซะจน แม้เป็นเด็กก็รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองชัดเจนเพียงไร ทำให้เป้าหมายที่สาว ๆ ส่วนใหญ่จับจ้องจึงเป็นผม และเฟรม ส่วนอีกเกือบค่อนร้าน เนื่องจากรวมประชากรชายหนุ่ม ๆ ด้วย ก็อยู่กับคนที่กำลังโยกตัวตามเสียงเพลง และยกเบียร์ดื่มอย่างไม่แคร์สายตาใครทั้งสิ้น

เมื่อผมยังอยู่ในช่วงทานบน ดังนั้นคืนนี้คนของผมเขาจึงมีอิสระอย่างยิ่ง แม้ผมจะรู้ว่าเขาไม่ได้ให้ความสนใจใครเป็นพิเศษแน่นอน นอกจากสนุกไปกับบรรยากาศของร้าน แต่ก็อดจะหวงไม่ได้อยู่ดี เมื่อต้องแอบมองอยู่ห่าง ๆ จากระยะหนึ่งเมตร

นั่นไง ผู้ชายโต๊ะข้าง ๆ ยกแก้วให้

“หึหึ....” สมกับเป็นเขาจริง ๆ ใบหน้าหวานเสมองไม่เห็น ความเย็นชาดุจน้ำแข็ง ทำเอาคนรอคำตอบทักทายเหวอ

แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็เหมือนเป็นเกมเมื่อคนหนึ่งไม่ได้ผล หลายคนก็อยากจะพิสูจน์ว่าตัวเองแน่ หนุ่ม ๆ สาว ๆ อีกหลายคนผลัดเปลี่ยนส่งสายตาชี้ชวนทักทาย หากแต่คนคนนั้นยังคนวางตัวได้เย็นชา ทั้ง ๆ ที่ฤทธิ์เบียร์สดหลายแก้วที่ดวลกับเจ้าเฟรมเริ่มทำให้แก้มนวลออกสีระเรื่อ ดวงตาเริ่มหรี่ลงเล็กน้อย ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่คนยังมุ่งเป้าหมายที่เขามากมาย เริ่มเซ็กซี่เกินไปแล้ว

แต่แล้วเหตุการณ์ก็กลับพลิกผันเพราะผู้หญิงคนเดียวที่เผอิญเดินมาชนกับผมก่อนที่จะทิ้งกระดาษโน๊ตเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ ยังไม่ทันได้อ่าน กระดาษนั่นก็ถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กปลิวหาย แล้วเสียงครางในลำคอเบา ๆ ของหลายคนที่รวมกันแล้วสร้างเสียงไม่เบา เมื่อคนฉีกกระดาษแทรกตัวนั่งลงบนตักของผม โดยไม่แคร์สายตาใครทั้งสิ้น

พี่บลูพี่เชนส่งยิ้มให้กันเล็ก ๆ ขณะที่เฟรมยังอ้าปากค้าง ผมจึงโอบกอดร่างบางบนตักไว้ ก่อนกระซิบเบา ๆ ข้างหู

“หึงเหรอครับ”

“ไม่มั้ง ง่วงต่างหาก” คนปากแข็งตอบ ขณะหันกลับมาซุกหน้าซบลงที่ไหล่

“รุ่ง.....ไม่กลัวเจอคนรู้จักเหรอ”

“...........................” หน้าหวานส่ายเบา ๆ ก่อนตอบ

“เขนก็บอกไปสิ ว่ารุ่งเมา”

“คนบอกว่าตัวเองเมา แสดงว่าไม่ได้เมาจริง”

“หึหึ... ไม่หรอกคนเมานั่งอยู่โน่น เตรียมลากเฟรมกลับได้เลย”

“คนยังไม่เลิกมองเลยรุ่ง”

“แคร์ใครเหรอ” คนถามยกศีรษะขึ้นมามองด้วยสายตาเอาเรื่อง

“เปล่า ถ้ารุ่งไม่แคร์ เขนจะแคร์ทำไม แต่......”

“แต่อะไร”

“มีวิธีนึงทำให้คนเลิกมอง”

“วิธีอะ..” คงเป็นเพราะผมคงเมาเหมือนกัน เลยขี้เกียจตอบ ทำเลยดีกว่า หากแต่เมื่อฝ่ายรับเลิกตกใจ รสจูบสนองกลับนั่น กลับทำให้ผมชักอยากจะกลับห้องวินาทีนี้เลย

“คู่นั้นน่ะ แยกกันก่อน ติดเรทแล้ว” เราผละออกจากกัน ขณะที่พึ่งรู้ตัวว่ารุ่งแทบจะขึ้นมานั่งคร่อมผมอยู่แล้ว จึงได้แต่เช็ดร่องรอยจูบที่มุมปากรสหวาน และรวบร่างบางที่ปล่อยน้ำหนักทั้งตัวไว้ในอ้อมอกของผม

“นี่ก็ท่าจะไม่ไหว เขนยังไหวไหม”

“ครับ” ผมแค่กรึ่ม ๆ แต่สองพี่น้องคงจะต่างกันไม่มากเพียงแค่รุ่งยังพอมีสติน้อยนิด และไม่อ้วกเหมือนเฟรมตอนนี้

“ดูแลรุ่งแล้วกัน กลับก่อนก็ได้ ขับรถได้ใช่ไหม” พี่บลูถามย้ำ ขณะที่พี่เชนประคองเฟรม

“ครับ”

“แล้วเจอกันเช็คเอาท์พรุ่งนี้ล่ะ”

“คืนห้องก่อนสิบเอ็ดโมงนะ” พี่เชนแซว ผมจึงได้แต่ยิ้มตอบกลับ และยิ้มให้กับตัวเองตลอดทางที่ขับรถกลับโรงแรม ขณะที่คนที่ควรจะนั่งที่นั่งข้าง ๆ คนขับ ยังคงนั่งอยู่บนตัก และยังคงซุกซนที่ลำคอ วิธีง้ออีกวิธีที่ให้ได้ผลชะงัดนัก

คือ... ทำให้หึง

อีกเรื่องที่สงสัยมาก่อนหน้านี้ แต่ไม่เคยมีโอกาสพิสูจน์ คนรักของผมเขาเมาได้เซ็กซี่ และร้อนแรงมากมายทีเดียว

 

บทรักเร่าร้อนลุกโชน ทำเอาแอร์เย็นฉ่ำของโรงแรมมิได้ช่วยบรรเทาความร้อนรุ่มของเรือนกายที่แผดเผายาวนาน ยิ่งผ่านคืนวันที่สุดแสนทรมาน ยิ่งทำให้ความต้องการกันและกันมากล้น ยาวนาน และไม่มีวันเพียงพอ

ไม่รู้ว่าฤทธิ์แอลกอฮอล์เป็นเหตุ หรือเป็นเพียงข้ออ้าง แต่คนตอบรับเสมอกล้ารุกเอาก็วันนี้เอง แม้ต้องกระซิบชี้นำบทบาทกันบ้าง แต่ก็ตามใจไม่เกี่ยงงอนแต่อย่างใด มันแสดงให้รู้ว่ามิใช่เพียงแค่ผมที่เป็นฝ่ายเฝ้าละเมอ เฝ้าฝันใฝ่ เพียงข้างเดียว หากแต่เขาก็หลงใหล หวงแหนผมไม่ต่างกัน

สัมผัสที่อ่อนโยนจากริมฝีปากบางของคนที่อ่อนหวาน ยวนยั่ว ทำให้ใจเต้นแรงระรัวแต่กลับรู้สึกหวิวปานจะขาดใจ

“รุ่ง......อ่ะ...อืม”

“..พ..พอแล้ว เดี๋ยวไม่ไหว” ใบหน้าสวย นัยน์ตาหวานฉ่ำจึงละสัมผัสเงยขึ้นมามอง

“อยู่ข้างบนได้ไหมคะ ไหวไหม” สายตาเหวี่ยงกลับมา หากแต่ยอมทำตามโดยดี

จังหวะรักที่แนบแน่นเนิบนาบในช่วงแรกที่ต้องการการปรับตัว หากค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นถี่ กระชั้น ถาโถมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่อาจทนยอมเป็นคนข้างล่างได้อีกต่อไป เป็นคนคุมเกมเหนื่อยกว่าก็จริงแต่ก็เอาแต่ใจได้มากกว่าเช่นกัน หากแต่ตอนเปลี่ยนท่าทางจับอีกคนเปลี่ยนตำแหน่ง ทั้งที่บางสิ่งยังสอดประสานกันแนบแน่นนั้นกลับทำให้ร่างบางกระตุกครวญครางเกือบหวีดร้อง และปลดปล่อยออกมา

“รุ่งจ๋า... ต่อนะคะคนดี” ค่ำคืนยังคงทอดเวลายาวนาน สมรภูมิรักที่ผันผ่านการปลดปล่อยครั้งแล้วครั้งเล่า หาได้บรรเทาความปรารถนาแห่งรักในคนใต้ร่างให้เบาบางลงแต่อย่างใด

หากแต่ร่างกายยังคงต้องการการพักผ่อนจนสุดที่จะรู้ได้ว่า เส้นทางแห่งบทรักจบลง ณ แห่งหนใด เมื่อสติได้ขาดพร่าเลือนไปเสียก่อน แต่แม้ความฝันนั้นยังคงหวานนัก เนื่องด้วยภาพสุดท้ายก่อนหลับใหลนั้น ก็คือใบหน้าที่แดงกล่ำหวานล้ำ

“รุ่งจ๋า... จะไปไหนคะ” ฝันหวานค่อย ๆ เลือนหาย เมื่อร่างบางในอ้อมแขนพยายามจะแยกร่างที่สอดประสานกันออก

“เขน อย่า.......อื้ม....” เสียงร้องครางก่อนที่จะถอนหายใจ เมื่อสะโพกบางถูกกดรั้งกลับ ณ จุดเดิม ความกระชับรัดรึงกระตุ้นความตื่นตัวในตอนเช้าได้เป็นอย่างดี

“เขน...อย่าซน สายแล้ว เดี๋ยวเช็คเอ้าท์ไม่ทัน เมื่อคืนยังไม่พออีกเหรอ”

“นิดเดียวนะ รุ่งนะ เมื่อคืนรุ่งน่ารักมาก ๆ เลยรู้ตัวไหม” ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าเมื่อคืนนั้นยิ่งกว่าเต็มอิ่ม มาพักร้อนครั้งนี้คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม หากแต่อาการตื่นตัวในตอนเช้าไม่ได้เป็นแค่ผมหรอก หากแต่คนที่เฝ้าแต่บ่ายเบี่ยงเพียงแค่ยื่นมือไปสัมผัสส่วนอ่อนไหวแผ่วเบา ๆ ก็รู้ว่าไม่ได้ต่างกัน

“ให้เขนเอาออกให้นะ” ข้ออ้างที่ดูเหมือนเสียสละของผม พอจะใช้ได้ไหมนะ

“อะ....อืม” หากแต่ที่ได้ผลตอบรับ เพราะเขาคงยอมจำนนต่อความต้องการของตัวเองเช่นกัน ท่วงทำนองแห่งรักจึงถูกสานต่อจนถึงฝั่งฝัน

เราเช็คเอาท์เลทเล็กน้อยตามคาด แต่ด้วยรอยยิ้ม และความตีมึนของผม ทำให้เจ้าหน้าที่โรงแรมเคลิบเคลิ้มจนไม่ว่าอะไร หากแต่ต้องทนกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของเจ้าเฟรม และพี่เชน จนคนข้าง ๆ ผมเดินหนีไปรอในรถ

“ไม่ต้องกินข้าวเช้าเลยใช่ไหมพี่” เฟรมแซว

“แต่กลางวันแวะกินข้าวกลางทางหน่อยนะ พวกพี่ไม่ได้อิ่มทิพย์เหมือนเขน” พี่เชนรีบสำทับ ก่อนพี่บลูจะลากกลับรถไปเราจึงเดินทางกลับกรุงเทพไปลุยกับภาระงานที่มากล้นเช่นเดิม หากแต่เมื่อกำลังใจเต็มเปี่ยมทุกก้าวย่างที่มีคนรักเคียงข้างก็สุขสมบูรณ์มากขึ้นในทุก ๆ วัน เพียงคนที่เราพบเป็นคนสุดท้ายก่อนหลับตานอนฝันดี และคนที่เราลืมตามาเห็นเขาเป็นคนแรกของทุก ๆ เช้าเป็นคนที่เรารักมากมายขนาดนี้ เพียงทุกลมหายใจที่เข้าออกที่หัวใจของเราได้รู้ว่า เราจะอยู่เคียงข้างกันเสมอ เพียงทุกเวลา ทุกวินาทีที่มีอยู่ได้ใช้อย่างคุ้มค่ากับเธอ





#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: CANDY 05.03.2018
«ตอบ #132 เมื่อ05-03-2018 13:56:37 »

Chapter XII: Candy

 

ย่างเข้าเดือนที่ห้าแล้วครับที่ผมต้องลุกมาห่มผ้าให้คนข้าง ๆ กลางดึก ถึงจะเป็นผ้าห่มฝืนเดียวกันก็ตาม แต่บางคนเขาก็มีความสามารถในการถีบผ้าห่ม สลัดตัวออกมานอนข้างนอกได้อย่างแนบเนียน ทำเอาหลัง ๆ มานี่ ผมลืมที่จะละเมอ แทบจะลืมที่ฝันร้ายไปเลย คิดว่าน่าจะมีส่วนนะครับ

หากเกือบตลอดเหมือนกันในช่วงหลังที่เขาจะตื่นมาอาบน้ำก่อนผม เพื่อให้ผมได้นอนต่ออีกนิดในตอนเช้า ก่อนที่จะมาปลุกด้วยวิธีเดิมของเขาทุกเช้า

“รุ่ง... เช็ดผมให้หน่อย”

“เช็ดให้หน่อยนะ” ผมว่าเหมียวคงจะสู้ลูกอ้อนเจ้าของไม่ไหวแล้วล่ะครับ หากผมไม่ค่อยได้เช็ดให้แห้งสักครั้ง ส่วนมากก็จะหลับพิงหลังเขาต่อเช่นวันนี้

“รุ่ง...รุ่ง.....อย่าพึ่งหลับ ไปอาบน้ำก่อนนะ ไปนอนต่อบนรถไปเร็ว” จะให้ทำยังไงได้หละครับ ก็มีคนดึงตัวขึ้นจากที่นอน ยัดผ้าเช็ดตัวใส่มือ และดันเข้าห้องน้ำเสร็จสรรพ

‘นอนต่อบนรถก็ได้ ไม่ได้ขับรถเองแล้วนี่นะ’

 

“รุ่ง กระเป๋าเสื้อผ้า” เขาบอกขณะที่ผมกำลังจะปิดประตูรถ เขาจึงเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าที่เบาะหลังส่งให้ ผมจึงโน้มตัวไปรับ มือใหญ่จึงยื่นมาขยี้ผม

“ตื่นหรือยังนี่”

“ตื่นแล้ว”

“เดินยังเดินไม่ค่อยจะตรงเลย จะเล่นได้แน่นะ”

“สบายมาก” ผมจึงตีหน้าตัวเองสองสามที เขาจึงส่งรอยยิ้มหล่อขาดใจมาให้ผมไม่เคยบอกเขา แต่คิดในใจเสมอ ‘แฟนใครนะดูดีชะมัด’ จนผมแอบอิจฉาเขาเล็ก ๆ ไม่ได้

“เย็นนี้เขนจะรีบมารับนะ”

“ครับ”

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่บริษัทมีแข่งกีฬาครับ วันนี้ผมจึงมาแข่งฟุตซอล ไม่ต้องแปลกใจคนที่เป็นตัวตั้งตัวตีไม่ใช่ผมแน่นอน เจ้าเฟรมรายเดิมที่ทำให้รายชื่อของผมลงไปเป็นสมาชิกของทีมสำนักงานใหญ่ได้โดยที่ผมเองไม่รู้ตัว หากเมื่อร่วมหัวจมท้ายแล้วผมก็พยายามทำให้ดีที่สุดในทุก ๆ เรื่อง อย่าถามนะว่าผมเล่นได้ดีหรือเปล่า ก็ระดับหนึ่งล่ะครับ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นคนจ่ายมากกว่าจะทำประตูเอง เอาจริง ๆ คนที่มาส่งผมเมื่อสักครู่น่าจะเล่นได้ดีกว่าผม นิดนึง นิดเดียวเองนะครับ

แต่วันนี้เขนมีประชุมกับผู้รับเหมาทั้ง ๆ ที่ทีมเราฝ่าฟันกันจนมาถึงรอบชิงในวันนี้แล้วเชียว แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกครับอย่างไรงานก็มาก่อน แต่กีฬานี่ก็เอาเป็นเอาตายกันไม่น้อยทีเดียว ไม่เชื่อดูเจ้าเฟรมสิครับ เอาจริงขนาดมานั่งหลับสัปหงกรอที่ห้องเปลี่ยนชุดนักกีฬากันเลยทีเดียว

แต่ของในมือเจ้าเด็กแสบนี้ต่างหากที่ทำให้ผมอ่อนใจ

เฮอ......จริงๆ เลยนะเขน อดถอนหายใจไม่ได้เลย

“เฟรม เฟรม มารอนานแล้วเหรอ”

“ครับ พี่รุ่งเหรอ”

“ผมกะเวลาไม่ถูกเลยมาถึงเร็ว”

“ต้องวิ่งไปร้านดอกไม้ที่ออฟฟิศก่อน จะมานี่ เลยมาถึงเร็ว”

“อ่ะ พี่”

เฟรมส่งดอกลิลลี่สีขาวผูกโบสีแดงสดมาให้ผม ไม่ต้องบอกก็ว่ามาจากใครใช่ไหมครับ ที่ผมถอนหายใจ ก็คงถอนให้กับความมั่นคง สม่ำเสมอ ของเจ้าของลิลลี่นี่แหละครับ ผมยังได้รับมันเกือบทุกเช้า โดยเฉพาะวันไหนที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน คนของผมเขาทำทุกวิธี ทุกวิธีจริง ๆ ครับ ที่ทำให้ผมได้รับดอกลิลลี่ทุก ๆ วัน

จึงไม่แปลกที่คนรอบข้างโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ใกล้ชิดอย่างเฟรมพลอยลำบากไปด้วย ไม่ใช่ผมไม่เคยพูด ผมไม่เคยบอกให้หยุดนะครับ แต่คำตอบที่ได้รับมันทำให้ไม่กล้าพูดอะไรต่อเลย

‘สิบกว่าปีเลยนะรุ่งที่เราต้องห่างกัน ขอแค่นี้เถอะ ขอแค่เขนได้ชดเชยวันเวลาที่เราได้ห่างหายไปบ้าง เขนแค่อยากทำให้ทุก ๆ วัน ทุกวินาทีที่เราอยู่ด้วยกัน ให้มีค่ามากที่สุด คุ้มค่ามากที่สุด ไม่รู้ทำไมแต่ในความรู้สึกเขนเวลาสิบกว่าปีที่หายไปมันเหมือนมากกว่านั้นมากมายนัก มันบอกไม่ถูกแต่ที่รู้คือ เขนอยากทำให้ดีที่สุด อยากให้รุ่งได้เห็นดอกลิลลี่ทุกเช้า ความรู้สึกมันบอก เหมือนปฎิญาณกับตัวเองไว้ ขอให้เขนได้ทำเถอะนะ นะรุ่งนะ’

ถ้าคุณเจออย่างนี้คุณจะกล้าปฏิเสธไหม ผมคนหนึ่งแล่ะที่ไม่กล้า และความรู้สึกลึก ๆ ที่ผมไม่ได้บอกเขาไป คือตัวผมเองก็รู้สึกเหมือนกัน เหมือนวันเวลาที่เราห่างหายจากกันนั้น มันยาวนานนักในความรู้สึก มันเหมือนนานกว่านั้นอย่างที่เขาพูดจริง ๆ คงเป็นอาการที่เรียกว่า ‘เดฌาวูว์’ อย่างที่เคยบอกมั้งครับ ผมไม่ได้ใส่ใจมันมากนัก

เพราะขอให้วันนี้ เวลานี้เรามีกันและกัน

ผมก็ไม่อยากกลับรื้อฟื้นอดีต หรือความเจ็บปวดใด ๆ อีกแล้ว

แต่เขนเองเขาก็มีวิธีการ อะไรสักอย่างที่ทำให้คนรอบข้างของผมยอมลำบาก คิดดูแล้วกันครับคนขี้โวยวายอย่างเฟรม ไม่เคยปริปากบ่นเรื่องนี้ ทั้งที่ต้องเป็นธุระอย่างนี้หลายต่อหลายหน ไม่รู้ไปติดสินบนกันท่าไหนเหมือนกันครับ อยากรู้จริง ๆ

 

พักครึ่งเรายังตามอยู่สามประตูต่อสอง อาจเป็นเพราะเราอยู่กันคนละสาย ทีมเราจึงไม่เคยพบกับทีมที่มาชิงกันเลยครับ ทีมนี้มาจากศูนย์การค้าแถบชลบุรี เล่นเก่งชะมัด แต่ก็เล่นหนักเหมือนทีมประจำจังหวัดเขาด้วยเหมือนกัน ผมเดินไปเอาน้ำมากิน ก่อนเดินมานั่งข้างเฟรม ทันได้ยินสองสามประโยคก่อนที่เจ้านี่จะวางสายไป

“มาเร็ว ๆ นะพี่”

“ใครคาบไปผมไม่รู้ด้วย” พอเห็นผมมาก็รีบวางสาย

“แค่นี้นะพี่ มาแล้ว” พิรุธชัด

“อะไรเฟรม”

“คุยกับใคร เขนเหรอ”

“เอ่อ...”

“ฟ้องอะไร”

“พี่ก็เห็นเบอร์เก้านั่นมันมองแต่พี่ ประกบแต่พี่”

“ฟุตบอล เฟรม”

“ผมก็แค่รายงาน แต่ผมว่าพี่ก็ดูรู้ว่าเขาไม่อยากได้แค่ฟุตบอล” ครับผมรู้ สายตาคนที่เข้ามาประกบชัดแจ้ง หากแต่จะทำอะไรได้ นอกจากทำเป็นไม่สนใจก็เท่านั้น จะทำอะไรได้

“ไหนจะสาว ๆ ข้างสนามนั่นอีก เชียร์แต่เบอร์เจ็ดน่ารัก” ใจจริงผมอยากให้คนชมว่าหล่อ มากกว่าน่ารัก และสวยมากกว่ามากทีเดียว แต่เมื่อถูกชมอย่างนี้มาตลอดชีวิต ตัวผมเองก็ออกชิน ๆ

“ถ้าผมไม่รายงานมาเฟียเล่นผมตาย”

“พี่ดูแลตัวเองได้หรอกน่าเฟรม พี่เขนเขาทำงาน”

“ผมก็ไม่ได้บอกให้หนีงาน ให้รีบมาเฉย ๆ” ผมไม่อยากเถียงด้วยแล้วครับ เจ้าเด็กนี่มีเหตุผลมากจริง จึงเดินหนีมันออกมาก่อน

“สวัสดีครับ” คุณเบอร์เก้า ออกมาจากห้องพักนักกีฬาก่อนเหมือนกันครับ

“สวัสดีครับ” เขาทักมาก่อนจะเสียมารยาทไม่ตอบคงไม่ได้อย่างไรก็บริษัทเดียวกัน

“ผมโอ๊ตครับ ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไปศูนย์พัทยา” เขายื่นมือมา ผมจึงจำใจเล่นกีฬาได้เพื่อนไม่ใหม่บ้างก็ไม่แปลก

“รุ่งครับ ฝ่ายบริหารโครงการ” จึงยื่นมือออกไป หากสายตากับแรงบีบที่มือของอีกคนพยายามจะสื่อสารว่าคิดเกินกว่าคนรู้จักเพียงใด จึงรีบดึงมือออก ขณะที่เขาพยายามจะชวนคุยต่อ ผมจึงรีบตัดบท

“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” แล้วเฟรมก็ขี่ม้าขาวผ่านมาพอดี

“พี่อยู่นี่เอง ไปเถอะ”

“พบกันในสนามครับ” เขาเอ่ย จึงได้เพียงพยักหน้ารับไป

สามต่อสามประตูสุดท้ายที่ตีเสมอ ผมส่งได้เพราะคนประกบมัวแต่มองหน้าผมอยู่ ไม่อยากฉวยโอกาสจริง ๆ แต่ให้ทำอย่างไร จะให้ผมหยุดเล่นฟุตบอลให้เขามองให้พอก็ใช่ที่ หากเหลืออีกเพียงสามนาที ผมโดนเปลี่ยนตัวออก

‘อะไรวะ’ ผมแอบโวยวายในใจ แต่เมื่อหันมาข้างสนามถึงรู้เหตุผล ตัวสำรองที่มาเปลี่ยนตัวกับผมผิวสีขาวจัดเล่นเอาเข่าแทบอ่อน แต่ผมเปล่าทำอะไรผิดสักหน่อย แต่ก็อดกลัวไม่ได้

ใช่ครับ ก็กลัวเหมือนกันนั่นแล่ะ ใครจะไม่กลัวมาเฟีย ยิ่งทำหน้าอย่างนั้น ออกก็ออกครับ ผมก้มหน้าเดินออกจากสนามโดยดี และตัวสำรองคนนั้นเขาไปเล่นแป๊บเดียวก็เป็น ซุปเปอร์ซับ ทำประตูได้ในนาทีสุดท้ายด้วยการแย่งลูกมาจากคุณเบอร์ เก้านั่นแล่ะ เบียดซะล้มเลย แต่ลูกมันก่ำกึ่งระหว่างเล่นบอลกับเจตนาชนคน กรรมการเลยปล่อย แล้วก็ได้ประตูสุดท้ายมาอย่างสวยงาม เหมือนวางแผนมาดีครับ

หากใครจะรู้ แค่เห็นสายตานั่น ขี้โกงชัด ๆ ผมรู้ เขาตั้งใจ หากยังใจดีที่เขาไม่ย่ำซ้ำคุณเบอร์เก้านั่นด้วยก็ดีเท่าไหร่แล้ว เกมจบเราชนะ ผู้ชายคนนั้นก็เนียนมากอดตัวจริงข้างสนามอย่างผมหน้าตาเฉย แล้วลากไปลากมาไม่ยอมปล่อยเลยแม้แต่นิดเดียว

นั่นยังไม่ร้ายเท่า เมื่อคุณเบอร์เก้าเดินเข้ามาเหมือนจะมาแสดงความยินดี แค่ปรายหางตาที่มาเฟียมอง แล้วเอื้อมมือมาปัดผมเช็ดเหงื่อให้ผม แล้วโอบในขณะที่เขาเลิกแสดงความดีใจกันแล้ว มันทำให้ทั้งสนามรู้ว่าอะไรเป็นอะไรโคตรชัดเจน

หมดกันสาว ๆ หมดกัน

คนเกือบห้าร้อยคนวันนี้รู้ รับรองว่าพรุ่งนี้คนทั้งบริษัทอีกสามพันกว่าคนก็รู้ ผมแทบอยากจะแทรกแผ่นดีหนี แต่จะกล้าโกรธเขาไหม มาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เห็นอะไรบ้างก็ไม่รู้ ถ้าต้องคิดบัญชี เห็นต้องเก็บเอาจากคนฟ้องนั่นแล่ะครับ เจ้าเฟรมตัวดี

 

หลังจากรับถ้วย และอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เราก็เดินกลับมาเก็บของที่รถ โดยไม่คาดคิดว่าเพียงวันเดียวจะทำให้มีแฟนคลับมาขอถ่ายรูปด้วยขนาดนี้ คุณไม่คิดใช่ไหมว่าทำงานในบริษัทจะมีเรื่องแบบนี้ แต่จริง ๆ ครับมีจริง ๆ หากที่สำคัญส่วนมากที่แฟนคลับขอถ่ายเป็นรูปคู่ ผมคู่กับเขาคนที่คุณก็รู้นั่นแหละ

เพลียเหลือเกิน แต่คนของผมเขากลับยิ้มเริงร่า หน้าบานมากครับ แล้วผมจะทำยังไงได้ก็ต้องตามน้ำไป เมื่อเก็บของเตรียมจะกลับ แฟนคลับก็ยังมุงอยู่ห่าง ๆ เหมือนจะรอส่ง คุณเบอร์เก้าก็เดินกะเผลกเข้ามา ผมแทบอยากขึ้นรถหนีกลับตอนนี้เลย หากมือคนข้าง ๆ เร็วกว่าโอบเข้าที่เอวทันที

“มีอะไรกับ ‘คนของผม’ หรือครับ” ผมหันหน้ากลับมามองคนพูดที่เสียงไม่ได้เบาเลย

‘เขน...’ ผมครางในใจ

“เอ่อ..ผมแค่อยากมาแสดงความยินดีกับรุ่ง” นายนี่ก็ตื๊อได้ดื้อด้านมาก

“ครับ ขอบคุณครับ” ผมรีบตอบ และรีบตัดบทก่อนที่จะดังมากไปกว่านี้

“ผมขอตัวกลับแล้วนะครับ พอดีรีบมีธุระต่อ สวัสดีครับ”

“เขน” ผมต้องลากคนข้าง ๆ ไปส่งที่ที่นั่งคนขับ แล้วรีบกลับมาขึ้นรถอย่างเร็ว และไอ้ตัวสร้างปัญหาก็รีบกระโดดขึ้นรถข้างหลังตามทันที เมื่อเฟรมลงจากรถไปความเงียบสงัดจึงมาเยือน

“เขน โกรธเหรอ ไม่มีอะไรจริง ๆ นะ”

“แล้วมันรู้ชื่อรุ่งได้ยังไง”

“ก็เขาเข้ามาทำความรู้จักตอนพักครึ่ง เฟรมก็อยู่ จริง ๆ” เข้ามาทีหลัง ก็ถือว่าอยู่นั่นแล่ะ

“ไม่มีอะไรจริง ๆ ไม่เชื่อใจรุ่งเหรอ” ต้องใช้มุกนี้

“เปล่า ไม่ใช่นะ แค่ไม่ไว้ใจมัน ไม่ไว้ใจคนอื่น”

“ไม่มีอะไรหรอกเขน พรุ่งนี้ก็รู้กันทั้งบริษัทแล้วเถอะ คนเยอะขนาดนั้น”

“ก็หวง”

“ครับรู้แล้ว” ล้มยักษ์ต้องใช้น้ำเย็น มันมักจะได้ผลเสมอ หากต้องให้เวลาสงบสติอารมณ์สักพัก

“รุ่งเสาร์อาทิตย์นี้ว่างใช่ไหม” คำถามแรกที่ดังขึ้นมา ทำให้ผมพยักหน้ารับรวดเร็ว

“พรุ่งนี้ไปกินข้าวกับพ่อเขนกัน ท่านบ่นหา” ตั้งแต่เรากลับมาอยู่ด้วยกันนอกจากติดต่อคุยกันทางโทรศัพท์ผมก็ยังไม่มีโอกาสเข้าไปหาท่านสักครั้ง

“ดีเลย กำลังคิดถึงคุณพ่อเหมือนกัน”

“ท่านดูจะคิดถึงรุ่งมากกว่าเขนอีก”

“คนมีเสน่ห์ก็ช่วยไม่ได้”

“ลดลดลงหน่อยไม่ได้เหรอ” ผมหัวเราะ ในที่สุดก็พาวกกลับมาเรื่องเดิมจนได้

“ไม่มีอะไรหรอกเขนเชื่อรุ่งนะ”

“ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีสายตามองใครได้อีกแล้ว”

“ครับ”

เส้นทางการเดินทางที่เราผ่านมานั้นยาวนานสักเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ หากรู้เพียงเราจะก้าวเดินเคียงข้างกันตลอดเส้นทางที่จะไป ต่อไปในอนาคต ด้วยกันสองคนต่อไปตลอดไป



#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: JKL THE SERIES: LOVE: CANDY 05.03.2018
«ตอบ #133 เมื่อ05-03-2018 18:59:32 »

 :L2: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: FOREVER 06.03.2018
«ตอบ #134 เมื่อ06-03-2018 17:35:34 »

Chapter XIII: FOREVER

 

เหตุการณ์บางเหตุการณ์... คลับคล้ายว่าเคยเกิดขึ้นมาก่อน...

จนยากที่จะแยกแยะได้ว่าเรื่องใดเป็นความจริง เรื่องใดเป็นแค่ ‘ความฝัน’ ที่สะท้อนจากความรู้สึกที่ถูก “เก็บ” ไว้ ในเบื้องลึกของความทรงจำและสัมพันธภาพในอดีต

บางคนเรียกความรู้สึกแบบนี้ว่า ‘เดฌาวูว์’ ความรู้สึกที่เสมือนสามารถคาดเดาเหตุการณ์ข้างหน้าได้หรือเสมือนเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปเคยประสบพบแล้วในอดีต มีหลากหลายทฤษฎีที่พยายามจะหาคำตอบให้กับความรู้สึกแบบนี้ของมนุษย์

ทางวิทยาศาสตร์มักจะอธิบายว่า เป็นการไหลของคลื่นกระแสไฟฟ้าในสมองที่เกิดการผิดปกติ แล้วทำให้การกระทำที่เรากำลังทำอยู่ ณ ขณะนั้นคลับคล้ายว่าเคยเกิดมาก่อนหน้านี้มาแล้ว แต่ไม่สามารถจำเวลาได้

บ้างก็ว่าเป็นประสบการณ์ทางจิต ที่เกิดได้กับทุกคนและทุกเวลา เป็นทั้งโลกคู่ขนาน และเวลาที่ผ่านไปแล้วในอดีตอันยาวไกล (ในอดีตชาติ) คล้ายๆ กับทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์

หรือบางทีอาจจะเป็นเพียงสิ่งใดก็ตามที่เคยเกิดไปแล้วในอดีต จะย้อนกลับมาเกิดซํ้าอีก เราจะผ่านประสบการณ์มากมาย และบางสิ่งอาจหลงเหลือในความทรงจำ แล้วย้อนกลับมาเกิดอีก ทำให้รู้สึกว่าเคยเห็นมาก่อน

 

ผมเคยคิดถึงเรื่องนี้และปักใจเชื่อเสมอว่า เรื่องราวระหว่างเขากับผมเป็นกรณีสุดท้าย

‘อดีตที่พยายามจะลืมเลือน แต่กลับติดตรึงอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำ แม้เวลาจะผ่านมานานเท่าใด บางสิ่ง... ที่ระลึกถึงเสมอ... มันดึงดูด ‘เขา’ ให้กลับมาเสมอ แม้พยายามจะหลีกหนี ซ่อนเร้น เพียงใดก็ตามกฎแห่งแรงดึงดูดก็มักจะทำหน้าที่ของมัน’ เพียงแต่เมื่อหวนคิดถึงคำพูดของเขากับสิ่งที่ผมคิดมันเหมือนตรงกันอย่างน่าประหลาดใจ

‘ไม่รู้ทำไม ในความรู้สึกเขน เวลาสิบกว่าปีที่หายไป มันเหมือนมากกว่านั้นมากมายนัก’ ถ้าทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเรื่องราวระหว่างเราทั้งหมด เริ่มต้นครั้งแรกเมื่อเราได้พบกัน

ทำไม... วันแรกที่พบกัน เราสองคนต่างสัมผัสได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือคนที่ตามหามาตลอด

ทำไม... หลายสิ่งที่เกิดขึ้น หลายอย่างที่ไม่มีเหตุผล แต่เหมือนรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นอย่างนั้น

....ดอกลิลลี่

‘มันบอกไม่ถูก แต่ที่รู้คือ เขนอยากทำให้ดีที่สุด อยากให้รุ่งได้เห็นดอกลิลลี่ทุกเช้า’

‘ความรู้สึกมันบอก เหมือนปฎิญาณกับตัวเองไว้ ขอให้เขนได้ทำเถอะนะ นะรุ่งนะ’

...พระจันทร์

‘แปลกนะเขนมักคิดมาตลอดว่า...รุ่งเหมือน ‘แสงจันทร์ เย็นตา ชวนฝัน น่าหลงใหล’ 

‘รุ่งก็คิดมาตลอดว่า...เขนเหมือน ‘พระจันทร์’ ส่องแสงสว่าง อบอุ่น นุ่มนวล’

เหมือน ‘รู้’ อยู่แล้วว่าเป็นอย่างนั้น เรื่องบางเรื่องเราก็หาเหตุผล ต้นเหตุ ที่มาไม่ได้

 

“รุ่งครับ”

“คิดอะไรอยู่” ชายหนุ่มที่กำลังขับรถ หันมาถามอีกคนที่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง

“คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ไม่มีอะไรหรอก” ใบหน้าหวานจึงละสายตากลับมายิ้มให้

“เขนจะไปไหนอะ” คนที่ดูทางเพลินจึงลืมคิดไปว่าเส้นทางที่รถขับผ่านมิใช่ทางที่เคยคุ้น

“ก็ไปหาพ่อเขนไง”

“ไม่ได้ไปที่บ้านเหรอ” ถึงแม้จะไม่เคยไปบ้านของเขนก็จริงแต่ผมก็พอจะทราบว่าบ้านหลังที่ย้ายไปหลังจากเหตุการณ์เมื่อกว่าสิบปีที่แล้วนั้นอยู่ที่ใด

“เปล่า ท่านนัดให้ไปที่ร้าน”

‘ร้าน?’ เหมือนเคยรู้มาบ้างว่าที่บ้านเขนมีกิจการที่คุณพ่อดูแลอยู่ หากไม่เคยสอบถามแน่ชัด จึงส่งสายตาแสดงความแปลกใจไป

“คุณพ่อมีร้านเบเกอรี่ แต่ไม่ได้ดูแลเอง ให้ญาติห่าง ๆ ดูแล”

“แต่ท่านเป็นเจ้าของสถานที่ที่เปิดร้าน วังศศิธร ”

“วังศศิธร? เขนเป็นคุณชายเหรอ” ผมไม่เคยรู้มาก่อน ว่าเขนมีเชื้อมีสาย เขนหัวเราะก่อนจะตอบ

“เปล่าหรอกรุ่ง แต่พ่อเขน เขาเคยดูแลรับใช้เป็นคนสนิทคุณชายเจ้าของวังคนสุดท้าย ท่านไม่ได้แต่งงานไม่มีทายาท เลยยกวังศศิธรให้พ่อเขน”

“รุ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลย”

“เขนก็เพิ่งมารู้เมื่อไม่นานมานี้เองครับ”

“ก่อนหน้านี้พ่อปิดวังไว้เฉย ๆ แค่เข้าไปดูแลซ่อมแซม ท่านไม่อยากเข้าไปอยู่ เห็นว่าไม่อยากคิดถึงความหลัง”

“เขนพูดเหมือนมีเรื่องเศร้า”

“เขนก็ไม่แน่ใจ พ่อท่านก็เล่าแค่นั้นเหมือนกัน "

“แต่ไม่รู้วันนี้ท่านนึกยังไง นัดเราไปกินอาหารที่นั่น สงสัยรู้ว่าลูกสะใภ้ชอบของหวาน”

“เขน!!!” ร่างบางทำได้แค่ถอนหายใจ และรีบเบือนหน้าหนีแววตาระยิบนั่น หากแต่อีกคนยังเอื้อมมือมากุมมือบางไว้มั่น

“หรือว่าไม่จริง เขนว่าพ่อดูจะรักลูกสะใภ้มากกว่าลูกตัวเองด้วยซ้ำ”

“คุยกันทีไรก็ถามถึงแต่รุ่ง”

“พูดเหมือนน้อยใจพ่อตัวเอง” ใบหน้าหวานจึงหันมามองคนข้าง ๆ ที่ขับรถไปอมยิ้มไป

“เปล่านะ ดีใจต่างหาก เขนรักใครก็อยากให้ครอบครัวของเขนรักด้วย”

“เขนรักรุ่ง ยิ่งพ่อรักรุ่ง เขนก็ดีใจ แต่ก็แอบหึงไม่ได้หรอก” ร่างสูงจึงถูกทุบไปสองสามที

“เยอะไปนะเขน”

“เยอะเพราะรักหรอกนะ”

ดอกลิลลี่สีขาวแย้มบานส่งกลิ่นหอมอบอวลทั่วรถ คนทั้งสองบนเส้นทางที่หวนกลับมาบรรจบกันอีกครั้ง ถ่ายทอดความอบอุ่นเปี่ยมล้นผ่านมือที่เกาะกุม ส่งผ่านความรักที่มีในดวงใจผ่านสายตาที่ประสานส่งยิ้มให้แก่กันและกัน

 

“สวัสดีครับพ่อ”

“ ‘คุณ’... เอ่อ.. รุ่ง ไม่เจอกันนาน ไหว้พระเถอะลูก” ยังคงใจสั่นเหมือนครั้งก่อน เมื่อต้นปีที่เราพบกัน หลังจากที่ไม่ได้พบกันยาวนานสิบกว่าปี

“เห็นไหมอย่างที่เขนบอก ลูกตัวเองยังมองไม่เห็นเลย”

“คนขี้อิจฉา อย่าสนใจเลยครับ” ใบหน้าหวานกลับมามีรอยยิ้มสดใสมีความสุขอีกครั้ง

“นั่งกันก่อนลูก รุ่ง เขนสั่งอะไรทานก่อน” อดไม่ได้ที่จะลอบยิ้มเมื่อเห็นลูกชายเลื่อนเก้าอี้ให้กับ ‘คุณ’ ไม่เคยเปลี่ยน จึงจะยื่นเมนูที่ร้านให้ทั้งสอง ก่อนที่สองคนจะชี้ชวนกันดูเมนู และถกเถียงกันเบา ๆ

ยิ่งพิศยิ่งเหมือน ยิ่งโตขึ้นยิ่งละม้าย ถ้อยคำในอดีตที่ล่วงเลยแว่วดังในหู

‘จะมาหา’

‘ไม่กลัว แต่อย่าไปเลยไม่ไปได้ไหม’

‘ไม่ได้ หรอกจ้อย แต่ถ้า ไม่กลัว จะกลับ กลับมาหา จริง ๆ สักวัน’

‘สัญญาแล้วนะ’

‘สัญญา วันนึงนะ แล้วอย่า อย่าลืมฉันนะ’

‘จะไม่มีวันลืมคุณ’

‘เป็นเด็กดีนะ ดูแลเสือน้อย ดูแล ‘พี่ชาย’ ให้ฉัน สัญญานะ’

‘สัญญา’

‘ฉันรักจ้อย แล้วจะกลับมา จะกลับมาหา’

แล้ว ‘คุณ’ ก็กลับมาจริง ๆ ผมรู้ตั้งแต่สิบกว่าปีที่แล้ว ที่ลูกชายของผมพาเขามาที่บ้าน หรือความจริงผมเชื่อว่าจะพบ ‘คุณ’ อีกครั้ง ตั้งแต่ภรรยาผมคลอดลูกชายคนโต ที่มีสีผิว และโครงหน้าละม้ายคุณชายเกิ้งอย่างยิ่ง ทั้งชื่อเล่นและชื่อจริงของเขาจึงเป็นชื่อที่มีความหมายเดียวกันกับเจ้านายที่ผมรัก และเคารพ ผมเชื่อเสมอมาว่าถ้าคุณชายเลือกมาเกิดในที่ที่เธอเลือกฝากของของเธอไว้

‘วังศศิธร’... ‘บ้าน’ ของทั้งสอง

คุณชายจากไปหลังจากที่คุณก๋ง ท่านชายศศธรได้จากไป และตัวผมเล่าเรียนจนสำเร็จการศึกษาแล้ว ท่านทิ้งสมบัติชิ้นสุดท้ายที่ท่านรักยิ่งไว้ให้กับคนที่อยู่กับท่านจนลมหายใจสุดท้าย

‘จ้อย รับไว้เถิด ฝากดูแล ‘บ้าน’ แทนฉัน ถือว่าเป็นสิ่งตอบแทนความกตัญญูที่มีให้ฉันและ ‘คุณ’ ตลอดมา รับไว้ ไม่ต้องเกรงใคร สมบัติอื่น ๆ ให้เขาแบ่งกันไป แต่ ‘บ้าน’ ฉันขอยกให้เราเก็บไว้ ขอยกให้คนที่รัก และเห็นคุณค่าของสถานที่แห่งนี้’

คุณชายเกิ้งเป็นคนสุดท้ายที่ผมยอมให้เรียกชื่อที่ ‘เจ้าจ้อย’ ชื่อที่ ‘คุณ’ เป็นคนคิดตั้งให้ และใช้เรียกผม หลังจากนั้นมาคนอื่น ๆ ทุกคนก็รู้จักผมในชื่อที่ครอบครัวของผมตั้งให้จริง ๆ

“พ่อครับ”

“พ่อเล็กครับ” เสียงเรียกดึงสติที่กำลังคิดเหม่อลอยกลับมา

“พ่อสั่งอะไรหรือยังครับ”

“ยังเลย ลูก ๆ ทานอะไรกัน”

“มด... ก็สั่งเป็นแต่ของหวานแหละครับ”

“ก็ร้านขนมเขนจะให้สั่งอะไร” บรรยากาศเดิม ๆ ภาพพี่น้องที่เคยทะเลาะกัน ในบรรยากาศเดิมหวนย้อนกลับมา

“รุ่งชอบขนมหวานเหรอลูก”

“ครับก็เคยลองทำแพนเค้กเล่นอยู่บ้างครับ” บางอย่างก็ไม่เคยเปลี่ยน

“ก็ดีนะ วันหลังอยากทำลองมาช่วยทำเล่นที่นี่บ้างก็ได้”

“ครับ”

“ผมขอชาร้อนแล้วกัน” เมื่อบอกบริกรไปจึงหันมาคุยกับลูกทั้งสอง

“เป็นอย่างไรบ้างรุ่ง สบายดีไหม”

“ผมสบายดีครับ”

“ไม่เจอตั้งนานไม่เห็นจะถามถึงผมบ้างเลย” จึงส่ายหน้าให้กับลูกชายขี้อ้อนและขี้หวง

“พ่อเป็นพ่อดูก็ต้องรู้สิ ว่าลูกตัวเองมีความสุขขนาดไหน”

“ขอบใจมากนะรุ่งที่กลับมา” ผมรู้ดีว่าใครที่ทำให้เขนกลับมามีความสุขได้ขนาดนี้

แต่ใจจริงผมอยากขอบคุณ... ‘คุณ’ ที่กลับมา

อยากขอบคุณ... ‘คุณ’ ที่รักษาสัญญา

 

“ครับ ผมต้องขอบคุณพ่อมากกว่า ที่ช่วยผมมาตลอด”

“ผมก็ไม่คิดว่าพ่อตัวเองเป็นสายลับนะครับนี่”

“มีอีกหลายเรื่องที่เขนไม่รู้ ใช่ไหมรุ่ง” อารมณ์นี้ไม่เกิดขึ้นมานาน อารมณ์สนุกของเด็กที่แกล้งหยอกเย้า

“ครับ” เราสองคนยิ้มให้กัน ในขณะที่อีกคนหรี่ตาลงด้วยความระแวงเล็ก ๆ จึงทำให้เราสามคนหัวเราะด้วยกัน

 

ตั้งแต่วันที่ ‘คุณ’ จากไป ‘เจ้าจ้อย’ ที่ช่างพูดช่างคุยก็หายไปพร้อมกับ ‘คุณ’ ในวันนั้นชีวิตของเด็กน้อยจบสิ้น ณ วันนั้น เหลือแต่เพียงภาพของเด็กที่โตเกินอายุ ที่คนภายนอกบอกว่าเงียบขรึม อ่อนไหว หากตั้งใจ จริงจัง และรับผิดชอบ กับนัยน์ตาโศกที่ฉายชัด ความเจ็บปวดที่ได้รับตั้งแต่เด็ก

ผมรู้มากเกินไป... เรื่องความรักของคนทั้งคู่ ทั้งในชาตินี้ และใน...ชาติที่แล้ว ผมมั่นใจ วิญญาณเดิม... คนเดิม... คู่เดิม

เรื่องราวในอดีตแค่เพียงผ่านสายตาของเด็กเล็กคนหนึ่ง มิอาจละเอียดลึกซึ้งได้ หากเมื่อเวลาผ่านไปจึงได้รับรู้เรื่องราวทุก ๆ อย่างผ่านจดหมายทั้ง 17 ฉบับ ที่คุณชายท่านได้เก็บรักษาไว้ตราบสิ้นชีวิตของท่าน ปะติดปะต่อกับเรื่องราวที่ท่านพร่ำเพ้อครวญคร่ำเพรียกหาในช่วงสุดท้ายของชีวิต

ในอดีตที่หนึ่งคนเป็นผู้รอ... และยังคงรอเสมอแม้ลมหายใจจะถูกพรากจาก

ในอดีตที่อีกคนรักษาคำมั่น...จะตามหา ‘สุดที่รัก’ ให้พบให้ได้ไม่ว่าอย่างไร

 

เมื่อทั้งสองพบกัน คนเป็นพ่อไม่เคยเชื่อมั่นสิ่งใดเท่านี้มาก่อน

หากไม่ได้คาดคิดภาพในอดีตกลับย้ำซ้ำรอยเดิม

 

เปลี่ยนเพียงคนที่รอ... กลับเป็นลูกชายของเขา

‘คุณ’ เดินทางห่างไกล ตามความปรารถนาส่วนลึกจากชาติภพในอดีต และเรื่องทุกอย่างก็ยุ่งยากซับซ้อนจากอุบัติเหตุครั้งนั้น ที่เกือบพรากทั้งสองอีกครั้ง

บางครั้งสิ่งที่ถูก ‘เก็บ’ สิ่งที่ถูกกดก็ทำให้อึดอัด และเจ็บปวด แม้วันหนึ่งผมเคยเป็นคนเห็นแก่ตัว เฉือนหัวใจตัวเองแยกเขาทั้งสองออกจากกัน ด้วยความเป็นพ่อที่รักลูกชายของตนอย่างยิ่ง ในวันนั้นผมก็ทำร้ายคนที่ผมรักที่สุดในชีวิตเสมอมา

ความรักของบุตรชายไม่ได้ ได้มาเรียบง่ายดังอดีตที่ผ่านมา ทั้งสองที่ผ่านเห็นความลำบาก ยากเข็ญ ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ มามากมาย ผมจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือทั้งคู่เสมอมาอย่างเต็มกำลังความสามารถ ไม่เพียงแต่ช่วยลูกชายตัวเอง หากผมยังช่วยคนที่ผมเคยรัก และเคารพยิ่ง

จนกระทั่งถึงวันนี้

วันที่ผมต้องทำอะไรบางอย่าง... บางอย่างที่จะทำให้ภาระหน้าที่ที่ผมรับผิดชอบดูแลไว้ให้ถูกต้องและเสร็จสมบูรณ์

“เราสองคนยังอยู่ที่บ้านม๊ารุ่งเหรอลูก”

“ครับ” ลูกชายผมตอบหน้าตาเฉย

“แล้วคอนโดเขน”

“ให้คนเช่าต่อไปแล้วครับ”

“แล้วม๊าจะไม่รำคาญหรือ” ผมออกจะเกรงใจแทนลูกชายที่ไม่ได้คิดอะไร

“ไม่หรอกครับพ่อ ที่บ้าน หม่าม๊าชอบให้คนอยู่กันเยอะ ๆ” รุ่งจึงออกตัว แก้แทน

ถ้าให้ผมคาดเดาคนที่ ‘คุณ’ ตามมา... คือ ‘คุณไหม’ ก็คงไม่น่าจะเป็นใครอื่น หม่าม๊าที่รุ่งกล่าวถึง เธอยังคงกลับมาในตระกูลเดิมของคุณก๋ง และก่อนหน้านี้เด็กคนนี้ก็ไม่ได้ใช้ชื่อนี้มาก่อน หากสวรรค์คงมีเหตุผลที่ทำให้ ‘คุณ’ เปลี่ยนกลับมาใช้ชื่อที่ใกล้เคียงชื่อเดิมในอดีตชาติอีกครั้ง

“พ่อจะยกที่นี่ให้เขนกับรุ่ง” ลูกชายขมวดคิ้ว หากแต่เสียงเล็กรีบแย้ง

“แต่พ่อครับ”

“เราสองคนฟังพ่อก่อน”

“วังศศิธร เคยเป็นวังก็จริงแต่ตัวตึกก็ไม่ได้ใหญ่โตนัก ท่านที่เคยเป็นเจ้าของมักจะเรียกที่นี่ว่า ‘บ้าน’ เพราะแต่เก่าก่อนที่นี่เคยอบอวลไปด้วยความรักความอบอุ่น”

“จริง ๆ ตัววังเคยมีบริเวณที่เป็นสวนฝรั่ง เคยมีเรือนไทย แต่พ่อต้องตัดใจแบ่งขายไป เพื่อจะนำเงินบางส่วนมาบำรุงรักษาตัวตึกไว้ให้ยังคงเดิมให้มากที่สุด ตอนนี้ข้างล่างพ่อให้เปิดเป็นร้านขนมหวานอย่างที่เห็นต่อไปจะได้มีรายได้พอเพียงจะดูแลค่าใช้จ่ายในวังนี้ต่อไป”

“แต่ตอนนี้ชั้นสองยังคงปิดไว้ มีสองปีก ปีกเหนือกับปีกใต้ ฟากละสี่ห้อง ปีกฝั่งเหนือพ่อว่าจะปล่อยให้คนเช่าเป็นหอพัก ส่วนปีกใต้พ่ออยากให้เราสองคนเข้ามาอยู่”

“แต่พ่อครับ พ่อยกให้เขนหรือน้อง ๆ ดีกว่าครับ ผม...” รุ่งรีบออกตัว

“รุ่ง ฟังพ่อนะ พ่อขอร้อง พ่อไม่ได้เป็นเจ้าของที่นี่ ไม่ได้เป็นเจ้าของที่แท้จริงของวังนี้ แต่พ่อมีเหตุผลบางอย่าง บางอย่างที่ไม่สามารถบอกลูกสองคนได้ในวันนี้”

“แต่อยากให้ลูกสองคนรับไว้ ถือว่าเห็นกับพ่อ”

“ที่นี่เคยเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” เจ้าตัวโตของผมจึงถามบ้าง

“ไม่มีอะไรไม่ดีหรอกลูก ที่นี่มีแต่ความรัก... ความรักความผูกพันของเจ้าของกับสถานที่ที่ทั้งคู่เรียกว่า ‘บ้าน’ แต่ไม่ต้องกลัวเรื่องผีเรื่องวิญญาณอะไร พ่อเชื่อว่าเจ้าของเขามาเกิดแล้ว พ่อเชื่ออย่างนั้นจริง ๆ แล้ววันหนึ่งถ้ามีโอกาส ถ้าจำเป็นพ่อจะเล่าให้ลูกทั้งสองฟังเอง”

ผมตัดสินที่จะ ‘เก็บ’ เรื่องราวในอดีต และจดหมายทั้งสิบเจ็ดฉบับไว้ต่อไป

“หากในชีวิตของเรา เรื่องบางเรื่องก็ซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจ พ่อเห็นลูกสองคนมีความสุขในวันนี้ ก็ไม่อยากที่จะรื้อฟื้นเรื่องบางเรื่องที่เคยผ่านมา แต่ขอให้ลูกเชื่อว่าพ่อกำลังทำสิ่งที่ถูกต้องที่สุด และตั้งใจจริง ๆ ที่จะยก ‘บ้าน’ หลังนี้คืนให้เขนกับรุ่ง”

“ลองเดินดูกันก่อนก็ได้ว่าชอบไหม ถ้าชอบก็ย้ายมาอยู่ซะที่นี่ ถ้าไม่ชอบหรือไม่สะดวกจะปล่อยให้คนเช่าต่อพ่อก็ไม่ว่าอะไร ถือว่าพ่อยกให้เป็นสิทธิขาดช่วยจัดการเป็นธุระดูแล”

“ครับพ่อ” ลูกชายผมตอบตกลง

“แต่ผม” หาก ‘คุณ’ คนเดิม ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม

“ถือว่าพ่อขอร้องนะ ถือว่าทดแทนสิ่งที่พ่อเคยขอร้องรุ่งในอดีต” ข้ออ้างที่ให้ได้ในตอนนี้ หากสิ่งที่อยากบอกออกไป ได้แต่ร่ำร้องภายในใจ และส่งสายตาอ้อนวอน

‘ผมขอร้องเถอะ ‘คุณ’ ได้โปรดรับคืนไปเถอะครับ’

“ครับคุณพ่อ”

 

ทำได้เพียงยิ้มตอบกลับ...

‘ขอบคุณมากครับ ‘คุณ’ ขอบคุณที่กลับมา ขอบคุณที่รักษาสัญญา’

 

ร่างบางยืนมองเหม่อที่ระเบียงห้องนอนเล็กริมสุดของตึก

“รุ่งชอบเหรอ” ผมจึงเดินไปโอบเขาจากด้านหลัง และอดที่จะกดปลายจมูกลงไปสูดกลิ่นหอมจากแก้มใสไม่ได้

“บอกไม่ถูกน่ะเขน รู้สึกแปลก ๆ”

“รู้สึกคุ้นเคย รู้สึกว่าเหมือนเคยเห็นมาก่อน” ผมเพียงแต่พูดสิ่งที่ตัวเองสัมผัสได้ออกไป

“ใช่ เขนก็รู้สึกเหรอ” คนในอ้อมกอดรีบหันหน้ามามองด้วยความแปลกใจ

“อืม มันเหมือนคุ้นเคยแต่ไม่น่ากลัว เหมือนเคยอยู่ เหมือนเคยผูกพัน”

“เหมือนกันเลย ทำไมนะ รุ่งว่าวันนี้พ่อก็พูดแปลก ๆ ตอนที่ท่านบอกยกที่นี่ให้ ทำไมท่านใช้คำว่ายก ‘บ้าน’ หลังนี้คืนให้”

“ท่านพูดเหมือนเราเคยเป็นเจ้าของ” ผมก็รู้สึก

“เขนก็คิดอย่างนั้นเหรอ”

 

“บางอย่างคงซับซ้อนเกินกว่าเข้าใจจริง ๆ อย่างที่ท่านบอก เขนว่าวันหนึ่ง ถ้าพ่อพร้อมจะเล่าท่านคงเล่าเอง”

“อืม.......”

 

บางอย่าง... ซับซ้อนยากเกินกว่าที่จะรู้ ยากเกินกว่าที่จะเข้าใจ หากเรา ‘รู้’ เราคิดเหมือนกัน ถ้ามันยากนักลำบากนัก ก็ไม่จำเป็นต้องรื้อฟื้น ตราบใดที่ปัจจุบันเราสองคน มีกันและกัน มีความสุข แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

“แล้วเขนคิดยังไง... อยากมาอยู่ที่นี่ไหม”

“คำถามไม่ชี้นำเลยนะ”

“ก็........” เมื่อมีคนรู้ทัน คนแก้มป่องแสนงอนในอ้อมกอดก็ทำท่าจะผละหนี จึงต้องกระชับอ้อมแขนกักเก็บร่างบางไว้

“รุ่งอยากอยู่ที่ไหนเขนก็จะอยู่ที่นั่น รุ่งชอบเขนก็ชอบ รุ่งรักเขนก็รัก”

“หลง ‘สุดที่รัก’ หมดหัวใจแล้วนี่”

“เลี่ยนบ้างไหม” ใบหน้าหวานกลั้นขำหากใบหน้าแดงกล่ำ

“ไม่นะ... เขนชอบของหวาน บอกแล้วรุ่งชอบอะไรเขนก็ชอบ” จึงได้ฟังเสียงถอนหายใจของคนในอ้อมกอดที่ตั้งใจให้ได้ยินชัดเจน

“ก็ได้ งั้นก็ตามนี้ คงต้องซ่อมแซมตกแต่งเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยแล้วเรามาอยู่ที่นี่กันนะ”

“ครับผม”

“เขนว่าที่รุ่งอยากมาอยู่ที่นี่เพราะอยากกินขนมหวานฟรีสิ ใช่ไหมล่ะ อย่าคิดว่าเขนไม่เห็นนะ สาว ๆ ร้านขนมหวาน ข้างล่างมองกันน้ำตาลร่วงกราวเชียว”

“มองใครเถอะ”

“ไม่รู้หรอกเขนเห็นแต่รุ่ง”

“ก็ไหนว่าเห็น”

“ก็เห็นแค่เขามองรุ่งกัน มองใครคนอื่นเขนก็ไม่สนหรอก”

“เยอะตลอด”

“แล้วรักไหมล่ะ”

“ไม่รักมั้ง”

“รุ่งอ่ะ” เสียงหัวเราะสดใส ก่อนที่เสียงเล็กจะเอ่ยต่อ

“ไม่รู้ทำไม แต่รุ่งก็รู้สึกเหมือนเขน... ว่าอะไรบางอย่างระหว่างเรามันดูเหมือนจะยาวนานเกินกว่าสิบห้าปีที่เราพรากจากกัน เกินกว่าครั้งแรกที่เราพบกัน แม้ตอนนี้รุ่งไม่รู้ และตอนนี้ก็ไม่อยากรู้”

“แต่สิ่งเดียวที่รุ่ง ‘รู้’ และแน่ใจคือต่อไปไม่ว่าวันเวลาผ่านไปอีกนานแค่ไหน...”

