บทสิบเอ็ด: พบปะหลิวอ๋อง
จื่อฟางสะดุ้งตื่นพบว่าตนเองอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของไป๋ผูอวี้ ใบหน้าของเขาซุกอยู่กับแผ่นอกของอีกฝ่าย ลมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังหลับสนิท กลิ่นกายอ่อนๆอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้เขาใจเต้นแรง เด็กหนุ่มขยับตัวแต่ก็พบว่าถูกอ้อมแขนของไป๋ผูอวี้รัดไว้จนขยับได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“…ไป๋ผูอวี้…”เขากระซิบเรียกเสียงแผ่ว
“…”เมื่อเห็นว่าร่างตรงหน้าไม่มีทีท่าจะตื่น เขาจึงถือโอกาสกวาดตามองใบหน้าเกลี้ยงเกลาของอีกฝ่าย ทุกสัดส่วนบนใบหน้ารับกันอย่างเหมาะเจาะ เขาถอนหายใจพลางคิดว่าคนผู้นี้สมบูรณ์แบบจริง ๆ เพียบพร้อมขนาดนี้ไม่แปลกที่ฉินเซียงอินจะหลงชอบ ในนิยายคลับคล้ายคลับคลาว่าพ่อของนางไม่ชอบไป๋ผูอวี้เพราะไม่มียศตำแหน่ง จนบุรุษผู้นี้ต้องพิสูจน์รักด้วยการสอบเป็นขุนนาง แต่เขาก็ไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วไป๋ผูอวี้ได้เป็นขุนนางหรือไม่ จากบทพระเอกก็คงสอบได้ เขานึกถึง(อดีต)นางเอกแล้วก็ยกยิ้ม ในนิยายนางอาจจะได้เป็นนางเอก แต่ไม่ใช่กับโลกนี้ หากฉินเซียงอินคิดจะมาก่อรักกับไป๋ผูอวี้คงไม่ง่าย ยังต้องผ่านด่านเขาไปก่อน
จื่อฟางยื่นมือไปลูบคิ้วเข้ม ลากนิ้วลงมาตามสันจมูกก่อนหยุดลงที่ริมฝีปากหนา เอานิ้วจิ้มเบาๆแต่ไป๋ผูอวี้ก็ยังไม่ตื่น ท่อนไม้ไป๋นอนหลับลึกเกินไปหรือเปล่า? เขาใช้มือเกลี่ยริมฝีปากของบุรุษอีกคนเล่น พลางคิดว่ารสชาติของเจ้าท่อนไม้จะเป็นเช่นไร จื่อฟาง…นายหมกมุ่นมากไปแล้ว! แต่เขากับไป๋ผูอวี้ห่างกันแค่คืบ หากขยับเข้าไปเพียงเล็กน้อย…อีกเล็กน้อย…รู้ตัวอีกทีเด็กหนุ่มก็ประทับจูบลงบนริมฝีปากของอีกฝ่ายเบาๆ รู้สึกว่าตัวเองเหมือนโรคจิตที่แอบลักหลับคนที่ชอบ
จื่อฟางกลั้นหายใจเมื่ออยู่ๆไป๋ผูอวี้ก็ลืมตาขึ้นมา สายตากระจ่างใสจ้องมาที่ตนไม่มีร่องรอยง่วงงุนอย่างคนเพิ่งตื่นนอนแม้แต่น้อย ไป๋ผูอวี้ตื่นนานแล้วหรือ จื่อฟางรีบผละออกห่างทันที แต่เพราะเจ้าตัวยังไม่ปล่อยมือที่โอบแผ่นหลังเขาไว้ เขาจึงถูกกักอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย หนีจากสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนนี้ไปไม่ได้ อากาศรอบตัวพลันร้อนอบอ้าวขึ้นทันใด
“ตื่นแล้วหรือ”จื่อฟางส่งเสียงทักพยายามยิ้มเหมือนไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น ความร้อนยังคงลามมาตามลำคอขึ้นบนใบหน้า ไป๋ผูอวี้ขมวดคิ้วอย่างงุนงง ไล่สายตามองเสิ่นจิ้งเฟยที่มีใบหน้าแดงเรื่อ ความจริงเขารู้สึกตัวได้สักพักแล้ว แต่ด้วยความอยากรู้ว่าคุณชายเสิ่นจะทำสิ่งใดต่อ เขาจึงแสร้งทำเป็นหลับไม่คิดว่าคุณชายจะใจกล้าถึงขนาดลอบจุมพิตตน บุรุษหนุ่มใจเต้นผิดจังหวะแม้จะวูบเดียวแต่เขาก็รับรู้ถึงความนุ่มนิ่มของริมฝีปากของเสิ่นจิ้งเฟยได้ชัดเจน
“ท่านปล่อยมือได้หรือไม่ อากาศค่อนข้างร้อน”จื่อฟางพึมพำตีมึนทำหน้าใสซื่อ ไป๋ผูอวี้มองเขาด้วยสายตาราบเรียบแต่แฝงแววบางอย่าง ร่างตรงหน้าไม่ตอบทั้งยังไม่ปล่อยมือด้วย
“ดูเหมือนท่านจะหมกมุ่นในตัวข้าจริง ๆ ชอบข้ามากเลยหรือ”ร่างนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย แต่รอยยิ้มปรากฏอยู่บนริมฝีปากคล้ายกำลังหยอกล้อ อาจเพราะเพิ่งตื่นนอนเสียงของไป๋ผูอวี้จึงแหบไปบ้าง ทำให้จื่อฟางยิ่งใจเต้น มาถึงขั้นนี้แล้วยังมีอะไรต้องอายอีก ในเมื่อเขาเคยลั่นวาจากับตัวเองว่าจะอ่อยไป๋ผูอวี้ เขาก็ต้องเดินหน้าต่อไป
เด็กหนุ่มจึงแย้มยิ้มหวาน “ใช่ ข้าชอบเจ้า หลงรักตั้งแต่แรกเห็น”เขาเอาหน้าซบแผ่นอกของอีกฝ่าย ไป๋ผูอวี้ส่งเสียงหัวเราะจนตัวเขาสะเทือน จื่อฟางขมวดคิ้ว หัวเราะอะไรอีก! ลูกไม้ของเขาใช้ไม่ได้ผลกับเจ้านี่เสียที
“ท่านขำอะไร”เขาถลึงตาใส่ ผลักแขนไป๋ผูอวี้ออกไปให้พ้นตัวกลิ้งออกมาจากอ้อมแขนของอีกฝ่าย เห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้าก็ยิ่งทำให้คันหัวใจยุบยิบ
“หลงรักตั้งแต่แรกเห็นหรือ ข้าจำได้ว่าตอนที่พบกันครั้งแรกท่านปาถ้วยน้ำชาที่ข้าชงให้ทิ้ง”ไป๋ผูอวี้กวาดมองร่างผอมบางของคุณชายเสิ่น รอยยิ้มยังคงอยู่บนใบหน้า เสิ่นจิ้งเฟยที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ทำให้เขาสนุกนัก
“เจ้าเห็นข้าเป็นตัวตลก?”จื่อฟางได้แต่ทำสีหน้าบึ้งตึง ไป๋ผูอวี้ขยับตัวลุกนั่ง มองคุณชายเสิ่นด้วยสายตาเป็นประกาย
“เปล่า ท่านแค่ทำให้ข้าสนุก”อีกฝ่ายยิ้ม จื่อฟางไม่รู้ว่ามันต่างกันหรือไม่
“เหตุใดเจ้าดูไม่แปลกใจที่ข้าแอบจูบเจ้า”เขาหรี่ตามอง เดาอารมณ์ของชายตรงหน้าไม่ถูก ประเดี๋ยวก็ทำตัวเป็นท่อนไม้ ประเดี๋ยวก็หัวเราะชอบใจ
“หากเป็นแต่ก่อน…ข้าคงแปลกใจ แต่ท่านในยามนี้…ข้าไม่รู้สึกว่าแปลกเท่าไหร่”บุรุษหนุ่มกล่าวพลางมองตรงไปที่เสิ่นจิ้งเฟยอย่างครุ่นคิด จะว่าไปจุมพิตผิวเผินเมื่อครู่ก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกรังเกียจแต่อย่างใด ถึงแม้ยามที่อยู่หลานโจวจะเคยพบเจอชายบำเรอมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยเข้าไปคลุกคลีสัมผัส แต่คุณชายผู้นี้กลับต่างออกไป บางที…อาจเป็นเพราะใบหน้างดงามราวสตรีกระมังที่ทำให้เขาไม่รู้สึกกระอักกระอ่วน …แต่ชายบำเรอเหล่านั้นก็รูปงาม เสียงในหัวแย้งมา แต่เขาปัดทิ้งไป
“เช่นนี้เอง…”จื่อฟางยิ้ม ทำตาเป็นประกาย แสดงว่าตนก็ยังมีโอกาสอยู่ เขาเหลือบมองเส้นผมสีดำมันวาวของอีกฝ่ายแล้วก็อยากเอื้อมไปสัมผัส แต่ต้องห้ามใจตนเอง คำถามที่ผุดมาเมื่อครั้งก่อนกลับมาอีกครั้ง
“ท่านเคยเข้าหอนางโลมหรือไม่”ทันทีที่คำถามหลุดออกมา ไป๋ผูอวี้ก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที
“เหตุใดต้องถาม”คุณชายเสิ่นแปลกเสียจริง
“ข้าแค่อยากรู้ ท่านดูเป็นสุภาพบุรุษ…”เขาพยายามซ่อนสีหน้าที่นึกถึงเรื่องลามกไว้
“ท่านคงไม่ได้คิดเรื่องแปลกๆอยู่กระมัง”ไป๋ผูอวี้พูดช้าๆแค่มองใบหน้าของอีกฝ่ายเขาก็รู้แล้วว่าเจ้าตัวคิดเรื่องใดอยู่
“เปล่า”จื่อฟางพูดปด
“ข้าไม่ใช่ท่านที่จะเห็นหอนางโลมเป็นบ้านหลังที่สอง”ประโยคของบุรุษหนุ่มแฝงแววค่อนแขวะ ร่างนั้นนิ่งเงียบไปเหมือนหาคำพูดมาแย้งไม่ได้ จื่อฟางกระแอมก่อนคลานผ่านบุรุษอีกคนลงจากเตียง เขาเดินไปเปิดหน้าต่างสำรวจดูด้านนอก อากาศเย็นๆปะทะใบหน้า ท้องฟ้ายังคงมืดอยู่ แต่คำนวณดูแล้วว่าอีกสักพักคงใกล้เช้า จื่อฟางควรกลับจวนสกุลเสิ่นก่อนฟ้าสว่าง
เขาปิดหน้าต่างก่อนหันมาพูดกับไป๋ผูอวี้ “ข้าคิดว่าได้เวลากลับจวนแล้ว ขอบคุณมากที่ยอมให้ข้าค้างคืนด้วย”
ไป๋ผูอวี้มองร่างผอมบางของคุณชายเสิ่นก่อนกล่าวบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “…เรื่องของอ๋องสามท่านควรไตร่ตรองให้ดีก่อนเอ่ยวาจา อยู่กับเขาท่านควรระวังตัวไว้เสมอ…”
แม้จะรู้ดีว่าเสิ่นจิ้งเฟยคงคุ้นเคยกับหลิวอ๋องแต่ยามนี้…คุณชายตรงหน้ากลับดูน่าเป็นห่วงอย่างบอกไม่ถูก ทำให้เขาไม่วางใจ
จื่อฟางเองก็ทราบดี หากต้องเผชิญหน้ากับหลิวอ๋องเขาควรระมัดระวังคำพูดและมีสติที่สุดจะทำลุกลนมีพิรุธไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นชะตาของเขาคงเป็นเหมือนกระต่ายตัวนั้น เขาพยักหน้ารับก่อนเดินกลับมาที่คันฉ่องบนโต๊ะ สำรวจดูใบหน้าที่ดูมีชีวิตชีวาของตนอย่างพอใจ ถึงแม้เมื่อคืนจะจำได้ลางๆว่าฝันร้ายแต่ก็นอนหลับสบายกว่าที่คิด
จื่อฟางรวบผมเป็นมวยอย่างลวกๆก่อนใช้ปิ่นธรรมดาเสียบ อาจเป็นเพราะข้ารับใช้ได้ยินเสียงพูดคุยของเขาและไป๋ผูอวี้ กุ้ยตานจึงยกอ่างน้ำเข้ามาให้เขาและผู้เป็นนายล้างหน้าบ้วนปาก บรรยากาศแบบนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ เด็กหนุ่มจัดเสื้อผ้าบนตัวให้เรียบร้อย รับรู้ว่าสายตาเจ้าของห้องจับอยู่ที่ตนจึงทำให้รู้สึกเกร็งๆอยู่บ้าง เขาเหลือบมองห่อผ้าก็คิดว่าจะทิ้งเอาไว้ที่นี่ ไม่แน่อาจได้มีโอกาสมานอนค้างที่จวนสกุลไป๋อีก
“ห่อผ้าของท่าน”ไป๋ผูอวี้เอ่ยทักเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินตัวปลิวเหมือนไม่ได้หอบเอาสิ่งใดมาด้วย
“ข้าฝากไว้ที่เจ้าก่อน”
“ไยต้องฝาก…”เขามองร่างที่เดินมาหยุดตรงหน้า หรือเจ้าเด็กนี่คิดจะมาค้างคืนที่ห้องของเขาอีก จื่อฟางยืนอยู่ตรงหน้าไป๋ผูอวี้ด้วยสีหน้าสงบทำให้อีกฝ่ายนึกแปลกใจ
“ข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่ไว้ใจข้า…”จื่อฟางนึกไปถึงท่าทีเมื่อวานของไป๋ผูอวี้ การที่ถูกใครสักคนไม่ไว้ใจทำให้เขาไม่สบายใจนัก โดยเฉพาะกับบุรุษที่เขาเปิดอกบอกเรื่องหลิวอ๋อง เขาจึงรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม
“แต่สักวันข้าจะทำให้เจ้าไว้ใจข้าโดยที่ไม่มีแต่ข้อกังขา”คำพูดหลุดออกไปแล้ว ไป๋ผูอวี้ใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะซึมซับข้อความ เสิ่นจิ้งเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น ใบหน้าเรียบสงบ เป็นท่าทีที่น้อยครั้งนักจะได้เห็น ดูท่าคุณชายท่านนี้จะพูดจริง แต่เขาไม่เคยไว้ใจใครโดยที่ไม่คิดสงสัย คำพูดของอีกฝ่ายจึงดูเลื่อนลอย
“ท่านคิดว่าทำได้หรือ เสิ่นจิ้งเฟย”เขาไม่ได้หัวเราะว่าความคิดเช่นนี้ไร้สาระ ได้แต่สงสัย
“เดี๋ยวเจ้าก็รู้”จื่อฟางเองก็ไม่รู้คำตอบเพราะเป็นเรื่องของวันข้างหน้า แต่เขาจะทำให้ได้
“ข้าจะรอดู…”ไป๋ผูอวี้ผงกศีรษะเป็นเชิงรับรู้อย่างไม่จริงจังนัก แต่ผู้ใดจะล่วงรู้ได้เล่าว่าอีกหลายปีข้างหน้าเขาจะเชื่อคุณชายท่านนี้อย่างหมดใจ จื่อฟางหมุนกายเดินออกมาจากห้อง ที่ลานบ้านหยางชวีและจางต้ายืนรออยู่ก่อนแล้ว
“ข้าน้อยกำลังคิดเข้าไปปลุกคุณชายอยู่พอดี”จางต้าเอ่ยเมื่อเห็นคุณชายของตนเดินออกมาด้วยสีหน้านิ่งสงบก็นึกฉงนอยู่ในใจ ได้แต่เดินตามคุณชายไปเงียบๆ จื่อฟางมองหน้าหยางชวีก็นึกไปถึงคำพูดของตนที่บอกกับไป๋ผูอวี้ เขาเองก็ยังไม่ไว้ใจหยางชวี เรื่องของหลิวอ๋องใหญ่เกินกว่าที่เขาจะเผชิญหน้าเพียงลำพัง แต่เขาก็กลัวว่าคนผู้นี้จะเอาเรื่องของตนไปรายงานกับเสนาบดีเสิ่น
“หยางชวี หากท่านพ่อไม่ได้ส่งเจ้ามาติดตามข้า เจ้าอยากทำอะไร”เด็กหนุ่มเอ่ยถามระหว่างที่เดินออกมาจากคฤหาสน์สกุลไป๋ รถม้าคันเดิมจอดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก หยางชวีได้ยินคำถามจากอีกฝ่ายก็ประหลาดใจ คำถามเช่นนี้เขาเคยถามตัวเองมาก่อน ทีแรกเขาก็ไม่เต็มใจมาทำหน้าที่นี้นักเพราะคิดว่ายังมีงานอื่นที่คุ้มค่ากว่ามาเดินตามก้นคุณชายไม่เอาไหน แต่เมื่อรับใช้ไปนานวันเข้า เขาก็เริ่มชินกับคุณชายท่านนี้ จึงคิดว่าไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อหน่ายแต่อย่างใด
หยางชวีนิ่งคิดไปนานก่อนเอ่ยตอบ “ข้าอยากตอบแทนบุญคุณให้นายท่าน”
บุรุษหนุ่มตอบเสียงเรียบ เขาเองก็ไม่รู้ว่านี่คือความต้องการของตนหรือเป็นสิ่งที่ศิษย์พี่หานตงคอยกรอกหูมาตั้งแต่เด็กกันแน่ หากไม่ได้นายท่านใหญ่ซื้อตัว เขาคงเป็นเพียงทาสชั้นต่ำ ไม่มีวรยุทธ์ติดตัวเช่นทุกวันนี้ เสิ่นมู่หยางจึงถือเป็นผู้มีพระคุณของเขา
“ถ้าอย่างนั้นข้าถามเจ้า การมารับใช้ข้าถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณให้ท่านพ่อหรือไม่”จื่อฟางถามด้วยน้ำเสียงสบายๆระหว่างที่ก้าวไปนั่งบนรถม้า คนถูกถามไม่ได้เอ่ยตอบทันที ครุ่นคิดว่าคุณชายถามเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เขาเดาความคิดของคุณชายไม่ออก
จื่อฟางไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเพียงหลับตาใช้ความคิดเงียบๆระหว่างที่รถม้าเคลื่อนตัวช้า ๆมุ่งหน้าไปยังจวนเสนาบดี จางต้าลอบมองคุณชาย แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นคนเฉลียวฉลาดแต่หลังจากที่เผชิญเรื่องลึกลับที่คุณชายเก็บไว้ ไหนจะเรื่องของคุณชายสูงศักดิ์ที่ดูแล้วคงไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นข้ารับใช้คนสนิทยังไม่ทราบว่าอีกฝ่ายไปรู้จักตั้งแต่เมื่อใด จึงคิดได้เพียงคุณชายเสิ่นกำลังทำเรื่องบางอย่างอยู่ ระหว่างที่กลับจวนสกุลเสิ่นในรถม้าจึงมีแต่ความเงียบต่างคนต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเอง หากหยางชวีตอบคำถามของเขาได้เมื่อนั้นเขาก็จะเล่าเรื่องของหลิวอ๋องให้ฟัง
เมื่อมาถึงจวนสกุลเสิ่น พ่อบ้านสุ่ยก็รีบมาหาเขาพร้อมกับบอกว่าเสิ่นมู่หยางมีเรื่องอยากคุย สงสัยจะทราบเรื่องที่เขาไปนอนค้างจวนสกุลไป๋แล้วแน่ จื่อฟางจึงเตรียมพร้อมกับการถูกซักถาม
เสนาบดีกรมพิธีการอยู่ที่โถงรับรอง กำลังอ่านบทความของบุตรชายที่ใต้เท้าเฉินส่งมาให้อ่านหลังจากที่สอนหนังสือเสร็จ เห็นอย่างนี้แล้วเขาก็คิดว่าตนเพิกเฉยต่อเสิ่นจิ้งเฟยเกินไปหรือไม่ ดูเหมือนการเรียนของเจ้าเด็กไม่เอาไหนไม่ดีขึ้นแต่ก็ไม่ได้แย่ เขาถอนหายใจมองม้วนกระดาษที่เขาเขียนหัวข้อแนวข้อสอบระดับอำเภอไว้ คงไม่พ้นต้องช่วยมันจริง ๆกระมัง
“ท่านพ่อ”จื่อฟางส่งเสียงเรียกเมื่อเข้ามาในห้อง เห็นเสิ่นมู่หยางกำลังอ่านอะไรสักอย่าง เมื่อเดินเข้าไปใกล้จนเห็นว่าเป็นบทความที่ตนเคยเขียนไว้ก็ใจเต้นรัว
“เจ้าไปที่ใดมา”อีกฝ่ายถาม ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องการเรียนของเขา
“ไปนอนค้างบ้านสหาย”
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้านับไป๋ผูอวี้เป็นสหายด้วย”เสนาบดีเสิ่นพยักเพยิดให้บุตรชายนั่งลง
“ข้าเพิ่งคิดได้ว่าควรผูกมิตรกับเขา แม้ว่าสกุลไป๋จะไม่มีอำนาจ แต่เขาเป็นคนใช้ได้คนหนึ่ง”จื่อฟางตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นมู่หยางใช้สายตาสำรวจบุตรชายขึ้นลง ไม่คิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยจะมีความคิดเช่นนี้จึงหัวเราะเสียงดัง
“ข้าคิดว่าเจ้าคบหาแต่สหายที่มีหน้ามีตาเสียอีก”เสิ่นมู่หยางไม่รู้ว่าควรพอใจดีหรือไม่ที่ช่วงนี้บุตรชายไม่ได้ไปมาหาสู่กับหลี่ฮุ่ยจือและพรรคพวกแล้ว เขาไม่ชอบให้เสิ่นจิ้งเฟยมีข่าวซุบซิบน่าเกลียดกับหลี่ฮุ่ยจือและคิดว่าอัครเสนาบดีหลี่ก็ไม่ชอบเช่นกัน
“ท่านพ่อไม่เห็นด้วยหรือ”เขาอยากรู้ว่าเสิ่นมู่หยางคิดอย่างไรกับสกุลไป๋
“ตราบใดที่เจ้าไม่สร้างเรื่อง ข้าก็ไม่ห้าม”เสิ่นมู่หยางถอนหายใจ สงสัยว่าเพราะเหตุใดไป๋ผูอวี้ถึงยอมมาผูกมิตรกับบุตรชายของตน เท่าที่เขารู้มาสกุลไป๋ไม่ชอบคบหาผู้มีอำนาจเพราะไม่อยากข้องเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวาย แต่ก่อนเขาไม่เห็นสกุลไป๋อยู่ในสายตา เพียงแค่รู้มาว่าเสิ่นจิ้งเฟยชอบไปหาเรื่องจนถูกหัวเราะเยาะ หากเจ้าเด็กนี่หยุดทำเรื่องน่าขายหน้าก็ดีไป แต่สกุลไป๋…เขาคงต้องให้คนไปสืบดูสักหน่อย เสิ่นมู่หยางหยิบม้วนกระดาษของตนส่งให้บุตรชายโดยไม่พูดไม่จา จื่อฟางเลิกคิ้วอย่างสงสัยแต่ก็รับมาถือไว้ สีหน้าของเสนาบดีเสิ่นเหมือนบอกว่าอย่าเพิ่งเปิดอ่านตรงนี้ เขาจึงได้แต่ถืออยู่ในมือ
“ท่านพ่อ ข้าไม่โกรธหากท่านจะไปค้างนอกจวน...เพียงแต่ข้าขอเพิ่มเวรยามรอบจวนได้หรือไม่”เขาเอ่ยอย่างระมัดระวัง เสิ่นมู่หยางจ้องหน้าบุตรชายเขม็งทันที ตกใจไปวูบหนึ่งที่เสิ่นจิ้งเฟยพูดถึงเรื่องที่เขาไปค้างนอกจวน
“เพิ่มเวรยาม? มีเรื่องใดเกิดขึ้น”
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น แค่มีคนแกล้งข้า…”จื่อฟางเล่าแค่ว่ามีคนเอากระต่ายตายมาแกล้ง เสิ่นมู่หยางมีสีหน้าเคร่งเครียดทันที
“จะเป็นเรื่องเล็กน้อยได้อย่างไร”เสนาบดีเสิ่นลุกเดินไปเดินมาทันที ถึงกับมีคนเอากระต่ายตายมาไว้ในห้องเช่นนี้เป็นการข่มขู่ชัดๆ แต่ผู้ใดเล่าจะกล้า พักนี้สถานการณ์ในราชสำนักเริ่มนิ่งแต่คล้ายกับเป็นฟ้าสงบก่อนพายุมา หากบอกว่ามีคนอยากเล่นงานสกุลเสิ่น เหตุใดไม่เล่นงานเขาตรง ๆ เสิ่นมู่หยางนึกไปถึงการตายของบิดาก็กระวนกระวายใจ บิดาของเขาเคยสนับสนุนฮ่องเต้องค์ปัจจุบันให้ขึ้นเป็นรัชทายาทแทนองค์ชายใหญ่เจี่ยอี้ที่ถูกปลด แต่หลังจากที่เสิ่นฉินอี้ตาย ฮ่องเต้ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับสกุลเสิ่น ราวกับจะบอกใบ้กลายๆว่าไม่อยากให้สกุลเสิ่นมีอำนาจมากไป แต่ยามนี้กลับเป็นสกุลหลี่ที่มีอำนาจในราชสำนักจนกดหัวตน
เสิ่นมู่หยางหยุดอยู่ตรงหน้าบุตรชาย “เฟยเอ๋อร์ เจ้าคงไม่ได้ไปล่วงเกินผู้ใดเข้าหรอกนะ”
“ข้าเปล่า”จื่อฟางตอบหน้าซื่อ คนที่เขาไปล่วงเกินเป็นถึงท่านอ๋อง หากเอ่ยปากบอก ท่านคงโวยวายใหญ่โตแน่
เสิ่นมู่หยางนั่งลงพร้อมกับทำสีหน้าเคร่งเครียด “จำคำข้าไว้ พักนี้อย่าสร้างเรื่อง เดี๋ยวข้าจัดการหาคนมาเฝ้าเรือนเจ้าเอง”เขามองหน้าบุตรชายด้วยความรู้สึกผิด
“ท่านเป็นอะไร”จื่อฟางเห็นสีหน้าของเสิ่นมู่หยางไม่ค่อยดีจึงเอ่ยถามอย่างกังวล
“ข้าขอโทษที่พักนี้ไม่ค่อยได้ใส่ใจเจ้า”เสนาบดีเสิ่นวางมือลงบนไหล่ผอมบางของบุตรชาย ก็พบว่าเสิ่นจิ้งเฟยผ่ายผอมลงมากกว่าแต่ก่อน ยิ่งทำให้เขาจุกแน่นในอก เพราะมัวแต่สนใจผู้ที่ป่วยอยู่นอกจวนจนไม่ได้ให้ความสำคัญกับบุตรชายตรงหน้า หากโหยวหลันรู้เข้าคงไม่มีวันให้อภัย เสิ่นมู่หยางอยากจะโอบกอดเจ้าเด็กไม่เอาไหนแต่ก็กระดากเกินกว่าจะทำ
“หากมีเรื่องใดก็มาบอกข้าได้ทุกเมื่อ”สุดท้ายแล้วก็ได้แต่เอ่ยเช่นนี้ จื่อฟางยิ้ม ถ้าเขาเป็นเสิ่นจิ้งเฟยก็คงซึ้งใจอย่างน้อยเสิ่นมู่หยางก็ยังเป็นห่วงบุตรชายไม่ได้เรื่องคนนี้
เขานึกถึงเรื่องที่อยากถามได้พอดีจึงหยิบยกมาพูด...เรื่องของคุณชายฝู่จวิ้น “ท่านพ่อรู้จักขุนนางชั้นสูงที่ชื่อฝู่จวิ้นบ้างหรือไม่”
“ฝู่จวิ้น?”เสิ่นมู่หยางทวนชื่อด้วยสีหน้างุนงง “ไม่มีขุนนางคนใดชื่อนี้”
“ไม่มีหรือ?ที่หน้าตาหล่อเหลา อายุราว ๆสามสิบ...”จื่อฟางไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดีแต่ก็ยิ่งทำให้อีกฝ่ายฉงนกว่าเดิม
“เจ้าไปโดนผู้ใดหลอกมาแล้วกระมัง ไม่มีขุนนางชื่อฝู่จวิ้น?อยู่ในราชสำนัก”เสนาบดีเสิ่นพูดย้ำ จึงได้ทีอบรมบุตรชายว่าควรระวังตัว สกุลเสิ่นเป็นขุนนางมาหลายชั่วรุ่นไม่แปลกที่มีคนอยากเข้าหา จื่อฟางได้แต่แสร้งตั้งใจฟัง
“ข้าทราบแล้ว”เขารีบตอบก่อนขอตัวกลับไปที่เรือนเพราะยังไม่ได้อาบน้ำ เสิ่นมู่หยางจึงเรียกหยางชวีมาซักถามเรื่องบุตรชาย
“เจ้าติดตามคุณชายมาสองเดือน คิดว่าเสิ่นจิ้งเฟยมีเรื่องปกปิดอยู่หรือไม่”เสนาบดีเสิ่นถามพลางใช้สายตากดดันสำรวจมองข้ารับใช้ตรงหน้า เขารู้จักหยางชวีดีจึงรู้ว่าเมื่อครั้งก่อนข้ารับใช้ผู้นี้เอ่ยคำโกหกกับตน หรือถูกเสิ่นจิ้งเฟยตีสนิทไปแล้ว
“ข้าน้อยคิดว่ามี…”หยางชวีตอบไปตามตรง “แต่ข้าจะพยายามสืบหาความจริงให้ได้ขอรับ”เสนาบดีเสิ่นเพียงพยักหน้าก่อนซักถามต่อ
“แล้วเรื่องกระต่ายที่มีคนส่งมาเจ้าไม่รู้หรือ”
“ไม่ขอรับ”บุรุษหนุ่มตอบด้วยลำคอตีบตัน รู้สึกหนักอึ้งอยู่ในอก เมื่อได้ยินสิ่งที่คุณชายเสิ่นพูดเขาก็ทราบในทันทีว่าคุณชายไปนอนค้างที่คฤหาสน์สกุลไป๋เพราะเหตุใด เห็นได้ชัดว่าคุณชายรู้สึกปลอดภัยที่ได้อยู่กับไป๋ผูอวี้มากกว่า หยางชวียอมรับว่ารู้สึกเจ็บใจอยู่บ้างที่คุณชายเลือกไว้ใจไป๋ผูอวี้ มิใช่ว่าคุณชายเห็นคนผู้นั้นเป็นศัตรูมาตลอดหรือ แต่หยางชวีก็ปฏิเสธความแข็งแกร่งของไป๋ผูอวี้ไม่ได้ ซ้ำยังต้องเอ่ยปากขอให้ฝ่ายนั้นช่วยดูแลคุณชายเสิ่นอีก หากศิษย์พี่รู้ว่าเขาทำตัวเช่นนี้คงไม่วายโดนหัวเราะเยาะ บุรุษหนุ่มเก็บซ่อนสีหน้ากลัดกลุ้มใจไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย
“ข้าอยากให้เจ้าจับตามองไป๋ผูอวี้ให้ดี หากเขามีท่าทีผิดปกติก็มารายงานข้า”
“ขอรับ”หยางชวีรับคำ นึกไปถึงคุณชายสูงศักดิ์ที่นามว่าฝู่จวิ้น?ก็ยิ่งข้องใจ เป็นตามที่เขาคาดคุณชายท่านนั้นไม่ใช่ขุนนาง
“นายท่าน ข้ามีคำถาม…”หยางชวีเอ่ยเสียงลังเล เพราะกลัวว่าเสิ่นมู่หยางจะคิดว่าตนถามมากความ
“ว่าอย่างไร”เขาปราดตามองข้ารับใช้ตรงหน้า
“วันนี้ข้าพบคนน่าสงสัยผู้หนึ่ง เขามาขอให้คุณชายวาดภาพ ชายผู้นั้นมีองครักษ์ฝีมือสูงส่ง ข้าเกรงว่าจะไม่ใช่คนธรรมดา…”เขามองเห็นเสนาบดีเสิ่นขมวดคิ้วมุ่น
“คนน่าสงสัยที่เจ้าว่ามีหน้าตาเช่นไร”เสิ่นมู่หยางถามอย่างสนใจ รู้สึกว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญมิเช่นนั้นหยางชวีคงไม่ออกปากถาม เมื่อเขาได้ฟังอีกฝ่ายบอกลักษณะท่าทาง ใบหน้าของเขาก็ยิ่งเผือดซีด ผุดลุกจากที่นั่งทันที
“เสิ่นจิ้งเฟยไม่มีท่าทีใดเลยหรือ!”เขาถามเสียงสั่น จำได้ว่าบุตรชายไม่ชอบคนผู้นั้น…
“คุณชายไม่มีทางเลือก จำต้องออกไปกับคนผู้นั้นขอรับ”หยางชวีไม่คิดบอกว่าคุณชายจำอะไรไม่ได้เลยต่างหาก เขาเหลือบมองท่าทางกระวนกระวายของผู้เป็นนายก็ถอนหายใจเบาๆ เขาคิดถูกแล้วคนผู้นั้นไม่ใช่คุณชายสูงศักดิ์ธรรมดา แต่ดูจากการไม่ติดใจเอาความที่คุณชายเสิ่นพูดจาไม่กริ่งเกรงก็ยิ่งทำให้เขากังวล คนผู้นั้นคงชอบคุณชายมากจริง ๆ
“เหตุใด…”เสิ่นมู่หยางมีสีหน้าสับสน เริ่มเดินไปเดินมาพึมพำกับตนเองเบาๆ แต่หยางชวีก็ได้ยิน
“หรือฮ่องเต้ยังไม่ตัดใจเรื่องเฟยเอ๋อร์”
บุรุษหนุ่มเหงื่อแตกพลั่ก เป็นฮ่องเต้เจี่ยผิงจริงดังคาด เสียงเล่าลือที่เขาชอบบุรุษรูปงามเป็นเรื่องจริง ทั้งยังชอบคุณชายเสิ่น คุณชายของเขากลับจำเรื่องราวใดไม่ได้จึงออกไปกับฮ่องเต้เจี่ยผิงจนเย็นย่ำ…เขากลัวว่าพระองค์จะเข้าใจผิดคิดว่าคุณชายมีใจ…หากเป็นเช่นนั้นจะทำอย่างไร
“เจ้า…คอยจับตามองคุณชายให้ดี”เสนาบดีเสิ่นถอนหายใจด้วยสีหน้าเป็นกังวล ฮ่องเต้คิดทำสิ่งใดไม่มีใครล่วงรู้
“แล้วฝู่จวิ้นคือผู้ใด”เขาเอ่ยถามอย่างข้องใจ
“เป็นเพียงพวกต้มตุ๋นเท่านั้นขอรับ”หยางชวีจำต้องพูดปด ไม่อยากให้นายท่านตกใจไปมากกว่านี้ถ้าหากรู้ว่าฝู่จวิ้นที่คุณชายถามถึงคือฮ่องเต้
~•~
หลังจากที่จื่อฟางอาบน้ำชำระร่างกายจนปรอดโปร่งเขาก็หยิบม้วนกระดาษที่เสิ่นมู่หยางให้มาเปิดอ่าน มุ่นคิ้วเมื่อพบว่ามันคือโจทย์ข้อสอบ หากรู้หัวข้อพวกนี้ย่อมสอบผ่าน แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับการโกง ถึงจะไม่สบายใจแต่เด็กหนุ่มก็ม้วนกระดาษเก็บไว้ โกงเพียงเล็กน้อยคงไม่เป็นไรกระมัง เขานึกถึงเพื่อนที่ชอบจดโพยเข้าไปในห้องสอบ จำได้ว่าตนเองยังแอบก่นด่าอยู่ในใจ หรือเขาต้องกลืนน้ำลายตัวเองเพื่อแลกกับชื่อเสียงของเสิ่นจิ้งเฟยที่ต้องรักษา
ช่างมันก่อนเถอะ!จื่อฟางปัดความคิดเรื่องนี้ทิ้งไป เพราะเขายังมีเรื่องอื่นให้ขบคิด อย่างแรกคือคุณชายฝู่จวิ้น เสนาบดีเสิ่นบอกว่าไม่มีขุนนางชื่อนี้อยู่ แล้วเขาเป็นผู้ใด แต่คิดว่าต้องรู้จักกับเสิ่นจิ้งเฟยอย่างแน่นอน ท่าทางแสดงออกว่าสนิทสนม…ถ้าหากว่านั่นไม่ใช่การเสแสร้ง ถึงอย่างไรก็เป็นคนรู้จักจริง หรือว่าเขาไม่ได้ชื่อฝู่จวิ้น จื่อฟางนึกไปถึงท่าทางสูงศักดิ์และองครักษ์ฝีมือสูงส่ง ชายผู้นั้นแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าชอบเสิ่นจิ้งเฟย เขายังจำสายตาที่ฝ่ายนั้นมองมาได้...ราวกับต้องการฉีกกระชากเสื้อผ้าตนออก... ดูจากลักษณะท่าทาง คุณชายผู้นั้นน่าจะมีอายุไม่เกินเลขสาม ด้วยวัยที่เยอะขนาดนี้ก็คงแต่งงานมีครอบครัวแล้ว เหตุใดยังมาสนใจเสิ่นจิ้งเฟยอีก
จื่อฟางรู้สึกหัวใจเต้นแรง ทีแรกเขาคิดว่าตัวเองจะเป็นลมเพราะหน้ามืด แต่ภาพเหตุการณ์บางอย่างกลับวาบเข้ามา
…เป็นสวนสวยงามแห่งหนึ่ง เขา—เสิ่นจิ้งเฟยนั่งบรรเลงกู่ฉินด้วยสีหน้าสงบ มือเคลื่ิอนไหวอย่างอ่อนช้อย ในกรอบสายตามองเห็นคนผู้หนึ่งยืนหันหลังในชุดคลุมลายมังกรสีเหลืองสง่างาม ความรู้สึกไม่ชอบหน้าก่อตัวขึ้นมาช้าๆ เขารังเกียจคนผู้นี้…
“เจ้าฝีมือยอดเยี่ยมสมคำล่ำลือ”เสียงคุ้นหูเอื้อนเอ่ยพร้อมกับร่างในชุดคลุมสีเหลืองหันหน้ามามอง เขาใจเต้นรัวด้วยความประหม่า แต่ยังคงก้มหน้ามองกู่ฉินตัวยาวตรงหน้า
“กระหม่อมฝีมือยังอ่อนด้อย เป็นผู้คนที่กล่าวเล่าลือเกินจริง”เสิ่นจิ้งเฟยกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแปลกหู ต่างจากที่ตัวจื่อฟางใช้
“ดูท่าเจ้าคงยังไม่หายโกรธ ถึงได้พูดจาห่างเหินกับข้า”บุรุษหนุ่มมีรอยยิ้มจาง เดินเอื่อยช้าเข้ามาใกล้ยิ่งทำให้เขาใจเต้น เหงื่อออกที่ฝามือแต่ก็ยังคงดีดสายฉินต่อไป มือของเขาสั่นเล็กน้อย
“อย่างที่เคยบอก แม้ว่าข้าจะเป็นเจ้าแผ่นดิน แต่ข้าก็ยังเป็นพี่ชายฝู่จวิ้น คนเดิมของเจ้าเสมอ...”ความโกรธพุ่งขึ้นมาจนเขาหยุดมือ สายฉินยังคงส่งเสียงกังวานก่อนจางหายไปกับสายลม
“ฝ่าบาทพูดเรื่องใดข้าไม่เข้าใจ…”เสิ่นจิ้งเฟยอยากออกไปจากที่แห่งนี้เหลือเกินยิ่งเห็นใบหน้าหล่อเหลาปราศจากความรู้สึกผิดก็ยิ่งโกรธเคือง บุรุษหนุ่มตรงหน้าถอนหายใจแต่รอยยิ้มยังคงอยู่บนใบหน้าราวกับสวมหน้ากาก