บทที่ 3 เชอร์ณต โฮล์มส์!!
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่พี่เบิ้มจะอยู่ที่เชียงใหม่ ช่วงบ่ายพี่เบิ้มจะเดินทางกลับไปทำงานต่อที่กรุงเทพอีกหนึ่งวัน ในวันรุ่งขึ้นก็เดินทางกลับลอนดอนบ้านเกิด..
ผมเพิ่งรู้ว่าอีพี่เบิ้มแม่งเป็นคนขี้เซา ถึงว่าเมื่อวานตอนไปรับที่โรงแรมยังเตรียมตัวไม่พร้อมเมื่อถึงเวลานัด ตอนนี้แปดโมงเช้าเข้าไปแล้วพี่เบิ้มก็ยังไม่ออกจากห้อง..หรือว่าเมื่อวานแดกเยอะไปท้องแตกตายหมกอยู่ในห้องวะ!!
“เจเรมี่ ตื่นรึยังครับ”
“...” ผมเคาะห้องพร้อมกับเรียกอยู่อย่างนั้นสามรอบ ไร้ซึ่งการตอบรับใดๆ
ลองหมุนลูกบิดประตู..ห้องไม่ได้ล็อคนี่หว่า
“งั้นผมเข้าไปนะครับ” ผมเอ่ยบอกอย่างเกรงใจก่อนจะหมุนลูกบิดประตูเข้าไป สิ่งที่ปะทะเข้ากับสายตาคือ ชายหนุ่มผมยาวสีน้ำตาลเข้มระต้นคอนอนคว่ำอยู่บนเตียง ท่อนบนเปลือยเปล่า ส่วนท่อนล่างปกคลุมด้วยผ้าห่มสีครีม
ตึก ตึก จู่ๆก็ใจเต้นแรง หน้าร้อนเห่อกับแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามแข็งแรง..เซ็กซี่!
เพิ่งสังเกตว่าพี่เบิ้มมีรอยสัก เป็นตัวเขียนภาษาอังกฤษอยู่บริเวณบ่าด้านหลัง อ่านว่าอะไรผมก็อ่านไม่ออกเพราะมองเห็นไม่ชัด กำลังจะเดินเข้าไปใกล้อีกนิดหวังว่าจะได้เห็นตัวหนังสือบนแผ่นหลังนั้นชัดๆ อีพี่เบิ้มก็ดันพลิกตัวมานอนหงายเสียก่อน..นาทีนั้นผมแทบกลั้นหายใจ กลัวพี่เบิ้มจะตื่น ..แล้วทำไมต้องกลัวมันตื่นด้วยวะ ก็ผมเข้ามาปลุกพี่เบิ้มนี่หว่า!
“เจเรมี่” ผมเดินเข้าไปใกล้ พร้อมกับส่งเสียงเรียกไม่ดังมากนัก ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ใจก็ยิ่งสั่น ไรขนจากท้องน้อยที่ลามขึ้นมาจนถึงสะดือ ทำให้ผมหายใจติดขัด..มึงท่าจะบ้าแล้วไอ้ณต!!
ผมทำใจกล้าไปเขย่าแขนพี่เบิ้มเบาๆ เพื่อเพิ่มเลเวลในการปลุก นิ่ง..โอ้ยย อีตาบอสนี่ก็ตื่นยากตื่นเย็น นี่ถ้าเป็นอีซูซี่กูถีบตกเตียงไปนานแล้ว!! พอเพิ่มแรงเขย่าอีพี่เบิ้มก็ค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย
“Mr. Blue Scarf” พี่เบิ้มเอ่ยออกมาเสียงเบาคล้ายกับละเมอ
“หืม?” ละเมออะไรของพี่แก สงสัยจะหมายถึงชายหนุ่มที่สวมผ้าพันคอสีฟ้าที่เล่าให้ฟังเมื่อคืนล่ะมั้ง! คงจะชอบเรื่องนี้มากถึงขั้นเพ้อ
“ตื่นได้แล้วครับคุณ”
“อื่อ ขอโทษทีครับนี่ผมตื่นสายอีกแล้วสินะ” พี่แกว่าพลางใช้มือขยี้ตาเบาๆพร้อมกับลุกขึ้นนั่ง..อืมยังคงนิยามคำว่า ‘เซ็กซี่’ ได้คงเส้นคงวา ขนาดเพิ่งตื่นไอ้เส้นผมยาวสลวยที่รกปรกหน้ายิ่งทำให้ดูเซ็กซี่บวกกับหน้าอกที่เปล่าเปลือย เห็นแล้วก็อยากได้!!..อยากได้หุ่นแบบนี่ อย่าคิดไปไกลครับ!