“ก็คงรักได้ เพียง...แค่เขนคนเดียว”

“ครับ และไม่ว่าต่อไปจะเกิดอะไร เขนอยากให้รุ่งรู้ว่า เขนจะไม่มีวัน ไม่มีทางปล่อยให้เราต้องแยกจากกันอีก เขนรักรุ่งเพียงคนเดียวเสมอมาและตลอดไปนะครับ”

“สุดที่รัก”

จุมพิตอันอ่อนหวานซึ้งที่มอบให้แก่กัน หวานเทียบเทียมมิได้กับคำมั่นที่เราทั้งสองให้กันไว้

ไม่ว่ายาวนานสักเท่าใด... จะไม่มีวันเปลี่ยนแปร

 

นิรันดร์ คือสิ่งใด... เราสองมิแน่ใจ

หากมั่นใจ... มิใช่เรื่องสำคัญ

เพราะสิ่งที่สำคัญ... ที่ยืดโยงเกาะเกี่ยวหัวใจของเราเข้าด้วยกัน

มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น...

‘เพียง... รัก’





#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ april

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +239/-12
Re: JKL THE SERIES: LOVE: FOREVER 06.03.2018
«ตอบ #135 เมื่อ06-03-2018 20:54:34 »

 :L2:

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: DREAM 07.03.2018
«ตอบ #136 เมื่อ07-03-2018 09:40:38 »

Chapter XIV: Dream

 

เคยดูหนังเรื่อง Inception ไหม? ถ้าไม่เคยลองไปดูนะครับ แต่ถ้าเคยผมแค่อยากบอกว่าผมรู้สึกอย่างนั้นอยู่... อะไรคือเรื่องจริง... อะไรคือความฝัน...

ผมมักจะต้องใช้เวลาสักพักทีเดียวในทุก ๆ เช้าเพื่อแยกแยะความจริงกับความฝัน บางทีอาจเป็นเพราะอุบัติเหตุในครั้งนั้น หรือบางทีอาจจะเพราะความทรงจำมากมายที่ฝังลึกกว่านั้น

ก่อนหน้านี้ ถ้าคุณจำได้ ก่อนที่ผมจะรู้ความจริง ก่อนที่คนรักของผมเขาจะตัดสินใจกลับคืนมาเคียงข้าง ผมเคยปล่อยให้อาการปวดหัวคืนกลับมากำเริบอีกครั้ง

ตอนนั้นผมพบใครคนหนึ่งที่คลับคล้าย ‘เขา’ ซึ่งตอนนี้ผมได้คำตอบแล้ว… ว่าใช่ ‘เขา’ จริง ๆ คนที่ผมเคยรอและรอเพียง ‘เขาคนเดียว’ เสมอ...

แม้ความทรงจำนั้นจะไม่กลับมา เพราะ ‘เขา’ เองที่ขอให้ผมสัญญาว่าจะไม่รื้อฟื้นความทรงจำนั่นขึ้นมาให้เราต้องพรากจากกันอีก หากแต่เมื่อไม่นานผมกลับพบความฝันประหลาดที่ผุดขึ้นอีกครั้ง

ความฝันที่ไม่สร้างความเจ็บปวด

หาก... รางเลือนและเบาบางอย่างบอกไม่ถูก

ที่แปลกที่สุดคือภาพ ‘เขา’ คนเดิม ย้อนกลับมาในสถานที่เคยคุ้น

ผมฝันอย่างนี้มาเกือบเดือน จนกระทั่งเมื่ออาทิตย์ก่อนที่ได้ไปกินข้าวกับคุณพ่อ ทำให้ตอนนี้ผมรู้ว่าสถานที่นั้นคือที่ไหน ‘วังศศิธร’

คุณว่าแปลกไหม...

สิ่งเหล่านั้นยิ่งทำให้ผมกลัว...

ความรู้สึกนั้นทำให้ผมน้ำตาซึม...

มันไม่ใช่ความเจ็บปวดทางร่างกาย แต่ทำไมมันเหมือนช่างอ้างว้าง เปล่าเปลี่ยวในหัวใจนัก... ผมไม่รู้ รู้เพียง...ทุก ๆ เช้าผมยังน้ำตาซึม ในขณะที่ยังแยกไม่ได้ว่ามันเป็นเพียงความฝัน

หากมันทำให้รู้สึกตื้นตัน เปี่ยมล้นทุก ๆ ครั้งที่ได้พบว่าความจริงที่มี ‘เขา’ นอนหลับอยู่ข้าง ๆ กาย และทำให้ผมเหมือนตกหลุมรัก ‘เขา’ จมลึกยิ่งขึ้นในทุก ๆ เช้าเช่นกัน

 

ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาแปลกไป แปลกไปมาก ๆ เลยทีเดียว จนผมเริ่มจับสังเกตหลาย ๆ อย่างที่เปลี่ยนไปได้ เขาไม่เคยรับสายเลยสักครั้งหากแต่โทรกลับมาเองทุกครั้ง

‘งานยุ่งนะเขน ประชุมอยู่ เลยรับสายไม่ได้’

ตื่นเช้าเอารถไปทำงานเอง

‘อาทิตย์นี้รุ่ง มีธุระต้องออกไปข้างนอกบ่อย ไปกลับเองสะดวกกว่า’

กลับดึกกว่าที่เคยเป็น

‘ไปกินข้าวกับผู้รับเหมาข้างนอกกับพี่บลู กลับดึกหน่อยนะ เขนนอนก่อนเลย’

เหตุผลพวกนี้ที่ทำให้เราแทบจะไม่ได้พบหน้ากันทั้งอาทิตย์ มันไม่ได้ทำให้ผมแคลงใจ หากแต่คิดว่าเขามีอะไรที่ต้องการปิดบังผมสักอย่าง แต่...มันคืออะไร

“เสาร์นี้ รุ่งออกไปทำธุระกับเพื่อนนิดนะ”

“รุ่ง นี่เราเหมือนคนไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันเลยนะ ม๊า ยังบ่นหาเลย”

“เหมียวจะจำหน้าแม่ไม่ได้แล้วด้วย” เย็นวันศุกร์ผมยังมานั่งเล่นเกมรอ ในขณะที่เจ้าของห้องบอกว่าจะกลับดึกเช่นเดิม ผมจึงอดจะน้อยใจไม่ไหว หายไปทำอะไรของเขา

“นะเขนนะ เดี๋ยวหม่าม๊ากับเหมียวเดี๋ยวรุ่งเคลียร์เอง”

“แต่ฝากบอกเจ้านายเหมียวด้วย ว่าอย่าพึ่งงอน เดี๋ยววันอาทิตย์จะพาไปเลี้ยงข้าวนะ”

‘คุณครับ ช่วยไปดูหน่อยครับว่าจะให้วางตรงไหน’ เสียงแว่วเข้ามาในโทรศัพท์

“ครับ ครับ ไปเดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะเขน นอนก่อนเลย ไม่ต้องรอนะ กู๊ดไนท์ครับ”สายโทรศัพท์วางไปในขณะที่ผมยังไม่ทันจะพูดอะไร ผมรู้ว่าเขาจริงจังกับงานมาก ผมยอมรับ และทำใจได้ ในเมื่อรักไปแล้วจะให้ทำอย่างไร

แค่ไม่อยากนอนคนเดียวเลย... แค่นั้นเอง

 

 

“เขน...เขน....เป็นอะไร”

“รุ่ง.......”

“ร้องไห้ทำไม” มือบางค่อย ๆ เกลี่ยน้ำตา

“รุ่ง.........มาเมื่อไหร่” ผมจึงโผกอดร่างบางตรงหน้า ความหนาวเหน็บในหัวใจจึงค่อย ๆ บางเบาลง

“กลับมานานแล้ว เป็นอะไรน่ะเขน” รุ่งไม่เคยเห็นอาการนี้ของผม เพราะมักจะเป็นช่วงที่เขายังไม่ตื่น

“ฝันน่ะครับ”

“ฝันร้ายเหรอ” รอยจุมพิตลงที่ไรผม ทำให้ผมอยากยอมฝันร้ายทุก ๆ คืนเสียจริง ๆ

“ไม่รู้เลย...” ผมตอบตามความจริง

“อ้าว...”

“ไม่รู้จริงๆ  มันไม่เหมือนฝันร้ายหรอกรุ่ง แต่มันรู้สึกเหงา อ้างว้าง โดดเดี่ยวมาก เวลาฝัน”

“แล้วเขนฝันว่าอะไร ทำไมรู้สึกอย่างนั้น”

“อย่าหัวเราะนะ”

“แล้วจะหัวเราะทำไมเล่า” ใบหน้าหวานส่งยิ้มขำๆ มาให้

“....เขนฝันว่า เขนกำลังเดินหารุ่ง...ในที่สักที่หนึ่ง ตอนแรกเขนก็ไม่รู้ว่าที่ไหน แต่ตอนนี้เขนรู้แล้ว”

“ที่ไหนเหรอเขน....” สายตาที่ทอดมองมาเหมือนมองทะลุ

“วังศศิธร” เราพูดพร้อมกัน

“เขนไม่ได้ฝันแค่คนเดียวหรอก และมันชัดเจนขึ้นตั้งแต่ได้ไปที่นั่นใช่ไหม”

“รุ่ง.......” รู้ได้อย่างไร หรือว่า...

“ใช่รุ่งก็ฝัน” รอยยิ้มอ่อนบาง ที่ทำให้ลมหายใจหยุดชะงักทุกครั้งนั่นทำงานอีกครั้ง ก่อนที่เจ้าของรอยยิ้มจะกล่าวต่อไป

“งั้นพรุ่งนี้เราไปที่นั่นด้วยกันนะ”

“รุ่งมีธุระไม่ใช่เหรอ” รอยยิ้มที่กระจายทั่วใบหน้าตาเป็นประกายระยับ ร่องรอยความเจ้าเล่ห์ฉายชัด

“ก็นะ เดี๋ยวไปดูก็รู้ว่าธุระอะไร”

“พรุ่งนี้เรากลับ ‘บ้าน’ กันนะ....เขน”

“ไปวังศศิธรกัน”

 

 

เราสองคนออกจากบ้านหม่าม๊ามาด้วยกันตอนเกือบบ่ายสาม ถ้าไม่มีโทรศัพท์ของรุ่งโทรมาปลุก เราสองคนก็คงยังคงนอนอยู่บนเตียงแน่ ๆ ช่วยไม่ได้นี่ครับ ใครใช้ให้ไม่มีเวลาให้กันตั้งหนึ่งอาทิตย์ ความปรารถนาบางอย่างก็ต้องการการปลดปล่อยบ้างเหมือนกัน

และผมก็มั่นใจอย่างมากว่าไม่ใช่เพียงผมที่ต้องการ และหลงใหลคนรักมากมายแต่ฝ่ายเดียว เพราะคนที่นอนหลับซบไหล่ของผมตอนนี้ เขาก็พร้อมยอมตามในทุก ๆ ความปรารถนาของผมเช่นกัน จึงจำปล่อยให้เขานอนพักผ่อนต่อให้เต็มที่ จนกระทั่งมาถึงจุดหมายปลายทาง

“รุ่งจ๋า.......”

“รุ่งครับ ถึงแล้ว”

“อืม...” เมื่ออีกคนยังคงขี้เซามาก ๆ เหมือนเดิม จึงปลุกด้วยวิธีเดิม ๆ ด้วยการรวบร่างบางดึงมานั่งที่ตัก แล้วบดเบียดริมฝีปากบางโฉบฉวยแย่งชิงอากาศกันสักพัก ก็ปลุกสำเร็จ

“เขน เดี๋ยวใครมาเห็น”

“ก็เห็นไป” ผมไม่สนใจซะอย่าง

“ฮึ” หน้าบางจึงสะบัดอย่างขัดใจ ก่อนที่จะผละออกจากตักกลับไปนั่งที่เบาะข้างคนขับเหมือนเดิม และเริ่มบ่น

“เขนอ่ะ ปลุกกันดี ๆ ก็ได้เถอะ”

“ปลุกดี ๆ แล้ว รุ่งไม่ตื่นเอง”

“ก็ต้องมีวิธีอื่นบ้างสิ”

“ก็เขนชอบวิธีนี้”

“ไม่พูดด้วยแล้ว” คนพึ่งตื่นโวยวาย หน้าแดงกล่ำ เปิดประตูรถหนีออกไป ผมจึงหัวเราะ และเดินตามมาพบรุ่งกำลังคุยกับผู้ชายคนหนึ่ง ที่ถือม้วนแบบอะไรสักอย่าง

“ขอโทษทีครับที่มาช้า”

“ไม่เป็นเป็นไรครับทุกอย่างเรียบร้อยตามที่คุยกันไว้ ผมให้เด็กเก็บรายละเอียดเสร็จพอดี คุณรุ่งขึ้นไปเช็คความเรียบร้อยได้เลยครับ วันนี้ผมขอตัวกลับก่อน ถ้าจะปรับเปลี่ยนตำแหน่งอะไรโทรแจ้งได้เลยครับจะให้เด็กเข้ามาทำให้อีกทีวันจันทร์” และเขาก็ส่งม้วนกระดาษให้รุ่ง ทำอะไรกันผมสงสัย แต่ทำได้แต่ยิ้มส่งผู้ชายคนนั้นกลับไป ก่อนที่จะหันกลับมาถามคนของตัวเอง และพบว่าเขาเดินนำหน้าลิ่วขึ้นตึกไปแล้ว

ทางขึ้นตัวตึกชั้นสองต้องผ่านห้องโถงของร้านอาหาร เมื่อเข้ามาผมก็เห็นรุ่งกำลังทักทายพนักงานอย่างดูสนิทชิดเชื้อเกินกว่าจะพบกันครั้งเดียว เมื่อเห็นผมเดินตามเข้ามาก็รีบขอตัว และยิ้มเจ้าเล่ห์อีกครั้ง ก่อนจะเดินหนีขึ้นสู่ชั้นสองของตึกปีกใต้

อะไรนะ ปิดอะไรไว้

 

ผมจึงเดินตามขึ้นมาบนตึกชั้นสองแล้วพบว่าบริเวณทางเข้ามีประตูไม้ที่มีลักษณะคลับคล้ายกับประตูอื่นของตึกนี้ ปิดบังทางเดินอยู่ ซึ่งอาทิตย์ที่แล้วยังมีแค่เทปสีแดงกั้นทางเดินไว้เท่านั้น เมื่อเดินเข้าไปสู่ภายในก็พบว่าตัวตึกชั้นสองปีกใต้ที่พ่อยกให้เรานั้นถูกตกแต่งใหม่เกือบเสร็จสมบูรณ์ ในสไตล์ผสมผสานอย่างลงตัวของเฟอร์นิเจอร์เก่า และใหม่

“เซอร์ไพรส์” คนที่ยืนแอบข้างประตู ย่องมากระซิบจากข้างหลัง และยิ้มหน้าบาน ก่อนที่จะลากผมไปตามมุมต่าง ๆ และสาธยายพร้อมกับยกแบบตกแต่งในมือเปรียบเทียบตรวจงานไปพร้อมกัน

“มาทำตอนไหนอ่ะรุ่ง” ในขณะที่ผมยังอึ้งอยู่

“ก็ทั้งอาทิตย์นี่แหละ ให้ผู้รับเหมาเข้ามาดูตั้งแต่วันอาทิตย์ ได้แบบตั้งแต่วันอังคาร กว่าจะเลือกเฟอร์ลงตัว กว่าจะเริ่มตกแต่งได้วันพุธ โชคดีที่โครงสร้างดูดีอยู่แล้ว สีกับพื้นก็ไม่ต้องทำใหม่ คุณพ่อท่านดูแลไว้อย่างดี”

“ไม่น่าเชื่อว่าสามวันจะเสร็จ แต่มันก็อาชีพหากินนี่นะ สบายมากอะ นี่พี่บลูกับเจ้าเฟรมก็มาช่วยพึ่งกลับกันไปเกือบตีสามเมื่อคืน”

ผมเข้าใจว่าเราใช้เวลาสั้นมาก ๆ ในการเนรมิตศูนย์การค้าสักศูนย์ให้เปิดขึ้นได้ แต่พึ่งรู้ว่ารุ่งสามารถใช้ความสามารถพิเศษนั้นทำให้ ‘วังศศิธร’ ที่มีแต่เฟอร์นิเจอร์เก่าบางส่วนเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว กลับกลายมาเป็นบ้านที่พร้อมเข้าอยู่ได้ภายในอาทิตย์เดียว

“รุ่งย้ายห้องหนังสือมาไว้ที่ห้องนอนเล็กนะ ห้องทำงานกับห้องหนังสือเดิมเลยเปิดทะลุทำเป็นโซนรับแขก ห้องนั่งเล่น และPantry เลยต้องตกแต่งใหม่ ส่วนโซนห้องนอนไม่ได้ปรับเปลี่ยนเท่าไหร่ ใส่แต่เฟอร์เพิ่มเติม”

ผมยังคงพูดไม่ออก ได้แต่มองตามเขาอธิบาย เพราะเรื่องศิลปะองค์รวม การตกแต่ง ประโยชน์ใช้สอยของพื้นที่ผมคงสู้สถาปนิกเขาไม่ได้อยู่แล้ว จึงได้แต่เดินตามจนมาถึงโซนห้องนอน

“รุ่งให้เปิดทางเชื่อมห้องให้กว้างขึ้น ย้ายโซนโต๊ะของว่างไปที่มุมห้องนอนเล็กเดิม แล้วทำเป็นมุมห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนเตียงกับแกรนด์เปียโนคงไว้เหมือนเดิม ดูลงตัวแล้ว”

เราเดินผ่านมาที่ห้องนอนเล็กเดิมที่ถูกดัดแปลงย้ายเตียงเล็กเดิมออกและเพิ่มชั้นหนังสือจากห้องหนังสือเดิม มุมโต๊ะของว่างที่ย้ายมา และ...

“คุณพ่อพึ่งให้คนยกมาให้เมื่อวาน ท่านบอกว่ามันเคยอยู่ตรงนี้ไว้ใช้นอนเล่นอ่านหนังสือ” ตั่งไม้ตัวยาว ที่สัมผัสได้ว่ามันเป็นของที่นี่ และเคยอยู่ตรงนี้มาก่อน

“อืม” ผมรู้สึกอะไรบางอย่างตื้นตันในอก จึงรับคำออกมาได้แค่นั้น แต่รู้ว่าใครอีกคนเขาก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ผ่านสายตาที่ถ่ายทอดความในใจที่มีให้แก่กัน

“เขน... มาดูนี่ดีกว่า” ก่อนที่จะถูกดันหลังไปที่ระเบียง

“รุ่ง................”

“เหมือนไหม”

“......................” ระเบียงที่ถูกตกแต่งใหม่ ม้านั่งสองตัว และโต๊ะวางหนังสือเล็กรูปทรงเดิม หรือตัวเดิม

“รุ่ง..........นี่มัน”

“มาจากลำปางเพิ่งมาถึงเมื่อเช้า บ้านหลังนั้นเจ้าของเขายังปิดไว้ไม่มีคนเช่า รุ่งเลยโทรไปขอซื้อต่อเขามา” ทำไมผมจะจำไม่ได้ วันที่เหมือนใจจะขาด วันสุดท้ายที่รุ่งอยู่ที่ลำปาง

“เสียดายที่ไม่มีทุ่งนา แต่ก็ให้เขาจัดสวยเล็ก ๆ ไว้ตรงนี้”

“ไว้มานั่งคุยกันเหมือนตอนนั้น เหมือนวันนั้น” รอยยิ้มที่เหม่อมองไปไกล ย้อนอดีต

“ไม่หรอกรุ่ง เราจะไม่มีวันย้อนกลับไปเหมือนวันนั้น จะไม่มีวันต้องลาจากกันอีกแล้ว” จะไม่มีวันนั้น ผมจะไม่ยอมให้มีวันนั้นอีกแล้ว ผมปฏิญาณกับตัวเอง

เพราะผมนิ่งไปอีกคนจึงเดินกลับมาถาม

“เขนไม่ชอบเหรอ”

“เขนไม่ชอบ” คนฟังหน้าถอดสี

“แต่.....เขนรักทุกอย่างที่รุ่งรัก เขนเคยบอกรุ่งแล้วไงคะ”

“และเขนก็ดีใจมากที่รุ่งรัก ‘บ้าน’ ของเราที่ลำปาง”

“และเขนก็รู้ว่ารุ่งชอบที่นี่ คุ้นเคยกับที่นี่ รักที่นี่”

“เขนก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะ...มันเป็นความรู้สึกเดียว เพราะ...คนคนเดียว”

“เพราะ...รุ่งคนเดียวนะคะ”

“ไม่ว่าที่ไหน ทุก ๆ ที่ จะเป็น ‘บ้าน’ ของเรา... แค่มีรุ่ง” คนตัวเล็กจึงโผเข้ามาหาอ้อมกอดของผม ก่อนที่จะรู้สึกว่าร่างเล็กกำลังสั่นไหว รู้สึกถึงน้ำตาที่ซึมและถูกเช็ดอยู่ที่อ้อมอก

“ร้องไห้ทำไมคะ”

“ไม่รู้.....” คนตอบเสียงเครือ

“เด็กดีอย่าร้องนะ”

“นิ่งนะคะคนดี” ร่างบางพยายามกลั้นสะอื้น ก่อนที่จะบ่นอุบอิบ

“ตั้งใจให้เขนเซอร์ไพรส์แท้ ๆ ทำไมเป็นแบบนี้ได้ล่ะ”

“รักเขาแล้วล่ะสิ” ผมจึงหยอกกลับไป

“รักตั้งนานแล้วเถอะ” วงแขนที่กอดกันจึงกระชับมั่นคง ถ่ายทอดความอบอุ่น จากร่างกาย จากหัวใจ ส่งผ่านให้กันและกัน

“รุ่งจ๋า...รุ่งรู้ไหม” ผมพูดขณะที่โอบกอดร่างบางที่นั่งอยู่ด้วยกันที่ตั่งไม้ตัวเดิม

“รุ่งเหมือนความฝัน เหมือนฝันที่เขนเฝ้ารอมานาน”

“เหมือนฝันที่ก้าวออกมาสู่ชีวิตจริง”

“ขอบคุณมากนะคะ”

“ขอบคุณความรัก ความเอาใจใส่ที่มีให้กัน”

“ขอบคุณทุก ๆ สิ่ง ทุก ๆ อย่างที่ทำให้เขน”

“ขอบคุณจริง ๆ”

“ไม่ว่าต่อไปในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เขนจะไม่สัญญา จะไม่สาบาน”

“แต่ขอให้รุ่งเชื่อเขนนะ ว่าเขน ‘รู้’ ว่า... เขนเกิดมาเพื่อ ‘รัก’ ได้เพียงแค่รุ่งคนเดียวตลอดไป”

ผมได้คำตอบกลับแทนคำว่า... ‘รัก’ ด้วยจุมพิตที่แสนอ่อนหวาน และอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นนุ่มนวลและคงมั่น พร้อมกับเสียงกระซิบบอกความตั้งใจของเราทั้งสองคนที่ตรงกัน... เราจะอยู่นอนค้างที่นี่คืนนี้เป็น ‘คืนแรก’

หากแต่ในใจเรากลับรู้สึกเหมือนกัน

เราสองคน...ได้กลับมา ‘บ้าน’ ของเราอีกครั้ง



#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: DREAM COME TRUE 08.03.2018
«ตอบ #137 เมื่อ08-03-2018 11:03:58 »

 Chapter XV: Dreams come True

 

อาการฝันร้ายของผมหายขาด ถ้าให้อธิบาย ก็คงคิดถึงเหตุผลได้สองประการ คือข้อแรก ‘เขา’ คนนั้นกลับมาผมแล้วจริง ๆ คุณอาจคิดว่าผมจะย้ำคิดย้ำทำ ทำไม แต่ตลอดระยะเวลาหกเดือนที่ผ่านมา... บางคืนที่ผมตื่นขึ้นมากลางดึกยังต้องมานั่งทบทวนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความจริงหรือความฝัน

ข้อที่สอง ‘บ้าน’ หลังนี้ ‘วังศศิธร’ บางครั้งบางความรู้สึกยากที่จะอธิบาย แต่ผมกับเขาคิดเหมือนกันตั้งแต่ก้าวแรกที่ได้มาสัมผัสที่นี่ ความอบอุ่นคุ้นชินบางอย่างซึมลึกสู่หัวใจอย่างแปลกประหลาด

“ตัดสินใจได้หรือยังพี่” เด็กแสบขัดความคิดของผมหน้าตาเฉย แถมคำถามที่กำกวมนั่น คุณเข้าใจไหม แต่บังเอิญผมเข้าใจครับ

“ได้แล้ว แต่ไม่บอก”

“โถ...พี่”

“ตัดสินใจเองเถอะเฟรม เลือกงานที่ชอบ ทำแล้วมีความสุขก็พอ”

“ก็ผมอยู่กับพี่แล้วมีความสุข”

“อะ..แฮ่ม” เสียงกระแอมกะทันหันจากคนข้าง ๆ

“นี่กับผมพี่ก็ไม่เว้น เหรอพี่เขน”

“ก็อย่าหยอดให้มากนักสิ รู้ว่าหวงก็แหย่อยู่ได้” ผมแอบเพลียเล็ก ๆ

เล็ก ๆ เท่านั้นแล่ะครับ ก็ออกจะเคยชินและเข้าใจเขาอยู่ เพราะผมก็รู้สึกไม่ต่างกัน... กลัวจะเป็นแค่ความฝัน กลัวจะสูญสลายจากไปกับอากาศต่อหน้าต่อตาเหมือน ‘น้ำค้าง’ ยามเช้า ทำให้คนที่คุณก็รู้ว่าใคร เขาจึงมานั่งเฝ้าทำงานที่โต๊ะทำงานฝ่ายผมเหมือนเดิม

ใช่ครับ ที่ทำงานนั่นแหละ

อาจจะโชคดีนิดนึงตรงที่บริษัทของเรากำลังมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรขนานใหญ่เพื่อตอบรับต่อการขยายตัว ต่อไปทุก ๆ ปีเราจะเปิดศูนย์การค้าใหม่มากกว่าสี่ศูนย์การค้าทุก ๆ ปี

เมื่อขอบเขตงานขยายตัวการทำให้องค์กรคล่องตัวขึ้นก็ต้องเริ่มจากลบช่องว่างการประสานงานระหว่างฝ่ายออก ดังนั้นฝ่ายของผมกับเขาจึงถูกปรับโครงสร้างให้รวมกัน โดยจะพัฒนาคนออกเป็นสองสายหลัก ๆ คือสายผู้เชี่ยวชาญ Specialist ไม่ว่าจะเป็นด้านสถาปนิกหรือวิศวกร และสายบริหาร Management ซึ่งจะเป็นผู้ควบคุมดูแลโครงการ Project Management

ซึ่งตอนนี้เรากำลังอยู่ในระหว่างตัดสินใจอยู่ว่าจะเลือกเส้นทางเดินของอาชีพไปในทิศทางไหน อย่างที่เฟรมต้องการได้คำตอบจากผมเพื่อเลือกเดินตาม

พี่บลู พี่เชน และเขนเลือกแล้ว ว่าสนใจด้าน Specialist มากกว่า ส่วนผมซึ่งจริง ๆ แล้วก่ำกึ่ งถ้าคุณติดตามผมมาตลอดคุณจะรู้ว่าผมทำได้ดีทั้งสองด้าน ผู้ใหญ่ทั้งสองทางจึงมาทาบทามทั้งคู่

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ผมคงเลือกเส้นทางได้ยากมากจริง ๆ หากแต่เมื่อวันนี้มีเขา มีครอบครัวอีกครั้ง (ผมก็ยังยืนยันคำเดิม ว่ารู้สึกถึงคำว่าอีกครั้งจริง ๆ) ทางเลือกมันก็ไม่ยาก

ใครก็รู้ครับว่าเส้นทาง Management น่าสนใจและน่าจะมีแววไปได้ดีกว่า แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งเราก็อยากที่จะสร้างสมดุลให้กับชีวิตบ้างอะไรบ้างเช่นกัน

 

เมื่อฝันเป็นจริงแล้ว...จะต้องการอะไรมากมาย

คุณรู้คำตอบของผมแล้วใช่ไหม... อย่าบอกเจ้าเฟรมนะครับ ให้น้องคิดเอง

 

“พี่รุ่งค่ะ เย็นนี้ไม่สะดวกจริง ๆ เหรอค่ะ แพรมีร้านอร่อยเปิดใหม่มาแนะนำนะคะ” สถานการณ์ในตอนเย็นมันแอบแปลก ๆ น้องแพรของเขน ‘รึเปล่า’ ยังคงมีความพยายามสูงเช่นเดิม และเป็นคนเดียวที่เขนทำหน้าบ่งบอกว่าน้ำท่วมปาก ไม่สามารถจัดการอะไรได้นอกจากส่งสายตาอ้อนวอน กะพริบตาปริบ ๆ ได้น่าเอ็นดูพอ ๆ กับน่าหมั่นไส้ นั่นแหละครับ

คนหล่อแป๊ะ เวลาอ้อน ก็อ้อนได้ใจจริง ๆ

“พี่ขอโทษจริง ๆ นะคะน้องแพร เป็นกลางวันพรุ่งนี้ได้ไหมคะ วันนี้พี่จะรีบกลับบ้านหน่อยนัดช่างเฟอร์นิเจอร์ไว้ค่ะ” มันเป็นเหมือนจิตเล็ก ๆ กับคนที่เป็นสถาปนิก ยิ่งเมื่อคุณมี ‘บ้าน’ ที่เป็นของตัวเองคุณจะยิ่งอยากทำโน่นต่อนี่ ต่อต่อไป เหมือนเห็นว่าการตกแต่งบ้านเป็นงานอดิเรกอีกอย่าง ความคิดนี้ทำให้คุณวิศวกรที่รู้ทันอยู่แล้วยิ้มกริ่ม

