สบตา ครั้งที่ 1: ฮิคารุซามะ
“พะ...พูดอะไรวะเนี่ย!?”
ใบหน้าหล่อดูงุนงงไปถนัดตา ตอนแรกผมก็ไม่ได้สังเกตหรอกนะว่าคนชื่อชาอะไรนี่หน้าตาดีขนาดไหน แค่มองผ่าน ๆ เห็นแป๊บเดียวก็รู้ว่าหน้าตาดี ทว่าพอหมอนั่นจ้องหน้าผมนิ่งให้ผมได้เห็นใบหน้าชัด ๆ ผมก็เพิ่งประจักษ์เอาในตอนนี้ว่า... โอ้โหแม่ง หมอนี่มันโคตรจะหล่อเลย ไม่ได้หล่อธรรมดา หล่อโคตร ๆ อย่างกับดาราวัยรุ่นอะไรประมาณนั้น ไม่ได้หล่อแบบหน่อมแน้มน่ารักด้วยนะ หล่อแบบ...มาดแมนแฮนด์ซั่ม เออ ผมก็พูดไม่ถูกเหมือนกัน ออกแนวรูปร่างสูงใหญ่ มีกล้าม ผิวแทนหน่อย ๆ ท่าทางออกแนวแบดบอยกึ่ง ๆ หนุ่มนักกีฬาอะไรประมาณนั้น ไม่ใช่แค่หมอนี่เท่านั้นด้วยที่หน้าตาดี พวกเพื่อน ๆ ที่มาด้วยกันก็หล่อยกแก๊ง เซ็ทผม แต่งตัวถูกระเบียบมหาวิทยาลัยเป๊ะ ๆ กันอีกต่างหาก
จะไม่เป๊ะได้ยังไง มีนักศึกษาชายที่ไหนบ้างผูกเนคไทไปเรียนกันน่ะ ใส่กันแค่ตอนเข้าปีหนึ่งใหม่ ๆ กับเปิดเรียนแรก ๆ เท่านั้นแหละ วันอื่น ๆ ก็ใส่แค่เสื้อกับกางเกง บางครั้งก็ใส่ชุดไปรเวทด้วยเพราะมหาวิทยาลัยผมอนุญาตให้แต่งตัวธรรมดาไปเรียนได้ ดังนั้นการที่พวกนี้มาแต่งตัวถูกระเบียบอย่างนี้ มันเลยดูแปลกตากว่านักศึกษาทั่ว ๆ ไป แลดูคล้ายกับพวกทูตกิจกรรม ไม่ก็พวกเชียร์ลีดเดอร์เวลาแต่งตัวเป็นทางการไปออกงานยังไงยังงั้น
แปลกตาชนิดดึงดูดสายตาให้จับจ้องจนไม่วางตาเลยล่ะ ขนาดผมเป็นผู้ชายยังอดชมเจ้าพวกนี้ว่าหล่อไม่ได้เลย
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมสนใจได้เท่ากับความปรารถนาที่ผุดพรายขึ้นมาในใจของผมจนท่วมท้น จนต้องโพล่งความในใจออกไปอีกครั้ง
“เมื่อกี้เราบอกว่านายมาอยู่กับเราเถอะ เราจะดูแลนายเอง เราสัญญา”
ผมว่าหมอนี่รู้แหละว่าเมื่อกี้ผมพูดว่าอะไร ก็เห็นตอบกลับมาว่า ‘พูดบ้าอะไรวะ’ นี่นา แต่ก็ย้ำไปอีกครั้งเพื่อให้เข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้งว่าผมต้องการอะไร
ต้องการรูมเมทนี่ไง! โหย สวรรค์ส่งมาโปรดชัด ๆ ! ผมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปหรอก
แต่ทว่าไอ้การพูดไม่ทันคิดของผมเมื่อกี้ มันกลับทำให้คนฟังทั้งคนที่ชื่อชา แล้วก็ผองเพื่อนพากันทำหน้าตกใจไปอีกระลอก ผมเองก็เพิ่งมาตระหนักได้ในอีกไม่กี่วินาทีให้หลังว่าการที่จู่ ๆ ก็ไปชวนคนแปลกหน้ามาอยู่ด้วยโดยไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่รู้จักกัน ไม่รู้อะไรเลย แถมมาเจอกันในห้องน้ำอีก มันเป็นเรื่องประหลาดโคตร ๆ แต่ให้ทำไงได้ล่ะ ก็ผมดีใจนี่นา
ดีใจที่ตลอดสิบปีที่ผ่านมาได้เจอกับผู้ชายที่สบตาด้วยแล้วไม่เห็นลูกป๋องแป๋ง ใครมาเป็นอย่างผม มันก็ต้องดีใจเท่านั้นแหละเว้ย
ดีใจมาก ดีใจจนออกนอกหน้า เผลอยิ้มออกมาอย่างลืมตัว ไม่ใช่อมยิ้มด้วยนะ ยิ้มแบบยิ้มเลย ยิ้มจริง ๆ ยิ้มยิงฟันกว้างชนิดเก็บอาการไม่อยู่ แล้วก็กลายเป็นผมคนเดียวที่ยิ้มด้วย เพราะพอคนอื่น ๆ เห็นแค่นั้น พวกมันก็ทำหน้าตาขยะแขยงผมขึ้นมาทันที
“เอ่อ ขอโทษนะครับ ผมต้องไปก่อน”
ได้สติอีกระลอกก็ตอนคนที่ผมจับอยู่เปล่งเสียงขึ้นมาอีกครั้ง ผมเลยรีบหุบยิ้มเมื่อคิดได้ว่าผมทำตัวประหลาดมากเกินไปจนอีกฝ่ายตั้งท่าหนีแล้ว
แหม เป็นใครก็ต้องกลัวทั้งนั้นแหละ ผมก็เข้าใจหมอนี่นะ แต่ไม่ปล่อยหรอก เดี๋ยวมันวิ่งหนี งั้นอธิบายสักหน่อยก็แล้วกัน
“คือว่านะ ที่เราอยากชวนนายมาอยู่ด้วยน่ะ เป็นเพราะว่า...”
