ตอนที่ 9 : คำขอบคุณ
เมื่อดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้ารถด่วนพิเศษขบวนที่ 14 ก็เคลื่อนขบวนเข้าหาความวุ่นวายที่กำลังจะเริ่มขึ้นในมหานครที่ใคร ๆ ก็ใฝ่ฝันอยากจะเข้ามาอยู่ เมื่อพนักงานรถไฟขานชื่อสถานีปลายทางผู้คนที่โดยสารมากับขบวนรถก็เตรียมตรวจสอบสัมภาระต่าง ๆ ที่นำติดตัวมาตามคำแนะนำของพนักงานรถไฟ ทันทีที่รถไฟจอดเทียบชานชาลาที่สถานีหัวลำโพงซึ่งเป็นสถานีปลายทางประตูรถก็เปิดออก ความโกลาหลเร่งรีบก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งราวกับกำลังก้าวเข้าไปในสายการผลิตที่ต้องทำงานแข่งกับเวลา เสียงประกาศจากสถานีดังแทรกเสียงเครื่องจักรรถไฟคละเคล้าไปกับเสียงยวดยานที่สัญจรไปมาฟังอื้ออึงเสริมให้ทุกอย่างรอบตัวดูวุ่นวายไปหมด เต็มฟ้าก้าวลงจากขบวนรถคิดจะหลบลี้หนีจากความอลหม่านจึงมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน แต่นั่นก็ไม่ใช้ความคิดที่ดีนักสำหรับชั่วโมงเร่งด่วนเช่นนี้ แม้จะเป็นสถานีต้นทางแต่คนรอโดยสารก็หนาตาทีเดียวเนื่องจากเป็นสถานีที่เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟ เมื่อประตูรถไฟฟ้าใต้ดินเปิดออกผู้คนจำนวนมากก็ต่างกรูเข้าไปหาที่นั่งทันที
ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปยืนในขบวนรถ ที่ฝั่งตรงข้ามของช่วงรอยต่อขบวนคือหญิงสาวในชุดนักศึกษาดูเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน มือหนึ่งถือกระเป๋าผ้าใส่ตำราและสมุดจดส่วนอีกมือหนึ่งถือเอกสารที่น่าจะสำเนามาอีกทอดหนึ่ง บางบรรทัดก็ขีดทับด้วยปากกาไฮไลต์เพื่อเน้นในส่วนที่สำคัญ เห็นแล้วก็ทำให้คิดถึงช่วงเวลาของการเรียนขึ้นมาขึ้นมาทันที หากวันไหนจะสอบคืนนั้นก็จะมีแรงฮึดผิดปกติสามารถอ่านหนังสือได้ยันสว่าง แต่หากวันไหนเรียนตามปกติก็แทบจะไม่อยากตื่นไปเรียนเลย แต่วันนี้...เช้าวันแรกของการไม่ต้องไปเรียนหนังสือมันทำให้รู้สึกเคว้งคว้างแปลก ๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยโหยหาอิสระอยากจะเรียนจบและมีทำงานไว ๆ แต่พอต้องก้าวเข้าสู่ชีวิตการทำงานจริง ๆ กลับนึกอยากจะกลับไปเรียนอีกครั้ง
ยิ่งรถไฟฟ้าใต้ดินเคลื่อนห่างจากสถานีหัวลำโพงมากขึ้นเท่าไรผู้โดยสารก็ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นเท่านั้น พักใหญ่ ๆ ก็มาถึงสถานีหนึ่ง ชายหนุ่มขยับตัวเบียดเสียดผู้คนมายืนรอที่หน้าประตูและเขาก็พบว่าสาวน้อยในชุดนักศึกษาคนนั้นก็ลงที่สถานีเดียวกับเขาด้วย เมื่อประตูเปิดออกร่างสูงก็เดินปะปนไปกับบรรดาหนุ่มสาววัยทำงานจนกระทั่งมาถึงที่หน้าประตูทางออกของสถานีพลันสายตาก็ปะทะเข้ากับร่างสูงผิวคล้ามแดดที่ยืนหันหลังอ่านแผ่นที่อยู่ไกล ๆ รู้สึกคุ้นกับท่าทางของเขาเสียเหลือเกิน เต็มฟ้าเดินเข้าไปใกล้ในที่สุดรอยยิ้มแรกของวันก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า แม้จะเห็นแค่เสี้ยวหน้าแต่ก็จำได้ ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปากก่อนจะเดินตรงเข้าไปเอื้อมมือตบลงที่ศีรษะทุย ๆ ของร่างสูงอย่างแรง
“อื้อหือ...ใครวะ..เจ็บนะโว้ย!” มือหนากุมที่ศีรษะพร้อมกับหันขวับกลับมาเพราะเกรงว่าคนลงมือจะหนีไปเสียก่อน แต่ที่ไหนได้เมื่อหันกลับมาก็พบว่าเจ้าของมือที่โบกเข้าเต็มแรงเมื่อสักครู่ยังคงยืนยิ้มให้โดยไม่มีทีท่าว่าจะหนีไปไหน
“หูยยยย ไอ้เต็ม เจ็บนะโว้ย! ตบมาได้” กีรติบ่นพลางลูบศีรษะตัวเองป้อย ๆ
“ตัดผมแล้วค่อยตบถนัดมือหน่อย”
“เออ เพิ่งไปตัดมาเมื่ออาทิตย์ก่อน เป็นไงบ้าง ดูดีไหม”
คนถูกถามกอดอกหรี่ตามองสำรวจอีกฝ่ายก่อนจะพยักหน้า ผมทรงเดทร็อคที่อยุ่ประคบประหงมมาหลายปีตอนนี้ถูกตัดเป็นแบบรองทรงสั้นรับกับใบหน้าคมเข้มดูสะอาดสะอ้านขึ้นผิดหูผิดตา
“ของมันแน่อยู่แล้ว อย่างนี้แหละคนมันหน้าตาดี”
“เออ ถ้าคิดแบบนั้นแล้วสบายใจก็คิดไปเถอะ”
“อ้าว...ไอ้เต็ม ทำไมพูดแบบนี้วะ” กีรติขมวดคิ้วนึกทบทวนในสิ่งที่เพื่อนพูด ตกลงที่อุตส่าห์ยอมกัดฟันตัดผมนี่มันดีหรือไม่ดีกันแน่ ในที่สุดความคิดก็ต้องหยุดลงมื่อมือของอีกฝ่ายตบเบา ๆ ที่หัวไหล่
“ไปเถอะ”
เจ้าของร่างสูงพยักหน้าก่อนจะเดินนำไปยังบันไดเลื่อน
“จริง ๆ ไม่ต้องมารับก็ได้” เต็มฟ้าเอ่ยขึ้นขณะก้าวลงบันไดสถานีรถไฟฟ้า ตาคมมองไปรอบ ๆ พบว่าเป็นภาพที่ไม่คุ้นตาเสียเท่าไรนัก มีทั้งทางยกระดับ ตึกสูง ๆ และรถราจำนวนมาก
“ก็กลัวแกหาไม่เจอ หอที่หาได้มันเดินเข้าซอยไปลึกหน่อย”
“ไม่ใช่เด็กแล้วนะโว้ย แค่เดินหาหอทำไมจะหาไมเจอ”
“ครับ ๆ คุณชายเต็ม หยุดเห่าสักทีเถอะครับ ผมรำคาญ” กีรติกล่าวพลางล้วงมือจกกระเป๋ากางเกงยีนส์ขาด ๆ พร้อมกับผิวปากอย่างอารมณ์ดีเดินนำเพื่อนรักไปตามฟุตบาทก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในซอยแคบ ๆ ที่ขนาบด้วยหอพักจนกระทั่งมาถึงหอพักสภาพกลางเก่ากลางใหม่ที่อยู่ท้ายซอย
“แกมาเจอที่นี่ได้ยังไงวะ” เต็มฟ้าถามขณะเงยหน้าขึ้นมองอาคารสูง 5 ชั้นตรงหน้า
“แถวนี้มันดูแออัดไปหน่อย แกพออยู่ได้ไหมวะ” อยู่ ๆ ร่างสูงก็ถามขึ้นขณะกดลิฟท์
“ได้สิ แย่กว่านี้ยังอยู่มาแล้วเลย”
กีรติมองดวงหน้าเรียบเฉยนั้นรู้ดีว่าเพื่อนหมายถึงอะไรจึงคิดที่จะเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้บรรยากาศคลี่คลายขึ้น “เห็นว่ามันอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน นั่งไปต่อบีทีเอสเดี๋ยวก็ถึงที่ทำงาน อีกอย่างก็คือมันถูกด้วย เดี๋ยวเอาไว้ได้เงินเดือนเมื่อไรค่อยคิดขยับขยายก็แล้วกัน”