จนแอบคิดไปเองว่า ถ้าวังศศิธรไม่มีอะไรให้ผมทำอีกแล้ว คุณวิศวกรเขาต้องมีแผนยัดเยียดบ้านหลังใหม่ให้ผมเป็นแน่แท้ เมื่อวานก่อนพึ่งเปรยถึงบ้านน้องสาวไว้

“พรุ่งนี้กลางวันพี่ไม่เบี้ยวแน่สัญญานะคะ”

“พรุ่งนี้ก็มีใครบางคนแถวนี้ตามไปด้วยอีก” คนคนนั้นจึงรีบร้อนตัว

“แหม ก็คุณบอกว่าร้านอร่อย ผมก็ช่วยไปชิมไงว่าอร่อยจริงหรือเปล่า”

“ย่ะ นึกว่าชอบกินฟรี”

“พี่น้องเขาเลี้ยงกันนะ คนนอกอย่างคุณจะรู้อะไร”

“นายว่าใครคนนอก พูดให้ดี ๆ นะ” แล้วเสียงเถียงกันก็อื้ออึง จนพี่บลูเดินยิ้มออกมาจากห้องเพื่อมาร่วมวง ครับเขนเขาได้ผู้ช่วยดี เพราะกันชนเดิมที่ผมเคยมีไว้กันเขา ยังคงทำงานดีเช่นเดิม ไม่ว่ากับใครก็ตามที่เข้ามาหาผม มีแค่เขนที่มัดใจเด็กแสบนี่ได้จริง ๆ หรือก็ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนพี่น้องที่คลานตามกันออกมาเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยทีเดียว แค่ทิ้งให้อยู่ลำปางกันต่อแค่ห้าหกเดือน

“วันนี้รีบกลับเหรอ” พี่บลูถามขณะที่ผมกับเขนกำลังเก็บโน้ตบุ๊ก ขณะที่เด็กสองคนเริ่มเถียงกันหน้าดำหน้าแดง

“นัดช่างไว้นะครับ มาดูโซน Pantry ต่ออีกนิดหน่อย”

“อืมที่นั่นสวยดี ไว้ตกแต่งเสร็จแล้วจัดงานขึ้นบ้านใหม่หน่อยสิ อยากไปนอนค้างเล่นบ้าง”

“ครับ แต่จริง ๆ ถ้าพี่บลูอยากเข้าไปนอนเล่นก่อนก็ได้นะครับ ‘เรา’ ก็เข้าไปอยู่แล้ว” เขนเป็นคนตอบแทน พี่บลูลอบยิ้มคำว่า ‘เรา’ ของเขนก่อนจะส่ายหัว เยอะจริง ๆ ผู้ชายคนนี้

หึงไปทั่ว... ถ้าไม่ติดว่าหล่อนะ ผมคิดในใจ

เชื่อรึยังล่ะครับว่าบางอย่าง... ไม่เคยเปลี่ยน แม้ความจำเขายังไม่กลับคืนมา แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำให้ผม ไม่ได้ผิดแผกแตกต่างจากเมื่อก่อนเลยแม้แต่นิดเดียว แม้คุณมาเฟียจะโตเกินเป็นหัวหน้าห้องแล้ว แต่เขาก็ยังกีดกันโลกส่วนตัวของผมให้แผ่ขยายกว้างใหญ่ได้เสมอทุก ๆ ที่ ที่อยู่กับเขา

โลกส่วนตัวที่มีแค่... ‘เรา’ เสมอ

 

รถติดเป็นเรื่องประจำ ๆ ที่เราคนกรุงต้องยอมรับสภาพให้ได้

“คิดถึงลำปางเหมือนกันนะ” ผมเปรย หกเดือนแล้วนับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ได้ไปที่นั่นเมื่อต้นปี นอกจากบ้านหม่าม๊า บ้านที่วังศศิธร บ้านที่ลำปางก็เป็นอีกที่หนึ่งที่ผมระลึกถึงเสมอ แม้จะพยายามให้มุมระเบียงของวังศศิธร ให้คล้ายคลึงปานใด แต่บรรยากาศทุ่งข้าวเขียวขจี อากาศบริสุทธิ์ และลมหนาวเย็น ๆ คงหาไม่ได้ที่เมืองหลวง

“ไว้อาทิตย์ไหนว่าง ๆ เราขึ้นไปเที่ยวกันนะ”

“อืม...ไว้ชวนเฟรมไปด้วย”

“ต้องเอาเหมียวไปด้วยรึเปล่า” คนถามยิ้มล้อเลียนผม

“รอให้มันคลอดก่อนเถอะ” ครับเหมียวท้อง ใครเป็นพ่อผมไม่แน่ใจ แต่แมวขวบกว่า ๆ ก็เป็นสาวสะพรั่งแล้ว ตอนนี้คุณแม่เหมียวสีขาวสะอาดก็เดินเฉิดฉายที่วังศศิธรด้วยซะแล้วครับ และช่วยจับหนูที่ร้านกาแฟข้างล่างได้อย่างน่าชื่นชม

“แมวมันท้องกี่เดือนนะรุ่ง”

“จะรู้ไหมหละเขน เสาร์อาทิตย์นี้ก็พาไปให้หมอช่วยดูแล้วถามแล้วกัน”

ประเด็นเล็ก ๆ ในบ้าน ในครอบครัวเล็ก ๆ ของเราก็เป็นประเด็นในการสนทนาตลอดทาง คุณอาจคิดว่าที่ทำงานเขาก็พยายามยัดเยียดตัวเองให้มาประกบติดผมตลอดเวลา ยังคุยกันไม่พอหรือ ก็อยากบอกว่าเวลาทำงานทั้งผม ทั้งเขาก็ทำงานนะ ไม่ได้มาคุยเรื่องแบบนี้กันเท่าไหร่ งานมักต้องใช้สมาธิ แค่จะต้องดึงตัวเองให้เลิกแอบมองกัน และกันบ้าง งานก็หลุดไปเยอะแล้ว หวานไหม?

แค่นั้นจริง ๆ ครับ...

ช่างเฟอร์นิเจอร์พึ่งกลับไปโดยที่เขนรับอาสาไปส่ง ผมจึงได้อาบน้ำก่อนแล้วมานั่งอ่านหนังสือรอเขาอาบน้ำบ้างที่ตั่งเล็กตัวเดิมริมระเบียง ไม่ได้ชมตัวเองแต่ผมว่ามันลงตัวมากสำหรับโซนห้องนอนของเรา เป็นส่วนตัว และเต็มไปด้วยความอบอุ่นในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก แล้วจึงนึกได้ต้องทำงานฝีมือก่อนเข้านอน ไม่ใช่เรื่องเย็บปักถักร้อยหรอกครับ ถึงผมจะรักผู้ชายคนนั้น แต่ผมก็ยังได้ชื่อว่าผู้ชายเต็มตัวเถอะ

ดอกลิลลี่ที่วางไว้ข้างกระเป๋าโน้ตบุ๊ก ต้องริดเกสรออกให้หมดเสร็จแล้วจึงเดินไปมุมห้องที่มีกล่องพลาสติกใสใบใหญ่ 3 ใบที่ซ้อนกันไว้ ก่อนที่จะเปิดกล่องบนสุด ที่มีภายในมีกระดาษแข็งกั้นเป็นช่องๆ บรรจุทรายซิลิก้าไว้เต็มเปี่ยม และฝังลิลลี่ลงไปให้ทรายดูดความชื้น เพื่อรอให้แห้งสนิทก่อนจะเก็บใส่ซองสุญญากาศ และใส่ไว้ในหนังสือต่อไป ซึ่งคิดว่าอีกไม่นานน่าจะล้นโซนห้องสมุดเล็ก ๆ ของเรา เหมือนโรงงานผลิตดอกลิลลี่อบแห้งเล็ก ๆ

ไม่รู้จะโทษใครดีระหว่าง....’คนให้’ กับ ‘คนเก็บ’

 

อ้อมแขนที่เย็น และขาวจนเกือบซีด โอบกอดจากข้างหลัง แฟนผมเขาเป็นแวมไพร์ผมบอกรึยัง ก่อนที่ใบหน้าของคนที่ซ้อนด้านหลังจะฝังลงที่ลำคอก่อนที่จะพึมพรำกระซิบเบาที่ข้างหู

“นึกว่าไปไหน มาอยู่นี่เอง เขนเดินตามหาซะทั่ว” ผมไม่อยากบอกว่าเป็นเพราะดอกลิลลี่ของใครหล่ะ ที่ทำให้ต้องมาทำงานประดิษฐ์นี่ทุกวัน เพราะเหลือจะจนใจกับเหตุผลของคนให้ จึงได้แต่ทำตัวเป็นผู้รับที่ดี หากอดที่จะแซวพ่อนักรักคนนี้ไม่ได้จริง ๆ

“เขน รุ่งว่าเราอาจจะต้องหาที่ทำพิพิธภัณฑ์ดอกลิลลี่ หรือทำลิลลี่อบแห้งส่งขายเมืองนอกแล้วมั้ง”

“ทางแรกเห็นด้วย เดี๋ยวเขนหาที่ให้ แต่ทางที่สอง รุ่งจะตัดใจขายได้ลงจริง ๆ เหรอ”

“ประชดหรอกน่า แต่อีกไม่กี่ปีต้องเต็มห้องสมุดแน่ ๆ เลย”

“เราก็ปิดตึกปีกเหนือไม่ให้ใครเช่าแล้วก็ทำแกลลอรี่ แสดงดอกลิลลี่ไง” เอากับเขาสิ นั่นรายได้ที่คุณพ่อหาช่องทางไว้ให้สำหรับค่าใช้จ่ายในการดูแลวังเถอะ ผมได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนเพลียกับความคิดของเขา คร้านจะเถียงสู้ด้วย

“รุ่งจ๋า...”

“หืม...”

“ง่วงหรือยัง”

“ก็นิดหน่อยนะ”

“นั่งคุยกับเขนก่อนได้ไหม” ผมเชื่อว่าเหมียวอ้อนสู้เหมียวตัวใหญ่ไม่ได้แล้วแน่นอน

“ครับ” เขาจูงมือผมมานั่งที่นั่งข้างนอกริมระเบียง

“รุ่งตัดสินใจยังไงเหรอ” ‘เรื่องนี้เอง’ ผมก็คิดอยู่ว่าเขาอยากคุยเรื่องอะไร เพราะคิด ๆ ไปเรื่องพี่บลูหรือแพรวาในวันนี้มันก็เกินที่จะเป็นประเด็นแล้ว เพราะเราต่างรู้ เราผูกพันกันอย่างลึกซึ้งเกินกว่าจะมีคนอื่น ๆ อีกต่อไปได้ ไม่ได้หมายความว่าผมหรือเขาจะหึงน้อยลง แต่เรารู้ว่าเราทั้งคู่ไม่มีสายตาจะมองใครแล้วต่างหาก

แต่ในประเด็นเส้นทางชีวิตในอนาคต คงถึงเวลาที่ต้องคุยกันจริงจังสักที เขนบอกผมก่อนตั้งแต่อาทิตย์ก่อนว่าเขาตัดสินใจอย่างไร ไม่แปลกที่วิศวกรส่วนใหญ่ไม่ชอบจะวุ่นวายเรื่องประสานงานกันคนมาก ๆ อยู่แล้ว นอกจากคนงานในไซด์ก่อสร้างก่อเกินจะเพียงพอ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจอย่างที่เล่าตอนต้น เขนเลือกเส้นทางในสายผู้เชี่ยวชาญ

ในขณะที่เขาไม่ได้บังคับหรือบีบให้ผมเลือกตามแต่อย่างใด เราให้เกียรติกันเสมอในเรื่องงาน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็แอบเชื่อว่าเขาน่าจะรู้ว่าผมจะตัดสินใจเลือกทางไหน

“เขนคิดว่ารุ่งเลือกอะไร” ผมเอื้อมมือที่เหลือไปเกาะกุม สองมือที่โอบอุ้มมือข้างหนึ่งของผมไว้แต่แรก และยิ้มให้แววตาใสที่กำลังใช้ความคิด ก่อนที่จะตอบ

“...รุ่งทำได้ทั้งสองอย่าง แต่น่าจะชอบงานสถาปนิกมากกว่า” เห็นไหมหละ ผมรู้ว่าเขารู้มาตลอด

“ใช่... แล้วรุ่งก็ไม่ค่อยอยากเดินทางมาก ๆ แล้วด้วย” รอยยิ้ม และประกายตาคนตรงหน้าสว่างไสว

“เราเสียเวลาที่เดินผ่านกันไป สวนกันมามากเกินไปแล้ว รุ่ง ขอแค่เราอยู่ด้วยกันก็พอ ถึงแม้จะต้องเดินทางบ้าง แต่ก็ไม่ต้องลงไซด์เป็นปี ครึ่งปีเหมือนเมื่อก่อนอยากอยู่กับเขนมากกว่า”

“ขอบคุณครับ” สายตาและหัวใจบอกอะไรได้มากกว่าคำที่เอื้อนเอ่ย สัมผัสทางกายที่มอบความอบอุ่นให้แก่กันเติมเต็มทุกสิ่งที่เคยเป็นช่องว่างที่ขาดหาย เราไม่ได้หวานใส่กันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง อย่างที่ใครคาดคิด หากก้าวเดินเคียงข้างไปด้วยกัน ร่วมคิด ปรึกษา ใส่ใจ ดูแลกันและกัน ดวงใจเติมเต็มให้กันทุก ๆ วินาที ดุจดังวิญญาณดวงเดียวกันเสมอมา คำว่ารักที่พร่ำเพ้อ ตอกย้ำ ซ้ำเวียน ตลอดบทรักแนบชิดที่ผันผ่าน เหมือนดังคำมั่นในหัวใจ หนึ่งคน... คนเดียว... คนในฝันที่เดินออกมาสู่ความจริง... คือเธอ





#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: JKL THE SERIES: LOVE: DREAM COME TRUE 08.03.2018
«ตอบ #138 เมื่อ08-03-2018 20:25:48 »

 :L2: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: THAT'S ALL IS YOU 09.03.2018
«ตอบ #139 เมื่อ09-03-2018 09:41:20 »

Chapter XVI: That’s all is you

 

“เป็นไงบ้างรุ่ง” คำถามแรกเมื่อเดินกลับมาที่โต๊ะ

“ก็ดีครับ” พี่บลูเป็นคนเริ่มถาม ผมตอบยิ้ม ๆ เพราะรู้ว่าคำตอบที่ให้ไปนั้นสนใจฟังกันทั้งฝ่าย รวมทั้งผู้ชายที่ยังบำเพ็ญเพียรตนยึดโต๊ะทำงานคนอื่น

“แน่ใจแล้วเหรอ พรุ่งนี้เขาจะออกประกาศแล้วนะ ทางโน้นยังยื้ออยู่ไม่ใช่เหรอ” ครับเมื่อผมบอกว่าผมตัดสินใจเลือกงานด้านไหนตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว พวกผู้ใหญ่ยังคงเรียกตัวไปคุยอยู่เรื่อย ๆ เนื่องด้วยหลายท่านเห็นว่าผมน่าจะทำงานด้านบริหารได้ดีพอตัว เช้านี้ก็เช่นกัน เพราะการประกาศโครงสร้างใหม่ และการโยกย้ายคนจะออกพรุ่งนี้อย่างที่พี่บลูบอกจริง ๆ

“ครับ ผมเพิ่งไปคุยกับคุณอาร์ทมาครับ คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว”ปกติบริษัทคนไทยของเราอยู่กันแบบพี่ ๆ น้อง ๆ ดังนั้นถ้าเราเรียกใครนำหน้าว่าคุณ นั่นก็มีความหมายเดียวครับ คนคนนั้นเป็นสมาชิกหนึ่งในตระกูลเจ้าของบริษัทศูนย์การค้าอันดับหนึ่งของประเทศไทย ตระกูลที่เป็นที่รู้จักกันอย่างยิ่งในแวดวงสังคม

ในขณะที่คนอื่นหมดข้อสงสัย แต่ใบหน้าคมยังคงขมวดคิ้ว

“คุณอาร์ทแกมาดู Architect Specialist Pool” คือแกเป็นหัวหน้ากลุ่มงานสถาปนิกนั่นแหละครับ ก่อนนี้แกดูการพัฒนาธุรกิจต่างประเทศไป ๆ กลับๆ เซี่ยงไฮ้อยู่

จึงไม่แปลกที่คนแถวนี้จะรู้จักเจ้านายใหม่กันเกือบทั้งหมดเมื่อเอ่ยถึง ในขณะคุณวิศวกรที่ย้ายตัวเองมานั่งประจำไม่ทราบ ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะนายทางฝั่งเขาก็มีหลายคนที่ผมไม่ทราบเหมือนกัน

“นึกว่าแกอยู่เซี่ยงไฮ้” เขาพยักหน้ารับ แสดงว่าเคยรู้จักมาก่อน

“แกทำด้านนี้มาก่อน เลยมานั่งควบ” และไม่แปลกที่คนในตระกูลใหญ่จะเติบโตเร็ว และอยู่ในสายงานสำคัญของบริษัท คุณอาร์ทน่าจะเพียงสี่สิบต้น ๆ หากแต่ตำแหน่ง Assistant Vice President (AVP) พนักงานธรรมดาอย่างเราในช่วงอายุเท่านั้นอย่าฝันถึงเลยครับ

“คุณอาร์ท โอเค คนอื่นก็ไม่กล้าพูดอะไรแล้วหละ” ผมเล่าเรื่องราวคร่าว ๆ ก่อนที่จะส่งยิ้มให้คนขมวดคิ้วที่ค่อย ๆ จางลงและเริ่มคลี่ยิ้มสว่างไสวของเขาคืนมาบ้าง

แม้บริษัทจะให้เราเลือกเองว่าอยากทำอะไรเมื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างก็จริง แต่เป็นธรรมดาที่ทุกบริษัทจะมีเรื่องการเมือง ดึงบุคลากรกันอยู่บ้าง และในกรณีผมอย่างที่พี่บลูเอ่ย ยังถูกยื้อกันอยู่ เช้านี้จึงต้องเข้าไปพึ่งบารมีคุยกับนายเก่าอย่างคุณอาร์ทเพื่อตัดปัญหา ก่อนที่จะลุกลาม และเป็นประเด็นไปมากกว่านี้

ก่อนไปคุมงานที่เซี่ยงไฮ้คุณอาร์ทเคยเป็นเจ้านายฝั่งนี้เต็มตัวมาก่อนตอนช่วงเรียนรู้งานก่อนที่ย้ายไปโตที่ฝ่ายอื่น พวกสถาปนิกจึงรู้จักเป็นการส่วนตัว โดยเฉพาะผมพูดก็พูด แกก็เป็นรุ่นพี่ รู้จักกันตั้งแต่เรียนที่อังกฤษ และแกก็เป็นคนตามตัวมาทำงานที่นี่หลังจากที่ดึงพี่บลูเข้ามาก่อน

ทำให้เรื่องราวที่เข้าไปคุยจึงไม่ลำบากเท่าไหร่ ใครบ้างจะไม่อยากได้ลูกน้องเดิมของตัวเองจะไม่ช่วยรุ่นน้องตัวเอง ถ้าจะพูดง่าย ๆ มันก็เรื่องการเมืองนั่นแล่ะครับ ปวดหัว เอาเป็นว่าเรื่องงานของผมที่จบได้ครั้งนี้คงต้องยกความดีความชอบให้คุณอาร์ทไป

ปกติผมก็ไม่ได้ชอบวิธีนี้เท่าไหร่ หากเหตุผลที่ทำไปทั้งหมด ก็เพราะ...สุดที่รัก

 

ข้าวกลางวันเหมือนอยู่ในสนามรบเช่นเดิม แม้เหมือนเป็นเพียงผู้ชมข้างสนามแต่ก็อดลุ้นระทึกไม่ได้

“จืดชืด” เซลล์สาวบ่น

“ก็ใครใช้ให้ตามมา” เจ้าเฟรมโต้กลับอย่างสะใจ น้องแพรจึงสะบัดหน้าหนีมาหาคนที่นั่งข้าง ๆ

“พี่รุ่งคะ วันหลังไปกินร้านที่แพรแนะนำดีกว่าค่ะ ที่นี่อะไรก็ไม่รู้” สนามรบถูกดึงเข้ามารวมผมเข้าไปด้วย หากยังไม่ทันมีคำตอบ เจ้าเฟรมก็ช่วยยิงต่อให้

“เธอนั่นแหละไม่รู้อะไร ร้านนี้พี่เขนชอบเถอะ พี่เขนชอบ พี่รุ่งก็ชอบ”

“จริงเหรอค่ะ พี่เขน” คนนั่งตรงกันข้ามผมถึงกับสำลักน้ำซุป ก็เราอุตส่าห์กินกันเงียบ ๆ มาตลอด ผมจึงยื่นแก้วน้ำให้คนที่กำลังไอ

“แหม แค่นี้ถึงกับสำลัก” คนไอจนหน้าแดงจนน้ำตาไหล ยังโดนค้อนขวับ

“พวกผู้ชาย แค่นี้ก็คิดว่าอร่อย ถ้าพี่รุ่งชอบอาหารญี่ปุ่นวันหลังแพรพาไปดีกว่าค่ะ มีร้านแนะนำ หรือเย็นนี้ดีไหมคะ”

ผมได้ยินแพรวาพูดอะไรพึม ๆ พำ ๆ เพราะมัวแต่สนใจยื่นกระดาษไปซับน้ำตาให้เขน และรู้สึกว่าเสียงรอบ ๆ ตัวค่อยเงียบลง เมื่อหันกลับมามองเจ้าเฟรมก็หัวเราะเสียงดัง ขณะที่น้องแพรเหมือนอึ้ง ๆ อะไรอยู่

“มีอะไรเหรอ” ผมหันกลับมาถามเฟรม ซึ่งหัวเราะจนตัวงอ

“เอ่อ... อะไรนะครับ” จึงกลับมาถามน้องแพรแทน แต่เธอไม่ตอบ หากมองเฟรมด้วยสายตาอาฆาตแค้น

“ไม่มีอะไรหรอกพี่ แค่ใครบางคนเหวอ...ฮ่าฮาฮา เพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน”

“ทำใจเถอะคุณ เขาอยู่กันสองคนเขาไม่มีใครในสายตาหรอก พยายามไปก็เท่านั้น” เฟรมยังพูดไปหัวเราะไป ขณะที่แพรเตรียมจะเหวี่ยง

“พอดี พี่กับเขนมีธุระจะรีบไปจองตั๋วหนัง เดี๋ยวขอตัวก่อน” เมื่อเห็นสถานการณ์จะเข้าขั้นโคม่า ผมจึงทิ้งเงินไว้ให้เฟรมจ่ายค่าอาหาร และลากเขนออกมาจากร้าน

“ทิ้งเฟรมไว้จะดีเหรอ” เขนถาม

“หึหึ... เขนถ้าเจ้าเฟรมมันเบื่อ มันไม่ยุ่งแต่แรกแล้ว” ผมตอบยิ้ม ๆ

“รุ่งหมายความว่า...” คำตอบทุกอย่างที่เหลือส่งผ่านสายตา ปกติ เด็กอารมณ์ศิลปินแบบเฟรมไม่ใช่คนเร้าหรือ หรือตอแยใคร นี่คงไม่ธรรมดาแล้วน่ะสิครับ เราละเรื่องราวยุ่ง ๆ ของสองคนนั้นไว้ในฐานที่เข้าใจ และขำกับความลงตัวที่ไม่น่าลงตัว

คุณตามทันกันใช่ไหมครับ อาจจะลำบากนิดนึง ผมเคยบอกคุณแล้วว่าเราสองคนไม่ต้องใช้คำพูดสื่อสารกันเท่าไหร่ มันเหมือนจะเข้าใจกันเองเพียงมองตา มันเป็นอย่างนี้มานานมากแล้ว และคงเปลี่ยนไม่ได้แล้วล่ะครับ

ขอโทษนะครับ แต่จริง ๆ ถ้าจะโทษก็ไปโทษเขาเถอะครับ เพราะเขาทั้งนั้น ที่ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้

 

หนังรอบเย็นที่เราจองไว้จะฉายอีกครึ่งชั่วโมง เขนหายไปซื้อป็อบคอร์นสักพักแล้วครับ ผมเลยเดินดูอะไรเรื่อย ๆ อย่างที่เคยเล่าศูนย์การค้าสำหรับเราเหมือนที่ทำงานมากกว่าสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ดังนั้นเสาร์อาทิตย์ถ้าไม่มีธุระจำเป็น เราสองคน จะไม่เลือกมาเดินศูนย์การค้าแน่นอน ยิ่งพนักงานเกือบครึ่งศูนย์รู้จักเราเสียด้วย

เราจึงมักดูหนังหรือเดินซื้อของใช้กันในช่วงเย็นมากกว่า เพื่อให้วันหยุดเราได้นอนพักผ่อนอยู่บ้านหรือไปเที่ยวตามต่างจังหวัดแทน

เดินมาได้สักพัก หายไปไหนของเขา ผมเริ่มรู้สึกมีอะไร ไม่ค่อยปกติ ใช่ครับผมจับความรู้สึกบางอย่างได้ ถ้าคนสองคนที่รู้ใจกัน และเหมือนจะส่งต่อความรู้สึกหรือสื่อสารกันได้ทางความคิด มันจะยากมากถ้าจะมีอะไรปิดบังกัน

ยังเหลือเวลาอีกนิดหน่อย ผมได้แต่ส่ายหัวและยิ้มให้ตัวเอง บางทีก็อยากเซอร์ไพรส์บ้างเหมือนกันนะ แต่รู้ทันแล้วนี่นา

วันนี้ครบรอบหกเดือนสินะ

 

แต่การแกล้งไม่รู้บ้างก็ทำให้คนตั้งใจดีใจ หากแต่คุณรู้ไหม ยิ่งรู้ล่วงหน้าก่อนกลับยิ่งทำให้คนรับตื่นเต้นไม่น้อยเหมือนกัน

ผมเดินกลับมารอหน้าบันไดเลื่อนหน้าทางขึ้นโรงภาพยนตร์ และสะดุดตาร้านทำลูกกวาด ที่กำลังโชว์วิธีการทำอยู่ และมีคนจำนวนไม่น้อยที่กำลังยืนดู น้ำตาลที่ถูกผสมสีเขียวและแดง ตกแต่งเป็นลวดลายตัวอักษรกับรูปหัวใจ และม้วนเป็นแท่งกลมก่อนที่จะยืดออกมาให้ได้ขนาด และตัดออกมาเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใช้คนทำถึงสามคนเลยทีเดียว ได้ข่าวว่าร้านนี้อร่อยเหมือนกัน น่าซื้อไปลองชิม แต่ตอนนี้ขี้เกียจถือไปดูหนังด้วย จึงได้แต่ยืนดูเพลิน ๆ

“รุ่ง.......จ๋า” เสียงเรียกจากด้านหลัง ผมได้กลิ่นที่คุ้นเคย ผมทายถูกแน่นอน ขอหุบยิ้มสักสามวินาที ก่อนหันไปนะครับ ผมบอกว่าผมจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ใช่ไหมครับ แต่ตอนนี้ผมต้องกลั้นน้ำตาอีกอย่าง

คุณทายได้แล้วสิ แล้วเบื่อไหม? อย่าเพิ่งเบื่อนะครับ ผมรับสิ่งนี้มาจะเกือบ ๆ ยี่สิบปีอยู่แล้ว ผมยังไม่เบื่อเลย

ไม่ต้องให้บอกแล้วใช่ไหมว่ามีอะไรในมือเขน ก็อย่างที่คิดนั่นแล่ะครับ อย่าสงสัยเลยว่าผมแกล้งตื้นตันหรือเปล่า... ‘ลิลลี่’ ทุกดอกที่ได้รับ มันมีค่าไม่ได้ต่างจากดอกแรกที่ได้รับหรอกครับ

‘ช่อลิลลี่สีขาว’ ถูกส่งมาให้

“ขอบคุณมาก ขอบคุณจริง ๆ เขน” ผมรับมาขณะมือยังสั่น ๆ

“ไม่เซอร์ไพรส์ใช่ไหม เขนรู้” ใช่ครับถ้าผมรู้ เขาก็รู้แล่ะว่าผมรู้

“แต่ดีใจนะ ดีใจมาก ขอบคุณ” ผมยังกลั้นน้ำตาอยู่ เลยบอกออกไปได้แค่นั้น และเขาก็รู้แล่ะว่าผมรู้สึกอย่างไร จึงให้เวลาผมอยู่สักครู่

โชคดีที่คนกรุงเทพมักทำเป็นไม่ค่อยสนใจกันและกันอยู่แล้ว แต่ผมก็พบว่ามีหลายสายตารอบ ๆ ข้างลอบยิ้มอยู่ และสายตาใครบางคนที่คุ้นเคยที่มองมาอย่างสงสัย ก่อนที่จะพยักหน้าให้แล้วเดินจากไป... คุณอาร์ท

ผมไม่ได้สนใจมากนัก เพราะไม่ได้คิดจะปิด

และเชื่อว่าคนกว่าครึ่งบริษัทน่าจะทราบความสัมพันธ์ของผมสองคนแล้ว

“แล้วจะเอาไปเก็บไว้ที่ไหนหละ เอาเข้าไปในโรงหนังไม่ได้แน่” ถ้าดอกสองดอก หรือช่อเล็ก ๆ ยังคงพอทนนะครับ แต่เล่นเหมามาทั้งร้านแบบนี้ ต้องเกรงใจคนอื่นบ้าง เกิดมีคนแพ้เกสรลิลลี่ขึ้นมาจะลำบาก

“ฝากร้านนี้ไว้ก่อน” คนให้บอกหน้าตาเฉย ก่อนที่จะดึงผมไปฝากดอกไม้ที่แคชเชียร์ และจัดการพูดคุยเสร็จสรรพ

“รบกวนฝากไว้ก่อนนะครับ ไม่เกินสี่ทุ่มจะมารับพร้อมลูกอม”

“ได้ค่ะ” ทำไมง่ายอย่างนั้นล่ะ แต่...อะไรนะ

“ลูกอม” ผมหันไปถามคนข้าง ๆ ที่หันมายิ้มให้และดึงช่อลิลลี่ออกจากมือไปฝากแคชเชียร์สาวสวยที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“รับไปชิมก่อนไหมค่ะ” เขาหันกลับไปคุยกันโดยที่ไม่ตอบคำถามของผมอยู่นั่นเอง

“ครับ ขอบคุณครับ” ก่อนที่น้องแคชเชียร์จะยื่นถุงลูกกวาดเล็ก ๆ มาให้

“ไปรุ่งหนังจะฉายแล้ว” ผมยังไม่เข้าใจ แต่ถูกลากขึ้นบันไดเลื่อนมาจนกระทั่งมานั่งลงที่ที่นั่งในโรงหนัง ก่อนที่ถุงลูกอมจะถูกยื่นมาให้ โดยไม่พูดอะไร ผมจึงรับมาอย่างงงหนักเข้าไปอีก

“อะไรเหรอเขน” ใบหน้าขาวเริ่มแดงหากยังไม่ยอมตอบ เขาเขินอะไร ผมเริ่มรู้สึกผิดปกติ

‘ลูกอมมีอะไร’ จึงหยิบลูกอมขึ้นมาดู ก่อนที่ไฟในโรงจะดับไป

‘โอ้..........เขน’ เป็นการดูหนังที่ทรมานพอสมควร และกว่าจะรวบรวมสมาธิกลับมาดูได้ก็ผ่านไปกว่าครึ่งเรื่องทีเดียว ถึงตอนนี้หนังจบแล้ว แต่ผมคิดว่า

“มาดูใหม่อีกรอบไหม” ครับเขาเป็นคนพูด

“เหมือนกันน่ะสิ” เราดูไม่รู้เรื่องพอกันครับ เขายังคงอมยิ้ม ไม่ตอบอะไร หากสายตาระยิบนั่นบอกอะไรได้มากกว่านั้นมากมายนัก

“มารับดอกไม้กับลูกอมครับ”

“รอสักครู่นะคะ” น้องแคชเชียร์กำลังเริ่มเก็บของจะปิดร้านรีบวางมือ ก่อนที่จะส่งช่อดอกไม้มาให้เขน และถูกส่งต่อคืนให้ผมอีกครั้ง ศูนย์การค้าใกล้จะปิดแล้ว ดอกลิลลี่ช่อใหญ่จึงไม่สะดุดตามากเท่าเมื่อช่วงเย็น ก่อนที่ถุงใบใหญ่สองถุงจะถูกส่งให้เขน

“สองร้อยถุงนะคะ เรียบร้อยค่ะ”

“ขอบคุณครับ” เขนตอบและเดินนำผมที่กำลังอึ้งกลับมาที่รถ

“สองร้อยถุง” ผมถามขณะที่เขาก้มวางลูกอมสองถุงใหญ่ที่เบาะหลัง

“ก็เก็บได้หรอกรุ่ง”

“เขน.............”

