เมาครั้งที่ 9
'พี่ตุลย์เขาขอให้เราช่วยจีบข้าวอะ ก็เลยคุยกัน'
"ห๊ะ จีบพ่อง! มึงหยุดคุยกับมันไปเลยนะพีช กูไม่ได้ชอบพี่ตุลย์ นิสัยเหี้ยขนาดนั้น มึงจะสนับสนุนมันให้กูอีกเหรอ"
'แต่มันบอกจะปรับปรุงตัว... ข้าวไม่ลองเปิดใจบ้างเหรอ'
"ไม่ คือกูไม่ได้เป็นเกย์นะพีช กูไม่ประทับใจพี่ตุลย์ตั้งแต่แรกแล้วด้วย ถึงมันจะปรับปรุงตัวดีขนาดไหน ก็เท่านั้น เข้าใจปะ"
'โอเคๆ เข้าใจแล้ว เราจะบอกพี่ตุลย์ให้แล้วกัน'
"มึงนี่... จะคุยกับมันทำไมอีก เอาเวลาไปง้อเพื่อนกูเถอะ อย่างกับศพเดินได้ กูไม่ชินสภาพมันตอนนี้"
'เคๆ ขอโทษนะที่ทำให้วุ่นวาย'
"เออ รีบๆ เคลียร์"นั่นคือสิ่งที่พีชคุยกับผมไปเมื่อวันนั้น อยากมุดจอโทรศัพท์ไปกระทืบแฟนเพื่อนให้จมดิน มีอย่างที่ไหนทำท่าสนับสนุนแฟนเก่าเหี้ยๆ ของตัวเองให้กัน ถึงจะพยายามปรับปรุงตัวมายังไง คนไม่ชอบสุดท้ายก็คือไม่ชอบอยู่ดี เพราะรู้นิสัยตัวเองดี พี่ตุลย์ไม่เคยอยู่ในสายตาเลยตั้งแต่รู้จักกันมา กระทั่งฐานะพี่น้องก็ไม่เคยมีให้
พีชเป็นคนไปง้อจุ้นเพราะรู้ว่าตัวเองทำผิดและพูดในสิ่งที่ไม่ควรออกไป เพื่อนผมเหมือนต้นไม้ได้รับน้ำสักหนึ่งถังใหญ่ๆ เมื่อเจอกันในวันรุ่งขึ้น สดชื่นกระปรี้กระเปร่าจนน่าหมั่นไส้ คงจัดหนักกันไปหลายรอบ ส่วนผมต้องหน้าด้านขอค้างคืนกับแฮงค์อย่างเลี่ยงไม่ได้ น้องเขาก็ใจดียกห้องนอนให้ซะอย่างนั้น เช้ามายังอาสาไปส่งที่มหา'ลัยทั้งๆ ที่ตัวเองมีเรียนภาคบ่ายอีก
การประชุมสรุปได้คร่าวๆ ว่าทางมหาวิทยาลัยจะจัดงาน Open House ประจำปี เร็วกว่าเดิมสักเล็กน้อย ซึ่งหมายถึงปลายอาทิตย์ทุกคนต้องเตรียมงานแล้ว เพราะวันจันทร์และอังคารคือกำหนดการจัดงาน ผมซึ่งเป็นอาจารย์พิเศษไม่ได้มีบทบาทอะไรมากนักนอกจากช่วยตรวจตราดูแลนักศึกษาระหว่างเตรียมความพร้อม ซึ่งตอนนี้ผมก็ยืนมองเด็กหลายๆ คนกำลังก้มหน้าก้มตาจัดซุ้มตัวเองอย่างตั้งอกตั้งใจ
"วันนี้พี่ข้าวไม่ไปทำงานที่บริษัทเหรอ"
กันย์ที่นั่งจัดเรียงเอกสารแนะนำคณะอยู่ข้างๆ ถามขึ้นโดยไม่ได้เงยหน้ามองสักนิด ผมเหลือบมองเขาเล็กน้อยก่อนจะตอบออกไป
"พี่ต้นส่งพี่มาเป็นสายสืบ... ดูว่ากันย์แอบไปจีบสาวๆ ที่ไหนบ้างหรือเปล่า"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะที่ได้แกล้งกันย์ให้หน้ายุ่ง เขามองผมแล้วขมวดคิ้วก่อนจะทำเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ โธ่ จริงจังไปได้วะคนเรา
"เหอะ! ใครต้องหวงใครกันแน่ครับ พี่ต้นอะร้าย"
น้ำเสียงใส่อารมณ์เต็มที่บวกกับใบหน้ายุ่งเหยิงนั้นทำให้กันย์ยิ่งดูน่ารักมากกว่าปกติในสายตาของผม อยากดึงแก้มให้หนำใจแต่ติดตรงที่ว่าตอนนี้เราอยู่ในที่สาธารณะแถมยังมีใครอีกคนจ้องมาเป็นระยะอีกด้วย
"หึ ไม่หรอกน่า ตั้งแต่พี่ต้นเจอกันย์ ไม่เห็นเขาจะไปเจ้าชู้ใส่ใครที่ไหนเลย"
ผมมองเขาแล้วอมยิ้มเล็กน้อย กันย์เป็นคนตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม อีกอย่างหนึ่งคือเขาไม่แคร์ว่าอีกฝ่ายอายุมากกว่าหรือเปล่า ถ้ามีการดื้อดึงหรือทำผิดเกิดขึ้นก็จะไม่เข้าข้าง ซึ่งนั่นเป็นสเป็คคนที่พี่ต้นชอบ
กันย์มองกลับมาก่อนจะย่นจมูกใส่กันเล็กน้อย มือเรียวส่งกองเอกสารที่จัดเรียบร้อยมาให้ผมเอาใส่กล่องพลาสติกขนาดใหญ่ข้างตัว จริงๆ แล้วมีเรื่องที่คาใจแต่ยังคิดไม่ตกว่าควรถามเลยดีไหม เอาเป็นว่าตอนนี้ลองหยั่งเชิงก่อนดีกว่า
"นี่... พี่ถามอะไรสักอย่างได้ปะ"
ผมถามหยั่งเชิงไปแบบนั้นแล้วใช้ดวงตาสีเข้มจ้องมองใบหน้าหวาน เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนพยักหน้าให้เป็นเชิงอนุญาต แต่หลังจากที่ได้ฟังคำถามเขาจะฆ่าผมหมกท้ายรถหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ
"ถามจริงนะ... เป็นแฟนกับพี่ต้นหรือยัง"
ผมถามออกไปด้วยความอยากรู้ ถึงพวกเราจะใกล้ชิดกันแค่ไหน แต่ไอ้เรื่องส่วนตัวที่ดูออกยากและเดาแนวทางไม่ได้ก็เป็นปัญหารบกวนใจอยู่เหมือนกัน เพราะทั้งสองคนต่างสนใจกัน การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์เลยแสดงออกให้บุคคลอื่นเห็นไม่มากนัก
กันย์ชะงักไปเล็กน้อย แก้มขาวแต่งแต้มไปด้วยสีชมพูจางๆ ริมฝีปากสวยปิดเม้มสนิทเหมือนกำลังพยายามยั้บยั้งเรื่องไม่สมควรพูด อยากจะบอกเหลือเกินว่าทำแบบนั้นโคตรมีพิรุธ ถ้าไม่คิดจะบอกกันควรทำตัวนิ่งๆ นะ
"ผมก็ถามพี่จริงๆ นะ รู้ยังว่าไอ้แฮงค์มันคิดยังไงกับพี่ข้าว"
แทนที่จะตอบกลับ ดันเปลี่ยนเรื่องยกแฮงค์มาบังความเขินอายของตังเองซะอย่างนั้น ถ้าถามมาก็ตอบได้ว่า 'ก็พอรู้' แต่มันขาดความชัดเจน บางครั้งการกระทำก็ต้องการคำยืนยันจากปากเหมือนกัน
"ก็นะ... ก็รู้นั่นล่ะ แต่จะไม่บอกกันตรงๆ เหรอ"
ผมเหลือบสายตามองคนที่กำลังปีนเก้าอี้แล้วเอาของประดับตกแต่งซุ้มขึ้นไปติดด้านบนก่อนจะหันกลับมามองคู่สนทนา กันย์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และเสียงหัวเราะเบาๆ ก็ดังขึ้น
"โห... รอให้ไอ้ขี้ขลาดอย่างแฮงค์พูดตรงๆ คงยากอะพี่ มันชอบแสดงออกมากกว่า"
กันย์ให้มือเท้าคางแล้วเบ้ปากใส่แฮงค์ที่ยังคงทรงตัวอยู่บนเก้าอี้ ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเพราะไม่อยากจะเชื่อว่าคนแบบเขาจะขี้ขลาดเรื่องความรัก ก็เห็นร่าเริงชอบถามอะไรตรงๆ แล้วทำไมเรื่องหัวใจถึงชอบอ้อมโลกนัก
"การแสดงออกบางครั้งก็ต้องการคำพูดมายืนยันนะ หรือกันย์คิดว่าอย่างใดอย่างหนึ่งสำคัญกว่ากัน"
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วสังเกตปฏิกิริยาตอบรับของกันย์ไปด้วย เขาทำหน้าครุ่นคิดสักพักก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
"มันก็สำคัญทั้งสองอย่าง แต่ไอ้แฮงค์มันคิดว่าวิธีของตัวเองดีที่สุดแล้วมั้ง"
กันย์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ คงเพลียกับนิสัยของเพื่อนตัวเองล่ะมั้ง
"ถ้าคิดจะจีบพี่ ก็ต้องปรับเปลี่ยนความคิด ถ้าไม่ พี่ก็จะทำตัวเฉยๆ เหมือนไม่รับรู้"
ผมไม่ได้ใจร้าย แต่คนเรามีเหตุผลส่วนตัวซึ่งมันน่าจะเป็นกลางสำหรับทั้งสองฝ่ายมากที่สุดแล้ว ถ้าเขาพยายามส่งความรู้สึกมาให้มากแค่ไหนแต่ไม่มีการตอบรับ อยากรู้เหมือนกันว่าแฮงค์จะทนสภาพแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน
"โห... พี่ข้าวคนจริงว่ะ เพื่อนผมจะกินแห้วหรือเปล่าเนี่ย"
กันย์พูดเสียงทะเล้นแล้วเหลือบมองผมสลับกับแฮงค์ด้วยสายตาติดเจ้าเล่ห์นิดๆ แจ่คิดหรือว่าจะหลงกลตอบอะไรออกไป ไม่มีทาง
"หึ เอาเรื่องของเราเถอะ ตกลงว่าเป็นแฟนกับพี่ต้นหรือยัง"
ผมถามย้ำในสิ่งที่ถูกปัดทิ้งไปในตอนแรก กันย์ชะงักก่อนจะเม้มปากแน่น มันพูดยากพูดเย็นอีกแล้วเหรอ ไอ้ความสัมพันธ์ของคนสองคนเนี่ย ไม่ได้ให้ป่าวประกาศบอกคนทั้งโลกสักหน่อย ผมเป็นคนที่ใกล้ชิดพวกเขาและผ่านเรื่องราวของทั้งสองคนมาด้วยกันนะ
"พี่ข้าวไม่คิดว่าผมเขินบ้างเหรอวะ"
น้องตอบเสียงอ้อมแอ้มให้ผมตกใจเล่น ไม่คิดว่าคนที่ตรงอย่างกันย์จะมีมุมเขินน่ารักแบบนี้เหมือนคนอื่นด้วย ใบหน้าหวานแดงอย่างกับลูกมะเขือเทศสุก รอยยิ้มที่ถูกกลั้นไว้ก็ปรากฏเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ
"คนอย่างกันย์เขินเป็นด้วยเหรอ"
"เฮ้ย ผมก็มีความรู้สึกนะ!"
"โอ๋ๆ พี่ล้อเล่นน่า ตกลงว่ายังไง จะตอบได้หรือยัง"
"อื้อ... ก็เป็นแล้ว"
เสียงตอบกลับเบาราวกระซิบ ผมกำลังจะเอ่ยแซวสักหน่อยเพราะนึกหมั่นไส้ไอ้อาการเขินแล้วดูน่ารักน่าหยิกของกันย์ แต่เสียงอะไรหล่นกลับดังขึ้นมาจนต้องหันขวับไปมองทางต้นเสียง
โครม!
"โอย! พวกมึงจะวิ่งไล่ห่าอะไรกันเนี่ย สัส!!"
เสียงร้องโอดโอยตามมาด้วยคำก่นด่าจากคนที่นอนวัดพื้นตัวหนอนดังขึ้น เขาตกลงมาจากเก้าอี้ที่ตัวเองใช้ยืนอยู่โดยพอจะเดาได้ว่ามีใครสักคนหนึ่งวิ่งชน และสิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้คือลุกขึ้นแล้ววิ่งไปหาแฮงค์ให้เร็วที่สุด ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้ปฏิกิริยาแบบนี้เป็นไปตามอัตโนมัติเมื่อมีคนได้รับบาดเจ็บไหม หรือเพราะเป็นห่วงกันแน่
ผมไปถึงตัวแฮงค์ก่อนใครแล้วมีกันย์ช่วยพยุงเขากลับมานั่งที่โต๊ะ โดยปรามให้หยุดโวยวายไปด้วย ดูท่าทางเหมือนแขนด้านขวาจะมีปัญหาเพราะเจ้าตัวใช้มือค้ำตอนล้ม
"เจ็บตรงไหนบ้าง"
ผมถามแล้วมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เจอรอยฟกช้ำเล็กน้อยแต่ข้อมือออกจะบวมแดงจนน่ากลัว ใบหน้าหล่อเหลาเหยเกเมื่อลองบีบมันตัวเองดู
"เจ็บข้อมือว่ะพี่ เหมือนมันจะหัก"
น้ำเสียงยังคงติดความหงุดหงิด สายตาแค่นเคืองถูกส่งให้คู่กรณีที่เดินยิ้มแห้งเข้ามา ผมจำได้ว่าเขาเป็นเพื่อนในเซคเดียวกันของแฮงค์
"ไปโรงพยาบาลมหา'ลัยกัน"
"มึงไปไกลๆ ตีนกูดีกว่า ขอร้อง อย่ามาเสนอหน้าอีก เหี้ยเอ้ย เตือนตั้งกี่รอบว่าอย่าวิ่ง แล้วไง ทำคนอื่นเดือดร้อน!"
แฮงค์ตวาดเสียงดังโดยไม่อายใครที่เดินผ่านไปผ่านมา ไม่แคร์ว่าตัวเองจะถูกมองยังไงจนกันย์ต้องลูบหลังแล้วบอกให้ใจเย็นลง คนที่สร้างเรื่องวุ่นวายกล่าวขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนจะเดินหนีไปเพราะคนเจ็บทำท่าจะเอาเรื่องอีก
"ไปโรงพยาบาลกัน เดี๋ยวพี่พาไปเอง"
ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วขอร้องให้เด็กที่ทำงานอยู่ช่วยหาไม้หรืออะไรแข็งๆ พอที่จะดามข้อมือของเขาไว้ก่อน ไม่นานนักก็ได้ของที่ต้องการก่อนจะจัดการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้วขอตัวไปเอารถมารับ
โรงพยาบาลมหา'ลัยตอนนี้มีคนไม่มากนักเลยสะดวกในการขอพบหมอเฉพาะด้านอย่างหมอออร์โธปิดิกส์ เป็นหมอที่รักษาด้านกระดูก ข้อ เอ็นและกล้ามเนื้อของร่างกายโดยเฉพาะ ผมรีบเข้าไปติดต่อที่หน้าเค้าท์เตอร์ทันที และได้รับกระดาษให้กรอกข้อมูลผู้ป่วยกลับมา ทุกอย่างดูน่าขัดใจเมื่อต้องดำเนินตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัด
ผมยื่นกระดาษให้กับกันย์เพื่อให้เขากรอกข้อมูลทุกอย่างแทนแล้วพาแฮงค์ไปที่ห้องฉุกเฉิน ระหว่างทางก็ล้วงโทรศัพท์มากดหาเบอร์ของคนที่สามารถช่วยกันได้ในตอนนี้ 'พี่พาย'
"จะโทรหาใครครับ"
เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นในขณะที่เรากำลังเดินไปห้องฉุกเฉิน ผมเหลือบสายตามองแฮงค์เล็กน้อยแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป คนกำลังรีบจะมาถามอะไรตอนนี้ก็ไม่รู้
ผมกดโทรหาคนที่ต้องการทันทีเมื่อเจอเบอร์โทรศัพท์ของเขา และหวังว่าคงไม่เจอใครก่อนหน้าที่พี่พายจะลงมาหา ไม่นานนักปลายสายก็กรอกเสียงลงมา
'สวัสดีครับข้าว'
ยังคงพูดสุภาพอย่างกับผมเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่พี่พายจะใช้คำอ่อนโยนเสมอ แต่กับคนอื่นทำไมเถื่อนจนหาความดีไม่ได้ก็ไม่รู้ มันแปลกแต่ก็ไม่กล้าถามกลับไป
"สวัสดีครับพี่พาย ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลหรือเปล่า ว่างไหม"
ผมถามด้วยความรีบร้อนแล้วหยุดยืนอยู่หน้าห้องฉุกเฉินโดยผลักตัวแฮงค์ส่งให้พยาบาลไปก่อน เขาทำหน้าเหมือนจะตายใส่กันแต่เจอสายตาดุๆ ของผมเลยเลิกงอแงแล้วเข้าไปด้านในอย่างจำใจ ก็ไม่ได้จะทิ้งซะหน่อย ทำหน้าเป็นหมาหงอยใส่กันอยู่ได้ คิดว่าจะใจอ่อนเหรอ... ก็เออ อยากตามเข้าไปเดี๋ยวนี้แล้ว
'เดี๋ยวๆ น้องข้าวใจเย็นครับ ทีละคำถาม'
พี่พายพูดเสียงกลั้วหัวเราะ ฟังดูแล้วคงว่างอยู่นั่นล่ะ แต่มันน่าหงุดหงิดไหมล่ะ คนกำลังรีบแต่เขากลับทำตัวสบายๆ ฮึ้ย
"พี่หมอ ไม่กวนดิ ผมต้องการความช่วยเหลือ นักศึกษาตกจากเก้าอี้แล้วข้อมือบวมมาก กลัวว่ามันจะหัก พี่ช่วยลงมาดูหน่อยได้ปะ อยู่ห้องฉุกเฉิน"
ผมมัดมือชกบอกเหตุผลไปแทนที่จะหาคำตอบของคำถามเก่า ในใจนี่อยากขึ้นไปที่ห้องตรวจแล้วลากคอพี่พายลงมาเอง แต่กลัวคนในโรงพยาบาลจะตกใจ
'หืม ข้าวอยู่ในห้องเหรอ'
"ตอนนี้อยู่หน้าห้อง มีอะไรหรือเปล่า"
พี่พายทักมาแบบนั้นทำให้ผมลดความอยากเข้าไปในห้องฉุกเฉินลงถนัดตา เพราะกลัวว่าคนที่รออยู่ด้านในจะไม่ใช่แค่ไอ้เด็กที่ผมพามา แต่อาจจะมีหมออีกคนหนึ่งที่ผมรู้จักอยู่ในนั้น ไม่อยากเจอ... ทำไงดี แต่จะให้ทิ้งน้องไว้ก็ไม่ใช่เรื่องว่ะ สงสารลูกหมายักษ์
'ตุลย์อยู่เวรห้องฉุกเฉินวันนี้ รอพี่ก่อนนะ'
"รีบๆ มาหาผมเลย"
'โอเคครับ'
หลังจากนั้นผมก็วางสายแล้วเดินวนไปวนมาหน้าห้องฉุกเฉินเพราะไม่กล้าเข้าไปด้านใน ทั้งๆ ที่แฮงค์คงกำลังรอคอยกันอยู่ แต่การที่พี่ตุลย์อยู่ตรงนั้นด้วยทำให้หวาดระแวง เรื่องที่ขอช่วยไอ้พีชให้จีบผมยังติดอยู่ในสมอง... คิดแล้วขนลุก แต่รอไม่เกินสิบนาทีร่างโปรงที่คุ้นตาก็เดินเข้ามาหากันพร้อมรอยยิ้มบาง แว่นสายตาไร้กรอบทำให้ใบหน้าใสๆ นั่นดูดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ไม่เหมือนเด็กเนิร์ดสักนิดเดียว
"ทำไมหน้ายุ่งแบบนั้นครับข้าว"
คำถามเมื่อเจอกน้ากันครั้งแรกในรอบหลายเดือนไม่ควรเป็นแบบนี้ปะวะ แต่เพราะเขาทักเลยรู้ว่าตัวเองกำลังทำหน้ายุ่ง แล้วทำไมผมถึงทำหน้าแบบนี้วะ
"หือ ไม่รู้ดิ"
ผมพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วมองตรงไปที่ประตูห้องฉุกเฉิน เมื่อไหร่เขาจะส่งตัวแฮงค์ไปเอ็กซเรย์สักทีวะ ไม่อยากเข้าไปแล้วตอนนี้ถึงจะมีพี่พายอยู่ด้วยก็เถอะ พี่ตุลย์มันสนใจใครซะที่ไหนกัน
"เป็นห่วงนักศึกษาหรือกลัวจะเจอตุลย์"
พี่พายดันไหล่ผมให้เดินตรงไปที่หน้าประตู มือใหญ่อีกข้างผลักประตูให้เปิดออกโดนไม่ถามไถ่กันเลยสักคำ คือยังไม่พร้อม คำถามเมื่อครู่ก็ยังไม่ได้ตอบ
"พี่พายแม่ง..."
ผมสบถออกมาเบาๆ แต่คนที่อยู่เคียงข้างกันกลับส่งสายตาดุๆ มาให้ รู้ตัวว่าจะโดนด่าเรื่องพูดไม่เพราะแน่ๆ
"พูดไม่เพราะเลยนะครับ หน้าตาก็ดี"
ซื้อหวยไม่ถูกแบบนี้บ้างล่ะ ถึงปากจะว่ากันแต่สายตากลับมองกันอย่างอ่อนโยน บางครั้งก็คิดว่าพี่เขาแอบชอบผมหรือเปล่า ทำไมปฏิบัติตัวแตกต่างจากคนอื่น แต่ก็อย่างว่า ผมไม่ชอบคิดมากแล้วอีกอย่างเขาเป็นเพื่อนพี่ต้นเลยไม่อยากอะไรมาก
"พี่ไม่รอคำตอบผมก่อนล่ะ ผลักกันเข้ามาแบบนี้"
ผมต่อว่าเขาเสียงเบาเพราะคนที่ไม่อยากเจอที่สุดกำลังเดินตรงมาทางนี้โดยทิ้งแฮงค์นั่งโดดเดี่ยวอยู่บนเตียงอย่างหน้าตาเฉย ถ้าผมเป็นผอ.โรงพยาบาลจะไล่พี่ตุลย์ออกฐานละเลยหน้าที่ตัวเอง!
"สวัสดีครับข้าว ไม่เจอกันนานเลยนะ น่ารักเหมือนเดิม"
พี่ตุลย์ยิ้มกว้างให้กัน เขาที่อยู่ในชุดเสื้อกราวน์ดูดี แต่ติดลุคแบดบอยจนผมรู้สึกขยาด ไหนจะเจอสายตากรุ้มกริ่มที่ไม่เคยเปลี่ยนไปนั่นอีก อยากปลีกตัวไปไกลๆ จากตรงนี้จะตาย
"เอ่อครับ ผมขอไปดูเด็กของผมก่อนนะ พี่ก็ควรทำหน้าที่ตัวเองให้จบๆ ไม่ใช่ทิ้งคนไข้มาแบบนี้"
ไม่รู้ว่ากล้าพูดแบบนั้นออกไปได้ยังไงแต่ผมสาวเท้าหนีออกมาอย่างรวดเร็วแล้วตรงไปหาแฮงค์แทบจะทันทีโดยที่พี่พายยืนคุยอะไรบางอย่างกับพี่ตุลย์ จนอีกฝ่ายทำหน้าตาขึงขังแล้วกลับไปนั่งประจำโต๊ะทำงานของหมอเวรตามเดิม
"เป็นยังไงบ้าง"
ผมถามคนที่นั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่บนเตียง เขาเบ้ปากเล็กน้อยแล้วพึมพำออกมาเบาๆ ให้ได้ยินแค่สองคน
"พี่รู้จักกับหมอเวรคนนั้นเหรอ"
ผมเลิกคิ้วขึ้นสูงเพราะไม่คิดว่าแฮงค์จะถามออกมาแบบนี้ ดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าพี่ตุลย์ด้วย
"ก็เพื่อนพี่ต้น รู้จักทั้งสองคนนั่นล่ะ"
"อือ... เขาบอกว่ากระดูกอาจจะร้าว เดี๋ยวจะส่งไปเอ็กซเรย์ พี่กลับไปก่อนก็ได้ครับ ผมไม่เป็นอะไรมากหรอก"
แฮงค์ส่งยิ้มบางมาให้กันแต่สายตากลับมองไปที่พี่ตุลย์ ถ้าจะบอกว่าเขาดูออกตั้งแต่แว๊บแรกมันก็คงไม่ใช่ แค่ทักทายสั้นๆ ไม่ทำให้รู้หรอกว่าหมอคนนั้นชอบผม
"ก็รอรับกลับด้วยไง"
ผมบอกไปแบบนั้น แต่แฮงค์กำลังจะอ้าปากไล่กันอีกครั้งพี่พายก็เข้ามาขัดจังหวะพอดี
"เดี๋ยวไปเอ็กซเรย์กันนะ ไปซุ่มซ่ามมาจากที่ไหนอีกล่ะไอ้แฮงค์"
ผมหันขวับไปมองพี่พายแทบจะทันที นี่เขารู้จักกันด้วยเหรอวะ แล้วมีความสัมพันธ์กันแบบไหนถึงพูดจาทำนองสนิทสนมแบบนั้น ทีกับผมสุภาพอย่างกับอะไรดี ตลกว่ะ
"เปล่านะพี่พาย ผมตกจากเก้าอี้เพราะเพื่อนวิ่งชนเว้ย"
แฮงค์เบ้ปากใส่คนที่กล่าวหากัน อีกคนไม่ได้สะทกสะท้านแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเรียกบุรุษพยาบาลให้มารับคนไข้ไปเอ็กซเรย์แล้วให้กลับไปหาพี่พายที่ห้องตรวจเพื่อดูฟิล์มและจัดการขั้นต่อไป
ผมรีบตามพี่พายขึ้นไปที่ห้องตรวจแทบจะทันทีโดยไม่หันมองพี่ตุลย์ที่มองมาแบบไม่วางตา ใครมันจะอยากมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่จ้องเขมือบตัวเองล่ะ เอาจริงๆ พี่ต้นก็ไม่ค่อยติดต่อกับเขาเท่าไหร่หรอก เพราะนิสัยแย่ๆ จ้องจะเคลมผมนี่ล่ะ
นั่งคุยสัพเพเหระกับพี่พายไปเรื่อยๆ จนบุรุษพยาบาลพาแฮงค์มาส่งพร้อมกับฟิล์มเอ็กซเรย์ข้อมือแผ่นใหญ่ ผมขยับเก้าอี้ออกแล้วเลื่อนรถวิลแชร์ของน้องเข้ามาแทนที่แล้วนั่งลงด้านข้างใกล้ๆ กัน ส่วนกันย์โทรมาบอกผมว่าต้องรีบกลับไปช่วยงานที่คณะ เนื่องจากเอกสารบางจุดพิมพ์ผิดเลยฝากฝังผมดูแลเพื่อนซะอย่างนั้น
"กระดูกร้าวสองจุดตรงนี้นะ พี่จะใส่เฝือกให้หนึ่งเดือน พยายามอย่าใช้มือเยอะ เดี๋ยวกระดูกจะติดกันช้า เข้าใจไหมไอ้ตัวแสบ"
พี่พายทำหน้าดุใส่แฮงค์ก่อนจะเคาะปากกาลงบนหัวเบาๆ ผมได้แต่มองพวกเขาสลับกันไปมา นี่มันเลยคำว่าสนิทธรรมดามาแล้วมั้ง ตอนกลับคอนโดต้องแอบถามสักหน่อยแล้วว่าไปรู้จักกันได้ยังไง
"อือ จะพยายามแล้วกัน อยากกลับคอนโดแล้ว ง่วง"
แฮงค์หันมางอแงกับผมในประโยคหลัง เพราะตอนขากลับต้องกลับด้วยกัน พี่พายเหลือบสายตามองมาจนทำตัวไม่ถูก คิดว่าเขากำลังล้อเลียนกันเรื่องเด็กคนนี้แน่ๆ
"สองคนนี้มีซัมติงกันปะ ปกติแฮงค์ไม่เคยทำตัวงอแงใส่ใครนะ"
ผมเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองแฮงค์ที่นั่งอยู่ด้านข้าง เขานั่งตัวแข็งจนผิดสังเกตแต่พี่พายกลับเอาปากกาเคาะหน้าผากน้องอีกครั้งเบาๆ
"รีบๆ ใส่เฝือกให้เหอะน่าพี่พาย ผมปวดข้อมือ อยากนอนด้วย"
แฮงค์ทำหน้ายุ่งใส่พี่พายแล้วทิ้งตัวพิงพนักรถวิลแชร์ ผมเห็นท่าทางมาคุเลยไม่กล้าออกปากห้ามทัพ ปล่อยให้เขาเคลียร์กันเองทั้งที่รู้สึกขัดใจเล็กน้อยกับท่าทางบอกปัดของเจ้าเด็กคนนี้ คนอะไรไม่มีความชัดเจนเลย
"แฮงค์"
"พี่พาย"
เอ่อ เหมือนกระแสไฟกำลังแล่นผ่านไปมาในอากาศ ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วคลี่ยิ้มหวานทันที รู้สึกว่าอยู่ตรงนี้คงไม่ปลอดภัยแล้วล่ะ ขอตัวควานหาหลุมหลบภัยก่อนดีกว่า
“ผมขอตัวไปรอข้างนอกนะ อย่าตีกันล่ะ”
หลังจากนั้นไม่นานนักแฮงค์ก็กลับออกมาพร้อมกับเฝือกที่แขนขวาพร้อมด้วยผ้าที่ใช้คล้องคอ ดูแล้วน่าอึดอัดทุลักทุเลอยู่พอตัว ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายพี่พายออกแทนให้ทั้งหมด และเพิ่งรู้ในตอนหลังว่าเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ก็ว่าทำไมมันดูสนิทสนมขนาดนั้น ผมแวะซื้อของกินระหว่างทางกลับคอนโดไว้หลายอย่างเพราะคิดว่าคนป่วยคงหาอะไรกินเองได้รับบาก และจนกว่าเขาจะหายเป็นปกติก็ต้องรบกวนให้กันย์มารับ
ต่อด้านล่างน้า