CHAPTER 34: Ein Schönes Wochenende (Part II) มองออกไปผ่านหน้าประตูใหญ่หอสามชาย ม่อนแจ่มเห็นต้นสักเขียวครึ้มร่มรื่นตาเหมือนทุกวัน
เขาเดินตามหลังพชรมาหยุด ณ ลานจอดรถ พลางมองคนคุ้นเคยและมอเตอร์ไซค์ดำเขียวที่ชินตายิ้มๆ
พชรทำเป็นไม่สังเกตสายตาที่มองมา ด้วยไม่ต้องการจะเขินรอบสองตั้งแต่เช้า เสียงเข้มสั่งเรียบๆ
“ใส่ซะ”
..
ที่ส่งมาให้คือหมวกกันน็อคสีแดงใหม่เอี่ยม
ม่อนแจ่มเบิกตามอง จำได้ว่าหมวกกันน็อคของพชรเป็นสีเขียวเข้ม เพราะเขาเองเคยสวมเมื่อรอบก่อน
แต่นี่.. หมวกกันน็อคสีแดง..
“ให้กูเหรอ..” ม่อนแจ่มถามอึ้งๆ แล้วก็มีเพียงเสียงตอบรับในลำคอเบาๆ
“อืม..”
โอ้!
ม่อนแจ่มยิ้มกว้าง รับหมวกมาสวมอย่างเป็นปลื้มสุดๆ
“ขอบคุณ พชร โอ่ย.. มันต้องสีแดงแรงฤทธิ์พิชิตสีแสดแบบนี้ดิ โอ๊ย โคตรชอบ!”
..
“กูใส่พอดีเด๊ะ” ม่อนแจ่มลั้ลลา “ไม่ต้องปรับสายรัดอะไรเลยด้วย เป๊ะมาก!”
“อืม..” พชรพยักหน้าเชิงรับรู้และกล่าวเสริมเรียบๆ “พอดี ซื้อไซซ์เด็กมา”
ซื้อ.. ไซซ์.. เด็ก.. มา..“พชร!” ม่อนแจ่มร้องลั่น พชรล้อเขานี่หว่า!
พชรหันมองไปทางอื่น แต่ม่อนแจ่มก็เห็นเต็มสองตาว่าคนหน้านิ่งนั้นลอบหัวเราะ พัฒนานะพชร เดี๋ยวนี้พัฒนา!
แม้จะทำหน้ายู่ยี่ ทว่า ม่อนแจ่มก็อดจะกัดปากน้อยๆซ่อนรอยยิ้มไม่ได้
พชรล้อเล่นกับเขา คือ.. มันดีอะ..
แสงแดดอ่อนจางเช้าตรู่วันเสาร์เป็นอะไรที่สดใส มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ยามอรุณแสนจะมีชีวิตชีวา
แม้อยู่ภายใต้หมวกกันน็อคและมีเสียงลมปะทะ ทว่า หูม่อนแจ่มก็ยังได้ยินเสียงนกขับขานค่อนข้างชัดเจน
ตามองเห็นกระรอก กระแต ตัวเล็กตัวน้อยวิ่งไล่ไต่กันไปมาบนกิ่งไม้ใหญ่ กระโดดจากต้นนั้นไปต้นนี้ ว่องไวจนมองไม่ทัน อีกแป๊ปผลุบตรงนี้ อีกเดี๋ยวโผล่ตรงนั้น
ตัวเดียวกันไหม? หรือผองเพื่อนของมัน? ยากจะพิสูจน์
ริมฝีปากอิ่มยกยิ้ม.. มองเข้าไปในกระจกมองหลังเบื้องหน้า ก็เห็นคนขี่มีสีหน้าผ่อนคลายกับบรรยากาศเหมือนๆกันกับเขา
มันดีนะ.. ความเป็นธรรมชาติแบบนี้
ยิ่งสำหรับพชรที่รักต้นไม้ คงจะยิ่งรู้สึกดี
ม่อนแจ่มหวังว่ามหาวิทยาลัยซึ่งจะเป็นที่พักพิงตลอดสี่ปีจะเป็นเช่นนี้เสมอไป
นี่ไม่ใช่แค่ที่สำหรับนักศึกษา แต่เป็นที่ที่เราอยู่ร่วมกัน
เรา.. คน.. สัตว์.. ต้นไม้.. สายน้ำ..