คนฟังพยักหน้าพลางมองตัวเลขดิจิทัลที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ในสุดลิฟท์ก็มาเปิดออกที่ชั้นสาม สองหนุ่มพากันเดินไปตามทางเดินแคบ ๆ ดูทึม ๆ มีเพียงโคมไฟนีออนสีนวลที่ให้แสงสว่างเป็นระยะ ๆ
เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องเต็มฟ้าก็ถอดเป้วางกับพื้นก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงที่ยังคงปูผ้าเรียบร้อยส่วนกีรติก็เดินอ้อมไปนั่งบนเตียงของตัวเองจ้องมองเพื่อนรักที่กำลังลืมตามองเพดานว่างเปล่า
“พ่อแกว่ายังไงบ้าง” เจ้าริมฝีปากหยักตัดสินใจถามขึ้น
“ไม่ว่ายังไง ที่ผ่านมาพ่อก็ไม่เคยขัดใจอะไรอยู่แล้ว แต่ลึก ๆ ก็คงอยากให้กลับไปอยู่บ้านนั่นแหละ”
“แล้วตัวแกเองล่ะ คิดยังไง”
เต็มฟ้าไม่ได้ตอบอะไรในทันทีแต่กลับค่อย ๆ หลับตาลงพลางยกมือขึ้นก่ายหน้าผากราวกับใช้วามคิดทบทวนบางสิ่งบางอย่างจนในที่สุดริมฝีปากอิ่มก็ขยับอีกครั้ง
“ตัดสินใจไปแล้วก็ตามนี้”
“ตามใจแกก็แล้วกัน แต่ถ้าวันไหนก็อยากกลับไปละก็ ไปได้เลยนะไม่ต้องเกรงใจพวกฉัน” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าลากเอาลังกระดาษใบหนึ่งออกมา “ของที่แกแยกเอาไว้น่ะ ฉันส่งไปรษณีย์กลับไปให้ที่บ้านแกตั้งแต่เมื่อวันก่อนที่ย้ายของออกจากหอเดิมแล้วนะ จะมีก็ไอ้กล่องใบนี้แหละ” พูดจบก็เดินมาวางไว้ที่โต๊ะข้างหัวนอนก่อนจะกลับไปนั่งที่เตียงหยิบรีโมตเปิดทีวี
เต็มฟ้าลืมตาพร้อมกับยันตัวลุกขึ้นก่อนจะเอื้อมมือหยิบกล่องใบนั้นมาวางบนตัก ข้างในมีทั้งดินสอดำสำหรับวาดรูป พู่กัน และไดอารีเก่า ๆ เล่มหนึ่ง...
....
ตามตะวันยืนเกาะขอบประตูห้องนั่งเล่นมองพ่อของตนเองที่กำลังนั่งลูบ ๆ คลำ ๆ กล่องกระดาษที่ให้คนงานรื้อออกมาจากห้องเก็บของ ดวงตาเศร้าหมองของผู้เป็นพ่อทำให้อดที่จะรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้ พ่อเลี้ยงตรัยเงยหน้าขึ้นมองลูกชายพลางยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเรียกเขาเข้ามานั่งใกล้ ๆ เด็กชายตามตะวันเดินเข้ามานั่งลงที่โซฟาข้าง ๆ ผู้เป็นพ่ออย่างว่าง่ายมองกล่องกระดาษที่วางอยู่ตรงหน้าก่อนจะเอื้อนเอ่ยคำถามที่ยังคงค้างอยู่ในใจออกมา
“ในกล่องใบนี้มีอะไรเหรอครับพ่อ”
ชายวัยกลางคนยิ้มอย่างอ่อนโยนพร้อมกับเอื้อมมือลูบศีรษะลูกชายเบา ๆ “กล่องใบนี้ไม่มีอะไรนอกจากความรักของพี่ชายคนหนึ่ง” ดวงตาของพ่อยังคงทอดมองมาที่ดวงหน้าเล็ก ๆ ที่บ่งบอกว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังพูด
“ลูกลองเปิดดูสิ”
ตามตะวันสบตาผู้เป็นพ่ออย่างลังเลเพราะเห็นว่านั่นคือของของพี่ชาย แต่ด้วยความที่อยากจะรู้ว่าข้างในนั้นมีอะไรอยู่ มือเล็กก็ค่อย ๆ เอื้อมเปิดฝากล่องออก ข้างในเป็นชุดกระโปรงสีฟ้าสำหรับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ไม่เห็นว่าจะเกี่ยวอะไรกับที่พ่อบอกเลยแม้แต่น้อย
พ่อเลี้ยงตรัยขยับนั่งตัวตรงพลางโอบไหล่ลูกชายคนเล็กเอาไว้ “ชุดนี้น่ะพี่ตามเขาเก็บเงินซื้อเพื่อจะให้เป็นของขวัญวันเกิดน้องสาว ถึงขนาดไม่ยอมกินขนม ไม่ซื้อของเล่นที่อยากได้ ใครถามว่าเก็บเงินไปทำไมก็ตอบว่าจะซื้อชุดสวย ๆ ให้น้องสาว พอรู้ว่าอีกไม่กี่วันแม่จะคลอดน้องก็รบเร้าให้พ่อพาไปตลาดจัดการเลือกแบบเลือกสีเองเสร็จสรรพ คอยแต่ละนับวันว่าเมื่อไรจะได้เห็นหน้าน้อง”
“น้องสาวเหรอฮะ” ริมฝีปากบางทวนคำของผู้เป็นพ่อ
“อืม..พี่เราเขาอยากมีน้องสาวมาก ตอนนั้นพ่อกับแม่ก็ผิดเองที่ไม่ได้บอกให้รู้ว่าน้องเป็นผู้ชาย เห็นเขากำลังเห่อ”
เด็กชายนิ่งเงียบไปเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากผู้เป็นพ่อ เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าพี่ชายอยากจะมีน้องสาว หรือที่พี่เต็มไม่ชอบเขาอาจเป็นเพราะเหตุผลนี้
“แล้วพ่อจะเอามันไปไหนครับ”
พ่อเลี้ยงตรัยถอนหายใจเบา ๆ พลางปิดฝากล่องลง “ในเมื่อเจ้าของเขาเอาแล้วพ่อก็คงต้องให้คนอื่น อาจจะให้ลูกคนงานเผื่อเขาจะเอาไปใช้ได้”
“ถ้าอย่างนั้น...ตามขอได้ไหมฮะ”
ผู้เป็นพ่อมองลูกชายอย่างแปลกใจก่อนจะพยักหน้าอนุญาตในที่สุด แม้จะไม่เห็นประโยชน์ของการเก็บเอาไว้แต่อย่างน้อยมันก็น่าจะดีที่ของขวัญซึ่งถูกเก็บมาสิบกว่าปีจะถูกส่งถึงมือผู้รับ
หนุ่มน้อยตามตะวันกอดกล่องกระดาษที่ข้างในมีชุดกระโปรงสีฟ้าเอาไว้แน่นขณะเดินกลับมาที่ห้องนอนของตนเอง ถึงแม้จะรู้สึกน้อยใจบ้างเมื่อได้รู้จากพ่อว่าพี่ชายซื้อเตรียมเอาไว้ให้น้องสาว แต่มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้ว่าพี่ชายยินดีกับการมีเขามาเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัวแม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ตาม
เมื่อประตูห้องถูกปิดลงเด็กชายผู้เป็นเจ้าของห้องก็เดินมาทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงก่อนจะเปิดฝากล่องหยิบชุดกระโปรงสีฟ้าขึ้นมากางดูอีกครั้ง หนุ่มน้อยล้มตัวลงนอนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากตนเองเกิดมาเป็นเด็กผู้หญิงคงจะได้สวมชุดที่พี่ชายซื้อให้และคงจะได้จับมือวิ่งเล่นไปด้วยกัน
....
เช้าวันแรกของการทำงานกีรติ เต็มฟ้าและดุ่ยนัดพบกันที่หน้าอาคารสูงยี่สิบห้าชั้นซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทครีเอทีฟสตูดิโอซึ่งเป็นบริษัทรับออกแบบที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง หลังจากเข้าพบกับหัวหน้าฝ่ายบุคคลแล้วพวกเขาก็ถูกพาไปแนะนำตามแผนกต่าง ๆ ของบริษัท
“กรี๊ด!” เสียงของหญิงสาวร่างอวบที่ยืนหายใจหอบอยู่หน้าประตูทำให้บรรดาเหล่านักออกแบบที่กำลังนั่งก้มหน้าก้มตาทำงานกันอย่างเงียบ ๆ ต้องเงยหน้าขึ้นมองมายังต้นเสียงเป็นตาเดียว
“อะไรของแกวะยัยแนนนี่” ร่างสูงที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของห้องเอ่ยขึ้นเมื่อเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะเขียนแบบ ถือโอกาสนี้เอนหลังลงกับพนักพิงพลางถอดแว่นเพื่อพักสายตาไปในคราวเดียวกัน
“ก็เมื่อกี้ฉันแวะไปคุยกับน้องดาวคนที่ทำบัญชีนั่งห้องฝ่ายบุคคลน่ะ เจอพนักงานใหม่อ่ะแกแต่ละคน หล่อ เข้ม น่ารัก เห็นแล้วหัวใจมันกระชุ่มกระชวย” กล่าวพลางกวาดสายตามองแต่ละหนุ่มที่นั่งอยู่ในห้อง “ไม่เหมือนเห็นหน้าแก่ ๆ อย่างพวกแก” พูดจบดีไซเนอร์สาวก็เดินมานั่งที่โต๊ะทำงานของตนเอง
“อ้าว ๆ น้อย ๆ หน่อยยัยแน่น”
“แนนนี่ย่ะไอ้พัฒน์แกเรียกให้มันถูกหน่อย”
“เป็นหมูกินหยวกกล้วยดี ๆ ไม่ชอบ ริจะเป็นวัวแก่ ๆ แทะเล็มหญ้าอ่อน ฟันฟางจะหักหมดปากแล้วยังไม่เจียมตัว”
“ไอ้พัฒน์!” ไม่พูดเปล่า กลับมีแฟ้มเอกสารลอยตามเสียงมาจนคนแซวหลบแทบไม่ทัน
เจ้าของร่างสูงได้แต่ส่ายหน้าช้า ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจปล่อยให้สงครามย่อม ๆ ยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งประตูห้องทำงานเปิดออกอีกครั้งทุกอย่างจึงสงบลง เมื่อสายสุนีย์ย์ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบุคคลพาพนักงานใหม่มาแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก
“วันนี้พี่มีน้องใหม่มาแนะนำให้รู้จักจ้ะ” เธอกล่าวพลางหันไปยิ้มกับสามหนุ่มที่ยืนทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ข้างหลัง “ห้องนี้มีแต่พวกพี่ ๆ ซีเนียร์เขี้ยวลากดินทั้งนั้นมีอะไรก็ปรึกษาได้นะจ๊ะ พี่ผู้ชายไว้พุงนั่นน่ะชื่อพี่พัฒน์จ้ะ ส่วนสาวเปรี้ยวหนึ่งเดียวในห้องของเราชื่อพี่แนนนี่ ด้านหลังคนที่ไม่ค่อยอยากจะลืมตามองโลกนั่นพี่กอล์ฟ ส่วนที่นั่งชะตาขาดเพราะงานไม่เสร็จชื่อพี่เอก แล้วก็คนที่หล่อที่สุดในห้องชื่อพี่ตังจ้ะ”
สิ้นเสียงหัวหน้าฝ่ายบุคคลสามหนุ่มก็พากันยกมือไหว้ทักทายพนักงานรุ่นพี่ทุกคนที่อยู่ในห้อง
“โห่! พี่นีน่ะแนะนำพี่ตังดีอยู่คนเดียว” หนุ่มหน้าตี๋ที่นั่งอยู่หลังห้องเอ่ยขึ้น
“ก็น้องตังของฉันน่ะหล่อที่สุดในห้องจริง ๆ นี่ยะ”
ดีไซเนอร์หนุ่มร่างท้วมที่ยืนฟังอยู่นานกดยิ้มที่มุมปากก่อนจะเดินมายืนข้าง ๆ เพื่อรักพลางยกมือที่สวมแหวนของเขาขึ้นให้คนพูดเห็น “ของพี่ที่ไหนละครับพี่นี ไอ้ตังน่ะมันมีเจ้าของแล้วนะ”
“แกไม่ต้องมาตอกย้ำฉัน เห็นแล้วมันบาดตาบาดใจ” พูดจบสายสุนีย์ก็กอดอกมองค้อนร่างสูงที่เอาแต่ยืนยิ้ม
“พี่นีทำไมมองผมอย่างนั้นล่ะครับ” ตฤณกรกล่าวพลางยกมือขึ้นเกาศีระษะแก้เก้อ
“พี่เสียใจที่น้องตังไม่เลือกพี่” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงงอน ๆ ซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะจากคนที่อยู่ในห้องได้ไม่น้อย
“ว่าแต่น้อง ๆ ชื่ออะไรกันบ้างคะพี่นี” แนนนี่ถามแทรกขึ้นแววตาเป็นประกาย
“คนตัวสูงนี่ชื่อน้องเก้จ้ะ ส่วนอีกคนชื่อน้องเต็ม แล้วก็นี่น้องดุ่ย น้อง ๆ เขาจะนั่งห้องเดียวกับนายกบทำในส่วนของการออกแบบกราฟิกสื่อโฆษณาของบริษัทเราจ้ะ”
“แหม..มีตั้งแต่สูงใหญ่ไปจนถึงฉบับกระเป๋าเลยนะคะ” สาวตุ้ยนุ้ยกล่าวพร้อมกับส่งสายตาวิบวับให้หนุ่ม ๆ
“ฉันว่ายัยแนนนี่มันไปห้องไอ้กบทุกวันแน่เลยว่ะ” พัฒน์กระซิบบอกเพื่อน ๆ
“อะไรยะไอ้พัฒน์ฉันได้ยินนะแก” คนถูกพาดพิงค้อนขวับก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้พนักงานน้องใหม่ “ฉันน่ะเดินทักทายทุกห้องเป็นปกติอยู่แล้วจ้ะ”
ตฤณกรส่ายหน้าน้อย ๆ พลางยิ้มให้สามหนุ่มที่ดูเหมือนจะเริ่มผ่อนคลายลงเมื่อเทียบกับตอนแรกที่ได้พบกัน “มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาพวกพี่ได้นะ บริษัทเราอยู่กับแบบพี่ ๆ น้อง ๆ คุยได้ทุกคนแหละ”
“คร้าบบบบบ ขอบคุณคร้าบบบบ” เด็กหนุ่มสามคนต่างก็กล่าวขึ้นโดยพร้อมเพรียงกันก่อนจะร่ำลาทุกคนเพื่อไปยังแผนกถัดไป
ครึ่งวันทำงานของเต็มฟ้าหมดไปกับการถูกพาไปแนะนำให้ฝ่ายต่าง ๆ ได้รู้จัก กว่าจะได้กลับมานั่งในห้องทำงานก็ใกล้เที่ยงแล้ว
“เฮ้ย! กินข้าวกันน้อง ๆ” คนที่นั่งอยู่ด้านในสุดเอ่ยพร้อมกับลุกขึ้นมาตบไหล่กีรติและเต็มฟ้าที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กัน
“ใครน้องเอ็งวะ” ชายหนุ่มร่างเล็กที่นั่งเต๊ะท่าอยู่ห่าง ๆ เอ่ยขึ้น
“ข้าพูดกับน้องเต็มน้องเก้โว้ย ไม่ได้พูดกับไอ้แพะแคระอย่างแก”
“หูย! ไอ้กบ นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นหัวหน้างานจะตบให้หน้าม้าแตก” ดุ่ยกล่าวพลางหันไปบ่นกับเพื่อนอีกสองคน “นี่แหละเป็นเหตุผลให้ข้าไม่อยากมาทำงานที่นี่”
“อ้าวไอ้นี่ มีงานให้ทำแล้วยังจะบ่น” พูดจบกบก็ยื่นมือไปตบลงบนศีรษะทุย ๆ ของดุ่ยเบา ๆ
“ไอ้กบ พอ ๆ เดี๋ยวข้าฉี่รดที่นอน” หนุ่มร่างเล็กพยายามใช้มือปัดป้องก่อนจะรีบลุกขึ้น
“แล้วนี่พี่กบกับไอ้ดุ่ยไปยังไงมายังไงถึงได้รู้จักกันครับ” ชายหนุ่มผิวคล้ามแดดเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย
“อ๋อ...พี่กับมันน่าเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียนโรงเรียนช่างแล้วละ แต่มันน่ะเปลี่ยนที่เรียนไปเรื่อย เรียนได้ไม่ถึงปีก็ออก ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนทำไมนัก”
“ความซวยเลยตกมาอยู่ที่พวกผม” เต็มฟ้ากล่าวหน้านิ่ง
“อ้าว..ไอ้เต็ม มีเพื่อนแบบพี่ดุ่ยน่ะถือว่าเป็นมหากุศลนะครับ”