“อาหารเช้าพร้อมแล้ว ถ้าคุณทำธุระส่วนตัวเสร็จเชิญทานได้เลย” ผมพูดจบก็หมุนตัวออกจากห้อง มือที่กำลังจะหมุนลูกบิดซะงักลงเมื่อนึกเรื่องที่จะพูดขึ้นได้อีกเรื่อง เลยหันหน้ากลับไปยังพี่เบิ้มอีกครั้ง
“อ่อ แล้วก...” เสียงของผมขาดหาย พร้อมกับเสียงสะบัดผ้าห่มออกจากตัวพี่เบิ้ม
“เชี่ย!!” ผมอุทานออกมาด้วยความตกใจ ทะ ทำไมมึงไม่นุ่งกางเกง บ๊อกเซอร์ก็ได้ กางเกงในก็ยังดี!
นี่มัน..นี่มันงูหลามเผือกชัดๆ!!!!! ..ตากุ้งยิงแน่ๆ ไม่สิตากูบอดแน่ๆ ใหญ่กระแทกเบ้าตากูซะขนาดนี้!!
“มีอะไรครับ ป้านด” มึงยังไม่รู้ตัวอิ๊ก ยืนเคะขี้ตาไม่รู้เรื่องรู้ราว โชว์งูหลามเผือกหราอยู่แบบนี้ใครมันจะไปพูดออก ..ลืม กูลืมไปหมดแล้วว่าจะพูดอะไร!!
“ไม่มีอะไรครับ ผมขอตัว” ผมรีบหมุนตัวออกจากห้องอย่างเร่งด่วน ..ให้ตายสิ!!
น้ำเย็นๆดับความร้อนจากการหน้าร้อนเห่อและในใจที่ร้อนรุ่มได้เป็นอย่างดี แต่จู่ๆน้ำเย็นที่กำลังดื่มก็กลายเป็นน้ำร้อนแทบจะลวกปากในทันทีเมื่อบียื่นอะไรบางอย่างมาให้
“พี่ณต กินข้าวหลามมั้ยพอดีญาติของบีไปเที่ยวชลบุรี เลยซื้อมาฝาก” บียื่นกระบอกข้าวหลามหนองมนของฝากขึ้นชื่อเมืองชลให้กับผม
“กระบอกใหญ่สุดเลยนะ บียกให้” บียิ้มประจบอย่างเอาใจที่มอบข้าวหลามกระบอกใหญ่ที่สุดให้
“กินเหอะ เออ พี่ลดความอ้วนอยู่น่ะ” ได้แต่กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ เอาจริงๆมะ กูแดกไม่ลง แม่งแค่เห็นกระบอกข้าวหลาม
อีภาพงูหลามเผือกก็กระแทกเข้าเบ้าตา..บอดแน่ๆตากู!!
“Good Morning”
เห็นหน้าพี่เบิ้มหน้าผมก็ร้อนขึ้นมาอีกครั้ง ถึงกับทำอะไรไม่ถูก สติสตังหายไปหมด เพราะมึงคนเดียวอีงูหลาม
“ไม่สบายรึป่าวครับ หน้าแดงๆ” ไม่พูดเปล่าจับหน้าผมพลิกหันซ้ายหันขวา
“...” ถึงกับไปไม่เป็นเลยกู!
“หรือว่าคุณโกรธที่ผมตื่นสาย”
“เวลานอนคุณไม่ใส่เสื้อผ้านอนเหรอครับ” กูไม่ตอบกูเข้าประเด็นเลยละกัน
“ส่วนใหญ่ก็ไม่ใส่ครับ”
“...”
“โอ๊ะ ซอรี่ เมื่อกี้คุณคงเห็น..” นี่มึงเพิ่งรู้ตัวเหรอ!!
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ถือยังไงผมก็ผู้ชายมีเหมือนกับคุณ” ปากดีไปงั้นแหละแต่หัวใจแทบกระเด้งออกมาตอนที่เห็นไอ้เจ้างูหลามเผือกแผ่หราอยู่ในห้องของผม! เหอะ..มีเหมือนกันก็จริงแต่ขนาดต่างกันราวฟ้ากับเหว งูดินรึจะไปสู้งูหลามเผือก!!
“แล้วคุณชอบมั้ยครับ” สายตาที่ถามช่างวาววับ จิ้มตาบอดสักทีดีมะ
“แค่กๆ ชอบอะไร?” น้ำในปากแทบพุ่งใส่หน้ามึง อีพี่เบิ้มมึงถามเชี่ยไรเนี่ย!!
“ชอบถอดเสื้อผ้านอนแบบผมไงครับ” ได้แต่เป่าปากโล่งอกอยู่ในใจ ค่อยยังชั่ว นึกว่ามึงจะเป็นบอสโรคจิตซะแล้ว!
“ผมใส่เสื้อผ้านอน”
“ไม่ร้อนเหรอ?”
“เปิดแอร์”
“แล้วถ้าแอร์เสียล่ะ” อะไรของเมิง! กวนตีนกูป่ะเนี่ย!!
“เปิดพัดลม”
“แล้วถ้าพัดลมเสีย?”