“ก็เขาให้สั่งขั้นต่ำ 4 กิโล” ผมจะร้องไห้ ลูกอม 4 กิโล

“น่านะ....รุ่งนะ แจกเพื่อน ๆ แจกแฟนคลับบ้างก็ได้”

“........................................”

ผมยังคงพูดไม่ออก อยากบอกว่าถ้าคุณเห็นลูกอมพวกนั้นแล้วคุณจะรู้ว่าเพราะอะไร เอาเป็นว่าตอนนี้สงสัยกันไปก่อนนะครับ ผมขอทำใจนิดนึง แล้วจะมาเฉลยนะครับ





#JKLTHESERIES

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: JKL THE SERIES: LOVE: THAT'S ALL IS YOU 09.03.2018
« ตอบ #139 เมื่อ: 09-03-2018 09:41:20 »





ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: JKL THE SERIES: LOVE: THAT'S ALL IS YOU 09.03.2018
«ตอบ #140 เมื่อ09-03-2018 10:45:41 »

 :L2: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: ONLY YOU 11.03.2018
«ตอบ #141 เมื่อ12-03-2018 09:45:51 »

Chapter XVII: Only You

 

“ส่งแค่นี้ก็พอเขน กลับไปนอนต่อเถอะนะ เดี๋ยวรุ่งเดินเข้าไปเอง” คุณคิดว่าผมจะยอมเหรอครับ จึงได้แต่ส่งยิ้ม และเปิดรถลงไปเอารถเข็นสนามบินมาให้ และแย่งกระเป๋าเป้ขนาดย่อมกับโน้ตบุ๊กจากรุ่งมาวางไว้ จึงมีรอยยิ้มกว้างล้อเลียนกลับมา

“แค่นี้เองไม่ต้อง ใช้รถก็ได้มั้ง”

“เผื่อแวะทานอะไรก่อนจะได้ไม่ต้องแบกไว้ตลอดนะ”

“ปีนี้จะส่งชิงรางวัลสุดยอดแฟนยอดเยี่ยมแห่งปีนะ” คนพูดกลั้นขำไปด้วย

“ไม่อะ ไม่ชอบแข่งกับใคร เขนขอแค่เป็นคนเดียวในหัวใจรุ่งก็พอ”

“ฮึก...น้ำตาลขึ้น ไปแล้ว เดี๋ยวถึงที่โน่นแล้วจะโทรหา ไปนะ”

“บาย ครับ” ผมยังคงยืนมองรุ่ง ขณะเดินเข้าไปในตัวท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิครับ รุ่งไป Training ที่สิงคโปร์หนึ่งอาทิตย์ หนึ่งอาทิตย์เชียวที่ต้องอยู่คนเดียว แอบใจหายเล็ก ๆ ทีเดียว หากขณะยืนใจลอยเหม่อมองอยู่นั้น ก็รู้สึกว่าคนที่กำลังเดินทางรู้ตัวว่ามีคนเฝ้ามอง จึงหันกลับมายิ้ม และโบกมือให้อย่างร่าเริง ผมแน่ใจผมเคยบอกพวกคุณหลายต่อหลายหน ผมยอม ยอมทุกทางจริง ๆ ขอแค่ได้เห็นรอยยิ้มของเขาคนเดียว ของเขาเพียง... คนเดียว

 

วันนี้เป็นเช้าวันที่สามที่สิงคโปร์แล้วครับ ก่อนนี้การอยู่ต่างที่ ต่างเมือง หรือต่างประเทศไม่ค่อยแตกต่างในความรู้สึกนักสำหรับผม

แต่... ไม่ใช่ตอนนี้เลย

ยังไม่หกโมงเลย เมืองไทยคงตีสี่กว่า ๆ วันนี้ต้องไปห้องสัมมนาตอนเก้าโมงเช้า ยังคงนอนต่อได้อีกหน่อย ก่อนลงไปทานอาหารเช้า แต่ข่มตานอนไม่ลงแล้วครับ ไม่เคยคิดมาก่อนว่า ความคิดถึงมันจะกัดกร่อนความรู้สึกได้มากมายขนาดนี้

ทั้งที่เราเคยพรากจาก เคยห่างกันเกินกว่าสิบปี ทำไมเพียงหกเดือนที่กลับมาอยู่ด้วยกัน กลับทำให้การห่างกันอีกครั้งมันทรมานได้มากนักก็ไม่รู้ หากทำได้เพียงแค่ทอดถอนหายใจ ในเมื่อนอนไม่หลับจึงตัดใจผละออกจากเตียง และเดินออกจากห้องนอนไปที่ห้องรับแขก เพื่อเปิดตู้เย็นรินน้ำดื่ม

เมื่อปีที่แล้วที่มากับพี่บลู ก็ได้นอนเพียงห้องเดี่ยวที่เป็นเตียงคู่ก็หรูแล้วหละครับ ก็เงินบริษัท หากเมื่อมากับเจ้านาย ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายเมื่อเดินทางมากับคุณอาร์ท เลยได้อานิสงส์ห้องพักที่อัพเกรดขึ้น ห้องที่พักที่นี่เป็นห้อง 2 Bedroom ก็เลยยิ่งเหงากว่าเดิม แม้เคยคุย เคยคุ้นเคย เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ก็ไม่ได้สนิทมากมายนัก แถมมีบางเรื่องที่ทำให้ไม่อยากสนิทกับแกมากสักเท่าไหร่ด้วย

“ตื่นเช้านะรุ่ง” ประตูห้องนอนใหญ่เปิดก่อนที่เจ้าของเสียงที่ใส่ชุดคลุมอาบน้ำจะเดินออกมา

“ครับ ดื่มน้ำไหมครับ” ผมรีบรินน้ำใส่อีกแก้วแล้วส่งให้ คุณอาร์ทรับแล้วจึงทรุดตัวนั่งที่บาร์เล็ก ๆ และดื่มน้ำในแก้ว

“ผมทำให้ตื่นหรือเปล่า” มันคงมีเสียงก็อกแก็กบ้างละนะ ว่าพยายามเงียบที่สุดแล้วเชียว

“เปล่าหรอกผมว่าจะไปว่ายน้ำตอนเช้าหน่อย ไปด้วยกันไหม”

“ไม่ละครับผมว่าจะนอนต่ออีกหน่อย” โกหกคำโตเลยล่ะนั่น

“อีกอย่างผมไม่ได้เตรียมกางเกงว่ายน้ำมาด้วย คุณอาร์ทตามสบายเถอะครับ”

“อืม งั้นไปก่อน เดี๋ยวขึ้นมาแปดโมงลงไปกินข้าวด้วยกันนะ”

“ครับ”

คนที่ออกกำลังกาย ดูแลตัวเองดีจนทำให้ดูเผิน ๆ คุณอาร์ทอายุไม่น่าจะเกิน 35 คนมีอันจะกิน ไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารการกิน ของบำรุง ยิ่งอดีตคาสิโนว่าหนุ่มเจ้าสำอางคนเดิมที่โด่งดังที่อังกฤษด้วย การันตรีความเนี๊ยบของเธอได้จริง ๆ

นี่ถ้าวันนั้นบอกว่าเธอจะกลับมาทำงานเป็นจริงเป็นจังอย่างทุกวันนี้ ผมก็แทบไม่เชื่อเหมือนกัน ก็ไม่คิดว่าโลกจะกลมทำให้กลับมาพบกันอีกครั้ง แถมต้องทำงานด้วยกันอีกด้วย เพราะผมเองก็เคยเป็นคนหนึ่งที่เคยสบประมาทเธอไว้เหมือนกัน

ไม่น่าเลยจริง ๆ ทำได้แต่ส่ายหน้าให้กลับตัวเอง ดีที่เธอไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องอดีต

เมื่อเดินกลับเข้ามาในห้องจึงเห็นหน้าจอไอโฟนที่สว่างขึ้น และเมื่อเห็นชื่อคนที่โทรเข้า ทุก ๆ เรื่องที่เคยคิดรก ๆ อยู่ในสมองก็หยุดลงทันที ก่อนที่จะกดรับโทรศัพท์และทรุดตัวเอนหลังที่โซฟา

 

“คิดถึงรุ่ง”

“คิดถึงเขนเหมือนกัน”

“เขนบอกก่อน ก็ต้องคิดถึงมากกว่า” มันเป็นทฤษฎีใหม่ที่ผมพึ่งเคยได้ยินครั้งแรก

“รุ่งยอม”

“ยอมง่ายจัง” ก็ยอมคนเขาคนเดียวแหละ อย่าบอกเขานะครับ ผมเลยชวนเปลี่ยนเรื่องน่าจะดีกว่า

“ทำไมเขนตื่นเร็วจัง ยังเช้าอยู่เลย”

“เบื่อเหมียว”

“ตื่นเช้าแล้วเกี่ยวอะไรกับเหมียวหละ”

“ก็เหมียวมันไม่ยอมนอนกับเขน เหมือนนอนกับรุ่งนี่นา มันหนีไปนอนที่โซฟาโน่น”

“มันกลัวเขนดิ้นไปทับมัน แบนทั้งแม่ทั้งลูกหนะสิ” คุณแม่เหมียวคงห่วงความปลอดภัยของลูกในท้องเป็นแน่แท้

“ใครบอกเขนออกจะนอนเรียบร้อย”

“เหรอ เขนเหรอ”

“ก็คนนอนด้วยไม่อยู่นี่นา” นั่นไงเถียงไม่ได้ก็เปลี่ยนเรื่องทันทีเหมือนกัน

“เดี๋ยวอีกสองวันก็กลับแล้ว”

“อ้าวไหน ว่าจะอยู่เดินเที่ยวเล่นต่อไง”

“คราวที่แล้วที่มากับพี่บลูเดินซะปรุแล้ว สิงคโปร์เกาะนิดเดียว”

“แล้วก็..........”

“แล้ว... อะไร”

“คิดถึงคนที่บ้านหนะ”

“...........................”

“เขิน หละสิ ” รุ่งอัพเลเวลแล้วล่ะครับ ไม่มีทางที่ผมจะเขินคนเดียวตลอดไป

“............................”

“เขน.....หายไปไหน ฟังอยู่หรือเปล่า”

“ฟังอยู่ กำลังหาพาสสปอร์ต”

“หืม... เอามาทำอะไร”

“จะไปสิงคโปร์” เสียงเปิดตู้ เปิดลิ้นชัก หาของทำให้ผมเริ่มตกใจจริง ๆ

“ใจเย็น ๆ ก่อนเขน เดี๋ยวอีกสองวัน รุ่งก็กลับแล้ว คืนเดียวเอง”

“ไม่อะ”เสียงคุ้ยหาเอกสารยังดังต่อเนื่อง งานเข้าแล้วสิครับ

“เขน... นะนะ ไม่ต้องมาหรอก เดี๋ยวรุ่งโทรไปเลื่อนไฟลท์ กลับเย็นพรุ่งนี่นะ เรียนเสร็จจะรีบกลับเลย นะเขนนะ”

“ก็เขนคิดถึง”

“ครับ อีกแป๊บเดียว อึดใจเดียวเดี๋ยวก็กลับแล้ว”

“........................................”

“ไม่เห็นมาเลย”

“อะไรอ่ะเขน” ผมไม่เข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อสาร

“หมดอึดใจเดียวแล้ว”

บทคนที่เคยแต่คอยตามใจคนอื่น ถึงเวลาจะเอาแต่ใจตัวเอง ลองดูสิครับ ไม่เห็นมุมนี้ของเขามานาน จนผมอดหัวเราะไม่ได้

“หัวเราะอะไรอ่ะ”

“นี่เขนพูดจริง ๆ นะ”

“ครับ เลิกหัวเราะแล้ว เชื่อแล้ว รอนิดนะเขนนะ เดี๋ยวรุ่งกลับแล้ว เดี๋ยวได้ไฟลท์แล้วจะโทรบอกให้มารับนะ”

“ไปไม่ได้เหรอ”

“อย่าดื้อนะครับคนดี รอนะ” การปราบมาเฟียเอาแต่ใจ ก็ต้องใช้ลูกอ้อน มันเป็นวิธีที่ไม่เคยพลาด

“เดี๋ยวรุ่งก็กลับแล้วนะ อยากได้ของฝากอะไรไหม”

“อยากได้...รุ่ง”

“หืม...”

“.................................”

“เขน”

“งอน”

“โอ๋ โอ๋ จะรีบกลับนะครับ”

“ไม่รู้ล่ะ”

“จะรีบกลับไปง้อนะครับ”

“...............”

“รอนะครับ”

“................”

“...รักนะครับ” ผมกลั้นใจพูดไป ทั้งที่หัวใจตัวเองสั่นไหว เกินการควบคุมแล้วเหมือนกัน

“รุ่ง.........”

“เดี๋ยวต้องไปเรียนแล้ว แค่นี้ก่อนนะเขน” จึงต้องรีบตัดบทเพื่อรักษาระดับการเต้นของหัวใจตัวเองด้วย

“รักรุ่งค่ะ”

“รักรุ่งคนเดียวนะคะ”

“...................บายครับ”

แสงจากหน้าจอโทรศัพท์ดับลงไปหากคนฟังยังคงยิ้มคนเดียวเหมือนคนบ้า ตลอดเวลาที่ไปอาบน้ำ และทานอาหารเช้า ผมคิดว่าคุณอาร์ททำหน้าเหมือนจะไม่แน่ใจว่าผมมีสติมากน้อยแค่ไหน แต่จะทำอย่างไรได้เมื่อหัวใจยังทำงานไม่ปกติและมันหุบยิ้มไม่ได้จริง ๆ นะครับ

 

ผมทรมานเจ้านายแท้ ๆ ก็ไฟลท์ที่บินกลับเย็นวันศุกร์มันแน่นมากครับ เหลือเพียงสายการบิน Low Cost ที่ยังมีที่นั่งว่าง ผมก็บอกให้คุณอาร์ทกลับตามกำหนดแล้วนะครับ แต่เธอไม่ฟังเอง อยากกลับพร้อมกันให้ได้

จากที่นั่ง First Class สายการบินระดับประเทศ ต้องมานั่ง Business Class สายการบินต้นทุนต่ำ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของเครื่องบินขนาดเล็กที่จะโคลงเคลงกว่า สั่นไหวกว่า ปราดเปรียวกว่า และทำเวลามากกว่า ขึ้นเร็วลงเร็วนั่นแหละครับ ทำเอาเจ้านายหน้าซีด เพราะเมาเครื่องกันเลยทีเดียว

ด้วยความรีบ เพราะออกจากห้องเรียนก็ตรงมาที่แอร์พอร์ตเลย จึงไม่ได้เตรียมซื้อลูกอม หรือของขบเคี้ยวไว้เผื่อ แต่เมื่อลงจากเครื่องได้แกก็ดูอาการจะดีขึ้นตามลำดับพอที่จะทิ้งไว้คนเดียวได้

“คุณอาร์ทนั่งพักตรงนี้ก่อนเถอะครับเดี๋ยวผมไปเอากระเป๋าให้” เพราะอาการเมาเครื่องที่ยังคงหลงเหลือแกจึงยอมทรุดตัวนั่งโดยดี

ผมจึงมุ่งตรงไปที่สายพานรับกระเป๋าที่ลงมาจากเครื่อง แล้วนึกได้ว่าต้องไปเอารถเข็นก่อน มีคนบริการจนเคยตัวก็จะมีอาการคล้ายแบบนี้แล่ะครับ หากเดินหันหลังได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกหยุดด้วยอ้อมกอดจากด้านหลัง

“เขน”

“รู้ได้ยังไง” ยังไม่ทันได้ฟังคำตอบ ผมก็รีบแกะมือออก ก็นี่มันกลางสนามบินนะครับ ก่อนหันกลับไปหาคนมารับ

“ถ้าไม่รู้สิถึงจะแปลก”

“แล้วเข้ามาได้ยังไง” คนตอบชูบัตร all pass area สำหรับผู้รับเหมาก่อสร้างบริษัทอะไรสักอย่าง

“ไม่ยากหรอกครับ”

“ขี้โกงจริง ๆ มาซ่อมรันเวย์เหรอ” คนตัวโตยื่นมือมาบีบจมูก

“มารับคนรักต่างหาก” คำตอบที่ได้รับ ก่อนที่เราจะไปที่สายพานด้วยกันเมื่อเสียงออดให้ไปรับกระเป๋าดังขึ้น และก็พบว่าผู้ชายของผมเขามาพร้อมกับรถเข็นสัมภาระสนามบินอยู่แล้ว นี่ไงที่ทำให้ผมเคยชิน ก็มีคนบริการตลอด

เราจึงเดินกลับไปที่สายพานเพื่อรับกระเป๋ากัน จนเกือบลืม

“เอ่อ ต้องเอาใบนั้นไปด้วย” ก่อนผมจะหยิบกระเป๋าเดินทางของคุณอาร์ทมา

“นายกลับมาด้วย เกือบลืม” ผมยิ้มเก้อ ๆ ลืมจริง ๆ ครับ พอเขนมารับก็เกือบลืมคนที่เดินทางมาด้วยกันเสียสนิท

“ไหนอะ”

“แกเมาเครื่องนั่งอยู่ตรงโน้น เขนมีลูกอมอะไรไหม ได้ของหวานสักหน่อยน่าจะดีขึ้น”

“อืมมีติดมานิดหน่อย”

“ดีเลย” ผมจึงเดินนำรถเข็นสัมภาระตรงไปยังที่ที่คุณอาร์ทยังคงนั่งอยู่ แกลืมตาแล้ว และดูเหมือนว่าจะสายตาจะจับจ้องที่เราทั้งคู่มาสักระยะ ผมจึงรีบกระซิบคนข้าง ๆ

“ถ้าลืมนะ ได้หางานใหม่แน่ ๆ” เขนจึงหัวเราะร่า จนผมอดไม่ได้ที่จะหยิกให้คนข้าง ๆ ให้หยุดหัวเราะเมื่อเราเดินมาถึง

“คุณอาร์ทดีขึ้นหรือยังครับ” แกพยักหน้าเบา

“เอ่อ...นี่เขนครับ Engineer ที่บริษัทคุณอาร์ทคงเคยพบ” เขนไหว้ก่อนที่คุณอาร์ทจะพยักหน้าอีกครั้ง

“เขน ไหนละลูกอม” ผมจึงหันมาทวงของจากคนข้าง ๆ แต่พอเห็นถุงฟอย์ดสีเงินเท่านั้นผมก็ทำตาโต เขนทำหน้าประมาณก็มีแต่อันนี้ ผมจึงได้แต่ถอนใจ และส่งให้คุณอาร์ทแบบเสียไม่ได้ พร้อมกับภาวนาแกอย่าอ่านตัวอักษรในลูกอมเลยนะ

คุณอาร์ทแกะห่อ และหยิบลูกอมชิ้นเล็กออกมา ผมจึงรีบพูดเพื่อดึงความสนใจจากลูกคมลายเขียวแดงนั่น

“รีบทานเถอะครับมันเปรี้ยว ๆ อมหวาน ทานแล้วน่าจะดีขึ้น”

หากแต่ไม่ทันซะแล้ว แกมองตัวอักษรในลูกอมจริง ๆ ตอนนี้คุณรู้แล้วใช่ไหมว่าตัวอักษรในลูกอมนั่นคืออะไร อะถ้ายังไม่ทราบผมจะเฉลยให้ลูกอมสี่กิโล กว่าสองร้อยถุงนั่น เขียนตัวอักษร R สีแดง รูปหัวใจสีชมพู และตัวอักษร K สีเขียวไว้ ทำเอาผมปั้นหน้าไม่ถูก ก่อนที่คุณอาร์ทจะเอ่ย

“ของส่วนตัวหรือเปล่า ผมไม่เป็นอะไรมาก ยังไม่ต้องทานก็ได้ เกรงใจ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ผมรีบตอบ และคนข้างรีบช่วยพูดให้ดีขึ้น

“ไม่เป็นไรจริง ๆ ครับ มีเยอะ แจกไปครึ่งบริษัทแล้วยังไม่หมดเลย” เอ่อ...แต่พูดอย่างนั้นมันดีขึ้นจริง ๆ เหรอเขน หากทำให้คุณอาร์ทยอมทานจริง ๆ

เมื่อเราจะเดินออกมาข้างนอก ผมจึงถือโอกาสขอตัวไปซื้อน้ำ มาชดใช้ความผิดในใจที่เกือบลืมเจ้านายไป หากเมื่อเดินกลับมาก็พบว่าบรรยากาศบางอย่างมันดูแปลกไประหว่างผู้ชายสองคน

“รุ่ง เดี๋ยวผมแยกตรงนี้คนขับรถมารับแล้ว”

“ครับ แล้วพบกันวันจันทร์ครับ” แกพยักหน้าให้แล้วเดินจากไป

 

“มีอะไรเหรอเขน” ดูเขนขับรถนิ่ง ๆ เหมือนกำลังคิดอะไร

“เปล่าหรอก” เขาหันกลับมาพยายามยิ้ม หากผมรู้ว่ามีอะไรแปลก ๆ ไป หากถ้าเขายังไม่พร้อมจะเล่าผมก็ไม่อยากคาดคั้น ผมจึงซบลงตรงไหล่ข้างคนขับ

“คิดถึงจังเลย”

“ครับ” รอยยิ้มคนข้างจึงกลับมาสดใสอีกครั้ง

“ไม่รู้เหมียวจะคิดถึงรุ่งไหมนะ”

“ที่คิดถึงนี่คือเหมียวเหรอ”

“โอ๋ โอ๋ ง้อแล้วนะ ไม่แกล้งแล้วนะ คิดถึงทั้งเหมียวทั้งเจ้าของเหมียวเลย”

“แล้วใครมากกว่า”

“ถ้าถามว่ามากกว่า ก็ต้อง... เหมียวมากกว่า เป็นห่วงมากกว่า เหมียวกำลังมีน้องนะ แต่ถ้ารัก และคิดถึงก็มีคนเดียวที่มากกว่าทุก ๆ คนอยู่แล้ว”

“ใครน้า”

“อืม........ก็ต้อง”

“หม่าม๊าไง ไปกินข้าวบ้านม๊าดีกว่า ขอกลับไปนอนที่บ้านสักคืนนะเขน”

“แล้วเขนล่ะ”

“ก็ไม่ได้ห้ามสักหน่อย หรืออยากกลับไปนอนที่วังคนเดียว”

“ไม่มีทาง" ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มให้คำตอบของคนชัดเจน ในเมื่อคนตอบมั่นใจขนาดนั้น ผมจึงเงยหน้าเอาคางเกยไหล่ของเขาก่อนที่จะพูด

“แต่ถ้ารักแบบคนรัก รุ่งมีแค่เขนคนเดียวนะ”

“รักนะครับ” ก่อนที่จะกดจมูกลงที่ปลายคางสาก และรีบหนีถอยมาที่นั่ง เพราะรู้ว่ารถยังคงเล่นเร็วบนทางด่วนทำให้คนขับไม่สามารถเอาคืนได้ในตอนนี้

“เขิน หละสิ”

“รุ่งพูดก่อน รุ่งชนะ”

“เขนยอมก็ได้”

“ยอมง่ายจัง”

“แต่เขนยอมรุ่งคนเดียวนะ” นั่นไงแม่มือสองมือจะไม่ว่าง สมาธิต้องใช้ในการขับรถหากคำพูดที่จริงใจชัดเจนของเขาก็ทำให้ดวงใจของคนฟังสั่นไหวได้ คำพูดที่ผมเคยคิดแต่ไม่เคยกล้าที่จะบอก ‘ผมก็ยอมเขาคนเดียวเหมือนกัน’

จึงได้แต่เอนหัวไปซบไหล่คนขับเหมือนเดิม ก่อนที่จะได้ฟังคำซ้ำ ๆ คำเดิม ๆ ที่ไม่เคยเบื่อ

“เขนรักรุ่งนะครับ รักรุ่งคนเดียว”



#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: TAKE CARE 11.03.2018
«ตอบ #142 เมื่อ12-03-2018 09:54:19 »

Chapter XVIII: Take Care

 

“พี่ไม่ไปจริง ๆ เหรอ”

“ไม่ล่ะช่วงนี้ไม่ค่อยอยากไปไหน เป็นห่วงเหมียวท้องมันโตเหมือนจะใกล้คลอด”

“เตะบอลแป๊บเดียวเอง เดี๋ยวผมลองชวนพี่รุ่งก็ได้” นั่นไงเจ้าเด็กแสบนี่มันรู้ว่า ถ้ารุ่งยอมไปผมมีหรือที่จะกล้าปฏิเสธ ผมจึงได้แต่ส่ายหน้า ขณะที่เฟรมเปิดหนังสือเพลงยังเกากีตาร์ต่อไป

จะสามทุ่มแล้วครับ ผมมานั่งรอรุ่งประชุมอยู่กับเจ้าเฟรมได้สักพัก หากยังไม่วี่แววว่าห้องประชุมจะเปิดออกมา

“คงดึกมั้งพี่ ไปหาอะไรกินก่อนไหม” เหมือนเป็นห่วงใช่ไหมครับ หากประโยคต่อไป

“ผมหิว” ทำให้รู้ว่าเฟรมน่าจะแคร์กระเพาะตัวเองมากกว่า หากเพราะเป็นน้องผมจึง

“เดี๋ยวพี่บอกพี่รุ่งก่อน” ผมหยิบมือถือขึ้นมาตั้งใจจะส่งข้อความ หากประตูที่เปิดขึ้นทำให้ผมรีบเงยหน้าขึ้นมอง คนสองคนที่เดินคุยกันออกมาจากห้องประชุม แล้วผู้ชายคนนั้นก็เหลือบมองผมก่อนที่จะพูดขึ้นมา

“รุ่งอย่าลืม เรื่องที่รับปาก ผมไว้นะ”

“ครับ คุณอาร์ทเย็นวันพุธหน้านะครับ ผมไม่ลืมหรอกครับ”

“โอเค งั้นผมรอรุ่งนะ”

“ครับผม แล้วพบกันครับ” รุ่งพูดและยิ้มตอบในขณะที่เขาเดินจากไป

ผมอิจฉารอยยิ้มนั่น แม้ผมจะรู้ว่ามันไม่มีทางที่รุ่งจะยิ้มให้ผมได้เพียงคนเดียว ผมก็ไม่เคยหึง และหวงมากถึงขนาดนี้

หากเมื่อรู้ว่า...

“เขน รอนานไหม หิวหรือยัง”

“ครับ” ทุกอย่างหยุด เพราะสายตา และรอยยิ้มของคน ๆ เดิม ที่ทำให้หัวใจสั่นสะท้านเช่นเดิม หากกลับรักเปี่ยมล้นเท่าทวีมากกว่าเดิม มือที่เอื้อมมาหยิกที่แก้มเบา ๆ ทำให้สติคืนมาอีกครั้ง

“เหม่ออะไร... ไปกินข้าวกันเนอะ ได้รีบกลับไปหาเหมียว” ผมจึงได้แต่พยักหน้าตอบ

“มีผมอยู่ตรงนี้อีกคนนะพี่” ไอ้เด็กแสบมันโวยวาย

“ไปสิ ไปกินข้าวด้วยกันไป” เมื่อรุ่งตอบ มันก็เข้าไปประจ๋อประแจ๋กับรุ่งตามเดิม

แต่ทำไม... ความรู้สึกอึดอัดมันต่างกันมากมายระหว่างผู้ชายสองคน

 

เขาแปลกไปทำไมผมจะไม่รู้ เขามีอะไรในใจแน่ ๆ และสิ่งนั้นน่าจะเกี่ยวกับผม หากมันคืออะไร

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ตอนที่เราคบกันครั้งแรก เขาไม่เคยมีอาการอย่างนี้ ไม่ซับซ้อนมากถึงขนาดนี้ คุณอาจจะคิดว่าเรารักกันมานานนั้นก็ใช่ หากเป็นเวลาเพียงเจ็ดแปดเดือนที่เรากลับมาอยู่ด้วยกันจริง ๆ จึงมีเรื่องที่ต้องเรากลับมาทำความรู้จัก และเรียนรู้กันอย่างมากมาย แต่ด้วยความรักที่ผูกเราทั้งสองคนไว้ และความเป็นเพื่อนที่เคยรู้จักกันมานาน แม้จะเป็นผมคนเดียวที่จำได้ แต่ก็ทำให้อะไร ๆ หลายอย่างไม่ยากเย็นเหมือนกับคู่อื่น ๆ มากนัก

เพราะไม่ว่าอย่างไรพื้นฐานอารมณ์ของเขาก็ยังคงเดิม มุ่งมั่น ตั้งใจ ซื่อสัตย์ เช่นเดิม ที่สำคัญเขาแคร์ ใส่ใจดูแล และทะนุถนอมผมมากกว่าที่เคยมากนัก เหมือนดังผมเป็นแก้วบาง ๆ ที่จะเปราะหักได้ง่าย ๆ ก็ไม่ปาน

หากวันเวลาก็ทำให้เขานุ่มลึก และใจร้อนน้อยลงกว่าเดิมมาก จึงทำให้มีมุมใหม่ ๆ ที่ทำให้ผมต้องเดาว่าเขากำลังเป็นอะไรอยู่

พ่อเหมียวตัวใหญ่ไม่มานั่งที่ฝ่ายตั้งแต่ผมกลับมาจากสิงคโปร์ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยจะแคร์ใคร ดูจะวางตัวแปลก ๆ ดูเกร็ง ๆ ห่าง ๆ และตอแยผมน้อยลงกว่าที่เคยจะเป็นมาก มีแต่เพียงในตาคู่เดิมที่ยังฉายชัดความรักความหวังดีที่มีเช่นเดิม

หากอะไรข้างในแววตาที่เคยสดใส หม่นหมองลงกว่าเดิม

บ่ายแก่ ๆ ในวันเสาร์ วันพักผ่อนสบาย ๆ เขนยังคงนั่งที่ตั่งไม้ตัวใหญ่ ในมือแม้ถือหนังสือหากมองเหม่อออกไปนอกเฉลียง และถอนหายใจเป็นระยะ ขนาดผมแอบยืนมองเขาอยู่ตั้งนานเขายังไม่รู้ตัว

‘เป็นอะไร’

 “เขน ทำอะไรอยู่” ใช่ครับผมไม่สามารถถามคำถามที่ต้องการถามได้ตรง ๆ ตะล่อม ๆ ก่อนก็แล้วกัน ผมถามขณะที่เดินเข้าไป และทิ้งตัวลงในอ้อมเกิดนั้นอย่างเรียกร้องความสนใจ เขาจึงชูหนังสือในมือให้ดูก่อนตอบ

“อ่านหนังสือเพลิน ๆ น่ะรุ่ง ทำงานเสร็จแล้วเหรอ”

“ไม่อะ แต่ไม่อยากทำแล้ว หิว” ใช่ครับก่อนหน้านี้ผมนั่งแอบดูแปลนของศูนย์ใหม่ที่ที่ปรึกษาจากต่างประเทศส่งมาให้ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าคนรักหายไป

“จริงสิ บ่ายแล้ว ยังไม่ได้กินกลางวันใช่ไหม หิวมากหรือเปล่า เขนขอโทษ”   ดูสิครับ เมื่อคนตัวใหญ่เริ่มกระวนกระวายเขาก็ดูเด็กน้อยขึ้นมาทันที

“หิว หิวมาเลย กินช้างได้ทั้งตัวแล้ว เขน” ผมจึงสำทับให้เด็กน้อยร้อนรนยิ่งขึ้น

“ปะ ไปหาอะไรกินที่ร้านข้างล่างกัน” คนตัวโตจึงทำท่าจะลุกขึ้นไปหาอะไรให้ผมทาน ผมจึงทิ้งน้ำหนักรั้งเขาไว้ก่อนที่จะดำเนินการตามแผนต่อไป

“รุ่ง เบื่ออาหารร้านข้างล่างแล้ว”

“แล้วอยากทานอะไรครับ”

“อยากกินไข่ตุ๋น นะเขน ทำให้กินหน่อยสิ นะนะ” คุณเชื่อไหมว่าผมรู้ว่าผมจะได้กินก่อนเอ่ยปากขอด้วยซ้ำ แต่จริง ๆ แล้วผมก็แค่อยากให้เราได้ทำอะไรร่วมกันมากกว่าที่จะออกไปพบความวุ่นวายภายนอก

ใช่แล้วครับ ลงล็อก ตามแผนตามล่าสืบหาความจริง

ผมจึงมานั่งเท้าแขนมองชายหนุ่มในผ้าชุดผ้ากันเปื้อนยืนตีไข่อยู่หน้าเค้านท์เตอร์ครัว ในขณะที่เขาดูเขิน ๆ ที่ผมจ้องเอา ๆ

“ไม่ค่อยมีของสดในตู้เย็นเลย รุ่งอยากกินอะไรอีกไหม มีอาหารแช่แข็งอยู่”

“รุ่งไปเลือกก่อนก็ได้ เดี๋ยวเขนเวฟให้”

“ไม่อ่ะ รุ่งกินไข่ตุ๋นก็พอ” ผมตอบก่อนที่จะเลิกแกล้งจ้องให้คนเขินและเดินไปผ่านเค้านท์เตอร์ไปตักข้าวสวยมาเตรียมไว้สองจาน ในขณะที่เขนเอาไข่เข้าเวฟ ก่อนที่ยกไข่ตุ่นตามมาที่โต๊ะอาหาร

“เอาอะไรอีกไหม” เขาถามขณะที่ยืนอยู่ ยังดูเกร็ง ๆ

“ตอนนี้เหรอ... อยากได้คนกินข้าวด้วยหละมั้ง” ผมตอบพร้อมช่วยเขาแกะผ้ากันเปื้อนออก และฉุดมือเจ้าตัวใหญ่ลงนั่งกินไข่ตุ๋นชามโตด้วยกัน

“อร่อยไหมครับ” เจ้าตัวยังคงไม่ยอมทาน หากถามลุ้น ๆ เมื่อผมเริ่มทานคำแรก

“อืม... เหมือนขาดอะไรสักอย่าง” ผมตอบขณะเคี้ยวไปด้วย

“ขาดเค็มหรือเปล่า... เดี๋ยวเขนไปเอาซอสมาเติมให้” หน้าตาพ่อครัวดูตระหนก และทำท่าจะรีบลุกไปที่ครัว ผมจึงรีบรั้งมือเขาไว้ ก่อนจะพูดต่อ

“เปล่า... ขาดคนแย่งกินกับคนป้อนหรอกเขน” เขาจึงหันกลับมายิ้มกริ่มเต็มตา เป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์

ในที่สุดก็เป็นไปตามแผน อารมณ์ดีขึ้นแล้วใช่ไหมครับคุณพ่อครัว....

ผมขอเล่าข้ามเหตุการณ์หลังจากนั้น หากบอกได้แค่ว่าความจริงไข่ตุ๋นชามนั้น รสชาติมันออกจะหวาน ๆ ไปมากกว่าปกตินิดหน่อย นิดเดียวเองครับ ไม่เชื่อคุณลองให้คนรักทำให้ทาน และผลัดกันป้อนสิครับ...

 

หลังจากที่แกล้งแหย่กัน ขณะล้างจาน เก็บครัว และถูพื้น หากยังไม่ทันได้ถามคำถามที่เตรียมไว้ตามแผน เราก็มีเรื่องยุ่ง ๆ กะทันหันในช่วงเย็นเมื่อเหมียวมาร้องให้ตามมันไปที่ตะกร้าที่นอนของมันในห้องหนังสือ

ไม่มีอะไรมากหรอกครับแค่ผู้ชายสองคน นั่งมุงเป็นแรงใจให้แม่เหมียวคลอดลูก คุณอาจไม่เชื่อ ผมยังไม่เชื่อตัวเอง หากลองดูก็ได้ครับ เมื่อสัตว์เลี้ยงที่เรารักแล้วเขาไว้ใจเรามาก ๆ ในยามที่เขาเจ็บหรือต้องการกำลังใจเขาจะมาตามเราไปเฝ้าเขา

ผมสองคนกับประสบการณ์การทำคลอดเป็นครั้งแรก ที่ได้แต่นั่งลุ้น และลูบหัวเหมียวเป็นกำลังใจระหว่างที่มันดูปวดท้องกระสับกระส่ายเป็นระยะ ก่อนที่ลูกแมวในถุงรกจะค่อย ๆ ออกมา และแม่เหมียวก็ค่อย ๆ ทำความสะอาดทีละตัว ๆ ก่อนที่ลูกแมวสีสันต่างกันทั้งสามตัวจะมานอนไซร้กินนมแม่เหมียวที่มีแรงขึ้นมาเล็กน้อย จากอาหารที่เขนเอามาให้หลังจากที่เหนื่อยอ่อนจากการคลอดลูกมากว่าชั่วโมง

หากไม่รู้ว่าผดุงครรภ์จำเป็นอย่างตัวผมเองก็ลุ้นจนเหงื่อตกด้วย จนกระทั่งแก้วน้ำถูกส่งมาให้ และได้ดื่มด่ำกับความเย็นฉ่ำชื่นใจจากน้ำภายในแก้ว แล้วจึงทราบว่าตัวเองก็ร้อน และอ่อนเพลียมากเพียงไรที่นั่งช่วยลุ้นอยู่ที่ห้องหนังสือ แต่อาการอ่อนเพลียที่ว่าก็ลดไปกว่าครึ่ง เมื่อมีมือที่ยื่นมาเช็ดเหงื่อออกให้จากไรผม และหน้าผาก หากเจ้าของแววตาที่เคยสดใสเมื่อบ่ายกลับหม่นหมองลงยิ่งกว่าเดิม

“เหนื่อยไหมครับ”

“นิดหน่อยหนะเขน” คนถามเงียบไปเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไร ก่อนที่จะเอ่ยประโยคแปลก ๆ ถัดมา

“รุ่ง...อยู่กับเขนแล้วลำบากหรือเปล่า” คำถามสะดุดหู บ่งบอกความผิดปกติทางใจของคนถามชัดแจ้ง

“ให้เหมียวพักเถอะ เราไปคุยกันดีกว่า” ผมพูดก่อนลุกขึ้นลากคนที่กำลังคิดมาก ออกมาจากมุมตะกร้าที่นอนของเหมียว และลูก ๆ ไปนั่งที่เฉลียงที่ยื่นออกไปนอกห้องเพื่อรับลม และคงถึงเวลาหาคำตอบกันจริงจังสักที

“เขน... เกิดอะไรขึ้น ทำไมถามแบบนี้”

“เปล่า... เขนแค่ คิดว่ารุ่งอาจจะลำบากถ้ายังอยู่กับเขน”

“แล้วยังไงอีก” ผมถามต่อ

“แล้ว...รุ่งอาจจะสบายกว่านี้ถ้าเลือกคนอื่น”

“เขนหมายถึงใคร”

“เปล่า เขนแค่คิดเล่น ๆ” ผมรู้ว่าไม่จริง

คำถามที่คนของผมพูดมาเหมือนเขามีบาดแผลในใจที่ต้องมีใครบางคนกรีดหรือสะกิดอะไรมาให้คิด หากไม่มีประโยชน์ที่จะมาซักไซ้หาต้นตอกันตอนนี้ เพราะสิ่งที่จำเป็นเร่งด่วนกว่าคือต้องเยียวยาให้บาดแผลของคนรักที่กำลังทรุดหนักกลับมาดีให้ได้เสียก่อน

“เขน เขนฟังรุ่งนะ รุ่งก็เหมือนเหมียว”

“เขนสงสัยไหมทำไม เหมียวถึงวางใจให้เรามาอยู่กับมันตอนที่มันเจ็บ ตอนที่มันลำบาก เพราะว่ามันรัก และไว้ใจเราสองคน”

“รุ่งก็เหมือนกันรู้ไหม รุ่งไม่เคยคิดหรอกว่าจะสบายหรือลำบากอะไร เพราะชีวิตคนเราต่อให้จะมีหรือจะจนมากแค่ไหน ก็ต้องมีทั้งสุขทั้งทุกข์ อาจจะแตกต่างกันบ้างที่ทางกายหรือทางใจ บางคนที่เขาสบายกาย ก็อาจจะทุกข์ใจก็ได้ใครจะรู้ บางคนอาจจะยอมทุกข์กาย หากสบายใจ ก็แล้วแต่มุมมองขึ้นอยู่ที่ความพอใจของแต่ละคน” ผมได้แต่ถอนหายใจ ในขณะที่เขายังคงก้มหน้านิ่ง จึงยื่นมือไปประคองใบหน้าคมให้เงยขึ้นมาสบตาก่อนที่จะพูดต่อ

“แต่สำหรับรุ่ง รุ่งเป็นอย่างหลัง รุ่งขอแค่ได้อยู่กับคนที่รัก ขอให้ได้อยู่กับเขนรุ่งก็พอใจแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตอนนี้รุ่งมีความทุกข์หรือลำบากอะไรหรอกนะ เพราะที่เราเป็น ที่เรามีอยู่ก็วิเศษที่สุดและเพียงพอแล้วสำหรับรุ่ง”

“เขน...เราจากกันมานาน พรากกันมาไกล เกินกว่าที่ใจรุ่งจะรับได้แล้วนะเขน” ดวงตาที่มีแววสั่นไหวทำให้ผมรู้ว่าเขาเข้าในและรู้สึกเช่นเดียวกัน

“เขนอย่าพูดอย่างนี้อีกเลยนะ” หากผมพึ่งรู้ว่าความรู้สึกไหวหวั่นสั่นสะท้านในใจทำให้เสียงของตัวเองที่เอ่ย ออกมาสั่นเครือ จนมือใหญ่ยกขึ้นมากอบกุมมือของผมที่ประคองใบหน้าเขาไว้ และเอียงหน้าซบลงบนมือทั้งสองและส่งผ่านความอ่อนไหวภายในใจที่เชื่อมโยงถึงกัน และด้วยความรู้สึกภายในใจที่เอ่อล้นก็ผลักดันถ้อยคำต่างๆ ให้พรั่งพรูออกมา

“เพราะชีวิตที่เหลืออยู่ ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข ไม่จะสบายหรือลำบากอย่างไร รุ่งไม่เคยสนใจ ขอเพียงได้อยู่กับเขน เขนแค่คนเดียว ชีวิตนี้รุ่งก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้วนะ”

“อย่าไปฟังใครอีก ขอแค่เขนเชื่อรุ่ง รุ่งไม่มีวันปล่อยเขนไปไหนอีกแน่ ๆ นอกเสียจากว่าเขนจะไม่ต้องการรุ่งแล้ว”

“ไม่มีทาง” คำพูดแรกที่สวนกลับมาทันที... เป็นคำที่ทำให้ใจผมชื้นขึ้นมาทันใดเช่นกัน และความอบอุ่นที่ซึมซาบเข้ามาในหัวใจก็ปลุกเร้าประสาทสัมผัสให้มารู้ตัวอีกครั้งเมื่อทั้งร่างของตัวเองเสมือนปลิวมาอยู่ในอ้อมอกที่กอดกระชับรัดแน่นอย่างง่ายดาย

“ไม่มีวัน ไม่มีทาง รุ่งรู้เอาไว้นะ ไม่มีวันที่เขนจะไม่ต้องการรุ่ง”

“เขนจะไม่ยอมกลับไปอึดอัด เหมือนขาดอากาศหายใจ เหมือนในอดีตอีกแล้ว รุ่งเป็นลมหายใจ เป็นความสุข เป็นความทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเขนนะ เขนจะไม่มีวันยอมให้เราต้องกลับไปเป็นเหมือนอดีตที่ผ่านมาอีกแล้ว” คำพูดที่ดูเหมือนเด็กน้อยเอาแต่ใจกลับมา และทั้งหมดยิ่งทำให้รู้ว่าผมมีค่าและสำคัญกับเขามากแค่ไหน

“รุ่งรักเขนนะ” ผมจึงซุกใบหน้าเข้าหาอ้อมอกที่ปรารถนาจะพักพิงไปตลอดชีวิต

“ค่ะ เขนก็รักรุ่งนะคะ” อ้อมแขนที่กระชับขึ้น และสัมผัสจากปลายจมูกคมที่ค่อย ๆ ซุกไซร้ที่ไรผม ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นเพื่อรองรับจุมพิตที่แสนอ่อนหวานรุกเร้าและเรียกร้องจากเขา หลังจากนั้นสติก็หลุดลอยและความรู้สึกต่าง ๆ ยังคงเบล อๆ เมื่อสัมผัสที่แนบชิดและบทรักที่แสนจะอ่อนหวานจบลง ทั้งหมดเป็นเพราะอ้อมกอดที่ยังคงสอดรัด และพ่อเหมียวยังคงตอแยอย่างไม่ปล่อยให้สมองได้ทันรวบรวมสตินึกคิดสิ่งอื่นใด

แต่ในใจยังคงติดค้างเหมือนผมจะลืมถามคำถามบางคำถาม ‘หากอะไร...ยังคงคิดไม่ออก’ แต่ไม่ว่าภายภาคหน้าจะเป็นอย่างไร แม้อะไรจะเปลี่ยนแปลงไป ผมพร้อมที่จะยอมรับและเผชิญกับมัน และผมเชื่อว่าทุก ๆ อย่างจะพ้นผ่านไปด้วยดี เพียงเพราะความรักที่เราสองคนมีให้แก่กัน





#JKLTHESERIES

 

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: IN MY MIND 11.03.2018
«ตอบ #143 เมื่อ12-03-2018 10:01:08 »

Chapter XIX: In my mind

 

‘เขาพูดถูก’ สิ่งที่เขาคนนั้นพูดถูกต้อง ทำไมผมจะไม่รู้ เพราะผมเองก็เคยเป็นหนึ่งในพวกเขา ‘คนที่รัก คนที่ชื่นชม...เขา’ ถ้าย้อนกลับมามองจากมุมเดิมที่ผมเคยยืนอยู่ ‘รุ่ง’ ก็ควรค่าเกินกว่าจะมาอยู่กับผู้ชายธรรมดาเช่นผมจริง ๆ

ผู้ชายที่มุ่งมั่นตั้งใจ มองภาพ วางแผนเป็นระบบ ฉลาดเกินกว่าที่จะมานั่งเป็นสถาปนิกธรรมดา ๆ เขาเป็นเดียวที่สายบริหารเสียใจมากในทางเลือกของเขา แต่สิ่งที่เขาเลือกทำเพื่อผม

ผู้ชายที่รับผิดชอบทุ่มเท และละเอียดอ่อน เขาให้ความสำคัญความรู้สึกของคนอื่นมากกว่าความต้องการของตัวเอง ทำให้คนที่ได้สัมผัสทุกคนประทับจิตซึ้งน้ำใจ และนิยมชมชอบด้วยใจจริง

ผู้ชายที่สวยหวาน น่ารัก น่าทะนุถนอม ไม่ว่าใครที่เคยพบ หรือเพียงแค่เดินผ่านต้องรู้สึกถึงความงดงามละมุนละไมของเขา ที่กระจายฟุ้งอยู่รอบรสสัมผัสความเป็นตัวตน

ผู้ชายที่มีเสน่ห์นุ่มลึก ชวนให้คนอยู่ใกล้หลงใหลลุ่มหลง ไม่มีข้อกังขาแม้เลยสักนิด และไม่สงสัยว่าทำไมพี่บลู คุณอาร์ท หรือคนอื่น ๆ ก็รู้สึก

และทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่เหมาะ ไม่ควร...แม้จะเพียงดึงมาเพื่อเทียบเคียงกับคนเช่นผม หากผมควรจะทำอย่างไร

ในเมื่อ ‘หัวใจของผมอยู่ที่เขาและหัวใจของเขาอยู่ที่ผม’

 

หึง... หวง…

ความรู้สึกที่กระอักกระอ่วนเต็มล้นอยู่ภายในใจ ทั้งที่รู้ว่าไม่ควร... ผมไม่ควรค่าพอที่จะรู้สึกนี้ได้ ทั้งที่รู้ว่าไม่มีทาง... เขาไม่มีทางทำอะไรที่ผิดต่อความรักที่เรามีให้แก่กัน แต่มันห้ามไม่ได้เลย

“เขนกลับก่อนเลยนะ เย็นนี้รุ่งไปงานวันเกิดคุณอาร์ทกับพี่บลู น่าจะกลับดึกๆ เดี๋ยวให้พี่บลูไปส่ง ไม่ต้องห่วงนะ” ร่างบางพูดขึ้นเมื่อเห็นผมเดินเข้ามาในห้องทำงาน

“ครับ” ผมรู้แล้ว รุ่งบอกแล้ว

“ขับรถกลับบ้านดี ๆ นะ เป็นอะไรไม่สบายหรือเปล่า สีหน้าไม่ดีเลย” มือเรียวที่ยกมาแตะหน้าผากเบากับรอยยิ้มที่เอาใจใส่ ทำให้ผมยิ่งละอาย

“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ รุ่งไปเถอะ”

“พบกันที่บ้านนะ” รุ่งเดินออกไปพร้อมกับพี่บลูเราพยักหน้าให้กันก่อนที่ทั้งสองจะเดินออกจากฝ่ายไปพร้อมกัน

ใช่ครับผมโกหกครึ่งหนึ่ง... ที่บอกว่าไม่เป็นไร ร่างกายยังคงสมบูรณ์ หากหัวใจ...คำตอบที่แท้จริง คือผมหวง ผมหึง ทั้งสองคนเลย

คนคนนั้นผมไม่ได้รู้สึกอะไรมาก หากเขาเป็นคนที่ทำให้ผมฉุกคิด

‘รุ่งน่าจะได้คนที่ดีกว่านี้นะผมว่า คุณอาจจะทำให้เขามีความสุขใจได้… แต่เขาน่าจะสุขกายสบายใจกว่านี้ ถ้าเขาอยู่กับคนที่พร้อมกว่าคุณ’

ผมรู้ ผมเข้าใจ ผมเห็นด้วย แต่เขาเลือกผม... เขาเลือกผมไม่ใช่หรือ...

ถ้ายังฉุดรั้งเขาไว้ต่อ ผมจะผิดไหม ผมจะทำให้เขาลำบากไหม หรือควรตัดใจปล่อยให้เขาพบคนที่ดีกว่านี้ สิ่งนั้นผมยังคิดไม่ตก

หากที่รู้สึกผิด... กับผู้ชายอีกคนมากกว่า ‘หึงเชากับพี่บลูผมผิดไหม’

แม้จะรู้ว่าเป็นอดีตสั้น ๆ

แม้จะรู้ว่าคนของผมเขาไม่ได้มีใจ

หากเขาก็เคยคบกัน เคยมีรู้สึกดี ๆ ที่มีให้ต่อกัน และยังรักกันมาก ๆ ในวันนี้ แม้จะไม่ใช่แบบคนรัก แต่มันห้ามไม่ได้เลย... หึง… หวง…

 

‘วังศศิธร’ บ้านของเราสองคน รุ่งบอกว่าที่นี่คือ ‘บ้าน’ หากคืนนี้มีผมคนเดียวที่กลับมาที่บ้านอย่างโดดเดี่ยว คำว่า ‘บ้าน’ คงจะกลับมาสมบูรณ์อีกครั้งเมื่อมีความรัก คนรัก และครอบครัวกลับมาอยู่รวมกัน แต่ในเมื่อมีเพียงแค่ผมคนเดียวจะให้ทำอย่างไรกับความรู้สึกสับสนในใจ

ถ้าคุณเคยแอบรักใครสักคน ‘แม้วันที่ได้ความรักนั้นมาแล้ว’ หากไม่ว่าอย่างไร ความรู้สึกที่เคยรับรู้และตอกย้ำมาเสมอว่า ‘รักข้างเดียวยังจะวนเวียนหลอกหลอน’

ทั้งที่รู้ ทั้งที่ผมรู้ว่ามันไม่ใช่

‘รัก’ คือเสียงที่ดังก้องในใจของเราทั้งสอง

แต่หากถ้าวันหนึ่งผมยอม... ยอมกลับไปรักเขาเพียงข้างเดียวอีกครั้ง เพื่อให้เขาอยู่ในที่ที่เขาเหมาะสม เพื่อให้เขากลับไปอยู่ในที่ที่เขาคู่ควร ถ้าผมเก็บทุกอย่างไว้เพียงในใจ ถ้าผมฝืนให้เสียงนั้นดังเพียงในใจ และเก็บ ‘รัก’ นั้นไว้หัวใจของผมคงจะเจ็บช้ำ รวดร้าว ทรมาน หากผมยอม เพราะผมไม่มีวันและไม่มีทาง ผมจะไม่ยอมให้ดวงใจอีกดวงต้องบอบช้ำแม้เพียงเล็กน้อย

กล่องพลาสติกสามกล่องที่บรรจุทรายสามกล่องที่ตั้งเรียง ตอกย้ำเวียนซ้ำ ถึงความสัมพันธ์ ถึงคนรัก ถึงความรักที่เรามีให้กัน คนให้เพียงแค่เที่ยงตรงสม่ำเสมอหากคนรักต่างหากที่ต้องลงทุนทุ่มเทแรงกาย และแรงใจทำถึงเพียงนี้

สารานุกรมเล่มใหญ่ที่บรรจุซองลิลลี่ขาวอบแห้งในมือเป็นดังสัญลักษณ์ ความซื่อสัตย์ ความผูกพัน ความคงมั่นที่เรามีให้กัน ทุก ๆ สิ่ง ทุก ๆ อย่าง... ส่งพลังแผ่กระจายความอบอุ่น แนบซึ้ง ซึมลึก เข้ามาแทนที่ความเหงา อ้างว้าง และสับสนภายในหัวใจ

ผมจะไม่ปล่อยมือไปจากเขา จนกว่าจะถึงวันที่เขาจะเป็นคนปล่อยมือจากผมไปเอง จนกว่าจะถึงวันนั้น... ผมถึงจะยอม...

 

บรรยากาศงานเลี้ยงวันเกิดที่แสนน่าเบื่อ มันอาจดูใหญ่โตหรูหรา สนุกสนานและสมบูรณ์แบบสำหรับคนอย่างคุณอาร์ท หากไม่ใช่ผม... ผมเบื่อ

อยากกลับบ้านไปดูแลเหมียว ดูลูกเหมียวเล็ก ๆ สามตัว และกลับไปอยู่กับพ่อเหมียวมากกว่า แต่เมื่อรับปากว่าจะมาแล้ว จะรีบกลับตั้งแต่ต้นงานก็น่าเกลียด หากไม่คิดว่าต้องมายืนอยู่วงในใกล้ตัวท่านเจ้าของงานมากขนาดนี้ และไม่คาดมาก่อนว่าเจ้าของงานจะลากไปทำความรู้จักคนนั้นคนนี้มากมาย

‘ทำอะไร ต้องการอะไรกันแน่’ ผมเพิ่งรู้สึกว่ามันชักจะแปลก ๆ และกว่าจะปลีกตัวออกมาหาพี่บลูได้ ก็ทำเอาเหงื่อตก

“เอ๋า กินน้ำก่อน” แก้วน้ำเปล่าสีใสแก้วแรกถูกส่งมาให้

“ไม่ชอบน่ะสิ” พี่บลูเริ่มแซว

“ไม่รู้อะไรของเขา” ผมถอนหายใจก่อนที่จะรีบกระดกน้ำเปล่าลงไปในท้อง เพื่อเจือจางแอลกอฮอล์ที่จำต้องดื่มมาเกือบครึ่งคืน

“ตั้งใจจะมอมเหล้ามั้ง รู้สึกตัวหรือยัง เรื่องนั้น”

“พี่ก็รู้? ผมก็ว่ามันแปลก ๆ ไม่คิดว่าเขายัง...”

“เขา หนะคงไม่เปลี่ยนหรอก แต่ที่จะเปลี่ยนระวังคนของตัวเองดี” พี่บลูพูดทำให้ได้คิด

“ผมถึงว่า....” นี่ใช่ไหมที่เขนเปลี่ยน

“ได้เคยคุยกันหรือเปล่า” ผมใช้สมองที่มีสติเหลือเพียงไม่มากเริ่มคิดคำนวณ วันนั้นแน่ ๆ ที่สนามบิน จึงได้พยักหน้าตอบพี่บลูกลับ

“เขนดูข้างนอกมุทะลุ ดุดัน พูดตรง ใจร้อนก็จริง แต่บทจะเก็บมันก็เก็บเงียบ”

“คิดมาก” ผมช่วยเสริม

“เรื่องมันก็น่าคิด ไม่รู้ว่าเขาไปใส่เรื่องไหนไว้” พี่บลูเสริม

“ไอ้พี่อาร์ทหนะเรื่องงานเปลี่ยนไปแน่ แต่บางอย่างมันเปลี่ยนไม่ได้ นิสัยส่วนตัวก็ยังเหมือนเดิม อยากได้ต้องได้ ระวังไว้เชียว ไม่หยุดง่ายหรอก” อย่างที่เคยบอก ผมเคยรู้จัก คุณอาร์ทมาก่อนตั้งแต่ตอนเรียนที่อังกฤษ และตอนที่เคยมีเรื่องกันพี่บลูก็อยู่ด้วย เพราะคนที่ทำให้เรามารู้จักกันก็คนข้าง ๆ ผมนี่แหละครับ ตอนนั้นเขนอยู่ที่เยอรมัน ใช่ครับช่วงที่ผมหนีมาเรียนต่อที่อังกฤษกับพี่บลู

คนไทยที่อังกฤษก็มีไม่มากนัก สังคมเล็กของนักศึกษาจากต่างแดนทำให้รู้จักกันไม่ได้ยาก คุณอาร์ทแก่กว่าพวกผม และพี่บลูหลายปีอยู่ แต่ยังเรียนไม่จบสักที เพราะความเจ้าชู้ ล่องลอย แต่ตามนิสัยคนที่มีอันจะกิน รุ่นพี่รุ่นน้อง สาว ๆ มากมายถึงรายล้อม มีงานเมื่อไหร่ ถ้าเห็นพี่อาร์ทก็รู้ได้เลยว่างานนั้นกินฟรี เพื่อนฝูงจึงตามกันเกรียวกราว แล้วอาจจะเป็นเพราะผมไม่เคยสนใจเขา หรืออาจจะเรียกได้ว่าไม่แยแส ได้ละมั้งครับ มันจึงยิ่งกลับเป็นจุดสนใจ กว่าครั้งนั้นจะสลัดออกมาได้ ผมต้องตัดใจทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ประจานกันกลางงานเลี้ยง

‘คุณคิดว่าผมจะยอมลดตัว ไปคบกับคนที่ไม่เอาถ่าน เอาแต่ผลาญเงินพ่อแม่ไปวัน ๆ เหรอ ถ้าคุณคิดอย่างนั้นก็แสดงว่าคุณไม่รู้จักผม ถ้ายังเป็นผู้เป็นคนกับเขาไม่ได้ เรียนตกแล้วตกเล่า ไม่ทำงานทำการ คุณก็ควรไปกกเด็กของคุณต่อไป อย่ามายุ่งกับผม’ ครับผมรู้ว่ามันแรง และคิดว่าไม่น่าจะกลับมามองหน้ากันติดอีกต่อไป หากไม่คิดว่า เขากลับล้มล้างทุก ๆ อย่างตามคำปรามาสของผมได้ทุกประการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ผมกลับมาศรัทธา และชื่นชมเขาในตอนนี้ แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ผมต้องกลับไปสนใจเขา หรือไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้เขากลับไปทำร้ายผู้ชายที่ผมรักมันไม่ใช่เรื่อง

“กว่าจะแกะออกได้ คราวที่แล้วก็แทบแย่” พี่บลูพูดขำๆ

“งั้นก็ต้องรีบแกะตั้งแต่วันนี้” สมองของผมกลับมาทำงานอย่างเต็มศักยภาพอีกครั้ง

“พี่บลู โทรไปตามเขนมาให้หน่อยสิครับ” พี่บลูพยักหน้ารับขำ ๆ ด้วยสนิทกันมาก ไว้ใจ และทำงานร่วมกันมานาน ทำให้เรื่องบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องเล่าละเอียด

“เหมือนแม่เสือเข้าไปทุกทีนะเรา ใครทำอะไรก็ได้อย่ามาทำร้ายลูกเสือ” ผมยิ้มให้กับคำเปรียบของพี่บลู

“กลับเข้าไปก่อน เดี๋ยวพี่โทรให้แต่รุ่ง...” พี่บลูหยุดพูด และมองโทรศัพท์ในมือตัวเอง เหมือนไม่แน่ใจอะไรบางอย่าง ผมจึงอดเอ่ยปากถามไม่ได้

“อะไรเหรอครับ”

“รุ่ง แน่ใจว่าเขนจะไม่คิดมากเรื่องพี่” พี่บลูพูดอีกสิ่งที่ทำให้ผมเผลอมองข้ามไปผู้ชายของผมเขาคิดมากเสมอ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นเรื่องของผม

“พี่บลูก็โทรไปให้พี่เชนมาด้วยสิครับ” สมองของผมคิดหาทางออกอย่างฉับพลัน

“อืม โอเค งั้นเดี๋ยวโทรหาเชนก่อน เผื่อมีเรื่องได้ช่วยกัน”

“งั้นผมเข้าไปในงานก่อน”

“อืม” ผมคงต้องกลับไปเอาเหล้าเทใส่ตัวเองเพิ่มอีกหน่อย เพื่อความสมจริง เรื่องวันนี้มันยากกว่าในอดีตมาก หากไม่เกินความสามารถ เมื่อเรารู้ว่าเรารัก และเชื่อมั่นในคนที่เรารักมากเพียงไหน ความเป็นแม่เสืออย่างที่พี่บลูว่า กำลังผลักดันพลังงานบางอย่างทำให้ความคิดในสมองของผมปะทุอย่างรุ่งโรจน์ ต้องทำให้เรื่องงี่เง่านี่ จบให้เร็วที่สุด



#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: JKL THE SERIES: LOVE: IN MY MIND 11.03.2018
«ตอบ #144 เมื่อ12-03-2018 15:46:06 »

ตามอ่านทันแล้ว หลังจากเว้นห่างไประยะหนึ่ง

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: OURS STORY 13.03.2018
«ตอบ #145 เมื่อ13-03-2018 08:50:56 »

Chapter XX: Ours Story

 

“เพล้ง!!!!!!” เสียงแก้วแตกดึงสติสัมปชัญญะของผมที่กำลังเหม่อลอย ยืนลังเลอยู่ด้านนอกห้องกระจกใส บนชั้นดาดฟ้าของบาร์บนโรงแรมหรู

‘เกิดอะไรขึ้น’ ผมจึงรีบเดินผ่านประตูบานเลื่อนเข้าไป จึงพบกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อพบว่าเศษแก้วตกกระจายอยู่ตรงหน้าคนสองคนที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่กลางห้อง และหนึ่งในนั้นก็คือคนรักของผม

“รุ่ง.....”

“รุ่งเป็นอะไรรึเปล่า” ผมจึงรีบรุดตรงไป และย่อตัวลงปัดเศษแก้วที่ตกกระจายอยู่ซึ่งมีบางส่วนกระเด็นมาติดที่ขากางเกง และรองเท้าของเขา ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนเคียงข้าง

“คุณคงเห็นชัดเจนแล้วใช่ไหมว่าอะไรเป็นอะไร” คำพูดที่ก้องกังวานท่ามกลางความเงียบของห้องที่ผู้คนโดยรอบต่างนิ่งอึ้ง ยังคงส่งตรงถึงคู่กรณี

“คุณลองรักตัวของตัวเองให้ได้ ให้ดีก่อนที่จะเผื่อแผ่มาให้ใคร และถ้าให้ดีก็ไม่ต้องเผื่อแผ่แบ่งปันมาทางผมอีก”

“ระหว่างเราไม่มีวันเปลี่ยนแปลงสถานะเป็นอื่นใดได้นอกจากเจ้านาย และลูกน้อง เพราะผมมีคนรักอยู่แล้ว ถ้าคุณยังมาพูดหรือทำอะไรให้เราต้องลำบากใจอีก อย่าหวังว่าผมจะไว้หน้าคุณอีกต่อไป”

 

ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าค่อยชัดเจนขึ้น เห็นได้ชัดว่าก่อนที่แก้วไวน์จะตกแตกดูเหมือนเครื่องดื่มภายในแก้วสีแดงสดจะถูกสาดให้ไปปะทะอยู่บนหน้าคู่กรณีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยหลักฐานที่ยังคงหยาดหยดจากใบหน้า และเปียกชุ่มไปทั่วเสื้อ และสูทลำลองสีเข้ม

“แล้วคุณก็รู้ว่าผมเป็นคนพูดจริงทำจริง ได้โปรดอย่าลืม”

“กลับกันเถอะเขน” ร่างโปร่งบางละสายตาที่มุ่งมาดจากเจ้านายตัวเอง ก่อนเดินนำออกไปจากงานปาร์ตี้ที่ยังเงียบกริบทั้งงาน ผมจึงได้แต่เดินตามออกไป

 

กลิ่นเหล้าที่ดูเหมือนจะระเหิดออกมาจากคนข้าง ๆ ยังคงส่งกลิ่นฟุ้งกระจายไปทั่วรถ ขนาดคนที่ไม่ได้เตะเครื่องดื่มมึนเมาแม้แต่เล็กน้อยเช่นผมยังเกือบจะมึนเมาเคลิบเคลิ้มตาม หากเจ้าตัวที่ปกติน่าจะสลบไปด้วยความเข้มข้นของแอลกอฮอลล์ในสายเลือดกลับยังคงนั่งนิ่งทอดสายตาออกไปนอกรถเหมือนครุ่นคิดอะไรมาตลอดทาง จนกระทั่งรถเคลื่อนตัวมาจอดลงที่ที่จอดรถประจำใต้ต้นปีบสูงใหญ่ริมกำแพงรั้วหลังบ้านของเรา

เวลาเกือบตีสามร้านเบเกอรี่ชั้นล่างปิดบริการไปตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ จึงมีเพียงแสงไฟรำไรที่สาดส่องออกมาจากโคมด้านหน้าตึก ซึ่งอ่อนแรงไม่เพียงพอที่จะอ้อมส่งความสว่างไสวมายังที่จอดรถที่มืดมิดด้านหลังตึกได้ จึงมีแต่เพียงแสงเรืองรองสีฟ้ากระจ่างใสจากเรือนไมล์ของตัวรถที่ยังคงติดเครื่องอยู่

‘คิดอะไรอยู่’ ร่างที่ยังคงสงบนิ่งไม่มีวี่แววไหวติง แม้รถจะจอดสนิทแล้ว ทำให้ผมต้องกลั้นใจถามออกไป

“รุ่งจ๋า เป็นอะไรหรือเปล่า” หากยังคงมีแต่ความเงียบสงัดที่แผ่กระจายอยู่ภายในตัวรถเมื่อสิ้นเสียงสุดท้ายของประโยคที่ผมเอ่ยออกไป จึงตัดสินใจเอื้อมมือออกไปกุมมือเรียวบางที่วางอยู่

“รุ่ง.... เป็นอะไร เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ” ก่อนที่ใบหน้าหวานจะค่อย ๆ เบือนกลับมามองพร้อมกับเผยให้เห็นหยาดหยดน้ำตาสีฟ้าใสจากแสงไฟที่ตกกระทบไหลรินอาบแก้มนวล

“รุ่ง...............” ทำให้ดวงใจของผมกระตุกวูบลง ก่อนที่จะรวบร่างบางติดปลิดปลิวข้ามมาอยู่ในอ้อมอก

“เป็นอะไรคะ ที่รัก”

“ใครทำอะไร...หรือไอ้หมอนั่น มันทำอะไรรุ่งบอกเขน เขนจะไปจัดการมันให้สิ้นซาก” ใจผมเริ่มร้อนระอุรุนแรง

“............................” หัวเล็กที่ซุกอยู่ที่อกส่ายเบา ๆ หากไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด

“รุ่ง บอกเขนนะ พูดกับเขน รุ่งเป็นอะไร มันทำอะไรให้รุ่งเสียใจหรือเปล่า”

“.......เขาเป็นคนอื่นเขน” เสียงหวานใสค่อย ๆ ตอบช้า ๆ พร้อมกับกลั้นเสียงสะอื้น

“เขาทำอะไรรุ่งไม่ได้หรอก คนที่ทำให้รุ่งเสียน้ำตา คือคนข้างหน้ารุ่งตอนนี้ต่างหาก” ดวงตาเรียวทอประกายระยิบด้วยน้ำที่ยังปริ่มล้นเต็มสองตา

“อึดอัดไหม ตอนที่รุ่งไม่ตอบ รู้สึกเสียใจไหมถ้ารุ่งไม่ยอมเชื่อใจ”

“เขนเข้าใจหรือยังว่ารุ่งรู้สึกอย่างไง ที่ต้องมาทนรู้ว่าคนที่รักเปลี่ยนแปลงไป เพียงเพราะคำพูดของคนอื่น”

“มีอะไร สงสัย แคลงใจตรงไหน ทำไมไม่ถามกันตรง ๆ ทำไมต้องเก็บไว้คนเดียว”

“เขน...” ผมยังคงพูดไม่ออก เพราะยังคงช็อค... น้ำตาพวกนี้เป็นเพราะผมเป็นต้นเหตุ

“เรารักกันไม่ใช่เหรอเขน เราเป็นคนรักกันไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมมีอะไรไม่ถาม ไม่บอกหรือไม่ได้รัก ไม่ได้เชื่อใจกันอีกต่อไปแล้ว” ใจของผมอ่อนยวบตามร่างที่สั่นสะท้านด้วยแรงอารมณ์ และพยายามจะผละตัวเองออก จึงได้แต่กระชับอ้อมกอดก่อนจะรีบตอบตามความรู้สึกข้างในหัวใจ

“เปล่านะรุ่ง เพราะเขนเชื่อ เพราะเขนรู้ว่าเรารักกัน และรุ่งจะไม่มีวันทิ้งเขนไปไหน แต่...........”

“แต่?”

“แต่เขนรักรุ่ง เขนไม่อยากให้รุ่งลำบาก ที่คุณอาร์ทพูดก็จริง รุ่งน่าจะพบคนที่ดีกว่าเขน คนที่พร้อมกว่าเขน.....” อารมณ์ความสับสนมากมายจากคราบน้ำตาทำให้หลุดเผยสิ่งที่คั่งค้างภายในใจ

“เขน..... แล้วเขาคนนั้นที่เขนว่าจะรักรุ่งเท่านี้ไหม”

“ไม่ ไม่อย่างแน่นอน” ผมมั่นใจ

“เรารู้จักกันมานานนะเขน แม้เขนจะลืมเลือนหลายสิ่งหลายอย่าง แต่เขนลองใช้ความรู้สึกภายในตอบหัวใจตัวเองดูว่า... ถ้าเราลองเปลี่ยนกัน ถ้าเขนมาเป็นรุ่ง” ใบหน้าที่เงยขึ้นทำให้หน้าผากติดชนแนบกัน จมูกเล็กเข้ามาคลอเคลีย ดวงตาที่จ้องลึกลงไปในหัวใจ

“รุ่งจะเลือกอะไรระหว่าง ‘คนที่พร้อม’ กับ ‘คนที่รัก’ ”

“รุ่ง...........”

“ตอบสิ”

“ครับ”

“ครับอะไร” เสียงถอนหายใจหงุดหงิดของคนที่คาดคั้นคำตอบ

“ถ้าเขนเป็นรุ่ง ก็จะเลือกคนที่รัก”

“เห็นไหม ทีนี้เข้าใจหรือยัง”

“ครับ” ผมพยักหน้ารับ จริง ๆ แล้วผมรู้ตัวตั้งแต่แรกว่าผมแพ้เขาทุก ๆ ทาง ตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นหยาดน้ำตาที่ไหลเป็นสายแล้ว

“มันเป็นแค่เรื่องของเราสองคนนะเขน อย่าไปคิด อย่าไปฟังคนอื่นอีก”

“ถ้ามีอะไรติดใจ สงสัยอะไรถามรุ่งนะ”

“ครับ”

“สัญญานะ”

“ครับ เขนสัญญา” ผมตอบก่อนหลับตาลง ถอนความรู้สึกที่หนักอึ้งอยู่ภายในใจให้จางหายไปพร้อมกับลมหายใจที่กำลังผ่อนออก

“เขน.....” เสียงอ่อนหวานที่เรียกขึ้น ทำให้ลืมตามามองดวงตาที่เป็นประกายระยิบเว้าวอน

“ครับ”

“รุ่งรักเขนนะ” ริมฝีปากบางสีสดที่ค่อย ๆ ขยับเปล่งเสียงหวาน ลมหายใจแรงในระยะประชิดตรงหน้าที่กำลังสอดประสาน กรุ่นกลิ่นอ่อนหวาน เมามัว

หากใครบางคนยังคงใช้สายตาแววระยับสะกดตรงหยุดค้างรั้งรอสิ่งที่ต้องการไว้ หากยิ่งยั่วเย้า เชิญชวน ปลุกทุกประสาทสัมผัสให้คุกรุ่น เร่าร้อน ร้องเรียก

“เขนก็รักรุ่งครับ” หัวใจเป็นผู้สั่งให้ตอบกลับประโยคสุดท้าย ก่อนความยับยั้งชั่งใจทุกอย่างจะขาดสะบั้นสิ้นสุดลง พร้อมกับเสียงที่ดังก้องอยู่ข้างใจ

ผมคงไม่มีวัน... ปล่อยเขาไปไม่ได้

ผมคงไม่มีทาง... ปล่อยเขาออกไปจากชีวิตได้

เพราะ ‘รุ่ง’ เป็นที่รัก เป็นคนรัก เป็นชีวิต และเป็นดังลมหายใจ

 

 

 

“อืม...อา...”

เสียงครางเบาครือครืนจากลำคอด้วยความแปลกใจ และพึงใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อถูกรุกไล่ปรนเปรอความหอมหวนหวานล้ำจากปลายลิ้นเรียวบางที่เป็นฝ่ายรุกเร้า เกี่ยวกระหวัดกลืนกินอย่างไม่รู้จักคำว่าเอิบอิ่ม

กรุ่นกลิ่นกรำจายรสหวานของไวน์รสเลิศที่ยังติดประทับฝังลึกตลอดกลีบริมฝีปาก ยิ่งฉุดลึกรุกล้ำดื่มด่ำอารมณ์ปรารถนาที่เสมือนเปลวไฟให้ลุกโชนแผดเผา ร่างบางค่อย ๆ ขยับพลิกตัวขึ้นเผชิญหน้าพร้อมกับกดลึกแนบสนิทรอยจุมพิต จนทำให้แผ่นหลังกว้างของฝ่ายรับชิดติดจมอยู่กับเบาะที่นั่ง

แนบนิ่ง... เนิ่นนาน หลงใหล... ลุ่มหลง

กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้งเสื้อเชิ้ตลำลองที่ใส่อยู่ก็ถึกดึงออกปลิดปลิวหายไปแล้ว นิ้วเรียวบาง และฝ่ามือที่แสนอ่อนนุ่มทั้งสองลูบไล้ร้อนรุ่มดังเปลวไฟที่โลมเลียร้อนแรง ก่อนที่หยุดลงใช้ความพยายามกับการแกะเข็มขัดซึ่งไม่ง่ายนัก ในขณะที่ดวงตาทั้งสองยังคงหลับพริ้ม ริมฝีปากบางขบเม้ม และลิ้นร้อนยังคงแลกลิ้มชิมรสลึกล้ำทุกสัมผัส

เมื่อเข็มขัดถูกแกะออกร่างบางจึงโน้มลงเบียดเสียดทิ้งน้ำหนักลงกับแผ่นอกกว้างก่อนที่เบาะจะถูกเอนลงด้วยฝีมือของคนรุกไล่

“อืม......รุ่ง.....” ริมฝีปากเปล่งเสียงออกมาเป็นครั้งแรก

เมื่อถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ จากการรุกล้ำครอบครอง และหอบหายใจเสียงดังที่ก้องกังวานท่ามกลางความเงียบสงัดเพื่อเร่งบรรจุลมหายใจที่ถูกช่วงชิงไปก่อนหน้า ก่อนที่รอยจุมพิตจะถูกลากไล้ลงไปที่ลำคอขาวเนียนและลาดไหล่ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ พร้อมกับมือเล็กซุกซนที่สอดลึกลงไปปลุกปั่นกอบกุมเคล้นคลึงความปรารถนาเบื้องล่าง สติสุดท้ายที่ยังหลงเหลือย้ำเตือนให้พยายามบอกบางสิ่งกับร่างบางตรงหน้า

“อะ...รุ่ง... ขึ้นไป...ที่บ้าน...อืม”

“ฮื่อ...” เสียงปฏิเสธที่ฟังไม่ได้ศัพท์ หากจับความหมายได้ดังขึ้นก่อนคำพูดที่หลงเหลือจะถูกกลืนกินหายไปอีกครั้งจากริมฝีปากบาง

จูบลึกที่เวียนซ้ำร่ำร้อง

มือบางที่ยังคงคลุกเคล้าเคล้นคลึงไปทั่งร่าง

ความเร่าร้อนภายในที่กำลังเผาไหม้ลุกโชน ทำเอาแอร์ภายในห้องโดยสารไม่พอเพียงจะบรรเทาความระอุ หากแต่ทุกครั้งที่พยายามจะตอบสนองคืนกลับรสสัมผัส มือบางกลับยังคงปัดป้อง และฝืนบังคับให้หยุดนิ่งรองรับการปรนเปรอจากคนที่คุมเกมรักอยู่เบื้องบน

แม้ถึงอย่างนั้นความปรารถนา และสัญชาตญาณก็ยังคงสั่งให้โต้ตอบและไม่ยอมอยู่เฉย หากแต่เมื่อฝ่ามือเริ่มไปสัมผัสบีบเคล้น และกดสะโพกกลมมนให้ลงมาบดเบียดกันความแข็งแกร่งเบื้องล่าง ก็มีเสียงจิจ๊ะไม่พอใจ

“ถ้าจะห้ามแล้วไม่ฟังกันอะนะ” เสียงเหวี่ยงขึ้น ก่อนที่เข็มขัดที่ถูกแกะออกจะถูกรูดดึงออกมาพ้นจากขอบกางเกงที่หลุดลุ่ย และสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ก็เกิดขึ้น เมื่อมือทั้งสองถูกรวบขึ้นเหนือศีรษะ และถูกมัดติดตรึงด้วยเข็มขัดของตนเอง

“รุ่ง...........” เสียงครางจากลำคอดังขึ้นพร้อมทั้งความพยายามอย่างอ่อนแรงที่จะดันตัวลุกขึ้นหนีเมื่อรู้ถึงสิ่งที่กำลังจะเผชิญ หากสายเกินไปแล้ว

“จำไว้... อย่าดื้อ” นิ้วเรียวบางนิ้วเดียวที่ทรงพลังกดลงที่หน้าผาก หากทำให้ร่างทั้งร่างที่พยายามขัดขืนนอนจมลงที่เบาะรถอีกครั้ง เพราะรอยยิ้มที่แสนจะเซ็กซี่ และประกายตาที่เต็มไปด้วยไฟลุกโชน

ผมยอมแล้ว... ยอมทุกอย่าง

หากไม่คิดว่ามันจะทรมานมากมายถึงเพียงนี้ เมื่อใบหน้าหวานที่เคล้าเคลียอยู่ที่แผ่นอก ปลายลิ้นที่ไล้วนลิ้มรสติ่งเนื้อสีเข้ม ก่อนที่จะดูดย้ำขบกัดประทับรอยลงบนตำแหน่งของหัวใจที่เต้นถี่สั่นรัว และเลาะเลยมาชิมความหวานของปลายยอดอีกข้าง ทำเอาอึดอัดคับคลั่งแห่งความต้องการกำลังจะระเบิดขึ้นตรงหน้า

“อย่า....รุ่ง” ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนสอนให้คนที่เงยหน้าขึ้นมาเอานิ้วปาดเช็ดริมฝีปากได้เซ็กซี่มากขนาดนี้ ก่อนจะก้มลงกระซิบเสียงแหบพร่าที่ข้างหู

“ไม่ชอบเหรอ ก็เห็นชอบทำ” ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาสบสายตาพร้อมกับรอยยิ้มที่แสนเจ้าเล่ห์นั่น ก่อนที่จะรับรู้ตัวอีกครั้งว่าความปรารถนาเบื้องล่างกำลังถูกเริ่มจังหวะกระชั้น

“อะ..รุ่ง...ซี้ด.........” ความต้องการปลดปล่อยทำให้ร่างกายร่างขยับตามจังหวะที่รัวเร็ว แม้ดวงตายังคงจ้องมองใบหน้าหวาน หากภาพที่ส่งเข้าสู่สมองเริ่มเลือนรางดังภาพฝัน

“ว่ายังไงคะ ที่รัก” หากยังพอรับรู้ว่านางฟ้ายังคงยกยิ้ม ก่อนที่ปลายลิ้นเรียวคมจะสอดเข้ามาในโพรงปากดูดซับเสียงครางครืนอย่างหนัก ในขณะที่ดวงตาค่อย ๆ ปิดหากภาพที่ส่งตรงถึงสมองกลับขาวโพลน ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะกระตุกแรงปลดปล่อย

เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้... ว่าฝ่ายรับก็เหนื่อยหนักไม่แพ้กัน

อาการหายใจหอบกอบโกยอากาศจึงกลับมาอีกครั้งเมื่อริมฝีปากถูกปลดปล่อย หากเพียงไม่นานก็เริ่มผ่อนปรนลมหายใจให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติก่อนที่จะเปิดเปลือกตาขึ้นมามองใบหน้าหวานที่ยังคงมองยิ้มกริ่ม

“เป็นยังไงครับ ที่รัก”

“รุ่งแกล้ง”

“ใครจะกล้าแกล้งพ่อเหมียวลง”

“แล้วนี่เรียกว่าอะไรปล่อยเลย” ผมยกข้อมือที่ยังถูกพันธนาการให้ดู

“แล้วใครว่าจะปล่อย” ก่อนที่เขาจะกระซิบประโยคต่อไปที่หู

“มันยังไม่จบหรอกเขน”

“ร..รุ่งจะทำอะไร” หัวเราะเสียงใสจึงดังขึ้น

ร่างกายที่เพิ่งหายจากอาการหอบจากสมรภูมิรักจะถูกปลุกปั่นอีกครั้ง ด้วยปลายลิ้นเรียวบางแหลมคม ริมฝีปากสีแดงสด จมูกเล็กได้รูปสวย และฝ่ามืออันอ่อนนุ่ม

“อือ....อืม” จึงหลุดครางออกไปอย่างหนักหน่วง

ยิ่งต้องมาพบกับเครื่องพันธนาการทางร่างกายทำให้แสนจะทนทุกข์ทรมานกับความต้องการสนองกลับของฝ่ายที่เคยคุมเกมมาตลอด

ยิ่งต้องมาพบกับเครื่องพันธนาการด้วยความรัก และความปรารถนาร้อนรุ่มทำให้ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านจนจวนเจียนจะระเบิดอีกครั้ง

“รุ่ง...อย่า...ไม่ไหวแล้ว”

การกระทำทุกอย่างจึงหยุดลง ให้ได้ผ่อนลมหายใจและผ่อนคลายอาการเกร็งหน้าท้อง หากยิ่งปล่อยทิ้งไว้นานยิ่งปวดร้าวหนักหน่วงกับความปรารถนาที่ไม่ได้ถูกปลดปล่อย และทรมานแปลกยิ่งขึ้นเมื่อ...

ลืมตาขึ้นมาพบร่างที่อยู่เบื้องบนที่ขยับกลับมาควบคุมเกมรักอีกครั้ง ด้วยร่างที่เปลือยเปล่าที่ และใช้ปลายลิ้นจูบซับน้ำตาแห่งความสุขสมที่รินไหลทางหางตาให้อย่างหยอกเย้า

“รุ่งจ๋า.............”

“ทรมานไหมครับ....ให้รุ่งช่วยนะ”

“ปล่อยก่อน”

“หึหึหึ.....ไม่มีทาง”

“รุ่ง.....หืม” รสจูบถูกป้อนปรนเปรออีกครั้งเพื่อปลุกเร้าความพร้อม ก่อนที่คนข้างบนจะใช้มือลูบไล้เก็บของเหลวที่หลั่งออกมาในรอบแรก

‘จะทำอะไร....???’ ผมเริ่มเหงื่อตกและเป็นครั้งแรกที่พยายามขัดขืนหลีกหนี

“รุ่ง....อย่า.....”

“จะหนีไปไหนครับที่รัก”

“รุ่ง....แกล้งอีกแล้ว” หากลมหายใจผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว เมื่อรับรู้ถึงน้ำรักที่ถูกนำมาชะโลมความแข็งแกร่งที่แสนจะปั่นป่วน

“แล้วคิดอะไรอยู่ ชู่ว์........” คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ ก่อนดวงตาปานเหยี่ยวเหินจะจิกลงมามองเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะถูกเติมเต็มร้อนเร่า พร้อมกับช่องทางแห่งความอบอุ่นที่ค่อย ๆ แทรกซึมกดลึกลงมาช้า ๆ เสียงครางหวานใสที่ครางเครือกับรสสัมผัสที่กระชับรัดรึงทำให้หัวใจแสนจะปั่นป่วน ใบหน้าหวานขมวดคิ้วนิ่วหน้าที่แสนจะเซ็กซี่เร่าร้อน ก่อนที่จะปรับตัวผ่อนคลายและค่อย ๆ ขยับจังหวะรักที่เนิบช้าแนบแน่นให้ตนเองในช่วงต้นทำเอาแทบจะขาดใจ

“รุ่งจ๋า....ปล่อยก่อน ให้เขนช่วย” หน้าหวานที่เหงื่อเม็ดเล็กผุดพราวตามไรผมตวัดกลับลงมามองพร้อมหยุดนิ่ง

“รุ่ง.............”

“จำไว้ ว่าใครเป็นของใคร” สายตาหวานที่แสนจะดุดัน แววตามุ่งมั่นถือดีเอาแต่ใจ

“อืม...ครับ” ยิ่งปั่นป่วนความต้องการให้พิชิต

“เขนไม่มีสิทธิ แม้กระทั่งจะคิดด้วย”

“ครับ”

“อย่าให้รุ่งรู้ว่าจะคิดหนีหายไปไหนอีก คนที่ทำได้มีแค่รุ่งคนเดียวเท่านั้น” เสียงกระซิบข้างหูของร่างเล็กที่ทิ้งตัวมาทาบทับ และปลดปล่อยพันธนาการ

“ครับที่รัก” อารมณ์นี้ ผมยอมแล้วทุกอย่างจริงๆ

แม้ตำแหน่งจะคงอยู่ ณ จุดเดิม หากจังหวะรักจึงค่อย ๆ ถูกเร่งขึ้น และถูกเติมเต็มสอดประสานจากฝ่ายตอบรับที่เริ่มรุกเร้าร่างบางด้านบนด้วยฝ่ามือจากคนเบื้องล่างที่ลูบไล้สัมผัสนวดเฟ้นกระพือโหมความต้องการดังเติมเชื้อเพลิงให้เปลวเพลิง

สถานที่ที่ถูกจำกัดพื้นที่และความอันตรายต่อการเปิดเผยรับรู้ของบุคคลอื่น ยิ่งปลุกเร้าโช็คอัพทั้ง 4 ต้นของรถ MPV สีขาว เริ่มทำงานรับแรงกระแทกทิ้งตัวอย่างหนักหน่วง แอร์ที่ถูกปรับเริ่มอุณหภูมิเย็นสุดเริ่มทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพเมื่อต้องรับกับกองไฟที่โหมลุกภายในห้องโดยสาร เสียงครางครวญที่ดังระงมถูกเก็บกดปิดกั้นด้วยบานประตูและกระจกใสที่ติดฟิล์มทึบ หน้าหวานเงยเริดเฉิดหอบหายใจหนักหน่วงเพื่อบรรเทาความเสียวซ่าน ก่อนที่สองร่างจะมาถึงปลายทางฝั่งฝันและปลดปล่อยความปรารถนาออกมาสิ้น

ร่างเล็กที่ทิ้งตัวลงมานอนซบอยู่บนอกกว้างที่ขยับขึ้นลงด้วยแรงหอบหายใจ อ้อมแขนแกร่งจึงสอดรับกกกอดร่างบางอย่างหวงแหน ละอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มกับข้อความที่เน้นชัดดังก้องด้วยคำพูดและการกระทำ

“ยิ้มอะไร” เสียงกระซิบที่แหบพร่าเหนื่อยอ่อน

“จำไว้ ว่าใครเป็นของใคร” ผมพูดทวนประโยคที่ติดตรึงจารเจียรในหัวใจ

“รู้แล้วใช่ไหม”

“ครับ” ผมตอบก่อนที่จะถูกเขี้ยวเล็ก ๆ กัดฝังที่หัวไหล่อย่างหมั่นไส้

“เจ็บครับ”

“เจ็บก็ดี จำไว้ ว่าห้ามคิดอีก”

“ครับผม วันนี้ดุจัง”

“เมามั้ง”

“จริงเหรอ”

“คนเมาทำได้เหรอ” เสียงหวานกลับมาหัวเราะใส

“เคยเมาจริงหรือเปล่า” ผมเริ่มสงสัย คืนวันนั้นที่ลำปาง คืนที่หัวหินและคืนนี้ ทำให้เริ่มเอะใจทำไมคนเมาควบคุมตัวเองได้ดีทุกครั้ง

“ก็แล้วแต่จะคิด....” รอยยิ้มที่มุมปาก ท้าทาย ชักชวน เชื้อเชิญ

บางคำถามที่ไม่ได้รับคำตอบ หากบทรับแรงปรารถนายังคงปะทุโชติช่วงและดำเนินต่อไปอีกยาวนาน

หากบางคำถาม...ถูกตอกย้ำให้ชัดเจน ไม่มีแล้วคำว่าตรงกลาง ในเมื่อสองวิญญาณพันผูก ‘เรื่องราวของเราสอง’ ไว้รวมเป็นหนึ่ง





#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ april

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +239/-12
Re: JKL THE SERIES: LOVE: OURS STORY 13.03.2018
«ตอบ #146 เมื่อ13-03-2018 11:33:45 »

ชอบรุ่งเวอร์ชั่นแม่เสือ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: JKL THE SERIES: LOVE: OURS STORY 13.03.2018
«ตอบ #147 เมื่อ13-03-2018 15:09:44 »

 :L2: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: JKL THE SERIES: LOVE: OURS STORY 13.03.2018
«ตอบ #148 เมื่อ13-03-2018 15:25:38 »

โอ้โห

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: 'CAUSE OF HEART 14.03.2018
«ตอบ #149 เมื่อ14-03-2018 17:00:38 »

Chapter XXI: ‘cause of Heart

 

08:00 น. ไปไหนของเขานะ...