“มหากุศลตรงไหนวะ” อีกฝ่ายยังคงไม่ยอมแพ้
“เออ ๆ เลิกกัดกันได้แล้ว จะไปกินข้าวก็ไป หิวแล้ว” กีรติกล่าวพร้อมกับลุกขึ้น จากนั้นทั้งสี่หนุ่มก็ขึ้นไปที่ฟู้ดคอร์ทบนชั้นสูงสุดของตึก
เต็มฟ้ามองตามหัวหน้างานของเขาที่เดินแยกไปซื้ออาหารและไปนั่งร่วมโต๊ะพูดคุยกับสาว ๆ ฝ่ายบุคคลอย่างสนิทสนม หลังจากที่ได้อาหารแล้วชายหนุ่มก็กลับมานั่งลงที่โต๊ะซึ่งเพื่อน ๆ นั่งอยู่ก่อนแล้วพลางมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่หยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงพบว่ามีข้อความหนึ่งถูกส่งมาจากใครบางคนที่กำลังนึกถึงอยู่พอดี
‘ยินดีด้วยสำหรับงานใหม่นะ เย็นนี้เจอกันหน่อยนะครับ’
เมื่ออ่านข้อความจบพลันรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าจนที่นั่งข้าง ๆ กันอดถามไม่ได้
“ยิ้มอะไรครับน้องเต็ม”
เต็มฟ้ารีบหุบยิ้มก่อนจะหรี่ตามองหนุ่มเคราแพะที่กำลังยื่นหน้าเข้ามาอย่างอยากรู้อยากเห็นก่อนจะโดนผลักออกไปในที่สุด
“ไอ้เต็ม ผมพี่ดุ่ยเสียทรงหมด” ดุ่ยบ่นพร้อมกับใช้มือจัดทรงผมให้เข้าที่แต่ก็ไม่วายยืนหน้าเข้าไปให้ถูกด่าอีกครั้ง
“ใครใช้ให้ยุ่งวะ”
“แหม..ทำเป็นมีความลับ อ่านข้อความแล้วยิ้มแบบนี้ข้าว่ามีคนเดียวแหละ ไอ้หมอชัวร์” พูดจบก็หันไปขอความเห็นจากคนผิวเข้มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กัน
“จะเหลือ” กีรติตอบพลางตักข้าวเข้าปาก
เต็มฟ้ามองเพื่อนรักทั้งสองที่วันนี้ดูจะเข้าขากันผิดปกติก่อนจะตัดสินใจตัดบท “เออ กิน ๆ ไปอย่าพูดมาก” พูดจบก็หงุดหงิดกลบเกลื่อนก่อนจะเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋าแล้วลงมือรับประทานอาหารเงียบ ๆ โดยไม่ได้สนใจสายตาของเพื่อน ๆ ที่กำลังมองมาอย่างจับผิด
เย็นวันนั้นยุทธภูมิมารอพบเต็มฟ้าที่หน้าบริษัทก่อนจะพากันไปที่สวนสาธารณะที่เคยไปด้วยกันบ่อย ๆ สองคนเดินไปนั่งบนผืนหญ้าใกล้บันไดซึ่งทอดตัวลงสู่สระน้ำกว้างใหญ่
“ทำงานวันแรกเป็นยังไงบ้าง”
“เหมือนไม่ได้ทำเลย แค่ถูกพาไปแนะนำให้คนทั้งบริษัทรู้จักก็ปาเข้าไปครึ่งวันแล้ว”
“แล้วมีใครมาจีบหรือเปล่า”
เต็มฟ้าหันไปสบตาเจ้าของทำถามก่อนจะหัวเราะ “ใครจะจีบ”
“ไม่รู้ไง ก็เต็มของเราน่ารัก เราก็กลัวไว้ก่อน” ยุทธภูมิกล่าวด้วยแววตาเป็นประกายในขณะที่คนฟังได้แต่หลบสายตาโดยการทอดมองเงาสะท้อนของตึกสูงบนผิวน้ำที่ราบเรียบราวกับกระจกใสก่อนจะยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจพร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ
“เหนื่อยเหรอ”
“เปล่าหรอก แค่ยังไม่ชินน่ะ กลับไปบ้านเสียนาน พอกลับมากรุงเทพฯ อีกครั้งก็เลยรู้สึกว่าทุกอย่างมันดูวุ่นวายไปหมดไม่เหมือนตอนอยู่ที่บ้าน”
มือหนายกขึ้นวางบนศีรษะของคนที่นั่งข้าง ๆ กันก่อนจะยิ้มให้อย่างอ่อนโยนมองอีกฝ่ายให้เต็มตา นานเหลือเกินที่ไม่ได้พบกัน เพราะตัวเขาเองก็มีภารกิจด้านการเรียน ส่วนเต็มฟ้าก็กลับไปอยู่บ้านที่จังหวัดลำปาง นาน ๆ จะได้มีโอกาสโทรศัพท์คุยกันสักครั้ง