Kawasaki D Tracker 250 พาม่อนแจ่มผ่านคณะมนุษยศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ ผ่านอ่างแก้ว ผ่านศาลาธรรม
เขามองซ้าย ขวา สลับกับมองคนขี่ผ่านกระจกมองหลังตลอด ..เมื่อมาทางนี้ หมายความว่าพชรจะพาออกไปทางประตูหน้ามอ แม้ว่าหอสามชายจะใกล้ประตูหลังมอมากกว่าก็ตาม ซึ่งม่อนแจ่มก็คิดว่าเป็นการเริ่มออกเดินทางที่ดีเหมือนกัน
ร่างเล็กนั่งสบายๆ สูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าในบรรยากาศที่คุ้นเคย กระทั่งเห็นประตูใหญ่อยู่เบื้องหน้า แล้วพชรก็ขี่ผ่านออกไป วินาทีที่ผ่านประตูมหาวิทยาลัยสู่ถนนห้วยแก้ว ม่อนแจ่มกลับรู้สึกแปลกๆราวกับว่าอะไรที่เป็นจริงเป็นจังกว่าได้เริ่มต้นขึ้น เขาเพ่งมองถนน ขยับตัวนิดหนึ่งอย่างระแวดระวัง..
พชรเหลือบกระจกมองหลัง ชะลอรถให้ช้าลงจากที่ขี่ช้าอยู่แล้ว มือซ้ายละมาแตะขาคนข้างหลังให้ผ่อนคลายลงเบาๆ
ม่อนแจ่มค่อยๆคลี่ยิ้ม ..รู้สึกว่าตัวเองกำลังงี่เง่า มือบางเลื่อนไปทาบไว้บนมือพชร
“ไม่ต้องห่วง” ม่อนแจ่มพึมพำกับแผ่นหลัง ยิ้มร่าให้เห็นผ่านกระจก
..ไม่มีอะไรต้องห่วงเลย. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ไม่ใช่ว่าไม่เคยผ่านทางนี้มาก่อน แต่การมาแบบนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ย่อมไม่เหมือนกับนั่งอยู่ในเมอร์เซเดส เบนซ์
พชรขี่มอเตอร์ไซค์บนไฮเวย์เชียงใหม่-ลำปาง ทางเดียวกับที่ม่อนแจ่มไปบริษัทเสมอๆ แล้วก็เป็นทางเดียวกับที่ไปคอนโดเมื่ออาทิตย์ก่อนด้วย เพียงแต่ว่าตอนนี้พวกเขาเลยทั้งสองสถานที่มาแล้ว
แน่นอน เมื่อขึ้นถนนใหญ่ พชรจำเป็นต้องใช้ความเร็วมากขึ้น แต่ม่อนแจ่มก็ไม่ได้เกร็งมากนัก เพราะพชรขี่รถชำนาญและระมัดระวัง อีกประการหนึ่ง ม่อนแจ่มตระหนักว่าเบาะนั่งมันนุ่มขึ้นอย่างรู้สึกได้ชัดเลย ซ้ำไม่ลาดลงมากจนร่างเล็กของเขาไถลไปติดหลังพชรอย่างคราวก่อนๆ
Kawasaki D-Tracker ปะปนอยู่กับยวดยานพาหนะอื่นๆบนไฮเวย์เชียงใหม่ลำปาง กระทั่ง เข้าเขตจังหวัดลำพูนหลังผ่านไปเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเอง อย่างไรก็ตาม พชรบอกว่าใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งนี่นะ และเนื่องจากบ้านพชรเป็นสวน ม่อนแจ่มจึงคิดว่าคงไม่ได้อยู่ในอำเภอเมือง
เขานั่งเงียบๆ มือข้างหนึ่งวางบนหน้าขาตนเอง อีกข้างทาบแผ่นหลังพชรเอาไว้ ตามองป้ายต่างๆ บนทางหลวงอย่างนึกสงสัยว่ากำลังมุ่งหน้าไปอำเภอใด จนพชรออกจากไฮเวย์เชียงใหม่-ลำปาง เข้าทางหลวงหมายเลข 114 และ 116 ตามลำดับ ม่อนแจ่มจึงเห็นป้ายระบุ ‘เขตอำเภอแม่ทา’
พชรเลี้ยวซ้ายเข้าถนนอีกเส้นหนึ่ง ผ่านสถานีตำรวจภูธรทากาศ ผ่านสถานีเพาะชำกล้าไม้จังหวัดลำพูน ผ่านอะไรๆ..
แล้วก่อนที่ม่อนแจ่มจะทันรู้ตัว เขาเห็นถนนซอยแยกเข้าไป ป้ายไม้ระบุเขต ‘สวนเพชรหละปูน’
หนุ่มลำพูนตีไฟเลี้ยวขวา ..และหนุ่มเชียงใหม่ก็รู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วขึ้น
ถนนนี้ไม่ใช่ทางสาธารณะ.. ม่อนแจ่มรู้ได้ทันที
นับตั้งแต่เลี้ยวขวาเข้ามา ..คือเขตสวน
ต้นสักปลูกอยู่สองข้างทาง กิ่งใหญ่ทั้งซ้ายขวาแผ่เข้าหาจนใบประสานกันทำให้ถนนร่มรื่น
และพ้นแนวสัก.. ดวงตาเป็นประกายมองเห็นบ้านไม้ยกพื้นสูงตั้งอยู่เยื้องไปด้านขวามือ ไกลออกไปเล็กน้อย มีบ้านไม้ชั้นเดียวอีกสองหลังอยู่ถัดกัน ตลอดจนแนวไม้เรียงรายไปสุดลูกหูลูกตาทุกทิศทาง
เรียวปากอิ่มอดจะอ้าค้างไม่ได้ ..นี่ไม่ใช่สวนเล็กๆเลย
รถมอเตอร์ไซค์ดำเขียวชะลอจอดใต้ถุน เจ้าของบ้านเตะขาตั้งรับน้ำหนักรถ แล้วผู้มาเยือนก็ค่อยๆกระโดดตุ๊บลงมา ยืนนิ่งจังงังไปพักหนึ่ง ..หันมองรอบๆ
ม่อนแจ่มห้ามไม่ได้ ..หัวใจเต้นเร็วมากจริงๆ มันประหม่า.. ตื่นเต้น.. และรอคอย
พชรปลดสายรัดหมวกกันน็อคของตัวเองออก ครอบไว้กับกระจกข้างหนึ่ง
ม่อนแจ่มมอง.. มือเรียวปลดหมวกของตัวเองบ้าง ก่อนจะครอบไว้กับกระจกอีกข้าง
ดูเหมือนจะไร้คำพูดไปพร้อมๆกัน..
ในไม่กี่อึดใจ.. ม่อนแจ่มก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินลงมาตามขั้นบันไดเบื้องหน้า
ไม่มีทางจะผิดคน สาวใหญ่วัยสี่สิบต้นๆ ใบหน้าเรียวรูปไข่ช่างงดงามแม้จะคล้ำแดดจนมีฝ้าเล็กน้อยขึ้นสองข้างแก้ม
เธอผูกผมป็นหางม้าหลวมๆไว้ข้างหลัง ใส่เสื้อผ้าฝ้ายสีน้ำเงินและกางเกงพอดีตัวดูทะมัดทะแมง
..คุณน้าเพชรลดา..
ดวงตากลมโตที่มองมาทางม่อนแจ่มเหมือนแรกเจอ ..มันเป็นแววตาแห่งความปราณี
ที่สำคัญ.. ริมฝีปากสีธรรมชาตินั้นแต้มแต่งด้วยรอยยิ้มยินดีกับการมาของเขา
“สวัสดีจ๊ะม่อน” ผู้อาวุโสกว่าชิงทักทายเสียก่อน เพราะเด็กหนุ่มดูท่าทางจะประหม่ามาก
เพชรลดายังคงยิ้มอย่างอยากให้ม่อนแจ่มรู้ว่าเธอกำลังรออยู่ “ยินดีต้อนรับนะ”
“ส..สวัสดีครับ คุณน้าลดา” ม่อนแจ่มยกสองมือขึ้นประนม ก้มศีรษะลงทำความเคารพ ดวงตาสบกับมารดาเจ้าของหัวใจ
และ.. สายตาที่มองกลับมามีเพียงความปรารถนาดี ราวกับว่าเขาเป็นแค่ม่อนแจ่ม ..แค่ม่อนแจ่มที่มากับพชร
เหมือนมันไม่เกี่ยวว่าตัวเขามาจากไหน เป็นบุตรใคร มีความหลังความเป็นมายังไงกับสตรีเบื้องหน้า
ราวกับนี่เพิ่งเป็นครั้งแรกหลังจากพบกันที่หอสามชาย.. ราวกับที่บริษัทวันนั้นมันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย..
เพชรลดาก้าวเข้าไปหาอย่างกระฉับกระเฉงตามปกติที่เป็นคนคล่องแคล่วว่องไว แม้จะต้องจำกัดการเคลื่อนไหวอย่างมากก่อนหน้านี้แค่ไม่กี่วัน
ม่อนแจ่มก้าวยาวๆเข้าไปหยุดใกล้ๆ ยกมือไหว้อีกครั้งอย่างไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องทำซ้ำๆ คนถูกไหว้จึงหัวเราะใส่เสียเลย
“คิดถึงเด็กคนที่ยิ้มแต้ลงมาจากบันไดหอสามชายแล้วทักทายน้าซะลั่นว่า
คุณแม่พชรหรือครับ! จัง”
ม่อนแจ่มอ้าปากค้างนิดหนึ่ง แต่แล้วก็กัดปาก ค่อยๆคลี่ยิ้มตอบอย่างยากจะห้าม
“ม่อนก็คิดถึงคุณน้าลดาครับ ..คิดถึงลำไยด้วย”
ฮ่ะๆ..
เพชรลดาหัวเราะเต็มเสียง สองมือกร้านยกขึ้นแตะไหล่บาง
“ตอนนี้ลำไยเพิ่งจะแทงช่อดอก ไม่มีให้กิน เพราะงั้น.. เดือนสิงหาม่อนต้องมาให้ได้นะ จะพาไปกินใต้ต้นเลย”
..
..
ม่อนแจ่มไม่รู้จะบรรยายสิ่งที่รู้สึกยังไง เขาได้แต่ยิ้มค้าง ขณะเสียงเนิบเอ่ยให้ฟัง
“ดีใจจริงๆที่เจอม่อน ..ที่สำคัญกว่านั้น ดีใจที่เห็นม่อนยิ้ม”
ครั้งสุดท้ายที่พบกัน แม้ไม่เห็นน้ำตา แต่เพชรลดาก็ไม่ลืมใบหน้าเผือดซีด ริมฝีปากสั่นระริกที่พยายามเข้มแข็งและสะกดกลั้นความรู้สึกของหนุ่มน้อยผู้นี้ ซึ่งแตกต่างจากรอยยิ้มเมื่อแรกเจอโดยสิ้นเชิง วันนี้ เธอจึงชุ่มชื่นใจนักที่เห็นรอยยิ้มสดใสแบบนี้อีก
“ขายังเจ็บไหมครับ?” ม่อนแจ่มก้มหน้าสำรวจ
“ไม่แล้วจ้ะ” เพชรลดาส่ายหน้า “สบายดีทุกอย่าง”
“ดีจังครับ” ม่อนแจ่มพยักหน้ายินดี ใจชื้นขึ้นจนแทบจะรู้สึกร่าเริงตามวิสัยปกติ อย่างไรก็ตาม แม้โดยไม่ได้ตั้งใจ ม่อนแจ่มก็กวาดสายตาไปรอบๆ ..ราวกับมองหาใครอื่นในรัศมีใกล้เคียงนี้
ดวงตาพชรแอบสบกับมารดาอย่างอ่านม่อนแจ่มออก..
“ขึ้นไปกินอะไรกันก่อนเถอะไป เพิ่งมาถึงเหนื่อยๆ”
อันที่จริง.. ม่อนแจ่มไม่เหนื่อย แต่ก็ถอดรองเท้าผ้าใบออก เดินตามหลังสตรีเจ้าของบ้านขึ้นบันไดไป พลางหันหลังมองพชรเป็นระยะๆ
ชานบ้านเบื้องหน้ากว้างขวาง มีโต๊ะเก้าอี้ไม้วางเข้าชุดกันทางขวาซึ่งอยู่ริมหน้าต่างซึ่งแขวนม่านครึ่งปักลายดอกไม้พลิ้วไปมาตามแรงลม
“เข้ามาสิจ้ะ”
แม้เสียงเรียกเบาๆนั้นก็ทำให้ม่อนแจ่มสะดุ้งนิดหนึ่ง เขาพยักหน้าเขินๆ ก่อนก้าวเท้าผ่านธรณีประตูเข้าไปภายใน
ลมพัดผ่านหน้าต่างเข้ามาทั้งสองฝั่งให้ความรู้สึกผ่อนคลายอย่างไม่น่าเชื่อ
เฟอร์นิเจอร์ในบ้านเป็นไม้ทั้งหมด ทั้งตู้ โต๊ะ เก้าอี้ ..มีน้อยชิ้นและดูเก่า ทว่า งดงามสะอาดตา
ช่างเป็นบ้านที่กะทัดรัด อบอุ่นและไม่อึดอัดเลย ที่สำคัญ ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ..ไม่น่าสงสัยแล้วล่ะ ว่าทำไมพชรจึงเป็นผู้ชายที่เรียบร้อยขนาดนี้
บนผนัง ติดหิ้งเล็กๆไว้ มีดอกมะลิสีขาววางหน้าภาพผู้อาวุโสสองท่านที่ม่อนแจ่มเดาว่าเป็นคุณตาและคุณยายของพชร มือเรียวรีบยกขึ้นไหว้
“เพิ่งเสียไม่กี่ปีหรอกจ้ะ โรคประจำตัวน่ะ” เสียงเนิบบอกให้ฟัง ไม่ได้มีท่าทีเสียใจให้เห็น แต่ม่อนแจ่มก็อดจะเอ่ยไม่ได้
“ม่อนเสียใจด้วยครับ”
เพชรลดาพยักหน้ารับ ยิ้มให้ “ท่านมีชีวิตที่มีความสุขจ้ะ”
ม่อนแจ่มยิ้มตอบ หันมองผนังอีกครั้ง เหนือขึ้นไปเป็นพระบรมฉายาลักษณ์สีขาวดำซึ่งน่าจะเก่ามากๆแล้ว
“ติดอยู่ตรงนั้นตั้งแต่น้าเป็นเด็กๆแล้วล่ะ” เพชรลดามองตามสายตาและเสริมให้ฟัง “ครั้งเสด็จอำเภอแม่ทา ปีสองพันห้าร้อยยี่สิบสอง”
ปีสองพันห้าร้อยยี่สิบสอง ..ช่างเนิ่นนานมาแล้ว
ท่านคงเป็นที่เคารพที่นี่ ..เหมือนๆกับทุกพื้นที่ในประเทศไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับครอบครัวเพชรหละปูนที่เป็นเชื้อสายเกษตรกร
ม่อนแจ่มยกมือขึ้นอีกครั้ง ก้มศีรษะลง..
“มาแต่เช้า ยังไม่กินข้าวกันเลยใช่ไหม แม่ทำข้าวต้มไว้นะ พชร”
เพชรลดาพยักพเยิดไปทางครัวที่เปิดโล่งทางด้านหลัง
พชรพยักหน้ารับคำมารดา ก้าวเข้าไปล้างไม้ล้างมือและตักข้าวต้ม
“แม่เรียบร้อยแล้วนะ สองคนกินกันเลย” เพชรลดาเสริม
ม่อนแจ่มไม่อยู่เฉย รีบเข้าครัวไปช่วย หน้าเรียวก้มส่องหม้อสแตนเลสอย่างอยากรู้อยากเห็น
“กินได้นะ?” พชรพยักพเยิดไปทางหม้อข้าวต้มปลา กึ่งถามกึ่งชักชวน และม่อนแจ่มก็ฉีกยิ้มตอบ
“ตักมาเหอะ รับรองเขมือบจนหมด!”
เพชรลดาได้ยินถึงกับหัวเราะขำกับความขี้เล่นนั้น แอบเห็นว่าพชรก็เป็นเช่นเดียวกัน แม้จะไม่ยอมแสดงออกนักก็ตาม
ใช้เวลากินเพียงไม่นาน และม่อนแจ่มก็เขมือบข้าวต้มจนหมดดังปากว่า รู้สึกทั้งอุ่นและอิ่มท้อง
พชรทำท่าจะเก็บถ้วยให้ แต่เขาต้องยกมือห้าม “กูเก็บเอง”
ว่าแล้วม่อนแจ่มก็เก็บถ้วยของตัวเอง แล้วเอาของพชรมาซ้อนกันด้วย
“พิเศษ แถมบริการล้าง มึงอยู่เฉยๆเลย”
พชรยิ้มมองตามหลัง กระทั่งหันมาเห็นมารดามองอยู่จึงเม้มริมฝีปากไว้
“วันนี้ คนงานเข้าสวนแล้วสิครับ?”
เพชรลดาพยักหน้า “ลิ้นจี่ติดผล ป่านนี้คงเริ่มห่อแล้วล่ะ”
“เดี๋ยวผมเข้าไปดูครับ”
พชรจะเข้าสวนหรือ? เพชรลดางุนงงเล็กน้อย เพราะตามที่แสงรวีบอกเธอนั้น..
แต่ก็ช่างเถอะ เธอไปคนเดียวก็ไม่เห็นเป็นปัญหานี่นา
“แล้ว..” เพชรลดามองแผ่นหลังบางที่ซิงค์ล้างจาน
พชรมองไปที่เดียวกัน ถอนหายใจนิดหนึ่ง ..ม่อนแจ่มอยากมา เขาก็พามา แต่พามาแล้วนี่.. จะอย่างไรต่อก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
“ถ้าม่อนอยากไป ..ผมก็จะพาไปด้วย” พชรพูดไปก็นึกถึงคนที่ม่อนแจ่มคงจะได้เจอในสวนไปด้วย
คิดไม่ทันถึงไหน.. เสียงเครื่องยนต์รถกระบะคันเก่าก็ดังมาตามทางจากในสวนทางจนหยุดหน้าบ้าน
พชรขมวดคิ้วเล็กน้อย ลุกขึ้นยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง
เขากลืนน้ำลายลงคอนิดหนึ่ง ..รู้ว่าคนขับเป็นใคร
แทบจะนาทีเดียวกับที่คนขับลงมาจากรถ ม่อนแจ่มก็เดินออกมาจากครัว
“มีอะไรให้ม่อนช่วยทำ บอกด้วยนะครับ”
เรียวปากอิ่มยกยิ้ม ..ม่อนแจ่มทำความเข้าใจอยู่แล้วว่ามาถึงพชรคงจะต้องทำงานด้วยเป็นลูกชาวสวน
เขาไม่ได้ตั้งใจมาให้เลี้ยงดูปูเสื่ออะไร ซ้ำยังอยากรู้ว่าตัวเองพอจะช่วยแบ่งเบางานอะไรได้บ้างไหม
“เดี๋ยวพชรเข้าสวน ถ้าม่อนจะไปด้วยก็ไป”
เพชรลดาบอก และม่อนแจ่มก็ยิ้มแฉ่งตอบกลับอย่างที่คาดได้ “ม่อนไปด้วยสิครับ รออะไร!”
“คุณพชรครับ!”เสียงเรียกดังมาจากชานบ้านภายหลังเสียงฝีเท้าย่ำผ่านขั้นบันได
คนถูกเรียกหันมองม่อนแจ่มนิดหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนจะเอี้ยวตัวเดินออกไปและเห็นคนงานคนสนิทยืนรออยู่ตรงนั้นอย่างที่พชรรู้ว่าต้องเป็น..
“เห็นรถจอด เลยรู้ว่าคุณพชรมาแล้ว” แสงรวีเอ่ย ดูรีบร้อน
“ผมกำลังจะเข้าไปพอดีครับ” หน้าคมพยักรับ “คนงานห่อลิ้นจี่แล้วใช่ไหม”
“ครับ แต่..” แสงรวีรับคำทั้งแปลกใจ “คุณพชรจะเข้าสวนเลยหรือ?”
“ทำไมครับ” พชรแปลกใจเช่นกัน
“พอดีนี่จะเก้าโมงแล้ว ผมเลยมาดูว่าคุณพชรออกไปหรือยัง”
“ไปไหนครับ?”
“วันนี้มีประชุมรับมือภัยแล้ง คุณพชรบอกจะไปกับคุณลดาไงครับ ลืมหรือ?”
พชรอ้าปากค้าง ..จริงด้วย ลุงแสงบอกเขาแล้วเมื่ออาทิตย์ก่อน ทว่า พชรมัวแต่คิดถึงเรื่องอื่นจนลืมไปเสียสนิท
ภายในบ้าน เพชรลดาได้ยินบทสนทนานั้น และตรงหน้าเธอ ..เด็กหนุ่มจากเชียงใหม่มองผ่านประตูออกไป
“มีคนมาอ่ะครับ คุณน้าลดา”
เพชรลดาพยักหน้า ..เธอรู้ว่าใคร
เธอเองก็ไม่ได้คิดว่ามันจะรวดเร็วขนาดนี้ แต่อย่างไร.. ม่อนแจ่มก็อยู่ตรงนี้และแสงรวีก็อยู่ตรงนั้น
ไม่มีทางที่จะห้ามคนทั้งสองไม่ให้พบกับ ..และไม่เห็นเหตุผลที่จะทำอย่างนั้นด้วย
เพชรลดาเดินนำไปสู่ประตู ..ปล่อยให้ม่อนแจ่มเดินตามหลัง
แสงแดดยามสายส่องสว่าง ไอร้อนคลายลงด้วยสายลมที่โบกพัดมา
แล้ว.. โดยไม่ทันได้เตรียมตัว หนุ่มใหญ่วัยสี่สิบเก้าใส่แว่นกรอบดำก็เผชิญหน้ากับหนุ่มน้อยแว่นแดงวัยสิบเก้า..
แสงรวีชะงัก.. ริมฝีปากเผยอค้าง.. ดวงตารีเล็กเต็มไปด้วยความรู้สึกขณะเพ่งมองร่างเบื้องหน้าอย่างไม่แน่ใจ
ก็ใช่.. ที่คุณพชรบอกแล้วว่าจะมา แต่ก็ไม่ได้บอกว่ามาเมื่อไหร่ แล้วแสงรวีก็ไม่คิดว่าจะเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ให้หลังเช่นนี้
เด็กหนุ่มที่เพิ่งเดินออกมาจากในบ้านใส่แว่นตากรอบสีแดง
สวมเสื้อลายหมีตัวเหลืองเสื้อแดงกำลังกินน้ำผึ้ง ท่อนล่างเป็นกางเกงยีนส์สีดำ
ผิวขาวจนเกือบจะซีด ตัวเล็กนิดเดียวโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับคุณพชร ทว่า ใบหน้าเรียวนั้นสดใสและมีรอยยิ้ม
แสงรวีไม่คิดว่าจะมีวันได้พบคนคนนี้ในระยะใกล้ขนาดนี้.. ไม่เคยคิดมาก่อนเลย..
ม่อนแจ่มมองสบตาผู้มาใหม่ เขาแน่ใจว่าไม่เคยพบกันที่ใดมาก่อน กระนั้น..
บุรุษร่างเล็กสวมเสื้อคลุมแขนยาวสีมอและหมวกปีกกว้างที่ยืนตรงหน้าดูคุ้นตา
ถ้าเดินสวนกันที่อื่น ม่อนแจ่มคงไม่มีผิดสังเกตอะไรเลย
แต่ในสถานที่นี้.. ในความคล้ายคลึงนี้..
และที่สำคัญ.. ในแววตาภายใต้กรอบแว่นสีดำที่กำลังมองเขาอยู่นี้..
จะ.. ใช่คนนี้หรือเปล่า..มือม่อนแจ่มสั่นเล็กน้อยขณะยกขึ้นมาประนมและศีรษะเล็กก็ก้มลงแทนคำสวัสดี
ริมฝีปากอิ่มเผยอ อยากจะเอ่ยอะไรๆ ..แต่ก็ดูเหมือนไม่แน่ใจสิ่งที่จะพูด
ม่อนแจ่มไม่แน่ใจ ..ไม่ใช่เพราะอะไรเลยนอกไปเสียจากว่ามันง่ายดายเกินไปจนไม่น่าเชื่อ
เขาจินตนาการวินาทีนี้มาตลอดทางจากเชียงใหม่ ที่จริง.. ตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าจะมาลำพูนด้วยซ้ำ
แต่เขาไม่คิดว่ามันจะรวดเร็วขนาดนี้.. ไม่คิดว่ามันจะแค่นี้..
แค่ม่อนแจ่มยืนอยู่ตรงนี้ ..และ ..ก็อยู่ตรงนั้น
“ลุงแสงครับ ..นี่ม่อน” พชรแนะนำอย่างแทบไม่จำเป็นเลย “..มากับผม”
..
“ม่อน ..นี่ลุงแสง”
พชรหยุดแค่นั้น ไม่รู้จะแนะนำว่าลุงแสงเป็นใคร
สำหรับเขา ลุงแสงเป็นผู้ใหญ่ที่เคารพ สำหรับมารดา ลุงแสงเป็นพี่ชายที่ซื่อสัตย์ สำหรับสวนเพชรหละปูน ลุงแสงเป็นหัวหน้างานที่ขยันขันแข็ง
แต่พชรไม่อาจบอกได้ ..ว่าลุงแสงเป็นใครสำหรับม่อนแจ่ม
แสงรวีกลืนน้ำลาย ขณะมือยกขึ้นรับไหว้ ตาไม่ได้มองเจ้านายหนุ่ม มองเพียงเจ้าของศีรษะเล็กที่กำลังเงยขึ้นมา ทว่า พอสบสายตาอีกครั้งก็ได้แต่ละไปเสีย ไม่ใคร่กล้าจะประสานนานนัก
“ถ้าอย่างนั้น ผมไปแทนให้ดีไหมครับ หรือว่ายังไง?” แสงรวีหันไปเอ่ยกับเจ้านาย
พชรหยุดคิด อดไม่ได้ที่จะมองม่อนแจ่ม
เขาพูดไว้กับลุงแสงว่าจะไปประชุมกับมารดา แต่เขาเองพาม่อนแจ่มมาและไม่ได้มีแผนจะทิ้งไว้คนเดียว
“เอ้อ..”
ม่อนแจ่มมองคนทั้งสองสลับไปมา ปะติดปะต่อบทสนทนานี้กับบทสนทนาก่อนหน้าเข้าด้วยกัน
เสียงเล็กเอ่ยค่อยๆอย่างเกรงใจและกลัวเสียมารยาท
“ถ..ถ้าพชรมีอะไรที่จะต้องทำ ก็ไปทำเถอะนะ กูอยู่ได้..”
ม่อนแจ่มไม่ต้องการเป็นภาระหรือตัวถ่วง ไม่อยากขัดขวางภารกิจปกติใดๆของพชรเลย
“แค่.. บอกหน่อยว่ากูพอจะช่วยทำอะไรได้บ้างไหม”
แหงละ.. ม่อนแจ่มอยากอยู่กับพชร
ในฐานะที่เพิ่งมาถึง เขาไม่ได้คาดว่าคนที่เชื่อมั่นและไว้วางใจจะต้องออกไปไหนโดยที่เขาไม่ได้ไปด้วยแบบนี้
แต่ม่อนแจ่มจะแสดงความปอดแหกออกมาได้อย่างไรกันเล่า แค่นี้.. พชรก็ห่วงเขามากอยู่แล้ว
พชรเองไม่อยากทิ้งม่อนแจ่มไว้ ไม่เลย..
แต่ดวงตาภายใต้กรอบแว่นที่ประสานกลับมามีความเด็ดเดี่ยวอย่างที่เขามักจะเห็นเสมอเวลาม่อนแจ่มรู้สึกกลัวและพยายามต่อสู้
มันเป็นความกล้าหาญในอีกรูปแบบที่พชรเรียนรู้จากคนตรงหน้าตลอดหลายเดือนที่พำนักอยู่ในหอสามชาย
อีกประการหนึ่ง
ถ้านี่จะเป็นโอกาส..“ถ้าอย่างนั้น..” พชรตัดสินใจ หันมองแสงรวี
หนุ่มใหญ่นิ่งไป แต่ก็เพียงเพื่อแปลความหมายจากสายตาเจ้านายหนุ่ม ก่อนให้คำมั่นอย่างเข้าใจความรู้สึกที่ส่งผ่านมา
“ผมจะดูแลให้ครับ”
ดวงตาสองคู่หยุดจ้องกันอยู่หลายอึดใจ ..ม่อนแจ่มมองคนทั้งสองสลับไปมา
หนึ่ง.. คือคนคุ้นเคย อีกหนึ่ง.. คือคนที่เพิ่งพบเจอ
ม่อนแจ่มอ่านแววตาพชรออก ..มันแสดงความห่วงใยและไม่ต้องการทอดทิ้ง
แล้วแววตาของผู้ใหญ่ท่านนี้ล่ะ?
“ผมจะดูแลให้ครับ”ท่านบอกว่าจะดูแลม่อนแจ่ม ..และพชรก็พยักหน้ารับ
เท่าที่ม่อนแจ่มบอกได้ ..คือคุณลุงแสงคนนี้เป็นที่ไว้วางใจของพชรจริงๆ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
(ต่อรีฯถัดไป)