“คุณต้องการอะไร?” ผมชักเริ่มหมดความอดทน
“ผมต้องการให้คุณถอดเสื้อผ้านอนเหมือนผม”
“...?!” ใครก็ได้บอกที ว่าผมกำลังโดนฝรั่งกวนตีนอยู่ใช่ป่ะ!
“ฮ่าๆ ล้อเล่นครับ ผมแค่แกล้งให้คุณทำหน้าเหวอ ผมชอบเพราะมันน่ารักดี”
“...?!” อะไร?? กูตามอารมณ์มึงไม่ทัน ผมได้แต่อ้าปากค้างกระพริบตาปริบๆมองหน้าพี่เบิ้มอย่างไม่เข้าใจ
“เห็นมั้ย น่ารักจริงๆด้วย” แล้วพี่เบิ้มก็ลูบที่แก้มผมเบาๆ
“...” ถ้าผมเป็นกาน้ำร้อนแบบนกหวีดตอนนี้คงมีเสียงหวีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่งแน่ๆ เพราะหน้ากูร้อนมากบอกเลอ!! ไม่รู้จะโกรธหรือเขินดี! ..สติ ไอ้ณตมึงต้องดึงสติกลับมาโดยด่วน
“ผมมาตามคุณไปทานอาหารเช้าด้วยกัน” จู่ๆก็ปรับโทนเสียงซะอ่อนโยน เมื่อกี้ยังแหย่กูอยู่เลย
“ผมทานแล้วครับ”
“งั้นนั่งเป็นเพื่อนผมหน่อยได้มั้ยครับ วันนี้ต้องกลับแล้วผมอยากใช้เวลาอยู่กับคุณให้มากที่สุด”
“...” อ้อน?! น้ำเสียงแบบนี้เรียกว่าอ้อนใช่มะ!?
อะไร?? (เช้านี้กูอะไร?หลายรอบมาก) ทั้งคำพูดและสายตามันผิดแผกต่างจากเมื่อวานมาก ‘อ่อย’ แล้วคำพูดของอีซูซี่ก็ผุดขึ้นมาในความคิด..จริงเหรอ ไม่จริงม้าง!!
“ไปครับ ผมหิวแล้ว” แล้วอีพี่เบิ้มก็คว้าข้อมือผมกึ่งดึงกึ่งลากออกจากร้านกาแฟไปยังตัวบ้าน นี่มันแรงคนหรือแรงควาย ออกแรงดึงแค่นิดเดียวตัวผมแทบปลิว!!
“ผมชอบอันนี้ครับ เค้าเรียกว่าอะไร” พี่เบิ้มถามพร้อมกับหยิบห่อใบตองที่หอเป็นสามเหลี่ยมวางไว้บนฝ่ามือหลังจากที่ทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วโดยมีผมนั่งเป็นเพื่อนและกำลังทานของหวานล้างปากอยู่ ปากคงจะคาวมากกินข้าวเหนียวสังขยาไปสี่ห่อ และห่อที่ห้าห่อสุดท้ายที่วางอยู่บนฝ่ามือก็กำลังจะลงท้องตามไปติดๆ
“ข้าวเหนียวสังขยาครับ”
“ข่าว เนียว สัง ขา ยา” อย่าพยายามเลยพี่เมิง
“ข้าว เหนียว สัง ขะ หยา”
“ข้าว เหนียว สัง ขา หยา” เกลียดรอยยิ้มพี่เมิงจริงๆ
“ครับ”
“ว่าแต่ผมยังไม่เห็นซูซี่ ยังไม่ตื่นเหรอครับ” ใครจะไปขี้เซาเหมือนพี่เมิงงง ผมได้แต่ร้องด่าอยู่ในใจ
“ออกไปยิมตั่งแต่เช้าแล้วล่ะครับ” เห็นเป็นตุ๊ดหัวโป๊กแบบนี้ อีซูซี่ดูแลสุขภาพตังเองดีมาก ดีจนได้ผัวเป็นเทรนเนอร์ฟิตเนส!!
“ซูซี่คืนดีกับสามีรึยังครับ”
“ก็คงดีกันแล้วล่ะครับ พรุ่งนี้มันก็จะกลับสิงคโปร์แล้ว”
“ดีจังนะครับ ความรักเนี่ย”
“หืม..”
“ก็รักกัน ทะเลาะกันและก็ง้อกัน ดีออกนะครับความรักแบบนี้”
“แล้วความรักของคุณไม่ได้เป็นแบบนี้เหรอ โอ๊ะ ขอโทษครับ ผมไม่น่าเสียมารยาท” ลืมไปเลยว่าพี่แกหย่าแล้ว อาจจะจบกันไม่สวย ผมนี่ปากพาซวยจริงๆ!
“ไม่เป็นไรครับ การแต่งงานของผมมันไม่ใช่ความรัก เราแต่งเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ”
“...” นึกว่าจะมีแต่ในหนัง พวกคนรวยนี่เข้าใจยากจังแฮะ
“อดีตภรรยาของผมมีคนรักอยู่แล้ว เธอจำใจต้องแต่งงานกับผมเพื่อช่วยธุรกิจของที่บ้านเธอที่กำลังจะล้มละลายเพราะธุระกิจของครอบครัวเธอเอื้อต่อธุรกิจของครอบครัวผมด้วย พ่อผมเลยยื่นข้อเสนอนี้ให้กับพ่อของเธอ พ่อของเธอตอบตงลงรับข้อเสนอนี้ทันที อาจจะด้วยเหตุผลที่บ้านของเธอพยายามกีดกันคนรักของเธอเพียงแค่ว่าชายคนนั้นเป็นแค่อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมดาๆคนนึง ไม่ใช่นักธุรกิจที่มีทรัพย์สินมากมายเหมือนกับผม โดยลืมคิดไปว่าความรักมันไม่ใช่เรื่องของเงินแต่มันคือเรื่องของหัวใจต่างหากล่ะ” สีหน้าของพี่เบิ้มตอนที่พูดผมเดาไม่ถูกแฮะ ว่ากำลังคิดอะไรอยู่มันนิ่งมาก นิ่งจนเรียบเฉย
“ผมสงสัย แล้วทำไมคุณถึงยอมแต่งงานกับเธอล่ะครับทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเธอมีคนรัก”
“เพราะว่าผมอยากช่วยเธอ ครอบครัวของเราสนิทกันมาตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมรักเธอเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ถ้าการแต่งงานนี่มันจะช่วยครอบครัวของน้องสาวของผมได้ผมก็ยินดีที่จะช่วย ผมศรัทธาในความรักของทั้งคู่เลยให้สัญญากับทั้งคู่ว่าถ้าธุรกิจของครอบครัวเธอพ้นวิกฤตเมื่อไหร่ผมจะหย่าให้ทันที”
“แล้วคุณอยู่ด้วยกันกี่ปี”
“จะว่าอยู่ด้วยกันก็ไม่ถูก เราใช้คอนโดเป็นเรือนหอแต่ผมซื้อห้องข้างๆเอาไว้อีกห้องเพื่อให้เธอได้อยู่กับคนรักของเธอ
ใช้เวลาปีครึ่งพวกเราก็หย่ากัน ความจริงมันใช้เวลาแค่ปีเดียวเท่านั้นแหละแต่ผู้ใหญ่ไม่ยอมมันเลยยืดเยื้อมาอีกครึ่งปี
จนสุดท้ายเธอก็ตั้งครรภ์แน่นอนว่าไม่ใช่ท้องกับผม เพราะเราไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งผมให้เกียรติเธอและคนรักของเธอ สุดท้ายผมทนไม่ไหวผมยอมไม่ได้ที่พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกต้องแยกจากกัน ผมเลยบอกความจริงให้ทุกคนทราบ เพราะเด็กไม่ผิดและมันไม่ยุติธรรมเมื่อเด็กที่กำลังจะเกิดขึ้นมาลืมตาบนโลกใบนี้ต้องมารับกรรมที่ผู้ใหญ่อย่างเราๆก่อไว้..มันไม่ยุติธรรม
สุดท้ายเราก็ได้หย่ากัน ด้วยการที่พวกเขาเห็นแก่หลานของพวกเขาเอง เรื่องก็จบลงโดยที่พวกเค้าเปิดใจยอมรับสามีของเธอ แล้วผมก็โสดอีกครั้งจนถึงตอนนี้”
“นึกว่าเรื่องแบบนี้จะมีแต่ในนิยายซะอีก” ชีวิตจริงอิงมาจากนิยาย หรือนิยายที่อิงมาจากชีวิตจริงกันแน่น้า!
“นั้นน่ะสินะ ผมก็ไม่คิดว่าจะมาเจอเรื่องแบบนี้กับตัวเอง”
“แล้วตอนนี้คุณไม่มีแฟนเหรอครับ” ถึงจะโสดมันก็ต้องมีสาวๆกันบ้างล่ะ เพอร์เฟคขนาดนี้
“ไม่มีครับ แต่มีคนที่ชอบ” พี่เบิ้มนั่งเท้าคางพูดอย่างสบายๆ ดูผ่อนคลายขึ้นกว่าตอนที่เล่าเรื่องการแต่งงานเมื่อกี้นี้
“หมายความว่าผู้หญิงคนนั้นไม่รู้ว่าคุณชอบ”
“ครับไม่รู้”
“ทำไมคุณไม่จีบเธอละครับ หรือว่าเธอมีแฟนแล้ว”
“ผมเพิ่งรู้ว่าเขายังไม่มีแฟน ตอนนี้กำลังเริ่มจีบ” สายตาดูเป็นประกายเชียวนะเวลาพูดถึงคนที่ชอบ..น่าหมั่นไส้!
“ดีจังเลยนะครับ ผมขอให้คุณสมหวังในรักครั้งนี้นะครับ”
“ขอบคุณครับ..ผมก็หวังให้เป็นเช่นนั้น” แบบพี่เบิ้มจีบติดแน่นอน เฟอร์เฟคซะขนาดนี้ใครไม่เอาก็บ้าแล้ว!!
“Hi หนุ่มๆคุยอะไรกันคะ” อีซูซี่ที่เดินถือข้าวเหนียวหมูปิ้งเข้ามาในบ้านเอ่ยทักขึ้น
ได้ข่าวว่าไปยิมมา ล่อข้าวเหนียวหมูปิ้งแต่เช้า!!
“กับข้าวที่บ้านก็มีซื้อมาทำไมวะ”
“เอาน่า ฉันอยากกินให้กินหน่อยเหอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็กลับละ”
“ว่าแต่เจเรมีขึ้นเครื่องกี่โมงคะ”
“บ่ายโมงครับ”
“มีเวลาเหลืออีกประมาณสามชั่วโมงคุณอยากทำอะไรหรือไปไหนมั้ยค่ะ เดี๋ยวซูซี่พาไปรับรองรู้ทุกซอกทุกมุมมากกว่าอีป้านดแน่นอนค่ะ”
“ขอบคุณครับ แต่ไม่เป็นไรผมอยากอยู่ที่นี่กับณตมากกว่า”
“เห็นมั้ยฉันบอกแล้วคุณบอสสุดหล่อเขาอ่อยแก่อยู่” อีซูซี่กัดข้าวเหนียวคำโตพร้อมกับพูดลอยๆไม่ให้พี่เบิ้มจับได้ว่ากำลังพูดถึงพี่แกอยู่
“...” ผมได้แต่ส่ายหน้าให้กับความคิดมั่วซั่วของอีซูซี่..ไม่มีทางหรอก เขาก็เพิ่งบอกไปเองว่ากำลังจีบคนที่ชอบอยู่ แล้วจะมาอ่อยผมเพื่ออะไร อีกอย่างเดี๋ยวพี่แกก็กลับละ อาจจะไม่ได้เจอกันอีกก็ได้..อืม ไม่ได้เจอกันอีกเหรอ! อดใจหายไม่ได้เหมือนกันแฮะ..
“กลับไปลอนดอนผมจะไปเรียนภาษาไทย”
“คุณว่างเหรอครับ”
“ก็พอมีบ้างครับ ผมอยากฟังออกเวลาพวกคุณคุยกัน ท่าทางสนุกดี” บอกตามตรงเลยก็ได้นะว่าอยากรู้ว่าพวกเรานินทาอะไร! โด่ว..รู้ทันหรอกน่า
11.20น. ผมและอีซูซี่มาส่งพี่เบิ้มที่สนามบินเพื่อเดินทางไปประชุมที่กรุงเทพตอนเย็นก่อนจะเดินทางกลับอังกฤษในวันรุ่งขึ้น
“คุณไม่ลืมอะไรนะครับ”
“ไม่ลืมครับ เอามาครบหมดแล้ว”
“นี่มึงถามคุณบอสจะ99รอบได้ละนะ เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็รอบครอบไว้ก่อนไง อีกอย่างค่าส่งของไปเมืองนอกมันแพงนะมึง”
“งก!!” เออ กูยอมรับ
หลังจากนั้นรอไม่นานพี่เบิ้มก็เช็คอินและโหลดกระเป๋าเสร็จเรียบร้อย เรานั่งรอเวลากันสักพักก็ได้เวลาที่พี่เบิ้มต้องเข้าGate
“เจเรมี่ขา ถ้าซูซี่ไปลอนดอนเราจะได้เจอกันมั้ยคะ” เกลียดการจือปากของมันมาก ดีดปากแตกสักทีดีมะ!
“แน่นอน ถ้าคุณไปลอนดอนไปหาผมได้ทุกเมื่อ”
“งั้นซูซี่ขอเบอร์ติดต่อหน่อยได้มั้ยคะ”
“ไม่มีปัญหา” แล้วทั้งสองก็ทำการแลกเปลี่ยนช่องทางสำหรับการติดต่อสื่อสาร
“ป้านด”
“ครับ” นึกว่าวันนี้กูจะไม่ได้ยินคำนี้ซะแล้ว ตามหลอกหลอนจนวินาทีสุดท้ายเลยนะมึง!
“นี่ครับ แต่ช่วยอ่านหลังจากที่ผมเข้าGateไปแล้วได้มั้ยครับ” พี่เบิ้มยื่นกระดาษโพสอิทสีฟ้าที่พับครึ่งมาให้กับผม
“โอเค” ผมตอบรับแบบงงๆ
“แล้วเจอกันครับ” พี่เบิ้มหันไปกอดอีซูซี่เป็นการบอกลา ก่อนจะหันมาทางผม
“แล้วเจอกันนะครับป้านด..ผมจะคิดถึงคุณ” ประโยคหลังเขากระซิบบอกเบาๆ แล้วแนบริมฝีปากลงมาที่หน้าผากผมอย่างแผ่วเบา..แค่คำว่าคิดถึง กับสัมผัสตรงหน้าผากที่ตอนนี้รอยอุ่นจากสัมผัสนั้นยังไม่จางหายทำให้ใจผมเต้นแรงอย่างน่าประหลาด..และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกกลัวคำว่าห่างไกล..
“มึงคุณบอสเขียนว่าอะไร รีบๆอ่านสิฉันอย่างรู้” อีซูซี่เอ่ยปากทันทีหลังจากที่พี่เบิ้มเดินเข้าGateไปแล้ว
“เสือก”
“โห พูดแบบนี้ฆ่ากันชัดๆ เร็วกูอยากรู้”
“ใจเย็นดิ ไปที่รถก่อน”
“ยังไงๆ” ผมยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้กับอีซูซี่หลังจากที่ผมอ่านมันแล้ว
“ You are my Destiny
Mr. Blue Scarf ”
ไม่เข้าใจ? งงในงง? ในหัวเต็มไปด้วยคำถาม?..ผมไปเป็นพรหมลิขิตของพี่เบิ้มตอนไหน? แล้วผมเกี่ยวอะไรกับชายที่สวมผ้าพันคอสีฟ้าในเรื่องที่พี่เบิ้มเล่าให้ฟังเมื่อคืน? คิดจนหัวแทบแตกก็คิดไม่ออก ผมมั่นใจว่าผมไม่มีผ้าพันคอสีฟ้านะ แล้วไม่เคยเจอพี่เบิ้มมาก่อน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมวะ..โอ๊ยยยยยย หัวจะระเบิด!!
..มึงทิ้งอะไรไว้ให้กูอีพี่เบิ้ม มึงออกมาเคลียร์กับกูให้รู้เรื่องก่อน!!!
“อ้ายยยย เห็นมะกูบอกแล้วว่าคุณบอสเค้าอ่อยมึง แต่กูไม่เข้าใจอะไรคือ Mr. Blue Scarf”
“เหอะ ถามกูแล้วกูจะไปถามใคร งงเหมือนกับมึงนั้นแหละ”
“ก็ถามคุณบอสสิ ไม่เห็นยาก”
“ถามยังไงล่ะ เบอร์ห่าอะไรก็ไม่มีสักอย่าง”
“แต่กูมี แล้วกูก็บอกเบอร์โทร พร้อมกับไอดีไลน์ของมึงให้เค้าไปแล้วด้วย รอไม่นานคุณบอสติดต่อมึงมาแน่นอน”
“ฮะ!! เสร่อแล้วไอ้ชาติ”
“หยาบคายอีณต กูช่วยมึงอยู่นะ”
“ช่วยให้กูวุ่นวายล่ะสิ..เออว่าแต่กูมีผ้าพันคอสีฟ้ามั้ยวะ”
“กูจะรู้กับมึงมั้ย!”
“แม่งไปนานกันจังวะ กูนั่งรอจนรากจะงอกอยู่แล้วเนี่ย” ไอ้ดอยเพื่อนสนิทให้กลุ่มอีกคนนึงของผมบ่นทันทีเมื่อผมกับอีซูซี่โผล่หัวเข้ามาในร้านกาแฟ
“ว๊ายย เพื่อนดอยเห็นหน้าเพื่อนไม่บ่นสิคะ มากอดทีหนึ่งคิดถึงมากมาย” ถึงปากมันจะบ่นไม่หยุดแต่มันก็สวมกอดอีซูซี่ด้วยความเต็มใจอยู่ดี
“เดี๋ยวๆ กอดอย่างเดียวหอมแก้มไม่ต้อง!!”
“เห็นพวกเราอยู่กันสามคนแบบนี้ก็นึกถึงไอ้ฟางมันว่ะ เมื่อไหร่จะได้รวมตัวกันครบแก๊งสักทีวะ” ปากของไอ้ดอยก็ยังขยับไม่หยุด
“นั้นดิ แต่ละคนเสือกมีผัวอินเตอร์ รวมตัวกันท่าจะยาก” ผมบ่นไม่จริงจังนัก
“อย่าบ่นจ๊ะ อีกหน่อยมึงก็มาอยู่สมาคมแม่บ้านอินเตอร์กับกูกับไอ้ฟางเหมือนกันนั้นแหละ” อีซู่ซี่เอ่ยแซว อย่างขำๆ
“เดี๋ยวถีบ!! เชิญพวกมึงอยู่กันตามสบาย”
“อะไรไอ้ณต มึงจีบสาวฝอเหรอวะ ประเทศไหน อังกฤษ อเมกา?”
“อังกฤษน่ะถูกแล้ว แต่ไม่ได้จีบ กำลังโดนจีบ แล้วก็..ไม่ใช่สาวฝอ แต่เป็นหนุ่มฝอ” ขอบใจมากซูซี่ที่ช่วยอธิบายแทนกู ถุย!!
“เหี้ย!! มึงโดนตอกเสาเข็มเหรอวะไอ้ณต”
“ไอ้สัด ตอกเสาเข็มพ่องดิ” ไอ้ห่าดอยแม่งพูดโดนตอกเสาเข็มมาคำเดียว ภาพอีงูหลามเผือกก็ลอยมากระแทกเบ้าตาจังๆอีกครั้ง กูอุตส่าห์ลืมไปแล้วแท้ๆ เหี้ย!! แค่คิดก็ขนลุก โดนจริงๆมีหวังแหก จุกไปถึงลิ้นปี่แน่ๆ!!
“มีความตายยากจ้า” แล้วอีซูซี่ก็โชว์หน้าจอมือถือที่มีสายเรียกเข้าเป็นวิดิโอคลอจากไอ้ฟาง
“Hi my friend อ๊ายยย อีดอยมึงก็อยู่ด้วย ฉันโทรมาถูกเวลาจริงๆครบองค์ประชุมค่ะ”
“เป็นไงมึงสบายดีมั้ย” ไอ้ดอยโบกมือพร้อยเอ่ยทักทาย
“สบายดีมากกกกก แต่อากาศอย่างหนาววว ฉันคิดถึงแสงแดดอันร้อนอบอ้าวของบ้านเราจริงๆ”
“ได้ข่าวว่าทะเลาะกับหลัวเหรอค่ะเพื่อนซี่”
“ซูซี่ เรียกให้เต็มๆค่ะ ดีกันแล้วย่ะ พรุ่งนี้ฉันก็กลับแล้ว”
“ไอ้ณต คุณบอสเป็นไง ลุล่วงไปได้ด้วยดีมั้ย ”
“ก็น่าจะดี เพิ่งส่งขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพไปเมื่อกี้”
“ฉันโอนเงินไปให้แล้วนะ”
“แต้งมึง ว่าแต่มึงสนิทกับคุณบอสมั้ยวะ”
“ก็ไม่เท่าไหร่ เจอกันบ้าง แต่กับพอลก็สนิทระดับนึงนอกจากจะเป็นเลขาแล้วพอลยังเป็นรุ่นน้องสมัยเรียนมหา’ลัยด้วยน่ะ ทำไมวะ?”
“คุณบอสเขาบอกว่าอีณตเป็นพรหมลิขิตของเขา” อีนี่ก็สาระแน ผมเลยถีบมันไปดอกนึง!
“เห้ย!! จริงดิ เล่ามาๆ”
“จะเล่ายังไงล่ะมึง กูก็ยังงงอยู่เนี่ย ว่าแต่มึงมีผ้าพันคอสีฟ้ามั้ยวะ แล้วกูเคยยืมของมึงรึป่าว”
“ไม่มีนะ ถามไรของมึงเนี่ย?!”
“ตอนนี้มันกำลังเพ้อ ปล่อยมันไปค่ะ”
“คุยไรกันวะ กูไม่เข้าใจด้วยสักอย่าง” ไอ้ดอยบ่น
“มึงไม่ต้องเข้าใจหรอก เดี๋ยวจะปวดหัวตามกูไปด้วย”
“นี่ๆพวกมึงทุกคน คิดถึงพวกแกนะ ต้องวางแล้วหลัวตามให้เข้าไปนอนต่อแล้ว ส่วนมึงไอ้ณตแล้วฉันจะหลังไมค์ไปเผือก ไปละบ๊ายบาย จุฟๆ”
"ไอ้ดอยมึงมีผ้าพันคอสีฟ้ามั้ยวะ แล้วกูเคยยืมของมึงรึป่าว” ผมถามคำถามเดิมที่ถามไอ้ฟาง
“ไม่มีอย่างกูเนี่ยนะใช้ผ้าพันคอ มึงนี่ถ้าจะอาการหนักเป็นไรมากป่าววะ” ไอ้ดอยบ่นพร้อมกับส่ายหน้าเอือม
“ซูซี่..”
“กูรู้ว่ามึงจะถามอะไร กูมีผ้าพันคอสีฟ้าแต่ไม่น่าจะเคยให้มึงยืมเพราะตอนนี้มันยังพับอยู่ในตู้อย่างดี”
“มึง กูว่าคืนนี้กูคงนอนไม่หลับ” ผมเป็นพวกเวลาสงสัยแล้วไม่ได้คำตอบจะคิดจนนอนไม่หลับ ใครที่เป็นเหมือนผมจะเข้าใจผมดี!
“มึงก็ถามคุณบอสตรงๆสิ”
“เดี๋ยวๆ กูขอขัดพวกมึงแปปนะ คุณบอสคือใคร แล้วผ้าพันคอสีฟ้าคืออะไร”
“มาให้จูบทีนึง แล้วจะบอก”
“ตีนกูน่ะสิ กับเพื่อนกับฝูงก็ไม่เว้น!”
“มีไวน์เหลือ จิบไวน์กันคืนนี้แล้วกูจะเล่าให้ฟัง”
“น่าสน โอเค ดิล” แล้วมันก็จับมือกันเป็นมั่นเป็นเหมาะ ส่วนผมนะเหรอ หัวแตกครับ!!
“ตอนเย็นไปยิมกัน กูเครียดดดด”
“โอเค ดิล” แล้วมันก็ประสานเสียงพร้อมกัน เอ่อ เอากับพวกมึงสิ
ออกกำลังกายให้เหงื่อออกสมองจะได้โล่ง ..โล่งกับผีน่ะสิ!! ยิ่งมีสมาธิจดจ่อกับตัวเองมากเท่าไหร่ คำถามยิ่งผุดขึ้นเต็มหัวไปหมด..
วิ่งบนสายพานขาก็ก้าวไปเรื่อยๆ ไม่ต่างกับสมองที่คิดทบทวนเรื่องที่พี่เบิ้มเล่าให้ฟังเมื่อคืนไปเรื่อยๆ..
พี่เบิ้มบอกว่าเห็นรูปถ่าย ในรูปมีคนทั้งหมดสี่คน เอ๊ะหรือว่าห้าวะ? ทุกคนน่าจะเป็นเพื่อนรักกัน แล้วพี่เบิ่มก็ไปสะดุดเข้ากับรอยยิ้มของชายที่สวมผ้าพันคอสีฟ้าจนไม่สามารถละสายตาได้ เวลาเครียดก็จะนึกถึงรอยยิ้มของชายหนุ่มที่สวมผ้าพันคอสีฟ้า..น่าจะประมาณนี้ รึป่าวว้า!
แล้วผมก็ถามว่าทำไมไม่จีบหรือเขามีแฟนแล้ว คำตอบที่ได้กลับมาเหมือนกับความไม่แน่ใจ เพราะพี่เบิ้มไม่รู้จักชายที่สวมผ้าพันคอสีฟ้าเลยแม้แต่ชื่อของเขา แต่ก็เต็มใจที่เป็นแบบนี้เพราะมันเป็นรักที่ไม่ต้องการการครอบครอง..ใช่ แกบอกว่าเป็นรักที่บริสุทธิ์ แล้วเหมือนเรื่องเล่านี้จะจบลงด้วยคำถาม
‘ แต่แล้ววันนึงชายที่สวมผ้าพันคอสีฟ้าก็มาอยู่ตรงหน้าของชายหนุ่ม โดยไม่คาดฝัน ถ้าคุณเป็นชายหนุ่มคนนั้นคุณจะทำยังไง ปณต ’ พี่เบิ้มเรียกชื่อผมได้ถูกต้องชัดเป๊ะเป็นครั้งแรก ผมเลยจำประโยคนี้ได้ขึ้นใจ
อืม..ผมตอบไปว่ายังไงน้า..
‘ ผมก็คงรีบคว้าเค้าไว้ เพราะนี่มันคือพรหมลิขิตชัดๆที่ทำให้พบกัน ’ ใช่ นี่คือคำตอบของผม
‘ นั้นน่ะสิ ไม่เห็นต้องคิดมากเลย ขอบคุณนะครับสำหรับคำตอบ ’ นี่คือคำพูดของพี่เบิ้มหลังจากที่ฟังคำตอบของผม เดี๋ยวนะ!! คำตอบงั้นเหรอ มานึกๆดูแล้วเหมือนแกถามเรื่องของตัวเองอยู่เลย
..สรุปแล้วเรื่องเล่านั้น ตัวละครคือผมกับพี่เบิ้มงั้นเหรอ?! แต่ที่งงคือแกไปเห็นรูปถ่ายนั่นที่ไหน แล้วผมก็ไม่มีผ้าพันคอสีฟ้าด้วย แล้วเรื่องนี้มันเกิดขึ้นนานยัง? พี่แกก็ไม่ได้บอกช่วงเวลาซะด้วยสิ โอ้ยยยยยยยยยย ..อยากจะร้องออกมาเป็นภาษากาตาล็อก!!
..รูปถ่าย!! ใช่ ผมต้องกลับไปหารูปถ่ายทั้งหมดที่มี ว่ามีรูปไหนที่ผมสวมผ้าพันคอสีฟ้า ถ่ายรูปกับเพื่อนงั้นเหรอ ก็คงเป็นรูปหมู่ที่ถ่ายกับชาวแก๊งนั่นแหละ..หึหึ กูจะไม่ถามมึงอีพี่เบิ้ม แต่กูจะหาคำตอบด้วยตัวเอง!!
...ถึงเวลาที่ เชอร์ณต โฮล์มส์ ต้องออกโรงพิสูจน์ล้าวววว!!
TBC.........................................................................................
อ่านแล้วมีใครอยากกินข้าวหลามบ้างเอ่ย!!
ขอบคุณทุกๆกำลังใจค่ะ^^Twitter - MA_LEE_01