“ข้างนอกอากาศไม่ดี รถก็ติด ชวนให้ไปที่ห้องเราก็ยอมหรือว่าเต็มไม่ไว้ใจเรา”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” เต็มฟ้าหันกลับมามองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายซึ่งกำลังเงยหน้าขึ้นมองนกฝูงใหญที่กำลังบินผ่านไปบนท้องฟ้ายามเย็นที่กำลังเปลี่ยนสี
“บางครั้งเราก็รู้สึกนะว่าเรายังรู้จักเต็มไม่ดีพอ ไม่รู้ว่าเพราะเรามีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยไป หรือว่าเต็มยังไม่เปิดโอกาสให้เราได้รู้จักเต็มจริง ๆ กันแน่”
เมื่อได้ฟังความในใจของยุทธภูมิเต็มฟ้าก็ได้แต่นั่งนิ่ง รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ถะ...ถ้าอย่างนั้น เราไปเที่ยวกันไหม”
ประโยคสั้น ๆ ที่ผ่านออกมาจากริมฝีปากบางเฉียบทำเอาคนฟังรู้สึกแปลกใจไม่น้อย
“เต็มอยากไปไหน”
“ที่ไหนก็ได้ เราให้ภูมิเลือก”
“ถ้าอย่างนั้นไปเยาวราชนะ วันเสาร์นี้เราว่างพอดี เดี๋ยวเย็น ๆ เราไปรับนะ จะได้ไปหาอะไรอร่อย ๆ กิน แล้วก็ไปเดินเล่นด้วยกัน”
“อืม ได้สิ” เต็มฟ้าตอบยิ้ม ๆ ในขณะที่คนฟังเองก็ยิ้มจนแก้มแทบปริเช่นกัน
ดังนั้นในตอนบ่ายของวันเสาร์ยุทธภูมิจึงมารับเต็มฟ้าที่หอพักเพื่อไปเที่ยวด้วยกันตามที่ได้ตกลงกันเอาไว้
“ที่นี่ไม่เห็นจะน่าอยู่เลยนะเต็ม เราบอกให้เต็มไปอยู่กับเราก็ไม่เอา” คนยืนรอบ่นพลางมองไปรอบ ๆ บริเวณที่เต็มไปด้วยอะพาร์ตเมนต์และหอพักราคานักศึกษา
“ตอนนี้เพิ่งทำงาน ก็ต้องอยู่แบบนี้ไปก่อน คุยกับเก้ไว้ว่าอีกหน่อยมีเงินมากขึ้นค่อยหาทางขยับขยายก็ได้ อีกอย่างที่นี่ก็ใกล้สถานีรถไฟฟ้า ของกินก็มีเยอะแยะ”
“แต่ว่า....”
“อย่าทำหน้าแบบนี้สิ วันนี้เราจะไปเที่ยวกันนะ”
“ก็ได้ครับ” ยุทธภูมิฝืนยิ้มแม้จะรู้สึกไม่ชอบใจนักกับที่อยู่ใหม่ของเต็มฟ้ารวมถึงเมื่อได้ยินชื่อเพื่อนร่วมห้องของเขา
....
เต็มฟ้าทอดสายตามองดูตึกแถวรูปทรงแปลกตาจากหน้าต่างรถโดยสารปรับอากาศ ในที่สุดคนที่นั่งข้าง ๆ ก็สะกิดให้ลง ทันทีที่รถโดยสารปรับอากาศเคลื่อนออกจากป้ายหยุดรถ เต็มฟ้าก็พบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ในชุมชนคนจีนขนาดใหญ่ ถนนทั้งสายดูแน่นขนัดไปด้วยป้ายชื่อห้างร้านและห้างทองจำนวนมากเหมือนกับที่เคยเห็นตามหน้านิตยสารหรือในรายการทีวีไม่มีผิด
“ไปเถอะเต็ม เวลามีน้อย ถ้าเต็มอยากแวะตรงไหนละก็บอกเราได้เลยนะ” คนเดินนำหน้ากล่าวในขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินไปในตรอกแคบ ๆ ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่เดินจับจ่ายซื้อของ
เต็มฟ้าพยักหน้า ปลายจมูกสัมผัสได้ถึงกลิ่นสมุนไพรจากร้านขายยาจีนที่มีอยู่ทั่วไปในขณะที่หูก็ได้ยินทำนองจีนเก่า ๆ ภาษาที่ใช้ในสื่อสารก็มีทั้งภาษาจีนและภาษาไทยนับว่าการมาเยาวราชในครั้งนี้ทำให้ได้เห็นวัฒนธรรมของคนสองเชื้อชาติที่ผสมผสานกันอย่างกลมกลืนและลงตัว
(มีต่อค่ะ)