“ขอตัวก่อนนะครับ หนังจะได้เวลาฉายแล้ว เดี๋ยวไม่ทัน”
พูดยังไม่ทันจบเลย หมอนั่นก็แทรกขึ้นมาละ ท่าทางแสดงออกชัดเจนว่ารังเกียจผมสุดชีวิต มือมันก็เอื้อมมาแกะมือผมที่จับแขนอยู่ออกด้วย แต่ผมไม่ปล่อย เกาะไว้แน่นเป็นเห็บเกาะหมาอย่างรวดเร็ว ทำเอาหัวคิ้วเข้มของอีกฝ่ายย่นยู่
“นี่!”
ย่นคิ้วใส่อย่างเดียวไม่พอ เริ่มขึ้นเสียงด้วย คล้ายกับว่าจะหมดความอดทน ถามว่าผมกลัวว่ามันจะต่อยมั้ย...ก็กลัวนะ แต่มีคนที่อยู่ด้วยแล้วไม่ต้องประสบกับภาพอุจาดตา ผมก็อยากได้เข้ามาอยู่ในวงจรชีวิตนี่หว่า ทว่าเหมือนมันจะไม่อยากให้ผมเข้าไปอยู่ในวงโคจรตัวเองเท่าไหร่ เห็นผมจับไม่ปล่อย เกาะเป็นตุ๊กตา จากที่มองหน้าผมอย่างหงุดหงิดก็สะบัดมือผมที่เกาะกุมอยู่ออกเต็มแรงจนมือผมหลุดออกมา
“ปล่อยสิเว้ย!”
ตะคอกมาด้วย ท่าทางเป็นมิตรก่อนหน้าที่อุตส่าห์เอาทิชชูออกจากก้นผมให้ในตอนแรก ตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นพร้อมจะเสยหน้าผมให้หงายหลังไปถนัดตา จนเพื่อน ๆ ของหมอนี่ต้องมาดึงตัวออกห่างผม
“อย่าไปสนใจเลยน่า ไปกันเถอะ”
คนที่เป็นคนฉุดผมขึ้นยืนพูด ส่วนคนอื่น ๆ ก็คะยั้นคะยอให้ทำตามนั้น ผู้ชายที่ชื่อชามีท่าทางฮึดฮัดเล็กน้อย แต่ก็ยอมเดินตามเพื่อนไปแต่โดยดี แล้วนึกเหรอว่าผมจะยอมปล่อยมือไปง่าย ๆ ไม่ว่ายังไง ผมก็ต้องได้หมอนี่มาเป็นรูมเมทให้ได้!
วินาทีที่ถูกสะบัดหลุดออกจากตัวและเหยื่อกำลังจะหนีไป ผมก็รวบรวมความกล้า พุ่งเข้าชาร์จด้วยการโผเข้ากอดเอวจากทางด้านหลังทันทีที่หมอนั่นหันหลังให้ทันที อีกฝ่ายสะดุ้งสุดตัว หันมาโวยวายเสียงดังลั่น
“ทำบ้าอะไรของมึงวะเนี่ย!”
ไร้ซึ่งความสุภาพอีกต่อไป ผลักผมออกเต็มแรงด้วยจนผมเซไปอีกทาง แต่ผมก็ไม่หยุดแค่นั้น พุ่งเข้าไปกอดอีก หากแต่ครั้งนี้กอดจากทางด้านหน้า
“อย่าหนีเราไปเลยนะ เราตามหาคนอย่างนายมานานแล้ว มาอยู่กับเราเถอะ เราขอร้อง!”
ปากพูดอะไรไปไม่ทันได้คิดไตร่ตรองให้ถ้วนถี่ สำหรับผมน่ะมันเป็นความต้องการจากก้นบึ้งของจิตใจจริง ๆ และก็ไม่ได้หมายความว่าผมชอบหมอนี่อะไรแต่อย่างใดด้วย เหตุผลเดียวคือสบตามันแล้วไม่เห็นกระเปี๊ยวก็แค่นั่น แต่สำหรับคนอื่นทั้งหมอนั่น ทั้งเพื่อน ๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์กลับไม่ได้คิดอย่างนั้น
มันจะคิดอย่างผมได้ไงล่ะ ก็พวกมันไม่รู้นี่ว่าผมต้องประสบชะตากรรมอะไรมาบ้าง ได้ยิน มันก็คิดไปเป็นอย่างอื่นไปแล้ว
“โรคจิตหรือไงวะมึงเนี่ย ปล่อยนะเว้ย!”
ถูกผลักจนกระเด็นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้เซธรรมดา ล้มกระเด็นก้มจุ้มปุ้กไปเลย ทำท่าจะพุ่งเข้ามาต่อยผมด้วย ผมคงจะโดนต่อยแล้ว ถ้าเพื่อน ๆ หมอนั่นถลาเข้ามาห้ามไว้ไม่ทัน
“ไอ้ชา อย่าไปสนใจเลยมึง ไปเถอะ อย่ามีเรื่อง”
คนเดิมที่ฉุดผมลุกขึ้นยืนร้องห้ามอีกแล้ว คนอื่น ๆ เลยช่วยกันห้ามบ้าง
“กูก็ไม่อยากมีเรื่องหรอก พวกมึงก็ดูแม่งสิ ทำบ้าอะไรของมัน”
“เอาน่ามึง มึงมันหล่อ ใคร ๆ ก็อยากเข้าหา อย่าไปสนใจ”
ได้ยินเพื่อนป้อยอ คนที่ชื่อชาเลยพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง จบเรื่องเอาดื้อ ๆ
“กูก็เข้าใจอยู่ แม่ง เบื่อความหล่อของตัวเองจริงว่ะ”
จากที่อยากได้มันเป็นรูมเมท ได้ยินมันพูดประโยคนี้ก็แทบกลอกตาเป็นเลขแปด ไม่ใช่เลขแปดอารบิกด้วยนะ เลขแปดไทย! โอ้โห! มึงมั่นหน้าอะไรเบอร์นี้เนี่ย!
ความต้องการมันมาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขในห้องเดียวกันหายวับไปทันตา ได้แต่มองคนพวกนั้นเดินออกจากห้องน้ำไป ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อคนพวกนั้นหายออกไปข้างนอกแล้ว
เออ ช่างมันเถอะ ไว้หาเอาใหม่ก็ได้
ถ้าเจอคนแรก มันก็น่าจะมีคนที่สองที่สามตามมาแหละวะ ถึงจะน่าเสียดายก็เถอะ แต่สักวันเดี๋ยวมันก็ต้องเจออีก คนมีตั้งกี่ล้าน คงไม่ได้มีมันคนเดียวหรอกมั้งที่สบตาแล้วไม่เห็นจู๋น่ะ
คิดได้อย่างนั้นก็สบายใจขึ้น ผมลุกขึ้นยืน เดินไปหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดไปทำหน้าที่ของตัวเองอย่างที่ควรจะทำ หากแต่พอผมถูพื้นตามห้องส้วมไล่ไปทีละห้องจนมาหยุดที่ห้องซึ่งก่อนหน้านี้ ผู้ชายที่ชื่อชาเข้าไปใช้ ผมก็เจอกับวัตถุบางอย่างหล่นอยู่ที่พื้นบริเวณข้างชักโครก
กระเป๋าตังค์นี่หว่า?
ก้มลงไปหยิบขึ้นมาทันที เปิดกระเป๋าออกมาดูอย่างถือวิสาสะ เห็นมีแบงค์พันอยู่สองสามใบกับเศษเงินอีกนิดหน่อย ผมก็เบ้ปากใส่รัว ๆ
ขโมยเงินมันแม่งเลย หมั่นไส้ มั่นหน้าดีนัก!
ความคิดชั่วร้ายเข้าครอบงำ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นบรรดาบัตรต่าง ๆ ที่เสียบไว้ในซอกกระเป๋า
ถ้าบัตรพวกนี้หาย คงจะลำบากน่าดูเลย
คิดแล้วก็เปลี่ยนใจ ตั้งใจจะเอาไปคืนแทน หยิบบัตรนักศึกษาออกจากกระเป๋ามาดูก็เห็นว่าหมอนั่นมีชื่อเต็ม ๆ ว่า ‘คชา’ หน้าบัตรระบุว่าเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับผมอย่างที่ผมคิดไว้ตอนแรก เลขประจำตัวนักศึกษาก็บ่งบอกว่าเรียนชั้นปีที่สองเหมือนกัน เพียงแต่รหัสคณะเป็นคนละคณะเท่านั้น ผมเรียนนิติฯ หมอนั่นเรียนวารสารฯ ตึกคณะอยู่ใกล้ ๆ กัน เดินเอาไปฝากไว้ที่คณะแล้วให้หมอนั่นไปเอาคืนเองก็ได้
แต่ไม่...
ไม่ทำแบบนั้นหรอก ใครจะไปทำกันวะ อยากได้คืนก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนเว้ย
ความคิดชั่วร้ายผุดพรายขึ้นมาในหัวทันที กะจะเอากระเป๋าตังค์ไปแลกเปลี่ยนกับการที่ให้มันยอมมาเป็นรูมเมทผมแทน
คิดไปก็หยิบบัตรนักศึกษาหมอนั่นขึ้นมาดู ก่อนจะเห็นว่าไอ้บ้านั่นเขียนรหัสพาสเวิร์ดสำหรับล็อคอินเว็บไซต์มหาวิทยาลัยไว้ด้านหลังของบัตรด้วย
มันบ้าหรือไงวะเนี่ย มีใครไปเขียนรหัสพาสเวิร์ดไว้แบบนี้บ้าง ไอดีก็ใช้เลขประจำตัวนักศึกษา ถ้าเกิดมีใครหมั่นไส้มันขึ้นมาเหมือนผมแล้วแอบล็อคอินไอดีมันเข้าไปแกล้งดร็อปเรียนจะทำยังไง สะเพร่าชะมัด แต่ก็เอาเถอะ เรื่องของมัน ไม่เกี่ยวกับผม แล้วก็โชคดีของมันด้วยที่ผมเป็นคนเก็บได้ เพราะผมไม่ได้ต้องการอะไรจากมันเลย นอกจากได้มันมาอยู่ด้วยเท่านั้น
คอยดูเถอะ พรุ่งนี้โดนตามติดเป็นตังเมแน่!
ตามติดจริงอย่างที่ตั้งใจ เพราะพอกลับมาที่หอ ผมก็จัดการล็อคอินเข้าไปในเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยด้วยไอดีของคชา ตรวจสอบตารางเรียนของหมอนั่นว่าเรียนวิชาอะไร ที่ไหนบ้าง โชคดีที่มีวันพรุ่งนี้ หมอนั่นมีเรียนไม่ตรงกับผม ผมมีเรียนเช้า หมอนั่นมีเรียนบ่าย ซ้ำยังไม่ได้เรียนที่ตึกคณะ แต่เรียนที่ตึกเรียนรวม แถมยังเป็นห้องเรียนใหญ่ ผมแฝงตัวเข้าไปก็ไม่มีใครสงสัย วันรุ่งขึ้นพอเรียนวิชาคณะเสร็จ ผมก็จัดการปรี่ไปที่ห้องเรียนนั้นทันที
อย่างที่บอกว่าเรียนห้องเรียนใหญ่ ผมก็กลัวเหมือนกันว่าจะหาตัวคชาไม่เจอ แต่รู้อะไรมั้ย หมอนั่นน่ะ เด่นจนมองแต่ไกลก็ยังเห็น ผมเลยจัดการปรี่เข้าไปหา พยายามก้มหน้าก้มตาไม่สบตาใครด้วยเกรงว่าจะเห็นดงป๋องแป๋งให้เสียสายตาอีก
มุดฝ่าคนจำนวนมากมาได้ ก็นั่งปุ้กลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ หมอนั่น คชาเหลือบมามองผมเล็กน้อย มองแล้วก็เมิน ไม่ได้สนใจอะไร ดูท่าจะจำผมไม่ได้
ก็นะ... คงจำได้อยู่หรอก ผมในตอนไปทำงานกับตอนไปเรียนแต่งตัวเหมือนกันที่ไหน ตอนไปเรียน มันแต่งตัวยังไงก็ได้ ผมเลยเอาผมที่ปรกหน้าปรกตาเพื่อที่จะได้ไม่ไปสบตาคนอื่นเอาง่าย ๆ ส่วนตอนไปทำงาน ถึงจะเป็นพนักงานทำความสะอาดห้องน้ำ แต่ภาพลักษณ์มันก็สำคัญ เลยต้องเสยผมขึ้นให้ดูเรียบร้อย
กระนั้นผมก็ไม่ได้สนใจนักว่ามันจะจำผมได้มั้ย เอาแต่สังเกตว่าหมอนี่มาเรียนกับใคร ผมจะได้หาจังหวะเข้าชาร์จถูก แต่ดูแล้ว เหมือนจะมาเรียนคนเดียวแฮะ งั้นก็ดีเลย จะได้หาโอกาสเข้าถึงตัวง่าย ๆ
บอกว่าจะหาโอกาส หาจังหวะ เอาเข้าจริงก็ไม่ได้หาหรอก เห็นหมอนั่นนั่งเท้าคางเหม่อ ๆ ปุ๊บ ผมก็ยื่นมือไปสะกิดปั๊บ
คชาหันหน้ามามอง ผมยิ้มให้ ก่อนมันจะมองเหลียวซ้าย แลขวา แล้วก็ทำหน้างง ๆ ก่อนจะทำเป็นเฉยไป
เอ้าไอ้นี่! ทักแล้วไม่ทักตอบ คืออะไร!?
เลยสะกิดไปอีกที คชาหันมาอีกรอบ คราวนี้มีสีหน้ารำคาญนิดหน่อย
“เรียกเราเหรอ?”
“อืม สะกิดใครอยู่ล่ะ”
ผมว่า หัวคิ้วคนตรงหน้านี่ย่นยู่เลย ก่อนหมอนั่นจะถาม
“เรา...รู้จักกัน? เรียนคณะเดียวกันปะ ไม่เห็นเคยเห็นหน้า?”
มึงจะเคยเห็นหน้าได้ยังไง ผมปิดหน้ากูขนาดนี้เนี่ย แล้วมันก็จำผมไม่ได้อย่างที่คาดการณ์ไว้จริง ๆ ด้วยแฮะ ผมเลยทวนความจำให้ด้วยการล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพาย หยิบกระเป๋าเงินมันออกมา
“ไม่ได้เรียนคณะเดียวกันหรอก แค่เรียนมหา’ลัยเดียวกัน พอดีนายทำนี่ตกน่ะ เราก็เลยเอามาคืน”
สีหน้าหงุดหงิดของคชาเลือนหายไปทันที ยื่นมือมาจะคว้ากระเป๋าตังค์จากมือผม
“ไปเจอที่ไหนเนี่ย นึกว่าจะไม่ได้คืนแล้วซะอีก”
“เจอในห้องน้ำ” ผมตอบ พลางดึงมือหนีก่อนที่หมอนี่จะคว้าได้
คชาชะงักกึกไปทันที มองหน้าผมอย่างสงสัย
“ห้องน้ำ?”
“อือ ห้องน้ำ”
“ห้องน้ำไหน หรือว่า...?”
เหมือนตอนนี้จะจำได้แล้วว่าผมเป็นใคร คงจะคลับคล้ายคลับคลา ผมเลยเหยียดยิ้ม พร้อมจัดการเสยผมหน้าตัวเองขึ้นให้หมอนี่เห็นหน้าชัด ๆ
“ห้องน้ำในห้างไง”
เห็นหน้าผมชัดเจนเท่านั้น คชาก็อ้าปากค้าง ก่อนจะกระเด้งลุกขึ้นยืน แหกปากเสียงดัง
“มายังไงของมึงวะเนี่ย!?”
แหกปากลั่นสนั่นซอยมาก ความสุภาพก็ไม่มี ขึ้นมึงขึ้นกูหน้าตาเฉย ทำเอาคนทั้งห้องเรียนหันมามองยังหมอนั่น ซ้ำยังเป็นจังหวะเดียวกับที่อาจารย์ประจำวิชาเดินเข้ามาในห้องอีก เห็นนักศึกษาแถวหลังพูดให้ได้ยินแว่ว ๆ มาว่าอาจารย์คนนี้ค่อนข้างเนี้ยบ และมีกฎของห้องเรียนอยู่ว่าห้ามเสียงดัง เลยทำให้คชาถูกอัปเปหิออกจากห้องในไม่กี่นาทีให้หลัง
แล้วถามว่าผมยอมปล่อยให้มันจากไปง่าย ๆ มั้ยล่ะ ...ไม่ บอกว่าจะตามติดแล้วก็ต้องตามสิ
“ตามกูมาทำไมวะ มึงจะเอาอะไร”
เดินตามไปได้พักใหญ่ คชาก็เหมือนจะสิ้นสุดความอดทน หันมาแผดเสียงใส่ผมระหว่างที่เราเดินกันไปตามทางที่มุ่งตรงไปยังโรงอาหาร
ผมที่ก้มหน้ามองพื้นระหว่างเดินอยู่เหลือบมองใบหน้าหล่อที่ยับยู่ไปนิด พลางว่า
“เราก็จะเอากระเป๋าตังค์มาคืนให้นี่แหละ”
“ถ้าจะมาแค่เอากระเป๋าตังค์มาคืนให้ ก็เอามา!”
ไม่ว่าเปล่า แบมือขอแบบซึ่ง ๆ หน้าอีกด้วย
ผมก็อยากจะให้แหละนะ แต่ท่าทางกุ๊ยแบบนี้มันใช่วิธีการขอของคืนจากคนที่อุตส่าห์เก็บได้มั้ยฮะ!
ผมพยายามเก็บอารมณ์ที่หงุดหงิดขึ้นมาบ้างเต็มที่ อยากจะเทมันเหมือนกัน แต่ก็นะ สบตามันกี่ครั้ง ๆ ก็ไม่เห็นจุ๊ดจู๋ ผมเลยจัดใจเทมันทิ้งไม่ลง ยิ่งในเวลาที่ต้องหารูมเมทเร่งด่วนก่อนที่จะถึงกำหนดย้ายออกจากหอด้วย ก็ทำให้ผมต้องยอมตื๊อมันอย่างไม่มีทางเลือก
“คืนน่ะคืนแน่ แต่มีข้อแม้อยู่อย่างนึง”
“อะไร”
“มาอยู่ห้องเดียวกับเราสิ”
คชาทำหน้าแหยงไปทันที ครางออกมาเบา ๆ
“มึงนี่มัน...โรคจิตจริง ๆ ด้วยว่ะ”
“ไม่ได้โรคจิตเลย แค่อยากอยู่ด้วยกันเฉย ๆ “
ว่าไปตามตรง แต่ยิ่งพูด หน้าคชาก็ดูขยะแขยงผมมากกว่าเดิมพิลึก สุดท้ายแล้วมันก็...
“งั้นกูไม่เอาละ จะไปไหนก็ไปเลยมึงน่ะ บาย”
เดินหนีไปหน้าตาเฉยเลย แต่ก็อย่างที่บอกว่าผมไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอก เดินตามมันไปอีก ตามไปจนเกือบจะถึงโรงอาหาร ยิ่งเดินมาเจอคนเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็ยิ่งตามติดคชามากขึ้น
ไม่ใช่ตามติดสิ เดินติดจนแทบจะชิดแผ่นหลังเลยมากกว่า มือนี่คว้าปลายเข็มขัดที่หลังกางเกงมันแล้วด้วย กลายเป็นมันเดินจูงผมเฉย
ก็แบบว่าคนมันเยอะน่ะ กลัวว่าจะไปสบตาใครเข้าแล้วเห็นชีเปลือยนี่หว่า แต่ก็กลัวว่าถ้ามัวพะวงเรื่องนี้ คชาก็จะเดินหนีหายไปเหมือนกัน เลยเกาะมันไว้
ส่วนคชาก็เหมือนจะหมดความอดทนอีกครั้ง หยุดเดิน เบรกเอี๊ยดจนหน้าผมกระแทกเข้ากับแผ่นหลังมันเต็มแรง หันหน้ามามองผมด้วยสีหน้าที่ดูก็รู้ว่ากำลังข่มความโกรธสุดฤทธิ์
“ถามตรง ๆ เลยนะ ตกลงมึงตามตื๊อกูให้ไปอยู่ด้วยทำไม? กูว่าไม่ใช่แค่เรื่องอยากให้กูไปอยู่ด้วยละ มึงต้องมีเรื่องอื่นแน่”
ผมนิ่งงัน ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี ขืนบอกความจริงไปว่ามันเป็นคนเดียวตลอดสิบปีที่ผมสบตาด้วยแล้วไม่เห็นกระเปี๊ยว เดี๋ยวมันก็จะหาว่าผมโกหกอีก ผมเลยต้องคิดหาทางโกหก ไปกลบเกลื่อนเรื่องจริงที่จะทำให้มันคิดว่าเป็นเรื่องโกหก
โกหกอินเซ็ปชัน ซับซ้อนซ่อนเงื่อนไปอี๊กกก!
“ว่าไง ตกลงทำไมถึงอยากอยู่กับกู อย่าบอกนะว่าคิดอะไรแปลก ๆ อยู่ โรคจิตป่ะเนี่ยมึงอะ อยากอยู่กับคนป็อป ๆ อย่างกูเพื่อให้มีสาวมาสนล่ะซี่”
คิดอยู่พักนึง ยังไม่ทันจะคิดออก มันก็โพล่งออกมาละ มองหน้าผม เอียงคอถามด้วยท่าทางกวนโอ๊ยสุด ๆ ผมพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง ข่มความหงุดหงิดที่พรั่งพรูเข้ามา บอกปฏิเสธด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ไม่ใช่”
“เอ้า แล้วจะอยากมาอยู่กับกูทำไม หรือว่า...” จู่ ๆ คชาก็ทำท่าคิด พลันยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม “มึงจะแอบชอบกู?”
มึงกล้าพูดมาได้ยังไง! กูจะเอาผู้ชายด้วยกันมาทำมะเขือเผาอะไรวะฮะ!
ผมถึงกับเบิกตาโตทันควัน ผลักหน้าหล่อ ๆ ที่อยู่ใกล้เพียงคืบออกห่าง โพล่งออกไปเสียงดังอย่างลืมตัว
“ไม่ใช่เว้ย!”
“ไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิวะ จะโวยวายทำไม ทำเสียงดังงี้ แม่งโคตรมีพิรุธ”
จริงของมัน ผมเลยรีบเก็บอาการ ทำปากมุบมิบด่ามันในใจไปที ขณะที่มันก็มองผมอย่างระอา ก่อนว่าขึ้นมาอีก
“คุยกับมึงแล้วเสียเวลาชีวิตว่ะ เอาแบบซีเรียสเลยนะ ตกลงมึงอยากจะอยู่กับกูทำไม กูจะได้รู้สึกทีว่ามึงตามตื๊อกูมาทำบ้าอะไร”
ผมจ้องหน้าคนตัวสูงกว่านิ่ง เผลอเม้มปากแน่นอย่างครุ่นคิดว่าควรจะบอกความจริงไปมั้ย สุดท้ายก็...
“เออ บอกก็บอกวะ”
“อะ รอฟัง”
คชายืดตัว ยกแขนขึ้นกอดอก ทำท่าตั้งใจฟังสุด ๆ เห็นแล้วผมก็หมั่นไส้ แม่ง ไอ้หน้าหล่อนี่ ตัวจริงมันโคตรกวนจนฝ่าเท้าผมงี้กระตุกยิก ๆ เลยพับผ่า ดีแต่หน้าตาจริง ๆ แต่ก็พยายามมองข้ามเรื่องนั้นไป หันซ้าย แลขวา ลากมันเข้าซอกตึกบริเวณนั้นแบบไม่ทันให้มันตั้งตัว พอเห็นว่าลับสายตาคน ผมก็ยื่นมือไปดึงเสื้อนักศึกษาอีกฝ่ายเพื่อให้เถิบเข้ามาใกล้
คชาสะดุ้งเล็กน้อย ทว่าก็ยอมยื่นหน้าเข้ามาหาแต่โดยดี
“ความลับนะ”
“เออ”
“รักษาสัญญาว่าจะไม่ไปบอกคนอื่นด้วย”
“เออน่า” คชาทำหน้ารำคาญ
ผมมองหน้าหมอนี่แล้วก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ว่ามันจะรักษาความลับอย่างที่พูด แต่ก็เอาเถอะ อยากได้มันมาอยู่ด้วยก็ต้องยอมล่ะวะ
สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด บอกมันออกไปในอีกไม่กี่วินาทีให้หลัง
“คืองี้...นายเป็นผู้ชายคนแรกที่เราสบตาด้วยแล้วไม่เห็นเจี๊ยวว่ะ”
พูดจบ ผมก็ปล่อยมือออกจากเสื้อมัน คชาเบิกตาโต ค่อย ๆ ถอยห่างจากผมทีละน้อย ปากก็ว่าไปด้วย
“มึงนี่... อยากอยู่กับกูเพราะอยากเห็นเจี๊ยวกูว่างั้น”
ว่างั้นป้ามึงเถอะ! ก็บอกว่าเป็นผู้ชายคนแรกที่สบตาด้วยแล้วมึงไม่แปลงร่างเป็นชีเปลือยไง เข้าใจอะไรยากเย็นจังวะ!
ผมตั้งท่าจะอธิบาย แต่ไอ้คชาไม่รอฟังแล้ว เบ้ปากใส่ผม พลางว่าพึมพำ
“อยากทำความรู้จักกับมิสเตอร์จอห์นนี่ถึงขนาดตะล่อมให้ไปอยู่ด้วยแบบนี้ แผนสูงนี่หว่า ร้ายกาจ”
จะอยากรู้จักไปทำเตี่ยมึงเหรอ! ถึงมันจะผงกหัวขึ้นมาเช็คแฮนด์ กูก็ไม่บ้าจี้ไปเซย์ไฮหรอกเว้ย!
ฟันแม่ง... หาอีโต้มาฟันมิสเตอร์จอห์นนี่แม่ง! ลำไย!
ลำไยเป็นภาษาวัยรุ่น แปลว่ารำคาญ ไม่ใช่แค่มันคนเดียวหรอกที่รำคาญผม ผมก็รำคาญมันเหมือนกัน ทว่าคชามีลิมิตในการอดทนน้อยกว่าผม เห็นผมเม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรง มันก็แสยะยิ้มออกมา วางมือไว้บนหัวผมด้วยท่าทางกวนโอ๊ย
“ต้องขอโทษด้วยว่ะที่กูไม่มีรสนิยมชอบผู้ชายด้วยกัน อกหักไปนะมึง”
แล้วมันก็หมุนตัวเดินหนีไปทันที ผมได้สติ ก็รีบพุ่งเข้าไปคว้ามันไว้อีกครั้ง
“เฮ้ยเดี๋ยวก่อน แล้วกระเป๋าตังค์ไม่เอาแล้วหรือไง”
“ให้มึงเอาไปนอนกอดเลย จะเอาไปทำอะไรก็ตามใจ เดี๋ยวพวกบัตร กูไปทำใหม่เอง”
ว่าอย่างไม่แยแส สะบัดผมเต็มแรงซะทีเดียวหลุด ผมใจหายวาบที่เหยื่อจะหลุดลอยไป เหมือนจะเข้าข่ายว่าเป็นพวกโรคจิต แต่จะให้ทำไงได้ละเว้ย ผมกูอยากอยู่กับคนที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็นมนุษย์ปุถุยนคนปกติเหมือนกันนี่หว่า!
พุ่งเข้าไปหามันอีกรอบทันที คชารู้ตัว กระโดดหนี ผมเลยคว้าเสื้อมันไม่ได้ คว้าเข็มขัดก็ไม่ได้ คว้าอะไรไม่ได้เลย
นอกจาก...แฟ้มใส่เอกสารการเรียนที่มันเหน็บอยู่ใต้รักแร้
กระชากซะเต็มแรง แฟ้มเอกสารหนังสีน้ำตาลเข้มก็ร่วงหล่นสู่พื้น มันดันไม่ได้รูดซิปแฟ้มปิดอีก ข้าวของข้างในเลยหล่นกระจัดกระจาย
คชาหันมาเห็นก็อุทานด่าผมเสียงดัง
“แม่งเอ๊ย ทำบ้าอะไรของมึงวะ!”
สนมั้ยล่ะ... ไม่ ก้มหน้าก้มตาเก็บข้าวของให้มันอย่างรน ๆ ตอนนี้ตกเป็นเป้าสายตาแล้วด้วย ไม่ควรเงยหน้าขึ้นมายิ่ง ได้แต่ก้มหน้ามองพื้น ก่อนที่มือจะไปคว้าเอาซองกระดาษสีน้ำตาลที่ใส่ของบางอย่างไว้อยู่
ผมหยิบซองนั้นมาไว้ในมือ หน้าซองมีรอยประทับของร้านชื่อแปลก ๆ ร้านหนึ่ง
“Adult xxx?”
ชื่อแบบนี้จริง ๆ xxx นี่แม่งคืออะไรก็ไม่รู้ แต่ผมคิดเป็นเรื่องสิบแปดบวกไปแล้ว แถมหน้าซองยังมีชื่อมันจ่าหน้าอีกด้วย
อีแบบนี้ต้องเป็นของเล่นผู้ใหญ่ ไม่ก็อะไรที่เกี่ยวกับเรื่องใต้สะดือแหง
และผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะละลาบละล้วงดูของข้างในมันหรอก ทว่าในจังหวะที่ผมหยิบมันขึ้นมา ก็ไม่ได้ทันสังเกตว่าซองนั้นถูกฉีกเปิดแล้ว ทำให้ของข้างในไหลออกมาจากซอง ตกแหมะอยู่ที่พื้น ผมถึงได้รู้ว่ามันคือกล่องดีวีดี
ดะ...ดีวีดีหนังโป๊...ขะ...ของผู้ชาย
GV นี่หว่า!?
ผู้ชายวัยรุ่นญี่ปุ่นหน้าตาจิ้มลิ้มนั่งใส่กางเกงลิงตัวเดียว อ้าขาโชว์ห่อหมกอล่างฉ่างทำเอาผมตาแทบพร่า
หนังโป๊เกย์แน่นอน! นี่กูอุตส่าห์ระวังสายตาว่าจะไปเห็นกระเปี๊ยวคนอื่นแล้วนะ มึงยังจะเอามาให้กูเห็นอีก แม้ว่าจะเป็นรูปบนกล่องดีวีดีก็เถอะ
กูจะเลิกกินห่อหมกไปอีกพักนึงเลย สาบาน!
ผมอ้าปากค้าง แต่ได้สติขึ้นมาแล้ว เลยรีบหยิบกล่องดีวีดีนั้นขึ้น ส่วนคชาที่มัวเก็บอย่างอื่นอยู่หันมาเห็นก็อ้าปากค้างไปเช่นกัน ใบหน้าหล่อซีดขาวประหนึ่งผีหลอก ก่อนที่จะแหกปากลั่น
“ฮะ...ฮิคารุซามะ! เอาท่านฮิคารุของกูคืนมานะเว้ย!”
พูดจบก็ถลาเข้ามาหาผม ผมไหวตัวทัน สัญชาตญาณบอกให้รู้เลยว่าเป็นของสำคัญของมันแน่ เลยเอี้ยวตัวหลบ จัดการยัดฮิคารุอะไรนี่ยัดลงขอบกางเกงด้านหน้า เอาเสื้อนักศึกษาคลุมไว้ไม่ให้มันชิงคืนไปได้ง่าย ๆ
คชาเห็นผมทำอย่างนั้นก็ทำหน้าเหมือนโลกจะแตก ร้องลั่นออกมา มือทึ้งผมตัวเองรัว
“ทะ...ท่านฮิคารุของกูแปดเปื้อนแล้ว! นั่นลิมิเต็ดอิดิชันนะเว้ย! ทำอะไรของมึงเนี่ยไอ้เอ๋อ!”
นั่นไง ของสำคัญจริง ๆ ด้วย
ผมยิ้มเผล่ สองมือกอดกล่องดีวีดีไว้แน่น พลางว่าด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์
“ถ้าอยากได้คืน เรามาลองนั่งคุยกันดี ๆ หน่อยเป็นไง น่าจะต่อรองกันได้นะ”
คชาทำท่าฮึดฮัด แลดูโกรธผมจนแทบเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่ แต่จนแล้วจนรอดก็...
“ไปคุยที่อื่น ตามมา”
แล้วก็เดินนำไป ผมหัวเราะไล่หลังเล็กน้อย
ไหนมึงบอกว่าไม่ชายตาแลผู้ชายไง แล้วฮิคารุซามะคืออะไร
มึงนี่... โรคจิตกว่ากูอีกเว้ย!