โถงกว้างของสถานีรถไฟหัวลำโพงคลาคล่ำอัดแน่นไปด้วยผู้คนมากมายหลายหลากที่ต่างก็มีความประสงค์เดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ และเนื่องด้วยเป็นเป็นช่วงเวลาเช้าที่รถไฟเกือบทุกเส้นทางกำลังเตรียมมุ่งหน้าออกเดินทางออกจากชานชาลา

ท่ามกลางผู้คงมากมาย หากผมกลับรู้สึกอ้างว้างอยู่เสมอ...

มันคงเป็นจุดอ่อนของคนที่มีโลกส่วนตัวสูง เพราะไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน ที่ใด โลกส่วนตัวของตัวเองก็มักมาคลุมครอบอยู่เสมอ และเป็นไปอย่างอัตโนมัติ เพื่อปิดบังความหวาดกลัว และเขินอาย เมื่อวางตัวไม่ถูก จึงกลับเข้าสู่ภายในห้วงความคิดของตนเอง...

‘ตื่นเถอะค่ะ ที่รัก’

‘หืมมม อะไรอะเขน’

‘ไปลำปางกัน’

‘อะไรนะ’

‘รุ่งอยากไปลำปางนี่’

‘วันนี้ วันทำงานนะ’

‘ยังไงก็ไปไม่ไหวอยู่แล้วนี่นา เขนโทรไปลาพี่บลูให้แล้ว พฤหัส-ศุกร์ เดี๋ยวเฟรมมาดูแลเหมียวให้ เราไปลำปางกันนะ เขนจัดกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว...’ สายตามุ่งมั่นตั้งใจที่มองมา ทำให้ผมไม่สามารถปฏิเสธได้จริงๆ

หรือความจริง...  ตลอดชีวิตที่ผ่านมาผมไม่เคยปฏิเสธเขาได้เลย

 

08:23 น. ไปนานแล้วนะ...

ใครคนนั้น... ทิ้งผมไว้ที่ม้านั่งใจกลางสถานีพร้อมสัมภาระในการเดินทาง

‘รุ่งนั่งรอตรงนี้ก่อนนะคะ อย่าพึ่งหลับตอนนี้นะ ค่อยไปนอนต่อบนรถไฟ’

‘อืม เขนจะไปไหนอะ’

‘แถวนี้ แป๊บเดียวค่ะ นี่ตั๋วถือไว้ก่อนนะ อย่าหลับนะ’

เมื่อคืน... เล่นหนักไปหน่อย จึงเพิ่งมาได้นอนไม่ถึงสามชั่วโมงในช่วงเช้า พร้อมกับตื่นมาด้วยอาการมึน ๆ ตกค้างจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ทำให้ตอนนี้เปลือกตาทั้งสองข้างหนักมาก และกำลังจะปิดในไม่ช้า หากที่ไม่เข้าใจทำไมคนที่น่าจะไม่ได้นอนเลย กลับจัดการโน่นนี่ได้มากมาย รวมทั้งตั๋วรถไฟทั้งสองใบ

‘08:30 กรุงเทพ - 18:11 นครลำปาง’ ที่อยู่ในมือ ใกล้เวลาที่ต้องขึ้นรถไฟแล้ว สายตาจึงกวาดตาชะเง้อชะแง้แลหาใครคนนั้น แล้วก็พบ...

ทำไมนะ?

ทำไมต้องเป็นเขา... คำถามที่เฝ้าถามกับหัวใจ เรื่องราวที่เกิดขึ้นมากมายกับวันเวลาอันแสนยาวนาน

หากทำไม? ทำไมต้องเป็นเขาคนเดียวที่ผมเฝ้ารอ หรือเพราะดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ที่เขาถือมา

ผมอดที่จะยิ้มไม่ได้ทุกครั้งที่เห็นผู้ชายตัวโตกับดอกลิลลี่ ที่ไม่เห็นจะเข้ากันตรงไหน หากสิ่งที่ทำให้ผมแพ้ตลอดคือความสม่ำเสมอ และความพยายามของเขานั่นเอง ช่อลิลลี่ที่ถูกส่งมาให้พร้อมประกายตาที่หวานซึ้ง

“ที่หายไปเพราะนี่น่ะเหรอ เขน” คนให้ยังคงยืนยิ้ม

“ก็เขนสัญญาไว้แล้ว เขนจะไม่มีวันผิดสัญญาเด็ดขาด... ชอบไหมครับ”

“อืม... ชอบ” ผมมองดอกลิลลี่แรกแย้มที่เกาะพราวไปด้วยหยดน้ำใสในมือ

“ชอบอะไร... ดอกไม้หรือคนคะ”

‘ยังจะต้องมาจีบอะไรกันอีกตอนนี้นะเขน’ ผมคิดเพลียในใจ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นไปสบสายตาของคนที่ทอดมองมาก่อนหน้า แล้วจึงพบความหมายที่สื่อสารออกมาทางแววตา

‘ขอบคุณครับ’ ผมเชื่อว่าสิ่งที่ตีความไม่มีวันพลาด หากนัยแห่งการขอบคุณเหตุการณ์เมื่อคืน ทำให้ต้องหลบเลี่ยงสายตาอีกครั้ง แล้วจึงพบว่าสถานการณ์รอบข้างตอนนี้คงไม่ปกตินักด้วยรอยยิ้มของคนผู้คนรอบข้าง

“ไปกันเถอะ ได้เวลาแล้ว เดี๋ยวตกรถไฟ” ผมจึงรีบลุกขึ้น ก่อนจะเริ่มเดินหนีออกมา และเร่งฝีเท้า เพื่อหนีเสียงหัวเราะของคนที่เดินตามมาข้างหลัง

เขารู้ว่าผมกำลังเขินอาย ทีใครทีมันนะเขน

 

15.23 น.

ทิวทัศน์เขียวขจีของป่าไม้ในหน้าฝนเคลื่อนผ่านกรอบกระจกใสของหน้าต่างรถไฟ ภาพบรรยากาศที่หาไม่ได้ในเมืองกรุง เป็นการผ่อนพักที่สมบูรณ์แบบเมื่ออยู่ท่ามกลางธรรมชาติ และช่างเติมเต็มยิ่งนักเมื่อได้อยู่กับคนที่รัก เส้นทางเดิมที่เคยผ่านย้อนกลับ...

ในอดีต...ค่ำคืนนั้นที่แสนทรมาน

หากปัจจุบัน....ในวันนี้ช่างสุขล้นเต็มเปี่ยม

 

เพราะ...คนคนเดียว

เพราะ...หัวใจดวงเดียวที่รักคงมั่น

เพราะ...ผู้ชายคนเดียวที่นอนหนุนตักอยู่

ผมหยักศกกับใบหน้าคมของคนที่ไม่ยอมนอนบนเตียงคนเดียว กำลังคลี่ยิ้มจาง ๆ ในขณะที่นอนหลับอย่างเป็นสุข ทำให้เตียงนอนชั้นล่างว่างเปล่าเมื่อผมตัดสินใจตื่น และลุกขึ้นมานั่งดูวิว หากเตียงนอนชั้นบนดูจะสาหัสกว่าตรงที่ไม่ได้รับความสนใจใยดีจากผู้โดยสารทั้งสอง และถูกยัดเยียดให้แบกรับสัมภาระในการเดินทางทั้งหมด

เส้นทางเดิม... หากคนละความรู้สึก

ในอดีตค่ำคืนนั้นหัวใจเจ็บปวดร้าวราน หากแต่เพราะเลือก...

เพียงเพราะเลือกตามความต้องการของหัวใจ จึงทำให้ปัจจุบันเรายังคงมีกันและกัน เรายังคงเคียงข้างกันไม่ห่าง ไม่ว่าจะผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความสุขหรือความทุกข์เพียงใด เพียงแค่มีเขา โลกที่เคยโดดเดี่ยวก็ถูกเติมเต็มเสมอ

ทำให้เริ่มไม่แน่ใจ... ใครกำลังเสพย์ติดใครกันแน่

หากอาจ...เหมือนกับคำถามที่ว่าไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน บางคำถามจึงไม่มีคำตอบ และก็คงไม่มีคำตอบจริง ๆ สำหรับคำถามนี้

“คิดอะไรอยู่คะ” เสียงอู้อี้ดังขึ้น

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก เขนนอนต่อเถอะ”

“เปล่า แล้วยิ้มทำไมอะ”

“อ้าว...ห้ามยิ้มด้วยเหรอ”

“หึหึหึ” เสียงหัวเราะน่าเกรงขามดังขึ้นจากคนที่กำลังลุกนั่ง ก่อนที่จะแทรกตัวมานั่งชิดริมหน้าต่างแทนโดยรวบร่างบางปลิวขึ้นมากกกอดอยู่ในอ้อมอก

“รุ่งจ๋า.......”

“ครับ”

“ต้องตอบจ๋าสิ”

“วันนี้เยอะนะเขน”

“หวาน ๆ หน่อยสิ มาฮันนี่มูนทั้งที”

“ใครว่า”

“ก็เขนนี่แหละว่า”

“แล้วใครแต่งด้วย”

“เขนขอม๊าแล้วเหอะ เมื่อเช้า”

“หา...........” ผมหันกลับไปมองเขา ด้วยรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่ชอบพูดเล่น

“โทรไปจริง ๆ เมื่อเช้า...” แล้วคนตอบก็ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง

“เขน...พูดอะไรไปบ้าง บอกอะไรหม่าม๊าไปบ้าง” ผมอดซักไม่ได้ แม้ทั้งสองครอบครัวจะรู้อยู่แล้วอย่างแน่นอนว่าเรากลับมาอยู่ด้วยกันใกล้จะครบปีแล้ว หากเรื่องบางเรื่องก็รู้กันโดยพฤตินัย โดยไม่ได้บอกกล่าวอะไร แต่ไม่คิดว่าเขาจะกล้า

“ก็บอกว่า...เขนรักรุ่ง เขนขอรุ่งนะครับหม่าม๊า”

“เขน.........”

“ม๊าก็บอกว่า ‘ม๊ายกให้ แต่ขอให้เขนรักและดูแลน้องตลอดไปนะลูก’ อย่างงี้เลย”

“เห็นไหมรุ่งเป็นของเขนแล้วรู้ตัวไว้เลย ม๊ายกรุ่งให้เขนแล้ว” อ้อมกอดที่รัดรึงจึงกระชับอย่างหวงแหน

“เราเลยมาฮันนีมูนกันไงคะ ยอมรับหรือยังคราวนี้…” ก่อนที่คนตัวใหญ่จะโยกเล็กน้อยเหมือนตั้งใจจะกล่อมเด็ก

“เขนพารุ่งมานั่งรถไฟชมวิวทิวทัศน์แล้วนะ คืนนั้นเราเดินทางกันตอนกลางคืน รุ่งเลยไม่ได้เห็นวิวอย่างที่ต้องการเลยใช่ไหม ครั้งนี้เราเลยมาเก็บประสบการณ์ดี ๆ กันใหม่นะครับ” ผมตื้นตันจนพูดอะไรไม่ออก หากภาพเหตุการณ์ในอดีตไหลย้อนกลับ

‘ถ้าเป็นรุ่ง รุ่งอยากได้อะไร ถ้าต้องเขียน Wish List’

‘อยากนั่งรถไฟ’

‘ทำไมอะ รุ่งไม่เคยนั่งเเหรอ’

‘ไม่ชอบเครื่องบิน อยากนั่งรถไฟดูวิวที่เลื่อนผ่านไปช้า ๆ’

ความต้องการในสิ่งเล็ก ๆ ที่ต้องการปิดบังความปรารถนาเบื้องลึก หากอีกคนกลับทำให้เป็นจริง

‘โทษทีรุ่ง ตอนนั้นเขนไม่ทันคิดว่า ถ้าเดินทางกลางคืนคงไม่ได้เห็นวิวเท่าไหร่’

‘ไม่เป็นไรหรอกเขน แค่นี้ก็ดีกว่าที่คิดไว้มากแล้ว’

‘ขอบคุณมาก ขอบคุณจริง ๆ’

‘ไม่ได้ลำบากอะไรเลย....รุ่ง แค่เห็นรุ่งมีความสุข เขนก็มีความสุข’

“ข..เขน...........”

“จ๋า.......คนดี” รอยยิ้มที่แสนใจจริงใจซื่อตรงส่งผ่านเข้าสู่หัวใจ

“รุ่งรู้ไหม... ไม่เคยมีเรื่องไหนของรุ่ง ที่ไม่สำคัญสำหรับเขน มีเรื่องอะไรบ้างที่รุ่งอยากได้ที่รุ่งต้องการ แล้วเขนจะไม่ขวนขวายหามาให้”

“รุ่งจ๋า..... เขนรู้ว่าเขนอาจจะไม่ใช่ผู้ชายที่ดีที่สุด แต่เขนสัญญาว่าเขนจะทำให้รุ่งมีความสุขมากที่สุดนะคะ เขนสัญญา”

“ไม่หร.....” หากความอบอุ่นเนียนนุ่มประกบรุกไล้ดูดกลืนคำพูดที่กำลังจะเอื้อนเอ่ยออกจากริมฝีปากบางแนบแน่นเรียกร้องการตอบสนอง ความตระหนักคิดเคลื่อนหายกระจายออกจากสมอง ปลายลิ้นเล็กบางจึงเริ่มเกี่ยวกระหวัดสนองตอบอย่างยอมจำนน

จนกระทั่งสมองเริ่มว่างเปล่าปลอดโปร่งขาวโพลน และร่างกายเริ่มสะท้านสั่นจากรอยจุมพิตที่เนิ่นนานเจียนจะขาดใจ ก่อนที่คนที่รุกล้ำจะปลดปล่อยให้จิตวิญญาณที่ถูกดึงดูดฉุดกระชากออกไปได้กลับคืนเข้าร่าง และกระซิบหอบแหบพร่า

“อย่าห้ามเขนเลยนะรุ่ง... ขอแค่เขนมีโอกาสได้อยู่ข้าง ๆ รุ่ง ขอแค่เขนได้จดจำทุกอย่างที่รุ่งชอบ ที่รุ่งต้องการ ขอแค่ให้เขนได้ทำอะไรเพื่อรุ่งเถอะนะ”

“เพราะ...ชีวิตนี้เขนยอมผิดพลาดแค่ครั้งเดียว เขนยอมแค่เรื่องเดียว เขนยอมแค่ปล่อยให้ความทรงจำครั้งนั้น ความทรงจำในความรักครั้งแรกของเราถูกลืมเลือน ถ้าหากมันจะทำให้เราไม่เจ็บปวดด้วยกันทั้งคู่ ถ้าหากมันจะทำให้เราได้อยู่ด้วยกันอย่างนี้ตลอดไป”

“เขนก็พร้อมจะยอม...อย่างเดียว เพราะมันเป็นสิ่งที่รุ่งต้องการ”

“ข..ขอบคุณเขน ขอบคุณมากจริง ๆ”

ผมบอกทุกคนหรือยัง... ผมรักผู้ชายคนนี้

ผมรักผู้ชายของผม... และเขาจะเป็นของผมตลอดไป

 

23.23 น.

รถไฟมาถึงจุดหมายปลายทางสายกว่าเวลาที่ระบุไว้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดา เราใช้เวลาเช่ารถ และแวะหาอะไรทานในตัวเมืองก่อนที่จะกลับมาที่บ้าน

‘ยังไม่มีคนมาเช่าต่อเลย เขนเลยลองถามเจ้าของเขาไว้แล้ว ว่าถ้าเราจะขอซื้อไว้เป็นบ้านพักตากอากาศน่าจะดีนะรุ่ง’ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า เขาพูดจริงก็จะทำจริง มันอาจจะดูมากเกินไปนิดสำหรับคนอื่น ๆ หากที่นี่คือสถานที่ที่เรารัก คือสถานที่แห่งความทรงจำ ผมจึงไม่คิดจะขัดหรือปฏิเสธ

แม้เวลาจะล่วงเลยใกล้เที่ยงคืน หากเรายังคงจูงมือเดินดูบริเวณรอบ ๆ บ้านด้วยกัน ต้นมะม่วงหน้าบ้านเต็มไปด้วยใบเขียวครึ้ม เพราะสายฝนที่ชุ่มฉ่ำของฤดูฝน โต๊ะหินอ่อนที่สวนหลังบ้านเริ่มรกปกคลุมไปด้วยหญ้าที่สูงยาว ห้องรับแขก ห้องครัว ห้องนอน เฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ยังคงสภาพเดิม หากมีร่องรอยของคราบของฝุ่นให้เห็นบางตา จนน่าแปลกใจ

‘พี่เจ้าของบ้านให้คนมาทำความสะอาดไว้ให้’

เรามาจบการเดินสำรวจบ้านที่ห้องนอนเดิมของผมซึ่งทุกอย่างยังคงสภาพเดิม แม้แต่แจกันหัวนอนที่ยังคงปักดอกลิลลี่ที่แห้งโรยรา มีเพียงแต่เก้าอี้ริมระเบียงที่หายไปอยู่ที่วังศศิธร หากวิวนาข้าวที่พลิ้วไสวตามสายลมยามค่ำคืนก็ยังคงเดิม จึงได้แต่ยิ้มให้กับสายลมและบรรยากาศเดิม ๆ อันแสนคิดถึงและหวนหา ก่อนจะหันกลับมาพบ

“เขนทำอะไรอะ” ผมทักขึ้นเมื่อเห็นเขากำลังหาจัดการกับแจกันที่ปักลิลลี่ที่ร่วงโรย

“เขนจะจัดการทำความสะอาดแล้วปักดอกใหม่ให้รุ่งไง”

“แล้วดอกนั้นล่ะ” ผมมองกลีบดอกที่ถูกกอบกำอยู่ในมือใหญ่

“ก็.........”

“เอามานี่เลยของรุ่งนะ”

“มันไม่ได้อบแห้งนะรุ่ง แล้วกลีบดอกก็ร่วงหลุดออกจากกันหมดแล้วด้วย”

“ไม่รู้หละของรุ่งเอามาเลย” ผมเดินไปแบมือขอซากลิลลี่ในมือใหญ่มา

“..........มันไม่ไหวแล้วมั้งรุ่ง”

“เขนเอามาปักไว้ให้รุ่งใช่ไหมล่ะ ก็เป็นของรุ่ง รุ่งจะเก็บ ไหนบอกว่าตามใจทุกอย่างไง ถ้ารุ่งมีความสุข” ผมจึงทวงสัญญา ที่เขาเพิ่งให้ไว้

“ครับที่รัก จะน่ารักไปไหนนี่” เขาล้อ หากผมอดหมั่นไส้คนที่ตั้งใจจะทิ้งดอกลิลลี่ของผมไม่ได้

“เขนเอาลิลลี่ดอกใหม่ไปใส่แจกันเลย แล้ววันนี้แค่นี้แล่ะรุ่งจะนอนแล้ว”

“อ้าวแล้วเขนล่ะ”

“ก็กลับไปนอนห้องเขนสิ อยากรำลึกความหลังไม่ใช่เหรอ”

“อะ...รุ่ง ขอเขนนอนที่นี่ด้วยคนนะ”

“ไม่รู้ ไม่สนใจ”

“รุ่งจ๋า...อย่างอนนะ นะคะ”

คุณก็เดาได้ใช่ไหม... เขาก็กลับไปนอนที่ห้องเขาไง

ใช่เหรอ

 

เราออกเดินทางออกจากบ้านสาย ๆ ของวันรุ่งขึ้น สู่อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน

“เขนรู้จักที่นี่ได้ไงอะ” ในเมื่อเรากำลังขับรถเดินทางย้อนรอยอดีตกัน ผมก็จึงเริ่มถามหาที่มาของความหลัง

“ก็อย่างที่บอกตอนนั้นไงที่ฝ่ายเขาคุยกันว่าจะมาเที่ยวกัน” คนตอบหลบสายตา

“แล้วก็ไม่มีใครมา” ผมจึงดักคอ

“ก็เขาบอกว่าจะมากัน เขนก็ไม่รู้จริง ๆ นี่นาว่าวันไหน” นั่นไง เชื่อหรือยังครับ หมอนี่ก็ร้ายไม่เบา

“เจ้าเล่ห์”

“ยอมครับ ยอมรับผิดโดยดีเลย รุ่งจะลงโทษอะไรอีก เขนยอมทุกอย่างเลย รุ่งเอาเข็มขัดอีกไหม” หากสายตาของคนสำนึกผิดช่างตรงกันข้าม

“ไม่ต้องเลย ไม่ต้องมาพูดดีเลย” สำนึกผิดตรงไหน

“เขนยอมให้รุ่งลงโทษจริง ๆ นะ ยอมทุกอย่างเลย” แววตาที่มองตรงมาบอกนัย ความต้องการโจ่งแจ้งของคนที่ไม่เคยพอ

“จริง ๆ นะรุ่ง” หากเมื่อถูกรบเร้า ผมกลับเป็นฝ่ายต้องถอนหายใจแล้วหลบเลี่ยงสายตาจากเจ้าของทริปฮันนีมูนที่ออกจะตักตวงประโยชน์เข้าหาตัวเองอย่างเกินเลย และแกล้งหันไปให้ความสนใจวิวข้างทางที่รถขับผ่านมากกว่าคนที่ร้องแง้ว ๆ อยู่ หากยังอดอมยิ้มกับตัวเองไม่ได้

คุณรู้ไหม...

บางทีความรัก... ก็มักจะหาผลเสมอไม่ค่อยได้จริง ๆ ผมแอบอ่อนใจ

 

03.23 น.

ด้วยเพราะบทรักอันแสนหวานที่ยาวนาน และละเมียดละไมเพิ่งจบ ทำให้ความร้อนระอุของทั้งสองร่างที่ยังคงทาบทับกันอยู่บนเตียงเดี่ยวริมหน้าต่างค่อย ๆ จางลงตามระยะเวลาที่ผันผ่าน ก่อนที่เสียงกระซิบหยอกล้อแผ่วเบาของบทสนทนาจึงเริ่มต้นขึ้น

“ดีจังเลยนะครับ”

“อารายอะ”

“ลูกนกที่เอาแต่นอนปิดตาวันนั้น เก่งขึ้นเยอะเลยนะคะวันนี้”

“เขน!!!” ผมอดไม่ได้ที่จะหยิกลงที่เอวของร่างใหญ่เบื้องล่าง

“โอ๊ย... รุ่ง หรือว่าไม่จริงหละ”

“......................................”

“ก็วันนั้นใครบางคนเอาแต่นอนหลับตาตัวสั่นอยู่ท่าเดียว”

คำพูดที่ทำเอาความร้อนที่กำลังจะจางหายด้วยอากาศเย็นชื้นจากสายฝนภายนอก กลับเร่งอุณหภูมิสูงขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็วจนต้องหันหน้ากลับมุดซบลงในอกแกร่งอีกครั้ง เมื่อหวนคิดถึงอดีตในวันนั้น... บทรักอันร้อนเร่าหวานละมุน ร่างที่ถูกกลืนกินไปทั่วทุกตารางนิ้วอย่างหมดจดทุกหยาดหยด ร้างไร้ซึ่งความสามารถและประสบการณ์จะต้านทานสิ่งใดได้อย่างแพ้ทุกทาง...

“....ถ..ถึงอย่างนั้นก็ไม่เห็นจะสงสารกันบ้าง...” หากยังอดที่จะตัดพ้อไม่ได้

“ก็รุ่งอยากน่ากินเองทำไมล่ะคะ เขนรอรุ่งมาตั้งกี่ปี”

“ให้มันรอจริงเถอะ ไปรอที่ไหนถึงเก่งซะขนาดนั้น”

“ขอบคุณครับที่ชม”

“หึ...หมั่นไส้ พวกคนหลงตัวเอง” อดไม่ไหวจริง ๆ ครับ แต่กลับเรียกเสียงหัวเราะให้ดังขึ้นกึกก้อง ทำเอาผมแทบจะลุกขึ้นผละหนี หากยังคงถูกกกกักไว้ในอ้อมกอด ก่อนที่จะงอนง้อ

“เปล่าหรอกรุ่ง... เขนรอรุ่งจริง ๆ นะครับ สาบานได้ อาจจะมีใครที่ผ่านเข้ามาบ้างไม่แปลก แต่อยากให้รุ่งรู้ไว้ว่าไม่ว่าใครที่เคยผ่านมา ไม่เคยทำให้เขนรู้สึกเติมเต็มความรักทั้งหัวใจได้เท่ารุ่งเลย เขนไม่ได้หลงตัวเองหรอกรุ่ง แต่เขนหลงรุ่งมากกว่านะครับ”

“ไม่ต้องมาพูดดีเลย”

“จริง ๆ นะให้พิสูจน์อีกได้ไหม”

“เขน..............”

“หึหึหึ แต่รุ่งรู้ไหม... เขนดีใจที่ได้เป็นคนแรกของรุ่ง”

“เห็นไหมว่าขี้โกงกัน เห็น ๆ”

“รุ่งจ๋า... ยอมให้เขนขี้โกงเถอะ แค่นี้เขนยังหึงยังหวงรุ่งขนาดนี้เลย ถ้ารุ่งเคยมีใครจริง ๆ เขนไม่ต้องไปตามเก็บคนที่ผ่าน ๆ มาของรุ่งเหรอ”

“รุ่งยังไม่ทำเลย” ผมค้าน

“ก็รุ่งของเขนน่ารัก ใจดี” ลูกอ้อนที่มักทำให้ใจอ่อน แต่ครั้งนี้ไม่ได้ผล

“รู้ไว้เถอะว่าไม่จริง อย่าให้รู้เชียวว่าใคร” เสียงหัวเราจึงดังขึ้นอีกครั้ง

“โอเค ครับจะไม่ให้รู้เด็ดขาดเลย”

“เขน!!!”

“รุ่งจ๋า...เรารักกันมากี่ปีแล้ว ไม่มองใครนอกจากกัน และกันมานานเท่าไหร่ แล้วถ้ารุ่งมาเป็นเขน ถ้าได้คนที่เรารักกลับคืน รุ่งคิดว่าเขนจะกลับไปหาคนที่แค่เคยผ่าน ๆ มาเหรอคะคนดี”

“เขนออกจะหลงรุ่งขนาดนี้ หลงจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วชาตินี้ เผลอ ๆ จะหลงมาตั้งแต่ชาติที่แล้วด้วย หรือต่อให้ชาติหน้าก็อาจจะยังไม่เลิกหลงด้วยอะ แล้วเขนจะมีสายตาไว้มองใครที่ไหนอีกไหม หรือจะให้ย้อนกลับไปชอบใครที่แค่เคยผ่าน ๆ มาได้อีกเหรอคะ”

“ให้มันจริงเถอะ”

“งั้นสงสัยต้องพิสูจน์จริงแล้วหละ”

“เขน....อ.อย่า....อื้อ......อะ”

พระจันทร์ยังคงส่องแสงนวลกระจ่าง ในคืนเดือนเพ็ญสาดกระทบสายฝน เส้นบางปรอยปรายบางเบา ทำให้บรรยากาศรอบข้างช่างเป็นใจให้บทบาทท่วงทำนองแห่งรักเริ่มจึงต้นดำเนินสานสืบบรรเลงต่ออีกครั้ง ด้วยความช่ำชองเชี่ยวชาญของอีกฝ่ายที่อย่างไรก็ไม่ได้เทียบเท่าเคียงใกล้กัน เพราะเขารู้จักผมมากกว่าที่ผมรู้จักร่างกายของตัวเองด้วยซ้ำ ลีลาท่าทาง สัมผัสแห่งรักละมุนที่ไม่ว่าจะเกิดขึ้น ณ ที่ใดก็รู้สึกสุขสมเสียวซ่านมากล้นจนเกินการควบคุมสติของตัวเอง

ไม่อยากจะบอกจริง ๆ ว่าทริปนี้ทั้งทริปผมน่าจะมีแต่เสียกับเสีย หากคนที่มีแต่ได้กับได้น่าจะเป็นเขาอย่างแน่นอน ไม่น่าไปแกล้งเขาก่อนเลยจริง ๆ และอย่างที่บอกการเสมอนั้นเป็นไปได้ยากยิ่ง

บางครั้งเรามักจะชนะบางสิ่ง

และบางทีเราก็มักจะมาแพ้บางอย่างเสมอ ๆ

 

เพียง... ‘เพราะ...ใจ’





#JKLTHESERIES

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด