JKL THE SERIES: LOVE 27.03.2018 (END)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: JKL THE SERIES: LOVE 27.03.2018 (END)  (อ่าน 20031 ครั้ง)

ออฟไลน์ april

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +239/-12
Re: JKL THE SERIES: KEEP: FEELING 08.02.2018
«ตอบ #90 เมื่อ08-02-2018 13:12:44 »

เหนื่อยแทนเขน

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: KEEP: TIME 09.02.2018
«ตอบ #91 เมื่อ09-02-2018 09:52:58 »

Chapter XI

Time

 

“รุ่งมีเรื่องจะบอก”

“เขนยังขับรถไหวไหม หาอะไรกินแล้ว ขับรถไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน”

 

ผมรู้ว่าที่ไหน

แต่เป็น....พระอาทิตย์อีกแล้ว

ดอกทานตะวันปรารถนาเพียงชื่นชมแสงดวงอาทิตย์



“เขน รุ่ง........ต้องกลับกรุงเทพฯ เช้านี้”

“...................................................” หัวใจของผมแทบหยุดเต้น คงเหมือนเวลาที่ คุณหมอเลือกหยุด ที่จะยื้อชีวิตคนไข้

“โปรเจคที่สุราษฎร์มีปัญหาต้องเปลี่ยนทีม รุ่งต้องกลับไปช่วยพี่บลูเตรียมโปรเจคนั้นต่อ แล้วคงต้องลงพื้นที่ช่วงปลายปี”

“.................................................” นี่เองสินะ เหตุผลที่เราห่างกันตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา

“เพิ่งรู้เมื่อต้นอาทิตย์...ขอโทษที่ไม่ได้บอก”

“................................................” รุ่งใจดีเสมอ ถึงค่อย ๆ ถอยห่าง

“ที่นี่เฟรมจะอยู่ดูต่อจนเสร็จ ฝากน้องด้วยนะ” ผมทำได้เพียงพยักหน้ารับที่จะดูแลน้องต่อ

‘ผมรักเฟรม....เพราะรู้ว่ารุ่งรักเฟรม’

 

คงจะเริ่มแล้วสินะ...........

ผมคิดว่าผมรู้.........เรื่องที่รุ่งกำลังจะบอก

 

เพราะ ตลอดระยะเวลาที่เพียรพยายามมา แม้กำแพงที่ขวางกั้นไว้จะทลายลง แต่เขาก็ชัดเจนเสมอ........

ดอกทานตะวันที่หลงรักพระอาทิตย์อย่างหมดใจ

จนไม่มีสายตาหลงเหลือไว้มองใคร

 

“รุ่งขอบคุณมาก สำหรับช่วงเวลาดี ๆ ที่ผ่านมา ขอบคุณ....ความสุขและเสียงหัวเราะ ที่มอบให้ ขอบคุณ....ความรู้สึกดี ๆ ที่มีให้ รุ่งมีความสุขมากจริง ๆ ที่ได้ร่วมงาน”

“และได้มี......................”

จบแล้ว........................

“ ‘เพื่อน’ ดีๆ เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน”

“................................................”

 

หัวใจของผมเสมือนหยุดทำงานทันที

หากสมองสั่งการต่อ.. ต้องยื้อ ‘เวลา’ ให้นานที่สุด

 

“ขอโทษ...ที่................................”

ตอนนี้...ไม่อยากฟัง... ไม่อยากรับรู้.... อะไรเพิ่ม

 

ผมฉุดมือของรุ่งให้ลุกขึ้น และเดินกลับมาทางเดิมเพื่อขึ้นรถ ตอนนี้ฟ้าเริ่มสาง ‘เวลา’ กำลังรุดเดินต่อไปข้างหน้า

 

ผมขอ...เพียงแค่ยื้อ ‘ทุกวินาที’ ที่เรามี แม้ว่าจะจบลงเช่นไร..........

 

รถสีขาวขับฝ่าสายหมอกหนาด้วยความเร็ว ภายในรถเย็นเฉียบเนื่องด้วยทั้งคนขับ และผู้โดยสารไม่มีใจที่จะสนใจสิ่งอื่นสิ่งใดอีกต่อไป ในเมื่อภายในหัวใจมันเหน็บหนาวยิ่งกว่า ผมขับรถด้วยมือเพียงข้างเดียว เพราะอีกข้างยังไม่ยอมปล่อยมือของคนข้าง ๆ

เมื่อขับมาใกล้ถึงตัวเมืองลำปาง ผมต้องตัดใจทำลายความเงียบ

“รุ่งบินไฟลท์กี่โมงครับ”

 

ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไปว่า อะไร ทำไม........

ผมสนใจแค่ จะทำให้ดีที่สุด......ทุก ๆ วินาที ที่เรายังอยู่ด้วยกัน

 

“ต้องเช็คอินเก้าโมง” คนข้างตอบแผ่วเบา

ตอนนี้เกือบเจ็ดโมงแล้ว เวลาน้อยเกินไป....ผมไม่ยอม

 

“กระเป๋าอยู่ที่ออฟฟิศ ต้องกลับไปเอาก่อน” รุ่งเก็บกระเป๋าแล้ว ตอนนี้ห้อง ห้องนั้นที่บ้านคงว่างเปล่า

“รุ่งต้องไปรับโปรเจคใหม่เช้าวันจันทร์ใช่ไหม”

“อืม”

ผมตัดสินใจอย่างฉับพลันเลี้ยวรถย้อนกลับไปทางเดิม

“เขน ไปไหน” ผมไม่ตอบ แต่ขับมาจอดที่สถานีรถไฟ

“รอเขนแป๊บนึง” ผมยอมปล่อยมือชั่วคราว พร้อมทั้งวิ่งเข้าไปในช่องซื้อตั๋วรถไฟ

 

‘ตั๋วชั้นที่ 1 นั่งและนอนปรับอากาศ 2 ใบ รถด่วนพิเศษ

เวลาออกจากลำปาง 20:00 เวลาถึงกรุงเทพฯ 07:00’

 

“เขนจะไปส่งรุ่งที่กรุงเทพฯ เราจะไปรถไฟกัน” ผมส่งตั๋วให้

“รุ่งโทรไปยกเลิกไฟลท์เครื่องบินเถอะ” รุ่งยังจ้องมองตั๋วรถไฟนิ่ง

“รุ่งอยากนั่งรถไฟไม่ใช่เหรอ นั่งรถไฟดูวิวกลับกรุงเทพฯ กัน เขนจะไปส่ง” ผมส่งยิ้มให้รุ่ง

“.........................................” สายตาที่เคยสงบนิ่งเหมือนน้ำในบ่อ ตอนนี้ผมแน่ใจมันกำลังกระเพื่อมสั่นไหวอย่างรุนแรง

 

‘ถ้าเป็นรุ่ง รุ่งอยากได้อะไร ถ้าต้องเขียน Wish List’

‘อยากนั่งรถไฟ’

‘ทำไมอะ รุ่งไม่เคยนั่งเหรอ’

‘ไม่ชอบเครื่องบิน อยากนั่งรถไฟดูวิวที่เลื่อนผ่านไปช้า ๆ’ ผมยังคงจดจำมันได้อย่างแม่นยำ ทุกถ้อยคำ ของความปรารถนาของรุ่ง

 

เราแวะไปเอากระเป๋าที่ออฟฟิศ แล้วกลับมารอเวลาเดินทางที่บ้าน ดูเหมือนผมจะเป็น คนเดียวที่ไม่รู้กำหนดการการเดินทางกลับครั้งนี้ของรุ่ง เฟรม และเหมียวดู แปลกใจ เมื่อเห็นรุ่งกลับมาที่บ้านอีกครั้ง

“พี่จะไปส่งรุ่งที่กรุงเทพฯ แล้วจะกลับมาวันจันทร์ อยู่ได้ใช่ไหม” ผมบอกเฟรม

“สบายพี่ งั้นพวกพี่จะไปกันกี่โมง เดี๋ยวผมไปส่ง”

“น่าจะออกจากบ้าน สักหนึ่งทุ่ม”

“เดี๋ยวผมพาเหมียวไปเดทข้างนอกนะ ถึงกำหนดฉีดยาพอดี” เฟรมเข้าใจสถานการณ์ จึงรีบปลีกตัว

ผมเดินจูงมือรุ่งเข้ามาในห้อง และนั่งมุมระเบียงชั้นบนในห้องรุ่งที่เราชอบ ในขณะที่สองมือของเรายังคงเกาะกุมกระชับ ต่างคนต่างเงียบอีกครั้ง เพื่อพยายามจะซึบซับบรรยากาศที่สดชื่นให้ซึมซาบเข้าไปในหัวใจที่แห้งผาด

นานกว่าคำพูดจะค่อย ๆ รินไหล...จากร่างที่ดุจดังถูกกระชากหัวใจออกไป

“ไม่อยากให้ไปเลย เขนจะอยู่บ้านนี้ได้ยังไง ถ้าไม่มีรุ่ง”

“แล้วใครจะคุยกับเขน ใครจะดูบอลกับเขน”

“เขนก็ยังมีเฟรมกับเหมียวไง”

“เฟรมมันกลับมาก็ขลุกอยู่กับเมียมัน เหมียวก็คุยกับเขนไม่ได้”

“กลับกรุงเทพฯ รุ่งก็อยู่คนเดียว ก็ดูบอลคนเดียวเหมือนกัน”

 

ผมไม่ถามต่อ........

เพราะคำตอบกระจ่างชัดในใจ

 

แม้เราสองคนจะต้องแยกกันอยู่.......แม้รุ่งจะไม่มีใครอีก..........

แต่ก็ไม่มีทางที่ ‘คนคนนั้น’ ที่รุ่งจะเปิดใจรับ........จะเป็นผม

“รุ่งไปแล้วเหมียวจะนอนกับใคร”

“เขนไง....รุ่งไม่อยู่เขนมานอนห้องนี้นะ มานอนเป็นเพื่อนเหมียว”

“ไม่หรอก รุ่งไม่อยู่เขนจะปิดห้องนี้ไว้ ให้เหมียวย้ายไปนอนห้องโน้น”

“ทำไมล่ะเขน”

“เขน จะปิดห้องไว้ จะได้รู้สึกเหมือน..... รุ่งยังคงนั่งเล่นอยู่ในระเบียงห้อง ไม่ได้ไปไหน”

“เขน................”

 

ผมจะปิดไว้ทุก ๆ ประตู รวมทั้งประตูหัวใจ.........

ปิดเพื่อ ‘เก็บ’ ความทรงจำทุก ๆ วินาที ที่เราอยู่ด้วยกันไว้ให้ลึกสุดใจ..........

 

“รุ่งไม่กลับไม่ได้เหรอ อยู่ที่นี่ต่อเถอะนะ”

“ไม่ได้หรอกเขน มันเป็นงาน ให้รุ่งไปนะ ถ้ามีอะไรเขนก็โทรมาได้นี่”

“แล้วเขนจะส่ง ‘ดอกลิลลี่’ ให้ใคร”

“เขน ไปบอกยกเลิกคุณป้าร้านขายดอกไม้เถอะนะ”

“ส่งข้อความมาแทนก็ได้นะ รุ่งจะรออ่าน”

“รุ่งอ่านแน่นะ เขนจะส่งไปทุก ๆ วัน อย่าลืม.....”

“อืม....รุ่งจะอ่านทุกวัน รุ่งสัญญา”

 

ผมยังขอยื้อมันต่อไปไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบใดก็ตาม

 

บางครั้งเราก็ ‘รัก’ ใครบางคนมากเกินกว่าจะยอมเสียเขาไปจากชีวิตได้ เวลาค่อย ๆ หมุนผ่าน ถ้อยคำต่าง ๆ เรียงร้อยสอดแทรกบรรยากาศอันเงียบสงบ ทั้งสองเต็มไปด้วย ‘ความเข้าใจ’ ซึ่งกันและกัน

คนหนึ่งยื้อสุดตัว...ด้วย ‘ความรัก’ อย่างสุดซึ้ง อีกคนหนึ่งปลอบประโลมด้วย ‘ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน’ ที่ปรารถนาดีอย่างสุดใจ

 

“เขนใกล้เวลาเดินทางแล้ว รุ่งอยากเดินดูรอบบ้านอีกครั้ง”

ผมได้แต่เพียงพยักหน้า และลุกขึ้นเดินตามร่างบาง มือเล็กที่ถูกเกาะกุมไม่ได้ฝืนที่จะผละออกเฉกเช่นเดิม กลับเปลี่ยนหน้าที่เป็นมือที่นำทางผู้ตามที่คลับคล้ายไร้วิญญาณ และค่อย ๆ เดิน ‘เก็บ’ ความทรงจำดี ๆ ที่เรามีร่วมกัน

เฟรมพาเหมียวกลับมาถึงทันเวลา รุ่งอุ้มเหมียวแนบอก

“เหมียว.... รุ่งไปก่อนนะ”

“อย่าลืมที่สัญญากันนะ ดูแลตัวเองดี ๆ อย่าเล่นซน ดูแลเขนกับเฟรมด้วย”

รุ่งกล่าวอำลา

 

เฟรมขับรถมาส่งเราที่สถานีรถไฟ

“พี่เชื่อว่าเฟรมทำได้ มั่นใจในตัวเอง เหมือนที่พี่มั่นใจในตัวเฟรมนะ” รุ่งกอดเฟรมพร้อมกับตบหลังเบา ๆ

“ครับ”

“มีอะไรโทรมาหาพี่นะเฟรม ‘ทุกเรื่อง’......ไม่ว่าเรื่องอะไร”

“ครับผมรู้”

“แล้วเจอกันที่กรุงเทพฯ”

“เดินทางดี ๆ ครับ พี่เขนฝากดูแลพี่รุ่งด้วย” ผมพยักหน้า และเดินตามรุ่งขึ้นรถไฟ

 

เริ่มแล้วสินะ......เส้นทางแห่งการอำลา





#JKLTHESERIES



ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: KEEP: CHOICE 12.02.2018
«ตอบ #92 เมื่อ12-02-2018 16:35:44 »

Chapter XII

Choice

 

20:08 นครลำปาง

รถไฟด่วนพิเศษค่อย ๆ เคลื่อนออกจากชานชาลาสถานีรถไฟ นครลำปาง เราเข้ามาเก็บกระเป๋าในตู้นอน ภายในห้องขนาดกะทัดรัด มีเตียงเดี่ยว 2 ชั้น ปูผ้าคลุมสีขาวสะอาดตา และเบาะที่นั่งหุ้มด้วยกำมะหยี่เล็ก ๆ อยู่ริมหน้าต่างกระจกใสที่มองออกไปเห็นภาพบรรยากาศภายนอกตัวรถไฟ

“รุ่ง นอนเตียงชั้นล่างนะ เดี๋ยวเขนนอนชั้นบนเอง” ผมบอกขณะที่ก้มตัวเก็บกระเป๋าเดินทางของรุ่งข้างใต้เตียงนอน

เตียงชั้นล่างของตู้นอนรถไฟจะนอนสบายกว่าชั้นบนที่จะสั่นไหวมากกว่าผมคิด และเลือกอย่างอัตโนมัติ รุ่งพยักหน้าตอบก่อนที่จะนั่งลงที่เบาะ หันหน้ามองวิวภายนอก ซึ่งตอนนี้เป็นทิวทัศน์ตึกรามบ้านช่องใจกลางเมืองนครลำปาง

“โทษทีรุ่ง ตอนนั้นเขนไม่ทันคิดว่า ถ้าเดินทางกลางคืนคงไม่ได้เห็นวิวเท่าไหร่” ผมบอกขณะที่ขยับตัวมานั่งข้าง ๆ พร้อมวางมือลงบนมือของรุ่ง และจับกระชับไว้ เพราะผมต้องการเก็บทุกวินาทีที่เหลือ ที่เราอยู่ด้วยกัน

“ไม่เป็นไรหรอกเขน แค่นี้ก็ดีกว่าที่คิดไว้มากแล้ว” รุ่งหันหน้ากลับมายิ้มให้กับผม อีกแล้วรอยยิ้มที่แสนเศร้านั่น เวลาที่คุณรักใคร เมื่อคุณรู้ว่าเขากำลังเจ็บปวดทรมาน.... หัวใจของคุณจะรวดร้าวยิ่งกว่า

ผมจึงได้แต่เพียง ‘พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด’ เพื่อให้ใบหน้าหวานได้คลายความเจ็บปวดลง จดจำตราตึงทุกความปรารถนาของเขา แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ ที่เจ้าตัวอาจไม่ได้ให้ความสำคัญ แต่สำหรับผมมันมี ‘ความสำคัญ’ เสมอมา และจะทำทุกทางให้มันเป็นความจริง’

“ขอบคุณมาก ขอบคุณจริง ๆ” รุ่งเอ่ยออกมา แค่เพียงถ้อยคำธรรมดาของคนที่เรารักสุดใจก็ทำให้ตื้นตัน จนหาคำบรรยายไม่ได้

“ไม่ได้ลำบากอะไรเลยรุ่ง แค่เห็นรุ่งมีความสุข เขนก็มีความสุข”

ผมส่งรอยยิ้ม ตอบกลับไป ผมภักดี และสัตย์ซื่อต่อความรู้สึกภายในหัวใจของตัวเองเสมอ และตลอดมา

ขอเพียงให้รุ่งได้รับรู้บ้าง ผมก็พึงพอใจ และไม่เคยหวังสิ่งใดเพื่อตอบแทน

 

“รุ่งหิวหรือยัง ไปตู้เสบียงหาอะไรทานกันเถอะนะ”

“อืม” ความรู้สึกด้านชาในหัวใจทำให้บดบังความรู้สึกใด ๆ แม้กระทั่งความหิว เกือบลืมว่าเราทั้งสองคนไม่ได้มีอาหารตกถึงท้องมาตลอดวัน ผมจึงลุกขึ้นเดินนำพร้อมกระชับมือที่เกาะกุมมือเล็กไว้ โดยไม่สนใจต่อสายตาของผู้คนรอบข้าง สมองสั่งการให้เก็บเกี่ยวทุกเสี้ยววินาทีที่เหลือไว้ และทำตามเสียงของหัวใจที่ขอให้ตอบสนอง ‘ความปรารถนา’ ของตัวเองบ้าง เพราะเหลือ ‘เวลา’ แค่เพียงไม่นานที่จะได้อยู่ ‘เคียงข้างกัน’

เราสั่งอาหารตามสั่งง่าย ๆ ที่ตู้เสบียง โดยยังรู้สึกไร้ซึ่งความหิวกระหายใด ๆ แม้อาหารจะมาวางอยู่ตรงหน้า ดีที่อาหารที่รุ่งสั่งมาส่งก่อน

“กินก่อนเลยรุ่ง” รุ่งเริ่มก้มหน้าก้มตาทานด้วยความรวดเร็ว คงจะหิวมาก

“กินช้า ๆ รุ่ง ค่อย ๆ เคี้ยวให้ละเอียด เดี๋ยวอาหารไม่ย่อย เคยเป็นโรคกระเพาะไม่ใช่เหรอ”

รุ่งขมวดคิ้ว เป็นผมเสมอที่ต้องคอยเตือน ให้เขาค่อย ๆ เคี้ยว ตลอดเวลาที่กินข้าวด้วยกัน แต่ไม่เคยบอกมาก่อนเลยว่า...ผมรู้

“เขนรู้ได้ไง” ผมรู้เรื่องนี้มานานมากแล้ว และไม่มีความจำเป็นจะต้องปิดบังอะไรอีกต่อไป

“ก็...ที่เขนเคยบอก เขนตามดูรุ่งอยู่ตอนเรียน ทำไมเขนจะไม่รู้ ไม่งั้นจะส่ง ‘ดอกลิลลี่’ ไปโรงพยาบาลถูกเหรอ” ผมกำลังยิ้มให้ความหลัง ตลอดระยะเวลาหนึ่งปี ช่วงตอนเรียนมหาวิทยาลัยชั้นปีที่หนึ่ง ผมตามส่ง ‘ดอกลิลลี่’ ทุกวัน ไม่เว้นแม้แต่วันที่รุ่งหายไป ผมใช้ความพยายามทุกวิธีสืบเสาะ จนรู้ว่ารุ่งเข้าโรงพยาบาลเนื่องมาจากอาการโรคกระเพาะกำเริบ

“ไม่เป็นนานแล้ว.....” มันเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ สำหรับใครหลาย ๆ คน แต่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับผม เพียงเพราะไม่อยากให้ ‘รุ่ง’ ต้องเจ็บปวดแม้เพียงเล็กน้อย

“แต่โรคนี้มันไม่หายขาดนะรุ่ง รุ่งต้องดูแลตัวเองดี ๆ ถ้าไม่มีเขนอยู่คอยเตือน ก็อย่าลืมวันนี้” รุ่งพยักหน้า

‘แต่ก็ลืมเสมอ ๆ ใช่ไหม อย่าลืมนะรุ่ง จดจำเอาไว้ ไม่ต้องจำก็ได้ว่าใคร.......คอยเตือน แต่ขอเพียงให้กระทำ ก็เพียงพอ’

“แล้วทำไมเขนไม่กินข้าว” รุ่งมอง ขณะที่ผมนั่งเหม่อเขี่ยข้าว

“ไม่หิวเลย........พอกินแล้วเหมือนกำลังกลืนทรายเข้าไป” ผมตอบให้ดูตลกๆ แต่มันเป็นความจริงทุกถ้อยคำ ตอนนี้ไร้ซึ่งความรู้สึก

“ฝืนกินซักนิดเถอะเขน ไม่สบายเพิ่งหาย รุ่งก็เป็นห่วงเขนเหมือนกันนะ” ผมสัมผัสได้ถึงความอาทรที่ฉายชัดออกมาจากความรู้สึกของรุ่ง เราจึงส่งยิ้มเล็ก ๆ ให้กันก่อนที่จะเริ่มจัดการกับอาหารอย่างจริงจัง

 

02:31 นครสวรรค์

ผ่านมาห้าชั่วโมงแล้ว ผมยังคงนอนไม่หลับพลิกตัวไปมาเกือบรอบที่ร้อยได้ ทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนก็ไม่ได้สัมผัสถึงความอ่อนนุ่มของที่นอนแม้เพียงนิดเดียว ตอนนี้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ งุนงง เพราะร่างกายกำลังร้องเรียกให้ต้องพักผ่อนเสียที แต่สมองยังคงคิดวนเวียนวุ่นวาย คงเป็นเพราะหัวใจยังร่ำร้องไม่ยินยอมให้ปล่อยให้เรื่องราวเพียงผ่านไป ร่างบางข้างล่าง ดูเงียบสงบ คงเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว ผมจึงค่อย ๆ ปืนลงมาจากเตียง ยืนนิ่งเหม่อมองไปด้านนอกหน้าต่าง ต่อไปจะทำอย่างไร

“เขนนอนไม่หลับเหรอ” ผมหันกลับมาพบว่ารุ่งกำลังนั่งกอดเข่าอยู่บนที่นอน

“เขนทำรุ่งตื่นหรือเปล่า” ผมจึงก้าวเข้าไปนั่งคุกเข่าข้าง ๆ เตียง สีหน้าของรุ่งซีดจาง

“เปล่า... นอนไม่หลับเหมือนกัน” แน่นอนสีหน้าตอนนี้หน้าของผมก็คงมีสภาพไม่ต่างกัน จึงเอื้อมไปเกาะกุมมือเล็กอีกครั้ง

“รุ่ง....นั่งคุยกันได้ไหม” เพราะหัวใจที่บอบช้ำ ทำให้น้ำเสียงที่เปล่งออกไปแหบพร่า

“อืม” เรามานั่งเคียงกันข้างหน้าต่างอีกครั้ง

“รุ่ง... รู้ไหม เขนเห็นรุ่งครั้งแรกตั้งแต่รับน้องตอนปีหนึ่ง คอนเสิร์ตวันรับเพื่อนใหม่คืนนั้นที่รุ่งตีกลอง ทำให้เขนตั้งใจกลับมาเล่นเบสอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้จับมานาน เพราะอยากเข้ามาอยู่ในชมรมดนตรีกับรุ่ง”

“พอได้เข้าชมรมเขนก็คอยมองตามแต่รุ่งมาตลอด แฟนคลับรุมล้อมมากมายจริง ๆ จนเขนไม่สามารถเข้าถึงได้เลย ไม่มีโอกาสได้คุยกันเลยสักครั้ง”

“เขนพยายามหาทางทำอะไรสักอย่าง.....เลยแอบเอา ‘ดอกลิลลี่’ ไปวางให้รุ่งที่ล็อกเกอร์ ทุก ๆ วันตอนเช้า ที่บ้านสงสัยกันใหญ่ว่าทำไมเขนถึงมาขยันเรียนมากตอนนั้น ไปแต่เช้าทุกวัน” ความในใจค่อย ๆ เอ่ยเฉลยระบายออกมา ผมจึงหยุดไว้ก่อนที่จะล้นทะลัก

“ทำไมต้องเป็น ‘ดอกลิลลี่’ หละเขน” รุ่งเอ่ยถาม

 

ผมดีใจที่อย่างน้อยรุ่งก็รับฟัง... กลัวเขาจะรำคาญ

หากผมอดที่จะอมยิ้มเพราะเขินเล็ก ๆ ไม่ได้ ก่อนจะตอบ

 

“ ‘ดอกลิลลี่’ เหมือนรุ่งในความรู้สึกเขน ‘อบอุ่นนุ่มนวล มีเสน่ห์ ชวนให้ค้นหา อ่อนไหว บอบบาง น่าทะนุถนอม’ ” ผมบีบมือเล็ก ๆ เบาๆ อีกครั้ง เพราะต้องการส่งผ่านความรู้สึก

แต่ทำไม... อะไรบางอย่าง... แวบผ่านเข้ามาในสมอง เหมือนผมรู้มาเสมอ เหมือนเหตุการณ์เคยเกิดมาก่อน

เหมือนความรู้สึกที่ว่า ‘รุ่งคลับคล้าย กับดอกลิลลี่’ นี้เคยเกิดขึ้น...

มาก่อนหน้านี้

 

คงเพราะไม่ได้พักผ่อนแน่ ๆ จึงสับสนขนาดนี้ ผมค่อย ๆ ไล่ความรู้สึกมึน ๆ งง ๆ ก่อนจะเล่าต่อ

“เขนตั้งใจจะไปสารภาพรักกับรุ่ง เตรียมการอย่างดีตอนนั้น แต่มารู้อีกที รุ่งก็บินไปต่างประเทศแล้ว” ความรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นที่ทำผิดพลาด

“จนได้มีโอกาสพบรุ่งที่ทำงานอีกที เขนก็มาเช้าอีกครั้ง เพียงเพราะอยากพบหน้า รุ่งจำ วันแรกที่เราประชุมด้วยกันได้ไหม วันนั้นเขนมารอรุ่งที่ลิฟต์ตอนเช้าด้วย รออยู่ตั้งนาน คิดว่าจะไม่เจอรุ่งอีกแล้ว.... เพราะใกล้เวลาเดินทางมาลำปางเต็มที”

“เลยดีใจมากเลยตอนที่เดินเข้าไปในห้องประชุมแล้วรู้ว่ารุ่งดูโปรเจคนี้ พอประชุมเสร็จก็รู้ว่ารุ่งยังคุยอยู่กับพี่บลู เลยรอรุ่ง....อยากทำความรู้จักให้มากกว่าเดิม รอจนถอดใจนึกว่ารุ่งกลับไปแล้ว เลยจะขึ้นมาเก็บของ โชคดีที่ได้พบรุ่งพอดี” รุ่งอมยิ้มเล็ก ๆ คงจำได้

“เขนก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าจะมาตกหลุมรักรุ่งอีกเป็นครั้งที่สอง เป็นไปได้ยังไงนะ ทั้งที่เวลาผ่านไปเกือบสิบปี”

“แต่ก็ดีกว่าครั้งที่แล้ว......”

“อย่างน้อยครั้งนี้ เขนก็กล้าพอที่จะสารภาพ......”

“อย่างน้อยครั้งนี้ รุ่งก็รับรู้ถึงความรักของเขน.........”

“อย่างน้อยครั้งนี้ เขนก็พยายามเต็มที่แล้ว................”

“อย่างน้อยครั้งนี้ รุ่ง...ก็รักเขน แม้จะเป็นแบบ ‘เพื่อน’ ก็ตาม” ผมถอนหายใจ ใช่สินะครั้งนี้ดีกว่าเดิมตั้งเท่าไหร่ อย่างน้อยเราก็มีความทรงจำร่วมกัน ไม่ใช่มีแต่ผมที่ ‘รู้’ เพียงแค่ฝ่ายเดียว

 

04:03 ลพบุรี

“รุ่งเป็นอะไร” ผมตกใจ ร่างเล็กสั่นไหว ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาพรั่งพรู

“ม...ไม่เป็นอะไร ฮึก ฮึก ขอเวลานิดนะเขน” ผมทำอะไรผิดหรือเปล่า ผมพูดอะไรผิด

ผมรับรู้ถึงแรงกดดัน.........ที่ระเบิดออกมาจากดวงใจดวงเล็ก ๆ ที่ผมแสนรัก ทำไมช่างเจ็บปวด...ทรมานมากขนาดนี้ ทำไมคนตัวเล็ก ๆ ถึงต้อง ‘เก็บ’ มันไว้มากขนาดนี้

 

ผมทำได้เพียงนั่งเคียงข้าง พร้อมทั้งบีบมือให้กำลังใจและเช็ดน้ำตาให้

ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงกว่ารุ่งจะค่อย ๆ หยุดร้องได้

 

กับคนบางคนที่ ‘เก็บ’ เอาไว้มานาน.....ผมรู้ว่าทรมาน

กับผมก็เช่นกัน.......

 

ก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะบอกออกไป ความรู้สึกทรมานช่างเอ่อล้นดวงใจ

ยิ่งได้เห็นอย่างนี้... เห็นคนที่เรารักทนทุกข์......

หัวใจก็แตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ อีกครั้ง

 

ผมไม่เคยถาม ไม่เคยอยากรู้...

เพราะรู้ว่ามันจะเจ็บปวดรวดร้าวเพียงใด สำหรับเราทั้งสอง

 

แต่ครั้งนี้ผมยอม..... ไม่ว่าอย่างไร.......

ขอเพียงได้บรรเทา ได้ช่วย แม้เพียงเล็กน้อย

แม้ต้องขาดใจ......ผมก็จะทำ

 

“เพราะ ‘เขา’ คนนั้นเหรอรุ่ง.....” รุ่งตกใจไม่น้อย คงไม่คิดว่าผมจะเอ่ยถาม จึงทอดถอนใจแล้วพยักหน้า

“เล่าให้เขนฟังได้ไหม เขนอยากช่วยรุ่ง... ถ้าช่วยรุ่งได้ เขนยอมทำทุกอย่าง” ความเจ็บปวดที่ไม่สามารถข่มไว้ภายในได้ ส่งให้น้ำเสียงที่พูดออกไปเริ่มแตกเครือ ลำคอแห้งผาด

“เขน........” ได้โปรดเถอะรุ่ง อย่า ‘เก็บไว้เลย’ แบ่งมันมาบ้าง

“……………….” รุ่งยังเงียบ หากผมต้องรุกต่อไป

แม้ข้างใน....หัวใจจวนเจียนจะขาด

 

“เขนเป็น ‘เพื่อน’ รุ่งไม่ใช่หรอ”

“ถ้ารุ่งเห็นเขนเป็น ‘เพื่อน’ จริง ๆ รุ่งก็ต้องแบ่งความเจ็บปวดมาให้เพื่อนบ้าง”

“อย่างน้อยได้ระบายออกมาบ้างก็ยังดี นะรุ่ง..............” ผมส่งสายตาเว้าวอน ร้องขอ ตรงตามความรู้สึกข้างใน รุ่งจึงพยักหน้ารับ และเงียบไปเหมือนกำลังร้อยเรียงคำพูด

ขณะที่ผมกำลังกลั้นใจ.... ผมรู้ว่าเรื่องที่จะได้ฟัง.... จะกรีดลึกลงย้ำ และตอกซ้ำเข้าไปในหัวใจที่บอบช้ำ

“มันเริ่มจากความผูกพัน ความผูกพันของคนสองคนกับระยะเวลาที่ยาวนาน จนแปรเปลี่ยนความสัมพันธ์ไป....เป็นคนรัก”

ความผูกพัน และระยะเวลานี่เอง คือ ความแตกต่าง ผมค่อย ๆ เริ่มทำความเข้าใจ เรื่องราวระหว่างรุ่งกับผม มันจึงไม่สามารถเปรียบ หรือเทียบเคียงได้เลย

เพราะที่ผ่านมามีเพียง ‘ผมผู้เดียว’ ที่พันผูกกับระยะเวลายาวนานนั่น

“แต่เหมือนพรหมลิขิตเล่นตลก ขีดเส้นทางเดินของเราให้ต้องแยกจากกัน ‘เขา’ สัญญาว่าจะรอ”

“และ ‘เขา’ ก็รอ...รอรุ่งเสมอ”

“จนเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น ‘เขา’ ก็ยังพยายามฝืน พยายามดันทุรังที่จะรื้อฟื้น... แม้ตัวเองต้องเจ็บปวดทรมาน แทบขาดใจ”

เพราะอย่างนี้สินะ รุ่งถึงไม่ต้องการให้ผมรอ ผมเพิ่งเข้าใจ อะไรอะไร.....

ที่ไปตอกย้ำความเจ็บปวดของคนที่ผมรัก

แต่เหตุการณ์นั้นคืออะไร... ทำไมเหมือนรุ่ง ‘จงใจ’ ต้องการข้าม

 

“เมื่อรุ่งกลับมา เขาก็เกือบจะเสียสติ ทางเดียวที่จะรักษาเขาได้ คือ ปล่อยให้เขาไปตามทาง ไม่มีรุ่งแล้วเขาจะดีขึ้น”

“เมื่อรุ่งออกจากชีวิตเขามา เขาก็ดีขึ้นจริง ๆ นะเขน” รุ่งส่งรอยยิ้มที่แสนทรมานให้ผม อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมเพิ่งเริ่มกระจ่างถึงความเป็นมา

“ตอนนี้เขากลับมาเป็นคนเดิมแล้ว แล้วชีวิตเขาจะดีกว่านี้ถ้าไม่มีรุ่งอีกต่อไป”

“แม้ว่าต้องทรมานกับความรู้สึกที่ว่า........”

“เราสองคนยังรักกันอยู่…”

“ยังรักกันมาก…”

“และไม่มีวันลืมกันได้จริง ๆ…”

“แต่ก็ไม่มีอะไรจะมารับประกันได้ว่า ถ้าย้อนกลับไป รุ่งเองนี่แหละจะไปทำร้ายเขาอีกหรือเปล่า”

“มันจึงไม่มีวัน..........ไม่มีทาง............ที่จะกลับไปเป็นดังเดิมได้”

ความอดกลั้นถึงขีดสุด น้ำตาของผมเริ่มหลั่งริน

ผมไร้ซึ่งคำถามอีกต่อไป

 

แม้จะเป็นเรื่องราวเพียงบางส่วน

แต่กลับบาดลึกกรีดเนื้อหัวใจ มันบาดลึกตรงที่

 

‘เขาสองคนรักกัน ทั้งที่ยังรักกันมากขนาดนี้ แต่ไม่สามารถกลับไปรักกันได้’

คนที่เสียสละคือคนที่เจ็บปวดที่สุด

รุ่งยอมเสียสละความรักของตัวเองเพราะ ‘เขา’ คนคนนั้นที่รุ่งรัก

 

กระจ่างชัดว่าทำไม... ดอกทานตะวันจึงเฝ้าแต่มองหาดวงอาทิตย์

ก็คงเป็นหัวใจที่ ‘จงรักภักดี’ นี่เอง

 

“และมันก็ลึกซึ้งผูกพันมากเกินจะเริ่มต้นใหม่ได้จริง ๆ” ดูเถอะใจคน น้ำใจของคนคนนี้ยังเผื่อแผ่มาให้คำตอบกับผม ทั้ง ๆ ที่หัวใจดวงเล็ก แหลกสลาย

 

ผมดึงรุ่งที่กำลังร้องไห้จนร่างสั่นเทาเข้ามากอดไว้ในอ้อมอก และไม่ปิดบังน้ำตาของผมอีกต่อไป ผมจะไม่มีวันทำให้รุ่งเจ็บอีก ผมสัญญา....

หยุดแล้ว

หยุดที่จะยื้อยุด ตอกย้ำ

สวรรค์หรือใครก็ตาม ได้โปรด...กรุณา

 

ผม ‘เลือก’ แล้ว

ผม ‘เลือก’ ที่จะยอม ‘เก็บ’ แล้วเดินจากไป

 

06:30 ชุมทางบางซื่อ

อีกเพียงครึ่งชั่วโมงก็จะมาถึง ‘ปลายทาง’

เราทั้งสองนั่งเงียบมาตลอดระยะเวลา..... ระยะทาง........ ที่เหลือ

 

มือยังคงสอดประสานแน่นกระชับ และเป็นกำลังใจให้กันและกัน เพราะหัวใจของคนทั้งคู่ได้แหลกสลาย

 

อย่างน้อยครั้งนี้ ก็ได้เป็น ‘เพื่อน’ กัน อย่างที่รุ่งร้องขอมาตลอด

แค่นี้ก็วิเศษสุดแล้ว

 

ผมคงไม่สานความสัมพันธ์ต่อไปให้มากกว่าคำว่า ‘เพื่อน’

ด้วยความ ‘เข้าใจ’ และความ ‘ปรารถนา’ ดีที่เพื่อนมีต่อกัน

 

จะไม่ดึงดันให้อีกคนต้องเจ็บปวดอีกต่อไป

แม้ผมยังไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดว่า ‘เหตุการณ์นั้น’ คืออะไร

แต่ผมคงไม่รื้อฟื้นสืบหา อีกต่อไป.....

 

ผมรู้แต่เพียง...

ผมกลับ ‘รักรุ่ง’ อย่างลึกซึ้ง... มากขึ้นทับทวี...

 

และรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่า...

ผมกำลัง ‘ลืม’ อะไรบางอย่างที่สำคัญกับชีวิตมาก ๆ ไป

 

07:00 กรุงเทพฯ





#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: KEEP: PAINFUL 12.02.2018
«ตอบ #93 เมื่อ12-02-2018 16:40:04 »

Chapter XIII

Painful

 

20:08 นครลำปาง

รถไฟด่วนพิเศษ ค่อย ๆ เคลื่อนออกจากชานชาลาสถานีรถไฟ นครลำปาง เราเข้ามาเก็บกระเป๋าในตู้นอน ภายในห้องขนาดกะทัดรัด มีเตียงเดี่ยวสองชั้น ปูผ้าคลุมสีขาวสะอาดตา และเบาะที่นั่งหุ้มด้วยกำมะหยี่เล็ก ๆ อยู่ริมหน้าต่างกระจกใสที่มองออกไปเห็นภาพบรรยากาศภายนอกตัวรถไฟ

“รุ่ง นอนเตียงชั้นล่างนะ เดี๋ยวเขนนอนชั้นบนเอง” เขนบอกขณะที่ก้มตัวเก็บกระเป๋าเดินทางของผมข้างใต้เตียงนอน

ผมจึงพยักหน้าตอบ และลอบยิ้ม ‘เขนมักเสียสละ และเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ผมเสมอ’ ก่อนที่จะทิ้งตัวลงนั่งที่เบาะ เบือนหน้าชมวิวภายนอก ซึ่งตอนนี้เป็นทิวทัศน์ตึกรามบ้านช่องใจกลางเมืองนครลำปาง

“โทษทีรุ่ง ตอนนั้นเขนไม่ทันคิดว่า ถ้าเดินทางกลางคืนคงไม่ได้เห็นวิวเท่าไหร่” เขนบอกขณะที่ขยับตัวมานั่งข้าง ๆ พร้อมวางมือลงบนมือของผมพร้อมบีบเบา ๆ

“ไม่เป็นไรหรอกเขน แค่นี้ก็ดีกว่าที่คิดไว้มากแล้ว” ผมหันหน้ากลับมายิ้มให้กับคนข้าง ๆ ทั้งที่ข้างในหัวใจมันตื้นตันสั่นสะเทือนจนแทบกลั้นน้ำตาไม่ไหว

 

‘เขนทำไม... ทำอย่างนี้ ทำไม... ถึงดีอย่างนี้

ความต้องการที่พูดไปลอย ๆ ไม่ได้คิดอะไรเพื่อปิดบังความปรารถนา...ที่เก็บไว้ลึกสุดใจ แต่สำหรับใครอีกคน กลับ ‘ให้ความสำคัญ’ จดจำมันได้ขึ้นใจ

และทำทุกทางเพื่อให้มันเป็นความจริง’

 

“ขอบคุณมาก ขอบคุณจริง ๆ” ผมเอ่ยออกมาเพื่อสกัดกั้นน้ำตา และความรู้สึกที่ล้นทะลักอยู่ในหัวใจ

“ไม่ได้ลำบากอะไรเลย... รุ่ง แค่เห็นรุ่งมีความสุข เขนก็มีความสุข” เขนส่งรอยยิ้มตอบกลับมา

ผมเชื่อในทุก ๆ ถ้อยคำอย่างไร้ข้อกังขา

เวลา....นานเท่านาน มันเกินพอที่จะพิสูจน์ ความจริงใจของผู้ชายคนนี้

แต่ผมเอง...ไร้ความสามารถที่จะตอบแทนเขาได้

“รุ่งหิวหรือยัง ไปตู้เสบียงหาอะไรทานกันเถอะนะ”

“อืม” ความรู้สึกด้านชาในหัวใจทำให้บดบังความรู้สึกใด ๆ แม้แต่ความหิว เกือบลืมว่าเราทั้งสองคนไม่ได้มีอาหารตกถึงท้องมาตลอดวัน ผมลุกขึ้นเดินตามมือที่กระชับนำทางออกมาตามทางเดิน โดยไม่ใส่ใจสายตาของผู้คนรอบข้าง แม้สมองจะประท้วงให้ดึงมือออก แต่หัวใจกลับร้องขอให้ทำตาม ‘ความปรารถนา’ ของตัวเองบ้าง เหลือ ‘เวลา’ แค่เพียงไม่นานที่จะได้ ‘เคียงข้างกัน’

เราสั่งอาหารตามสั่งง่าย ๆ ที่ตู้เสบียง เมื่ออาหารมาวางอยู่ตรงหน้าถึงได้รู้ว่าความหิวเป็นเช่นไร อาหารที่ผมสั่งมาก่อนของเขน

“กินก่อนเลยรุ่ง” ผมเริ่มก้มหน้าก้มตาทานด้วยความรวดเร็ว

“กินช้า ๆ รุ่ง ค่อย ๆ เคี้ยวให้ละเอียด เดี๋ยวอาหารไม่ย่อย เคยเป็นโรคกระเพาะไม่ใช่เหรอ” ผมขมวดคิ้ว เขนเคยบอกให้เคี้ยวช้า ๆ ตลอดมาที่กินข้าวด้วยกัน แต่ไม่เคยบอกว่าเขารู้

“เขนรู้ได้ไง” จริง ๆ นั่นแหละผมเคยเป็นโรคกระเพาะ แต่ก็ไม่เป็นมานาน...มากแล้ว

“ก็.....ที่เขนเคยบอก เขนตามดูรุ่งอยู่ตอนเรียน ทำไมเขนจะไม่รู้ ไม่งั้นจะส่ง ‘ดอกลิลลี่’ ไปโรงพยาบาลถูกเหรอ” เขนกำลังยิ้มให้ความหลัง ใช่สินะ...ระยะเวลาหนึ่งปีช่วงตอนเรียนมหาวิทยาลัยปีที่สอง ผมได้รับ ‘ดอกลิลลี่’ ทุกวัน ไม่เว้นแม้แต่วันที่อาการโรคกระเพาะกำเริบจนต้องเข้าโรงพยาบาล

“ไม่เป็นนานแล้ว.....” ไม่เคยคิดว่าจะมีใคร…ใส่ใจเราได้ขนาดนี้

“แต่โรคนี้มันไม่หายขาดนะรุ่ง รุ่งต้องดูแลตัวเองดี ๆ ถ้าไม่มีเขนอยู่คอยเตือน ก็อย่าลืมวันนี้” ผมพยักหน้า

‘รุ่ง ไม่ลืมหรอกเขน ความจำ รุ่ง ดีเกินไปด้วยซ้ำ ไม่งั้นจะต้องทนเจ็บอย่างนี้เหรอ’

“แล้วทำไมเขนไม่กินข้าว” ผมมองเขนนั่งเขี่ยข้าวกำลังเหม่อ

“ไม่หิวเลย..........พอกินแล้วเหมือนกำลังกลืนทรายเข้าไป” เขาตอบให้ขำขำ หากแต่มันไม่ขำเลย เขน มันจุกมากกว่า

“ฝืนกินซักนิดเถอะเขน ไม่สบายเพิ่งหาย รุ่งก็เป็นห่วงเขนเหมือนกันนะ” ผมบอกอย่างซื่อตรงกับความรู้สึก เราจึงส่งยิ้มเล็ก ๆ ให้กันก่อนที่จะจัดการกับอาหารต่อไป

 

02:31 นครสวรรค์

ผมนอนนิ่งทอดถอนหายใจ...ผ่านมาห้าชั่วโมงแล้วที่ไม่สามารถข่มตาหลับได้ ทั้ง ๆ ที่ เมื่อคืนก็ไม่ได้แม้แต่เฉียดกรายใกล้ที่นอนแม้แต่นิดเดียว ร่างกายต้องการพักผ่อนอย่างชัดเจนเพราะประสาทสัมผัสต่าง ๆ เริ่มลอย ๆ แต่หัวใจยังสั่งให้สมองคิดวุ่นวายวนเวียน คนตัวโตเตียงข้างบนก็เช่นกัน เสียงพลิกตัวไปมาเกินกว่าที่จะนับได้ เขนค่อย ๆ ปีนลงมาจากเตียงชั้นบน ยืนนิ่งเหม่อมองไปด้านนอกหน้าต่าง ผมตัดใจลุกขึ้นมานั่งกอดเข่าบน ที่นอน

“เขนนอนไม่หลับเหรอ” ผมถาม

“เขนทำรุ่งตื่นหรือเปล่า” เขาหันกลับมานั่งคุกเข่าข้าง ๆ เตียง ทำให้เห็นรอยคล้ำใต้ตาชัดเจน

“เปล่า.....นอนไม่หลับเหมือนกัน” ผมแน่ใจว่าตอนนี้หน้าของผมก็มีสภาพไม่ต่างกัน เขนเอื้อมมือมากุมมือผมอีกครั้ง

“รุ่ง....นั่งคุยกันได้ไหม” เสียงที่ถามออกจะแหบพร่า ทำเอาหัวใจกระตุกเต้นผิดจังหวะ

“อืม” เรามานั่งเคียงกันข้างหน้าต่างอีกครั้ง

“รุ่ง......รู้ไหม เขนเห็นรุ่งครั้งแรกตั้งแต่รับน้องตอนปีหนึ่ง คอนเสิร์ตวันรับเพื่อนใหม่คืนนั้นที่รุ่งตีกลอง ทำให้เขนตั้งใจกลับมาเล่นเบสอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้จับมานาน เพราะอยากเข้ามาอยู่ในชมรมดนตรีกับรุ่ง”

วันนั้นทำไม้กลองตกด้วยเถอะ ตื่นเต้นมากเกินไปหน่อย เพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นสายตาของ ‘เขา’ คนนั้น คนที่ไม่ได้เจอกันเกือบสามปี...

 

“พอได้เข้าชมรมเขนก็คอยมองตามแต่รุ่งมาตลอด แฟนคลับรุมล้อมมากมายจริง ๆ จนเขนไม่สามารถเข้าถึงได้เลย ไม่มีโอกาสได้คุยกันเลยสักครั้ง” แฟนคลับคนเล่าก็ไม่น้อยหรอก ผมแอบเถียงในใจ

“เขนพยายามหาทางทำอะไรสักอย่าง.....เลยแอบเอา ‘ดอกลิลลี่’ ไปวางให้รุ่งที่ล็อกเกอร์ ทุก ๆ วันตอนเช้า ที่บ้านสงสัยกันใหญ่ว่าทำไมเขนถึงมาขยันเรียนมากตอนนั้น ไปแต่เช้าทุกวัน” เขนเริ่มเงียบไป ผมจึงถามออกไปบ้าง

“ทำไมต้องเป็น ‘ดอกลิลลี่’ ล่ะเขน” ผมอยากรู้จริง ๆ อยากรู้มาตลอด

ทั้งที่รู้ว่า ไม่มีทางที่จะ ‘จำ’ ได้

 

ผมเห็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก ก่อนจะตอบ

“ ‘ดอกลิลลี่’ เหมือนรุ่งในความรู้สึกเขน ‘อบอุ่นนุ่มนวล มีเสน่ห์ ชวนให้ค้นหา อ่อนไหว บอบบาง น่าทะนุถนอม’ ” เขนบีบมือผมเบา ๆ อีกครั้ง เหมือนต้องการส่งผ่านความรู้สึก

ทำไม...อะไร...บางอย่าง..........ถึงไม่เคยเปลี่ยน

แม้ ‘ความทรงจำ’ ของ ‘เขา’ ไม่มีวันย้อนกลับมา.......

 

แต่บางส่วนที่ถูกเก็บลึก......ไม่เคยเปลี่ยน

“เขนตั้งใจจะไปสารภาพรักกับรุ่ง เตรียมการอย่างดีตอนนั้น แต่มารู้อีกทีรุ่ง ก็บินไปต่างประเทศแล้ว”

ทำไมจะไม่รู้ละเขน ก็เพราะ....รู้นี่แหละ ถึงเลือกเดินทางนั้น

ทางที่ไม่ต้องทำร้ายใคร....นอกจากตัวเอง

 

“จนได้มีโอกาสพบรุ่งที่ทำงานอีกที เขนก็มาเช้าอีกครั้ง เพียงเพราะอยากพบหน้า รุ่งจำ วันแรกที่เราประชุมด้วยกันได้ไหม วันนั้นเขนมารอรุ่งที่ลิฟต์ตอนเช้าด้วย รออยู่ตั้งนาน คิดว่าจะไม่เจอรุ่งอีกแล้ว.... เพราะใกล้เวลาเดินทางมาลำปางเต็มที”

“เลยดีใจมากเลยตอนที่เดินเข้าไปในห้องประชุมแล้วรู้ว่ารุ่งดูโปรเจคนี้ พอประชุมเสร็จก็รู้ว่ารุ่งยังคุยอยู่กับพี่บลู เลยรอรุ่ง....อยากทำความรู้จักให้มากกว่าเดิม รอจนถอดใจนึกว่ารุ่งกลับไปแล้วเลยจะขึ้นมาเก็บของ โชคดีที่ได้พบรุ่งพอดี” ถึงว่าวันนั้นเขนดูหิวมากนัก กินไปพูดไปไม่หยุด ผมยิ้มให้กับความทรงจำ

“เขนก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าจะมาตกหลุมรักรุ่งอีกเป็นครั้งที่สอง เป็นไปได้ยังไงนะ ทั้งที่เวลาผ่านไปเกือบสิบปี”

“แต่ก็ดีกว่าครั้งที่แล้ว......”

“อย่างน้อยครั้งนี้ เขนก็กล้าพอที่จะสารภาพ......”

“อย่างน้อยครั้งนี้ รุ่งก็รับรู้ถึงความรักของเขน...........”

“อย่างน้อยครั้งนี้ เขนก็พยายามเต็มที่แล้ว................”

“อย่างน้อยครั้งนี้ รุ่ง...ก็รักเขน แม้จะเป็นแบบ ‘เพื่อน’ ก็ตาม”

 

‘ครั้งที่สามหรอกเขน.............ไม่ใช่สอง’

 

ใจของผมกำลังสลาย...... กลั้นน้ำตาไม่ไหวอีกแล้ว

 

04:03 ลพบุรี

“รุ่งเป็นอะไร” เขนตกใจ

“ม...ไม่เป็นอะไร ฮึก ฮึก ขอเวลานิดนะเขน” ตอนนี้ยังไม่สามารถพูดอะไรได้

 

เมื่อน้ำตาที่ ‘เก็บ’ ไว้มานาน.... นานมากจนเกินไป……

จนทนแรงกดดันไม่ได้...........มันล้นทะลักออกมา

 

เขนยังคงนั่งข้าง ๆ บีบมือให้กำลังใจและเช็ดน้ำตาให้อย่างสม่ำเสมอ

ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าผมจะค่อย ๆ หยุดร้องได้

 

กับคนบางคนการร้องไห้เป็นแค่การแสดง...ความรู้สึก

กับผมก็เช่นกัน..........

 

ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เปลี่ยนแปลงไป

ไม่ได้ร้องไห้อย่างนี้มานาน........ นานตั้งแต่เลือกที่จะเดินจากไป

 

“เพราะ ‘เขา’ คนนั้นเหรอ” ผมไม่คาดคิดว่าเขนจะถาม ผมจึงถอนหายใจแล้วพยักหน้ารับ

“เล่าให้เขนฟังได้ไหม เขนอยากช่วยรุ่ง.......ถ้าช่วยรุ่งได้ เขนยอมทำทุกอย่าง” เสียงเขนแตกเครือ

“เขน.................”

“……………….” อย่าเลย อย่าทำอย่างนี้เลย

“เขนเป็น ‘เพื่อน’ รุ่งไม่ใช่เหรอ”

“ถ้ารุ่งเห็นเขนเป็น ‘เพื่อน’ จริง ๆ รุ่งก็ต้องแบ่งความเจ็บปวดมาให้เพื่อนบ้าง”

“อย่างน้อยได้ระบายออกมาบ้างก็ยังดี นะรุ่ง” สายตาของเขนฉายชัดความจริงใจทุกถ้อยคำ ผมจึงได้แต่พยักหน้ารับ ค่อย ๆ เรียบเรียงเรื่องเล่า

 

แม้รู้ว่าเล่าไป......ก็เหมือนกับยิ่งฉีกรอยแผลเดิมให้กว้างขึ้น....

แล้วกดมีดลงไปใหม่จนมิดด้าม

 

“มันเริ่มจากความผูกพัน ความผูกพันของคนสองคนกับระยะเวลาที่ยาวนาน จนแปรเปลี่ยนความสัมพันธ์ไป....เป็นคนรัก”

“แต่เหมือนพรหมลิขิตเล่นตลก ขีดเส้นทางเดินของเราให้ต้องแยกจากกัน ‘เขา’ สัญญาว่าจะรอ”

“และ ‘เขา’ ก็รอ...รอรุ่งเสมอ”

“จนเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น ‘เขา’ ก็ยังพยายามฝืน พยายามดันทุรังที่จะรื้อฟื้น....แม้ตัวเองต้องเจ็บปวดทรมาน แทบขาดใจ”

“เมื่อรุ่งกลับมา เขาก็เกือบจะเสียสติ ทางเดียวที่จะรักษาเขาได้คือปล่อยให้เขาไปตามทาง ไม่มีรุ่งแล้วเขาจะดีขึ้น”

“เมื่อรุ่งออกจากชีวิตเขามา เขาก็ดีขึ้นจริง ๆ นะเขน”

“ตอนนี้เขากลับมาเป็นคนเดิมแล้ว แล้วชีวิตเขาจะดีกว่านี้ถ้าไม่มีรุ่งอีกต่อไป”

“แม้ว่าต้องทรมานกับความรู้สึกที่ว่า........”

“เราสองคนยังรักกันอยู่...”

“ยังรักกันมาก…”

“และไม่มีวันลืมกันได้จริง ๆ…”

“แต่ก็ไม่มีอะไรจะมารับประกันได้ว่าถ้าย้อนกลับไป รุ่งเองนี่แหละจะไปทำร้ายเขาอีกหรือเปล่า”

“มันจึงไม่มีวัน..........ไม่มีทาง............ที่จะกลับไปเป็นดังเดิมได้”

“และมันก็ลึกซึ้งผูกพันมากเกินจะเริ่มต้นใหม่ได้จริง ๆ”

น้ำตาหลั่งไหลอีกครั้งหลังจากที่ได้ระบายมันออกมา

เกินพอแล้ว......พอแล้วจริง ๆ

 

เขนดึงผมไปกอดไว้ในอ้อมอกของเขา

แต่ครั้งนี้ผมรู้ว่าไม่ใช่ผมเพียงคนเดียวที่ร้องไห้

 

ผมทำให้ 'เขา' เจ็บอีกครั้ง และได้แต่ภาวนา.....อย่าเป็นอะไรเลยนะ....

 

หยุดแล้ว

พอแล้ว

 

สวรรค์หรือใครก็ตาม ได้โปรด........กรุณา

ผม ‘เลือก’ แล้ว

ผม ‘เลือก’ ที่จะยอม ‘เจ็บ’ แล้วเดินจากไป ‘อีกครั้ง’

 

06:30 ชุมทางบางซื่อ

อีกเพียงครึ่งชั่วโมงก็จะมาถึง ‘ปลายทาง’

เราทั้งสองนั่งเงียบมาตลอดระยะเวลา.....ระยะทาง........ที่เหลือ มือยังคงสอดประสานแน่นกระชับ และเป็นกำลังใจให้กันและกัน เพราะหัวใจของคนทั้งคู่ได้แหลกสลาย

 

อย่างน้อยครั้งนี้ ก็ได้เป็น ‘เพื่อน’ อย่างที่เขนบอก

แค่นี้ก็วิเศษสุดแล้ว

 

เราคงไม่สานความสัมพันธ์ต่อไปให้มากกว่าคำว่า ‘เพื่อน’

ด้วยความ ‘เข้าใจ’ และความ ‘ปรารถนา’ ดีที่เพื่อนมีต่อกัน

 

จะไม่ดึงดันให้อีกคนต้องเจ็บปวดอีกต่อไป

ใช่ครับ มันอาจดูสับสน

 

แต่ผมยืนยัน

 

เขน....... ตกหลุมรักผม มาแล้ว ‘สาม’ ครั้งจริง ๆ

ผม.......จงรักต่อ 'เขา' คนนั้นมานานกว่าสิบเจ็ดปี

และมีเพียง ‘เขา’ คนนั้นเสมอมา และตลอดไป

 

07:00 กรุงเทพฯ 





#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: KEEP 12.02.2018
«ตอบ #94 เมื่อ12-02-2018 16:47:30 »

Chapter XIV

Keep

 

เหตุการณ์บางเหตุการณ์...

คลับคล้ายว่าเคยเกิดขึ้นมาก่อน...

 

จนยากที่จะแยกแยะได้ว่าเรื่องใดเป็นความจริง เรื่องใดเป็นแค่..ความฝัน ที่สะท้อนจากความรู้สึกที่ถูก ‘เก็บ’ ไว้ในเบื้องลึกของความทรงจำ และสัมพันธภาพในอดีต

บางคนเรียกความรู้สึกแบบนี้ว่า ‘เดฌาวูว์’ ความรู้สึกที่เสมือนสามารถคาดเดาเหตุการณ์ข้างหน้าได้ หรือเสมือนเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปเคยประสบพบแล้วในอดีต มีหลากหลายทฤษฎีที่พยายามจะหาคำตอบให้กับความรู้สึกแบบนี้ของมนุษย์

ทางวิทยาศาสตร์มักจะอธิบายว่า เป็นการไหลของคลื่นกระแสไฟฟ้าในสมองที่เกิดการผิดปกติ แล้วทำให้การกระทำที่เรากำลังทำอยู่ ณ ขณะนั้นคลับคล้ายว่าเคยเกิด มาก่อนหน้านี้มาแล้ว แต่ไม่สามารถจำเวลาได้

บ้างก็ว่าเป็นประสบการณ์ทางจิต ที่เกิดได้กับทุกคน และทุกเวลา เป็นทั้งโลกคู่ขนาน และเวลาที่ผ่านไปแล้วในอดีตอันยาวไกลในอดีตชาติ คล้าย ๆ กับทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์

หรือบางทีอาจจะเป็นเพียงสิ่งใดก็ตามที่เคยเกิดไปแล้วในอดีต จะย้อนกลับมาเกิดซ้ำอีก เราจะผ่านประสบการณ์มากมาย และบางสิ่งอาจหลงเหลือในความทรงจำ แล้วย้อนกลับมาเกิดอีก ทำให้รู้สึกว่าเคยเห็นมาก่อน

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมน่าจะเข้าข่ายกรณีท้ายสุด

‘อดีตที่พยายามจะลืมเลือน แต่กลับติดตรึงอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำ

 

แม้เวลาจะผ่านมานานเท่าใด บางสิ่ง... ที่ระลึกถึงเสมอ... มันดึงดูด ‘เขา’ ให้กลับมาเสมอ แม้พยายามจะหลีกหนี ซ่อนเร้น เพียงใดก็ตาม

 

กฎแห่งแรงดึงดูดก็มักจะทำหน้าที่ของมัน’

 

เขน... ตกหลุมรักผม มาแล้ว ‘สาม’ ครั้ง

ผม....จงรักต่อ 'เขา' คนนั้นมานานกว่าสิบเจ็ดปี

และมีเพียง ‘เขา’ คนนั้น เพียงคนเดียว

 

และ...‘เขา’ คนนั้น...ก็คือ‘เขน’

‘เขน’ เพียงคนเดียว เสมอมา และตลอดไป........

 

เมื่อเรื่องราวมัก ย้อนหมุน วนเวียน กลับมาซ้ำและย้ำเหมือนเรื่องตลกร้าย จนบางครั้งผมก็แยกไม่ออกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาเป็น ‘ความฝัน’ หรือ ‘ความจริง’

 

‘สาม’ ครั้งที่เราพบกันครั้งแรก

เด็กผู้ชายตาเรียวคมผิวขาวดังหิมะที่ยิ้มกว้างเพื่อผูกมิตรกับเพื่อนใหม่ ที่เพิ่งย้ายเข้ามาเรียนที่โรงเรียนตอนกลางเทอม

เด็กหนุ่มปีหนึ่งรูปร่างสูงโปร่งเกาะขอบเวทีคอนเสิร์ตที่ไม่ได้สนใจนักร้องนำ แต่กลับ จับจ้องมือกลองด้านหลัง

ชายหนุ่มน้องใหม่ที่ทำงานที่บังเอิญพบกันที่หน้าลิฟต์

 

‘สาม’ ครั้งที่สายตาคู่นั้นแอบมองผม

สายตา....ของเพื่อนรักที่คอยปกป้อง ห่วงใย ใส่ใจ และดูแลผมเสมอมา

สายตา...ของรุ่นน้องในชมรมที่เฝ้ามองผมเล่นดนตรี และสถานที่ต่าง ๆ โดยรอบมหาวิทยาลัย

สายตา...ของชายหนุ่มที่คอยแอบมองผมผ่านกระจกเงาที่สะท้อนอยู่ในลิฟต์

 

‘สาม’ ครั้งของห้วงเวลาของความอบอุ่น

ระยะเวลาตลอด 3 ปี ของความผูกพันของเพื่อนสนิทที่แปรเปลี่ยนความสัมพันธ์

ระยะเวลาตลอด 1 ปี ของช่วงเวลาที่ถูกแอบรัก จากชายหนุ่มนิรนาม

ระยะเวลาเกือบ 3 เดือน ของเพื่อนร่วมงานที่เข้ามาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป ทั้งมุมมองความคิด และความรัก

 

‘สาม’ ครั้งที่มีคนมาสารภาพรัก

‘ดอกลิลลี่’ สีขาวดอกแรก ในงานวันปัจฉิมนิเทศ

‘ดอกลิลลี่’ สีขาวสองร้อยกว่าดอก ที่หน้าล็อกเกอร์ใต้ตึกเรียน

‘ดอกลิลลี่’ สีขาวสามสิบกว่าดอก ที่เจ้าตัวนำมาปักแจกันให้ที่โต๊ะทำงาน

 

‘สาม’ ครั้งที่ผมเลือกจะ ‘เก็บ’ เรื่องราวทั้งหมดไว้เพียงคนเดียว

ครั้งแรก...ที่ผมตัดสินใจเลือกเดินออกมา เพียงเพราะผมเองที่เป็น ‘ต้นเหตุ’ ที่ทำให้เขาเจ็บปวดทรมาน

ครั้งที่สอง...ที่ผมตัดสินใจหนี ก่อนที่เขาคนนั้นจะเข้ามาสารภาพรัก มันจะดีกว่าถ้าไม่มีคำตอบใด

ครั้งที่สาม...ที่ผมเลือกจะ ‘เก็บ’ เรื่องราวในอดีตไว้และยังคงรักษาสัมพันธภาพที่ดีระหว่างกันไว้ต่อไป

 

เพียงเพราะ...

ไม่มีใครสามารถการันตีได้ว่า ‘ผม’ จะไม่เป็น ‘ต้นเหตุ’ ที่ทำให้เขาเจ็บปวดทรมานอีกครั้ง

 

เวลาผ่านมาเกือบสามอาทิตย์ที่ผมกลับมานอนที่บ้านอีกครั้ง กิจวัตรแรกของเช้าวันใหม่ คือ การอ่าน ‘ข้อความ’ มันเป็นไปโดยอัตโนมัติแทบจะไม่ต้องลืมตาเพื่อควานหาโทรศัพท์มือถือ เพราะมันอยู่ในมือของผมเกือบตลอดคืน แม้ข้อความทักทายของ ‘เพื่อน’ อาจจะไม่แตกต่างจากเดิมนักในแต่ละวัน แต่ก็ทำให้รู้สึกสดชื่น และเป็นกำลังใจที่ดี

 

‘เพื่อน’ ของผมเขาเป็นคนมั่นคง และสม่ำเสมอ

แม้จะไม่เคยมีข้อความตอบกลับไป

แต่ผม ‘รู้’ และเขาก็ ‘รู้’ ว่าผมอ่านตามสัญญา

 

เมื่อกลับมากรุงเทพฯ ผมก็ต้องกลับมาเผชิญกับการจราจรที่คับคั่งเช่นเดิม ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่ผมก็ไม่ได้มาสายอีกต่อไป เพราะ ‘ข้อความ’ ที่ทำให้ผมตื่นเช้าขึ้นนั่นเอง

ผมยังจอดรถชั้นใต้ดินโซนเดิม และกลับมาหอบม้วนเอกสาร และแบบโครงสร้างโครงการใหม่อีกครั้ง เมื่อมาเช้ามากขึ้น จำนวนคนที่ขึ้นลิฟต์ก็มีมากจนเบียดเสียดกันคล้ายปลากระป๋อง ทำให้ลืมอาการกลัวความสูงไปอัตโนมัติ

หรือจริง ๆ อาจจะเป็นความระลึกถึง ‘เพื่อน’ ที่เคยขึ้นลิฟต์ด้วยกัน ผมก็ยังไม่แน่ใจนัก

 

การทำงานโปรเจคช่วงการวางแผนเต็มไปด้วยความเข้มข้นยุ่งยากเช่นเดิม สิ่งที่จะเปลี่ยนไปก็คงเป็นเพื่อนร่วมงานหน้าใหม่ที่หมุนเวียนสับเปลี่ยนกัน จนคนที่มีความทรงจำฝังลึกอยู่ในหัวมากมายเช่นผม ยากที่จะจดจำได้หมด และชีวิตกลับมาเห็นแต่ห้องประชุมสี่เหลี่ยมอีกครั้งตั้งแต่เช้าจนรู้ตัวอีกครั้งก็ดึกมากแล้ว

โชคดีอย่างเดียวที่มีคือมี ‘เพื่อน’ คอยส่งข้อความเตือนเวลากินข้าวและบอกย้ำซ้ำให้ เคี้ยวข้าวให้ละเอียด

 

เมื่อภารกิจการงานต่าง ๆ แล้วเสร็จ ก็ขับรถกลับบ้านอย่างเหนื่อยอ่อนทุกวัน และเฝ้ารอ ‘ข้อความ’ ที่พร่ำบอกให้ฝันดี

 

แม้หลาย ๆ อย่าง ไม่อาจกลับเป็นไปได้ดังเดิม

สิ่งที่ปรารถนา..... ก็ยังคงไม่มีวัน และไม่มีทางเป็นจริง

 

แต่ครั้งนี้ผมยอมรับว่าผมพอใจ ดีใจ และมีความสุข

ที่ได้........... ‘เก็บ’ ไว้







#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: JKL THE SERIES: KEEP 12.02.2018
«ตอบ #95 เมื่อ12-02-2018 17:35:17 »

???

ออฟไลน์ april

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +239/-12
Re: JKL THE SERIES: KEEP 12.02.2018
«ตอบ #96 เมื่อ12-02-2018 20:50:54 »

  :กอด1:

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: KEEP: CLAIRE 13.02.2018
«ตอบ #97 เมื่อ13-02-2018 11:21:50 »

Chapter XV

Claire (Light)

 

10 ปีที่แล้ว......

 

‘ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น’ เป็นคติประจำตัวที่ผมนึกได้’

 

ใช่ครับ เพียงแค่... นึกได้ เพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อสามปีก่อนลบเลือน ‘ความทรงจำ’ บางส่วนของผมออกไป ที่ผ่านมาผมต้องใช้ความพยายามและความอดทนอย่างมาก ในการรักษาตัว เข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลเกือบปี จนรู้สึกเข็ดขยาดและเกลียดโรงพยาบาลไปโดยปริยาย

บาดแผลทางร่างกายไม่เท่าไหร่หรอกครับ เพียงไม่กี่เดือนก็หาย แต่อาการปวดหัวที่รุมเร้าอย่างหนักจนเกือบเป็นโรคทางประสาทนั่นต่างหากคือสาเหตุหลัก

คุณหมอบอกว่าเป็นผลข้างเคียงอาการเลือดคั่งในสมอง และการผ่าตัด วิธีการรักษา อย่างเดียวที่ทำได้คือการเลิกคิดถึง 'ความทรงจำ' ที่หายไป

แม้ภายในใจลึก ๆ ผมคิดเสมอว่า ‘ความทรงจำ’ นั่นน่าจะมีความ ‘สำคัญ’ กับผมมาก ๆ

 

เหมือนเสียงหัวใจมันพร่ำบอก

 

แต่มันก็ไม่ได้กระทบอะไรกับชีวิตประจำวันของผมมากนัก หลังจากที่ต้องพักการเรียน ไปหนึ่งปีเพื่อรักษาตัว ผมก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติกับครอบครัวอีกครั้ง และพยายามที่จะเลิก ‘รื้อฟื้น’ ความทรงจำที่หายไป

ผมต้องใช้ความพยายามอย่างมากอีกครั้งในการกลับมาเรียน เพราะนอกจากต้องย้ายโรงเรียน เนื่องจากคุณหมอแนะนำเพื่อจะไม่ให้ย้อนคิดถึงความทรงจำนั่นอีก มิหนำซ้ำยังต้องเรียนกวดวิชาให้ทันเพื่อนๆ และเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกด้วย ทั้งที่อาการปวดหัว ก็ยังคงเรื้อรังเป็นระยะ ๆ จนต้องกินยาคลายเครียด แต่อาการก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ครับ และความสำเร็จก็ตามมาจริง ๆ ดังที่พยายาม

ตอนนี้ผมกำลังเป็นนักศึกษาใหม่ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ผมดีใจมากที่ทำให้ครอบครัวกลับมามีความสุขอีกครั้ง หลังจากที่ทุกคนคอยกังวล และเคร่งเครียดกับอาการป่วยของผมมานาน คงเหมือนฟ้าหลังฝน เมื่อโชคร้ายผ่านไปอะไรดี ๆ ก็ค่อย ๆ เข้ามามั้งครับ

วันนี้เป็นวันแรกของชีวิตการเรียนมหาวิทยาลัย ‘วันปฐมนิเทศ’ เนื้อหาในการปฐมนิเทศ ในวันนี้ยิ่งทำให้รู้สึกภูมิใจที่เลือกคณะไม่ผิด เพราะนี่แหละคือสิ่งที่ผมถนัดและอยากเรียนมาตลอด

โชคดีของผมอีกเรื่อง คือ ได้เข้าเรียนคณะเดียวกันกับเพื่อนสนิท ‘ไอ้ตั้ม’ ซึ่งคลายความกดดันในการก้าวสู่รั้วมหาวิทยาลัยไปได้มาก แต่จริง ๆ แล้วผมก็เป็นคนเข้ากับคนอื่น ๆ ได้ง่าย และไม่มีปัญหากับการปรับตัวมากนัก โดยเฉพาะเมื่อถูกทดสอบมาแล้วครั้งหนึ่ง ในตอนย้ายโรงเรียนหลังออกจากโรงพยาบาล

เมื่อกิจกรรมต้อนรับนักศึกษาอย่างเป็นทางการของคณะผ่านไป ก็เข้าสู่กิจกรรมรับน้องของรุ่นพี่ พวกเราสนุกสนานกันมากและทำให้ผมได้รู้จักเพื่อน ๆ และรุ่นพี่ที่คณะเพิ่มขึ้น

ตอนนี้เพื่อนที่คณะทุกคนต่างพากันเรียกผมว่า ‘ไอ้สว่าง’ บ้าง ‘ไอ้เผือก’ บ้าง ไม่มีใครเรียกว่า ‘เขน’ เลยคงเป็นเพราะสีผิวของผมที่ตั้งแต่เกิดมาก็ขาวกว่าชาวบ้านชาวเมืองอยู่แล้ว และเมื่อถูกอบตัวอยู่ในโรงพยาบาลอีกหนึ่งปี พอออกมาคราวนี้เลยเหมือนแวมไพร์เข้าไปใหญ่

เด็กปีหนึ่งที่มหาลัยส่วนใหญ่ต้องมาอาศัยอยู่ที่หอครับ เนื่องจากมีกิจกรรมที่ค่อนข้างมาก ครอบครัวผมก็ดูเป็นห่วงไม่น้อย แต่เมื่อมันก็มีความจำเป็น และถ้าต้องเทียบกับการเดินทางไปกลับ ก็เลยยอม ผมจึงได้มาอยู่หอกับเพื่อนสนิท ‘ไอ้ตั้ม’ นั่นแหละครับ

ช่วงนี้ที่คณะมีการคัดเลือกดาว-เดือนคณะ รวมทั้งเชียร์ลีดเดอร์ เพื่อไปแข่งเชียร์ กับคณะอื่น ๆ ในมหาวิทยาลัย ใจจริงผมอยากจะโดดให้รู้แล้วรู้รอด เพราะไม่ถนัดเรื่องพวกนี้มากนัก ให้เล่นดนตรี เล่นกีฬายังดีกว่า แต่ดันมีคนส่งชื่อผมไปคัดเลือก ‘เดือน’ คณะด้วยนะสิครับ ซึ่งก็ไม่ใช่ใคร

“อะไรวะตั้ม ถ้าอยากเป็นเดือนทำไมไม่ส่งชื่อตัวเอง ส่งชื่อผมทำไมไม่ทราบครับคุณ” ผมอยากจะบีบคอมัน

“ใครว่าผมอยากเป็นเดือนละครับ ผมแค่อยากป๊อบในหมู่สาว ๆ มีเพื่อนเป็นเดือนอะดี พอมีใครมาสนใจคุณก็ต้องเข้าทางผม ผมจะได้คัดกรองไว้บ้าง” มันขำ แต่ผมไม่ขำ

“แล้วรู้ไหมคุณ ว่าถ้าถูกเลือกนี่มีงานบานเลยนะโว้ย รุ่นพี่บอกมาเป็นตัวแทนคณะไปทำกิจกรรมตลอด” ผมเครียดจริงจัง

“คุณก็แกล้งป่วยสิครับ แล้วให้รองอันดับหนึ่งเขาทำไปเหมือนนางงามอะไรอย่างนี้” มันยังหน้าตาระรื่น

“แต่เดือนก็ดีกว่าเชียร์ลีดเดอร์นะครับ ผมเห็นหัวหน้าเชียร์จ้องคุณตาเป็นมัน หรือคุณอยากเต้นลีดมากกว่า” มันให้เหตุผล พี่กฤษณ์ หัวหน้าเชียร์มาจีบผมให้ไปเป็นลีดจริง ๆ ครับ แม้ปฏิเสธไปก็ยังไม่ละความพยายาม ยังมาตื๊อเพราะขาดคน

“เออ เออ ลองดูก็ได้ แต่อย่างผมคงไม่มีใครเลือกหรอก” ผมคิด เพื่อน ๆ ไม่เห็นมีใครกล้าเข้าใกล้ผมสักคน คงคิดว่าเป็นผีดูดเลือด

“คุณคิดอย่างนั้นเหรอ” แล้วมันก็หัวเราะอย่างมีความนัย อะไรของมันวะ

แล้วก็เป็นไปตามคาด แต่ไม่ใช่ที่ผมคาด หากเป็นตามที่ไอ้ตั้มคาด ผมก็ได้รับเลือกเป็นเดือนคณะจริง ๆ

“ทำไมวะ โคตรซวย” ผมบ่นหลังจากที่ได้รับตำแหน่ง

“คุณคิดว่าสาว ๆ ไม่ชอบคุณจริง ๆ เหรอครับ ที่เขาไม่กล้าเข้าหาคุณก็เพราะเขาชอบคุณนั่นแหละไอ้สว่าง” มันยังขำ

ตั้งแต่นั้นมา ‘ชื่อ’ ผมก็เริ่มโด่งดังในมหาวิทยาลัยสิครับก็เดือนคณะวิศวะ ฯ เริ่มมีกลุ่ม แฟนคลับตามรุมล้อม ขนมนมเนยหลั่งไหลมาจากทางไอ้ตั้มเพียบ ได้ทุกอย่างตามที่มันคิดไว้จริง ๆ ส่วนผมก็ต้องไปทำกิจกรรมให้คณะจริง ๆ เหมือนกัน ย้ำอีกครั้งว่า ‘โคตรซวย’ แต่ยังดีกว่าเป็นลีด ผมแอบคิดในใจ

งานแรกของเดือนคณะก็มาถึงเมื่อต้องเป็นตัวแทนไปประกวดเดือนของมหาวิทยาลัย ในวันแข่งเชียร์ แทนที่ผมจะได้มีชีวิตสงบสุข ขึ้นแสตนด์ร้องเพลง ดูคอนเสิร์ตจากรุ่นพี่ชิล ๆ กลับต้องใส่ชุดนักศึกษา ผูกไทด์ เดินโชว์ตัว ตอบคำถาม กลับไปผมจะฆ่าไอ้ตั้มผมสัญญา แล้วความโชคดีของคนอื่นในความโชคร้ายของผมก็มาเยือนเมื่อผลการคัดเลือกเดือน มหา’ลัยออกมา

“นายศศิน ภัทรสกุล คณะวิศวกรรมศาสตร์” ผมแทบทรุด หลายคนคงคิดว่าดีใจ

อย่างน้อยมันก็ผ่านไปแล้วอะไรจะเกิดก็เกิด ถือว่าเป็นประสบการณ์ก็แล้วกัน ผมปลอบใจตัวเอง ขณะเดินเข้าไปหลังเวที ‘อย่างน้อยเสร็จแล้วเดี๋ยวก็ได้ดูคอนเสิร์ต’ ผมกำลังเดินสวนกับวงดนตรีของรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัย แล้วผมก็ลืมวิธีหายใจ หัวใจเต้นระรัว เพียงแค่รุ่นพี่คนนึงที่เดินผ่านไป

“เขนเป็นอะไรไป” ดาวมหา’ลัยที่เดินตามมาถามขึ้น

“ป..เปล่า” แต่ผมยังก้าวขาไม่ออก จึงค่อย ๆ รวบรวมสติ แล้วสมองจึงเริ่มสั่งการร่างกายให้เริ่มเดินอีกครั้ง ขณะที่จังหวะหัวใจยังเต้นไม่ปกติ

‘มือกลองสินะ’ เขาถือไม้กลอง คอนเสิร์ตกำลังจะเริ่ม ผมลืมเรื่องกวนใจทั้งหมดแล้วรีบวิ่งจากหลังเวทีออกไปในหอประชุม

 

“ขอโทษครับ ขอโทษ ขอทางหน่อย” บางทีนี่คือประโยชน์แรกจากการเป็น ‘เดือนมหา’ลัย’ สาว ๆ พร้อมใจกันหลีกทางให้พร้อมซุบซิบเมื่อเห็นว่าผมเป็นคนขอทาง ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้นรีบแหวกผู้คน จนในที่สุดก็มาถึงด้านหน้าเวที ม่านยังปิดอยู่แต่ได้ยินเสียงเครื่องดนตรีที่กำลังเตรียมความพร้อม รุ่นพี่มือกลองคนนั้น ทำให้ผมเกือบลืมหายใจ

 

ผมไม่แน่ใจว่าก่อนหน้านี้เคยมีความรักมาก่อนหรือไม่ แต่ครอบครัวยืนยันว่าไม่เคย แต่ทำไมผมมั่นใจว่า ครั้งนี้มันเป็น ‘ความรัก’ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมีความรักมาก่อน ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยพบกับเขามาก่อน

 

การแสดงเริ่มต้นขึ้นผู้คนเริ่มขยับ และโห่ร้องไปตามจังหวะดนตรี แต่มันไม่สามารถดึง ความสนใจของผมไปได้เลย เหมือนโดนตัดขาดจากผู้คนทั้งหอประชุม เหมือนมีสปอตไลท์ฉายอยู่เพียงแค่มือกลอง เหมือนมีแค่เขา และผมแค่สองคนในความรู้สึก

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เสียงภายนอกที่อื้ออึงยังคงไม่สามารถทะลุเข้ามา ในประสาทสัมผัสของผมได้

ผมได้แต่เพียงจ้องมอง ‘รักแรกพบ’ ผมแน่ใจ ผมรู้ ผมมั่นใจ

 

เพียงชั่วแวบเดียวที่สายตาคู่นั้นของเขามองผ่านมาที่ผม กลับเหมือนทุกอย่างถูกสะกดนิ่ง โดยเฉพาะข้างในหัวใจของผมอยู่นานชั่วกัปชั่วกัลป์ แม้ผมไม่แน่ใจว่าเขาเห็นผม หรือแค่มองผ่าน แต่ผมกลับจรดลึกดวงตาคู่นั้นลงในหัวใจ

ผมรู้สึกตัวอีกทีเมื่อมีคนมาตบบ่าผม

“ไอ้สว่างมาได้แล้ว ยังเกาะขอบเวทีอีก คอนเสิร์ตจบแล้วนะเว้ย ไปกลับกัน” ไอ้ตั้มมาตาม

“อ้าวเลิกแล้วเหรอ” ผมยังรู้สึกลอย ๆ

“เออสิวะ ไปกันแฟนคลับรออยู่เยอะแยะเลย ไม่ต้องซื้อเสบียงที่ห้องไปอีกเดือน” ผมไม่ได้ฟังไอ้ตั้มพูด สมองเริ่มทำงาน

พี่เขาเป็นใคร ทำยังไงถึงจะได้เจอกันอีก

“ตั้ม วงที่เล่นไปของคณะไหนวะ” ตั้มมันงงที่ผมเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย แต่ผมก็ได้คำตอบในที่สุด

“ชมรมดนตรีของมหา’ลัยไง ทำไมวะ อยากเล่นดนตรีรึไงเขน แค่นี้ยังดังไม่พอรึไง” มันแซวขณะกำลังเดินฝ่าแฟนคลับกลับหอ

“ตั้ม ไปสมัครชมรมดนตรีกัน” ผมตัดสินใจ

“เฮ้ย เอาจริงดิ” ตั้มแปลกใจ มันรู้ว่าผมเล่นเบสได้ แล้วพยายามชวนผมให้เข้าวงของมันหลายรอบสมัยตอนเรียนมัธยม แต่ผมปฏิเสธมาตลอด

เพราะไม่รู้ทำไม เวลาจับเบสเตรียมจะเล่น

เหมือนอาการปวดหัวมันมักจะกำเริบเสมอ ๆ

 

ผมกับตั้มมาสมัครชมรมดนตรีได้อาทิตย์กว่าแล้ว และทำให้รู้ว่ามันไม่ได้ทำให้มีโอกาส ที่จะใกล้ชิด ‘รุ่ง’ มากขึ้นแม้แต่น้อย

มือกลองคนนั้นชื่อ ‘รุ่ง’ ครับ

หลังจากคืนนั้นผมตามสืบประวัติเขาเท่าที่จะทำได้ทั้งหมด จริง ๆ แล้วเขาอายุเท่ากันกับผม และคงจะเป็นรุ่นเดียวกันถ้าผมไม่หยุดเรียนไปหนึ่งปี แถมเคยเรียนที่โรงเรียนเก่าที่ผมเคยเรียนด้วย แต่ดูเหมือนเขาคงจะไม่รู้จักผม

‘รุ่ง’ เรียนที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ บุคลิกเขาเป็นคนนิ่ง ๆ เงียบ ๆ เรียบง่าย แต่มีความมุ่งมั่นตั้งใจสูง มันทำให้เขามีเสน่ห์มาก ๆ จึงทำให้มีทั้งเพื่อน ๆ รุ่นพี่ แถมยังมีแฟนคลับอีกมากมายที่คอยห้อมล้อมไว้ ทำให้ผมไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดเขาเลย แม้พูดคุยทักทายกันยังไม่มีโอกาสเลย

หากสิ่งที่ทำให้ผมใจชื้นก็เพราะบุคลิกของเขาที่นิ่ง ๆ เงียบ ๆ อีกเช่นกัน ที่ทำให้เขายังไม่มีคนพิเศษ เขามีเพื่อนสนิทที่คณะเดียวกันอีกสองสามคน คือ เต้ที่เป็นมือกีต้าร์ ไทม์ที่เป็นนักร้องนำ และมีอ้นหนุ่มผมยาวที่มานั่งเล่นในชมรมคอยเพื่อน ๆ

ถ้าจะติดใจผมคงติดใจที่อ้น เพราะผมคิดว่าผมมองสายตาที่เขามองรุ่งออก แต่ดูรุ่งจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับใครมากเป็นพิเศษ

อ้นเข้ามาทักผม เมื่อผมเข้ามาที่ชมรมได้หนึ่งอาทิตย์พอดี แล้วก็ได้รู้ว่าเขาเคยรู้จัก และเป็นเพื่อนของผมที่โรงเรียนเก่า เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เมื่อรู้ว่าผมจำเขาไม่ได้ แต่ดูเหมือนเขาจะดูระแวดระวัง และเฝ้ามองรุ่งมากขึ้นตั้งแต่เห็นผม

ผมไม่รู้ว่าทำไม หรือเขาคงพอจะอ่านสายตาของผมออกเหมือนกัน

 

เมื่อหนทางแรกที่จะเข้าถึงตัวรุ่งยังไม่เป็นผล ผมจึงเริ่มมองหาหนทางอื่นต่อไป ผมไม่มีทางท้อแท้อย่างแน่นอน เพราะตั้งแต่มี ‘ความรัก’ ผมรู้สึกว่าอยากมามหา’ลัยมากขึ้นอีกร้อยเท่า จะให้ทำกิจกรรมอะไร ผมก็ยอมทำทั้งนั้น ตอนนี้ให้ไปเป็นลีดเดอร์ผมยังยอมเลย ขอเพียงได้มามหา’ลัยเดียวกับเขาคนนั้น มันทำให้ทุกวันของผมเหมือนถูกเติมเต็ม และมีความสุขขึ้นมากจริง ๆ

เหมือนมีเป้าหมายในชีวิต

เหมือนชีวิตกลับมามีความสำคัญอีกครั้ง

 

ก่อนหน้านี้ บางคนมองว่า ผมดู ‘สว่าง’ เฉิดฉาย เพราะลักษณะภายนอกรวมถึงบุคลิกที่ทำให้ผมดูดึงดูด แต่ข้างในภายในหัวใจของผมกลับรู้สึก ‘มืดมน’ อย่างบอกไม่ถูกทั้ง ๆ ที่ผู้คนรายล้อม

‘รุ่ง’ เหมือนแสงสว่างของผมที่หายไป

‘รุ่ง’ ไม่ได้ร้อนแรงแผดเผา เฉกเช่นดังแสงแรงกล้าของดวงอาทิตย์

แต่ ‘รุ่ง’ กลับเหมือน ‘แสงจันทร์’ ที่อบอุ่นนุ่มนวลและคอยปลอบประโลม

ผมคงเป็นเอามากถึงขั้นเพ้อ

 

เอาล่ะ

ผมจะพยายามต่อไปดีกว่า ‘ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น’





#JKLTHESERIES

ในความรู้สึกเรา KEEP จบตั้งแต่ตอนที่แล้ว แล้วสมบูรณ์สุดแล้วนะคะ หากมีความรู้สึกว่า ถ้าลอง go on ต่อจะเป็นอย่างไร... ลองอ่านกันดูนะคะ ถ้าไม่จบตามใจเรา ฟิคเรื่องนี้ก็จบดีค่ะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: JKL THE SERIES: KEEP: CLAIRE 13.02.2018
«ตอบ #98 เมื่อ13-02-2018 12:19:47 »

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: KEEP: DE 14.02.2018
«ตอบ #99 เมื่อ14-02-2018 14:46:11 »

Chapter XVI

DE (@)

 

@ ที่ใต้ตึกสถาปัตย์ฯ 06:30

ผู้คนยังบางตา มีเพียงเจ้าหน้าที่ที่ดูแลอาคารและนักศึกษาอีกสองสามคน แต่ไม่มีใคร ให้ความสนใจกับเพื่อนต่างคณะที่กำลังเนียนเดินผ่านมาอย่างผม วันนี้ผมมาเพียง ดูลาดเลาให้แน่ใจก่อนที่จะเริ่มดำเนินการ

ที่ใต้คณะรุ่งมีล็อกเกอร์เรียงรายดูเหมือนจะแบ่งความเป็นเจ้าของไว้อย่างชัดเจน ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมาแอบด้อม ๆ มอง ๆ ผมสืบรู้แล้วด้วยซ้ำว่าล็อกเกอร์ตู้ไหนเป็นของเขา วันนี้แค่มาคอนเฟิร์มสถานที่ และช่วงเวลา ถ้าเป็นช่วงเช้าตรู่อย่างนี้คงจะเหมาะสมที่สุดสำหรับการปฏิบัติการ

 

@ ร้านขายดอกไม้

ดอกไม้แย้มบานเต็มร้านส่งกลิ่นอบอวล เหมือนไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเข้าร้านดอกไม้ ผมรู้สึกคุ้น ๆ แต่เมื่อจำไม่ได้ ก็ต้องปล่อยผ่านไปไม่อยากคิดให้ปวดหัว เจ้าของร้านขายดอกไม้ ให้ผมลองเดินดูรอบ ๆ ร้านเมื่อไม่สามารถบอกได้ว่าต้องการดอกอะไร

ผมไม่มีความรู้เรื่องดอกไม้เลยครับ ผมจึงต้องใช้เพียงความรู้สึกในการเสาะหาดอกไม้ ที่เป็นตัวแทนของความงดงามและเสน่ห์ในตัวเขาให้ได้มากที่สุด

คนที่แลดู.....อบอุ่นนุ่มนวลเหมือนแสงจันทร์

คนที่แลดู.....ลึกลับ เต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูด น่าค้นหา ติดตาม

คนที่แลดู.....อ่อนบาง น่าทะนุถนอม

 

แล้วผมก็พบ ดอกไม้สีขาวที่กำลังผลิแย้มอยู่ในถังทรงสูง

‘ดอกลิลลี่’ เสียงข้างในใจของผมบอก

อย่าถามว่าผมรู้ได้ยังไง ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน

“พี่ครับ ลิลลี่สีขาวนี่มีทุกวันไหมครับ” ผมถามเจ้าของร้านเมื่อตัดสินใจได้อย่างฉับพลัน

“ลิลลี่ที่ร้านพี่เป็นดอกไม้นำเข้านะคะ ถ้าอยากได้จริง ๆ ก็ต้องสั่งไว้ค่ะ น้องจะใช้วันไหนล่ะ” ผมมองลิลลี่อย่างครุ่นคิด

“ผมอยากได้ทุกวันขอสามอาทิตย์นี้ก่อนแล้วกันครับ” ลองแซมเปิ้ลดูก่อนแล้วกัน

“แล้วจะให้จัดช่อหรือเปล่าคะ”

“ผมขอวันละดอกแล้วกันพี่ ขอแต่สีขาวนะครับ พี่ช่วยผูกริบบิ้นสีแดงให้ผมด้วย” ผมสั่งอย่างอัตโนมัติเร็วกว่าที่สมองจะทันคิด

เหมือน.....มันต้องเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว

เหมือน ‘รู้’ อยู่แล้ว

 

@ ชมรมดนตรี

นั่นไงผมว่าแล้ว เหมาะที่สุด

‘รุ่ง’ เดินเข้ามาพร้อมดอกลิลลี่สีขาวผูกโบว์สีแดง วันแรก ๆ เขาดูขัดเขินกับดอกไม้ เพราะเพื่อน ๆ ทั้งที่คณะ และที่ชมรมผลัดกันแซวอย่างครึกครื้นว่า ‘เป็นดอกไม้จากชายนิรนาม’

“ไหนวะรุ่ง เอามาดู มีโน้ตด้วยนี่หว่า” ดอกไม้ของผมถูกส่งชื่นชมวนเวียนกันไปแทบทั่วชมรม

“ AT LOVE…….มาแปลกอีกแล้วนะมึง” ไทม์แซวตะโกนเสียงดัง ในขณะที่เจ้าของดอกไม้ยังมีสีหน้าที่เรียบเฉย

“รู้เจ้าของรึยัง” อ้นถาม

“ยัง.....เอามา” รุ่งดึงดอกไม้กลับ

“หวงเหรอครับ คุณรุ่ง” เพื่อน ๆ เริ่มแซวอีกครั้ง

“เปล่า....จะไปซ้อมแล้ว” ใบหน้าหวานที่นิ่งเฉยเกินที่จะคาดเดาความรู้สึกได้

“มึงว่าของใครวะ” แล้วก็มีการคาดเดากันไปต่าง ๆ นา ๆ แต่ก็ทำให้รู้ว่าเขาเป็นเป้าหมายของใครหลายหลายคนจริง ๆ

ผมจึงได้แต่แอบมองอยู่เงียบ ๆ ถ้าจะมีสายตาหวาดระแวงที่ส่งมาที่ผม ก็จะมีเพียงรายเดิม คือ ‘อ้น’ แต่ผม ก็ตีหน้าเฉย ในเมื่อคนรับยังไม่แสดงอาการเคลือบแคลงใด ๆ คนอื่นจะสงสัยยังไง ก็ช่าง ผมไม่สน

 

เมื่อเวลาผ่านไปสองสามอาทิตย์ ทุกอย่างก็ดูเป็นเรื่องปกติที่ทั้งมหาวิทยาลัยจะเห็น หนุ่มน้อยใบหน้าหวานคนนั้นกับดอกลิลลี่ที่เก็บติดตัวไว้อยู่เสมอ แม้หลายคนยังสงสัยถึงที่มา แต่เจ้าตัวกลับทำเป็นเหมือนเรื่องธรรมดาที่ต้องได้รับอยู่แล้ว เขาดูไม่ร้อนรน สืบเสาะตามหาแต่อย่างใด ทำให้ผมทั้งสบายใจ และสงสัยไปพร้อม ๆ กัน เพราะสามารถแปลได้สองทางคือ หนึ่งไม่ได้ใส่ใจ กับ สองเขา ‘รู้’ ที่มาของดอกไม้

ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่า

 

แต่เมื่อหวนระลึกถึง ‘ดอกลิลลี่’ ดอกแรกที่ผมไปวางไว้หน้าล็อกเกอร์ วันนั้นผมรอดูผลงาน เพราะอยากให้แน่ใจว่า ‘ดอกลิลลี่’ จะตกอยู่ในมือของผู้รับที่ถูกต้อง

‘รุ่ง’ มาถึงคณะก็จวนเจียนใกล้เวลาเข้าเรียน เขาไม่ได้สังเกตเห็น ‘ดอกลิลลี่’ ในตอนแรก คงเป็นเพราะอาการงัวเงียที่แสดงออกให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าน่าจะเพิ่งฝืนลุกจากที่นอน

แต่เมื่อหยิบของออกมาแล้วปิดประตูล็อกเกอร์ ผมแน่ใจว่าผมเห็นเขาจ้องมอง ‘ดอกลิลลี่’ ดอกนั้นอยู่นานมาก จนคนที่แอบมองลุ้นใจระทึก แม้ผมจะไม่ได้เห็นสายตาของเขาโดยตรง ทำให้ไม่สามารถคาดเดาความรู้สึกของเขาได้ จึงได้แต่แอบเชียร์อยู่ในใจให้เขาหยิบ ‘ดอกลิลลี่’ ดอกนั้นขึ้นมา แล้วก็เป็นจริงเขาหยิบมันขึ้นมา หากที่น่าแปลกก็คือ เขาดูไม่สนใจจะค้นหาที่มาตั้งแต่วันแรก ไม่แม้จะเหลือบมองซ้ายแลขวาเพื่อค้นหาต้นตอ แต่วันนั้นเขากลับบ้านโดยไม่เข้าชั้นเรียน

มันเป็นอาการปกติไหม หรือผมคิดไปเอง

เพราะหลังจากวันนั้นทุกอย่างก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีอะไรพิเศษ ความรู้สึกของผมจากที่เคยกังวลในตอนแรก ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นอาการสับสน และกลับกลายเป็นความรู้สึกน้อยใจเล็ก ๆ วิธีนี้คงไม่ได้ผลอีกแล้ว แต่ผมไม่ท้อใจ

ถ้า

วันแรก...ไม่ได้ผล

อาทิตย์แรก...ไม่ได้ผล

สามอาทิตย์...ไม่ได้ผล

ผมก็ยังจะเพียรทำต่อไป ลองดูสักปีแล้วกัน ลองดูว่า ‘เขา’ จะรู้สึกอย่างไร

 

ช่วงปีหนึ่งเป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายมากครับ นอกจากการเรียนที่ต้องปรับตัวอย่างมาก เพราะอาจารย์จะไม่มาสนใจจ้ำจี้จ้ำไชเหมือนตอนเรียนมัธยมอีกแล้ว ต้องตัดสินใจเลือกทุกอย่างด้วยตัวเองตั้งแต่วิชาเรียน เวลาเรียน ควบคุมตัวเอง เพราะบางคลาสเรียนกัน ทั้งชั้นปีในวิชาพื้นฐานที่นั่งเรียนกันทีสี่ร้อยห้าร้อยคน เหมือนนั่งอยู่ในโรงหนัง บางคลาสก็ไม่มีการเช็คชื่อกันเลยทีเดียว

แถมผมยังต้องทำกิจกรรมในฐานะตัวแทนมหาวิทยาลัยด้วยน่ะสิครับ จนแทบหาเวลาไปห้องซ้อมที่ชมรมดนตรีไม่ได้เลย แต่ภารกิจลับของผมยังคงดำเนินต่อไปอย่างสม่ำเสมอนะครับ ผมไม่ต้องสั่ง ‘ดอกลิลลี่’ อีกแล้ว เพราะเจ้าของร้านเตรียมไว้ให้ทุกวันสำหรับลูกค้าประจำซะแล้วครับ วันไหนไม่สะดวกจริง ๆ ก็แค่โทรไปบอกก่อน แล้วจะมีบริการส่งฟรีให้อีกด้วย

ความลับของผมจึงมีแค่ผมกับเจ้าของร้านดอกไม้เท่านั้นที่รู้ แต่ถึงไม่บอกแกก็รู้ครับ เพราะดูเหมือนเขารู้กันทั้งมหา’ลัยว่า ผู้ชายหน้าหวานที่แสนจะฮ็อทคนนั้นจะมีดอกลิลลี่ติดตัวทุกวัน และเจ้าตัวก็ดูจะไม่ได้แคร์สายตาใครแต่อย่างใด ทำจนเป็นเหมือนเรื่องธรรมดา

จวบจนจบเทอมแรกผมก็ยังไม่ได้แม้แต่แนะนำตัวกับเขาเลยสักครั้ง ทั้งที่คอยติดตามเฝ้าดูมาตลอดแท้ ๆ แต่ที่ทำให้ใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง ก็คงเพราะ’ดอกลิลลี่’ นั่นเหมือนกัน แม้ว่าเขาจะรู้หรือไม่ก็ตามว่าใครเป็นคนส่งไป

แต่

ถ้าเขารังเกียจ.....ก็คงไม่รับ

ถ้าเขามีใคร......เขาคงโยนทิ้ง

แต่เขายังคงรับ และเก็บ ‘ดอกลิลลี่’ ไว้กับตัวเสมอ ทำให้ผมยังมีความหวัง แม้จะน้อยนิดก็ตาม

 

เมื่อเริ่มเทอมใหม่ก็เริ่มแข่งขันกีฬามหาลัย อีกแล้วครับเวลาของผมที่หมดไปกับกิจกรรม เป็นเพราะไอ้ตั้มแท้ ๆ ยิ่งหน้ากิจกรรมแฟนคลับผมก็เริ่มเยอะขึ้น เยอะขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ยากมากครับที่จะปลีกตัวไปทำอะไร อะไร ได้อย่างที่ใจปรารถนา ตั้งแต่เปิดเทอมมาจะเดือนหนึ่งแล้ว วันนี้ผมต้องไปที่ชมรมให้ได้เพราะจะขาดใจอยู่แล้ว ไม่ได้เห็นหน้าเขาเลย

หากกลายเป็นว่าตอนนี้ที่ห้องซ้อมชมรมดนตรีมีแฟนคลับผมมารออยู่เต็ม

“ตั้ม อย่าบอกว่าคุณบอกแฟนคลับว่าผมจะมาชมรม” ผมถามอย่างคาดคั้น

“เฮ้ย ผมไม่ได้บอกหลายคนขนาดนี้หรอกครับ บอกคนที่เอาขนมมาให้เมื่อเช้าไปคนสองคนเอง” เพื่อนเวร ผมจึงต้องทักทายต้อนรับ พูดคุย กับแฟนคลับ ตามนิสัยคนอัธยาศัยดี และทั่วถึง คนที่ชมรมมองผมยิ้ม ๆ แบบเข้าใจ

แล้วชายหน้าหวานก็เดินมาพร้อม ‘ดอกลิลลี่’ เล่นเอาแฟนคลับบางส่วนของผมหันไปเพ้อ และแอบครางเบา ๆ แต่เขาไม่ใช่คนแบบผมหรอกครับ ดูจะทำแค่คลี่ยิ้มอาย ๆ แล้วก็ พยักหน้าขอทางเดินเข้าห้องซ้อมไป

‘ผอมลงไปรึเปล่า’ ผมคิด ในเมื่อคนที่ต้องการพบมาแล้ว ผมจึงต้องค่อย ๆ บอกลา แฟนคลับพร้อมรับขนม ของกิน ของฝาก แล้วรีบตามเข้าไปในห้องซ้อม

“เขน จะมาเปิดร้านขายอาหารเหรอวะ” พี่เชน รุ่นพี่ที่คณะผมแซว

“ครับพี่ แต่ร้านนี้แจกฟรี พี่อยากกินอะไร หยิบไปได้เลยนะครับ” พี่เชนมารอพี่บลูซ้อมร้องเพลงครับ คู่นี้เขาคบกันมานาน จนทุกคนอิจฉา ผมก็อิจฉา เพราะทางผมยังไม่มีวี่แววว่าจะเป็นคู่ได้เลย แค่คุยยังไม่มีโอกาสเลย

“พี่บลู ทานอะไรไหมครับ” ผมถามเมื่อพี่บลูเดินมาสมทบ

“แฟนคลับเยอะจริง ๆ นะเขน” ผมยิ้มเกรงใจ ก็แฟนคลับผมยังไม่กลับเลยครับ ออกันอยู่เต็มหน้าห้องซ้อม

“พี่บลูกินขนมไหม” พี่เชนถามขณะที่กำลังรื้อถุงขนม

“เขนไม่กินเหรอ” พี่บลูถามย้ำอย่างเกรงใจ เมื่อเห็นพี่เชนกำลังรื้อถุงกระจุยกระจาย

“ไม่ไหวหรอกครับ ถ้าจะกินหมดนี่” ผมยิ้มตอบเขิน ๆ

“มีผลไม้ด้วยพี่ สตรอเบอรี่ไหม” พี่เชนชูถุงสตรอเบอรี่

“เพิ่งกินมาไม่ใช่เหรอเชน” พี่บลูขัด

“เอาไปเถอะครับ” ผมพยายามไกล่เกลี่ย พี่เชนจึงยื่นถุงสตรอเบอรี่ให้กับพี่บลู ขณะที่รื้อหาของกินต่อ พี่บลูส่ายหัว

“อืม...เอาไปฝากรุ่งก็ได้ รุ่งชอบ” พี่บลูตอบขณะที่ผมหูผึ่ง

“นี่ถ้าไม่ติด ว่ารุ่งเป็นน้องรหัสพี่นะ ผมคงหึงไปแล้ว” พี่เชนพูดขำขำ ใช่ครับพี่บลูเรียนอยู่สถาปัตย์ฯ แต่ผมเพิ่งรู้ว่าพี่เขาเป็นพี่รหัสของรุ่ง

“เออ ก็หึงไป ใครสน” พี่บลูเหวี่ยงให้แล้วเดินจากไป ผมมองตามเหวอ ๆ จนพี่เชนมาตบที่บ่า

“เรื่องปกติ งอนก็ง้อไง” แล้วพี่เชนก็เดินตามพี่บลู น่ารักจริง ๆ ใครจะไม่อิจฉา

วันนี้อย่างน้อยผมก็คุ้มที่ได้มาที่ชมรม แม้ว่าจะไม่มีโอกาสได้คุยกันเหมือนอย่างเคย แต่อย่างน้อยก็หายคิดถึงไปได้บ้าง และได้รู้อีกอย่างว่ารุ่งชอบกินสตรอเบอรี่ ก็พอพี่บลูเอาไปให้ก็เคี้ยวซะตุ้ย จนผมอยากแอบถ่ายคลิป ก็จะมีใครเคี้ยวสตรอเบอรี่ได้น่ารักเท่านี้อีกไหม

แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าที่มาของสตรอเบอรี่มาจากใครก็ตาม

 

หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผมก็เกิดไอเดียใหม่ ในการวางแผนรุกคืบเข้าหาตัวรุ่งมากขึ้น คือนอกจาก ‘ดอกลิลลี่’ ที่ส่งเป็นประจำทุกวันแล้วผมยังพยายามสรรหาขนมที่เขาชอบส่งไปด้วย ก็รุ่งดูผอมลงนะผมคิด

ส่วนรุ่งชอบกินอะไรบ้างนั้น มันไม่ยากที่จะสืบ ก็ให้แอดมินแฟนคลับของผมที่ติดต่อกับไอ้ตั้มโดยตรง ซึ่งตอนนี้มันทำหน้าที่เหมือน Artist Relation ไปสืบจากแฟนคลับของรุ่งมา ก็ได้รายการของโปรดมามากมาย ซึ่งส่วนมากก็เป็นขนมหวาน ป๊อกกี้ สตรอเบอรี่ นมรส สตรอเบอรี่ อะไรประมาณนี้ ซึ่งไม่น่าสงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงได้หน้าหวานนัก

นอกจากนี้ผมยังตามเข้าไปที่เวบเพจแฟนคลับรุ่งก็ได้รูปของรุ่งมาอีกมากมายแถมอัพเดตทุก ๆ วันเสียด้วย ผมจึงนำรูปเหล่านั้นไปอัด และเริ่มเขียนข้อความด้านหลังถึงเขา แทนที่จะใช้การ์ด ผมพยายามจะรุกหนักขึ้น ก็ใกล้จะจบเทอมสองอยู่แล้วนี่ครับ ผมตั้งใจว่าวาเลนไทน์นี้จะวางแผนไปสารภาพรักสักที

 

หลังจากที่เริ่มรุกมาสามสี่อาทิตย์ คนนิ่ง ๆ ก็เริ่มมีปฏิกิริยาแปลก ๆ ไปผมสังเกตว่าเขาดูเครียด ๆ ขึ้น อย่างไม่ทราบสาเหตุ จนในที่สุดรุ่งก็ไม่มามหาวิทยาลัยมาสองสามวันแล้ว เขาไม่เคยหายไปนาน ๆ ผมจึงรู้สึกเป็นกังวล แล้วข้อมูลจากแฟนคลับแหล่งข่าวที่เดิม ผมก็ได้รู้ว่า รุ่งเข้าโรงพยาบาล เพราะเป็นโรคกระเพาะ

เป็นเพราะผมหรือเปล่า แต่ก็ไม่น่าจะใช่

หรือเป็นเพราะขนมที่ส่งไป ก็ไม่น่าจะใช่อีก

 

ผมจึงตัดใจแอบไปดูที่โรงพยาบาล ที่ต้องตัดใจก็เพราะผมเกลียดโรงพยาบาลมาก ๆ น่ะสิครับ

แต่ถ้ารุ่งอยู่.....ผมก็อยากไป

คิดได้เท่านี้เอง





#JKLTHESERIES

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: JKL THE SERIES: KEEP: DE 14.02.2018
« ตอบ #99 เมื่อ: 14-02-2018 14:46:11 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: KEEP: LUNE 15.02.2018
«ตอบ #100 เมื่อ15-02-2018 09:59:11 »

Chapter XVII

Lune (Moon)

 



ไม่ชอบกลิ่นนี้ของโรงพยาบาลจริง ๆ

กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคนี่แหละครับ ก็ผมเคยต้องเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลมาเกือบปี แถมต้องวนเวียนรักษาอาการอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงเวลาสองสามปีหลังมานี่ ทำเอาเกลียดโรงพยาบาลจับใจ ก็เพราะอาการปวดหัวเรื้อรังที่แสดงอาการมาเป็นระยะ ๆ ครั้งนี้ก็ยังรู้สึกไม่ค่อยดีครับ แต่ก็ตัดใจมาแล้ว

 

แต่ที่น่าแปลกใจ หรือผมอาจคิดไปเอง

คือตั้งแต่ผมพบรุ่ง อาการปวดหัวรื้อรังที่เป็น ๆ หาย ๆ ของผมกลับไม่แสดงอาการอีกเลย แม้จะกลับมาเล่นเบสอีกครั้ง ก็ไม่ทำให้อาการนั้นปรากฏ แม้จะกลับมาโรงพยาบาลอีกครั้ง ก็ไม่น่ากลัวเท่าเดิม

เพียงแค่รู้ว่าจะมาเพื่อใคร......

 

ทั้งหมดนั่น จึงทำให้ผมรู้สึกว่า

‘แสงจันทร์’ ที่อบอุ่นนุ่มนวลของเขาเหมือนจะรักษาผมได้

 

ผมสืบรู้มาจากแฟนคลับว่ารุ่งเขาเข้าโรงพยาบาลเนื่องจากโรคกระเพาะ และยังมีโรคประตัวของเขา ไมเกรนนั่นอีก คงจะเป็นอย่างที่หลาย ๆ คน รวมทั้งผมที่สังเกตเห็นว่า ช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เขาดูเครียดกว่าที่เคยเป็น จากที่เคยเป็นคนเงียบ ๆ อยู่แล้ว กลับดูเงียบ และนิ่งมากกว่าเดิม เหมือนดูมีความกังวลอะไรอย่างบอกไม่ถูก

เป็นเพราะผมหรือเปล่า

แต่ไม่น่าจะใช่

“ผมมาเยี่ยมเพื่อนครับ ได้ข่าวว่าเขานอนโรงพยาบาลอยู่ที่นี่ แต่ไม่รู้ว่าห้องไหน” ผมถามที่ประชาสัมพันธ์โรงพยาบาล

“คนไข้ชื่ออะไรคะ” ประชาสัมพันธ์อมยิ้มเมื่อเห็นผู้ชายตัวโตถือหอบช่อดอกลิลลี่มาด้วย

“อรุโณทัย หาญกิจณรงค์ ครับ” ผมตอบอย่างไม่ต้องพักคิด มันติดอยู่ในหัวใจ

“สักครู่นะคะ ห้องห้าชั้นยี่สิบเดินตรงไปทางนี้ เลี้ยวซ้ายขึ้นลิฟต์ได้เลยค่ะ” คนตอบมองด้วยความสงสัย เหมือนกับไม่เชื่อ

เอา ‘ดอกลิลลี่’ มาเยี่ยมเพื่อนผู้ชายไม่ได้รึไง

 

@ ชั้นยี่สิบ

ผมจะเดินถือช่อลิลลี่เข้าไปให้เลยได้ยังไง ผมพึ่งมาคิดได้เมื่อยืนอยู่หน้าห้องหมายเลขห้า ก็รุ่งไม่เคยรู้จักผมมาก่อน อาจจะคุ้น ๆ หน้าบ้างเพราะอยู่ชมรมเดียวกันแต่ก็ไม่เคยคุยกัน

แล้วอยู่ดี ๆ ยังจะมาเยี่ยม แล้วยังดอกลิลลี่นี่อีก ผมเองเป็นคิดน้อยมาแต่ไหนแต่ไร พอรู้ว่าจะมา ก็แวะไปที่ร้านดอกไม้ร้านประจำแล้วก็มาเลย เอายังไงดีละทีนี้

ผมเดินวนเวียนอยู่หน้าห้อง

หรือฝากคุณพยาบาลไปให้ แต่ก็อยากเห็นหน้าเขา อยากรู้อาการ หรือบุกเข้าไปเลย รุ่งเครียดอยู่เกิดเขาต้องคิดมากเรื่องผมอีกตอนนี้ มันจะดีเหรอ ผมยังตัดสินใจไม่ได้จนคุณพยาบาลเวรเดินเข้าไปในห้องหมายเลขยี่สิบ ผมจึงแอบมองลอดผ่านกระจกที่เห็นแค่ปลายเตียง ซึ่งดูเหมือนรุ่งน่าจะนอนพักอยู่ แต่ที่โซฟาไม่มีคนเฝ้า แล้วคุณพยาบาลก็เดินออกมาจากห้อง

“มาเยี่ยมคนไข้หรือเปล่าคะ” คุณพยาบาลถาม

“ครับ.....เอ่อ...แต่ผมกลัวจะรบกวน” ผมตอบอึกอัก

“คนไข้นอนหลับอยู่คะ ถ้าอยากเยี่ยมเข้าไปเงียบ ๆ น่าจะได้” พยาบาลสาวยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนที่กำลังจะเดินจากไป

“เอ่อ คุณพยาบาลครับ แล้วเพื่อนผมเป็นยังไงบ้างครับ” ผมรีบถามด้วยความอยากรู้ คงไม่กล้าถามเจ้าตัวคนไข้เอง

“อาการดีขึ้นแล้วนะคะ อีกวันสองวันน่าจะกลับบ้านได้ แต่ต้องอย่าให้เครียดหรือกดดันมาก เพราะสาเหตุมาจากความเครียดสะสมจนทำให้เป็นโรคกระเพาะค่ะ ต้องให้ทานอาหารย่อยง่าย ๆ ไปก่อนช่วงนี้ แล้วต่อไปกินข้าวต้องค่อย ๆ เคี้ยวให้ละเอียดนะคะ นี่คุณหมอให้ยาคลายความเครียดไว้ คงหลับเพราะฤทธิ์ยา”

“เอ่อ...ครับ ขอบคุณมากครับ” รุ่งเครียดจริง ๆ ด้วย เพราะอะไรนะ

 

เมื่อคุณพยาบาลไปดูอาการคนไข้ห้องข้าง ๆ ต่อ ผมจึงตัดสินใจขอเข้าไปเห็นหน้าสักนิดก็ยังดี ผมจึงค่อย ๆ แง้มประตูเข้าไปในห้อง ยาคลายเครียดกับผมเคยเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน กินแล้วหลับสนิทเลยละครับ และรุ่งก็ยังคงนอนหลับสนิทอยู่ที่เตียงเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ ผมมองใบหน้าหวานที่ดูผ่อนคลายขึ้นหลังจากที่ได้พักผ่อนเต็มที่ที่โรงพยาบาล

เขาเครียดเรื่องอะไรนะ....ผมอยากช่วยจริง ๆ

ถ้าเป็นเพราะผม ผมก็พร้อมจะหยุด ขอแค่เขาไม่เป็นอะไร แค่เห็นรุ่งมีความสุขผมก็มีความสุข แต่ผมจะรู้ได้ยังไง แค่โอกาสที่จะได้พูดคุยยังไม่มี

ผมถอนหายใจเบา ๆ คงต้องกลับแล้ว ไม่อยากรบกวนมากไปกว่านี้ ผมจึงวางช่อลิลลี่ไว้ที่โต๊ะข้างเตียง พร้อมกับอดใจไม่ไหวที่จะกระซิบบอก

“หายไวไวนะครับ รุ่ง” แล้วจึงเดินออกมาจากห้องเงียบ ๆ

โดยที่ไม่รู้ว่า............คนป่วยตื่นอยู่แล้วตั้งแต่เดินเข้ามา

 

อาทิตย์ต่อมารุ่งก็กลับมาเรียนตามปกติอีกครั้งเขาดูซูบลงไปอีกเพราะอาการป่วย แต่ก็ดูสดใสมากขึ้นจนผมเริ่มเบาใจ แม้เขาจะยังขาดเรียนอีกเป็นระยะในช่วงนี้ คงเพราะไปโรงพยาบาลผมคาดเดา

ภาคการเรียนที่สองของชั้นปีที่หนึ่ง ใกล้จะสิ้นสุด หลายคณะเริ่มมีการปัจฉิมนิเทศ อำลาอาลัยรุ่นพี่ที่กำลังจะจบไป แล้ววันปัจฉิมฯของมหาวิทยาลัยก็จะจัดในวันวาเลนไทน์พอดี โชคดีจริง ๆ ผมคิด วันนั้นคนคงถือดอกไม้กันหนาตา คงไม่ผิดสังเกตนัก ถ้าผมจะถือโอกาสนี้ หอบช่อลิลลี่ไปสารภาพรัก

จริงแล้วผมไม่ได้แคร์ใคร และไม่ได้อายอะไร แต่ผมไม่แน่ใจว่าคนรับเขาจะรู้สึกเช่นไร แล้วเมื่อมาถึงวันวาเลนไทน์ ผมก็หอบช่อลิลลี่สีขาวช่อใหญ่มาที่ชมรม ในขณะที่เขายังไม่มา แต่มีกลุ่มรุ่นพี่รุ่นน้องที่ชมรมกำลังจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ กันอยู่ มีรุ่นพี่บางคนจบในปีนี้ ผมจึงวางช่อลิลลี่ไว้พร้อมทั้งเข้าไปแจม

“ยินดีด้วยครับพี่บลู” ผมกล่าวแสดงความยินดีกับว่าที่บัณฑิตใหม่

“ขอบใจมากเขน” พี่บลูตอบ

“ทำหน้าให้ดี ๆ หน่อยเชน” พี่เชนหน้าบูดงอนอะไรกันอีก

“ก็เขนดูพี่บลูเขาจะทิ้งพี่” พี่เชนตัดพ้อ

“ทิ้งอะไรไหนพูดมาดี ๆ ต่อหน้าน้องนะนี่” ผมถูกลากเข้าไปเป็นคนกลาง

“ก็พี่ไม่รอผมก่อน ปีเดียวเอง เดี๋ยวค่อยไปต่อพร้อมกันก็ได้” ผมงง

“ก็มหา’ลัยทางโน้นเขารับแล้วเดี๋ยวเสียโอกาส เชนจบก็บินตามไปก็ได้” เริ่มจับทางได้พี่บลูคงไปเรียนต่อเมืองนอก

“เกิดพี่ไปเจอใครที่โน่น” พี่เชนยังคงไม่ยอม

“นี่คือไม่ไว้ใจกัน ใช่ไหม” พี่บลูเริ่มมีอารมณ์

“เปล่า...... แต่ก็” พี่เชนจึงหน้าเสีย

“เชนก็รู้ว่าพี่ไปอยู่กับรุ่งที่โน่น ไม่น่าห่วง ปีเดียว เชื่อใจกันบ้างสิ” พี่บลูจึงหันกลับมาปลอบ

แต่...........อะไรนะ พี่บลูพูดว่าอะไร

“พ..พี่...พี่บลูจะไปเรียนต่อที่ไหนเหรอครับ” ผมเริ่มหูอื้อ

“อังกฤษนะเขน ส่งเรื่องไป ทางมหาลัยที่โน่น เขาตอบรับมาค่อนข้างฉุกละหุก แต่รุ่งช่วยวิ่งเรื่องให้”

“นี่ก็บินไปก่อนแล้ว รายนั้นเขาสอบชิงทุนได้โอนหน่วยกิจไปเลยตั้งแต่เทอมนี้ กระชั้นไปหน่อย แต่โอกาสไม่ได้มาง่ายๆ”

 

อังกฤษ........ไปแล้วเหรอ

ไปอีกแล้วเหรอ.........

 

ทำไมรู้สึกว่าเหตุการณ์คล้ายอย่างนี้เคยเกิดขึ้น แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ สมองกำลังคิดแต่คิดไม่ออก ผมรู้สึกมึนหัวเล็กน้อย ทั้งที่ไม่มีอาการมานาน

“เขนเป็นอะไร ทำไมหน้าซีด ๆ” พี่บลูเขามาทักอีกครั้งหลังจากที่ผมนั่งนิ่งไปครู่ใหญ่

“มึนหัวนิดหน่อยครับพี่” ผมตอบความจริง คิดอะไรไม่ออก

“ดอกไม้นั่นใครให้มา” พี่บลูถามยิ้ม ๆ

“เปล่าครับผมว่าจะเอามาให้.....รุ่ง” ผมคิดเรื่องไม่ออกจริง ๆ แล้วบางทีก็ไม่มีประโยชน์ที่ต้องปิดบังใครแล้ว

ก็เขาไปแล้ว.............ไปอีกแล้ว

 

พี่บลูเงียบไปครู่ใหญ่มองไปที่ช่อลิลลี่ เหมือนจะเข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่าง ก่อนจะถาม

“เขน.... ไม่รู้เหรอว่ารุ่งบินไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว”

“ไม่ทราบจริง ๆ ครับ” ผมฝืนยิ้ม

“เป็นเขน มาตลอดสินะ” ผมได้แต่พยักหน้ารับ

“ให้พี่ได้ไหม เดี๋ยวพี่เอาไปให้ แต่คงต้องอบแห้ง หรือทำอะไรสักอย่างก่อน”“ครับ ขอบคุณครับ” ผมส่งช่อลิลลี่ช่อใหญ่ให้

“ให้บอกไหมว่าใคร” พี่บลูถาม

“ไม่เป็นไรครับพี่” ถึงบอกไปรุ่งก็คงไม่รู้จักผม

พี่บลูยิ้มให้กำลังใจ พร้อมบีบที่บ่าผมเบา ๆ แล้วปล่อยให้ผมอยู่คนเดียว ผมนั่งในชมรมอีกสักพักแล้วกลั้นใจเดินออกมา

 

‘แสงจันทร์’ ก็เป็นแค่เพียงแสง

แม้จะให้..........อบอุ่นนวลตา

แม้จะทำให้.......หลงใหลใฝ่ฝัน

แม้จะทำให้........ติดตรึงอยากไขว่คว้า

 

แต่ในความเป็นจริง แสง....ก็ไม่สามารถจับต้องได้

สัมผัสได้เพียง..........ดวงตา

รับรู้ได้เพียง.........หัวใจ

มิอาจสัมผัสได้จริง

 

ถ้าถามว่าต่อจากนั้น ผมเป็นยังไง ผมตอบไม่ได้หรอกครับมันงง ๆ มึน ๆ อยู่เกือบอาทิตย์ แต่ก็ไม่ได้ปวดหัวถึงขั้นที่ต้องเข้าโรงพยาบาลอีก

ตั้งแต่พบ ‘รุ่ง’

มันเหมือนชีวิตพบสิ่งที่......ขาดหายไป

 

แม้ว่าเขาจะจากไป.....อีกครั้ง

ทำไมผมถึงรู้สึกว่าเป็นอีกครั้ง ก็ไม่สามารถตอบตัวเองได้

 

แต่เหมือนเมื่อหาเขาพบแล้ว......ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน

ผมก็ยังมีความรู้สึกว่าเขายังตราตรึงอยู่ในใจผมเสมอ

 

หลังจากนั้นสองอาทิตย์ ผมก็ได้รับอีเมลฟอร์เวิร์ดจากพี่เชน อีเมลที่ผมอึ้งตอนแรกเมื่อได้รับ เพราะมันมาจากพี่บลู เกือบทั้งฉบับเป็นการพูดคุยเล่าเรื่องราวการใช้ชีวิตที่อังกฤษ

ผมเพิ่งทราบว่าพี่บลูเคยเรียนที่โน่นมาก่อน รวมทั้งรุ่งก็เคยไปที่อังกฤษมาก่อนเช่นกัน ทั้งสองคนจึงไม่มีปัญหาในการปรับตัวสักเท่าไหร่ ทั้งคู่อยู่ที่ลอนดอนพักในตัวเมืองที่พี่บลูว่ารุ่งเป็นคนเลือก เพราะมาหาที่พักก่อน ผมอ่านเรื่องราวต่าง ๆ แล้วค่อยคัดกรองข่าวสารที่พี่บลูต้องการส่งให้ผม

ดูเหมือนรุ่งจะได้รับ ‘ดอกลิลลี่’ ช่อนั้นแล้ว ตอนนี้ใกล้หมดฤดูหนาวย่างเข้าใบไม้ผลิ ทั้งสองคนดูมีความสุขดีที่ได้ท่องเทียว เล่นดนตรี ดูฟุตบอล ก่อนที่จะเริ่มเรียนภาษา

เพิ่มเติมแล้วรอเปิดเทอมใหม่ มีไฟล์รูปแนบมาด้วยรุ่งดูอ้วนขึ้นเริ่มมีแก้ม และมีรอยยิ้ม ที่สดใสมากขึ้น แค่นี้ผมก็สุขใจมากแล้วจริง ๆ ไม่รู้จะขอบคุณพี่บลูกับพี่เชนยังไง

 

อีเมลฟอร์เวิร์ดจากพี่เชนยังคงส่งมาเรื่อย ๆ เป็นประจำทุกอาทิตย์ ตอนนี้จึงกลายเป็นกิจวัตรที่ผมเฝ้ารออีเมล แต่เมื่อพี่เชนจบการศึกษา และบินไปเรียนต่อที่เยอรมัน การติดต่อก็เว้นช่วงลง

มีเมลที่ส่งตรงจากพี่บลูมาบ้าง มีเมลจากเยอรมันของพี่เชนบ้างสลับ ๆ กันไป จนผมเรียนจบ และไปเรียนต่อที่เยอรมัน ก็ทราบเพียงข่าวคราวของพี่บลูผ่านทางพี่เชน ว่ากลับไปเมืองไทยแล้ว แต่ใครอีกคนยังอยู่ที่อังกฤษ

 

หลังจากพี่เชนเรียนจบ และบินกลับไปทำงานการติดต่อก็ขาดหายไป ผมกลับมาเมืองไทยสักพักก็ทำงานในบริษัทรับเหมาก่อสร้าง จนวันหนึ่งได้พบพี่เชนอีกครั้งในฐานะผู้รับเหมาที่เข้าไปประมูลงาน จนโครงการนั้นเสร็จ พี่เชนจึงเรียกตัวไปทำงานด้วยกัน

 

แต่ไม่นึกไม่ฝันว่า..... ผ่านมาถึงสิบปี

จะได้พบผู้ชายใบหน้าหวานคนนั้นอีกครั้ง......ที่นี่

 

และผมสัญญากับตัวเองไว้ว่าจะไม่ปล่อยให้โอกาส...มันหลุดลอยไปอีกครั้ง







#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: KEEP: CLAIRE DE LUNE 16.02.2018
«ตอบ #101 เมื่อ16-02-2018 09:41:07 »


Chapter XVIII

Claire de Lune (Moonlight)

 


ว่ากันว่า... ในค่ำคืนที่ดวงจันทร์กระจ่างสว่างสาดส่องทั่วทั้งท้องนภา

แม้แสงดาราก็จะลับเลือนเคลื่อนหาย ด้วยมิอาจสู้ มนต์เสน่ห์แห่งแสงจันทร์

และสิ่งมหัศจรรย์...จะบังเกิด

 

กรุงเทพมหานคร

หลังจากศูนย์การค้าที่จังหวัดลำปางเริ่มเปิดให้บริการลูกค้าได้เดือนเศษ ผม เฟรมและเหมียว จึงเดินทางกลับมากรุงเทพฯ ขณะที่ ‘หัวใจของผม’ กลับลงไปไซด์งานก่อสร้างที่ศูนย์การค้าแห่งใหม่ที่ภาคใต้

ชีวิตคือการเดินทาง ผมเข้าใจ

แต่ผมก็แค่อยากจะรู้ว่า ‘เราจะเดินสวนทางกันอย่างนี้ไปอีกนานไหม’

 

ผมรักษาสัญญาเสมอ... ผมจะไม่มีวันทำให้เขาเจ็บอีก

ผมเลิกดึงดัน ยื้อยุด ฉุดรั้ง และตอกย้ำ... ความเจ็บปวดของคนที่ผมรัก

เราเพียงรักษาความสัมพันธ์ของคำว่า ‘เพื่อน’

 

ผมปรารถนา... แค่เพียงส่งข้อความไปทุก ๆ วัน และผม ‘รู้’ ว่ารุ่งรักษาคำพูดที่ให้ไว้ เขาอ่านข้อความที่ส่งไปเสมอ ดูภายนอกทุกอย่างกำลังดำเนินต่อไปตามครรลองของวันเวลาที่ไม่มีวันเดินหวนกลับ

แต่ข้างใน... นอกจากหัวใจที่แหลกสลาย สมองก็กำลังทำงานวกวน

ตั้งแต่คืนนั้น คืนที่ได้รู้ความจริงเรื่อง ‘เขา’ คนนั้นของรุ่ง สมองของผมเริ่มกลับมาทำงานอย่างหนักอีกครั้งที่ มันเหมือนมีความคุ้นเคยบางอย่าง เสมือนเหตุการณ์บางเหตุการณ์

คลับคล้ายคลับคลาว่าเคย... ประสบพบแล้วในอดีต แต่นึกอย่างไร ก็นึกไม่ออกว่าเกิดขึ้นเมื่อใด หากอาการปวดหัวเรื้อรังที่เคยเป็นเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ค่อย ๆ ปรากฏอาการ แม้จะไม่ทรมานมากเท่าเดิม แต่ก็ถี่ครั้งขึ้นทุกที ๆ แต่ครั้งนี้ผมยอมปล่อยให้ความปวดมันคงอยู่โดยไม่คิดจะรักษาหรือระงับอาการ

 

เพราะเมื่อใดที่อาการกำเริบ

เหมือนผมเห็นภาพใครบางคน... ที่เลือนรางในความทรงจำ........

 

เขาคือใคร………

 





สุราษฎร์ธานี

ชีวิตของผมยังคงวนเวียนอยู่กับห้องสี่เหลี่ยมของที่พักในโรงแรมและห้องประชุม หลังจากที่ลงพื้นที่มาได้เดือนกว่า ๆ เฟสแรกที่ยากลำบากที่สุดก็ใกล้จะจบลง แต่ละโปรเจคมีขั้นตอนการทำงานไม่ต่างกันมากนัก แต่แตกต่างกันในรายละเอียดและผู้ร่วมงาน

ถ้าเพียงแต่ใครอีกคนมาที่นี่ด้วยคงไม่ติดอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเช่นนี้

บางอย่างเราไม่สามารถควบคุมได้... หรือเลือกได้

 

เวลาเปลี่ยน คนมักจะเปลี่ยน ......เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับทุกสิ่ง

แต่บางอย่างข้างใน......ไม่เคยเปลี่ยน…....

 

ทั้งผมและ.....เขา

ทุกวันผมได้แต่เฝ้ารอ... ข้อความแห่งความห่วงหาอาทรที่แสนอบอุ่น

จดจำ.....ถ้อยคำ ทุกถ้อยคำ ที่ยังคงระลึก ติดตรึง และคุ้นในใจ

 

บางทีความจำที่ดีจนเกินไป......... ก็ทรมานเหลือเกิน

แต่บางครั้ง ‘ความทรงจำ’ ที่หายไปก็ทรมาน......... เฉกเช่นเดียวกันผม ‘รู้’

 

ผมพยายามหยุดสมองไม่ให้คิดแล้ว แต่เรื่องราวกลับเวียนวนติดอยู่ในหัวใจ เพราะมันมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในคืนนั้น คืนที่ผมใจอ่อนยอมเล่าเรื่องราวครั้งอดีต ปกติผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนร้องไห้ง่าย ๆ มันต้องเจ็บปวดมาก จนผมเริ่มหวาดกลัวว่าความเจ็บปวดนั่นจะไปกระทบบาดแผลเก่าของเขา

ผมจึงเลือกใช้วิธีเดียวกับ ‘เขา’ ที่เคยใช้ในการสืบข่าวผม ผมซื้อตัวไส้ศึกไว้ด้วยความรัก ที่น้องมีต่อผม

“เฟรมสัญญากับพี่... ดูแลเขนด้วย ดูแลพี่เขนให้ดี ๆ” ผมฝากฝังความหวังเดียวไว้

“ทำไมเหรอพี่ พี่พูดเหมือนพี่เขนเป็นอะไรร้ายแรง” เฟรมเป็นเด็กฉลาด

“ไม่มีอะไร อาจไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้” ผมแค่อยากแน่ใจว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก ความทรมานนั่น

“แค่เฟรมบอกพี่ ‘ทุกเรื่อง’ ทุก ๆ เรื่องนะเฟรม ที่เกี่ยวกับเขา สัญญากับพี่” ผมคาดคั้นคำตอบจากน้อง

“ครับพี่”

ในที่สุดสายข่าวก็เริ่มรายงานความผิดปกติที่ปิดไม่มิด ถ้าเฟรมรู้แสดงว่าอาการที่เกิดขึ้นจริง ๆ ต้องไม่เล็กน้อย เพราะเขาต้องพยายามปิดบังอาการนั้นเอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว

“พี่เขนไม่ยอมไปหาหมอพี่” ผมถอนหายใจ

“บังคับให้กินยาก่อน ให้กินยาให้ได้” ดื้อมากเหมือนเดิม

“ครับ ผมจะพยายาม แต่เหมือนพี่เขนอยากจะปล่อยให้ปวด เหมือนอยากจะจำอะไรให้ได้ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันครับพี่”

“........................................” ทำไมชอบทรมานตัวเอง

“เฟรมดูแลก่อน อย่าไปไหน รอพี่ พี่จะไปสนามบินเดี๋ยวนี้”

 

ในที่สุดก็ทนเสียงเรียกร้องของหัวใจไม่ได้

ยิ่งไกลเท่าไหร่ ...เหมือนยิ่งใกล้กันมากขึ้นทุกที

 

ผมปล่อยให้อาการปวดมันกำเริบอย่างต่อเนื่อง ผมจะไม่เลิกคิดอีกแล้ว

เพราะผมอยากรู้... เขาคือใคร

 

ยิ่งปวดมาก......ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นในความรู้สึก

คน คนนั้นที่ผมลืม.......เหมือนมีความสำคัญ

 







“พี่เขนลุกขึ้นก่อน กินยาก่อนเถอะ ค่อยนอนต่อ” เฟรมพยายามเกลี้ยกล่อม

“พี่ไม่เป็นไรเฟรม วางไว้ก่อน พี่ขออยู่คนเดียวได้ไหม” ผมยังคงนอนกุมหัว  เพราะความปวดมันเหมือนกำลังทำการจูนคลื่นสมองของผมอยู่ บางครั้งพร่าเลือน บางครั้งก็ชัดเจน มันคงเป็นเพราะความทรงจำช่วงนั้นที่สูญหายไป

หลังจากเกิดอุบัติเหตุครั้งนั้นก็มีอาการอย่างนี้

เมื่อผมต้องการจะนึกให้ออกว่าเขาคนนั้นเป็นใคร ความรู้สึกข้างในมันร่ำร้องว่าความทรงจำนั้นมีความความสำคัญต่อหัวใจ แต่ครอบครัวขอร้องให้ผมเลิกคิดถึงมัน เพราะร่างกายเหมือนจะรับไม่ไหว

หากแต่ครั้งนี้ผมพร้อมแล้วที่จะยอมรับกับความเจ็บปวดนั่น

ขอเพียงได้รู้

 

“เขน..........” ผมได้ยินเสียงเล็ก ๆ นั้นแผ่วเบา

 

เสียงใครคนนั้น คนที่ผมตามหาใช่ไหม

เหมือนเขาค่อย ๆ เดินห่างออกไปเรื่อย ๆ

 

“เขน จะรอ.......” ผมพูดออกไปอัตโนมัติเหมือนเหตุการณ์เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ผมเคยรอใครคนนั้นเหรอ เหมือนเขาหันกลับมายิ้มใบหน้าหวานทำไมละม้าย ทำไมช่างคลับคล้ายกับ......

 

“เขน!!!......เขน!!!” เสียงที่แทรกเข้ามาดังขึ้น

“เขน!!!.......เขนได้ยินรุ่งไหม............” หากครั้งนี้ดังมากขึ้นเรื่อย ๆ

“เขน!!.......เฟรมไม่ได้สตินานหรือยัง” เสียงคน ๆ นั้นคุยกันกับเฟรม ใคร?

“ไม่รู้พี่รุ่ง พี่เขนไม่ยอมกินยา ขอนอนลูกเดียว” รุ่ง?

“เฟรมไปเก็บของ เตรียมรถไปโรงพยาบาล” เสียงรุ่งจริง ๆ

“รุ่ง...............” ผมค่อย ๆ ฝืนความเจ็บปวด เพื่อเรียกคนที่หัวใจพร่ำหา ก่อนจะรู้สึกถึงอ้อมกอดที่รุ่งกำลังโอบกอดผมไว้

“เขน...รู้สึกตัวแล้วใช่ไหม” ผมพยักหน้าหากอาการปวดร้าวยังคงแผ่ปกคลุมไปทั่วศีรษะ แต่อ้อมกอดของคนที่เรารักนั้นมันช่างวิเศษ เหมือนความอบอุ่นเริ่มแพร่กระจายคลายความเจ็บปวด

“ไปโรงพยาบาลกัน เฟรมช่วยกันหน่อย” รุ่งค่อย ๆ ดันตัวผมออกเพื่อจะพยุงให้ลุกขึ้น แต่ผมยังไม่ยอมปล่อย

“ไม่ไปรุ่ง”

“เขนอย่าดื้อ ปวดจนไม่ได้สติ จนเพ้อ ไม่ไหวแล้ว”

“ไม่ไป อยู่อย่างนี้ก่อน เดี๋ยวก็หาย” ผมยังอยากอยู่อย่างนี้จริง ๆ

“เฮ้อ” คนตัวเล็กถอนหายใจเสียงดัง

“งั้นกินยาก่อนนะเขน สัญญาว่าจะไม่ไปไหน” ผมจึงยอมให้ผละตัวออก หากแต่ยังคว้ามือไว้

“รุ่ง...รุ่งจ๋า มาได้ยังไง” ดวงตาที่ยังคงพร่ามัวด้วยอาการปวด แต่ใครบางคนที่ชัดเจนในความรู้สึก อย่างไรก็ยังชัดเจนอยู่อย่างนั้น

“อย่าเพิ่งพูดอะไรเดี๋ยวค่อยคุยกัน กินยาก่อน” รุ่งส่งยาให้ และยังคงจ้องอยู่ ผมจึงจำเป็นต้องกิน

“แล้วทีนี้ก็นอนพัก แล้วห้ามคิดอะไรอีก” ผมถูกมือเล็ก ๆ กดให้นอนลงอีกครั้ง

“ทำไมง่ายอย่างนี้ละพี่ ผมตื๊อมาทั้งวัน ไม่ยอมเลย”

“แล้วนี่ถ้าพี่รุ่งไม่มา ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง” เจ้าเฟรมรีบฟ้อง

“เฟรมกินอะไรรึยัง”เฟรมส่ายหัว

“ไปหาอะไรกินก่อนไป เดี๋ยวทางนี้พี่ดูแลต่อเอง” รุ่งบอก เฟรมจึงเดินออกไปพร้อมกับเหมียว

“คนอะไรโคตรดื้อเลย ดื้อกว่าเหมียวอีกเนอะ เหมียวเนอะ” เฟรมพยักพเยิดกับเจ้าเหมียว ได้ทีขี่แพะไล่ผมใหญ่

“รุ่งจ๋า...........”

“ยังไม่ต้องพูดอะไร หลับก่อน รุ่งจะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน” คราวนี้กลับเป็นมือเล็ก ๆ ทั้งสอง ที่เกาะกุมมือของผมไว้แทน เมื่อ ‘แสงจันทร์’ ฉายแสงนวลลงมาปลอบประโลม ความรู้สึกต่าง ๆ ก็เริ่มมลายหายไปสิ้น

ผมรู้สึกตัวอีกครั้งกลางดึก เห็นเพียง ‘แสงจันทร์’ รำไรที่สอดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้ความมืดสลัวในห้องเบาบางลง

“ตื่นแล้วเหรอเขน ดีขึ้นไหม” ร่างบางที่นั่งอยู่ข้างเตียงยังกุมมือข้างหนึ่งของผมอยู่

“รุ่งจ๋า... นั่งอยู่อย่างนี้ตลอดเลยเหรอ” ผมจึงค่อย ๆ หันตะแคงไปหาพร้อมทั้งเปลี่ยนเป็นฝ่ายรวบมือเล็ก ๆ ทั้งสองข้างไว้แทน

“อืม... เป็นห่วง ดีขึ้นรึยัง ยังปวดอีกไหม” ทำไมน่ารักอย่างนี้ แล้วผมจะตัดใจยังไง

“ยังมึน ๆ อยู่ แต่ดีขึ้นแล้ว”

“เขน......อย่าทำอย่างนี้อีกได้ไหม”

“ทำอะไรครับ”

“ทรมานตัวเองทำไม... ทำไมไม่กินยา”

“รุ่ง... เขนอยากรู้....อยากรู้ว่าเขาเป็นใคร คนคนนั้นในความทรงจำที่หายไปก่อนอุบัติเหตุนั่น”

“เลยยอมปล่อยให้ตัวเองปวดหัวอยู่อย่างนั้นเหรอ”

“เขนยอม เขนรู้สึก...ว่าเขาสำคัญ”

“....................................” รุ่งเงียบไป ผมจึงเงียบตาม และเฝ้าแต่กวาดตามองใบหน้าหวาน

“สำคัญกว่ารุ่งไหม?”

“ม...ไม่......ไม่มีทาง” ผมมั่นใจ แต่ดูเหมือนรุ่งกำลังยิ้มเหมือนขำ

“แล้วถ้า......ไม่คิดแล้ว จะไม่ปวดเหรอ”

“อืม...ตั้งแต่เจอรุ่งเมื่อสิบปีก่อนก็ไม่เคยปวดอีกเลย” รุ่งเงียบไป เหมือนกำลังครุ่นคิด

“อย่างนั้นถ้ามี ‘รุ่ง’ แล้วไม่คิดได้ไหม”

 

“อย่างนั้นถ้ามี ‘รุ่ง’ แล้วไม่คิดได้ไหม” ผมพูดอย่างซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเอง ครั้งแรกในรอบหลายปี หรือหลายสิบปี

เพราะข้างในหัวใจร่ำร้อง อ้อนวอน

บอกว่า...........ซักครั้ง ขอโอกาสเพียงซักครั้ง….......

 

ในขณะที่เขนยังคงดูมึน ๆ งง ๆ ดูเหมือนยังไม่เข้าใจในความหมาย จึงเลือกที่จะไม่รั้งรอคอยคำตอบ

“คืนนี้รุ่งจะอยู่เป็นเพื่อน หิวไหม ได้กินอะไรบ้างหรือเปล่า”

“แล้วรุ่งกินอะไรรึยัง” นอกจากไม่ตอบคำถามแล้ว คำถามที่ถามกลับยังฉายชัดความรู้สึก

“ยัง... ตกลงเขนก็ยังไม่ได้กินเหมือนกันใช่ไหม”

“อืม” ต้องใช้คำถามนำ คนป่วยถึงจะยอมพยักหน้ารับ

“งั้น... เดี๋ยวไปอุ่นโจ๊กก่อน เฟรมซื้อมาฝากไว้ให้ก่อนกลับ กินด้วยกันนะ” ผมแกะมือใหญ่ออก และกำลังจะเดินออกจากห้องนอนไป

“รุ่ง.........ไปด้วย” ขณะที่คนตัวโตกำลังยันตัวจะลุกขึ้นจากที่นอน จึงจำต้องเดินวกกลับมากดคนป่วยให้นอนเอนลงบนหมอนที่หัวเตียงอีกครั้ง

“ไม่นานหรอกสัญญา ครั้งนี้ให้รอได้...รอก่อนนะครับ”

 







บรรยากาศภายในห้องยังคงมีแต่เพียงแสงสีเหลืองนวลรำไร ไม่ได้เปิดไฟเพราะคนป่วยร้องแสบตา จึงต้องกึ่งพยุงกึ่งลากกันมาที่โซฟาตัวเล็กริมหน้าต่างกระจกที่แสงจันทร์สาดส่องถึง เขนทรุดตัวลงนั่งที่พรมพิงโซฟาไว้ ผมจะนั่งโซฟาแล้วให้คนป่วยนั่งข้างล่างได้อย่างไร เราเลยต้องลงมานั่งที่พรมกันทั้งคู่ ก่อนที่จะเถียงกันเบา ๆ เรื่องป้อนโจ๊กอีกครั้ง เมื่อคนป่วยเริ่มงอแง

“มือก็ไม่ได้เจ็บ แขนก็ไม่ได้หักนะเขน กินเองเถอะ รุ่งก็จะกินเหมือนกัน” ผมก็หิวเป็นนะ

“แล้วไหนของรุ่งหละ”

“ก็กินด้วยกันนี่แหละ เฟรมซื้อมาให้รุ่งเหอะ นี่แบ่งให้”

“คนที่ใจดี ใจดี เมื่อกี๊ไปไหนแล้วอ่ะ”

“คนใจดีกลับสุราษฎร์ฯ ไปแล้ว จะกินหรือไม่กิน” เมื่อเขาไม่กินผมจึงกินก่อน คนป่วยจึงยอมกินตามบ้าง นี่ก็ยอมกินถ้วยเดียวกันแล้วนะ ถึงจะมีสองช้อนก็เถอะ แต่เวลาแย่งกันกินไม่ว่าอะไรก็มักจะอร่อยมากขึ้นเสมอ ครู่เดียวโจ๊กถ้วยใหญ่ก็หมด

“หายปวดหัวรึยัง” เขนพยักหน้าเบา ๆ

“เขนบอกว่า ตั้งแต่เจอรุ่งเมื่อสิบปีก่อนก็ไม่เคยปวดหัวอีกเลยจริง ๆ เหรอ” ข้อมูลใหม่ที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน

“ใช่ ไม่เคยเลย”

“แล้วทำไมตอนนี้ถึงกลับมาปวดอีกล่ะ” ผมจึงซักต่อ

“ก็..... เขนสงสัย”

“สงสัยว่า...”

“มันอธิบายไม่ถูก... เหมือนเหตุการณ์บางอย่างเคยเกิด มันติดอยู่ในหัว อยากรู้ว่าคืออะไร”

เมื่อเราทั้งสองคนต่างตกอยู่ในภวังค์ความเงียบจึงบังเกิด จนกระทั่งผมตัดใจถามถึงสิ่งที่สงสัย

“เพราะ รุ่งหรือเปล่า เพราะเรื่องที่เล่าให้ฟังคืนนั้นหรือเปล่า”

“..............................................” เขนไม่ยอมตอบ แต่ผมแน่ใจว่าใช่

“พอคิดแล้วถึงปวดใช่ไหม ถ้าไม่คิดก็จะไม่ปวดใช่ไหม” ผมถามย้ำความเข้าใจ

“ครับ” เขนยอมรับโดยดี

“งั้น... รุ่งขอร้อง เขนอย่าทรมานตัวเองอีกได้ไหม ไม่คิดถึงอดีตอีกได้ไหม” เป็นเพราะผมอีกแล้ว ผมทำให้เขาต้องเจ็บปวดอีกแล้ว

“บางที คนคนนั้นในความทรงจำของเขน เขา... ก็อาจไม่อยากให้เขนต้องทรมานเหมือนกัน”

ไม่ต้องการรื้อฟื้น ถ้าอีกคนต้องเจ็บ

“...........................................”

“งั้นขอร้องไม่ได้ ก็จะบังคับ ถ้าเขนยังทำอย่างนี้อยู่”

“ถ้าเขนยังคิดอยู่ ยังไม่ยอมกินยา รุ่งก็จะเลิกอ่านข้อความ เลิกติดต่อ เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์เลยด้วย” เมื่อไม่ยอม ก็ต้องเล่นไม้นี้

“รุ่ง...............” มือใหญ่จึงกลับมากุมมือผมอีกครั้ง

“ไหนว่ารุ่ง ‘สำคัญ’ กว่า” ผมตั้งใจจ้องลงไปในดวงตาคม

“ใช่รุ่ง ‘สำคัญ’ กว่าแน่นอน แต่.....” แววตาไหวระริก คงกำลังสับสน

“งั้นก็ตามนี้ อย่าให้รู้ว่าเขนดื้อ ปวดหัวแล้วไม่ยอมกินยาอีก รุ่งติดกล้องวงจรปิดไว้แล้วด้วย” ผมขู่

 







หลังจากตกลงกันได้ เราจึงผลัดกันเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ในช่วงระยะเวลาที่ห่างไกลกัน ขณะที่สองมือยังเกาะกุมกันไว้ไม่ห่าง จนกระทั่งดวงจันทร์เริ่มคล้อยลาลับ ฟ้าเริ่มสางเตือนให้รับรู้ว่าวันใหม่กำลังมาถึง

“คนใจดี คนนั้นกลับสุราษฎร์ไปแล้ว งั้นคนใจร้ายคนนี้ ก็อยู่ที่นี่เลยได้ไหม”

“ไม่ได้หรอกเขน หนีงานมา เดี๋ยวก็ต้องกลับเหมือนกัน”

“.............................................”

 

ผมรู้ว่าเขาอยากพูดอะไร

แต่เราสัญญากันไว้แล้วว่า..... จะไม่รั้ง

 

“อีกสองสามเดือนก็กลับแล้ว” ผมจึงเริ่มปลอบ

“........................................”

“เขนไปเที่ยวใต้บ้างก็ได้ เฟรมก็อยากไปเที่ยวทะเล” “..........................................” ก็ยังเงียบ

“เขน..........” ผมเป็นฝ่ายกระชับมือบ้าง เพื่อเรียกร้องให้คนข้าง ๆ ที่กำลังมองเหม่อหันกลับมาสบตากันอีกครั้ง

อยากตามใจตัวเอง อีกซักครั้ง

ไม่อยากสัมผัสแค่เพียง... ความรักจากเขาเพียงฝ่ายเดียวอีกแล้ว

 

ปรารถนาเพียงแค่...ตอบกลับความรักที่เฝ้า ‘เก็บ’ ไว้ คืนไปบ้าง

และต้องตัดสินใจตอนนี้

 

“งั้น... เบื่อที่จะรอหรือยัง”

“ถ้าให้รอ จะรออีกได้ไหม” ผมเอ่ยถามด้วยความไม่มั่นใจ

“ได้... ได้สิ เขนรอรุ่งเสมอ..........”

 

ทั้ง ๆ ที่ในใจของผม ‘รู้’ คำตอบอยู่แล้วทุก ๆ คำ

ก็มันเป็นอย่างนี้มานาน... แม้วันเวลาผ่านไป... บางอย่างไม่เคยเปลี่ยน

 

“แล้วจะให้คนใจดีโทรมาหา” ผมส่งยิ้มให้ ดวงตาเป็นประกายคู่นั้น

 

ถ้าไม่ต้องการความรักในอดีตครั้งนั้น ‘ย้อนคืน’ แล้วเขาจะไม่เจ็บปวดอีก

ผมก็พร้อมที่จะ ‘เก็บ’ มันไว้ต่อไป และถ้า... เขาไม่เจ็บอีก เราจะมีอนาคตด้วยกันได้ไหม จะรักกันได้ไหม

ผมยังสงสัย.....

 







ก่อนที่จะเดินทางกลับสุราษฎร์ฯ เย็นนี้ ผมแวะกลับมาที่บ้านเพื่อมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และเก็บของใช้เพิ่มเติมอีกเล็กน้อย คนตัวโตยังนั่งรอที่ห้องรับแขกข้างล่าง โชคดีที่วันนี้ไม่ใช่วันหยุดที่บ้านจึงไม่มีใครอยู่

 

สิบกว่าปีแล้วที่เขาไม่ได้มาที่บ้านหลังนี้ มันถูกต่อเติม ตกแต่งใหม่ไปหลายส่วน จึงไม่น่าจะมีปัญหา ขอเพียงอย่าเข้ามาที่ห้องนี้ ห้องที่ไม่เคยเปลี่ยน เหมือนใจเจ้าของ ผมเริ่มนึกกังวลใจ ห้องข้างล่างมีรูปสมัยเด็กหรือเปล่า ผมไม่มั่นใจว่า ‘เก็บ’ หมดไหม จึงปีนขึ้นไปหยิบกล่องกระดาษใบย่อมบนหลังตู้ ซึ่งข้างในเต็มไปด้วยรูปภาพที่ถูกกองไว้มุมหนึ่ง น่าจะตามเก็บหมดแล้ว ก่อนที่เจ้าเฟรมจะมาค้างที่บ้านบ่อย ๆ ตอนนั้นผมไม่อยากตอบคำถามอะไรมาก จึงตามเก็บรูปสมัยเรียนมัธยมขึ้นมาจนหมด รูปที่สีจาง เลือนรางตามกาลเวลา แต่แจ่มชัดสดใสอยู่ในหัวใจ และความรู้สึก ยังพอมีเวลาผมจึงค่อย ๆ หยิบขึ้นมาดู

เรื่องบางอย่างไม่ต้องการ ‘รื้อฟื้น’ เพราะจะทำให้เจ็บปวดทั้งสองฝ่าย

รูปในกองข้างล่างเป็นรูปของตัวผมเอง ที่ถูกแปลงเป็นการ์ดส่งข้อความ ถูกส่งมาพร้อมกับ ‘ดอกลิลลี่’ ผมถอนหายใจ ‘เขา’ คนนั้นช่างพยายามเสาะหา เห็นชัดว่ารูปไม่ได้ถ่ายเอง เพราะมีเครดิตของแฟนคลับติดอยู่ ‘เดือนมหา’ลัย’ ยุ่งขนาดนั้นยังเพียรสรรหารูปพวกนี้

ภายในกล่องสมบัติยังมีสิ่งที่ไม่น่าเข้าพวกเก็บอยู่ด้วยกัน สารานุกรมเล่มโตสามเล่ม ที่ทุกหน้าเต็มไปด้วย ‘ดอกลิลลี่’ ทุกดอกตั้งแต่ ‘ดอกแรก’ วันปัจฉิมนิเทศมัธยมต้น จนถึง ‘ดอกสุดท้าย’ ที่โต๊ะทำงานวันสุดท้ายที่ลำปาง ถูกทับเก็บอยู่พร้อมกระดาษโน้ตระบุวัน ผมยิ้มให้ตัวเอง ทั้งคนให้และคนรับต่างก็พยายามมากพอ ๆ กัน

 

เวลาผ่านไปพอสมควรแล้ว เดี๋ยวเกิดสงสัยตามขึ้นมาจะยุ่ง ผมจึง ‘เก็บ’ รวบรวม เครื่องเตือนความทรงจำทั้งหมดลงในกล่อง ก่อนที่จะปีนขึ้นไปเก็บไว้บนหลังตู้อีกครั้ง

แล้วจึงนึกได้

 

ถ้าผมตัดสินใจ จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ต้องไปปรึกษา ‘ผู้ชายคนนั้น’ ก่อน

ผู้ชายที่รัก ‘เขา’ คนนั้นมากที่สุด

 

ผมเป็นคนรักษาสัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัญญาที่ให้ไว้กับคนที่ผมรักสุดหัวใจ แต่... เหตุการณ์วันนี้ ทำให้ผมเริ่มฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาปะติดปะต่อ

มันจะเป็นไปได้จริง ๆ เหรอ

 

หลังออกมาจากบ้านรุ่ง เราแวะกลับมากินข้าวกันกับเฟรมที่ศูนย์การค้าติดกับตึกที่ทำงาน ก่อนที่จะไปส่งรุ่งที่สนามบิน

“พี่บลู ไม่อยู่เหรอ” รุ่งถามเฟรม ผมเริ่มเข้าใจว่า ทำไมพี่เชนชอบแหย่พี่บลูเรื่องรุ่ง ถ้าพี่บลูไม่เคยช่วยผมเรื่องรุ่งมาก่อนผมก็คงสงสัยความสัมพันธ์ของสองคนนี้

“ลาบ่ายอ่ะพี่ ออกไปธุระข้างนอกกับพี่เชน” เฟรมตอบ ก่อนที่จะหันมาเล่นงานผม

“คนละคนหรือเปล่าพี่ หรือฝาแฝด ไม่เหมือนคนป่วยเมื่อวานเลย” ผมได้แต่ยักคิ้ว

“เดี๋ยวพี่รุ่งกลับไป ก็เป็นเหมือนเดิม พวกคนตามหาหัวใจอ่ะ” มันได้ที

“เฟรมช่วยดูก็แล้วกัน ถ้ากลับไปเป็นเหมือนเดิม บอกพี่ พี่จะได้เปลี่ยนเบอร์ใหม่ซักที” ไม่ต้องขู่ก็กลัวแย่แล้วครับ

 

หลังจากกินอาหารญี่ปุ่นเรียบร้อย ขณะกำลังรอเช็คบิล ก็มีหนุ่มผมยาวเดินเข้ามาทักรุ่ง

“อ้น ไม่เจอกันนานเลย สบายดีไหม” รุ่งยิ้มกว้าง อย่ายิ้มอย่างนั้นสิ

“รุ่งไม่อ่านข้อความเลย อ้นส่งไปจะเป็นพันแล้ว” คนมาใหม่เริ่มตัดพ้อ

“ขอโทษที ไม่ค่อยมีเวลาเลย” รุ่งยิ้มเขิน ๆ

“นี่เพื่อนพี่ชื่ออ้น” รุ่งเริ่มแนะนำ ผมจำอ้นได้ เพื่อนที่มาเฝ้ารุ่งที่ชมรม

“นี่เฟรมน้องที่ทำงาน นี่.....”

“อ้าวเขนเหรอ... นึกว่าใคร นี่กลับมาคบกันตั้งแต่เมื่อไหร่” อ้นพูดแซงขึ้นเมื่อเห็นผม

“.....................................” แต่ใคร......ใครคบกัน

“เอ่อ....เพิ่งเจอกันที่ทำงาน ทำงานที่เดียวกันน่ะอ้น” รุ่งตอบแบบไม่ปกติ เขาไม่เคยดู ร้อนรนอย่างนี้

“นี่เป็นไงมาไง ทำไมมาแถวนี้ได้” รุ่งเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน

“เอ่อ.... เดี๋ยวตามไปนะเขน รอแป๊บเดียว” แล้วรุ่งก็ลากอ้นไปอีกทาง ในขณะที่ผมมองตาม เพราะยังคงติดใจคำถามอ้น



‘กลับมาคบกันตั้งแต่เมื่อไหร่’

คำถามนั่นยังติดอยู่ในใจผม....สมองเริ่มเชื่อมโยงเหตุการณ์

 

อ้นเป็นเพื่อนรุ่งตั้งแต่เรียนมัธยม

แม้สายตานั่นแสดงออกอย่างชัดเจนว่า... ไม่ได้อยากเป็นแค่เพื่อน

 

อ้นเคยมาทักผม เขาเคยรู้จักผมตั้งแต่สมัยมัธยม ก่อนที่ผมจะลืมเขา...

แต่รุ่งไม่เคยเล่าว่า......... เคยรู้จักผมหรือเปล่า

 

แล้วจึงฉุกคิด

ทำไมเมื่อคืนก่อนรุ่งไม่ถามถึงเรื่องราวอุบัติเหตุนั่น.......ทำไมเหมือน ‘รู้’

ทำไมเหมือนจะ ‘เข้าใจ’ ว่าผมจะมีอาการอย่างนี้.....อยู่แล้ว

และทำไมคนที่เคยมีความ ‘สำคัญ’ กับผม......คนที่ผมเคย ‘รอ’ เขา ภาพของ ‘คนคนนั้น’ ในความทรงจำ ภาพสุดท้ายที่ชัดเจนที่สุดเมื่อคืน ละม้าย คล้าย.....รุ่ง

มันจะเป็นไปได้เหรอ........คนคนนั้นในความทรงจำ

ถ้าใช่ แล้วทำไม

เกิดอะไรขึ้น...... สมองเริ่มคิด ความปวดเริ่มย้อนกลับมา

‘ไหนว่ารุ่ง ‘สำคัญ’ กว่า’ ผมสัญญาไว้ ต้องกินยา แล้วนอน

แต่ก่อนนอน ขอส่งข้อความ........... ‘Good Night ครับ’

สมองเริ่มคลายความปวดด้วยฤทธิ์ยาอีกครั้ง

 

ถ้า....เป็นจริงอย่างที่คิด.....

ถ้า.... คน คนนั้นในความทรงจำของผม คือ รุ่ง

ถ้า.... ‘เขา’ ของรุ่ง คือ ผม

 

แล้วเกิดอะไรขึ้นกับ ‘ความทรงจำ’ ในครั้งที่ลืมเลือน...เป็นไปได้จริงหรือ....

แสงจันทร์ที่สาดส่องค่อย ๆ ริบหรี่ ความรู้สึกค่อย ๆ หายไป.........

 







‘Good Night ครับ’

ข้อความที่เพิ่งได้รับ เหตุการณ์วันนี้เฉียดฉิว เกือบแก้ไขสถานการณ์ไม่ทัน

 

ใครบ้าง.......จะไม่อยากให้คนรัก ‘จำ’ ความรักที่มีให้กันได้

 

รักแรก ที่แสนบริสุทธิ์

รักแรก ที่เต็มไปด้วยความผูกพัน

รักแรก ที่ตราตรึงในใจ......จนไม่สามารถมองใครได้อีก

แม้ความทรงจำของเขาจะไม่กลับมา แต่ผม ‘รู้’ ความรักของเราก็ยังตราตรึงอยู่ในใจของผม และฝังลึกอยู่ในหัวใจของเขา

 

เสมอมาและ...ตลอดไป...........





#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: JKL THE SERIES: KEEP: CLAIRE DE LUNE 16.02.2018
«ตอบ #102 เมื่อ16-02-2018 11:28:20 »

 :L2: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ april

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +239/-12
Re: JKL THE SERIES: KEEP: CLAIRE DE LUNE 16.02.2018
«ตอบ #103 เมื่อ16-02-2018 12:56:56 »

 :L1:

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: KEEP: ONCE 19.02.2018
«ตอบ #104 เมื่อ19-02-2018 10:03:12 »

Chapter XIX

Once

 

สิบเจ็ดปีที่แล้ว.........

เขา ‘รู้’ ว่าผม ‘รู้’ และผม ‘รู้’ ว่าเขาก็ ‘รู้’

‘เรา’ แทบไม่ต้องใช้คำพูดเพื่อการสื่อสารกันมานานแล้ว

 

นั่นคือความจริง... นับตั้งแต่วันแรกที่พบกัน

 

วันที่ผมต้องเข้ามาเรียนที่นี่ครั้งแรกเป็นช่วงกลางเทอม สำหรับบางคนอาจจะไม่เป็นปัญหาในการปรับตัว แต่ไม่ใช่กับบางคนที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในโลกแห่งความฝันของตัวเอง เช่นผม

ทั้งห้องเงียบกริบเมื่อผมเดินเข้ามา เป็นอัตโนมัติที่ผมเก็บความรู้สึกหวั่นไหวไว้ภายในใบหน้าที่เรียบเฉย เมื่ออาจารย์ให้แนะนำตัวผมจึงค่อย ๆ ฝืนยิ้มออกไป เพื่อทำความรู้จักเพื่อนใหม่ ก็เหมือนที่โรงเรียนเก่า รอยยิ้มนั้นพิฆาตคนตายไปมากมาย

แต่มีเพียงสายตาคู่นั้นเพียงคู่เดียวที่ ‘รู้’ ว่าผมกำลังประหม่ากับสิ่งที่ทำอยู่

ทำไมเวลาเพียง...เสี้ยววินาทีเขาเข้ามาในโลกส่วนตัวของผมได้อย่างไม่ยากเย็น ทั้งที่ปกติผมไม่ได้เปิดรับให้ใครง่าย ๆ กับ ‘เขา’ คนนั้น ผมก็แน่ใจว่าผมไม่ได้เปิดรับ แต่เขาบุกเข้ามาเอง และชัดเจนตั้งแต่วินาทีแรก

“เอาล่ะ แนะนำตัวเสร็จแล้ว มีที่นั่งตรงไหนให้รุ่งนั่งได้บ้าง” ครูประจำชั้นถาม ทุกคนเริ่มลุกลี้ลุกลนหาที่นั่งว่าง

“โครม” เก้าอี้พร้อมผู้ชายร่างเล็กลอยออกไปล้มด้านหลังห้อง ทุกคนกำลังตกใจ

“ไทม์มึงไปนั่งกับปู่เต้ ครูครับให้รุ่งนั่งกับผม” เขาคนนั้นตะโกนขึ้น ฝ่าความเงียบของห้อง

“อ...เอ่อ งั้นก็ได้....รุ่งไปนั่งกับเขนนะ” ผมแอบขำ ครูก็ยังกลัวมาเฟียเหรอ

 

หลังจากนั้นเราก็ไม่เคยแยกจากกันอีกเลยตลอดสามปี หลายคนสงสัยเด็กเรียนเงียบขรึมขี้อายกับเด็กกิจกรรมมาเฟีย เห็นคนใดคนหนึ่งที่ไหน อีกเพียงอึดใจก็จะเห็นอีกคนตามมา ไม่มีใครสามารถอธิบายความสัมพันธ์ของเราได้ แม้เพื่อนในกลุ่มยังสงสัย

‘มันติดต่อกันผ่านทางโทรจิต หรือไงวะ’

 

ก็ไม่มีใครเห็นสายตาที่ส่งให้กัน

คนหนึ่งอยู่กับหนังสือเรียน และเสียงเพลงในหูฟัง แต่อีกคนก็อยู่ในสังคมวุ่นวายโหวกเหวก ด้วยตำแหน่งหัวหน้าห้องตลอดสามปีที่มีใครจะกล้าเป็นแทน แค่สมัครแข่งยังไม่กล้า หัวหน้าห้องมาเฟียซึ่งเข้มงวดกับทุกคน แต่ไม่เคยบังคับคนข้าง ๆกายได้เลย

 

“ไอ้เขน มันกลัวรุ่ง” เพื่อน ๆ เม้าท์เสียงดัง

“ก็กลัว แล้วไง” คนตอบก็ไม่ได้เกรงใจคนฟังเงียบ ๆ ที่ทำหน้าระอา

ใช่...กลัวแล้วไง อย่าหวังมีใครมาแบล็คเมล์ หรือมาปลุกปั่นเด็กของหัวหน้าห้องคนนี้ ก็ไม่มีใครเคยเข้ามาถึงตัวผมได้

คนหนึ่งคอยคุม คนหนึ่งก็ไม่ได้อยากดื้อดึงออกไป อยู่อย่างนี้ก็สบายใจดี  โลกส่วนตัวขยายได้กว้างใหญ่ เมื่อมีคนคอยปกป้อง และยอมให้เพียงคนที่ปกป้องเข้ามาได้เพียงคนเดียว

มันเป็นการให้ ‘ความสำคัญ’ และ ‘ความพิเศษ’ ที่มีให้กันเสมอ จากความสบายใจ ความปลอดโปร่ง มันทำให้ความสัมพันธ์ข้างในที่ไม่เคยแสดงออก กลับกระชับแน่นแฟ้น ผูกพัน พึ่งพาอาศัยซึ่งกัน และกันในส่วนที่แต่ละคนขาด

คนที่มีโลกส่วนตัวสูง เริ่มเข้าสู่สังคมมากขึ้น เมื่อมีคนลากไปเล่นดนตรี ไปเตะฟุตบอล เริ่มแสดงออกอารมณ์ต่าง ๆ ตามที่หัวใจต้องการ เมื่ออยู่ข้าง ๆ อีกคน

คนตัวเล็กเริ่มหมั่นไส้ เริ่มกลั่นแกล้ง หยอกล้อ คนตัวโต

อย่างที่ไม่มีใครกล้าทำ และก็ไม่ทำกับใคร

 

ในขณะเดียวกันกับคนที่โลกข้างนอกวุ่นวาย ก็เข้ามาพักพิงอยู่ในโลกส่วนตัวของคนอีกคน เมื่อต้องการความสงบสุข เขาไม่ต้องฝืนแสดงกับคนตัวเล็ก

ได้อยู่เงียบ ๆ อย่างอบอุ่น อย่างเข้าใจ

จึงหวงแหนพื้นที่ส่วนตัวนี้เป็นอย่างยิ่ง

 

แม้ภายนอกจะแสดงออกต่างกัน

แต่เหมือนกันมากเกินไป ในส่วนลึก ๆ ข้างใน จนแยกไม่ออกในส่วนลึกของดวงวิญญาณ จนเกือบจะเป็นคนคนเดียวกัน วันเวลาผ่านไป

จึงเริ่มตระหนักความรู้สึกที่ว่า ‘ขาดกันไม่ได้’

มันเริ่มกัดกร่อนความเป็นเพื่อน

 

และแปรเปลี่ยนความสัมพันธ์เป็นอย่างอื่น

หรือเป็นอย่างอื่น ตั้งแต่ต้นก็ไม่แน่ใจ

 

ผม ‘รู้’ ว่าเขาก็ ‘รู้’ และเขา ‘รู้’ ว่าผม ‘รู้’

มันกำลังเปลี่ยนไปสำหรับความรู้สึกที่มีให้กัน จาก ‘เพื่อน’ ไปเป็น......

“จ้า...เขน หรือเปล่าลูก นี่ม๊ารุ่งนะจ๊ะ วันนี้น้องไม่สบาย ม๊าฝากลาป่วยคุณครูให้น้องด้วย” ผมป่วยครับ เป็นไข้สงสัยเพราะเมื่อวานเตะบอลกันกลางฝน แต่นึกว่าฝนตกไม่หนัก ไม่น่าจะเป็นอะไร ก็ไม่ได้ป่วยมานาน

“น้องไม่เป็นอะไรมากลูก ม๊ากำลังจะให้กินยา เดี๋ยวให้นอนก็น่าจะดีขึ้น”

“เดี๋ยวม๊าต้องไปทำงาน เจ้ารุ้งก็มีสอบ แต่น้องบอกว่าไม่เป็นไร อยู่คนเดียวได้” ลูกเป็นเพื่อนสนิทกัน ที่บ้านผมกับบ้านเขนก็จึงสนิทกันไปด้วย เนื่องจากไปนอนค้าง ทำการบ้าน ทำรายงาน ดูบอลด้วยกัน แทบจะอาทิตย์เว้นอาทิตย์ ทั้งสองบ้านจึงเหมือนมีลูกชาย เพิ่มอีกคน

“จะดีเหรอลูก เดี๋ยวเรียนตามเพื่อนไม่ทัน น้องก็ขาดไปคนนึงแล้ว เขนไปเรียนเถอะลูก”

“อย่างงั้นก็ไม่เป็นไร ตามใจเขนแล้วกันลูก ม๊าฝากน้องด้วย สวัสดีจ้ะ”

“เขนจะมาเหรอครับม๊า”

“จ้า... เห็นว่าจะให้ไทม์กับเต้ จดโน้ตไว้ให้ก็ได้” อยากโดดเรียนละสิรายนั้น แต่ถ้าสลับกันเป็นเขนป่วย ผมเองก็คงไม่อยากไปเรียนเหมือนกัน

“เดี๋ยว ม๊าออกไปก่อนนะลูก เดี๋ยวเขนมา รุ่งอย่าลืมกินยาหลังอาหารนะอีกสักสิบนาที”

“ครับแม่” ดีจัง ปล่อยยาไว้อย่างนั้นแหละ ขมจะแย่

 

“รุ่งจ๋า.....” เสียงเขน นอกจากเขนกับม๊าก็ไม่มีใครเรียกได้หวานอย่างนี้อีก

“มาแล้วเหรอ” ผมไม่ต้องลงไปเปิดประตู เขนมาบ่อยจนรู้ว่า ม๊าซ่อนกุญแจไว้ที่ไหน

“เป็นไงบ้าง ไม่น่าเลย เพราะเล่นบอลเมื่อวานแน่ ๆ เขนขอโทษ” เขนเข้ามานั่งข้าง ๆ บนเตียง และจับมือผมไว้

“ไม่เป็นไร รุ่งก็อยากเล่นด้วยเหมือนกัน แต่ไม่รู้ทำไม ทั้งที่ไม่เป็นหวัดมาตั้งนานแล้ว” หากหัวใจเริ่มเต้นแรง เมื่อสบสายตาคมคู่นั้น

“เขาว่าคนมีความรัก จะเป็นหวัดง่าย” เขาแกล้ง เขนรู้ว่าผมกำลังเขิน

“เขน.................” หัวใจมันกำลังสั่นไหว

“หรือไม่จริง” จะให้ผมตอบได้ยังไงก็ตัวต้นเหตุก็นั่งอยู่ตรงนี้ หากรู้แต่ว่าตอนนี้ไข้สูงน่าจะขึ้นเพิ่มอีก

เราต่าง ‘รู้’ ว่าความสัมพันธ์มันเปลี่ยนไป แต่ด้วยความสนิทเกินเพื่อนที่มีอยู่เดิม มันจึงไม่ได้ทำให้การแสดงออกต่าง ๆ ภายนอกแปรเปลี่ยนไปเท่าไหร่ แต่สายตาที่ส่งให้กันมันเปิดเผยความรู้สึกข้างในหัวใจที่เปลี่ยนสถานภาพไปแล้ว

“หน้าแดงใหญ่แล้ว เพราะเป็นไข้หรือเขิน” ยังไม่เลิกแกล้งอีก

“จะให้ตอบจริง ๆ ไหม” ผมเริ่มเหวี่ยง โอ๊ย...ไม่น่าสู้สายตาเขาเลย

“แล้วกล้าตอบมั้ยละ” อยู่กันสองคนเคยยอมกันที่ไหน ดวงตาคมกริบนั่นเต็มไปด้วยประกาย

“ปวดหัว” ผมจึงรีบเปลี่ยนเรื่องแล้วหลบรีบสายตา ขณะเขากำลังรุกคืบโดยโน้มตัวลงมาคร่อมตัวทาบทับ

“หึ หึ ตอบไม่ตรงคำถาม” คงไม่มีเพื่อนที่ไหนเอาหน้าผากชนกันเพื่อวัดอุณหภูมิอย่างนี้ ผมหลับตาในขณะที่หัวใจกำลังสั่นสะท้าน

“รุ่งจ๋า... ยังมีไข้อยู่เลย กินยาหรือยัง” คนถาม ยังถามต่อไปทั้งที่ยังไม่ถอยตัวออกห่าง

“ม๊าเตรียมไว้ให้แล้ว แต่ไม่อยากกิน มันขม” ผมจึงช้อนตามองตอบ ไม่กล้าสบตาตรง ๆ

“.........................................” ใบหน้าขาวที่ห่างเพียงคืบเริ่มเปลี่ยนสี

“อะไรเหรอ เขน” เขายังจ้องนิ่ง

“อย่ามองใครอย่างนี้ อีกนะรุ่ง น่ารักจนแทบจะคลั่งตายอยู่แล้ว”

“เขน.........” ผมผลักเจ้าตัวโตออก ก่อนที่จะเป็นลมสลบตรงนี้

“นี่ใช่ไหม ยา” เขนจึงหันไปหยิบยาที่โต๊ะข้างเตียงมาให้

“อืม... มันขม เดี๋ยวรุ่งนอนก็หายแล้ว” ผมจึงผลักมือออก

“ไม่กินยาจะหายได้ยังไง ไม่เก่งเลย” เขนยังมองล้อเลียน

“ไม่เก่งก็ไม่เก่งสิ ไม่ได้อยากเก่งซะหน่อย” งอนแล้วนะ

“ไม่กินจริง ๆ ใช่ไหม” หากอีกคนดูเหมือนจะไม่ละความพยายาม

“อืม ไม่กิน” ผมหันหนี จะงอนจริง ๆ แล้วนะ

“เขนเตือนดี ๆ แล้วนะ ถ้าไม่กิน” ชิ ผมแบะปาก คงเป็นปากเป็ดไปแล้ว

“ถ้าไม่กินจะทำไม” ผมจึงหันกลับมาสู้กันใหม่ซักตั้ง

หากไม่คิดว่าเมื่อหันกลับมา ใบหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์นั่นจะอยู่ห่างจากหน้าผมไม่กี่เซ็นติเมตร เหมือนภาพช้า ใบหน้านั่นโน้มเข้ามาเอียงเล็กน้อย ค่อย ๆ ประกบริมฝีปาก ก่อนที่จะละเลียดขบเม้มเบา ๆ ที่ริมฝีปากอย่างนุ่มนวล ผมตกตะลึงสมองพร่าเลือนไปพร้อมกับดวงตาที่ค่อย ๆ ปิดลง อายเกินกว่าจะฝืนสบสายตาคู่นั่นต่อไปไหว และเปิดรับสัมผัสใหม่ที่ไม่เคยพบ ริมฝีปากนั่นยังกดจูบแผ่วเบาหยอกล้อ คลอเคล้า

ก่อนที่คนก่อเรื่องเองเริ่มจะควบคุมตัวเองไม่ไหวเช่นกัน แรงบดเบียดเสียดสีที่ริมฝีปากจึงเพิ่มดีกรีความหนักหน่วง จนผมเผลอเปิดริมฝีปากครางออกไปไม่เป็นศัพท์ เปิดโอกาสให้ปลายลิ้นนุ่มบรรจงสอดเข้ามากดจูบกวาดลึก ดูดซับ แลกเปลี่ยนรสหวานแหลมล้ำ จนเกิดอารมณ์มึนเมาไปกับรสจูบ นานเท่านานจวนเจียนจะขาดใจ กว่าคนควบคุมเกมส์จะถอนจูบหวานนั้นออกไป

สติยังไม่กลับคืนมา ปฏิกิริยาอัตโนมัติสั่งการแต่เพียงต้องหายใจบรรจุอากาศเข้าปอดให้เร็วที่สุด ยังไม่ทันได้ลืมตา ริมฝีปากอุ่นก็ทาบทับลงมาอย่างฉวยโอกาสอีกครั้ง รสหวานของ ‘จูบแรก’ ยังไม่สร่าง จูบครั้งที่สองนี้จู่โจมรุกเร้ายิ่งกว่า แต่แปลกทำไมรสชาติมันเปลี่ยนเป็นขม

“อืม” ยาเม็ดเล็กถูกลิ้นหนากดลึกลงมา ความขมฉุดสติให้กลับคืน มือทั้งสองจึงเริ่มฝืนผลักไหล่คนตัวโตข้างบน แต่แทนที่คนข้างบนจะผละออกกลับกดทิ้งน้ำหนักโถมลงมามากขึ้น และกดจูบลึกเร่าร้อนมากกว่าเดิม จนสติขาดลอยไปอีกครั้ง มือที่เคยผลักออกกลับโอบรัดรอบคอคนตัวโตอย่างเรียกร้องแนบชิด กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็หอบหายใจรวยริน อยู่ใต้ร่างหนาที่ยันตัวขึ้นมองล้อเลียน

“ยังขมอยู่ไหม หรือหวาน” ขมหรือหวานไม่รู้ แต่ผมกลืนยาลงไปโดยไม่รู้ตัว

“แต่เขนว่าหวานมากกว่า หวานมาก” คนฉวยโอกาสยังโน้มตัวลงมาแกล้งแหย่อีก

“ขอให้ติดหวัด” ผมจึงตะแคงตัวหนี เมื่อผลักคนตัวโตไม่ออก

“ถ้าเขนเป็นหวัด อนุญาตให้รุ่งป้อนยาแบบนี้บ้าง” คนตัวโตถึงยอมถอยออก

“จ้างเหอะ ใครจะป้อน” โคตรเขิน นั่นมันจูบแรก

“จะรอดู รุ่งจะใจร้ายกับเขนให้รู้ไป” เชอะ ไม่คุยด้วยแล้ว

 

หลังจากจูบแรกผ่านพ้นไปความสัมพันธ์ฉันท์คนรักเมื่ออยู่ด้วยกันสองคนก็ยิ่งชิดใกล้และชัดเจนมากขึ้น ความหวานที่คนรอบข้างในครอบครัว และเพื่อนสนิทเริ่มรับรู้

“นี่เขนเป็นแมวหรือเปล่าเนี่ย” แมวโตตัวเดินวนเวียน พัวพัน คลอเคลีย ไม่ยอมห่าง บ้านช่องก็แทบไม่กลับ ม๊าแทบจะมีลูกชายเพิ่มขึ้นถาวรอีกหนึ่งคน โชคดีที่ครอบครัวของเขนเข้าใจ และก็รักเอ็นดูผมอยู่ไม่น้อย

“ก็รุ่งไม่สนใจ” ผมกำลังอ่านหนังสือ อยากทำตามความฝันอีกอย่าง

“รุ่งอ่านหนังสืออยู่เขน เดี๋ยวไปคุยด้วย” เจ้าตัวโตดันหัวตัวเองมานอนที่ตัก

“รุ่งอยู่ที่ไหน เขนก็จะอยู่ที่นั่นอะ” แมวตัวโตร้องอ้อน

“เป็นเยอะเนอะ” ผมประชด

“หลงคนรักของตัวเองผิดด้วยเหรอ” น่ารัก น่าชังจริง ๆ

“อ่ะ เลิกอ่านก่อนก็ได้ คุณเหมียว อยากได้อะไรว่ามา” แมวทำหน้าเจ้าเล่ห์ ลุกขึ้นนั่ง

“อยากได้..........รุ่ง ได้ไหม”

“ตุ้บ” แมวตัวใหญ่โดนหนังสือฟาดไปหนึ่งที

“ฝันไปเถอะ... เหมียว” ได้คืบจะเอาศอก รอไปเหอะ

 

ด้วยความสัมพันธ์ที่ไม่ได้เปิดเผยชัดเจน ผู้คนภายนอกก็ยังคงรับรู้แค่เพื่อนสนิทเช่นเดิม จนมีภัยคุกคามเข้ามา เมื่อวันวาเลนไทน์ชายหนุ่มต่างห้องก็ส่งจดหมายมาสารภาพรักกับผม ทำเอามาเฟียฉีกจดหมายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแถมเผาให้ซ้ำ

“เขนเผาทำไมอ่ะ” เพื่อน ๆ เริ่มรุมล้อม เมื่อไฟลุกกลางสนามบอล

“หรือรุ่งอยากจะเก็บไว้” สายตาคมดุมองจ้องกร้าว

“เปล่า จะเอาไปคืนอ้นเขา ไปบอกปฏิเสธเขาดี ๆ ก็ได้” ผมตอบ

“ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน เดี๋ยวเขนไปเคลียร์เอง” จะเกิดเรื่องไหม แล้วมาเฟียใหญ่ก็หายไป และกลับมาพร้อมรอยเขียวช้ำที่มุมปาก

“ไงละ”

“เรียบร้อยแล้ว”

“เรียบร้อย แล้วนี่อะไร” ผมจิ้มลงไปที่รอยเขียว อย่างหมั่นไส้

“โอ๊ย......รุ่งก็ไปดูอ้นสิ แย่กว่านี้อีก” มาเฟียยังคุย

“รุ่งไม่สนอ้นหรอก แต่ไม่อยากให้เขนเจ็บ”

“รุ่งจ๋า..............”

“สัญญาก่อน จะไม่ทำให้ตัวเองต้องเจ็บเพราะรุ่งอีก”

“เวลาเห็นเขนเจ็บ รุ่งจะเจ็บกว่านะ” เมื่อผมพูดจริงจังขึ้น คนตัวโตจึงได้คิด

“เขนสัญญา เพราะถ้ารุ่งเจ็บ เขนก็เจ็บเหมือนกัน”

 

จากเพื่อนที่เข้าใจ เติมเต็ม และคล้ายกันอย่างยิ่ง

กลายเป็น ‘คนรัก’ ที่พันผูกด้วยวิญญาณดวงเดียวกัน

 

ในที่สุดวันสุดท้ายของชีวิตมัธยมต้นก็มาถึง วันปัจฉิมนิเทศที่เพื่อนสนิทสองคนได้รับดอกไม้ และของขวัญจากทั้งเพื่อนชั้นเดียวกัน รุ่นน้อง รวมทั้งสาวๆ มากมาย ก่อนที่จะเข้าสู่พิธีการที่เป็นทางการในหอประชุมโรงเรียน

“รุ่ง เอาของกับดอกไม้มา” อะไรอยู่ดี ๆ ก็จะมาบังคับ

“ของรุ่งนะ เขนจะเอาไปทำไม”

“ไม่เอาไปไหนหรอกน่า จะเอาไปเก็บให้”

“คนอื่นเขาก็ถือเข้าไปกันนี่” แม้ของคนอื่นจะไม่ได้เยอะมากอย่างของเราสองคนก็ตาม

“เดี๋ยวคนให้เขาเสียใจ ว่าไม่สนใจ” หากคนอาสาทำหน้าง้ำ เริ่มงอน

“อ่ะ อ่ะ เอาไป ไม่ถือก็ได้ เอาไปเก็บก่อนก็ได้” คนตัวโตรีบรวบของ แล้วเดินเอาของไปเก็บที่ห้องเรียน

เจ้าตัวโตหายไปนาน จนเพื่อน ๆ เริ่มทยอยกันเข้าหอประชุม ผมจึงเริ่มละล้าละลัง เพราะตอนนี้ไม่มีใครอยู่นอกหอประชุมแล้ว

“มาได้สักทีนะเขน เร็ว ๆ เลย คนอื่นเข้าไปกันหมดแล้ว” ผมจับมือเจ้าตัวโตแล้วเริ่มจะลาก แต่เขนกลับยื้อไว้

“อะไรอะ เดี๋ยวเข้าไปไม่ทันนะเขน” หากเมื่อผมหันกลับไปมอง ใบหน้าขาวเริ่มเปลี่ยนสี

“รุ่ง... ยินดีด้วยนะ” เขนยื่นดอกไม้สีขาวดอกหนึ่งมาให้ ‘ดอกลิลลี่’ สีขาวที่เพิ่งคลี่แย้มกลีบสวย ผูกโบว์สีแดงสด

“อืม...ขอบคุณมาก” ผมพูดไม่ออก ‘รู้’ ว่าเขาขี้อ้อน ช่างเอาใจ แต่ปกติเขา ไม่ใช่คนโรแมนติก กับวันสำคัญเท่าไหร่

“รุ่ง ชอบหรือเปล่า”

“อ...อืม ชอบสิ”

“รุ่ง...เขนรักรุ่งตั้งแต่เห็นรุ่งครั้งแรกเลยนะ”

“รุ่งเป็นความรักครั้งแรกของเขน...รุ่งเหมือน ‘ดอกลิลลี่’ ดอกนี้ที่อบอุ่น นุ่มนวล อ่อนหวาน มีเสน่ห์ที่สุดสำหรับเขน”

“ขอบคุณมากเขน เขนรู้ไว้นะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขนจะเป็นรักเดียวสำหรับรุ่งเสมอ”

 

“อ้าว ไหนว่ารอเขนเอาดอกไม้ไปเก็บให้ไงรุ่ง แล้วนั่นของสาวที่ไหนอีก” ปู่เต้แซวหลังจากที่พิธีการในหอประชุมเพิ่งเสร็จ นักเรียนแตกแถวกระจายตัวคุยกันเบา ๆ เต็มห้อง

“ของ.....เอ่อ...เอิ่ม...” ผมอึกอัก

“ของเขน”

“ดอกไม้ของเขน รุ่งของเขน เคลียร์ไหม” มาเฟียที่ตอบแทนพูดดังลั่น ชัดเจน จนผมแทบจะซ่อนตัวแอบอยู่หลังดอกลิลลี่

 

ครั้งหนึ่ง.....

 

รักแรก พิสุทธิ์

รักแรก แสนสะอาด บริสุทธิ์

รักแรก เต็มไปด้วยความผูกพัน

รักแรก ตราตรึงในใจ......

 

จนไม่หลงเหลือ ‘สายตา’ หรือ ‘หัวใจ’ ที่จะเปิดรับใครได้อีก



#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: KEEP: BLUE 19.02.2018
«ตอบ #105 เมื่อ19-02-2018 10:05:33 »

Chapter XX

Blue

 

เส้นทางเดินของชีวิตบางทีเมื่อเลือกแล้ว...

ก็ไม่มีทาง... เดินหวนกลับได้ แม้ใจจะปรารถนามากเพียงใดก็ตาม

 

เราสองคนยังคงเรียนโรงเรียนเดิม เมื่อขึ้นชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ความสัมพันธ์ยิ่งคงมั่นฝังลึกในดวงใจของเราทั้งสอง จนเส้นทางเดินใหม่ปรากฏขึ้นให้ผมต้องเลือก เมื่อต้นเทอมแรก

“เขน... เขน” เวลาเราดีใจ เราอยากจะบอกคนที่เรารักให้รับรู้เป็นคนแรก ผมวิ่งเข้ามาในห้องนอนของบ้านเขน วิ่งมาจากบ้านตัวเองเลยด้วยซ้ำ

“อะไร รุ่ง ดีใจอะไรมา” บางทีผมก็สงสัยว่าเราคงมีสัมผัสพิเศษบางอย่างที่สื่อระหว่างกันได้ ผม ‘รู้’ เขาก็จะ ‘รู้’ เสมอ

“เขน รุ่งสอบ AFS ติดแล้ว ได้ไปอังกฤษแล้ว” ผมกระโดดกอดคนตัวใหญ่ การแสดงออกของเราชัดเจนมากขึ้นอีกตั้งแต่วันปัจฉิมนิเทศนั่น แม้ฝ่ายที่แสดงออกได้ชัดเจนนั้น จะเป็นผมน้อยครั้งกว่าคนตัวโตนี่ก็ตาม

“ดีใจด้วยรุ่ง เก่งจริง ๆ เขนรู้อยู่แล้วว่ารุ่งต้องทำได้” เขนรับรู้มาโดยตลอดถึงความฝันที่ผมพยายามมุ่งมั่นมาแรมปี

“แล้วนี่ต้องเดินทางเมื่อไหร่ ไปนานไหม เขนคงเหงาแย่เลย” สิ่งที่เขาถามเป็นเรื่องที่ผมไม่เคยคิดมาก่อน รู้เพียงแต่อยากไปหาประสบการณ์ในต่างประเทศบ้าง อยากไปอังกฤษมากที่สุด เพื่อได้ไปดูฟุตบอลทีมโปรด จนลืมคิดไปว่าต้องไปคนเดียว และต้องพรากจากอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตที่เติมเต็มกันอยู่

“...............................” ผมปล่อยเขน สมองกำลังประมวลเรื่องที่ไม่ได้ตระหนักถึง

“เป็นอะไรรุ่ง” มือเขนโอบเบา ๆ ที่ไหล่เล็ก

“ไม่... ไม่อยาก ไปแล้วอ่ะ” ไม่อยากไปแล้วจริง ๆ

“ได้ยังไงล่ะ... อุตส่าห์พยายามอ่านหนังสือมาเป็นปี กว่าจะสอบได้” น้อยครั้งที่ผมจะเป็นฝ่ายถูกดุ

“ไม่ไปแล้วได้ไหม รุ่งจะสละสิทธิ์นะ”

“ทำไมละรุ่ง บอกเหตุผลมาก่อน” คุยกับเขนต้องใช้เหตุและผล

“รุ่งไม่อยากไปแล้ว ไม่อยากแยกจากเขน” ผมโถมตัวเข้าไปหาคนตัวโตอีกครั้ง ก่อนอ้อมอกที่แสนคุ้นเคยจะกอดปลอบใจเหมือนเดิม

“รุ่งไปเถอะนะ ไปทำตามความฝัน”

“เขนจะรอ... สัญญาว่าจะรอ... รุ่งคนเดียวเสมอ” อ้อมกอดกระชับแน่นขึ้น

“จริง ๆ นะ” ผมรู้สึกโหวง ๆ

“จริงสิ.... เขนสัญญาแล้ว” เขนดันตัวผมออกมา เพื่อสบตากันอีกครั้ง

“จำได้ใช่ไหม ถ้ารุ่งเจ็บ เขนก็จะเจ็บ แต่ถ้ารุ่งมีความสุข เขนก็จะมีความสุขด้วยเหมือนกัน” น้ำตาของผมเริ่มคลอ

“รุ่งไปทำตามความฝันของรุ่งนะ และเขนจะเฝ้ารออย่างมีความสุข” ผมกลั้นน้ำตาอีกต่อไปไม่ไหว

“อย่าขี้แยสิ เด็กดีของเขน” คนตัวโตค่อย ๆ จูบซับน้ำตาอย่างอ่อนโยนที่สุด

“เขน.....” แล้วก็เป็นคนที่จุมพิตได้หวานที่สุดเช่นกัน เวลาผ่านไปเนิ่นนานที่ตอบรับสัมผัสอบอุ่นนุ่มนวลอ่อนหวาน และเร่าร้อนนั่น กว่าจะตัดใจแยกริมฝีปากออกจากกันได้ สมองก็ยังคงลอยล่องเหมือนถูกสะกดจิต

“อย่าให้ใครจูบอีกนะรุ่ง”

“อย่ามองใครแบบนี้อีก”

“อย่ายิ้มให้ใครแบบนี้ด้วย” ผมได้แต่พยักหน้าตอบรับทุกคำขอ.... และผมจะรักษาทุกคำสัญญา

 

ชีวิตในช่วงนั้นเหมือนดั่งความฝัน ตั้งแต่ได้พบ......เขน ตั้งแต่ได้รัก.......เขน

ได้มีชีวิตพันผูกกัน.......จนละม้ายคล้ายดวงวิญญาณดวงเดียวกัน

 

จนกระทั่ง.....ฝันของผมอีกฝันเป็นจริง

โดยลืมคิดไปว่าชีวิตคนเราคงไม่ได้มีเพียง ‘ฝันดี’ เพียงอย่างเดียว

 

ตามกำหนดระยะเวลาของโครงการผมต้องอยู่ที่นี่เป็นระยะเวลา 1 ปี ในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม โดยพักกับครอบครัวอุปถัมภ์ในย่านชานเมืองลอนดอน ช่วงเดินทางมาที่นี่ค่อนข้างกระชั้นมาก เพราะต้องมาเข้าเรียนปรับพื้นฐานภาษา ทำกิจกรรมกับโครงการ และเข้าเรียนให้ทันในช่วงเปิดเทอมในเดือนกันยายนพอดี ทุกอย่างเร่งรีบทั้งหมด รวมถึงผมต้องปรับตัวให้เข้ากับครอบครัว เพื่อน ๆชาวต่างชาติให้ได้ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่อาจจะยากที่สุดในการเดินทางครั้งนี้สำหรับผม

ทำให้ช่วงแรกที่เดินทางมาได้ติดต่อกลับไปหาคนที่ ‘รอ’ อยู่ค่อนข้างน้อย มารู้ตัวอีกที เมลบ็อกซ์ก็เกือบเต็ม การตั้งแต่ติดต่อกันครั้งสุดท้าย เมื่อมาถึงที่นี่ได้ประมาณสามอาทิตย์ นี่ก็จะร่วมสามเดือนเข้าไปแล้ว ผมค่อย ๆ เปิดไล่ดูเมลที่คนตัวโตเขียนมาเล่าเรื่องราวเรื่องที่โรงเรียน เรื่องที่บ้าน และความคิดถึงที่เขามีให้ ผ่านทางเมลที่ถูกส่งมาแทบทุกวัน เขาเป็นคนน่ารัก มั่นคง และสม่ำเสมอ

แต่น่าแปลกใจที่ช่วงหลังดูเหมือนเมลที่ส่งมาจากเมืองไทยจะขาดหายไป ผมไม่ได้แปลกใจอะไรมาก เขาอาจจะยุ่ง ๆ กับการซ้อมดนตรี หรือเล่นฟุตบอลอะไรซักอย่างที่เขาเพิ่งเล่ามา เมื่ออีเมลฉบับสุดท้าย หลังจากนั้นก็เป็นฝ่ายผมที่เฝ้าส่งอีเมลไปโดยไม่มีการตอบกลับเป็นระยะเวลาเกือบ ๆ สามเดือนเช่นเดียวกัน

‘งอนรึเปล่านะเขน’

‘นี่ก็ง้อแล้วนะ’

‘นี่รุ่งก็ส่งกลับไปครบสามเดือนเหมือนที่เขนส่งมาแล้วนะ’

 

จนผมเริ่มทนไม่ไหวจึงติดต่อกลับไปทางรุ้งให้ช่วยถามข่าวคราวคนที่บอกว่าจะ ‘รอ’ เพียงแค่ไม่นานรุ้งก็ตอบกลับมาว่า ‘เขนประสบอุบัติเหตุ ตอนนี้กำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมาได้สักระยะแล้ว’ ใจผมแทบจะบินกลับตั้งแต่วันทราบข่าว แต่ด้วยติดสัญญาอยู่กับโครงการ จึงไม่สามารถกลับไปทันทีได้ถ้าไม่มีเหตุผลที่เพียงพอ และที่สำคัญทั้งทางครอบครัวผม และครอบครัวเขนก็ไม่เห็นด้วยที่จะเดินทางกลับในตอนนั้น

ผ่านมาอีกเพียงสามอาทิตย์ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากคุณพ่อของเขนให้กลับเมืองไทยด่วน ซึ่งทำให้ตอนนี้ผมกลับมาเมืองไทยอีกครั้ง โดยไม่สนใจกับภาระผูกพันใด ๆ กับโครงการอีกแล้ว จะต้องชดใช้อย่างไรก็จะยอมทำตามทุกอย่าง ขอเพียงได้กลับเท่านั้น

อย่างที่เราเคยบอกกันไว้เสมอว่า

‘ถ้าคนหนึ่งเจ็บ อีกคนจะเจ็บยิ่งกว่า’

และคนที่ทำให้ ‘เขา’ ต้องประสบอุบัติเหตุก็คือ.... ผม

เพราะ อีเมลฉบับสุดท้ายนั่นที่ส่งมาเมื่อสี่เดือนก่อน

 

หัวใจของผมเหมือนค่อย ๆ ถูกเฉือนออกทีละน้อยทั้งเป็น เมื่อได้รับฟังเรื่องราวที่คุณพ่อเล่าให้ฟังว่าเมื่อสี่เดือนที่แล้ว วันที่ลูกชายออกไปส่งอีเมลหาผม เดินทางกลับบ้านด้วยรถแท็กซี่ และเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับรถสิบล้อจนพลิกคว่ำ คนขับเสียชีวิต ส่วน ‘เขา’ นอกจากแขนหัก ก็ได้รับความกระทบกระเทือนด้านสมอง ต้องได้รับการผ่าตัดด่วน เนื่องจากมีเลือดคั่งในสมอง หลังจากผ่าตัดก็สลบเป็นเจ้าชายนิทราอยู่เกือบเดือนจึงจะรู้สึกตัว

หลังจากที่ฟื้นแล้วดูเหมือนอาการเจ็บป่วยทางร่างกายจะไม่เป็นอะไรมาก แต่ผลข้างเคียงจากอาการเลือดคั่งในสมอง และการผ่าตัดทำให้ความทรงจำบางส่วนได้หายไป หากสิ่งที่แย่ที่สุดซึ่งทำให้อาการทรุดหนักลงมากยิ่งขึ้นในตอนนี้ คุณหมอบอกว่า ‘เป็นอาการทางประสาท เนื่องจากสภาวะทางจิตใจที่ผิดปกติ จนเกิดภาวะซึมเศร้า ดูเหมือนว่าคนไข้จะมีความผูกพันลึกซึ้งกับ ‘ความทรงจำ’ ที่หายไปและมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่ต้องการให้ความทรงจำนั่นกลับคืนมา ทำให้เกิดความเครียดส่งผลให้สมองทำงานอย่างหนัก จนมีอาการปวดหัวขั้นรุนแรงไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ซึ่งคนไข้ตอนนี้ไม่ตอบสนองกับยาระงับประสาทใด ๆ และถ้าปล่อยให้เกิดอาการอย่างนี้ต่อไปอาจจะทำให้ไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีก’

และ...ความทรงจำที่ว่านั่น ก็คือ..........ผม

กับสัญญาบ้า ๆ พวกนั้นที่ให้กันไว้

 

‘ตลอดเวลาที่ปวดหัวจนไร้สติ ‘เขา’ เพ้อออกมาเพียงว่า

ต้องการรอ..... รอใครสักคน และคนคนนั้นคือใคร....

 

‘เขา’ คนนั้นที่มั่นคง กับคำสัญญาที่จะ ‘รอ’ และยังคงรอคอยเสมอ

แม้คิดไม่ออก ก็ยังคงวนเวียนเฝ้าคิด และพยายามจะ ‘รื้อฟื้น’ ความทรงจำที่หายไป ให้ได้ว่า.... คือใคร จนยาไม่สามารถช่วยได้อีก เราทั้งสองครอบครัวตัดสินใจร่วมกันและเลือกทางเลือกไว้สองทาง

 

‘ทางแรก’ ถ้าผมกลับมาแล้วพยายามทำให้ ‘เขา’จำผมได้

ผมจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการรักษาเขาต่อไป

 

แต่ถ้า..... ‘เขา’ ยังจำผมไม่ได้

 

ก็ต้องเลือก ‘ทางที่สอง’

คือต้องลบ ‘ความทรงจำ’ ของ ‘เขา’ ที่มีต่อผมออกทั้งหมด

 

เมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึงผมก็ได้พบ ‘เขา’ อีกครั้ง ยิ่งกว่าหัวใจถูกฉีกกระชากออกมา ฉีกเป็นชิ้น ๆ ‘เขา’ คนนั้นมีสภาพไม่แตกต่างไปจากซากศพที่เดินได้ ผอมแห้ง ซีดขาวกว่าที่เคยเป็น ถูกมัดไว้กับเตียงคนไข้ พร่ำเพ้อ ตะโกน กรีดร้อง คลุ้มคลั่งไปด้วยความทรมานจากความเจ็บปวดเป็นระยะ ๆ

นัยน์ตาแดงช้ำเหม่อมองเลื่อนลอย เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ขาดสาย และเป็นครั้งแรกในชีวิตตั้งแต่พบกัน ที่ผมไม่ได้อยู่ในสายตาของ ‘เขา’ อีกต่อไป

 

เพราะผมสินะ ที่ทำให้ ‘เขา’ เป็นอย่างนี้

เพราะสัญญาพวกนั้น

เพราะความรักที่ ‘เขา’ มีต่อผม

 

ผมใช้ความพยายามอยู่นานนับเดือนที่จะเข้าไปชักชวนพูดคุย เล่าเรื่องราวในความทรงจำทั้งหมดที่เรามีต่อกัน ผ่านภาพถ่าย ผ่านสิ่งของ ผ่านสัมผัส ผ่านร่างกาย และทุก ๆ อย่าง ทุก ๆ วันเวลา ที่เคยมีร่วมกัน แต่อาการของ ‘เขา’ ไม่ได้ดีขึ้น กลับทรุดหนักลงทุกวัน

และเมื่อ ‘เขา’ เจ็บ ผมก็เจ็บยิ่งกว่า

แม้จะไม่ถึงขนาดสติหลุดลอย

 

แต่ก็

 

ไร้แรงใจจะพูดคุย

ไร้แรงกายที่จะดำรงชีวิต

ไร้กำลังที่จะดำรงอยู่ในสังคมได้ดังเดิม

 

ครอบครัวของเราจึงตกลงใจเลือกทางเดินที่สอง

ทางที่......ต้องลบทุก ๆ อย่างใน ‘ความทรงจำ’ ของ ‘เขา’ ที่มีต่อผมออกทั้งหมด เพื่อให้ทั้ง ‘เขา’ และ ‘ผม’ จะสามารถกลับมามีชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง

ก่อนที่ผมจะได้รับอนุญาตเป็นครั้งสุดท้าย ที่จะได้อยู่ด้วยกันตามลำพังกับ ‘เขา’ สองคน ผมได้พบกับคุณพ่อ และรับสิ่งของทุกอย่างที่เป็นเครื่องเตือนความทรงจำร่วมกันระหว่าง ‘เขา’ กับผมที่อยู่ที่บ้านของ ‘เขา’ คืนมาทุกชิ้น ผมจะถูกลบหายไปจากความทรงจำของ ‘เขา’ อย่างหมดจด คุณพ่อจะย้ายบ้าน รวมถึงย้ายโรงเรียนของ ‘เขา’ ถ้าหาก ‘เขา’ กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

ผมให้สัญญากับคุณพ่อไว้ว่าจะไม่ย้อนกลับมาทำร้าย ‘เขา’ อีก ขณะที่คุณพ่อพร่ำบอก ขอโทษผม เราร่ำลากันอยู่นาน ก่อนที่ผมตัดสินใจเดินเข้ามาอำลา ‘เขา’ เป็นครั้งสุดท้าย

“………………….…” ความรู้สึกทุกอย่างมันถาโถมเอ่อล้น ผมยืนมอง ‘เขา’ อยู่นาน โดยไม่สามารถเอ่ยถ้อยคำใด ๆ ได้

‘เขา’ คนนั้นแววตาเหม่อลอย แม้จะมองมาทางผมแต่มองเลยไป ผมจึงกลั้นใจกล่าวลา

“ข..เขน” ผมเอื้อมมือไปกุมมือที่ถูกมัดติดกับเตียงของ ‘เขา’

“เขนจำสัญญาที่ให้รุ่งได้ไหม ว่า ‘จะไม่ทำให้ตัวเองต้องเจ็บเพราะรุ่งอีก’ ”

“รุ่งมาทวงสัญญา” ผมกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น ลำคอแห้งผาด

“เขน..........เลิก รอรุ่งเถอะนะ แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ ได้แล้ว”

“ไม่ต้อง ‘รื้อฟื้น’ มันอีกต่อไปแล้ว ถ้ามันจะทำให้เราทั้งสองคนเจ็บปวดมากมายขนาดนี้” ตาทั้งสองเริ่มพร่าเลือน ด้วยน้ำตาที่เอ่อล้น

“เขนก็ไม่อยากให้รุ่งเจ็บอีกแล้วใช่ไหม”

“ถ้าไม่อยากให้รุ่งเจ็บ...เขนลืมรุ่งนะ” กลั้นน้ำตาไม่ได้แล้ว“..............................................”

“รุ่งจะคอยเฝ้ามองเขนตลอดไป เฝ้ามองเขนมีความสุข”

“เขนมีความสุข รุ่งก็จะมีความสุข”

“และถ้าเขนอยากให้รุ่งมีความสุข..... เขนลืมรุ่งนะ”

“ลืมซะเถิดนะ”

ดวงตาที่เลื่อนลอย ค่อย ๆ พริ้มหลับ ผมไม่แน่ใจว่าเพราะฤทธิ์ยา

หรือว่า....... ‘เขา’ ยอมแล้ว

 

แต่สำหรับผม

พอแล้ว... หยุดแล้ว... ยอมปล่อยแล้ว...

 

เส้นทางเดินของชีวิตบางทีเมื่อเลือกแล้ว...

ก็ไม่มีทาง.....เดินหวนกลับได้ แม้ใจจะปรารถนามากเพียงใดก็ตาม

ก็ไม่มีวัน.....ไม่มีทางเป็นจริงได้เลย





#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: KEEP: MOON 19.02.2018
«ตอบ #106 เมื่อ19-02-2018 10:08:26 »

Chapter XXI

Moon

 

ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป

เพื่อ.....ครอบครัว

เพื่อ.....คนที่รักผม

เพื่อ.....คนที่ผมรัก

และเพื่อ..... ‘เขา’

แม้อีกครึ่งหนึ่งของดวงวิญญาณเสมือนได้ตายจากไป.....ทั้งเป็น

 

ผมไม่ใช่คนเข้มแข็งมากนักแต่เมื่อได้กำลังใจจากครอบครัวและเพื่อน ๆ ที่รายล้อมทำให้ผมกลับมามีชีวิตที่ต้องบังคับตัวเองให้เดินก้าวไปอีกครั้ง แม้จะโหยหาอดีตมากเพียงใดก็ตาม

เมื่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ผ่านพ้น ผมจึงกลับมาเข้าเรียนต่อในเทอมสองตามปกติ เนื่องจากกลับมาก่อนกำหนดสิ้นสุดโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน โดยทำเรื่องขอสอบย้อนหลังในภาคการศึกษาที่แล้ว ดีเหมือนกันที่มีเรื่องเรียนให้ต้องยุ่ง ๆ เพื่อฆ่าเวลาไม่ให้คิดถึงอดีตที่ไม่มีวันหวนกลับ เพื่อน ๆ ทุกคนทราบถึงเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่มีใครสอบถาม คาดคั้น หรือพูดถึงมันอีก ทุกคนพยายามที่จะล้าง ‘เขา’ คนนั้นออกไปจากผมเช่นเดียวกัน

แม้ว่าผมจะกลับมาอาศัยอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเองมากขึ้น แต่ก็เรียนรู้ที่จะเปิดรับคนอื่นมากขึ้นเช่นเดียวกัน เพราะเรียนรู้มาจาก ‘เขา’ จึงได้เพื่อนในกลุ่มเดิมกลับมาเป็นเพื่อนสนิททั้งไทด์ และโปเต้ รวมถึงอ้น เราเคลียร์กันด้วยความเข้าใจ โดยผมไม่ยอมให้ใครต้องมารอผมอีก เพราะ ‘รู้’ ว่าจะไม่มีวันนั้นอีกแล้ว วันนี้ที่ใครสักคนจะเข้ามาแทนที่ ‘เขา’ ในหัวใจ

การจากกันทั้ง ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ และทั้ง ๆ ที่ยังรักกัน ทำให้มิอาจจะลืมเลือน ผมยังคงเฝ้ามอง เฝ้าติดตาม อาการของ ‘เขา’ โดยรักษาระยะห่างอย่างเคร่งครัด และดีใจทุกครั้งที่รู้ว่า ‘เขา’ คนนั้นเริ่มดีขึ้น และกำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ปรารถนาเพียงให้เขามีความสุข และไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอีก ผมก็พอใจแล้ว

 

เหมือนเฝ้ารอชื่นชม ‘พระจันทร์’ ที่สว่างไสวอยู่บนท้องฟ้า

 

ทั้งที่มิอาจฝืนทนมอง ดวงจันทร์ขณะที่กำลังเปล่งแสงแผ่นวลในยามค่ำคืนที่มืดมิดได้ มันเจ็บปวดจนเกินไป......

 

จึงทำได้เพียงแอบชื่นชม.......ร่ำลาแสงนวลในรุ่งอรุณ......

เลือกที่เอ่ยคำร่ำลาอาลัย…… และฝากความคิดถึงไปในสายลม………..

 

ผมรักษาสัญญา จึงไม่เคยไปพบเขาด้วยตัวเองเลยสักครั้ง เพื่อนสนิททั้งโปเต้และไทม์ กลับทำหน้าที่นั้นให้โดยไม่ต้องร้องขอ ซึ่งคุณพ่อเองก็ทำหน้าที่ส่งข่าวให้ทั้งสองคนเป็นระยะ ๆ เพราะรู้ว่าข่าวนั้นจะมาถึงใคร เรารักษาสัญญาที่มีต่อกัน

‘เขา’ อาการเขาดีขึ้นจนได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลมาเริ่มเข้าเรียน แม้ยังมีอาการปวดหัวอีกเป็นระยะ ๆ แต่ก็ดีขึ้นมากแล้ว ดูเหมือนโรงเรียนที่ย้ายไปเข้าเรียนใหม่ ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับ ‘เขา’ ซึ่งสามารถปรับตัวและเข้ากับเพื่อนได้ดี แม้จะต้องเรียนมัธยมปลายใหม่ตั้งแต่ต้นปีเลยก็ตาม ทำให้เขากลายมาเป็นรุ่นน้องพวกผมหนึ่งปี แต่นอกเหนือจากนั้น ‘เขา’ ยังเป็นคนเดิมทุก ๆ อย่าง

ยกเว้นแค่อย่างเดียวที่หายไป.....

 

ด้วยแรงปรารถนาที่จะพยายามฆ่าเวลาว่างที่มีเหลือทั้งหมด ผมจึงทุ่มเทแรงกายให้กับ การเรียน และกิจกรรมอย่างหนัก ซึ่งมันส่งผลดีต่อการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ด้วยคะแนนที่ค่อนข้างสูงจึงมีโอกาสเลือกเข้าเรียนได้หลาย ๆ มหาวิทยาลัย แต่ผมตัดสินใจไม่ยาก เมื่อโปเต้ ไทม์ และอ้นติดมหาวิทยาลัยเดียวกันในคณะ ‘สถาปัตยกรรมศาสตร์’

ชีวิตการเรียนมหาวิทยาลัยที่แวดล้อมไปด้วยเพื่อนสนิท ได้เรียนรู้ในสิ่งชอบ และได้ทำกิจกรรมที่รัก ทำให้ผมพอใจกับชีวิตช่วงนั้นมากพอสมควร แม้มันไม่ได้อยู่ในฝันดีอีกต่อไป แต่ก็เหมือนได้ออกมาจากฝันร้ายแล้ว โปเต้ ไทม์ และผมเลือกที่จะเข้าชมรมดนตรี และฟอร์มวงของเราอีกครั้ง ได้มาซ้อมดนตรีกันอย่างสนุกสนาน

แม้พวกเราจะต้องรับสมาชิกของวงใหม่ จากเพื่อนต่างคณะ รวมทั้ง ‘มือเบส’ ใหม่ด้วย แต่วงของเราได้ขึ้นเล่นในหลาย ๆ กิจกรรมทั้งของคณะ และของมหาลัย อีกทั้งเริ่มมีแฟนคลับมากพอสมควรที่คอยติดตามเป็นกำลังใจ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแรงใจที่ทำให้ชีวิตช่วงนั้น เริ่มมีชีวิตชีวามากขึ้น

เมื่อชีวิตการเรียนมหาวิทยาลัยปีแรกผ่านพ้น ก็ย่างเข้าสู่ปีที่สองที่เป็นช่วงฤดูกาลรับน้องวงของเราก็เตรียมความพร้อมเพื่อจะขึ้นไปเล่นคอนเสิร์ตวันรับน้องใหม่อีกครั้ง จนกระทั่งมีข่าว ๆ หนึ่งที่ผมไม่เคยให้ความสนใจ แต่รู้สึกได้ว่าน่าจะมีเรื่องลับลมคมในอะไรบางอย่าง

“รุ่ง ได้ข่าว ‘เดือน’ คณะวิดวะ หรือเปล่า” อ้นพูดขึ้นมาลอย ๆ ช่วงเรากำลังพักซ้อมวง แม้อ้นไม่ได้เข้ามาเล่นดนตรีด้วยกัน แต่ทำหน้าที่เหมือนผู้จัดการวงให้กับวงเรา ผมรู้ว่าเขายังมีความรู้สึกดี ๆ กับผมอยู่มาก แต่เขาก็รู้ดีว่าไม่มีทางเป็นไปได้

“มีอะไรเหรอ” เดือนคณะตัวเองผมยังไม่รู้จักเลย นอกจากเรียน เล่นดนตรี ก็อยู่ในโลกส่วนตัวใบเดิม แต่ดูเหมือนมีอะไรแปลก ๆ เพราะโปเต้กับไทม์ก็เหมือนจะรู้ แต่เพียงไม่พูดขึ้นมาเท่านั้น

“เปล่าหรอก เห็นว่าเป็นตัวเก็ง น่าจะได้เป็นเดือนมหาลัย” อ้นรีบพูดต่อ เหมือนพยายามกลบเกลื่อนอะไรบางอย่าง แต่เมื่อไม่พูด ผมก็ไม่ซักถามต่อ ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจนี่นะ ใครจะเป็นเดือนมหา’ลัย

“เออ ถ้าเป็นเรื่องดาวค่อยมาบอก แล้วกัน” ผมเอ่ยติดตลกออกไป แล้วไม่ได้สนใจอะไรอีก

จนในที่สุดก็รู้ว่าทำไมเพื่อน ๆ ถึงให้ความสนใจกับเดือนคณะวิศวะกันมากมาย หลังรันทรูช่วงบ่ายแล้ววงเราก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน และนัดกันอีกครั้งก่อนไปแสตนด์บายหลังเวที ในหอประชุมที่จัดกิจกรรม ซึ่งก่อนที่จะเริ่มคอนเสิร์ตวันรับเพื่อนใหม่มีการแข่งเชียร์ และการประกาศผลการตัดสินดาวและเดือนมหา’ลัย

ผมวางไม้กลองไว้ที่ตัก นั่งเล่นเกมส์ชิล ๆ รอเวลาให้สมาชิกในวงมาให้ครบ แต่แปลกตรงที่พวกเพื่อนสนิทของผมกลับดูร้อนรน

“เป็นอะไรอะ ไทม์ เดี๋ยวเบียร์ก็มา” ผมยังคงก้มหน้าเล่นเกมส์ แข่งเชียร์เสร็จแล้ว ก็ยังมีประกาศผลดาวเดือนนั่นอีก กว่าจะเดินโชว์ตัวก็ยังพอมีเวลา

แล้วบนเวทีก็เริ่มกิจกรรมประกาศผลการตัดสินดาวเดือน โดยมีดาวเดือนแต่ละคณะค่อย ๆ ขึ้นมาแนะนำตัวกันอีกครั้ง ในขณะที่ผมยังคงเล่นเกมส์ต่อไป

“ไปก่อนดีกว่าไป ไปรอหลังเวทีกัน” อ้นรีบไล่ทั้งที่เบียร์ยังไม่มา

“ไม่รอให้ครบก่อนล่ะ” ผมเล่นเกมส์เตะบอลยังไม่จบเลยแมทช์เลย

“เออ เออ ไปกันก่อนเถอะรุ่งไป” ปู่เต้เริ่มมาไล่อีกคน ผมจึงเริ่มสงสัยมันเป็นอะไรกัน จึงเงยหน้าขึ้นมองความลุกลี้ลุกลนของพวกมัน แล้วเมื่อเวทีประกาศชื่อเดือนคณะวิศวะ ก็ได้เข้าใจแจ่มแจ้ง

“นายศศิน ภัทรสกุล คณะวิศวกรรมศาสตร์”

แค่ได้ยินชื่อก็รู้ ผมปิดเกมส์แล้วเดินนำไปหลังเวทีโดยไม่ได้พูดอะไร จังหวะของหัวใจกลับมาเต้นผิดปกติอีกครั้ง เหมือนหายใจเข้าไปไม่เต็มปอด ไม่รู้ว่าอากาศมันขาด ๆ หาย ๆ ไปไหน เรามานั่งแสตนด์บายหลังเวทีรอให้การประกาศผลนั่นเสร็จ ทั้งอ้น ไทม์ และเต้ที่มายืนมุงผม

“เฮ้ย มามุงทำไม เดี๋ยวก็ไม่มีอากาศหายใจกันพอดี” ผมโวยวายก็อากาศที่หายใจเข้าไปได้ก็น้อยอยู่แล้ว ยังมายืนมุงแย่งอากาศกันอีก

“...................................................................” พวกมันยังเงียบ

“ไม่เป็นไรหรอก วันนี้ไม่เจอ พรุ่งนี้ก็เจอ โลกมันกลม ไม่เป็นอะไรหรอก” ผมไม่แน่ใจว่ากำลังปลอบคนอื่นหรือปลอบตัวเอง

 

‘เขา’ จำไม่ได้หรอก

เราก็คงผ่านกันไปเหมือนคนที่ไม่เคยรู้จักกัน.....ก็เท่านั้น

 

ในที่สุดก็เมื่อประกาศผลการตัดสินดาวเดือนมหาวิทยาลัย

 

น่าขำ...... ‘เขา’ ก็เป็นเดือนอยู่ดี

เดือนมหาลัย แต่ไม่ใช่ ‘เดือน’ ของผมอีกต่อไป

 

แล้วก็ถึงเวลาที่วงเราต้องขึ้นเล่นคอนเสิร์ต ผมพยายามรวบรวมสมาธิทั้ง ๆ ที่ยังหายใจไม่ทั่วท้อง จึงได้แต่หมุนไม้กลองทั้งสองเล่นแล้วเดินตามวงเพื่อขึ้นไปบนเวที วินาทีที่ทำให้หัวใจเกือบหยุดเต้นก็มาถึง เมื่อเดินสวนทางกับ ‘เดือน’ ดวงนั้น โชคดีที่ขายังคงพาร่างก้าวเดินอัตโนมัติ

เมื่อมานั่งที่กลองชุด จึงต้องหลับตาลง พยายามผ่อนลมหายใจให้กลับมาเป็นปกติ เพื่อให้หัวใจกลับมาเดินตามจังหวะชีวิตเหมือนเดิมอีกครั้ง เหมือนนักร้องนำจะแกล้งทำเป็นยังไม่พร้อม เพื่อดึงความสนใจทุกคนจากมือกลอง จนผมพยักหน้าให้ไทม์ เขาจึงอาการดีขึ้นทันตาเห็น

แม้จังหวะการเต้นของหัวใจยังไม่ปกติ แต่ด้วยการซ้อมที่ซ้อมมาอย่างหนักทำให้สามารถ ตีกลองได้อย่างอัตโนมัติ แล้วสมาธิก็ค่อย ๆ กลับมา หายใจได้ดีขึ้น ทุกอย่างกำลังเป็นไปได้ดี จึงค่อยกวาดตามองบรรยากาศโดยรอบห้องประชุม ทุกคนกำลังขยับไปตามจังหวะดนตรี เวลาทำให้คนอื่นมีความสุข ทำให้ผมมีความสุขมากยิ่งกว่า ผมจึงชอบดนตรี และเสียงเพลง

จนสะดุดหยุดสายตาคนที่ใครคนหนึ่งด้านหน้าเวที และสายตาของคน ๆ นั้นก็จ้องมองมาที่ผมเฉกเช่นเดียวกัน ชั่วแวบเดียวที่ยังไม่ทันตั้งตัวเผลอสบสายตาคู่นั้น ประสาทสัมผัสทั้งหมดที่มีในการควบคุมร่างกายก็หยุดลงอย่างฉับพลัน รู้ตัวอีกครั้งเสียงกลองก็หยุด ไม้กลองร่วงหลุดมือลงไปตอนไหนไม่รู้ ดีที่วงยังคงประคองกันเล่นต่อไปได้ ผมจึงบังคับตัวเองให้เก็บไม้กลองแล้วกลับมาให้จังหวะกับวงอีกครั้ง และตั้งมั่นว่าจะไม่มองไปทางด้านหน้าเวทีอีกแล้ว เพราะความรู้สึกยังบอกว่า ‘เขา’ ยังคงเฝ้ามองอยู่

แม้เสียงเรียกร้องภายในหัวใจ.....จะคร่ำครวญหาดวงตาคู่นั้นเหลือเกิน

 

ระยะเวลาสำหรับการทำใจของผมค่อนข้างสั้น เพราะ ‘เขา’ ไม่เคยเปลี่ยน เคยรุกมากอย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้น อีกไม่ถึงอาทิตย์เขาก็มาโผล่ที่ชมรมดนตรี ผมพยายามไม่คิดเข้าข้างตัวเอง อาจจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ เพราะ ‘เขา’ ไม่มีวี่แววจะจำเรื่องราวในอดีตได้

เพราะ...ถ้าจำได้จริงคนอย่าง ‘เขา’ ไม่มีวันจะปล่อยให้เราแยกจากกัน

แม้เพียงเสี้ยววินาที

คนที่เป็นกังวลมากกว่าผมคือกลุ่มเพื่อนสนิทกลุ่มเดิมที่จะคอยจับสังเกตระแวดระวัง ห้อมล้อมผมไว้ตลอดเวลา เราต่างรู้ว่า ‘เขา’ เป็นอย่างไร ไทม์ยังบ่นว่า ‘ผมน่ะเคยโดนถีบลอยทั้งคนทั้งเก้าอี้เลย ตอนรุ่งมาเรียนวันแรก จำไปจนวันตาย’ และในที่สุดคนที่เคยมีเรื่องกันกับ ‘เขา’ อย่าง ‘อ้น’ ก็เข้าไปตรวจเช็คความสงสัย ก่อนจะกลับมายืนยันว่าพวกเราต่างถูก ‘ลืม’ ด้วยกันทั้งหมด

 

หากอีกเพียงไม่นานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ทำให้รู้ว่าที่คิดเข้าข้างตัวเองไว้เป็นความจริง ไม่ใช่เพียงเรื่องที่คิดไปเอง ไม่ใช่เพียงเรื่องบังเอิญ แต่เป็นความจงใจ

เพราะแม้จะเพียรปิดหนทางทุก ๆ ช่องทางเพียงใด คนที่มีความพยายามอย่างมากเช่น ‘เขา’ ก็ยังหาเส้นทางเข้าถึงจนได้ แต่ครั้งนี้ยิ่งเหมือนตลกร้ายที่ทำให้หัวใจอ่อนแรง

เช้าวันนั้นผมงัวเงียฝืนลุกมาจากที่นอน เพราะเมื่อคืนกว่าที่จะเลิกซ้อมดนตรีก็ดึกมากแล้ว ผมรีบไปหยิบของออกจากตู้ล็อกเกอร์ ก่อนที่จะขึ้นเรียน แต่สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นดอกไม้แห่งความหลัง ดอกเดียวดอกนั้น “ดอกลิลลี่” สีขาวผูกโบว์สีแดง

แล้วคำบางคำมันก็ผุดขึ้นมาในหัว

‘รุ่งเป็นความรักครั้งแรกของเขน.........รุ่งเหมือน ‘ดอกลิลลี่’ ที่อบอุ่น นุ่มนวล อ่อนหวาน มีเสน่ห์ที่สุดสำหรับเขน’

 

‘เขา’ คนนั้นสินะ เริ่มแล้ว ผมไม่กล้าหันไปมองหาเจ้าของ ‘ดอกลิลลี่’ ดอกนี้ เมื่อใจตระหนักรู้อยู่เสมอว่าคือใคร แต่หัวใจช่างปวดร้าว

 

มันเกิดอะไรขึ้น ไม่น่าเป็นไปได้

ทุกอย่างเปลี่ยน.......บางอย่างกลับไม่เคยเปลี่ยน

 

วันนั้นเหตุการณ์จู่โจมรวดเร็วมากกว่าที่ผมจะตั้งตัวรับไหว คิดได้เพียงแต่ว่าต้องไปจาก ที่นั่น จากที่มหาวิทยาลัยให้เร็วที่สุด รู้ตัวอีกครั้งก็อยู่ที่บ้านแล้ว เสียงข้างในหัวใจสู้กันอย่างกึกก้อง เสียงแรกให้ทิ้ง ‘ดอกลิลลี่’ นี่ไปซะ จะได้คลายความเจ็บปวดลง แต่เสียง ที่สองกลับชนะขาดลอย

ผมยอม ขอเพียง ‘เก็บ’ ไว้

‘เก็บ’ ไว้อีกครั้งจะได้ไหม.......แม้จะเจ็บปวดเพียงใดก็ตาม

 

โชคยังเข้าข้างผมอยู่บ้างเพราะนอกจาก ‘ดอกลิลลี่’ ที่ถูกส่งมาทุกวัน ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ รุกคืบมากกว่านี้ อาจเป็นด้วย ‘เดือน’ มหา’ลัยติดภารกิจยุ่งมากตลอดปี แถมมีแฟนคลับรายล้อม

แค่เพียงโอกาสที่จะได้พบปะพูดคุยกันตรง ๆ ยังเหมือนจะไม่มีทางเป็นไปได้ ผมจึงแอบตามใจตัวเองปล่อยให้เวลาในการเก็บ ‘ดอกลิลลี่’ ไว้กับตัวทอดยาวต่อมาจนจบเทอมแรก

กระทั่งเส้นทางเดินของชีวิตมีทางแยกเวียนวนกลับมาให้ต้องเลือกอีกครั้ง ผมยังตัดสินใจไม่ได้ในครั้งแรกว่าจะรับทุนเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษดีหรือไม่ เพราะเคยทำพลาดมาแล้วครั้งหนึ่งในอดีต

แม้จะนานมาแล้ว แต่ก็ร้ายแรงมหันต์ในความรู้สึก ทำให้เกิดอาการการลังเลใจกับทางที่ต้องเลือก หากแต่เหตุการณ์ก็กลับพลิกผันอีกครั้ง

เมื่อ ‘เขา’ คนนั้นกำลังเดินหน้าเต็มตัว เกินการสกัดกั้นใด ๆ ในช่วงหลังนอกจาก ‘ดอกลิลลี่’ ที่ผมเก็บติดตัวไว้ตลอดวัน ทุก ๆ วันยังมีขนม และผลไม้ที่ผมชอบถูกส่งมากับเจ้าดอกลิลลี่ด้วย ซึ่งล้วนแต่ค่อย ๆ สร้างความกังวลใจให้กับผมมากขึ้นเรื่อย ๆ

แม้จะปราศจากซึ่งความเคลือบแคลงหรือสงสัยถึงแหล่งที่มาว่ามาจากที่ใด

ถ้ามากับ ‘ดอกลิลลี่’ ก็มีเพียงคนเดียว

แต่ ‘รู้’ ได้อย่างไร.....ไม่มีทาง ‘จำ’ ได้

 

ถ้า ‘จำ’ ไม่ได้ นั่นยิ่งหมายความว่าต้องใช้ความพยายามใหม่อีกครั้ง ในการสืบเสาะจน ‘รู้’ว่าผมชอบหรือไม่ชอบอะไร และที่ร้ายที่สุดคือการ์ดพวกนั้นที่ใช้ส่งข้อความต่าง ๆ มากับ ‘ดอกลิลลี่’ ถูกเปลี่ยนเป็นรูปของคนรับ ‘ดอกลิลลี่’ แม้จะเห็นชัดเจนว่าเครดิตในภาพส่วนใหญ่มาจากแฟนคลับของผมเอง แต่ก็แสดงชัดถึงความตั้งใจที่จะรุกหนักมากยิ่งขึ้น

ใจหนึ่งสร้างความประทับใจอันสุดแสน

 

บ่อยครั้งหรือ...ที่ใครสักคนจะตกหลุมรักคนคนเดิมได้ถึงสองครั้ง...สองครา

 

ใจหนึ่งสร้างความวิตกกังวลอันสุดทรมาน

แล้วถ้าผมเป็นต้นเหตุทำให้..... ‘เดือน’ ดวงนั้นกลับสู่ข้างแรมอีกครั้ง

 

ไม่กล้าแม้จะคิดเสี่ยง......

 

จากความวิตกกังวลที่ค่อย ๆ สะสม ทีละเล็กทีละน้อยจนก่อตัวเป็นความเครียด ผสมรวมกับระยะเวลาที่บีบบังคับเข้ามาให้รีบตัดสินใจทางเลือกใหม่ที่คล้ายคลึงกับสิ่งที่เคยตัดสินใจผิดพลั้งมาแล้ว ส่งผลต่อร่างกายทำให้เกิดอาการไม่อยากกินอาหารขึ้นมาเฉย ๆ นานเข้าโรคกระเพาะที่ไม่เคยพบพานก็ถามหา จนอาการทรุดหนักต้องเข้าโรงพยาบาล

“ช่วงนี้มีเรื่องเครียด ๆ บ้างหรือเปล่าครับ” คุณหมอถามต่อหน้าหหม่าม๊า

“เปล่าครับ แค่ไม่ค่อยอยากอาหาร” ผมตอบเลี่ยงความจริง

 

ตอนนี้ที่บ้านยังไม่รู้เรื่องที่เรากลับมาพบกันอีกครั้ง ผมไม่อยากทำให้ครอบครัวต้องเป็นห่วงอีก กว่าเหตุการณ์คราวที่แล้วจะผ่านไปได้ก็สร้างความยากลำบากให้เกินพอแล้ว

“อย่างนั้นคงต้องพักผ่อนให้มาก ๆ อาจจะเครียดโดยที่ตัวเองไม่ทราบก็ได้ แล้วต้องพยายามทานอาหารให้เป็นเวลา น้ำย่อยจะได้ไม่ไปกัดให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารอีก และระยะนี้ต้องทานอาหารย่อยง่าย ๆ รสไม่จัด งดน้ำอัดลมด้วยนะครับ คงต้องดูแลใส่ใจเรื่องการกินมากขึ้น”

“ครับ” ผมได้แต่รับอย่างสลด ๆ คงโดนม๊าจับเข้าคอร์สการกินใหม่แน่นอน

“พักผ่อนอีกวัน สองวัน น่าจะกลับบ้านได้” คุณหมอบอกก่อนออกจากห้องไป

 

ผมกินข้าวต้มเสร็จก็ถูกม๊าบังคับให้กินยาต่อ จริง ๆ แล้วผมไม่ได้กินยายากมาก ๆ เหมือนตอนเด็กแล้วล่ะครับ แต่ม๊าก็เป็นห่วงอยู่ดี สั่งแล้วสั่งอีกให้ดูแลตัวเองให้ดีก่อนที่จะออกไปทำงาน ช่วงเย็นน้อง ๆ เรียนเสร็จก็จะเข้ามาเฝ้าแทน ช่วงบ่ายผมจึงต้องนอนอยู่คนเดียวในห้องพิเศษ

ความจริงน่าจะหลับสนิทตลอดบ่ายเพราะฤทธิ์ยาคลายเครียด แต่กินยาติดต่อกันมาหลายวันมันก็ทำให้กลืนไม่ค่อยลง (จึงแอบเก็บเอาไว้บ้าง) โดยเฉพาะยาคลายเครียดนั่น ก็ผมนอนจนเมื่อยตัวจะแย่อยู่แล้ว เลยนั่งเล่นเกมส์เพลิน ๆ เมื่อมีเสียงเปิดประตูห้อง คุณพยาบาลเข้ามาตรวจดูอาการช่วงบ่าย จึงทำเป็นแกล้งหลับจะได้ไม่มีใครรู้เรื่องว่าไม่ได้กินยา

เมื่อคุณพยาบาลเดินออกไปจากห้อง ผมก็เริ่มเปิดเกมส์เตรียมจะกลับมาเล่นอีกครั้ง แต่เล่นได้ไม่นานเสียงประตูห้องก็เปิดอีกครั้ง ผมจึงแกล้งหลับต่อ

แต่.....คุณพยาบาล เพิ่งออกไปเมื่อสักครู่ แล้วใครมาอีกล่ะ เสียงฝีเท้าเบา ๆ กับกลิ่นที่คุ้นเคยจาง ๆ ที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่า ‘ดอกลิลลี่’ ผมจำได้ทันที เพราะเก็บมันไว้ติดตัวมาเกือบครบปี

‘แต่.....ใครล่ะ’ ห้องทั้งห้องเงียบกริบ แม้ยังไม่ได้คำตอบแต่ก็ไม่กล้าลืมตาขึ้นมองคนที่ย่องเข้ามาใหม่ สัมผัสได้แต่เพียงกลิ่นหอมเย็น ๆ กับเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นระรัว แล้วจึงได้ยินเสียงกรอบแกรบของช่อดอกไม้ข้าง ๆ เตียง คนที่เข้ามาน่าจะวางทิ้งไว้

ใครนะ ใช่คนที่คิดหรือเปล่า ใช่ ‘เขา’ จริง ๆ หรือเปล่า

 

“หายไวไวนะครับ รุ่ง” ไม่ต้องลืมตาก็ ‘รู้’ ว่าใคร เสียงฝีเท้าค่อยห่างออกไปพร้อมเสียงปิดประตูห้อง มือของผมกำมือถือที่อยู่ภายใต้ผ้าห่มแน่น น้ำตารินไหลออกจากดวงตาที่ยังไม่กล้าเปิดลืมขึ้น ความตื้นตัน และความหวาดกลัวเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน

ผม ‘รู้’ จัก และ ‘รัก’ เจ้าของเสียงนั่นตลอดมา ‘เขา’ สินะ.... เป็น ‘เขา’ จริง ๆ

ในยามเจ็บป่วยคนทุกคนจะรู้สึกอ่อนแอมากกว่าที่เคยเป็น และล้วนแต่โหยหากำลังใจจากคนรัก และคนรักของผม ‘เขา’ มา

คำพูดเพียงประโยคเดียว ‘หายไวไวนะครับ รุ่ง’

เป็นคำตอบที่พังทลายความหวังของผมตลอดมา....

 

เขา ‘ลืม’ สิ้นแล้วความหลัง และเหมือนตอกย้ำความเจ็บปวดชอกช้ำในหัวใจ

‘รุ่งจ๋า....................’ ที่สลักลึกอยู่ในความทรงจำของผมเสมอ.....

 

แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่เคยรู้ว่า...ตัวเองเป็น ‘คนรัก’ ของผม

แต่ ‘ผม’ เองกลับกลายเป็น...ความรักครั้งใหม่ของเขา

 

และไม่ว่า ‘เขา’ จะรู้ได้อย่างไร....ว่าผมอยู่ที่นี่

 

ถ้า ‘เขา’ มาได้แสดงว่าระยะห่างระหว่าง ‘เรา’ ไม่น่าจะเป็นอุปสรรคอะไรอีกต่อไปแล้ว เพราะ คำพูดเพียงประโยคเดียวนั่น ทำเอาหัวใจของผมละลายลงอย่างไม่เป็นท่า

ทำให้รู้ว่าตลอดมา ผมเองยังไม่เข้มแข็งพอ ยังไม่มีเกราะที่จะป้องกันหัวใจของตัวเองได้ ใช้แค่เพียงระยะห่างระหว่าง ‘เรา’ ปิดช่องทางการเข้าถึงของ ‘เขา’ คนนั้น

ทำให้รับรู้ว่าอีกเพียงไม่นาน...ผมเองต้องทำผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับผู้ชายอีกคนแน่นอน

แล้วถ้าย้อนกลับไป.... แล้วถ้า ‘เขา’ ต้องกลับไปเจ็บปวดอีก

ผมจะทนแบกรับ.....ความเจ็บปวดนั่นเป็น ‘ครั้งที่สอง’ ได้อย่างไร

 

ทั้งที่ตอนนี้ ‘เขา’ กำลังมีความสุขสมบูรณ์ดีทุกอย่างแล้ว

ผมต้องไม่เห็นแก่ความสุขของตัวเอง.......

 

ไม่ยอมทำให้คนที่รักสุดใจ ต้องเจ็บปวดเป็นครั้งที่สอง

 

จึงตัดสินใจหนี

 

หนีจาก ‘เขา’

หนีจาก......หัวใจของตัวเอง

เพื่อให้ ‘พระจันทร์’ ทอแสงงดงามดังเดิม





#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ april

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +239/-12
Re: JKL THE SERIES: KEEP: MOON 19.02.2018
«ตอบ #107 เมื่อ19-02-2018 10:58:46 »

รุ่งคิดมากจัง

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: JKL THE SERIES: KEEP: MOON 19.02.2018
«ตอบ #108 เมื่อ19-02-2018 18:18:48 »

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: KEEP: ONCE IN A BLUE MOON 20.02.2018
«ตอบ #109 เมื่อ20-02-2018 08:31:23 »

Chapter XXII

Once in the blue moon



 

ว่ากันว่า…

น้อยคนนักที่จะได้ประสพพบเห็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์แห่งค่ำคืน ‘พระจันทร์สีน้ำเงิน’ นับว่าเป็นค่ำคืนที่มีความพิเศษสุด และมักสรรค์สร้างปาฏิหาริย์ที่รอคอย

 

นานเท่าไหร่แล้ว....ที่ไม่อาจเฝ้ามองพระจันทร์ในยามค่ำคืนได้เช่นนี้ คงเพราะเหตุการณ์ความหลัง และบาดแผลที่ฝังลึกในอดีต ทั้งที่พระจันทร์ก็ยังคงเป็นพระจันทร์ดวงเดียว ดวงเดิม เสมอมา

พระจันทร์ที่แสนรัก และภักดี

 

วันนี้ ‘ข้อความ’ ส่งเข้านอนที่ผมเฝ้า ‘รอ’ คอยยังไม่มา

ไม่ลำบากอะไรที่ผมจะเป็นฝ่ายเฝ้า ‘รอ’ บ้าง

 

คนบางคนที่ผ่านเข้ามา ทำให้มุมมองในชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไป และมักเป็น ‘เขา’ เสมอที่เติมเต็มมุมมองพวกนี้ให้ผม ผมยอมรับว่ายังไม่มั่นใจนักกับสิ่งที่ตัดสินใจลงไป

 

แต่ถ้าหาก... เขาไม่เจ็บปวดอีก

ผมยังมีสิทธิ์กลับมา ณ จุดเดิมได้ไหม

 

ยังคงสับสน แต่...

อย่างน้อยก็ทำให้วันนี้ผมกล้ามองพระจันทร์ได้เต็มตา เต็มหัวใจอีกครั้ง

อย่างน้อยความรู้สึกอ้างว้าง เดียวดาย ที่มีตลอดมาก็ดูเบาบางลง

อย่างน้อยลมหายใจทุก ๆ ลมหายใจกลับมามีความหมายอีกครั้ง

 

เพียงแค่... ได้เฝ้า ‘รอ’ ใครบางคน

 

‘รุ่งนอนหรือยังนะ’

วันนี้ผมเลิกงานค่อนข้างดึก โปรเจคใหม่กำลังเริ่มต้นคราวนี้เป็นโครงการก่อสร้างศูนย์การค้าในเมืองหลวง ยังแอบรอลุ้นทีมที่จะเข้ามาออกแบบศูนย์การค้านี้

‘รุ่งจะกลับมารับงานนี้ทันไหม’ ทั้งที่รู้ว่าโอกาสค่อนข้างน้อยที่จะได้ร่วมงานกันอีกครั้ง แค่เพียงไม่อยากให้เราต้องเดินสวนทางกันอย่างนี้ตลอดไป

แต่ระยะทาง...ไม่เคยทำให้ผมย่อท้อ ไม่ว่าอย่างไรผมต้องรักษาโอกาสครั้งนี้ไว้ให้ดีที่สุด โอกาสแห่งการ ‘รอ’ คอยอีกครั้ง

 

ผมกำลังจะส่งข้อความที่เคยส่งให้ประจำทุก ๆ วัน

ก่อนที่จะคิดขึ้นมาได้ ‘คนใจดี’ ที่บอกว่าจะโทรมา ยังไม่เคยมีวี่แววว่าจะโทรมาหากันบ้าง ดังนั้นถ้าผมโทรไปหาก่อนจะได้ไหม ถ้าเจอ ‘คนใจดี’ ก็น่าจะรับสาย

แต่ถึงจะเจอ ‘คนใจร้าย’ ผมก็จะลองโทรอยู่ดี

 

หวังแค่

เพียง...ได้ส่งเศษส่วนหนึ่งของความห่วงใยที่มี

เพียง...ได้กล่าวราตรีสวัสดิ์ก่อนเข้าสู่ห้วงนิทรา

เพียง...ได้ให้รู้ว่า................

 

หัวใจของผมเริ่มเต้นผิดปกติตั้งแต่เห็นหมายเลขที่โทรเข้า

“คิดถึงรุ่ง.........” จนเกือบหยุดเต้นเมื่อได้ยินถ้อยคำแรก ใจคอไม่คิดจะทักทายกันก่อนเลยหรือไง

“แน่ใจว่า...ไม่ได้โทรผิดเบอร์” ผมจึงถามกลับ

“มั่นใจว่าถึงกดเบอร์ผิด... ความคิดถึงของเขนก็จะส่งไปหารุ่งอยู่ดี” คนชัดเจน ถึงอย่างไรก็ชัดเจน

“‘คนใจดี’ ไม่เห็นโทรมาหากันบ้าง เลยโทรมาก่อน” ที่แท้จะโทรมาทวงสัญญาจาก ‘คนใจดี’ นี่เอง

“‘คนใจดี’ ไม่ค่อยว่างเลย อยู่แต่ ‘คนใจร้าย’ ที่รับสายตอนนี้ แล้วตกลงคิดถึงคนไหน” จึงแกล้งถามกลับไป

“ก็ถ้า ‘รุ่ง’ เป็นคนไหนก็คิดถึงคนนั้น” ไม่น่าเลย ไม่ว่ายังไงผมก็ไม่เคยตาม ‘เขา’ คนนี้ทัน

“..................” นอกจากหัวใจที่เต้นแรง ตอนนี้ยังรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า

“อย่าเขินสิ เขนพูดยังไม่เขินเลย”

“เฮ้อ...............” ตั้งใจถอนหายใจให้ได้ยิน ก่อนจะกลับไปต่อกรกันอีกสักตั้ง

“รู้ได้ยังไงว่าเขิน”

“ก็รุ่งจะหน้าแดงเวลาเขิน”

“แล้วเห็นหน้าหรือไง”

“ถ้ารุ่ง ติดกล้องถ่ายทอดสด 24 ชั่วโมงได้ ทำไมเขนทำไม่ได้” หึ....เวอร์แล้ว

“เป็นยังไงบ้าง ยังปวดหัวอยู่ไหม” ในเมื่อแพ้ทาง จึงชวนเปลี่ยนเรื่อง

“มีบ้าง แต่คิดถึงรุ่งแล้วจะไม่ปวด” แต่บางคนก็ยังวกเข้าสู่ประเด็นเดิม

“เขนห้ามลืมกินยานะ” ผมไม่อยากเห็น ‘เขา’ ต้องเจ็บปวดอีก แม้ว่าจะต้องฝังความทรงจำนั้นไว้ลึกเท่าใดก็ตาม

“ไม่อยากให้ลืม รุ่งก็ต้องโทรมาเตือนสิ”

“โตแล้ว...ไม่ใช่เหมียวสักหน่อยต้องให้มีคนเตือน”

“ก็อยากได้ยินเสียงหวาน ๆ”

“....................................” หมดคำพูด ถ้าเหมียวตัวใหญ่จะอ้อนซะขนาดนี้

“เขินอีกละสิ”

“.......................................”

“ไม่แกล้งก็ได้ คุยกับเขนนะ”

“อืม” ผมตอบได้แค่นั้น

“อืม นี่คือเขินใช่ไหม”

“จะคุยกันดีดีไหม” ไหนว่าจะคุย กลับพาวกกลับเรื่องเดิม

“คุยครับคุย รุ่งจะกลับกรุงเทพฯ เมื่อไหร่”

“น่าจะหลังปีใหม่นะ” คงต้องรอให้ศูนย์การค้าเปิดสักพัก ถึงจะกลับได้ตามกำหนด

“อ้าวแล้วปีใหม่ เขนจะเค้าท์ดาวน์กับใคร”

“แล้วปีที่แล้วเค้าท์ดาวน์กับใคร”

“ก็คนเดียว”

“งั้นปีนี้...................” ผมจึงตั้งใจแกล้งคืนบ้าง

“รุ่งจะกลับมาเค้าท์ดาวน์กับเขนเหรอ”

“เปล่า จะนัดเฟรมให้”

“เอาเด็กร้ายนั่นมาทำไม” ได้ผล คนปลายสายเริ่มโวยวาย

“ก็เขนหาคนเค้าท์ดาวน์ด้วย รุ่งก็หาให้ไง”

“..........................................................”

“รุ่งไม่กลับมาจริงๆเหรอ....” เสียงทางปลายสายเริ่มเศร้า

“ไม่คิดถึงเขนบ้างเหรอ.......” น้ำแข็งที่เกาะอยู่รอบ ๆ หัวใจใกล้จะละลาย

“ก็งานยังไม่เสร็จนะเขน” ผมจึงได้แต่ปลอบไป

“ตอบไม่ตรงคำถาม เขนถามว่าไม่คิดถึงเขนบ้างเหรอ...” เขาคาดคั้น คำที่ติดอยู่ในหัวใจ

“เอ่อ....ก็คิดคิด อยู่เหมือนกัน”

“คิดคิด กับ คิดถึงไม่เหมือนกัน”

“.............................................” ก็รู้ว่าไม่เหมือนกัน แต่....

“แล้วจะให้พูดยังไง”

“ก็พูดจากความรู้สึกสิ ไม่ได้บังคับ”

“.............................................”

“ว่าไงอะ” นี่ไม่ได้บังคับเลยใช่ไหมเขน

“คิดถึงเขนบ้างไหม........” เมื่อคนถามเริ่มทอดเสียง คนตอบจึงเริ่มจะจนใจตัวเอง

“อืม”

“อืม คืออะไร อืมคือเขินใช่ไหม”

“เฮ้อ......................................” ถอนหายใจอีกครั้ง

“ก็รุ่งบอกเมื่อกี๊” ได้ข่าวว่าพูดเอง เออเองทั้งหมด

“.........................................” เมื่อลูกแกะที่กำลังถูกไล่ต้อนจนจนมุม จึงกลั้นใจตอบไป

“อืม ก็คือ... คิดถึงไง”

“งั้นต่อไปรุ่งพูด ‘อืม’ ก็แปลว่าคิดถึงเขนทุกครั้งใช่ไหม” ยังไม่ยอมจบ

“จะนอนแล้ว ไม่คุยด้วยแล้ว” คำบางคำในหัวใจ กับคนบางคนที่กดเก็บไว้มาเนิ่นนานมันจึงยาก ที่จะเอื้อนเอ่ยออกไป

“รุ่ง.....อย่าเพิ่งวางสายนะไม่แกล้งแล้ว”

“...................................”

 

แม้จะใจแข็งเพียงใด

แม้หัวใจจะถูกเกาะกุมด้วยน้ำแข็งมายาวนานเพียงใด

แต่ก็พ่ายแพ้ต่อความจริงจัง จริงใจของคนอีกคน เสมอมา

 

“เขน คิดถึง รุ่ง” ผมเอ่ยย้ำอีกครั้ง

“..................................” สิ่งที่ได้ตอบกลับมาเพียงความเงียบ ไม่ว่าอย่างไรก็ละลายภูเขาน้ำแข็งไม่ได้สินะ

“แค่อยากบอก ให้รุ่ง ‘รู้’ ” ผมขอแค่เท่านั้นจริง ๆ

“........... รู้...........” คำเพียงคำเดียว ที่ทำเอาแทบหยุดหายใจ

“รุ่งจ๋า...........................” เหมือนภูเขาน้ำแข็งกำลังถล่ม ไอเย็นฟุ้งกระจายปกคลุมไปทั่วเนื้อหัวใจ

“คิดถึงเหมือนกัน รอนะ”

“จะรอ.......รอรุ่งคนเดียวเสมอ” ผมตอบกลับไปทั้งที่สมองหยุดทำงาน หัวใจเท่านั้นที่เป็นผู้ตอบอย่างแท้จริง

“ขอบคุณมากจริง ๆ เขน”

“อยากให้ ‘รู้’ เหมือนกันว่า..........”

“รุ่ง.... ก็รอเขน........ตลอดมาเหมือนกัน”

“เป็นแค่เขนคนเดียว ตลอดมา และเสมอไป”

“รุ่ง.......หมายความว่าอะไร” ผมแปลความหมายของประโยคพวกนั้นไม่ออก

“.............................................”

“ไว้พบกัน แล้วจะเล่าให้ฟัง” ผมกำลังโดนตัดบท

“รุ่ง.............” มันคืออะไร

“นอนได้แล้วนะ รุ่งก็จะนอนแล้ว” ไม่ยอมหรอกมันคืออะไร หัวใจเหมือนรับรู้ แต่สมองยังคงสงสัย

“เขนอยากรู้...ไม่บอกจริง ๆ เหรอ”

“หรือว่าไม่อยากพบรุ่ง” เล่นไม้นี้ ก็จบกัน

 

ผมยอม ยอมคนคนนี้ แค่เพียงคนเดียว

 

ผมกำลังนั่งชม... ‘แสงจันทร์’ ตรงที่เดิม ที่คืนนั้นเราเคยนั่งอยู่ข้างเคียงกัน

“งั้น.....วันนี้เขนไม่บอกราตรีสวัสดิ์นะ เขนจะไปรอรุ่งในฝัน” ผมเฝ้าฟังเพียงเสียงเบา ๆ ของ ‘พระจันทร์’ ที่กำลังขับกล่อม

“....ถ้าอย่างนั้น ขอให้เขนฝันดีนะ”

“แน่นอนว่า.....จะเป็นอย่างนั้นเสมอ ถ้ามีรุ่ง.....จะเป็นฝันดีสำหรับเขนเสมอ”

“งั้นก็....พบกันในฝัน รุ่งจะตามไป”

“เขนจะรอ”

“รุ่ง รู้”

 

ถ้าเพียงแค่ ‘ความทรงจำ’ มันอาจหมายความว่าสามารถที่จะ ‘ลืมเลือน’ ได้

แต่ถ้า ‘รู้’ แปลว่า... ไม่ว่าอย่างไร แม้อะไรจะลืมเลือนไปหรือไม่

 

แต่เรา ‘รู้’ ข้างในใจ...ตลอดมาและเสมอไป

ในหัวใจมีได้......เพียงคนคนเดียว

เพราะ ฉันมีเพียงเธอ





#JKLTHESERIES

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: JKL THE SERIES: KEEP: ONCE IN A BLUE MOON 20.02.2018
« ตอบ #109 เมื่อ: 20-02-2018 08:31:23 »





ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: KEEP: OPENING (ENDING OF KEEP) 21.02.2018
«ตอบ #110 เมื่อ21-02-2018 09:48:19 »

Chapter XXIII

Opening

 

วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ผมเลือกจะ ‘เก็บ’ เรื่องราวความหลัง ความทรงจำ ความผูกพัน ความรัก และความเจ็บปวดในครั้งอดีต

ซึ่งแม้ว่าผลของการตัดสินใจครั้งนี้.... จะเป็นเช่นไรก็ตาม

ผมก็ไม่อาจทานทนกับเสียงร่ำร้องภายในหัวใจได้อีกแล้ว

 

ก่อนที่จะเริ่มต้นเดินทางสู่เส้นทางใหม่ที่ตัดสินใจเลือกแล้ว ผมได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจาก ‘เขา’ เขามาทวงสัญญาที่ผมให้ไว้ตั้งแต่หนึ่งปีก่อน ที่จังหวัดเชียงราย

‘วันเด็กปีหน้า เขนจะเขียนบ้าง Wish List บ้างอะ’

‘แล้วจะส่ง Wish List ของเขนให้รุ่ง รุ่งต้องหาของขวัญให้เขนนะ’

‘อืม อะไรนะ’

‘รุ่งรับปากแล้ว เขนคิดก่อนอยากได้อะไร’

‘ถ้าเป็นรุ่ง รุ่งอยากได้อะไร ถ้าต้องเขียน Wish List’

'อยากนั่งรถไฟ'

ตอนนั้นผมตอบเพียงสิ่งที่ต้องการ และเลือก “เก็บ” สิ่งที่ปรารถนาแท้จริงไว้ข้างในหัวใจ เพราะคิดเสมอว่าสิ่งที่ปรารถนาที่สุด ไม่มีทางหวนมาอีก และมันไม่มีทางเป็นจริงได้

แต่เพราะ ‘เขา’ เขาคนนั้น คนเดียวที่ทำให้ผม ‘ยอม’

 

จดหมายในซองที่ได้รับจาก ‘เขา’ มีกระดาษสามแผ่นบรรจุอยู่ สองแผ่นแรกเป็น Wish list สอบถามสิ่งที่ปรารถนา แผ่นแรกยังคงว่างเปล่า แต่ลงชื่อไว้ชัด ‘รุ่ง’ เขาอยากรู้ความปรารถนาของผมอีกครั้ง แผ่นที่สองเป็นของ ‘เขน’ เขาเขียนความปรารถนาของเขาไว้ เพื่อให้ผมหาของขวัญให้

‘ชมพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า ที่เดิม’

 

‘หัวใจ’ ทั้งหัวใจไม่เหลือแม้ร่องรอยของไอน้ำแข็ง ทั้ง ๆ ที่เคยถูกแช่เย็นและถูกฝังกลบ ลึกลงในความเย็นชามาเนิ่นนาน

นี่หรือ....ความปรารถนาของ ‘เขา’ ผมยิ้มให้กับซองจดหมายนั่นทั้งน้ำตา

 

ยิ้มให้กับ.....ความเข้าใจผิดของ ‘เขา’ เรื่องพระอาทิตย์

ยิ้มให้กับ.....ความปรารถนาของ ‘เขา’ ที่ต้องการทำให้ความปรารถนาของผมให้เป็นจริง

และน้ำตาที่ให้กับ.....หัวใจของตัวผมเองที่ ‘ยอม’ แล้ว ‘ยอม’ ทุกอย่าง

 

แต่...ผมไม่ลืมที่จะทำตามความตั้งใจเดิม

 

ก่อนตัดสินใจผมไปขอพบและขอยกเลิกสัญญาที่ให้ไว้กับคุณพ่อ เราไม่ได้พบกันนานนับสิบปี แต่ท่านก็ยังให้ความรัก ความเมตตาผมดังเดิม ท่านเหมือนจะพอทราบอะไรอะไรมาบ้าง แต่ไม่ได้คาดคิดว่าจะเป็นผมอีกครั้ง เราทั้งสองคนต่าง ‘รู้’ ว่าเรา ‘รัก’ คนคนเดียวกัน จึงเชื่อใจและเคารพในการตัดสินใจของกันและกัน และได้ ‘ปลดปล่อย’ คำมั่นที่เคยให้ไว้กันเมื่อครั้งอดีต

 

กระดาษใบสุดท้ายในซองจดหมายนั่น

 

ก็คือ ตั๋วเครื่องบินสู่ท่าอากาศยานจังหวัดลำปาง ที่ผมกำลังจะเดินทางถึง

 

 

บ้านพักหลังเดิมยังคงว่างเปล่า ผมคิดว่าผมมาถึงก่อนในตอนแรก เพราะผมนัดรุ่งไว้ในตอนรุ่งสาง แต่ผิดคาดเมื่อพบกระเป๋าเป้สีแดงใบนั้นที่รู้ทันทีว่าเป็นของใครวางอยู่ที่เตียงเดิมของรุ่ง

‘มาตอนไหน ทำไมไม่โทรหา แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน’ คำถามมากมายกำลังผุดในหัว ก่อนที่จะรีบโทรถาม กลับพบข้อความที่เพิ่งส่งมาถึง

‘พบกันสามทุ่ม ที่เดิม’

พยายามติดต่อกลับไปก็ไม่รับสาย ‘ทำไมต้องเป็นสามทุ่ม ก็จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นไม่ใช่เหรอรุ่ง’ หรือผมเขียนอะไรใน Wish List ผิด ตอนนี้สองทุ่มห้าสิบสองนาทีแล้ว ผมจึงรีบรุดไป ที่จุดชมวิวนั่น

 

“รุ่งจ๋า.................” เมื่อมาถึงที่ก็พบรุ่งที่นั่งรออยู่ ณ จุดเดิม

“มาช้านะเขน สามทุ่มกว่าแล้ว” ตอบโดยไม่หันกลับไปมองคนถามที่กำลังมาทรุดตัวนั่งคุกเข่าลงข้าง ๆ แล้วฉวยกุมมือทั้งสองของคนที่นั่งอยู่ก่อนมาอย่างเร็ว

“มาถึงตอนไหน แล้วทำไมไม่บอกเขน ทานอะไรหรือยังครับ”

“ให้ตอบคำถามไหนก่อนเหรอ” ใบหน้าหวานจึงค่อย ๆ คลี่ยิ้มขำคนตัวโต

“เขนเป็นห่วง รุ่งไม่รับโทรศัพท์” แมวตัวใหญ่เริ่มอ้อน

“ก็รุ่ง ‘รู้’ ว่าเดี๋ยวเขนจะตามมา แล้วก็เจอกันแล้วนี่ไง” เพราะตลอดมาไม่รู้ว่าเรื่องบังเอิญหรือพรหมลิขิต คนตัวโตมักจะหาคนตัวเล็กพบเสมอ

“รุ่ง...รีบออกมาทำไม ไม่รอให้ใกล้เช้าก่อน มาตอนนี้กว่าพระอาทิตย์จะขึ้นนั่งรอ จนหลับกันพอดี กลับกันก่อนไหม”

“......ใครบอกเขนว่ารุ่งมารอพระอาทิตย์ รุ่งมาดูพระจันทร์ต่างหาก.....นั่นไง” คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นยิ้มให้กับพระจันทร์ที่ทอแสงกระจ่างอยู่เบื้องหน้า แสงจันทร์ผ่องนวลจับต้องใบหน้าอ่อนหวาน ก่อนที่จะเอ่ยต่อ

“เขนคิดไปเองหรอกว่ารุ่งชอบดวงอาทิตย์ รุ่ง.......หลงรัก ‘พระจันทร์’ ต่างหาก”

“แต่ไม่กล้าเฝ้ามองตรง ๆ อย่างนี้มานาน เลยเลือกช่วงเวลาเช้าเพื่อมาร่ำลาพระจันทร์” คนตัวโตเริ่มขมวดคิ้วงุนงง

“เขน เข้าใจผิดเอง ‘เขา’ คนนั้นของรุ่ง...เป็นพระจันทร์มาตลอดนะ” ก่อนที่ดวงตาเล็กจะก้มลงจ้องมองตรงที่ดวงตาคม

“นั่งคุยกันก่อนไหม รุ่งจะเล่าเรื่องอะไรให้ฟัง” มือเล็กค่อย ๆ ดึงมือใหญ่ให้ขึ้นมานั่งข้าง ๆ โดยยัง ‘ยอม’ ให้เกาะกุมมือบางอยู่อย่างนั้น

“เขนยังจำเรื่อง ‘เขา’ คนนั้นที่รุ่งเคยเล่าให้ฟังได้ไหม” เขนได้เพียงแต่พยักหน้ารับเงียบ ๆ ร่างบางจึงเริ่มเล่า

“รุ่งพบเขาอีกครั้งเมื่อปลายปีที่แล้ว หลังจากที่ไม่ได้เจอกันนานเกือบสิบปี”

“เขากลับมา และมาสารภาพรักกับรุ่งอีกครั้ง”

“ตอนแรกรุ่งปฏิเสธเขาไป เพราะกลัวว่าตัวเองจะไปสร้างความเจ็บปวดให้กับเขาอีก”

“แต่ตอนนี้อาการเขาดีขึ้นมาก ไม่เจ็บปวดอย่างเดิมแล้ว”

“รุ่งเลยตัดสินใจว่า จะกลับไปเริ่มต้นกับเขาอีกครั้ง” คนเล่า เล่าเรื่องอย่างมีความสุข ขณะที่คนฟังลมหายใจขาดช่วงเป็นระยะ ๆ ‘รุ่งมีความสุข เขนก็มีความสุข คงต้องปล่อยมือคู่นี้แล้วสินะ’ คนตัวโตคิด แล้วจึงค่อย ๆ ปล่อยมือเล็กเป็นอิสระ

“เขน....................”

“เขนดีใจด้วยรุ่ง” คนตัวโตฝืนยิ้มตอบกลับ หากแต่ไม่ได้เอะใจกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั่น

“ขอบคุณมากเขน งั้นเรากลับกันก่อนไหม ถ้าเขนอยากมาดูพระอาทิตย์ตอนเช้าเดี๋ยวเรามากันใหม่” เขนได้แต่พยักหน้า

“รุ่งมีอะไรจะอวด” กลายเป็นคนตัวเล็กที่ดึงมือคนตัวโต และจูงเดินกลับบ้านพักโดยที่ไม่ยอมปล่อย

 

คนตัวโตเดินตามกลับมาที่บ้านพัก แต่ดูเหมือนจะทิ้งวิญญาณไว้ที่จุดชมวิวนั่น จนอีกคนเริ่มกังวลหรือจะแกล้งมากไป

“เขน...เป็นอะไร” เขนตอนนี้ลักษณะคล้ายหุ่นยนต์นั่งนิ่ง เหม่อลอย อยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน

“............ป...เปล่าหรอกรุ่ง” คนไม่เคยโกหกความรู้สึกตัวเองจึงไม่เนียน

“ไหนรุ่งบอกว่ามีอะไรจะอวดไง”

“อืม ของอยู่ข้างบน เขนไปอาบน้ำก่อนไหม” คนเพิ่งอาบน้ำเสร็จ กำลังเช็ดผมมองตามหุ่นยนต์ค่อย ๆ ลุกเดินเข้าไปในบ้านพัก ไม่เคยเห็นอาการแบบนี้จากอีกคนเลย ปกติเขาไม่เคยถอดใจ คงจะเล่นแรงไปจริง ๆ

ห้องนอนด้านบนในบ้านพักอุทยานแห่งชาติมีที่นอนสามที่เรียงกัน และด้วยลมเย็นในหน้าหนาวที่นอนข้างในสุดจึงอบอุ่นที่สุด ซึ่งสิ่งที่ดีที่สุดก็มักจะเป็นของรุ่ง ถัดไปจึงเป็นเตียงของเขน ดังนั้นเตียงที่ว่างคือเตียงริมสุดเช่นเดิม

เริ่มตกดึกบรรยากาศโดยรอบจึงเงียบสงบมีเพียงเสียงจิ้งหรีดร้องเบา ๆ แสงสีส้มอ่อน สลัว ๆ จากโคมไฟ และแสงนวลของดวงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างริมระเบียง รุ่งกำลังค้นของในกระเป๋าที่เอามาวางไว้ปลายเตียงที่ว่าง

“เขน..........อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ รุ่งเช็ดผมให้ไหม” คนตัวเล็กอาสา

“ไม่เป็นไรหรอกรุ่ง พักเถอะ” หุ่นยนต์เดินไปนั่งที่ที่นอนตรงกลางเตรียมล้มตัวลงนอน

“เป็นอะไรมานี่ก่อน ใครให้นอนทั้ง ๆ ที่หัวยังเปียกล่ะ” คนตัวใหญ่กว่าจึงโดนลากมานั่ง ที่เตียงว่างที่อยู่ติดระเบียงริมหน้าต่าง

“รุ่งไม่ต้องก็ได้ เดี๋ยวมันก็แห้งเอง” หุ่นยนต์ยังคงตอบเหมือนระบบอัตโนมัติ แล้วจึงโดนมือเล็กกดให้นั่งข้างล่าง ขณะที่อีกคนนั่งบนที่นอนเช็ดผมให้อย่างเบา ๆ

“อย่าดื้อ อากาศหนาว เดี๋ยวเป็นหวัดนะ” รุ่งยังคงเช็ดผมให้ต่อไป ผมหยักศกเริ่มแห้งม้วนตัวเป็นคลื่นเล็ก ๆ

“บอกได้หรือยังว่าเป็นอะไร” คนถามเริ่มมีอาการหมั่นไส้ จึงแกล้งต่อ ทีแกล้งเราน่ะแกล้งได้ พอโดนเอาคืนบ้างหงอยเลยทีเดียว

“....................................”

“ไม่คิดจะถามบ้างเหรอว่า ‘เขา’ เป็นใคร”

“ไม่หรอก สักวันเขนก็คงพบ ‘เขา’ เพราะยังไงเขนก็ไม่เลิกเป็นเพื่อนรุ่ง” รุ่งหยุดเช็ดผม

 

คนเดิมกลับมาแล้วสิ

 

“แต่รุ่งอยากเล่าให้ฟังต่อ”

“ถ้ารุ่งเล่าเขนก็จะฟัง” คนพูด ฝืนพูดไปทั้งที่ไม่กล้าจะหันไปสบสายตา กลัวว่าหัวใจตัวเองจะยอมรับมันไม่ไหว

 

คนเล่ากำลังเรียบเรียงเรื่องราว และกลั้นใจรวบรวมความกล้าก่อนที่จะเริ่มต้น

“ ‘เรา’ พบกันครั้งแรกเมื่อสิบเจ็ด ไม่สินะสิบแปดปีก่อน”

“ตั้งแต่ครั้งแรกที่ ‘เรา’ พบกันเราก็ต่าง ‘รู้’ ว่าได้พบคนพิเศษ”

“เหมือนพบคนที่เติมเต็มกัน เหมือนพบคนที่รอคอยมาแสนนาน”

“จากความสัมพันธ์เกินคำว่าเพื่อน รวมกับความผูกพันตลอดระยะเวลาสามปีกว่าที่ไม่เคยแยกจากกัน”

“จนแปรเปลี่ยนเป็นคนรัก โดยเราแทบไม่รู้ตัว ‘รู้’ อีกทีก็ไม่เหลือสายตาที่จะมองใครได้อีกแล้ว หลังจากนั้นเส้นทางชีวิตก็มีทางแยกมาให้เลือก ตอนนั้นรุ่งเลือกที่จะอยู่ แต่....เขาขอร้องให้ไปทำตามความฝัน”

“และเขาสัญญาว่าจะรอ.....รอรุ่งคนเดียวเสมอ”

“จนกระทั่งเราแยกจากกัน รุ่งกลับมาอีกครั้งเพราะเขาประสบอุบัติเหตุ”

“ความจำของเขาในส่วนที่มี……รุ่ง หายไป”

“แต่เขาพยายามที่จะรื้อฟื้นมัน พยายามตามหาว่าคนที่เขา ‘รอ’ คือใคร”

 

คนที่นั่งหันหลังให้มาตลอด หันกลับมาจ้องด้วยความสงสัย

 

คนเล่ามองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น

ไม่หยุดอีกแล้ว...หยุดหัวใจไม่ได้แล้ว

 

“เขาปวดหัวมาก มากจนยาไม่สามารถช่วยบรรเทาอาการได้อีก ถ้ายังฝืนคิดถึงความทรงจำที่หายไปนั่น”

“เราพยายาม พยายามทุกทางให้เขาจำรุ่งให้ได้ เพื่อจะได้ไม่ต้องคิดให้เจ็บปวดอีกต่อไป”

“แต่บางอย่างเมื่อมันลบแล้ว... มันย้อนกลับไม่ได้”

“เขาจำ...จำรุ่ง ไม่ได้อีกเลย แต่...ยังคงคิดถึงคนในความทรงจำนั่นต่อ”

“ทั้งที่คนคนนั้นอยู่ข้างหน้าเขา” คนเล่ากลั้นน้ำตาไม่ไหวอีกต่อไป

“จนเหลือแค่หนทางสุดท้ายที่จะรักษาเขา”

“ซึ่งจะทำให้ ‘เรา’ ทั้งสองคนกลับมาใช้ชีวิตได้อีกครั้ง คือ......”

“ปล่อยให้เขาลืมรุ่งไปจากชีวิตเขา”

“……………………..” เริ่มสะอื้นและปล่อยให้น้ำตารินไหลอยู่อย่างนั้น

“รุ่ง....................” คนฟังทำอะไรไม่ถูก ได้แต่เพียงใช้นิ้วช่วยเกลี่ยน้ำตาให้คนรัก แววตาฉายชัดความสับสน

คนเล่าจึงกลั้นสะอื้น ก่อนรวบรวมสติ และพยายามเล่าต่อ เพราะไม่สามารถห้ามหัวใจตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว

“แต่ไม่รู้ทำไม... แม้เขาจะลืมรุ่งก็จริง แต่หัวใจเขา‘รู้’ ตลอดมาว่า‘เรา’ รักกัน เขาวนเวียนกลับมาหารุ่งรอบแล้วรอบเล่า”

“เขาเฝ้าแต่พูดคำ ๆ เดิม ไม่ว่าจะเป็นคำว่า...‘รัก’ หรือ คำว่าจะ......‘รอ’”

“ทำแบบเดิม ๆ ชัดเจนกับความรู้สึกยังไง ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น”

“พยายามทุกวิถีทางอย่างไร ก็ยังเฝ้าวนเวียนทำอยู่อย่างนั้น”

“ทั้งที่ไม่เคยรู้ว่า ‘เรา’ เคยรักกันมาก่อน”

“รักกันมามากเพียงไร”

“เขา ‘จำได้’ แต่เพียงว่า... เขารักรุ่งข้างเดียวมาโดยตลอด”

“ทั้ง ๆ ที่...........รุ่งรักเขาเพียงคนเดียวตลอดมา”

“..........................................................”

“เขน..................” คนตัวเล็กส่งกระดาษที่เขียนความปรารถนาให้กับคนตรง

 

‘อย่ารื้อฟื้นความทรงจำนั่นอีกเลย นะเขน’

 

“รุ่ง........................” คนตัวโตโผเข้ากอดคนตัวเล็ก

“เขนใช่ไหม เป็นเขนใช่ไหม เขนเองใช่ไหม” ร่างบางพยักหน้ารับในอ้อมกอดที่โหยหามานาน มือทั้งสองข้างกำเสื้อคนข้างหน้าไว้แน่นเพื่อรั้งตัวเองไว้ เพราะสะอื้นไห้อย่างหนัก

“รุ่ง.............” ลำคอแห้งผาด ความรู้สึกถาโถมจนจุกหน้าอก

 

ทำไม...

ทำไมความรักที่อุตส่าห์เพียรพยายาม

กลับทำร้ายอีกคนได้มากขนาดนี้ ทำร้ายโดยที่ไม่เคยรู้

 

สวรรค์ทำไมช่างเล่นตลก

ตาเริ่มพร่าเลือน อาการปวดเกิดขึ้นฉับพลัน จนกลั้นเสียงร้องไม่ได้ คนในอ้อมกอดผละออกเพื่อมองอาการคนตัวโต มือใหญ่ปล่อยอ้อมกอดแล้วกุมหัวตัวเองไว้

“เขนเป็นอะไร เขนอย่าเป็นอะไรนะ” คนในอ้อมกอดกลับเป็นคนโอบกอดคนที่มีอาการปวดไว้แทน

“เขน!! เขน!! ฟังรุ่งได้ยินไหม”

“หยุดเดี๋ยวนี้ หยุดคิดเดี๋ยวนี้ได้ยินไหม” ทั้งที่หัวใจตัวเองยังบอบช้ำ น้ำตายังไหลพราก

“เขน!! เขน!! เลิกคิด ถ้ารักรุ่งเลิกคิด เลิกคิดเดี๋ยวนี้นะ”

“รุ่ง............................” คนตัวโตเริ่มตอบสนอง จึงดันตัวออกจ้องมองลงไปในตาเหม่อลอยคู่นั้น

“เชื่อรุ่งนะเขน............เลิกคิดถึงความทรงจำนั่น”

“อยู่กับรุ่ง คิดถึงแค่รุ่งนะเขน” สายตายังคงงุนงง เหม่อลอย

 

ไม่แล้ว......ไม่.......ไม่มีทางปล่อย.........เขาไปได้อีกแล้ว

 

ผมตัดสินใจแล้ว

ผมตัดสินใจ... เลือกวิธีที่ใช้ไม่ได้ผลเมื่อครั้งอดีต

 

ครั้งนั้นผมเป็นเพียงความทรงจำที่ลืมเลือน....

แต่ครั้งนี้เขาพร่ำบอกว่า...ผมสำคัญกว่า

 

มือที่ผละดันตัวเขาออกยังวางอยู่ที่ลาดไหล่กว้าง ผมใช้มือข้างหนึ่งประคองใบหน้าคมขึ้นสบสายตาคู่นั้น ก่อนที่จะเอียงใบหน้าเล็กน้อยโน้มตัวลง บรรจงมอบจูบที่อ่อนหวานที่สุดให้แก่คนรักของผม

เขาเป็นของผม และผมจะไม่ยอมปล่อยเขาไป.....จากผมอีก

 

แม้ว่าจะต้องเจ็บปวดเพียงใด แม้จะต้องแลกกับอะไร

ผมยอม

 

เมื่อกลีบปากบางค่อย ๆ กดสัมผัส ละเลียด ขบเม้มริมฝีปากหยักคม ก่อนที่จะสอดแทรกปลายลิ้นเล็กเข้าสู่โพรงปากอุ่นภายในตวัดปลายลิ้น กระหวัดเกี่ยวพัน กวาดต้อนความอบอุ่น หอมหวานภายใน

หยุดไว้ซึ่งความหวั่นไหว ความเขินอายที่ปะทุขึ้นภายในใจ

 

จูบที่มาจากเสียงร่ำร้องภายในหัวใจที่โหยหา คร่ำครวญ เรียกร้อง ปลุกเร้าก่อเกิดรสจูบหวานล้ำ มือทั้งสองที่เคยวางที่ไหล่กว้าง ขยับโอบศีรษะของคนรักตรงหน้า กดรับรสสัมผัสของจูบที่กดลึกขึ้นเรื่อย ๆ และจมลึกลงทุกที ๆ

“อือ..... อืม...... อ่า”

จนค่อย ๆ รับความรู้สึกของคนรักที่ครางออกมา พร้อมตอบสนองรสสัมผัสของจูบรสหวานนั่นคืนอย่างอ่อนโยน ไม่แน่ใจว่าสติของเขาคืนกลับมา หรือกำลังขาดกระเจิงไปแล้ว

‘รู้’ เพียงอ้อมกอดอบอุ่นที่ถวิลหานั่นกลับมาประคองกอดอีกครั้ง และโอบรัดให้แนบชิดขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับจูบที่ค่อย ๆ เพิ่มดีกรีความลึกล้ำ ต่างตอบสนองรสสัมผัส ดึงดูด เมามัว ราวกับว่าจะไม่มีวันพรากจากกันได้อีกต่อไปแล้ว

 

กาลเวลารอบตัวเหมือนถูกหยุดไปนานเท่านาน

จนจวนเจียนจะขาดใจ

จึงค่อย ๆ ละสัมผัสที่ริมฝีปากออกจากกัน เพื่อเปิดโอกาสให้ลมหายใจได้ผ่านลงเข้าไปในปอดอีกครั้ง ขณะที่ใบหน้ายังแนบชิด หน้าผากแอบอิงกันไว้ ปลายจมูกที่ชิดติดกันทำให้สัมผัสถึงไอร้อนจากลมหายใจของกันและกัน รวมทั้งอ้อมกอดยังคงรัดตราตรึงสองร่างเข้าด้วยกันเสมือนจะไม่มีวันผละออกจากกันได้

“รุ่งจ๋า....................”

“อือ...............”

เปลือกตาของใบหน้าหวานค่อย ๆ เปิดขึ้น และพบว่าดวงตาคมได้จ้องมองอยู่ก่อนแล้ว สายตาหวานซึ้งของทั้งสองที่มอบให้กันและกัน ถ่ายทอดความรู้สึกภายในหัวใจได้จนหมด

“ดีขึ้นไหม ยังปวดหัวอยู่รึเปล่า” คนตัวโตส่ายหน้าเบา ๆ

“สัญญานะเขน อย่าคิดถึงมันอีก”

“ถ้ารักรุ่ง… ถ้ารุ่งสำคัญกว่า เขนอย่าคิดอีก” คนในอ้อมกอดรีบทวงสัญญา

“แต่ความทรงจำนั่นก็เป็น...รุ่ง เขนก็อยากจำได้ ทำไมต้องให้รุ่ง ‘เก็บ’ และ ‘เจ็บ’ อยู่คนเดียว เขนเหมือนคนเห็นแก่ตัว” คนพูดทำท่า จะผละอ้อมกอดหนีอีกครั้ง แต่ร่างบางกลับดึงรั้งกระชับแน่นขึ้น

“ไม่แล้วเขน เขนฟังรุ่งนะ รุ่งจะไม่‘เก็บ’ แล้ว”

“รุ่งเล่าได้ รุ่งจะเล่าทุกอย่างที่ ‘เก็บ’ ไว้ คืนให้เจ้าของความทรงจำ”

“ ‘ความทรงจำ’ นั่นเป็นของ ‘เรา’ สองคน”

“รุ่งจะค่อย ๆ เติมเต็ม ‘ความทรงจำ’ ของเราทั้งสอง คืนให้เขน”

“ในเมื่อมันลบเลือนได้ เราก็เริ่มต้นใหม่ได้”

“แต่เขนต้องสัญญาก่อนว่า...จะไม่คิดถึงมันให้ต้องเจ็บอีก ไม่ต้องรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีก และถ้าเขนไม่ ‘เจ็บ’ รุ่งก็จะไม่ ‘เจ็บ’ อีกต่อไป”

“สัญญานะเขน”

“รุ่ง.........เขนสัญญา”

 


ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: KEEP: OPENING (ENDING OF KEEP) 21.02.2018
«ตอบ #111 เมื่อ21-02-2018 09:48:43 »

เหมือนวันเวลาหยุดนิ่งชั่วกัลป์ นานเท่านาน ไร้ซึ่งคำพูดใดที่จะเอื้อนเอ่ย เมื่อดวงตากำลังเปิดหน้าต่างของหัวใจ สายตาทั้งสองคู่ยังคงสบประสาน รอยยิ้มแสนอ่อนหวานที่เคยหลงเข้าใจมานานว่าเป็นของ ‘เขา’ คนนั้น

คนนั้น... ที่เป็นเขนมาโดยตลอด

รอยยิ้ม... ที่เป็นของเขนมาโดยตลอด

รุ่ง... ที่เป็นของเขนมาโดยตลอด

 

มันยิ่งกว่า... ความต้องการ

มันยิ่งกว่า... ความปรารถนา

มากกว่าเกินกว่าความฝัน... ที่วาดหวังไว้

 

เพียงแค่... มีกันและกันอีกครั้ง

ในตอนนี้....ในลมหายใจนี้.....

 

นิ้วยาวค่อย ๆ เกลี่ยน้ำตาที่ยังปริ่มดวงตาทั้งสองของใบหน้าหวาน เขารู้ว่ามันมิใช่น้ำตาแห่งความทุกข์ทนทรมานอีกต่อไป และพร้อมที่จะทำทุก ๆ ทางไม่ให้ใบหน้าหวานต้องกลับไป ‘เก็บ’ และ ‘เจ็บ’ ดังเช่นวันวาน

                “เขน........”

“ชู่ววววว........” คนตัวโตเลื่อนนิ้วมาแตะเบา ๆ ที่ริมฝีปากบาง แล้วจึงโน้มใบหน้าเข้าจูบซับน้ำตาแทน

“ไม่ร้องแล้วนะคะ คนดีของเขน”

“อือ.................” ใบหน้าคมยังคงเคล้าเคลียบรรจงประทับรอยจูบไปทั่วใบหน้าหวาน สร้างความไหวหวั่นให้ร่างบางที่กลับกลายเป็นฝ่ายถูกโอบกระชับอยู่ในอ้อมกอดอุ่น แม้จะไร้ซึ่งประสบการณ์ แต่สัญชาติญาณก็พร่ำบอกว่า... ถ้าไม่หยุด ณ ตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

 

นานเท่าไร.....ที่สองร่างไม่ได้อยู่ใกล้ติดชิดแนบมากขนาดนี้

นานเท่าไร.....ที่สองหัวใจถูกพรากจากกัน

 

ที่ผ่านมาทั้งชีวิตเคยมีแต่... ‘เขา’

ไม่เคยมีใครอีก.....เพราะ ‘ใจรัก’ ไม่เคยเปิดรับใครให้เดินเข้ามาอีกเลย

 

ประสบการณ์ที่เคยผันผ่านจึงเป็นเพียงความรักใส ๆ ในช่วงวัยเยาว์ ที่ถูกจำกัดด้วยความถูกต้อง และเหมาะควร แม้กลับมาพบกันอีกครั้งตลอดมาแม้อีกคนจะซื่อตรงเสมอกับความรู้สึก แต่ก็ยังคงรักษาระยะปลอดภัย ให้เกียรติ และแสดงตนเป็นสุภาพบุรุษตลอดมา

 

แล้ว ณ ขณะนี้พร้อมหรือยัง.....

 

คำถามสุดท้ายที่ผุดขึ้นมาในสมอง ก่อนที่สามัญสำนึกต่าง ๆ จะหลุดหายกระจายไป เมื่อมือใหญ่ทำหน้าที่ประครองคางเรียวให้ได้องศารองรับรสจูบที่นุ่มนวล อ้อยอิ่ง หวาบหวาม ละเลียดขมเม้มริมฝีปากบางอย่างหยอกเย้า เสมือนอีกคนก็กำลังลองใจดูการตอบรับ ตอบสนองจากอีกคนเช่นกัน และเมื่อพบเพียงอาการสั่นสะท้านเล็ก ๆ ของร่างบาง ความกังวล ไม่แน่ใจในสิ่งที่จะดำเนินต่อไปก็มลายหายไป

“อืม....อืม” เสียงครวญหวาน เป็นดังเช่นสัญญาญเปิดรับให้พร้อมรุกคืบ จึงสอดลิ้นเข้าไปกระหวัดเกาะเกี่ยวปลายลิ้นนุ่มบางภายใน ก่อนที่จะลิ้มรส ดูดซับ กวาดต้อนความหอมหวานลึก

ก่อนที่สติจะหลุดลอย ฝ่ายคุมเกมส์ต้องถอยสติการับรู้ของตัวเองออกมาจากความลุ่มหลงเมามัวในรสจูบหวานล้ำ เพื่อเริ่มต้นเปรอปรนฝ่ายรับให้พร้อม และยอมรับบทรักที่จะกำลังดำเนินสู่ขั้นต่อไป ขณะที่เพิ่มเติมระดับความเรียกร้อง เร่งเร้าด้วยรอยจุมพิต ก็ค่อยๆ โน้มตัวกดร่างบางให้ลงนอนใต้ร่างอย่างยอมจำนน

เมื่อไร้แรงฝืนกลับจากคนใต้ร่าง จึงจำต้องถอนริมฝีปากออกก่อนที่อีกคนจะขาดใจ ใบหน้าหวานแดงระเรื่อคล้ายแต้มแต่งด้วยสีกุหลาบ และยังคงหลับตาพริ้ม พร้อมหอบหายใจ

“รุ่งจ๋า..................” ผมรู้ว่าเสียงตัวเองแตกพร่าเพราะความต้องการที่เริ่มอัดแน่นภายใน

“เขนรักรุ่งนะครับ” แต่ยังคงฝืนพร่ำบอก

“รักรุ่งคนเดียว” เพราะรู้ว่าตอนนี้อีกคนกำลังล่องลอยอยู่นโลกแห่งความฝัน จึงเพียรพยายามทำให้โลกความฝันกับความจริงในตอนนี้พบประสบกัน ทำให้ทุกอย่างดีที่สุด สวยและงดงามที่สุดในความทรงจำของเราทั้งสองคน เพราะจะเป็นคืนนี้

 

คืนที่เราจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ทั้งหัวใจ และร่างกาย

 

“อืม.....” สติของร่างบางยังคงลอยล่อง อีกคนจึงลอบยิ้มก่อนที่จะรุกคืบ มือทั้งสองผ่อนคลายอ้อมกอดที่รัดตรึงร่างบาง และสอดเข้าลูบไล้ผิวเนียนภายใต้เสื้อนอน ขณะที่เริ่มซุกไซ้ลำคอระหง ฝากประทับรอยจุมพิตซุกซนสำรวจไปทั่ว คนใต้ร่างค่อย ๆ สอดมือทั้งสองโอบรอบคอของคนตัวโตอย่างอัตโนมัติ

เมื่อความต้องการกำลังเร่งเพิ่มอุณหภูมิความเร่าร้อนจากภายในส่งผ่านออกมาภายนอก จึงค้นพบว่าเสื้อนอนดูจะแกะกะเกินไปสำหรับเราทั้งสอง จึงกดย้ำจูบลึกลงไปที่ริมฝีปากบางอีกครั้งเพื่อป้องกันการแข็งขืน ก่อนที่ชุดนอนจะลงไปกองกระจัดกระจายทั่วพื้นรอบเตียง ผิวเนื้อของเรือนร่างทั้งสองจึงได้ สัมผัส เกาะเกี่ยว เสียดสีกันแนบเนียนชิดใกล้จวนเจียนเป็นเนื้อเดียวกัน ปลุกเร้าไฟปรารถนาภายในให้ลุกโพรง จนต้องเพียรระงับความต้องการของตนอีกครั้ง เพื่อเตรียมรุกเร้าให้ร่างบางข้างใต้ ให้พร้อมตอบรับและก้าวเดินไปตามหนทางแห่งความรักพร้อม ๆ กัน

ร่อยรอยแห่งจุมพิตที่ทั้งเบาบางพลิ้วไหว และกดลึกเน้นย้ำสร้างร่องรอยแห่งความเป็นเจ้าของถูกประพรมไปทั่วร่างบางแทบจะทุกตารางนิ้ว ริมฝีปากจึงมาหยุดวนเวียน ขบเม้มลิ้มรสปลายยอดอกสีหวาน ขณะที่คนตัวเล็กบิดกายสั่นสะท้านสนองตอบรสสัมผัสอย่างเต็มใจและเป็นฝ่ายโอบรัด ฉุดรั้งคนข้างบนให้แนบชิดมากขึ้นเรื่อย ๆ

“ข..เขน...อย่า.....” เสียงห้ามอย่างอ่อนแรงไม่สามารถหยุดอีกคนที่กำลังลากเลื่อนริมฝีปากจากหน้าท้องเรียบเนียนไปประทับจุมพิตที่ส่วนอ่อนนุ่ม ก่อนที่จะเข้าครอบครองอย่างถือสิทธิ์

“อะ..อ่า......อืม” มือเล็กทั้งสองประกบปิดปากของตัวเองแน่น ขณะที่ใบหน้าหวานเริ่มส่ายสะบัด เพื่อผ่อนคลายความรู้สึกจากรสสัมผัสที่มิได้นำพาต่อคำร้องขออ้อนวอน และยังคงขบเม้ม เร่งจังหวะ รุกเร้า รวดเร็วยิ่งขึ้น ๆ จนกระทั้งร่างบางหมดสิ้นความอดทนปลดปล่อยความอดกลั้นภายในออกมา ซึ่งถูกอีกคนดูดซับกลืนกินไปทั้งหมด เสียงลมหายใจของคนใต้ร่างหอบเบา ๆ และเมื่อเปิดเปลือกตาขึ้นมาก็ยังพบใบหน้าคมที่กำลังโลมเลียยกยิ้มหยอกเย้า

 

มันเกินกว่า...ประหม่า

เกินกว่า...ความเขินอายทั้งหมดที่ประสบพบมา

 

จึงเตรียมพลิกตัวหนี แต่เรื่อนร่างเปลือยเปล่ายังคงถูกคนตัวโตกดตรึงไว้ จึงทำได้เพียงเบือนหน้าหนีสายตาคมกริบนั่น

“รุ่งจ๋า...........หวานจัง” คนพูดแกล้งกระเซ้า แต่คนฟังกำลังจะละลายหายตัวไปให้ได้เสียตอนนี้

“รุ่งเป็นของเขน ให้เขนรักนะครับ” จึงไม่ได้ฟังคำขออนุญาตจากอีกคน

รู้เพียงดูเหมือนบทรักที่ดำเนินมาเสมือนยังไม่สิ้นสุด เมื่อกำลังถูกปลุกเร้าด้วยจุมพิตที่กดย้ำลงลึกมากกว่าเดิม ความร้อนรุ่มจากบทเรียนที่ผ่านมายังไม่ห่างหาย แต่บทต่อมาดูจะหนักหน่วงยิ่งกว่า เมื่อรับรสจูบเพียงสักพักความรู้สึกยับยั้งชั่งใจ ก็ขาดหายไปอีกครา อารมณ์วาบหวาม สั่นสะท้านกลับมารุกคืบต่อติดอย่างรวดเร็ว

ฝ่ายรุกรับรู้ถึงความพร้อมจากร่างบางข้างใต้จากเสียงครางหวาน และเรือนกายที่บดเบียดเสียดสีแนบชิด เขาเองแม้มีชั่วโมงบินมาก่อน แต่ไม่ได้ใกล้เคียงกับครั้งนี้

 

รุ่ง.....เป็น ‘คนรัก’

‘ที่รัก’ อย่างลึกซึ้ง....ยาวนาน

และไม่ต้องการให้บอบช้ำ แม้เพียงเล็กน้อย

 

จึงจำอดกลั้นความต้องการภายในเพื่อปลุกเร้าความต้องการของคนใต้ร่างให้มากขึ้น ๆ ให้ความต้องการเกินกว่าความเจ็บปวดที่จะได้รับ ให้ยินยอมพร้อมใจแม้จะต้องพบกับสิ่งใด

ใบหน้าคมจึงซุกไซ้ไล่เรียงระดมมอบจุมพิตหวาน และมาหยุดหยอกเย้าย้ำซ้ำที่ปลายอกสีหวาน และส่งนิ้วยาวเรียวค่อย ๆ ทำหน้าที่สำรวจช่องทาง เตรียมพร้อมหนทางแห่งรัก

“อืม..อะ เขน....ไม่ไหวแล้ว” คนตัวเล็กพร่ำเพ้อ ครางครวญออกมา แม้ไม่รู้ว่าต้องการสิ่งใด

“รุ่งจ๋า.......พร้อมนะ”

“อืม...............” ฝ่ายรุกจึงรีบฉวยโอกาสไว้อย่ารวดเร็ว เพราะเกินทรมานกับการสะกดกั้นความต้องการของตนเองแล้ว

“อะ..เขนเจ็บ” เมื่อมีสิ่งรุกล้ำร่างบางจึงผวากอดคนด้านบนแน่น

“เขน...รักรุ่งนะคะ”

“รักรุ่งนะ” อีกคนพร่ำบอกก่อนที่จะกดจุมพิตลงไปดึงความรู้สึกจากจุดนั้น แล้วค่อย ๆ ดันตัวเองสอดใส่ แม้จะผ่อนแรงเพียงใดก็ทำได้เพียงผ่อนคลายความเจ็บปวดไปได้ชั่วคราว

หากคำบางคำที่พร่ำบอกกลับเพิ่มความอดทนของอีกคนได้อย่างประหลาด สติที่ล่องลอยอยู่ในความฝัน เกือบถูกกระชากกลับมาลงมาสู่โลกของความจริงด้วยความเจ็บปวด

 

เพียงแต่... คำว่า ‘รัก’ กับ ‘คนรัก’ ที่โอบกอดอยู่

ทำให้... แม้จะเจ็บเท่าไร... แม้จะแลกกับสิ่งใด...ก็ ‘ยอม’

 

เมื่อร่างบางเริ่มผ่อนคลาย บทรักบทต่อไปจึงเริ่มดำเนินต่อตามครรลอง จังหวะรักในตอนแรกเนิบนาบ อ่อนหวาน ชวนไหวหวั่น จนเสียงหวานที่ครวญครางให้รู้ว่าจุดกระสันแห่งความสุขสมของคนใต้ร่างอยู่ ณ จุดใด พร้อมกับการสนองตอบ รองรับแนบชิดของร่างบาง ทำให้คนด้านบนเปลี่ยนแปลงจังหวะรุก จังหวะรักให้ค่อย ๆ กดลึก ถี่ระรัว มากยิ่งขึ้น เสียงหอบหายใจ และเสียงครางไม่เป็นศัพท์ของทั้งคู่ดังระงมทั่วบ้านพัก จนร่างเล็กสิ้นสุดความอดกลั้นถูกปลดปล่อยอีกครั้ง คนคุมเกมส์จึงเลิกควบคุมความอัดอั้นภายในของตนเอง และปลดปล่อยให้คนใต้ร่างรองรับความต้องการของตนเองอย่างหมดสิ้น สองร่างกระหวัดกัดเกี่ยวเป็นหนึ่งเดียว

 

สองร่าง...ร่วมเป็นหนึ่ง ทั้งกาย และใจ

 

ความสงบจึงกลับคืนมา ณ สถานที่พักแรมอีกครั้ง คนตัวเล็กยังคงมัวเมาอยู่ในโลกแห่งความฝันที่สุขล้น ไม่กล้าที่จะเปิดตามารับรู้โลกแห่งความเป็นจริง คนเจ้าเล่ห์จูบซับรอยเหงื่อที่รื้นไปทั่วใบหน้าหวาน โดยไม่ยอมถอนกายตัวเองออก ร่องรอยแห่งคราบรักของคนใต้ร่างยังเปรอะเปื้อนอยู่ที่ท้องน้อยเรียบเนียน นิ้วเรียวยาวลูบไล้กวาดต้อนของเหลวเล่น จนร่างบางต้องลืมตาขึ้นมามอง

“ทำอะ....” ทำอะไรน่ะเขน

ก่อนที่จะเอื้อนเอ่ยได้ครบ ความร้อนก็พุ่งขึ้นทั่วทั้งใบหน้าอีกครั้ง พร้อมกับรีบข่มตาลงอีกครั้ง เมื่อพบว่าอีกคนกำลังเลียนิ้วตัวเองอยู่

“ก็มันหวาน... นี่นา” เมื่อใบหน้าคมก้มลงมากระซิบข้างหู ก็ทำได้พียงเบือนหน้าหนีอีกครั้ง

‘อ๊ากกกกกกกก’

อยากกรีดร้อง อยากเอามือขยี้หัวตัวเอง แต่ทำได้เพียงผ่อนจังหวะหายใจเพื่อให้หัวใจที่เต้นรัวกลับมาทำงานตามจังหวะเดิม นี่เขาตัดสินใจอะไรผิดพลาดรึไง ไม่ใช่เขาไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ ‘รู้’ มากเกินไปด้วยซ้ำ อาจมากกว่าที่เขนรู้จักเขาด้วยซ้ำ

‘เขน’ ยืดมั่น เที่ยงตรง และหวงแหนของรัก แต่ระยะเวลาที่พรากจาก ทำให้ต้องปรับตัวกันอีกนานกับความต้องการของอีกคน

 

‘เขน’ คุณจะ HOT ไปไหน..... ผมคงทำได้เพียง...ทำใจ

 

โดยไม่รู้ว่าอีกคนก็กำลังเอ็นดูใบหน้าหวานที่แดงระเรื่อตลอดบทรักที่ผันผ่าน

‘รุ่ง’ เงียบเก็บตัว ขี้อาย แต่ฝืนแข็งแกร่ง มั่นใจ และดื้อดึง

ไม่รู้ตัวถึงเสน่ห์ที่แสนจะทรมานคนรักของตัวเอง

 

‘รุ่ง’ อ่อนหวาน เซ็กซี่ จะตายเมื่ออยู่บนเตียง......

แล้วผมจะหักห้ามตัวเองอย่างไร

 

ความหลงใหล คลั่งใคล้ยิ่งมากล้นทับทวี เมื่อได้สัมผัสรับรสแห่งรักในครั้งแรก และจึงเริ่มต้นบทรักอีกครั้งด้วยการปลุกเร้าของคนที่ชำนาญ และความใจอ่อน แพ้คำว่า ‘รัก’ ของคนที่อ่อนประสบการณ์ บทเรียนแห่งรักจึงย่างเข้าสู่บทต่อไป และต่อไป

 

เราสองคนยังอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันตลอดคืน ที่นอนริมหน้าต่างที่หนาวเย็นที่สุด กลับอบอุ่นที่สุดเมื่อสองร่างยังสนิทแนบชิด สอดประสาน ตอบรับ แลกเปลี่ยนไออุ่นซึ่งกันและกัน

จน ‘บทรัก’ จบลงใกล้รุ่งสาง

 

“รุ่งจ๋า...................” คนรักในอ้อมกอดของผมกำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทรา

“หืม...........”

“จะนอนแล้วเหรอครับ”

“อืม... ไม่ไหวแล้ว พอก่อนนะเขน”

“หึหึหึ คิดอะไร เขนเปล่าปลุก เพราะเรื่องนั้นเสียหน่อย”

“รุ่งจ๋า................” คนตัวโตยันตัวขึ้นตะแคงมองใบหน้าหวาน ก่อนเอื้อมมือปัดไรผม ที่บดบังใบหน้า

“อะไรอะ”

“ไหนตอนหัวค่ำบอกว่ามีอะไรอวด”

“ทำไมทีอย่างนี้ ความจำดีอะ” เมื่อคนตัวเล็กเริ่มเหวี่ยงเมื่อถูกปลุก คนตัวโตจึงรีบอ้อน

“เขนอยาก ‘รู้’ ว่าอะไร” ก่อนที่จะอดใจไม่ไหวกดปลายจมูกลงที่แก้มป่องที่แสนงอน ก่อนที่จะซุกไซ้ลงมาเรื่อย จนใกล้ริมฝีปากที่ยื่นแบะน้อย ๆ อย่างคนเอาแต่ใจ

“ไหนว่าไม่ใช่เรื่องนี้ไง” ร่างบางดันใบหน้าแมวตัวโตที่กำลังจะเริ่มต้นบทรักที่เพิ่งสงบลงเมื่อครู่ ก่อนจะช้อนตาขึ้นมองใบหน้าคม

“อย่ามองใครอย่างนี้อีกนะรุ่ง โครตน่า.........”

“พอเลย...พอเลยเขน เมื่อก่อนก็ชอบพูดแบบนี้ แต่ไม่ได้เป็นมากอย่างนี้” เสียงหวานบ่น ก่อนจะฝืนกายที่เมื่อยล้าและเจ็บเสียด พลิกกายตะแคงและเอื้อมไปยังกระเป๋าข้าง ๆ เตียง

“ไปไหนอะรุ่ง” หากคนตัวโตตามมานอนทาบทับด้านหลัง ก่อนที่จะวางปลายคางไว้ที่หัวไหล่กลมมน

“ก็อยาก ‘รู้’ ว่าเอาอะไรมาอวดไม่ใช่เหรอ” รุ่งยังค้นของในกระเป๋า ก่อนที่จะหยิบพ็อกเก็ตบุ๊คเล่มสีขาวออกมา

“หนักนะเนี่ยเขน ถอยออกไปก่อนจะแบนแล้ว” แมวตัวโตยังซนฝังใบหน้าคลอเคลียลำคอขาวระหงด้านหลัง

“ก็อยากอยู่อย่างนี้”

“ตกลงจะไม่ดูของที่จะอวดแล้วใช่ไหม ถ้าไม่ดูจะได้นอน”

“ดูครับ”

“งั้นถอยไปก่อน” แม้คนตัวโตจะยอมถอยตัวออก แต่รวบร่างบางมาไว้ในอ้อมกอด ก่อนกลับมาเอนหลังพิงหมอนที่หัวเตียงอีกครั้ง

“อะไรเหรอรุ่ง” คนตัวเล็กค่อย ๆ เปิดพ็อกเก็ตบุ๊คเพื่อหา ซองใสที่เสียบอยู่ ก่อนดึงออกมา

“ ‘ดอกลิลลี่’ ดอกแรก” คนพูดยิ้มหวานพร้อม ยื่นซองใสที่บรรจุ ‘ดอกลิลลี่’ ที่ถูกทับจนแห้งสนิทไปตรงหน้าคนฟัง

“ดอกแรกที่เขนให้ วันปัจฉิมนิเทศตอนจบมัธยมต้น” คนฟังรับซองใสมาจ้องพินิจ เป็นของเขาสินะ เป็นเขามาโดยตลอด

“ไม่ได้เอาเพื่อนมันมาด้วย รุ่งมีเก็บไว้เต็มสารานุกรม 3 เล่มเลย”

“รุ่ง................” คนฟังพูดอะไรไม่ออก แม้จะจำไม่ได้ แต่รับรู้ในหัวใจถึงความพิเศษของมัน และความพยายามของเราทั้งสองคน

“ไว้ไปที่บ้าน เดี๋ยวจะเอาเพื่อน ๆ มาอวดด้วย มีหลายร้อยดอกเลย”

“มีรูปถ่ายด้วยนะ รูปเยอะแยะเลย ตั้งแต่สมัยตอนเรียนด้วยกัน รูปที่เขนส่งให้ตอนมหาลัยก็มีด้วย”

“ช่าง ‘เก็บ’ จริง ๆ นะเรา” ผมกระชับอ้อมกอด ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผมถึงตกหลุมรัก คนคนนี้ได้ถึงสามครั้ง ก็น่ารักอย่างนี้สิน่า

“มันเป็นของเขนนี่ รุ่งก็ต้อง ‘เก็บ’ ไว้” คนตัวเล็กดึงซองใสกลับไปเก็บอย่างหวงแหน

“ใช่มันเป็นของเขน เหมือนรุ่งที่เป็นของเขนไง” แมวตัวโตรัดร่างบางที่แอบชิดใต้ผ้าห่มแน่น โดยไม่มีปฏิกิริยาขัดขืนของคนอีกคน คงยอมรับแล้วสินะ

“เขนจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นไหม ใกล้เช้าแล้ว”

“ไม่ไปแล้ว อยู่อย่างนี้ดีกว่า รุ่งก็ไม่ต้องลาพระจันทร์แล้วนี่นา เขนจะไปดูพระอาทิตย์ทำไม”

“จริงสินะ ก็รุ่งได้พระจันทร์คืนมาแล้ว” กลายเป็นลูกแมวตัวน้อยที่พลิกตัวมาซุกลงในอ้อมกอดอุ่น

“แปลกนะเขนมักคิดมาตลอดว่า...รุ่งเหมือน ‘แสงจันทร์ เย็นตา ชวนฝัน น่าหลงใหล’” คนตัวโตเชยคางคนตัวเล็ก ขึ้นสบสายตา

“รุ่งก็คิดมาตลอดว่า...เขนเหมือน ‘พระจันทร์’ ส่องแสงสว่าง อบอุ่น นุ่มนวล”

แล้วสมองเล็ก ๆ ที่ปราดเปรียว เก็บเล็กผสมน้อย ช่างสรรค์สร้างก็เอ่ย

“ก็ ‘แสงจันทร์’ ของ ‘พระจันทร์’ ไง”

“ก็ ‘รุ่ง’ เป็นของ ‘เขน’ ตลอดมา” พร้อมส่งรอยยิ้มที่แสนอ่อนหวาน นี่ยังไงหลักฐานที่ทำให้หัวใจทั้งหัวใจหลงใหลเมามัว

“แล้ว ‘รุ่ง’ ก็จะเป็นของ ‘เขน’ ตลอดไปด้วย” คนตัวโตประกาศชัด คำมั่น ที่จะทำทุก ๆ ทางที่ทำให้ ‘เรา’ สองคนอยู่ด้วยกันตลอดไป

 

ของบางอย่าง...... คนบางคน......... เกิดมา

เพื่อ........คู่กัน

เพื่อ..........เติมเต็มกัน

เพื่อ...........เป็นของกันและกัน

 

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แม้ฝันดีหรือฝันร้ายจะผ่านเข้ามา

สักวันมันก็จะผ่านพ้นไป

 

เพราะความจริง ข้างในหัวใจของเราทั้งสองคน

เรา ‘รู้’ ..............ว่ามันจะเป็นความจริงอย่างนั้นเสมอ







#JKLTHESERIES



Talk;

เราอยากเล่า JKL อย่างที่บอกเป็นการ Rewrite จากแฟนฟิคมาเป็นวาย ดังนั้นในครั้งแรกที่ปล่อยออกมาเมื่อห้าปีก่อน เราปล่อย KEEP มาก่อน แล้วเขียน SF สั้นๆ มาเรื่อยๆ จนกลายมาเป็น LOVE แล้วช่วง LOVE ปล่อยได้สามสี่ตอนเราปล่อย JUST ออกมา ซึ่งตอนนั้นไม่มีใครคิดเลยว่ามันเป็นเรื่องต่อกัน หากแต่ความหวาน ๆ ใน LOVE มันเลยช่วยไม่ให้คนอ่านทรมานมากเท่าการปล่อยตามลำดับเวลาในครั้งนี้

หากแต่ท่านที่อดทนอ่านมาได้ถึงตอนนี้ ช่วงต่อไปคือกำไรของท่าน อีกทั้งอ่าน LOVE ไปปมของ JUST กับ KEEP จะค่อย ๆ คลายตัวออก แม้เชื่อว่าคงจะพอเดา ๆ กันได้ แต่มาดูว่าทั้งสองเรื่องจะประสานกันอย่างไรนะคะ

LOVE ในความรู้สึกเรามันจะคล้ายๆ ซิทคอม ที่สื่อถึงความรักของเขาทั้งสองคนค่ะ จะพยายามทยอยอัพให้เหมือนเดิมนะคะ

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

JUSTWIND

 

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: JKL THE SERIES: KEEP: OPENING (ENDING OF KEEP) 21.02.2018
«ตอบ #112 เมื่อ21-02-2018 14:50:15 »

 :L2: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ abcee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: JKL THE SERIES: KEEP: OPENING (ENDING OF KEEP) 21.02.2018
«ตอบ #113 เมื่อ21-02-2018 17:19:54 »

กำลังตามอ่านจ้า แวะมาแสดงตัวก่อน ขอบคุณจ้า

ออฟไลน์ april

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1219
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +239/-12
Re: JKL THE SERIES: KEEP: OPENING (ENDING OF KEEP) 21.02.2018
«ตอบ #114 เมื่อ21-02-2018 22:59:50 »

 :L2:

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: BAD VALENTINE 22.02.2018
«ตอบ #115 เมื่อ22-02-2018 11:02:37 »

Chapter I: Bad Valentine

 



‘เริ่มแล้วสินะ’ 

ผมเริ่มกลับมาใช้ชีวิตคนเดียวอีกครั้ง บางครั้งความหลังในครั้งอดีต ก็ไม่ได้การันตีว่าจะสามารถผูกรั้งความรักได้เสมอไป เพราะความรักมันเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตในปัจจุบันมากกว่า ทั้งที่ผมตั้งใจว่าจะทำให้ดีที่สุด แต่ในเมื่อผลออกมาเป็นอย่างนี้ก็ต้องรับมันให้ได้

แม้มันไม่ได้เจ็บปวดมากเท่าครั้งก่อน ๆ แต่เหมือนทุกลมหายใจกลับขัด ๆ เพราะอย่างน้อยก่อนหน้านี้ยังตระหนักรู้เสมอถึงความรักที่ส่งมา แม้เจ้าตัวจะไม่รู้ แต่ตอนนี้เมื่อสัญญาณแห่งความรักถูกตัดขาด

“เฮอ..................” ผมถอนหายใจให้กับหัวใจตัวเอง ทั้ง ๆ ที่รู้ ยังเฝ้าคอยหาคนที่จะขึ้นลิฟต์ด้วยกันในตอนเช้า ต้องเตือนตัวเองไว้ ‘ไม่มีแล้ว’ และตัดใจก้าวขึ้นลิฟต์คนเดียวอีกครั้ง

 

‘ZZZZZZZZ’ ไอโฟนสีขาวสั่นอยู่บนโต๊ะทำงาน

‘ทานข้าวหรือยังครับ อย่าลืมทานข้าวเช้านะ เป็นห่วง’

ความผูกพันและความเห็นใจทำให้ข้อความพวกนี้ยังถูกส่งอย่างสม่ำเสมอ ‘คำหวาน’ ที่พยายามสื่อความห่วงใย แต่มันกลับตอกย้ำความอ้างว้างในจิตใจ มันคงจะดีสำหรับคนที่มีความหวัง แต่มันทำร้ายคนที่หมดแล้วซึ่งความหวังอย่างผม

“รุ่ง.....ทานข้าวหรือยัง” คำถามแสดงชัดถึงเยื่อใยบาง ๆ ระหว่างกันที่ยังผูกมัดแน่นหนา แต่การกระทำกลับตรงกันข้าม ถ้าจะถามหลังจากหมดช่วงเวลาพักกินข้าวไปแล้ว

ถามทำไม...

ความหมายในประโยคกับช่วงเวลามันช่างตอกย้ำ..... การแปรเปลี่ยน

“ทานแล้ว” มันคงเป็นแค่ประโยคทักทายสินะ

“เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นแล้วใช่ไหม”

“จะให้ตอบยังไงเหรอเขน” ผมถามตามความรู้สึก

“เขนเสียใจ” จะบอกเพื่ออะไร

“ไปเถอะ” ผมจึงพยายามรวบรวมสมาธิ ก้มหน้าก้มตาทำงานอีกครั้ง เพื่อดึงความสนใจทั้งหมดของตัวเองจากเขา

และทุกอย่างยิ่งชี้ชัดความขัดแย้งระหว่างความอ่อนไหวที่เขามีกับการกระทำที่ตอกย้ำว่าไม่มีวันจะกลับมาเป็นเฉกเช่นเดิม เมื่อตอนเย็นเขาออกไปกับคนคนนั้น ผมต้องฝืนแสดงให้เห็นว่าทุกอย่างยังคงปกติ

ทั้ง ๆ ที่..... ภายในหัวใจจวนเจียนจะขาดใจตาย

 

“รุ่งจ๋า........คิดถึง” เสียงที่คุ้นเคยจากปลายสาย

“........................” ยังคงทำทุกอย่างเหมือนเคย

“ตอนเย็นไปทานอะไรมาครับ” ไม่เคยหยุดได้เลย

“หยุดสักทีได้ไหม ไหนว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก” ทั้ง ๆ ที่ตกลงกันไว้แล้ว

“แค่อยากบอกว่า... เขนเป็นห่วง”  ถ้าเขาไม่ยอมหยุด

“‘รู้’ แล้ว แค่นี้ใช่ไหม” ผมก็ควรจะต้องหยุดมันเอง

“ครับ กู๊ดไนท์” คนที่ถูกหยุดน้ำเสียงเศร้าก่อนวางสายไป

‘คนที่ถูกหยุด’ ไม่สามารถรับรู้ได้ว่า ‘คนที่พยายามหยุด’ คนอื่น กลับหยุดตัวเองไม่ได้ อาการเหน็บหนาวเย็นชาเกิดขึ้นตั้งแต่ขั้วหัวใจแผ่กระจายออกไปจนถึงมือที่ประคองโทรศัพท์ ปลายนิ้วหมดความรู้สึกจนทำไอโฟนร่วงหล่นบนที่นอน

เพียงเพราะ ‘ถ้อยคำ’ ไม่กี่คำ..... จากความหวังดีกลับ ‘ทำร้ายใจ’ คนที่ต้องเข้านอนคนเดียวให้โหยหาอาวรณ์ มือเรียวบางค่อย ๆ ลูบไล้บนที่นอนอันเย็นเฉียบ เพียงแค่ไม่กี่วันก่อน เขาคนนั้นยังนอนเคียงข้าง หยอกล้อ คลอเคลีย มอบไออุ่นซึ่งกันและกัน เมื่อหยิบหมอนใบสีขาวนุ่มฟูที่วางเคียงกันมากอดไว้ในอ้อมอกก็ได้กลิ่นหอมจาง ๆ มันยังติดตรึงชัดเจนอยู่ในความรู้สึก จะข่มตาลงนอนได้อย่างไร

คนอดนอนทั้งคืนฝืนพาร่างกายที่ไร้หัวใจมาทำงาน แต่ความอ่อนล้ายังไม่สามารถเทียบเคียงความอ่อนใจได้แม้แต่น้อยนิด ยิ่งมาพบช่อลิลลี่สีขาวช่อโตบนโต๊ะทำงาน



สุขสันต์วัน...............วาเลนไทน์

ขอบคุณสำหรับความรักที่มั่นคงตลอด 18 ปี

แม้ว่าปีนี้เราจะไม่ได้อยู่เคียงข้างกัน

แต่ขอเพียง ‘รู้’ ไว้เสมอว่า

รักครับ

เขน

 

‘วาเลนไทน์’ วันแห่งความรัก ไม่ใช่วันของความเอื้ออาทร

ถ้าเลือกแล้วว่าจะ ‘ไม่รัก’

ถึงดอกไม้กี่ช่อ ก็ทดแทนความรักไม่ได้ ชดเชยไม่ได้

 

ขณะที่ ‘เขา’ และคนคนนั้นเตรียมออกไปดินเนอร์ใต้เสียงเทียนร่วมกันในวันวาเลนไทน์ ผมกลับต้องทนเห็นภาพบาดใจ และกรีดย้ำลงในบาดแผลแห่งความเดียวดาย

วันแห่งความรัก

ก็ต้องเป็นวันสำหรับ ‘คนรัก’

คนอื่น คนที่ ‘ไม่ได้รัก’ เช่นผมต้องหยุดคิดถึง ‘ถ้อยคำ’ อ่อนหวานในการ์ดใบนั้น เพื่อให้ความเหงาเบาบางลงไป



“รุ่งเมื่อคืนไปไหนมา....เขนไปรอที่บ้าน”

“โทรศัพท์ก็ไม่รับ รุ่งจ๋า..........” คนถามทอดเสียงออดอ้อน

“นอนที่ออฟฟิศ กำลังเตรียมโครงการใหม่” ผมตอบ ขณะที่ลมหายใจเริ่มติดขัด

“ทีมก่อสร้างที่ทำงานกับรุ่งยังชิวอยู่เลย แบบโครงสร้างอัปเดตมาแล้วเหรอ รุ่งยังต้องรีบปั่นงานทำไม”

“ต้องเตรียมคอนเซ็ปต์คร่าว ๆ เข้าบอร์ดบริหารวันจันทร์หน้า ยังไม่ต้องใช้แบบหรอก”

“ได้นอนบ้างหรือเปล่า ตาช้ำไปหมดแล้ว” มือใหญ่เชยคางผมขึ้นมองสบตา

“อย่าทำอย่างนี้เขน มันจบแล้ว” ผมเบือนหน้าหนีจากมือและสายตาที่ฉายชัดความรู้สึกคู่นั้น

“อย่าทำให้มันยุ่งยาก ลุกลามมากกว่านี้เลย หยุดเถอะเขน” ผมพูดโดยไม่อาจหันกลับไปมอง

“รุ่ง..............................” เสียงฝีเท้าหนักเดินจากไป

แค่.....ความสงสาร

เขาเพียง.....แค่สงสาร ผมย้ำบอกตัวเอง

ผมต้องหยุดรับความเอื้ออาทร......เพราะความสงสารนั่นให้ได้

ผมต้องหยุดไม่ให้เขา ‘ราดน้ำมันลงมาในกองไฟ’ ในใจให้ได้...........ก่อนที่จะลุกลามมากไปกว่านี้

 

ความจริงงานในเฟสนี้ไม่ต้องลงพื้นที่ แต่เหตุผลในใจผลักดันให้ต้องทำ

“พี่บลูครับผม พรุ่งนี้ผมติดต่อที่ไซด์ไว้แล้วว่าจะลงไปดูพื้นที่จริงหน่อย เผื่อจะได้ไอเดียอะไรมาบ้าง”

“อืม ไปเถอะรุ่ง......แต่อย่าหักโหมมากนะ” พี่บลูตบบ่าเบา ก่อนที่จะพูดต่อ

“รวมถึงเรื่องนั้นด้วย” พี่บลูคงรู้เรื่องแล้ว

“ครับ”

โครงการใหม่ที่ผมรับผิดชอบอยู่ในกรุงเทพฯ แม้ระยะทางจะไม่ไกลนักแต่การจราจรที่แน่นขนัด จึงตัดสินใจไม่เข้าออฟฟิศในตอนเย็น ห่างกันบ้างทำให้พอมีระยะเวลาทำใจ วันนี้ได้กลับบ้านเร็วชวนน้อง ๆ ไปเตะบอลน่าจะดี แต่ก่อนจะได้โทรนัดน้องชาย

‘ZZZZZZZZ’ ไอโฟนสีขาวมีข้อความเข้าอีกครั้ง

ข้อความที่ทำให้ผมตัดสินใจเลี้ยวรถกลับ

‘เขนรอที่บ้านนะรุ่ง’

คืนนี้น่าจะมีงานที่ต้องเคลียร์กะทันหัน งานที่ว่าคือเคลียร์เขาออกไปจากหัวใจ ‘ตอนนี้’ ให้เร็วที่สุด

พยายามมาทั้งวัน..........เพียงแค่ข้อความเดียว

ต้องหยุดอาการอ่อนไหวนี่ให้ได้

 

ไม่ต้องลืมตาก็รู้ว่าใคร มานั่งลูบผมของผมเล่น ต้องทำใจอยู่นานก่อนฝืนใจดันตัวขึ้นจากถุงนอน

“นอนต่ออีกหน่อยก็ได้รุ่ง ยังไม่ถึงเวลาทำงานหรอก” เมื่อมองผ่านกระจกออฟฟิศจาก ก็เห็นวิวใจกลางกรุงเทพฯ ที่มีเพียงแสงอ่อนสาดส่องรำไรจากดวงอาทิตย์ที่พึ่งโผล่พ้นขอบฟ้า ยังเช้ามืดอยู่

“ทำไมมาทำงานแต่เช้า” ผมมองคนที่มาปลุก

“ก็มีคนไม่กลับบ้าน ให้เขนนอนสบายคนเดียวได้ไง” มือใหญ่ยังเอื้อมมาสางผมยุ่งให้เข้ารูปเข้ารอยบ้าง

“เหนื่อยไหมรุ่ง ได้นอนตอนกี่โมง” ผมยังพยายามเรียกสติกลับมา

“ไม่เป็นไร ก็ได้นอนบ้าง” ช่วงนี้เรื่องอะไร ๆ มันค่อนข้างยุ่งยากซับซ้อน

“วันหลังกลับไปนอนบ้านเถอะ ให้เขนมารับก็ได้ จะได้หลับในรถ” ก่อนจะตระหนักได้ถึงความสัมพันธ์ของเราที่มันเปลี่ยนแปลงไป

“เขนอย่าทำอย่างนี้ ‘ตอนนี้’ ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว” ผมให้สติเขา และตอกย้ำตัวเอง

“แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้นี่รุ่ง” ผมหลับตาลงเพื่อสงบใจตัวเอง

ใช่สินะ ‘เพื่อน’ คือคำนิยามความสัมพันธ์ใน ‘ตอนนี้มีเพียงแต่ผมที่อ่อนไหว กับความห่วงใยใจดีของเขา ทั้งที่ทุกอย่างที่เขาแสดงออกคือ ‘เพื่อน’ มีเพียงหัวใจของผมเองที่เกินจะรับไหว ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวอีกต่อไป

คงต้อง......

“เขน.......ถือว่ารุ่งขอร้องเถอะ อย่ามายุ่งกับรุ่งอีกเลย” ผมตัดใจสบตาคมคู่นั้นตรง ๆ

“ถ้าทำอย่างนี้เมื่อไหร่รุ่ง จะตัดใจได้” ร่างกายเริ่มสั่นไหวกับคำพูดของตัวเองที่สื่อออกมาจากหัวใจ

“เมื่อ ‘ไม่รัก’ รุ่งแล้ว ก็ปล่อยรุ่งไปเถอะ”

หยุดได้แล้ว พอได้แล้ว

 

“เลิกเล่น ไม่เล่นแล้ว ไม่เล่นแล้วรุ่ง” ในที่สุดคนตัวโตก็โวยวาย ออกมา

“แน่ใจ” ผมแอบถอนหายใจ ถ้าเขาไม่ยอมแพ้ก่อน ผมก็ใกล้จะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน

“ใช่ ไม่เอาแล้วอะ ไม่เล่นแล้ว” ร่างบางถูกคนตัวโตรวบไปกอดไว้ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นอีกครั้ง

“ก็ใครใช้ให้ไปรับปากน้องมันเอง” ผมตอบพร้อมกลับพยายามผละออก แต่เหมือนคนตัวโตไม่ยอมปล่อยอีกแล้ว

“ก็ใครจะคิดว่ารุ่งจะเล่นแบบนี้” ก็เขนเป็นคนหาเรื่องเอง

“ก็ไม่ได้ขี้โกงนี่นา” ผมมั่นใจ

“ไม่ขี้โกงก็จริง แต่รับไม่ไหวแล้วอะ รุ่งไม่น่าช่วยไอ้เด็กแสบนั่น” เสียงออดอ้อนตัดพ้อ

“เปล่าไม่ได้ช่วย ตั้งใจเอง ก็เขนไปรับปากง่าย ๆ อย่างนั้นเอง” น่าหมั่นไส้จริงๆ ตอนรับปากไม่คิดถึงคนอื่นเอง ก็ช่วยไม่ได้

“เขนขอโทษอะ ไม่ทำอีกแล้วนะ เลิกเล่นนะ ไม่ไหวแล้ว” คนพูดกำลังกดจมูกคมลงมาซุกไซร้ที่ลำคอ

“ปล่อยก่อนนี่ออฟฟิศนะเขน มีกล้องวงจรปิดด้วย” ผมรีบดึงตัวออกจริงจังต้องตัดไฟแต่ต้นลม พร้อมย้ำต่อไป

“แล้วไปบอก ยอมแพ้เจ้าเฟรมด้วย”

 

ย้อนไปสัปดาห์ก่อนวันวาเลนไทน์หนึ่งอาทิตย์

“พวกพี่สองคนอยู่ไกล ๆ กันสักครึ่งชั่วโมงได้ปะ ผมน้ำตาลจะขึ้น”

ตั้งแต่กลับมาคนตัวโต นอกจากแทบจะไม่ยอมนอนคอนโดตัวเอง โดยให้เหตุผลว่า ‘เหมียวมันไม่ชอบอยู่คอนโดไม่มีที่เดินเล่นมาอยู่บ้านรุ่งดีกว่า’ ทั้งแมว และเจ้าของแมวจึ งย้ายมานอนที่บ้านกึ่งถาวร

อีกทั้งยังหอบเอาโน้ตบุ๊กตัวเองมานั่งในฝ่ายคนอื่น โดยลากเอาเก้าอี้รับแขกจากห้องพี่บลูมายึดไว้ถาวร พร้อมแบ่งที่บนโต๊ะทำงานผมไปเกือบครึ่ง พี่บลูได้แต่อมยิ้มไม่ว่าอะไร ดูเหมือนพี่เชนจะส่งเสริมเห็นดีด้วย เนื่องจากได้เดินมาคุยงานกับเขนที่ฝ่ายคนอื่น (ย้ำว่าฝ่ายคนอื่น) บ่อย ๆ จึงไม่แปลกใจที่เจ้าถิ่นแบบเฟรมเริ่มโวยวาย

“พี่เขนไม่ต้องไปที่ไซด์เหรอ ต้องลงพื้นที่แล้วไม่ใช่เหรอ” เจ้าเฟรมพยายามขับไล่

“ไซด์ใกล้แค่นี้เองเดี๋ยวไปก็ได้” ช่วงนี้ทั้งเขนก็รับผิดชอบโครงการในกรุงเทพฯ เหมือนกัน หากแต่คนละโครงการกับผม

“ผมชอบวิวโต๊ะพี่รุ่งอยู่ด้วย พี่มานั่งที่นี่บังวิวหมดเลยอะ” นอกจากห้องพี่บลูแล้วก็มีโต๊ะผมติดกับกระจกมองเห็นวิวเมืองกรุงข้างล่าง ลำพังตัวผมนั่งคนเดียว คงพอแบ่งวิวสบายตาให้เด็ก ๆ ในฝ่ายได้บ้าง แต่พอคนตัวโตแฝงร่างเข้ามาเนียนนั่งด้วยก็บดบังทัศนวิสัยไปจนเกือบหมด

“เนี่ยพี่เขนมดขึ้นเต็มฝ่ายไปหมดเลย พี่ ‘ไม่รัก’ กันบ้างได้ปะ” มดขึ้นจริง แต่คงเป็นเพราะขนมที่สองหนุ่มที่กำลังพูดคุยกันอยู่ ขยันหามากินด้วยกันมากกว่า

“โห ‘ไม่รัก’ กัน ง่ายกว่ารักกันอีก” เจ้าตัวโตตอบน้อง จริงเหรอผมกำลังนึกสงสัย แต่ยังคงฟังเงียบ ๆ ต่อไป

“งั้น พี่เขนผมขออะไรอย่างดิ อาทิตย์หน้าพี่แกล้ง ‘ไม่รัก’กัน สักอาทิตย์ได้ไหม เป็นเพื่อนผมหน่อย”

“จะวันวาเลนไทน์แล้วด้วย ผมยังไม่มีใครเลย ผมเหงา” ไอ้เฟรมอ้อน

“ก็ได้ วันวาเลนไทน์ ก็แค่วันที่ฝรั่งอุปโลกน์ขึ้นมาหลอกขายช็อกโกแลต วันแห่งความรักไม่จำกัดหรอกว่าเป็นวันไหน” ข้อนี้ผมเห็นด้วย

แต่...’ก็ได้’ นั่นหมายความว่ายังไง

“งั้นหมายความว่าพี่จะแกล้ง ‘ไม่รัก’กัน อาทิตย์นึงให้ผมใช่ปะ” นั่นไงเขน เสร็จเจ้าเฟรม

ผมเริ่มฉุน ‘ไม่รัก’ ทำได้ง่ายจริง ๆ เหรอ

“เอ่อ........” คนตัวโตเริ่มไม่มั่นใจ

“ผมว่าพี่เขนทำไม่ได้หรอก” เฟรมยังคงเสี่ยมต่อไป

“แค่ ‘ไม่รัก’ เอง ง่าย ๆ ลองดูก็ได้” คนตอบก็ยุง่ายเป็นทุนเดิม มันง่ายมากเลยใช่ไหมเขน

“งั้นถ้าพี่ทำไม่ได้ พี่ก็แพ้นะ พี่ต้องเลี้ยงข้าวผมอีกอาทิตย์เลย ว่าไงพี่เขน” เริ่มมีการท้าพนันกัน เหมือนผมไม่ได้นั่งอยู่ เห็นผมเป็นอะไร

“โอเคเฟรม” ผมเงยหน้าขึ้นมาตอบให้แทน

ลองดูก็ได้ ถ้า ‘ไม่รัก’ กันมันง่ายนัก ก็ลองไม่รักกันอาทิตย์นึง

 

แล้วผลก็ออกมาเจ้าเฟรมชนะ เย็นวันนี้เขนจึงต้องเริ่มทำตามสัญญาเลี้ยงข้าวน้อง

“นี่ผมต้องขอบคุณพี่รุ่งจริง ๆ สุดยอดอะ เนียนมาก” เฟรมดีใจออกนอกหน้า

“พี่เขนแทบกระอักเลือดตายเลย” ผมฝืนยิ้มตอบ ไม่อยากบอกใครว่าผมก็แทบตายเหมือนกัน

“ถ้ารุ่งไม่ใช้มุกนั้นนะ แกก็ไม่ชนะหรอกเฟรม” คนตัวโตโวยวาย

“แต่ยังไงผมก็ชนะอยู่ดี กินข้าวฟรีหนึ่งอาทิตย์ แต่พี่รุ่งคิดได้ไง แกล้งอกหักเนี่ย”

“ก็ ‘ไม่รัก’กัน พี่ก็อกหักไม่ใช่เหรอ” ผมตอบ ไม่ได้ขี้โกงซะหน่อย

“เขนก็แค่คิดว่ากลับไปเป็นเพื่อนเหมือนเดิมอาทิตย์นึง” เอาอีกแล้ว

“งั้นอาทิตย์หน้าลองกลับไปเป็นเพื่อนอีกอาทิตย์ไหม” ผมตอบ

“ไม่ ไม่เอาแล้ว ไม่ลองอะไรแล้ว เป็นคนรักดีอยู่แล้ว” รู้จักเข็ดซะทีนะเขน

“แต่จริง ๆ แล้วก็ดีนะ พอพี่รุ่งไม่กินข้าวด้วย ผมได้กินข้าวฟรีตั้งแต่ต้นอาทิตย์เลย”

“ได้ไปดินเนอร์วันวาเลนไทน์กับพี่เขนด้วย” เจ้าเฟรมมันขำ มันแสดงบท เป็นคนคนนั้นให้ผมมาตลอด

“งั้นหมดมื้อนี้ก็ครบอาทิตย์นึงแล้วนะเฟรม”

“อ้าวได้ไงอะพี่”

“ก็พี่เลี้ยงเฟรมมาทั้งอาทิตย์แล้วไง” สองคนนั่นยังคงเถียงกันต่อไป จนในที่สุดเฟรมก็ยอม

“เออ ก็ได้ผมไม่อยากกินข้าวแล้วเห็นพี่หวานกันตลอด ๆ อย่างนี้หรอก แค่ที่ทำงานก็จะแย่แล้ว”

 

เมื่อเฟรมขอแยกตัวกลับบ้าน วันนี้ผมคงได้กลับไปนอนที่บ้านสักที

“วันนี้ตื่นมาแต่เช้า เขนกลับคอนโดเลยแล้วกัน เดี๋ยวรุ่งขับรถกลับเอง” ผมเตรียมปลีกตัวบ้าง

“เขน ขับตามกลับบ้านด้วย คอนโดให้เขาเช่าไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อน แล้ว”

“อ้าวทำไมล่ะ” ผมตกใจ

“ก็ยังไงเขนก็ไม่กลับไปนอนอยู่แล้ว มีคนขอเช่าเลยให้เขาเช่าไป นี่ก็เก็บของหมดแล้วอยู่ท้ายรถ”

“กลับบ้านดีกว่านะ เมื่อวาน เขนขออนุญาตม๊าแล้วด้วย” คนพูดเนียนมาก จะย้ายตัวเองไปนอนบ้านคนอื่น โดยไม่ปรึกษากันบ้างเลย

“....................................” ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าตกลงเกมนี้ใครชนะ

 

ผม เขน หรือเฟรม มันดูงง ยังไงบอกไม่ถูก

แต่ตอนนี้เราสองคน ‘รู้’ อีกอย่างหนึ่งเพิ่มเติม

 

‘ไม่รัก’ กัน มันโคตรทรมาน เขนคงเข็ดมากขึ้นจากเกมครั้งนี้

ส่วนผมคงไม่ยอมให้มันมีวันนั้นอีกตลอดไป

วันแห่งความรักไม่จำเป็นต้องเป็นวันวาเลนไทน์ ขอเพียงแค่เราสองคน ‘รัก’ กันอย่างนี้ทุกวันก็พอเพียงแล้ว





#JKLTHESERIES

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: CLOSER 23.02.2018
«ตอบ #116 เมื่อ23-02-2018 10:51:44 »

Chapter II: Closer

 





เป็นเวลาเดือนเศษที่ผมย้ายมาอยู่ที่บ้านเดียวกันกับคนรักของผมอย่างถาวร ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นแต่ ‘งาน’ ทำให้เวลาทั้งของเขา และผมไม่ค่อยจะตรงกันเท่าไหร่ ระยะนี้ตัวผมเองต้องลงพื้นที่ไซด์งานก่อสร้างในขณะที่อีกคนก็ยุ่งเตรียมวางแผนการตกแต่งของอีกโปรเจค

ผมมักตั้งใจ จริงจัง และคาดหวังสูงมากไม่ว่าจะต้องรับผิดชอบงานอะไรก็ตาม เช่นเดียวกันกับอีกคนที่มุ่งมั่น ทุ่มเท กับทุก ๆ งานของเขา ซึ่งทำให้เราต่างเข้าใจซึ่งกันและกันมาโดยตลอด แม้ว่าแทบจะไม่เหลือเวลาที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกัน

ห้าทุ่มกว่าผมขับรถออกมาจากไซด์งาน เปิด Bluetooth ต่อสายโทรหาคนรัก

“รุ่งจ๋า.......อยู่ไหนครับ”

“ยังอยู่ที่ออฟฟิศน่ะเขน กลับบ้านแล้วเหรอ”

“พึ่งออกมาจากไซด์ รุ่งยังไม่กลับอีกเหรอ”

“ขอเคลียร์งานอีกสักพัก ถ้าไม่ไหวอาจนอนที่ออฟฟิศเลย เฟรมก็นอนที่นี่ สลบไปแล้ว”

“ให้เขนไปรับไหม” ผมรีบอาสา

“ไม่ต้องหรอกเขนกลับไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวรุ่งขับรถกลับเอง”

“คิดถึงรุ่ง” เราสองคนไม่ได้เจอหน้ากันเกือบอาทิตย์เลยนะ

“อืม...ก็คิดถึงเหมือนกัน แต่อยากเคลียร์งานให้เสร็จก่อน เสาร์อาทิตย์นี้อยากพัก รุ่งนัดเพื่อนเก่าไว้ด้วย อยากพาเขนไปพบ” ผมกับรุ่งตกลงกันไว้ ผมจะต้องไม่คิดเรื่องอดีตนั่นให้เกิดอาการปวดหัวอีก และรุ่งจะค่อย ๆ เล่าให้ฟัง ถึงความทรงจำของเราที่มีต่อกันในครั้งอดีต

“ครับ งั้นเขนรอนะ”

“อืม” ยิ่งงานยุ่งมาก รุ่งยิ่งพูดน้อยลงไปทุกที

ผมวางสายไปแล้วตัดสินใจขับรถมุ่งหน้าเข้าเมืองแทน ให้รุ่งทิ้งรถไว้ที่ออฟฟิศก็ได้ อยากไปรับ อยากเห็นหน้า บางเรื่องไม่ต้องมีเหตุผล ใช้เสียงเรียกร้องจากหัวใจสั่งการ







“ก็ว่าอยู่ ปกติไม่เคยยอมวางสายง่าย ๆ” คนทัก ไม่แม้จะละสายตาจากแผนงานข้างหน้า แต่ทักเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใหม่ได้ในทันที

“ก็คิดถึง” ผมเดินอ้อมมาด้านหลังพนักเก้าอี้ โอบร่างบางแล้วกดจมูกไซร้ความหอมจากพวงแก้มใสนั่นเบา ๆ

“เจ้าเหมียวตัวโตไปนั่งโน่นก่อนนะ รอแป๊บเดียว” ผมถูกผลักไสเล็ก ๆ จึงแกล้งทรุดนั่งที่พื้นข้าง ๆ เก้าอี้ เอนตัวพิงโต๊ะทำงาน หันหน้าเข้าหาใบหน้าหวาน

“อยากอยู่ใกล้ ๆ อะ อยู่ตรงนี้ก็ได้” ได้ผลจริง ๆ สายตาหวานยอมละจากงานมาส่งสายตาระอาเล็ก ๆ ให้ผม

“เขน........ไปนั่งดี ๆ ก่อนขอครึ่งชั่วโมง ไปนอนกับเฟรมก่อนก็ได้ เดี๋ยวรุ่งไปปลุกนะ”

“ไม่อะคิดถึง ขอนั่งมองหน้ารุ่งอยู่ตรงนี้ดีกว่า”

“มาจ้องกันอยู่อย่างนี้ จะทำงานได้ไงล่ะเขน”

“งั้นนอนก็ได้” ผมเลยฟุบลงที่ตักของคนกำลังนั่งทำงาน

“เหมียวก็เหมียวเถอะแพ้เขนแน่ ๆ ไม่ไปจริงใช่ไหมนี่” ผมส่ายหน้าเบากับตักของรุ่ง

“เฮอ.........งั้นก็นอนไปก่อนเดี๋ยวปลุก” คนนั่งใจอ่อนแถมยังยอมลูบผมเบา ๆ กล่อมให้อีกด้วย เป็นเหมียวนี่ก็ดีนะ ผมแอบยิ้ม

 

“เขน เขน ตื่นนะกลับบ้านกัน” มือเล็กเขย่าเบา ๆ ที่ต้นแขน รุ่งเก็บของที่โต๊ะเสร็จแล้ว

“งานเสร็จแล้วเหรอรุ่ง” ผมยังงัวเงีย น่าจะนอนไปนานเกินชั่วโมง รุ่งใช้มือสางผมยุ่ง ๆ ให้

“กลับก่อนค่อยมาทำต่อวันจันทร์ สงสารแมวนอนคอย” ใบหน้าหวานส่งยิ้มขำ ๆ ให้

“แล้วก็เป็นเหน็บชาแล้วด้วย”

“เดินไหวไหมให้อุ้มไหม”

“เขนเดินให้ตรงก่อนเถอะ ขับรถไว้ไหม ให้รุ่งขับให้ก็ได้” ผมจับมือบางไว้ก่อนดันตัวลุกขึ้น

“แค่นี้สบาย” ผมแบกเป้รุ่ง แล้วฉุดมือบางออกมาจากโต๊ะ ก่อนที่จะแกล้งเขี่ยเจ้าเฟรมที่นอนกรนเบา ๆ ในถุงนอน

“ยังจะแกล้งน้องอีก ไปกลับได้แล้ว” แหมแตะนิด แตะหน่อย ก็ไม่ได้เจ้าเด็กร้ายนี่

รถยังออกมาไม่ทันพ้นลานจอดรถ รุ่งก็ดูเหมือนจะแบตหมดกะทันหันแต่ยังฝืนนั่งโงนเงน ผมจึงดึงร่างบางเอนซบไหล่ของผมไว้บ้าง

“อืมขอบใจเขน” แค่นี้ก็คุ้มยิ่งกว่าคุ้มที่ตัดสินใจขับรถย้อนเข้าเมืองมาแล้ว

ความรัก และ คนรัก บางที...ไร้ซึ่งการเรียกร้องใดๆ

แค่เพียงได้เดินทาง...เคียงคู่กัน เคียงข้างกัน เพียงมีฉันและมีเธอ

 

ตอนนี้เวลาล่วงเลยมาตีหนึ่งกว่าแล้ว ท้องถนนใจกลางเมืองหลวงจึงมีเพียงรถเบาบางแม้ยังคงต้องติดไฟแดงเป็นระยะ แต่ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบ้าน ‘คนรัก’ ของผมยังคงหลับสนิทเสียงลมหายใจยาวสม่ำเสมอ ไม่อยากปลุกเลยจริง ๆ แต่นอนที่เตียงน่าจะสบายกว่า จึงต้องตัดใจ

“รุ่ง รุ่งจ๋า..........ตื่นนะ ถึงบ้านแล้ว ขึ้นไปนอนที่ห้องกันนะ”

“อืม........” ใบหน้าหวานยังคงซบที่ไหล่ คนขี้เซาลองได้นอนแล้ว ไม่ตื่นง่าย ๆ แน่นอน คงต้องอุ้มขึ้นไปจริง ๆ

ผมจึงโอบร่างบางไว้แล้วค่อย ๆ โน้มไปเอนเบาะคนข้าง ๆ ปรับนอนเพื่อวางร่างบางไว้ แล้วอ้อมมาที่ประตูอีกฝั่ง ก่อนที่จะอุ้มรุ่งออกมาจากรถ

“อืม.....ถึงบ้านแล้วเหรอเขน” ร่างบางเอ่ยถาม เมื่อรู้สึกตัว

“นอนต่อเถอะเดี๋ยวเขนอุ้มขึ้นบ้านเอง”

“อือ....” ว่าแต่คนอื่นเป็นแมว ตอนนี้ลูกเหมียวตัวน้อยก็ซุกซบอยู่ในอ้อมอกผมเหมือนกัน

ผมกระชับคนในอ้อมกอดแล้วค่อย ๆ ย่องขึ้นบ้าน เพราะตอนนี้คนที่บ้านน่าจะนอนกันหมดแล้ว เมื่อมาถึงห้องจึงทรุดนั่งที่โซฟาพร้อมคนในอ้อมกอด

“รุ่งจ๋า......”

“หืม.......”

“อาบน้ำไหม...หรือให้เขนเช็ดตัวให้คะ”

“นอนเลยไม่ได้เหรอ.....” เสียงเล็ก ๆ อ้อน

“อาบน้ำก่อนนะ จะได้นอนสบาย ๆ พรุ่งนี้ก็ตื่นสาย ๆ ได้ กลั้นใจนิดเดียวนะ”

“เขนอาบให้หน่อยนะ” ผมหูฝาดไปแน่ ๆ

“อะไรนะรุ่ง”

“อาบน้ำให้หน่อย ง่วงอะ” คนพูดเหมือนละเมอ ขณะที่เปลือกตายังปิดสนิทเหมือนลูกแมวที่ตายังไม่เปิด โอกาสมักไม่ได้มาบ่อยนัก ผมรีบคว้าไว้ คงต้องไปรับทุกวันแล้ว ผมคิดในใจ

 





แล้วคนง่วงก็ทำได้จริง ๆ อาบน้ำโดยไม่ลืมตา ทำเอาคนที่อาบให้ต้องหวั่นไหวอยู่คนเดียว ทันทีที่วางร่างบางบนที่นอนก็ราวกับว่าจมลงสู่ห้วงนิทราโดยฉับพลัน ในขณะที่ผมยังต้องนอนสงบใจอยู่นาน มันเป็นความสุขที่ทรมานมาก ๆ ทีเดียว ที่ได้สัมผัสเรือนร่างที่โหยหามาเป็นแรมอาทิตย์ภายใต้ผ้าห่มผืนเดียว บนเตียงเดียวกัน แต่ทำได้เพียงแอบอิงทั้งสองร่างเปลือยเปล่าไว้แนบชิดกัน กว่าจะข่มตาหลับได้ก็เกือบใกล้รุ่งสาง

 

“เขน......เขน.....ฮึก...ฮือ” ผมสะดุ้งตื่นทั้ง ๆ ที่หลับได้ไม่นาน เปลือกตาสวยนั่นยังปิดสนิท แต่มีรอยน้ำตาไหลเป็นทางจากหางตา

รุ่ง....นอนละเมอ ฝันร้ายอีกแล้ว

ความทรงจำนั่นไม่ได้ทำร้ายแค่ผม แม้ตอนนี้เราจะกลับมาอยู่เคียงข้างกัน กลับมาเติมเต็มซึ่งกันและกัน แต่ความเจ็บปวดในอดีตก็ยังแอบมาเล่นงานรุ่งอยู่เสมอๆ ความลับนี้ผมพึ่งจะรู้ได้ไม่นาน ดูเหมือนเจ้าตัวเองก็รู้ แต่ไม่ได้สนใจมันมากนักเพราะเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

‘ลองเขนฝันร้ายมาเป็นสิบปี เขนก็จะชิน ๆ เหมือนกัน’ ผมได้รับคำตอบนี้มา

รุ่งไม่ได้ฝันร้ายหรือละเมอทุกคืน จะเป็นในคืนที่เหนื่อยล้ามาก ๆ หลับลึกมาก ๆ เหมือนความทรงจำนั่นจะย้อนกลับมาทำร้ายในความฝัน เพราะมันถูก ‘เก็บ’ ลึก และฝังแน่นในจิตใต้สำนึกมากจนเกินไป

“รุ่งจ๋า......เขนอยู่นี่ เขนกลับมาแล้ว ไม่ไปไหนแล้วนะ” ผมทำได้แค่ปลอบ และจูบซับน้ำตานั่น ก่อนที่ร่างบางจะค่อย ๆ ลืมตา

“ละเมอ.....อีกแล้วเหรอ ขอโทษทีนะเขน ช่วงนี้รุ่งเพลีย ๆ” คนพูดน้ำตายังไหลเป็นทาง

“ทรมานมากไหม เวลาฝันน่ะ”

“แค่ความฝันนะเขน แม้ตอนฝันจะเจ็บ แต่พอตื่นขึ้นมาก็หายเจ็บไปกว่าครึ่งแล้ว เทียบไม่ได้เลยกับที่เขนต้องปวดหัวแทบขาดใจ ถ้ารุ่งแลกได้...รุ่งจะแลกให้เลย”

“รุ่ง.................” มันไม่ใช่เพียงแค่พรหมลิขิต แต่เป็นความรักของคนรักของผมต่างหากที่ทำให้ผมวนเวียนกลับมารักเขาได้ถึงสามครั้งสามครา มันเป็นกฏของแรงดึงดูดสินะผมคิด

“ตอนนี้เขนไม่ปวดหัวแล้ว แต่รุ่งยังต้องเจ็บปวดเพราะความฝันอยู่เลย”

“ไม่เป็นไรจริง ๆ เขน แม้มันจะเป็นฝันร้ายที่เจ็บปวด แต่รุ่งรู้ว่ามันจะไม่มีทางเป็นจริง ถ้ารุ่งตื่นลืมตาขึ้นมาแล้วพบเขน” ใบหน้าหวานส่งยิ้มที่ละลายหัวใจนั่นกลับมาให้ผม

“รุ่ง......รุ่งจ๋า..........เขนสัญญาเขนจะไม่ไปไหนเลย ไม่ไปไหนอีกแล้ว ไม่ต้องกลัวอีกแล้วนะ เขนจะอยู่ตรงนี้ ทุก ๆ เช้ารุ่งจะเห็นเขนเป็นคนแรกเสมอ...เขนสัญญา”

แทบจะนับครั้งได้ที่รุ่งจะเป็นคนเริ่มต้นจูบผมก่อน มันมักเป็นเซอร์ไพรส์ที่สร้างความตื้นตันในหัวใจให้กับผมทุก ๆ ครั้ง จูบที่แสนอ่อนโยน อ่อนหวานและเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่เอ่อล้น สามารถถ่ายทอดความรักที่ลึกซึ้งผ่านจูบ จูบนี้ จนอยากหยุดเวลาไว้เพียงแค่ตอนนี้

แม้หัวใจอยากจะรั้งให้ตัวเองเป็นฝ่ายรับจูบรสหวานนี้ให้ยาวนานที่สุด แต่ร่างกายที่ขาดกัน และกันมานานทำให้ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป ผมจึงเปลี่ยนเป็นฝ่ายรุกตอบกลับจูบอันอ่อนหวานนั่นด้วยจูบที่เร่งเร้า เรียกร้องมากขึ้น จนร่างบางเริ่มจะถอยหนี โดยลืมว่าตัวเองนอนอยู่ในอ้อมกอดของใคร จะหนีไปไหนได้ อยากมาแกล้งกันก่อนเองนะรุ่ง

“อือ.....อืม” เสียงหวานครางประท้วงเบา ๆ เมื่อเริ่มขาดอากาศหายใจ

“เขน....ยังง่วงอยู่เลย” คนหายใจหอบช้อนตาปรือขึ้นมาอ้อนวอน

“ไม่ทันแล้วละรุ่ง ค่อยนอนตอนเช้าแล้วกัน” ผมกดจมูกคมลงกลางที่หน้าผากมนอย่างเอ็นดู ก่อนที่จะค่อย ๆ เลื่อนลงมาที่เปลือกตา

“แล้วถ้าอยากให้หยุดจริง ๆ ก็อย่ามองอย่างนี้อีกรู้ไหม” ก่อนที่บรรจงกดริมฝีปากลงที่เปลือกตาเบาๆ

“อือ.....อะไรเล่า ก็แค่มองเฉย” ใบหน้าหวานเขินอายและเริ่มเจือด้วยสีกุหลาบระเรื่อ

“งั้นก็มองเฉยอย่างนี้กับเขนแค่คนเดียวนะ อย่ามองใครอีก” ผมกำชับพร้อมกับดันร่างขึ้นทาบทับร่างบาง สองมือเริ่มลูบไล้ รุกเร้า คนในอ้อมกอดให้สนองตอบมากขึ้น

“เขนพูดแบบนี้มาตั้งแต่ที่เรารักกันครั้งแรกเลย” คนใต้ร่างดูเหมือนจะยอมจำนนต่อความต้องการของกันและกัน โดยไม่พยายามถอยหนีแล้ว

“ไม่แปลกใจเลย ก็รุ่งน่ารัก น่าหวงขนาดนี้” ผมตอบก่อนที่จะหยุดบทสนทนาของเราไว้เพียงแค่นั้น เพราะตอนนี้อยากได้ยินเพียงเสียงครางหวาน ๆ จากคนใต้ร่างมากกว่า จึงบดเบียดริมฝีปากลงประกบปิดริมฝีปากบางด้วยรสจูบที่หวานล้ำ เรียกร้อง และหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น

แม้อารมณ์โหยหาตลอดสัปดาห์ที่คุกรุ่นตั้งแต่ช่วงหัวค่ำผสมรวมกับความทรมานที่ทำได้เพียงประคองกอดร่างบางในขณะนิทรา ปลุกเร้าให้อารมณ์ความต้องการมากขึ้นทับทวี แต่ด้วยความรัก เอ็นดู และทะนุถนอมอย่างยิ่ง ทำให้ต้องข่มสะกดอารมณ์ของตัวเองไว้อย่างมาก เพื่อให้เวลาคนรักได้ปรับตัวพร้อมรับความต้องการนั่น

บทรักจึงเริ่มต้นอย่างละมุนละไมในช่วงต้น โดยการบรรจงประทับรอยจูบ ซุกไซร้ ดูดซับ ความหวานจากร่างบางจนทั่วทุกตารางนิ้ว แล้วค่อย ๆ เพิ่มดีกรีการเรียกร้อง รุกเร้าให้ตอบรับมากขึ้นทุกที ทุกที จนกระทั่งคนรักเริ่มตอบสนองทุก ๆ สัมผัสอย่างเต็มใจ และไร้ซึ่งความเขินอาย จึงเข้ากอบกุม ครอบครอง เร่งเร้าและปลดปล่อยความต้องการของคนใต้ร่างที่ร้องครวญครางเสียงหวานซึ้งจับใจ แล้วจึงเตรียมร่างบางให้พร้อมอีกครั้งเพื่อรองรับบทรักอันร้อนแรงที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น

สองร่างกอดเกี่ยว สอดรัดแนบประสานใกล้ชิดรวมเป็นหนึ่ง หมดสิ้นการควบคุมหักห้ามความต้องการของตัวเอง จังหวะรักสอดประสาน ถาโถม กระตุ้น เร้าเร่งการตอบสนองซึ่งกันและกัน

สรรค์สร้างความหฤหรรษ์ สุขสันต์ เสียวซ่าน และปลดปล่อยซึ่งความร้อนรุ่มทั้งหมดภายในเรือนร่างที่รองรับเวียนซ้ำ ตอกย้ำ บทรักหวานซึ้งยาวนาน ชิดใกล้ มากขึ้น มากขึ้น จมลึกลงทุกที ทุกที

 







ม่านบางที่หน้าต่างทำให้แสงสว่างเล็ดลอดเข้ามาเป็นทาง รวมกับความร้อนจากร่างทั้งสองที่ยังแอบอิง เคล้าเคลียกันไม่ห่างทำให้อุณหภูมิในห้องแอร์ไม่หนาวเย็นมากเท่าที่ควรจะเป็น ความคิดถึงตลอดระยะเวลาที่ห่างกันถูกชดเชยด้วยบทรักที่เร่าร้อนยาวนานที่พึ่งผ่านพ้น แม้แทบไม่ได้นอนตลอดคืน แต่บทรักที่วาบหวามก็ทำให้ผมยังไม่สามารถตัดใจหลับตาลงได้

“เขน........” ใบหน้าหวานที่ยังแดงกล่ำเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมอีกครั้ง

“จ๋า..........” ผมกดจมูกลงที่หน้าผากเนียนอีกครั้งอย่างแสนรัก

“วันนี้ตอนเย็นรุ่งนัดโปเต้กับไทม์ไว้ไปกินข้าวกัน เขนไปด้วยกันนะ”

“สองคนนั่นรู้จักเขนด้วยเหรอ” ผมจำได้ลาง ๆ ว่าสองคนนั่นเป็นเพื่อนร่วมวงของรุ่ง

“คู่นั้นเป็นเพื่อนสนิทเขนก่อนมารู้จักรุ่งด้วยซ้ำ”

“อ้าวเหรอ......ตอนเจอที่มหาลัยไม่เห็นเคยเข้ามาทัก เห็นมีแต่อ้น”

“อืม.....ตอนนั้นพวกเรารู้ไงว่าเขนจำไม่ได้ แล้วเต้กับไทม์ก็ไม่อยากให้เขนเข้ามายุ่งกับรุ่งอีก เพราะกลัวว่าเราสองคนจะกลับไปเจ็บปวดอีกครั้ง”

“อืม....ก็ได้เย็นนี้เราไปกันนะ แล้วอ้นล่ะ เป็นเพื่อนเขนหรือรุ่ง”

“อะ...เอ่อ..........ก็มาเป็นเพื่อนกันทีหลัง” คนตัวเล็กหลบตา ผมยิ่งสงสัย

“ทีหลัง...นี่หลังจากอะไร”

“ก็...หลังจากที่เขนไปต่อยอ้นเรื่องที่......”

“มายุ่งกับรุ่ง” ผมคิดว่าผมเดาถูก

“รู้ได้ไงอะ”

“ก็เดาไม่อยาก ดูสายตาที่มองรุ่งเขนก็รู้แล้ว เย็นนี้มันมารึเปล่า”

“รุ่งยังไม่ได้ติดต่อไป เดี๋ยวโทรไปชวนก็น่าจะมา”

“งั้นก็ไม่ต้องแล้ว แค่เต้กับไทม์ก็พอ เขนหวง” ผมกระชับร่างบางในอ้อมกอด

“เฮอ.....เขนนี่ขนาดจำไม่ได้นะ”

“ไม่รู้ล่ะไม่จำเป็น รุ่งก็ไม่ต้องติดต่อมัน ที่มันติดต่อมานั่นก็ไม่ต้องตอบ”

“..............................................”

“เขนก็รู้ว่า...รุ่งมีเขนแค่คนเดียวตลอดมา”

“ ‘รู้’ ว่ารุ่งรักเขน แต่เขนไม่ไว้ใจไอ้อ้น”

“เขาเคลียร์กันแล้วเถอะ เป็นเพื่อนกันมานานแล้ว”

“ก็นั่นรุ่งคิดไง แต่อ้นไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอก เขนมั่นใจ”

“ไม่เอาแล้ว เราไม่คุยเรื่องคนอื่นดีกว่า”

แม้รุ่งจะรีบเปลี่ยนเรื่อง แต่ผมก็แอบดีใจตอนนี้อ้นเป็นแค่ ‘คนอื่น’ ในขณะที่ ‘เรา’ เป็นคนคนเดียวกัน

“เขนเห็นกล่องบนหลังตู้นั่นไหม” รุ่งชี้กล่องใบย่อมบนหลังตู้เสื้อผ้า

“ไปลงเอามาให้หน่อยสิ รุ่งมีอะไรให้ดู”

กล่องใบย่อมแต่น้ำหนักไม่เบาเลยทีเดียว

“อะไรเหรอรุ่ง” ผมยกกล่องกลับมาวางไว้ข้างรุ่งที่เตียง ก่อนที่จะรวบร่างบางเข้ามาเอนพิงหัวเตียงด้วยกันอีกครั้ง

“ของที่บอกไว้ไงว่าจะเอามาอวด” จริงสินะเกือบลืมไป

“เพื่อนของลิลลี่ดอกนั้นเหรอ” รุ่งกำลังเปิดกล่อง

“อืม....ไม่มีเวลาเลย ว่าจะให้ดูนานแล้ว” รุ่งส่งหนังสือสารานุกรมเล่มโตให้ ถึงว่ากล่องถึงหนักได้หนักนัก

“นี่ไงดอกแรกที่เอาไปอวดที่ลำปางวันนั้น” ผมแกล้งกระเซ้าวันนั้นของรุ่ง

“ที่เราได้ ‘รักกัน’ วันแรก” จึงโดนศอกกระทุ้งเบา ๆ มาหนึ่งที

“ทีเรื่องอย่างนี้จำเก่งเชียว พวกนี้เป็นช่วงเรียนมหาลัยแล้ว” ดอกลิลลี่ทุกดอกสอดอยู่ในซองใสมีรายละเอียดวันเวลาที่ได้รับจดอยู่ในกระดาษโน๊ต

“แล้วก็มีการ์ดพวกนี้ด้วย” รุ่งส่งโปสต์การ์ดรูปเจ้าตัวที่ผมเพียรส่งให้พร้อมดอกลิลลี่

“อย่างนี้......รุ่งก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วสิ” ดวงตาหวานยังคงจ้องมองยิ้ม ๆ จนผมให้เริ่มเขิน

“ตอนแรกก็ไม่แน่ใจหรอก คิดว่าเขนไม่น่าจะจำได้” รุ่งยื่นหน้าเข้ามาใกล้

“และไม่คิดว่าจะกลับมาหลงรักกันได้อีกเป็นครั้งที่สอง” เขารู้ว่าผมเขิน เลยยิ่งแกล้ง

“แต่หัวใจมันบอกว่าใช่ และรู้ว่าใช่เขนจริง ๆ ก็วันนั้นที่โรงพยาบาล”

“รุ่งหลับไม่ใช่เหรอ ก็คุณพยาบาลบอกว่ากินยาหลับไป” ผมแน่ใจว่ารุ่งไม่รู้มาก่อน

“ใช่ แกล้งหลับ เพราะไม่ได้กินยาอะ”

“ร้ายนักนะ” ผมจึงเลิกดูโปสต์การ์ด มาจัดการกับร่างบางในอ้อมแขน หยอกล้อกอดฟัดแกล้งกันสักพักอารมณ์ก็เริ่มเตลิดอีกครั้ง

“เขน......ไม่ดูต่อเหรอ” คนตัวเล็กเริ่มประท้วงเมื่อโดนรุกอย่างหนักอีกครั้ง

“ไว้ดูต่อทีหลังก็ได้”

ตอนนี้มองไม่เห็นอะไรแล้ว ไม่มีสายตามามองใครได้อีกแล้ว

หลงใหล ลุ่มหลง มัวเมาร่างบางอย่างสุดใจ



เรื่องบนเตียงเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ที่ทำให้ร่างกายแนบชิด แสดงออกซึ่งความรัก ตอบสนองอารมณ์ความรู้สึกซึ่งกันและกัน แต่ความพันผูก และรักมั่นที่มีให้กันมายาวนาน ฉุดลึกความ ‘ชิดใกล้’ ในดวงใจของเราสอง ให้รวมเป็นวิญญาณดวงเดียวกันตลอดไป นานเท่านาน





#JKLTHESERIES



มันก็จะหวาน ๆ หน่อย ^^

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: JKL THE SERIES: LOVE: CLOSER 23.02.2018
«ตอบ #117 เมื่อ23-02-2018 14:04:49 »

 :L2: :pig4: :L1:

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: JKL THE SERIES: LOVE: CLOSER 23.02.2018
«ตอบ #118 เมื่อ23-02-2018 16:14:57 »

หวานที่สุด

ออฟไลน์ justwind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
Re: JKL THE SERIES: LOVE: FULFILL (MORE THAN LOVE) 26.02.2018
«ตอบ #119 เมื่อ26-02-2018 09:58:03 »

Chapter III: Fulfill (More than love)

 

บ่ายคล้อย แสงตะวันแผดจ้าสาดส่องเข้ามาตามรอยแยกผ้าม่านในห้องนอน แต่เพราะแอร์คอนดิชั่นที่ทำงานอย่างต่อเนื่องตลอดคืนทำให้อุณหภูมิภายในห้องยังเย็นจัด ผมเพิ่งจะได้นอนจริง ๆ ก็เกือบเก้าโมงเช้า จึงไม่แปลกที่กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้งก็น่าจะบ่ายแล้ว เมื่อไขว่คว้าหาคนตัวเล็กที่อิงแอบอยู่ในอ้อมกอดตลอดคืนจนรุ่งสางไม่พบ หลงเหลือเพียงกลิ่นหอมจาง ๆ ของเจ้าของร่างบางที่อบอวลติดตรึงไปทั่วทั้งเตียงนอนและทั่วทั้งความรู้สึกของผม

“รุ่งจ๋า................” ผมเรียกหาก่อนลืมตาเลยด้วยซ้ำ แต่เมื่อไม่มีเสียงหวานตอบกลับ ผมจึงค่อย ๆ บิดขี้เกียจ แล้วยังคงกวาดตามองหาคนรักรอบห้องซ้ำอีกครั้ง คงลงไปข้างล่างแล้ว

ตลอดมา แม้ผมตื่นขึ้นมาเพียงคนเดียวบนเตียงอันว่างเปล่า แต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่าต้องการอะไร หรือต้องการใคร หากเมื่อพบรุ่งอีกครั้ง ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาโดยลำพัง กลับรู้สึกว่าเหงา ว้าเหว่ อ้างว้าง บาดลึก ราวกับว่าหัวใจรู้อยู่เสมอว่าขาดสิ่งที่สำคัญที่สุดครึ่งหนึ่งของดวงวิญญาณไป ทั้งที่ความทรงจำลบเลือน

ถ้าถามตอนนี้ว่ายังปรารถนาจะฟื้นความจำนั้นหรือเปล่า ยิ่งรู้ว่าคนคนนั้นคือ ‘รุ่ง’ ผมยิ่งก็ปรารถนาแรงกล้าขึ้นที่จะฟื้นคืนความทรงจำครั้งอดีต

แต่เมื่อสัญญาไว้แล้ว.....ผมจึงเฝ้ารออีกครั้ง

รอคอยให้รุ่ง...... ‘เติมเต็ม’ ความทรงจำนั่น ของ ‘เรา’ สองคน

 

ศูนย์การค้าชื่อดังใจกลางเมืองเต็มไปด้วยผู้คนแน่นขนัดในวันหยุดสุดสัปดาห์ ถ้าเลือกได้ผมชอบที่จะเดินเล่นช่วงเย็น ๆ ในวันธรรมดามากกว่า เพราะว่าเกือบ ๆ สามปีในช่วงที่ไม่ได้ลงพื้นที่ไซด์งานพูดได้ว่าผมใช้ชีวิตทำงานที่นี่ตลอด จะว่าเบื่อก็ไม่เชิง แค่เพียงเห็นว่ามันกลายเป็นที่ทำงาน ที่ทำธุระ ที่ซื้อของก็เท่านั้น ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการเที่ยวเล่นพักผ่อนอีกต่อไปแล้ว และมันยิ่งทำให้แอบโหยหาบรรยากาศสบาย ๆ ในธรรมชาติมากยิ่งขึ้นจริง ๆ

บางอย่าง.....มันเปลี่ยนไม่ได้ เหมือนกับนิสัยส่วนตัว ผมยังรู้สึกอึดอัด รู้สึกเหงา ๆ ทุกครั้งท่ามกลางคนแปลกหน้ามากมาย และยังเลือกที่จะเข้าสู่โลกส่วนตัวในวันพักผ่อน เฮดโฟนสีขาวจึงประกบอยู่ที่หูทั้งสองข้างอีกครั้ง พร้อมกับเล่นเกมฆ่าเวลา

ถ้าเพียงแค่.....ชีวิตนี้ปราศจาก ‘เขา’ ผมไม่แน่ใจว่าผมกล้าหาญพอที่จะออกมาอยู่ในโลกแห่งความจริงได้สมบูรณ์เท่านี้ไหม ก่อนพบเขา เด็กผู้ชายขี้อายคนนั้นฝืนแสดงมาโดยตลอด

จนได้… เฝ้าสังเกต วิธีการดำเนินชีวิต ท่ามกลางผู้คน

เฝ้ามอง วิธีการรับมือและแก้ไขปัญหา ในสถานการณ์ต่าง ๆ

เฝ้าเรียนรู้ วิธีคิดและมุมมอง ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป

จากคนที่ข้างในลึก ๆ ภายในเหมือนกัน แต่เขากลับดูแข็งแรงนัก จนทำให้ผมแอบอิจฉาเล็ก ๆ มาตลอด ทั้งหมดนั่นมันทำให้ตัวตนภายในของผมเริ่มเข้มแข็งขึ้น จนกล้าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกมา

เพราะเพียง... สิ่งที่ได้รับ ‘เติมเต็ม’ จากอีกคน

 

‘ดอกลิลลี่’ สีขาวผูกโบสีแดงถูกยื่นมาจากด้านหลังที่ไม่ต้องหันกลับก็รู้ว่าเจ้าของที่ยืนอยู่คือใคร ‘เขา’ คนที่บุกฝ่าเข้ามาในโลกส่วนตัวเสมอ

“เขน..........” ผมยื่นมือไปรับ ‘ดอกลิลลี่’

“ที่หายไปนี่ ไม่ได้หาที่จอดรถไม่ได้ใช่ไหม” ผมหันไปมองคนตัวโตที่นั่งลงเคียงข้างเขากำลังยิ้มเขิน ๆ เขาอ้างว่าไม่มีที่จอดให้ผมมารอด้านในก่อน

“เขน ไม่ได้สั่งไว้ก่อน...เลยต้องรอนิดนึง” ร้านดอกไม้ที่นี่มีอยู่ไม่เพียงกี่ร้าน ก็ยังหา ‘ดอกลิลลี่’ พบ

“ไม่ต้อง ‘ให้’ แล้วก็ได้”

“เขนชอบ...ให้รุ่ง ‘เก็บ’ ไว้” เรายิ้มให้กันและขำกับการกระทำของ ‘เรา’ ทั้งคู่

อีกคนมักเป็นคน ‘ให้’ เสมอมา ‘ให้’ โดยไร้ซึ่งการคาดหวังสิ่งตอบแทน ขอเพียงให้อีกคนมีความสุข ส่วนอีกคนก็เพียร ‘เก็บ’ ทุกสิ่งทุกอย่าง ‘เก็บ’ และหวงแหนสิ่งที่ได้มายิ่ง ทั้งในความรู้สึกภายใน และความทรงจำ

“รุ่งนัดเพื่อนไว้หนึ่งทุ่มใช่ไหม” คนตัวโตถาม

“อืม.....”

“งั้นเหลือเวลาอีกชั่วโมงกว่าไปหาซื้อซีดีกัน ไปเถอะ” นั่นเป็นสิ่งที่ผมต้องการ ไม่ใช่เขามักจะเป็นอย่างนี้เสมอ เราสองคนลุกออกมาจากที่นั่งเล่นริมระเบียง และมุ่งหน้าไปทางโซนร้านขายซีดี

“แล้วเขนหิวหรือเปล่า ตื่นมายังไม่ได้กินอะไรเลยไม่ใช่เหรอ” เขนพึ่งตื่นได้ไม่นานก็ขับรถพาผมออกมาตามสถานที่ที่นัดไว้กับเพื่อน ผมได้รู้ในตอนเช้าตรู่ว่าเขาแทบไม่ได้นอนทั้งคืน จึงพึ่งหลับสนิทในช่วงกลางวันนี่เอง

“ยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ เดี๋ยวออกมาค่อยหาอะไรรองท้องก็ได้” ที่ตอบอย่างนั้นเพราะต้องรู้ว่าผมทานมาแล้วอย่างแน่นอน

 

ผมจึงพยายามใช้เวลาให้สั้นที่สุดในการเลือกซื้อซีดีเพลงที่อยากได้ และถูกบังคับให้ฟังเพลงรอคนที่นำแผ่นซีดีไปชำระเงิน

‘จะได้ทำอะไรเองบ้างไหม’ ผมแอบคิด ก็คนดูแลดูแลดีซะขนาดนี้

ถ้าเราอยู่ด้วยกัน เขามักจะปกป้องโลกส่วนตัวของผมไว้เป็นอย่างดีเสมอ พร้อมทั้งแสดงให้เห็นว่ามันไม่แปลก ไม่แตกต่าง และเป็นธรรมชาติมาก ๆ ที่จะเป็นตัวของตัวเองในโลกใบใหญ่ใบเดิมที่เคยอึดอัด และวางตัวไม่ค่อยถูก

ทำให้เมื่อใดที่เราอยู่ด้วยกันสองคน ไม่ว่าท่ามกลางผู้คนมากมายแค่ไหน

ราวกับว่าโลกทั้งโลกมีเพียงแค่... ‘เราสองคน’ ในสายตากันและกันเสมอ

เรามานั่งรอเวลานัดที่ ‘ร้านน้ำแข็งใส’ ผมขอเรียกอย่างนี้เพราะทำให้คิดถึงความหลังในอดีตตอนเด็กที่เราหลงรักมัน ทั้งที่ตอนนี้มันเป็นเกล็ดหิมะทำจากนมหรืออะไรก็ตามนั่น ผมสั่งรุ่งนม และนั่งมองรุ่งจัดการกับน้ำแข็งใสของเขา

ผมชอบคนตัวเล็กในตัวตนที่เป็นธรรมรุ่งติมันช่างดูเหมือนตัวเองกำลังหลงรักเด็กน้อยที่ใสสะอาด บริสุทธิ์ ผมจึงหวงแหนโลกส่วนตัวของเขาเป็นอย่างยิ่ง แต่ในทางกลับกันผมก็หลงรักเวลาเขาตั้งใจ มุ่งมั่น ทำงานไม่ว่างานใดก็ตาม มันทำให้เขาแทบจะเปลี่ยนไปเป็นอีกคน แต่เป็นอีกคนที่ทรงเสน่ห์ดึงดูดผู้คนรอบข้างได้อย่างน่ากลัวที่สุดซึ่งดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่เคยรู้

ผมหยิบทิชชู่เอื้อมมือไปเช็ดปากให้เด็กน้อยข้างหน้า และได้รับรอยยิ้มที่แสนสดใสตอบกลับ‘รอยยิ้ม’ ที่เป็นของผมเพียงคนเดียว ครั้งนี้ผมมั่นใจ

“ขอบคุณนะเขน”

“ชอบให้รุ่งยิ้ม เวลารุ่งยิ้มโลกจะสว่างสดใสรู้ไหม” ผมบอกจากใจ ใบหน้าหวานนั้นเขินในช่วงแรก ก่อนดูเหมือนจะครุ่นคิดอะไร และกล่าวออกมา

“บางทีรุ่งก็คิดว่า...อาจจะไม่ต้องย้อนหวนกลับไปเล่าเรื่องราวในอดีตก็ได้”

“เพราะเขนรู้ไหม... ว่าเขนไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ทั้งคำพูดและการกระทำ” ประกายแวววับในดวงตานั่นทำให้หัวใจของผมกำลังจะละลาย จึงเอื้อมมือไปกุมมือเล็กไว้เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกที่มีต่อเขา

“แต่เขนอยาก ‘รู้’ นะรุ่ง อยากรู้ทุก ๆ อย่าง อยากรู้ทุก ๆ เรื่อง อยากรู้ทุก ๆ เวลา ที่เราเคยอยู่ด้วยกัน แม้จะมั่นใจว่ามันจะไม่ได้ทำให้ความรักที่มีให้รุ่งมากขึ้นไปกว่าตอนนี้ได้แล้ว เพราะรุ่งได้มันไปทั้งหมดแล้ว มันไม่หลงเหลือความรักหรือสายตาที่จะมองใครได้อีกแล้ว แต่เขนก็ยังอยากรู้เรื่องราวความผูกพันในอดีตนั่นของเราสองคน ไม่อยากให้รุ่งต้อง ‘เก็บ’ ไว้เพียงคนเดียว”

“แม้จะทำได้เพียงแค่ ‘รู้’ ไม่อาจจะกลับย้อนไปจำได้เหมือนเดิม แต่ขอเพียงเขนได้ ‘รู้’ เถอะนะ” ผมอ้อนวอนร่างบางข้างหน้า

เราเดินเคียงข้างกันออกมาจากร้านน้ำแข็งใส และมุ่งหน้าไปร้านที่นัดพบโปเต้และไทม์ ผมไม่ได้คาดหวังแต่แรกให้เขนต้องจำมันได้ และไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะต้องการ ‘รู้’ เรื่องราวในอดีตมากมายขนาดนี้ เพราะแค่นี้ความรู้สึกระหว่างเราสองคนมันก็... มันก็มากกว่าคำว่า ‘รัก’ ไม่รู้ว่าเท่าไหร่แล้ว

สำหรับผม.....

กับระยะเวลา 18 ปีที่มีเพียงเขามาตลอดทุก ๆ ลมหายใจ

กับระยะเวลา 30 ปีที่เฝ้าตามหา และรอคอยเพียงเขามานานแสนนาน

มันมากกว่าครึ่งชีวิตของคนคนหนึ่ง... ที่จงรักและภักดีเพียงเขาคนเดียว

มันถูกจรดลึก สลักซ้ำ จากความรักที่ให้มาด้วยความจริงใจทั้งสามครั้ง จากอีกคนที่ แม้ ‘ความทรงจำ’ ครั้งอดีตได้ลบเลือน แต่ความรักในหัวใจยัง ‘คงมั่น’ ไม่เคยแปรเปลี่ยน และ ‘รัก’ เราได้มากมายขนาดนี้

หัวใจของเราทั้งสองถูก ‘เติมเต็ม’ ไปด้วยความรักที่มีให้กัน

เหลือเพียงแค่ ‘เติมเต็ม’ เรื่องราวในอดีตให้แก่ความทรงจำของเขาเท่านั้น

 

เราใช้เวลาเกือบ ๆ สามชั่วโมงกินข้าว และพูดคุยถึงความหลังในอดีต ตอนแรกโปเต้กับไทม์แปลกใจเล็กน้อยที่เห็นว่าเป็น... ผมที่เดินเคียงคู่มากับรุ่ง แต่เหมือนรุ่งไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมาก ว่าทำไมเราสองคนถึงได้กลับมาอยู่เคียงข้างกันอีกครั้ง

พวกเขาคล้ายกับจะเข้าใจ และรู้อยู่แล้วว่าสักวันนึง ‘เราสองคน’ ไม่น่าจะหนีกันไปไหนรอด เพราะพวกเขารู้จักทั้งผม และรุ่งมากกว่าที่ผมจะจำได้

ผมกับไทม์เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ประถมด้วยซ้ำ ส่วนโปเต้รู้จักกันก่อนหน้ารุ่งได้ไม่นานตั้งตอนช่วงเข้าเรียนมัธยมต้น เพราะเขาเป็นคนชวนตั้งวงเล่นดนตรี

ระยะเวลาสั้น ๆ ทำให้รู้เพียงว่า

ผมกับรุ่งพบกันครั้งแรกเมื่อไหร่

ผมชัดเจนในความรู้สึกตั้งแต่พบรุ่งครั้งแรกมากเพียงใด

ผมใช้ความพยายามครั้งแรกในการเข้าถึงรุ่งมากขนาดไหน

ผมกับรุ่งเคยอยู่ด้วยกันสองคน ไม่สนโลกภายนอกมากเพียงไร

เต้กับไทม์เหมือนกับจะพยายามข้ามเร็ว ๆ ในช่วงที่พวกเขาสองคนต้องอยู่ดูแลเคียงข้างรุ่งในระยะเวลาที่ขาดผมไป แต่นั่นยิ่งทำให้รู้ว่าคนข้าง ๆ ผมเขาจะเจ็บปวดมากเพียงไร ที่เราต้องจากกันทั้ง ๆ ที่ความรัก และความทรงจำของรุ่งยังดำเนินอยู่ ในขณะที่ผมกลับ ‘ลืมเลือน’ ทุกสิ่ง

เรากลับมาหัวเราะกันอีกครั้งกับความพยายามในความรักครั้งที่สองของผม เรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้สำหรับพวกเขาทั้งสองคน ความพยายามกีดกัน ความพยายามปกป้อง ‘รุ่ง’ จากผมทุก ๆ วิธีของพวกเขา ซึ่งมันไม่ได้ทำให้ผมโกรธหรือน้อยใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่กลับรู้สึกขอบคุณสิ่งที่พวกเขาทำ และความรักที่พวกเขารักทั้งผมและรุ่งมากมายถึงขนาดนี้

ช่วงเวลาความสุข และความทรงจำผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ผมกลับได้เพื่อนสนิททั้งสองคืนมาอีกครั้ง ทั้งสองคนพูดเหมือนรุ่งว่า... ไม่น่าเชื่อว่าผมยังคง ‘ลืมเลือน’ ความทรงจำเหล่านั้น เพราะผมไม่เปลี่ยนไปเลย และมันทำพวกเราจึงกลับมาสนิทกันเหมือนเดิมภายในระยะเวลาอันสั้น

ผมได้เบอร์โทรศัพท์ทั้งคู่มา และตั้งใจว่าจะโทรไปกวนพวกเขาต่อไป เมื่ออยากรู้อะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับคนข้าง ๆ เรื่องราวทั้งหมดที่ได้รับฟังในวันนี้เป็นเพียงเสี้ยวเดียวจากมุมมองของเพื่อนสนิท แต่มันทำให้ผมตระหนักในใจว่า... เข้าใจผิด

ผมไม่ได้ตกหลุมรัก ‘รุ่ง’ มาแล้วสามครั้ง แต่ ‘รุ่ง’ เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของ ‘ความรัก’ ของผมมาโดยตลอดต่างหาก เป็นดัง ‘ลมหายใจ’

ที่รู้สึกติดขัด... เมื่อห่างหาย ลืมเลือน

ที่รู้สึกสดใส สดชื่น และเต็มไปด้วยแรงใจ...เมื่อได้เคียงข้าง

และจากนี้... ทุก ๆ ลมหายใจเข้าออก ผมจะเฝ้าถนอม ‘ความรัก’ นี้ไว้

เพราะทุกลมหายใจของผมคือ... รุ่งเพียงคนเดียว





#JKLTHESERIES


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด