CHAPTER 34: Ein Schönes Wochenende (Part III) ตะวันคล้อยลงลับเหลี่ยมเขาไปแล้วเมื่อม่อนแจ่มเดินมาใกล้ถึงตัวคนคุ้นเคย..
เจ้าของสวนหนุ่มสั่งความบางอย่างกับคนงานคนหนึ่งที่เขาจำหน้าได้แต่ยังไม่รู้จักชื่อ ก่อนจะก้าวยาวๆมาหา สัมผัสมือกร้านแตะลงบนบ่า เสียงเข้มส่งมาถามอย่างห่วงใย
“เหนื่อยหรือเปล่า..”
ม่อนแจ่มส่ายหน้า
ที่จริง.. เขาเริ่มจะปวดขาเพราะเดินไกลประกอบกับยืนทำงานมาทั้งวัน แต่ม่อนแจ่มไม่อยากบอกเลยว่า ‘เหนื่อย’
เพราะทุกคนก็ทำงานแบบนี้กันทั้งนั้น ไม่มีใครมีเวลามาสังเกตว่าตัวเองเหนื่อยหรือเปล่าด้วยซ้ำไป เพราะงั้น.. ม่อนแจ่มจึงฉีกยิ้ม ตอบกลับไปอย่างอารมณ์ดี
“ไม่เหนื่อยครับ คุณพชร”
หน้าคมส่ายน้อยๆกับสรรพนามที่อีกฝ่ายใช้เรียก มือแกร่งยกขึ้นกระตุกเงื่อนปลดด้ายรัดคางและดึงหมวกออกจากศีรษะเล็กเพราะไม่มีแดดแล้ว ใส่ไว้จะอึดอัดเสียมากกว่า
“เลิกเรียกแบบนั้นได้แล้ว” พชรสั่ง
“น่า คุณพชร..” ม่อนแจ่มต่อรอง “ให้แว่นแดงเรียกเถอะครับ มันเท่ดี เครื่องกลชอบ!”
เฮ้ย อะไร!
พชรขมวดคิ้ว หน้าตาเริ่มจะตื่นกับสรรพนามเดิมที่ตัวเองเคยใช้ กระทั่งม่อนแจ่มหัวเราะคิกคักและทำหน้าล้อเลียนนั่นแหละ จึงตระหนักได้ว่านี่มันคงเป็น ‘การแก้แค้น’ เล็กๆน้อยๆจากรูมเมทที่ในอดีตนั้น เขาไม่ยอมเรียกชื่อ
พชรอดไม่ได้ที่จะทาบฝ่ามือใหญ่ ประทับน้ำหนักลงบนศีรษะเล็กอย่างมันเขี้ยว ..จำได้ว่าเคยทำแบบนี้แล้วครั้งหนึ่งในห้องสามสามแปด..
“กับมึง ..กูไม่ถือ”และนั่นก็คือปฏิกิริยาตอบกลับ..
ม่อนแจ่มยังคงยิ้มร่า แต่พชรกลืนน้ำลาย ใบหน้าคมโน้มลง อยากสัมผัสริมฝีปากอิ่มที่วันนี้ซีดเซียวลงเพราะขาดน้ำแทบขาดใจ แต่ก็ต้องชะงัก ยับยั้งไว้ ด้วยรู้ตัวว่าไม่ใช่สถานที่ที่ควร..
พชรละใบหน้าออกในตอนท้าย หันหลังและเดินนำไปโดยไม่ยอมหันมองอีก หูเพียงฟังว่ามีเสียงฝีเท้าเดินตามเขามา
“คุณลดากลับก่อนแล้วครับ”
แสงรวีเอ่ยกับเจ้านายหนุ่มและยิ้มกว้างให้ม่อนแจ่มที่ก้าวตามมาข้างหลัง
พชรพยักหน้ารับ ไม่ได้แปลกใจ เพราะมารดามักจะออกจากสวนก่อนเพื่อไปเตรียมอาหารเย็นเป็นประจำอยู่แล้ว
“งั้นผมกลับกับลุงแสงเลยครับ”
ม่อนแจ่มได้ยินดังนั้นก็รีบสาวเท้าขยับนำหน้า สวมบทผู้ใต้บังคับบัญชา เปิดประตูรถกระบะคันเก่าให้เจ้านายและผายมือเชื้อเชิญขึ้นนั่ง
ที่จริง.. เจ้านายควรจะนั่งเบาะหลัง แต่ม่อนแจ่มคิดว่าเบาะหน้ามันนั่งสบายกว่า เดี๋ยวลูกน้องนั่งหลังเองแล้วกัน
“ไปนั่งข้างหน้าเถอะไป”
พชรสั่งตามเคย ทว่า ลูกน้องส่ายหน้าดิกไม่ทำตาม กลับเปิด cab หลัง ขึ้นไปนั่งก่อนเจ้านายเสียเรียบร้อย
อืม..เอายังไงก็เอา.. เพราะพชรไม่อยากอุ้มม่อนแจ่มออกมา แล้ววางร่างเล็กนั้นไว้เบาะหน้าดังที่ใจอยากทำต่อหน้าลุงแสง
เขาจึงขึ้นนั่งคู่คนขับด้วยเสียงถอนหายใจที่บอกได้ว่าไม่สบอารมณ์นัก ..ก็รู้อยู่เต็มอกว่ากระบะตอนครึ่งนี้ ข้างหลังไม่ได้มีเบาะให้นั่งได้อย่างสบายเลย
ตาคมสบกับดวงตาใสในกรอบแว่นแดงผ่านกระจกมองหลังเพียงชั่วลมหายใจ ก่อนจะละไปมองลิ้นจี่ที่ยืนต้นเรียงรายทางฝั่งซ้ายมือ แม้ใจยังคงตรึงอยู่กับคนข้างหลัง
ม่อนแจ่ม.. ดูเพียงรูปร่างหน้าตาและอุปนิสัยผิวเผินคงไม่รู้ ว่าเด็กหนุ่มชาวเมืองคนนี้มีน้ำอดน้ำทนขนาดไหน..
แสงรวีขึ้นประจำการหลังพวงมาลัย ลอบหัวเราะในลำคอกับสถานการณ์ตรงหน้า
กระจกหลังส่องให้เห็นม่อนแจ่มที่มองเขาอยู่ผ่านกระจกเช่นกัน คิ้วเรียวยักส่งมาจึ๊กๆ พยักพเยิดยิ้มๆไปทาง ‘เจ้านาย’ ของทั้งคู่บนเบาะข้างเคียง
หัวหน้าคนงานแห่งสวนเพชรหละปูนต้องยอมรับว่า.. ไม่เคยมีใครทำให้คุณพชรที่เขาเห็นมาตั้งแต่ครั้งเป็นเด็กน้อยตะโกนเต็มเสียงได้อย่างวันนี้ คราที่บอกให้ม่อนแจ่มลงมาจากต้นลิ้นจี่
ความห่วงใย.. ความหวั่นไหว.. และความหวาดกลัวฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่ที่แสงรวีมักจะเห็นเพียงสองอย่าง
คือหนึ่ง.. ความเด็ดเดี่ยวกับงาน
และสอง.. ความว่างเปล่า ด้วยปราศจากอารมณ์ลึกซึ้งใดๆ
แต่ผู้มาใหม่คนนี้.. กลับทำให้ดวงตาคู่นั้นเปลี่ยนไป
หนุ่มใหญ่มองถนนขรุขระสูงๆต่ำๆเบื้องหน้าซึ่งนำออกจากบริเวณสวนลิ้นจี่
ก็ใช่.. ที่แสงรวีคิดว่ารู้อยู่แล้วในความรู้สึกที่เด็กหนุ่มทั้งสองมีต่อกัน อย่างไรก็ตาม.. ในวันนี้ เขาได้เห็นชัดเจนกับตา
'ความรัก'.. แสงรวีอดจะคิดถึงความรู้สึกนี้ไม่ได้ และมันก็พาเขาไปสู่สตรีผู้ยังคงดำรงอยู่ในความรู้สึกนั้นของตนเองจนได้
ดวงตาในกรอบแว่นดำมองสบกับดวงตาในกรอบแว่นแดงเบื้องหลังอีกครั้ง ..และเห็นความคล้ายคลึงบางประการโดดออกมาผ่านเลนส์
“ขอบคุณครับ ลุงแสง”พชรเอ่ยเมื่อกระบะชะลอจอดหน้าบ้านยกพื้นสูง ดึงมือจับเปิดประตูฝั่งตนเอง ก่อนเปิด cab หลังให้ม่อนแจ่มลงมา ทว่า คนข้างหลังยังไม่ลง กลับชะโงกหน้าผ่านช่องว่างระหว่างเบาะไปถามคนขับ
“เอ้อ.. แล้วบ้านลุงแสงอยู่ไหน อีกเดี๋ยวก็มืดแล้ว ต้องขับรถไกลหรือเปล่าอ่ะครับ?”
แสงรวียิ้มนิดหนึ่ง นึกขอบคุณในความห่วงใยที่แสดงออกมา
“ใกล้นิดเดียว ไม่ทันมืดหรอก”
อ่าม.. ม่อนแจ่มพยักหน้าช้าๆอย่างไม่แน่ใจ ขณะที่แสงรวียังคงยิ้ม
“ว่าแต่ม่อนเถอะ วันนี้เหนื่อยหรือเปล่า?”
“ไม่ครับ” คนถูกถามส่ายหน้าแทนคำตอบ มิวายสงสัย “แล้วลุงแสงกินข้าวที่ไหนอ่ะครับเนี่ย”
“ก็กินที่บ้านนั่นล่ะ” แสงรวีหัวเราะ “ถึงบ้านแล้วก็ทำ แป๊ปเดียว ได้กิน”
ลุงแสงจะถึกไปไหน.. ม่อนแจ่มอดไม่ได้ที่จะคิด
ทำงานในสวนมาทั้งวัน เย็นย่ำต้องขับรถกลับบ้าน แล้วยังไปทำกับข้าวกินเองอีกหรือ
ปากอิ่มอ้าจะชวนกินข้าวด้วยกัน ทว่าก็ไม่กล้า เกรงใจเจ้าของบ้านซึ่งยืนนิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ
พชรเพียงยกมือไหว้ลา ม่อนแจ่มทำตามอย่างลังเล
อย่างไรก็ตาม รอยยิ้มสดใสของลุงแสงที่ส่งมาให้เขาเป็นเสมือนคำย้ำว่า ‘ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง’ ซึ่งอีกเดี๋ยวเดียว.. ม่อนแจ่มก็รู้ว่าทำไม
ก็รถกระบะของลุงแสงนั้นชะลอจอดที่หน้าบ้านไม้หลังเล็กห่างจากจุดที่ม่อนแจ่มยืนไปเพียงสักราวๆร้อยเมตรเท่านั้นเอง ซ้ำบุรุษร่างเล็กยังลงมาโบกไม้โบกมือให้เห็นชัดเจนแม้มองจากตรงนี้
“พชร บ้านลุงแสงอยู่ตรงนั้นเองเหรอ!” ม่อนแจ่มหัวเราะออกมาอย่างดีใจ
“อืม..” พชรครางรับ
แม้จะไม่ใช่บ้านเดิม แต่ตอนนี้ ทุกๆวันลุงแสงอยู่ที่นั่น ที่ซึ่งมารดาให้ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์มานานนับสิบปี จะบอกว่าเป็นบ้านลุงแสงก็ไม่ผิดความจริงแต่อย่างใด
“ม่อน” สตรีเจ้าของบ้านทักทายทันทีที่เห็นเจ้าของชื่อโผล่พ้นประตูหน้าเข้ามา “ไง เหนื่อยหรือเปล่า?”
..
“ไม่ครับ” ม่อนแจ่มส่ายหน้าหงึกหงักทั้งรอยยิ้ม ..สังเกตว่าคุณน้าลดาถามคำถามเดียวกันนี้เป็นคนที่สาม
เขาคิดว่าคนถามทั้งสามคนรู้ว่าเขาเหนื่อย แต่มันเป็นการถามที่ไม่ได้คาดหวังคำตอบจริงจัง แทบจะไม่ใช่ ‘คำถาม’ เสียทีเดียวด้วยซ้ำ ..ม่อนแจ่มเรียนรู้ว่ามันเป็นการแสดงความห่วงใย ..จากคนที่รักและหวังดีกับเขา
“ม่อนไปอาบน้ำเสียก่อนเถอะ จะได้มากินข้าว” เพชรลดาเอ่ยกับคนตัวเตี้ย ก่อนจะหันมามองคนตัวสูง
“พชร เดี๋ยวพาม่อนไปห้องน้ำ แล้วออกมา เอาแกงไปให้ลุงแสงเสียก่อนนะ”
เอาแกงไปให้ลุงแสงหรือ?ดวงตาในกรอบแว่นมองเข้าไปในครัว ที่ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของกลิ่นหอมฟุ้งกระจายทั่วบ้าน
“เอาแกงไปให้ลุงแสงหรือครับ คุณน้าลดา?” ม่อนแจ่มถามซ้ำ
“จ้ะ.. น้าแกงเผื่อทุกวันอยู่แล้ว นอกจากลุงแสง ก็เอาไปให้บ้านลุงเอิบด้วย อยู่ถัดกันไม่ไกล”
“อะ.. งั้น ..งั้นม่อนเอาไปให้เองได้ไหมครับ?” ม่อนแจ่มถามพลางเงยมองพชรเป็นเชิงขออนุญาต
เพชรลดามองม่อนแจ่ม..
ไม่แปลกใจนักหรอกกับการขันอาสา เมื่อตัดสินจากสายสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วระหว่างสองแว่นสองวัยที่เห็นได้ตลอดบ่ายวันนี้
ปกติที่พชรเป็นคนถือไป เด็กหนุ่มไม่เคยใช้ถาด อย่างไรก็ตาม นี่เป็นม่อนแจ่ม เพชรลดาจึงหยิบถาดไม้ ยกถ้วยแกงทั้งสองวางลงไปก่อนส่งให้
“แล้วม่อนจะรีบกลับมาครับ” ม่อนแจ่มยิ้ม ออกปากไว้ด้วยไม่อยากให้ผู้ใหญ่ต้องคอยทานข้าวนาน
“เดี๋ยวมานะ พชร”
ม่อนแจ่มสบตา หันหลังเดินออกผ่านประตูบ้าน ..ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพชรขยับเดินตามโดยอัตโนมัติ
“ของลุงเอิบ เอาไว้กับลุงแสงนั่นแหละนะ เดี๋ยวลุงแสงเอาไปเอง” เสียงเข้มบอกไล่หลัง
ม่อนแจ่มหันกลับไปพยักหน้าให้ ทว่า เมื่อดวงตาคมกล้าคู่นั้นยังคงมองมาอย่างห่วงใย เขาจึงคลี่ยิ้ม
“อย่าห่วงเลยน่า ตรงนี้เอง มึงก็เห็นกูอยู่”
พชรเม้มริมฝีปากไว้ ไม่อยากหลุดเผยอยิ้มเพราะเก้อเขินที่ม่อนแจ่มเข้าใจอาการของเขา หน้าคมพยัก ดวงตามองตามหลัง
ร่างสูงยืนกอดอกอยู่ ณ ชานบ้าน ขณะคนคุ้นเคยค่อยๆเดินลงบันไดไป
แสงสีทองหม่นสาดสะท้อนทั่วบริเวณ ..แสงสุดท้ายของวันนี้แล้ว วันที่ยาวนานสำหรับม่อนแจ่ม แล้วก็เป็นวันที่มีค่ามากๆด้วย
บ้านไม้หลังเล็กนั้นอยู่ไม่ไกล กลิ่นแกงอ่อมหอมยวนใจอยู่ใต้จมูก ม่อนแจ่มนึกถึงน้ำใจของคุณน้าลดาที่มีต่อคนรอบตัว
เขาดีใจนักที่ลุงแสงอยู่ที่นี่.. ในสวนเพชรหละปูน.. ใกล้คุณน้าลดา ใกล้พชร และอยู่ท่ามกลางเพื่อนร่วมงานทั้งหลายที่ตัวท่านเป็นที่รักดังที่ม่อนแจ่มเห็นมาตลอดทั้งวันนี้
ขาเรียวมาหยุดหน้าบ้านในที่สุด ..รถกระบะที่โดยสารไป-กลับสวนลิ้นจี่จอดนิ่งอยู่ข้างบ้านราวกับหยุดพักผ่อนหลังจากปฏิบัติหน้าที่อยู่ตรงนี้เป็นประจำทุกๆวัน ม่อนแจ่มสังเกตจากหญ้าที่ลู่ติดพื้นดินตามรอยล้อรถ
กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ที่หันมองแล้วเห็นว่าเป็นดอกแก้วส่งออกมารวยระริน ม่อนแจ่มสูดเข้าไปเต็มปอด พอผสมกับกลิ่นแกงอ่อมของคุณน้าลดามันก็แปลกๆดี
บ้านลุงแสงแม้หลังเล็ก แต่น่าอยู่ บนระแนงมีกล้วยไม้แขวนหลายกระถาง ไม้ใบที่ม่อนแจ่มไม่รู้จักชื่อห้อยลงมาเป็นพวงระย้าสวยงาม หน้าบ้านลาดคอนกรีตขัดมันเป็นชานยื่นออกมาราวเมตรครึ่ง มีโต๊ะเก้าอี้ไม้วางอยู่ใกล้ประตูมุ้งลวดที่มีแสงไฟลอดออกมาจากภายใน
ม่อนแจ่มเงยมองป้ายไม้ที่ผนึกสะดุดตาบนผนังเหนือกรอบประตู ..บ่งบอกชื่อเสียงเรียงนามเจ้าของบ้าน
‘นายแสงรวี ศรีแม่ทา
๒ ม.๕ ต.ทาขุมเงิน อ.แม่ทา จ.ลำพูน’
แสงรวี ศรีแม่ทา ..ม่อนแจ่มทวนชื่อนั้นในใจ
แสงรวี..
แสง..
‘ไม่มีแสงแห่งใด ..สวยดังใจเธอ’น่าแปลก.. หรืออาจจะไม่แปลกที่ม่อนแจ่มได้ยินเสียงมารดาร้องเพลงท่อนนั้นทวนอยู่ในความทรงจำ
ร่างเล็กยืนนิ่งเงียบในความคำนึงอยู่หลายนาที ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าหากยืนแบบนี้ต่อ แกงอ่อมคงเย็นชืดเสียหมด เขาจึงตะโกนเรียกไม่ดังมากนักผ่านประตู
“ลุงแสงครับ”
..
..
เมื่อไม่มีเสียงตอบรับ ม่อนแจ่มจึงเรียกดังขึ้นอีก
“ลุงแสงครับ!”อย่างไรก็ตาม เสียงที่ตอบกลับไม่ใช่เสียงคน แต่เป็นเสียงสิ่งของกระทบกัน
เกร้ง!เฮ้ย!
ม่อนแจ่มอุทานตกใจ เขาขยับเข้าใกล้ประตู ชะโงกมองผ่านประตูมุ้งลวดหาต้นเสียง
เสียงอะไร?
ลุงแสงเป็นอะไรหรือเปล่า..“ลุงแสง ขออนุญาตเข้าไปนะครับ ม่อนเอง!”
มือเรียววางถ้วยแกงไว้บนโต๊ะไม้หน้าบ้าน แล้วจึงผลักประตูเข้าไปอย่างตื่นๆ
ภายในบ้านเล็กโปร่งสบาย แม้ข้าวของไม่เป็นระเบียบมากเหมือนบนบ้านพชร แต่ก็ไม่ถือว่ารกอะไรนัก
ม่อนแจ่มมองเร็วๆ หาพิกัดของลุงแสง แล้วเมื่อเขาโผล่หน้าผ่านส่วนนั่งเล่นเข้าไปเจอครัว ..นั่นแหละ จึงเห็นลุงแสงก้มหยิบอะไรคล้ายๆจะเป็นกะละมังอลูมิเนียม ปากอ้าร้องคลอเสียงรัวกลองของเพลงร็อคจากวิทยุแบบใส่แผ่นได้ ..นี่เองทำให้ลุงแสงไม่ได้ยินเสียงเขาเรียก
"Welcome to a new kind of tension
All across the alienation
Where everything isn't meant to be okay
Television dreams of tomorrow
We're not the ones who're meant to follow
For that's enough to argue..."*ห๊ะ?
เพลงนี้มัน..
ลุงแสงฟัง Green Day วงร็อคอเมริกันเก๋ากึ๊กนี่นะ ..ม่อนแจ่มยอมเลย
นึกว่าจะฟังแบบ..
ดอกบัวตองนั้นบานอยู่บนยอดดอย ดอกเอื้องสามปอยบ่เกยเบ่งบานบนลานพื้นดิน ไม้ใหญ่ ไพรสูง นกยูงมาอยู่กิน เสียงซึงสะล้อจ๊อยซอเสียงพิณ** ..อะไรทำนองนั้นเสียอีก
“ม่อน?”
แสงรวีที่อยู่ในท่าก้ม มือหนึ่งคว่ำกะละมังพิงผนัง อีกข้างกำช่อผักหวานหลุดอุทานออกมา
“อะ..เอ่อ ม่อนขอโทษที่ทะเล่อทะล่าเข้ามาครับ” ม่อนแจ่มรีบออกตัว รู้ว่าเสียมารยาท
แสงรวีพยายามตั้งใจฟังสิ่งที่ผู้มาเยือนสื่อสาร แต่ดูเหมือนเขาจะเปิดเพลงดังไปนะนี่ บุรุษร่างเล็กจึงขยับกาย มือกร้านเอื้อมหรี่เสียงวิทยุให้เบาลง
‘Well maybe I'm the faggot America.
I'm not a part of a redneck agenda.
Now everybody do the propaganda.
And sing along to the age of paranoia.’“เพลงมันส์มากครับ”
ม่อนแจ่มมองวิทยุยิ้มๆ อดจะทักไม่ได้ ชอบใจในความแตกต่างสุดขั้วระหว่างบ้านสวนลำพูนกับเพลงร็อคเสียดสีอเมริกัน
“แบบว่าเข้ากับบรรยากาศมาก ก ก”
“ฮ่ะๆ” เจ้าของบ้านหลุดหัวเราะ
“ชอบฟังเพลงน่ะ ฟังทุกแนว วันนี้ถึงคิวกรีนเดย์พอดี เมื่อวานยังฟังคุณจรัล มโนเพ็ชรอยู่เลย”
ม่อนแจ่มขำก๊าก แต่แล้วก็นึกขึ้นได้
“เอ้อ.. คุณน้าลดาให้เอาแกงมาให้ลุงแสง คือม่อนวางไว้ข้างนอก เพราะได้ยินเสียง..”
ว่าพลาง ดวงตาเขาก็กวาดมองพลางว่าลุงแสงประสบอุบัติเหตุอะไรหรือเปล่า
“อ๋อ” แสงรวีก้มมองกะละมัง หัวเราะหึหึอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่
“ไม่เป็นไร เดินชนทุกวัน ก็จำไม่ได้สักทีว่ามันอยู่ตรงนี้”
เอ่อม.. ชนทุกวัน.. ม่อนแจ่มตะหงิดๆกับอุปนิสัยชนนู่นชนนี่เช่นนี้เหลือเกิน
“เดี๋ยวม่อนรีบไปเอาแกงมาให้นะครับ” ว่าแล้วร่างเล็กก็หันหลังก้าวยาวๆแทบจะวิ่งไปเอามา
..
“ของลุงเอิบด้วยสิ” แสงรวีพยักหน้า มองแกงอ่อมกระดูกหมูอ่อนสองถ้วยในถาดไม้ “ม่อนไว้นี่เลย เดี๋ยวลุงเอาไปให้เอง”
“ครับ” ม่อนแจ่มพยักหน้ารับ พชรบอกเขาแบบเดียวกันนี้แล้ว
“แล้วนั่น.. ลุงแสงจะทำอะไรหรือครับ?”
“จะยำผักหวานน่ะ รีบไปเก็บมาก่อน เดี๋ยวหมดแสง”
อ่อ.. ม่อนแจ่มพิจมองผักหวานใบสีเขียวเข้มที่เหมือนจะเก็บมาสดๆ
“ลุงแสงปลูกผักด้วยหรือครับ?”
“อื้ม” แสงรวีตอบรับ เดินนำมาที่ประตูหลังซึ่งเปิดออกสู่สวนครัวเล็กๆของตัวเอง
“โห ผักเยอะจัง!” ม่อนแจ่มอุทาน มองผ่านแสงสลัวออกไป
แสงรวีหัวเราะอีกครั้ง “นี่น้อยเดียวเอง ธรรมดาชาวบ้านก็ปลูกผักไว้กินทั้งนั้นแหละ คุณพชรก็ปลูก อยู่หลังบ้าน ม่อนอาจจะยังไม่เห็น”
ม่อนแจ่มยังไม่เห็นจริงๆนั่นแหละ เพราะวันนี้ลงจากบ้านก็เข้าสวนตั้งแต่เช้าจนเพิ่งกลับมาตอนเย็นนี่เอง
“ฝากขอบคุณคุณลดาด้วยนะม่อน” แสงรวียิ้ม ดึงประตูมุ้งลวดหลังบ้านปิดกันยุง
“ครับ” ม่อนแจ่มรับคำ กวาดตามองครัวเล็กๆ ตลอดจนรอบๆภายในบ้าน
ลุงแสงอยู่คนเดียว.. ทำอาหารกินเอง.. ดูแลตัวเอง.. มีวิทยุคู่ใจ.. และบนม้านั่งไม้สักยาว ม่อนแจ่มเห็นกีต้าร์โปร่งสีน้ำตาลระบุยี่ห้อ Paramont วางอยู่ มันสะอาดและไม่มีฝุ่นจับเลยราวกับว่าถูกหยิบมาเล่นเป็นประจำ
“ลุงแสงเล่นกีต้าร์ด้วยหรือครับเนี่ย?”
แสงรวีคลี่ยิ้ม เอ่ยทีเล่นทีจริง “ลุงติสท์แตกน่ะ”
ฮ่ะๆ!
ม่อนแจ่มหัวเราะชอบใจ มองกลับไปที่ครัวอีกครั้ง
“แล้ว.. นี่ม่อนช่วยอะไรลุงแสงได้บ้างครับ ช่วยเด็ดผักหวานดีไหม”
ม่อนแจ่มคิดว่ามันไม่เกินกำลัง จะช่วยยำก็ดูท่าจะไม่รอด เขาเพิ่งเคยทำแกงจืดหม้อเดียวเท่านั้นเอง แถมด้วยความช่วยเหลือจากป้าเพ็ญและร่วมงานกับคุณพ่อพจน์ด้วย
“ไม่เป็นไรหรอก ม่อนรีบกลับดีกว่า” แสงรวีมองผ่านหน้าต่างเห็นความมืดที่โรยตัวด้านนอก “จะมืดสนิทแล้ว แถมคุณลดาคงรอกินข้าวอยู่นะ”
..
..
ม่อนแจ่มกลืนน้ำลาย ..รู้สึกอยากอยู่กินข้าวเป็นเพื่อนลุงแสงอย่างช่วยไม่ได้ ..เห็นใจที่ลุงแสงจะต้องกินข้าวเพียงลำพัง
แสงรวีมองดวงตาที่หรุบลงต่ำอย่างนึกเอ็นดู
“ลุงแน่ใจว่าม่อนคงมาที่นี่อีกหลายครั้ง ..เวลามีออกเยอะไป”
ม่อนแจ่มเงยขึ้นมอง..
ลุงแสงพูดอะไรทำนองอีกแล้ว อะไรที่ไม่ได้เกริ่นนำ ไม่มีที่มาที่ไปชัดเจน แต่ลุงแสงรู้ ..และท่านคงรู้ว่าม่อนแจ่มเองก็..
รู้“งั้น.. ม่อนหุงข้าวให้นะครับ ม่อนหุงเป็น ..แป๊ปเดียว”
ขาสั้นพยายามก้าวยาวที่สุดไปหยิบหม้อที่คว่ำอยู่บนชั้น มองหาข้าวสาร ..อยู่ในถังพลาสติกใสตรงนั้นเอง
เขาตักออกมากระป๋องหนึ่ง คงพอสำหรับลุงแสง ..เขาหุงเป็นนะ วันนั้นป้าเพ็ญสอนแล้ว
ม่อนแจ่มล้างมือ เปิดน้ำใส่หม้อ ขยำๆ แล้วตั้งท่าจะเทน้ำซาวข้าวทิ้ง
“ท.. เทใส่กะละมังไว้ก่อน ม่อน” แสงรวีเอ่ยบอกไม่ค่อยเต็มเสียง ทั้งยังตะกุกตะกักเล็กน้อย “ลุงเอาไว้รดน้ำผัก น่ะ..”
“อ..อ๋อ ..ครับ” ม่อนแจ่มรับคำ ทำตามนั้น “ม่อนขอโทษครับ ม่อนไม่รู้”
“ไม่เป็นไร” แสงรวีรีบส่ายหน้าให้เข้าใจว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ “น้ำสะอาดในขวดตรงนั้น ม่อนก็.. ใช้หุงได้เลย”
“ครับ..” ม่อนแจ่มรับคำอีกครั้ง เทน้ำลงในหม้อ กะว่าประมาณครึ่งข้อนิ้วตามที่ป้าเพ็ญเคยบอก
“ลุงแสงชอบข้าวสวยแบบเรียงเม็ด ..หรือข้าวค่อนข้างนุ่มครับ”
“แบบหลัง..”
โอเค.. งั้นม่อนแจ่มใส่น้ำเพิ่มอีกหน่อย
ไม่รู้ทำไมมือขาวจึงสั่น.. เขาแค่.. แค่อยาก.. หุงข้าวให้ลุงแสงรับประทาน ก็เท่านั้น..
แสงรวีเบือนหน้าไปทางอื่นขณะที่ม่อนแจ่มกดไฟหุงข้าว
ถามตัวเองเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ของวันว่ามันฝันหรือจริง..
ม่อนแจ่ม.. ที่ลำพูนนี้..
ยิ่งกว่านั้น ที่ในบ้าน ในครัวของเขา ..แล้วตอนนี้ เด็กหนุ่มกำลังหุงข้าวให้เขากิน
“ม่อนกลับก่อนนะครับ วันหลัง.. ม่อนคงได้มากินข้าวกับลุงแสงบ้าง”
ม่อนแจ่มพยายามยิ้ม ..ไม่ใช่ไม่อยากยิ้ม แต่มันรู้สึกเหมือนจะร้องไห้จนยิ้มไม่ออก แสงรวีเองก็เหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะเดินผ่านโต๊ะกินข้าวไป ม่อนแจ่มมองเห็นบางอย่างที่คุ้นตา
“นี่มัน..”
..
ที่กำลังมองอยู่คือกระดานไม้ติดผนัง ..และที่ปักหมุดไว้บนนั้นคือแผ่นกระดาษใบเล็ก ..ลายเส้นดินสอที่คุ้นเคยวาดเป็นรูปการ์ตูนผู้หญิงผูกผมหางม้า หิ้วตะกร้าผลไม้
‘ขอบคุณครับ เป็นลำไยที่อร่อยที่สุดที่ผมเคยทาน’
ใต้ภาพถูกเขียนไว้ว่าอย่างนั้น.. และม่อนแจ่มก็จำมันได้ดี..
“ม่อนวาดให้คุณน้าลดา..” ม่อนแจ่มงุนงง
..ทำไมถึงมาอยู่ที่ลุงแสงล่ะ?“นั่น..” แสงรวีอึกอัก มองดวงตาใสที่เบิกกว้างขึ้นอย่างไม่เข้าใจจึงรีบอธิบาย
“ม่อนอย่าเข้าใจผิดนะ ไม่ใช่คุณลดาไม่อยากเก็บไว้ ไม่ใช่มันไม่สวยหรืออะไร”
เปล่า.. ม่อนแจ่มไม่ทันได้คิดอะไรแบบนั้นเลย เขาแค่เพียงนึกไม่ออกว่าทำไมมันมาอยู่ตรงนี้ได้
“ทำไมถึงมาอยู่ที่ลุงแสงล่ะครับ..”
เอาล่ะ..มันก็เป็นเพียงคำถามธรรมดาๆ ทว่า เป็นคำถามที่คำตอบจะนำไปสู่คำตอบในเรื่องอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“คุณลดาให้ลุงน่ะ”แสงรวีกลืนน้ำลาย “เพราะ..”
..
“เพราะ..” ม่อนแจ่มย้ำคำ อยากจะฟังเหตุผล
แสงรวีหยุดชะงักอย่างใคร่ครวญ ..เขาเป็นคนตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์กับความรู้สึก ไม่เคยนึกอยากโกหกอะไร
“นี่คือ..?”
..
“นี่รูปคุณลดาใช่ไหมครับ ..ถือตะกร้าผลไม้ด้วย คงเป็นลำไย”
“รูมเมทพชรวาดให้ฉัน ตอบแทนที่เอาลำไยไปฝาก”
“โอ้! ฮ่ะๆ น่ารักจริงๆครับ”
“ฉันให้พี่แสง”
..
“ให้ผมทำไมครับ?”
“ฉันไม่ได้ให้รูปฉัน ..แต่ฉันให้ลายเซ็นของคนวาดนะ พี่เก็บเอาไว้เถอะ”
..
“รูมเมทพชรคนนี้เรียนวิศวกรรมเครื่องกล เขาชื่อ.. ม่อนแจ่ม ประดิษฐาพงศ์”“เพราะ.. คุณลดาอยากให้ลุงเก็บลายเซ็นคนวาดเอาไว้” แสงรวีเอ่ยตอบในที่สุด
..ลายเซ็นคนวาดม่อนแจ่มมองแผ่นกระดาษอีกครั้ง ..มุมขวาล่างกำกับตัวอักษรภาษาอังกฤษอย่างที่คุ้นตา ..อย่างที่คุ้นมือ
‘Mon Cham of Mechanical Engineering’“ทำไมครับ..”
ม่อนแจ่มถามโง่ๆ ทั้งที่รู้.. เขารู้อยู่แล้ว..
และบ้าจริง.. เขารู้ตัวด้วยว่ากำลังจะร้องไห้..
เขาวาดรูปนี้ตั้งแต่หลายเดือนก่อน.. แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมานี้..
“เพราะมันมีความหมายกับลุง ..มาก”
แสงรวีกัดริมฝีปาก อยากจะพูดให้เต็มปากเต็มคำ แต่มันไม่ไหว เขาพูดได้แค่นั้น..
“วันนี้ ไปพักผ่อนเสียก่อนเถอะนะ” บุรุษแว่นกรอบดำเอ่ยอย่างอาทร ขยับเข้าไปยืนตรงหน้าหนุ่มน้อย มือยกขึ้นบีบไหล่
“..ม่อนเหนื่อยเกินไปแล้ว”
ม่อนแจ่มไม่อยากจะดื้อ หน้าเรียวพยักรับง่ายๆ ขณะหัวใจเอ่อล้นด้วยความรู้สึกที่ยากเกินจะอธิบายจนกลายเป็นหยาดน้ำใสที่เอ่อคลอดวงตา ..แสงรวีเองก็เหมือนกัน
“กลับไปกินข้าวก่อน ม่อน ..ไปกินข้าวซะ”
“ครับ.. ครับลุงแสง ..ม่อนไปเดี๋ยวนี้”
ม่อนแจ่มยกมือไหว้ลา ร่างเล็กหันหลัง พร้อมๆกับที่น้ำหยดนั้นและอีกหลายๆหยดไหลพร่างพรูออกมา
เขาไม่อยากให้ลุงแสงเห็น ..และไม่แน่ใจว่าอยากเห็นของลุงแสง
จากก้าวยาวๆออกจากบ้าน ม่อนแจ่มวิ่ง วิ่ง ..และวิ่งทั้งสะอื้นฮัก
ท่ามกลางเงาตะคุ่มทั่วบริเวณ แสงไฟที่ส่องสว่างจากบ้านไม้ยกพื้นทำให้มองแจ่มมองเห็นร่างสูงที่ไม่มีทางจำผิดยืนคอยอยู่ ณ ชานบ้าน ..ที่เดียวและท่าเดียวกันกับตอนที่เขาหันหลังเดินจากมาเมื่อราวครึ่งชั่วโมงก่อน
..พชร.. ดวงหน้าเปื้อนหยาดน้ำเห็นชัดเจนเข้ามาเรื่อยๆในรัศมีแสงไฟนีออน ..เสียงหอบปนสะอื้นดังมาให้ได้ยินขณะร่างเล็กวิ่งขึ้นบันได
พชรขมวดคิ้วมอง มือที่กอดอกอยู่ก่อนหน้าละออก เพ่งมองม่อนแจ่ม เสียงเข้มเอ่ยถามทันที
“ม่อน ..เป็นอะไรไป?”
ทว่า คำตอบคือร่างกาย..
ร่างเล็กโผเข้าหาเขาทั้งตัว พชรชะงักไปเพียงเสี้ยววินาทีอย่างไม่เข้าใจ ทว่า มันไม่ต้องอาศัยความเข้าใจอะไรในการที่อ้อมแขนใหญ่จะโอบเอวให้ร่างกายอีกฝ่ายแนบชิดกับของตัวเอง
ฝ่ามือแกร่งลูบแผ่นหลังปราดเปรียวเบาๆ ..ไม่ถามอะไรอีก แค่ให้เวลา แล้วม่อนแจ่มก็จะพูดออกมาเอง
“ก..กูเคยวาดรูปการ์ตูนให้คุณน้าลดา ตอนท่านเอาลำไยไปให้ที่หอ..”
..
“รูปนั้นอยู่กับลุงแสง ..กูเห็นเมื่อกี๊”
..
“ลุงแสงบอกว่าคุณน้าลดาให้ เพราะว่าลายเซ็น ..ลายเซ็นคนวาดมีความหมายกับลุงแสง”
พชรรับฟังเสียงสั่นพร่าที่ดังมาจากในอกอย่างเข้าใจ อ้อมแขนแข็งแรงโอบกระชับยิ่งขึ้น
“กูหุงข้าวให้ลุงแสง ล..ลุงแสงบอกให้กูกลับมากินข้าว..”
..
“กูอยู่นี่ ..แล้วลุงแสง ..มีแค่ลายเซ็นที่กูเคยให้คุณน้าลดา”
คำพูดไม่ได้ปะติดปะต่อนัก แต่พชรไม่สับสน ..เขาเข้าใจ รับรู้ และรับฟัง
พักใหญ่.. ที่เพียงโอบกอดม่อนแจ่มเอาไว้อย่างนั้น ปลอบโยนให้คลายความหวั่นไหว
ก่อนค่อยๆผละออกมาเมื่อร่างเล็กหยุดสะอื้น นิ้วโป้งใหญ่ทั้งสองข้างสอดเข้าไปในกรอบแว่นแดง ปาดหยาดน้ำตาที่ยังคั่งค้างอยู่ออก
“แล้ว.. ม่อนจะเอากระดาษกับดินสอไหม?” พชรเอ่ยถามเสียงหนัก
ม่อนแจ่มสูดน้ำมูก ขมวดคิ้วนิดหนึ่งแล้วนิ่งไป ..ทบทวนสิ่งที่พชรหมายถึง
“เดี๋ยวกูหยิบให้นะ ..กระดาษกับดินสอน่ะ”
กระดาษ
กับ..
ดินสอ พชร..
ม่อนแจ่มปล่อยโฮอีกรอบและสอดแขนกอดเอวหนานั้นไว้แน่น
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
(ต่อรีฯถัดไป)