บทที่ 1
ครามชอบดื่มกาแฟ เขาชอบกลิ่นกาแฟคั่วบดหอม ๆ มันทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ไม่เพียงเท่านั้น เขายังชอบที่จะเรียนรู้ว่าจะดูแลเจ้าเมล็ดกาแฟแต่ละสายพันธุ์ให้ออกมามีรสชาติดีได้อย่างไร
ลูกค้าของร้านกาแฟเชนใหญ่ยักษ์จากต่างประเทศในมหาวิทยาลัยคลาคล่ำด้วยลูกค้าผู้มีทุนทรัพย์เสมอ โชคดีที่วันอาทิตย์คนน้อยหน่อย หน้าบาร์ไม่ได้มีคิวยาวเฟื้อยเหมือนเคย ช่วงเวลาบ่ายสองโมงอากาศด้านนอกร้อนระอุ ครามรู้สึกถึงไอร้อนวูบยามประตูกระจกถูกผลักเข้ามา ลูกค้าคนนี้อายุเกินกว่าจะเป็นนักศึกษา
“อะเมริกาโน่เย็น ไซส์ทอลครับ” เสียงนุ่มนวลของเขาชวนให้พนักงานสาวหันมา ครามยิ้มให้เขาตามมารยาท ปฏิเสธไม่ได้ว่าเจ้าของใบหน้าสลักเสลาไม่ชวนมอง
“ขอทราบชื่อลูกค้าด้วยครับ” ครามหยิบแก้ว แกะปลอกปากกา
“ผมชื่อธาริต” พนักงานหนุ่มเสหลบตา ครามจรดปากกาลงบนผิวพลาสติก ยอมรับว่ามือสั่นน้อยๆ จนเผลอพลาดไปขีดเป็นเส้นเอียง ๆ ข้างชื่อ
แต่เพราะไม่ต้องการให้มีร่องรอยความผิดพลาด เขาจึงลากเส้นต่อ เติมให้เป็นรูปหน้ายิ้มง่าย ๆ
“แล้วคุณล่ะ ชื่ออะไร”
“เอ่อ... ผม?” ครามชี้นิ้วที่ตัวเอง ทวนคำถามอย่างไม่แน่ใจ
“ครับ ชื่อคุณ” ธาริตพยักหน้า ยิ่งเขายิ้มกว้างขึ้นเท่าไหร่ สติสัมปชัญญะของครามก็หดหายลงเท่านั้น
“ครามครับ” บาริสต้าหนุ่มซ่อนยิ้ม แต่ที่ซ่อนไม่มิดเห็นจะเป็นใบหน้านวลขึ้นสี แทนที่จะส่งแก้วให้เพื่อนข้าง ๆ กลายเป็นส่งให้เขาเสียอย่างนั้น
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ธาริตส่งแก้วเปล่ากลับคืนพนักงานที่รอชง โชคดีที่ไม่มีใครต่อท้าย ร่างสูงขยับไปคอยเครื่องดื่มของตัวเองโดยไม่ได้หันมองมาอีก
แรงถีบเล็ก ๆ ที่บริเวณหน้าท้องทำให้คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวลืมตาขึ้นโดยพลัน เมื่อก่อนเขาหลับลึกเป็นตายประเภทที่ว่าเอาช้างมาลากก็ยังไม่รู้จะลุกหรือเปล่า แต่เมื่อมีลูกเขากลายเป็นคนตื่นง่ายไปโดยปริยาย ตอนคลอด น้องคีนตัวเล็กนิดเดียว ครามกลัวว่าจะนอนทับลูกเข้า จึงระแวงมาจนทุกวันนี้
ครามเอื้อมมือเปิดไฟหัวเตียง เห็นน้องคีนนอนดิ้นถีบเอาหมอนข้างอีกฝั่งกลิ้งตกพื้นไปแล้ว ผ้าห่มถูกถีบออกจนไปกองที่ปลายเท้า ส่วนส้นเท้าอีกข้างก็พาดลงบนหน้าท้องแบนราบ
“เด็กอ้วนเอ๊ย” ครามค่อย ๆ ยกขาลูกวางลงบนพื้นเตียงอย่างแผ่วเบาเพราะกลัวเด็กจะตื่น
คุณพ่อวัยย่างเข้าสามสิบลุกจากที่นอน เขาดันน้องคีนไปนอนกลางเตียง เอาหมอนข้างสำหรับเด็กมาขนาบไว้ทั้งซ้ายและขวา มือเรียวหยิบผ้าห่มมาสะบัดแล้วห่มให้ลูกจนถึงคอ
นาฬิกาบนหัวเตียงบอกเวลาตีห้าสิบนาทีแล้ว เขาปิดไฟและค่อย ๆ ออกจากห้องนอนไป กิจวัตรของครามแทบไม่ซับซ้อน เขาตื่นมาตรวจดูความเรียบร้อยก่อนเปิดร้าน เตรียมวัตถุดิบและอบขนมก่อนสองเตา กว่าจะเสร็จก็เกือบเจ็ดโมง เด็กที่ร้านมาหกโมงครึ่ง ได้เวลาเปลี่ยนกันพอดี
ครามทำอาหารง่าย ๆ เป็นมื้อเช้าให้ลูก เสร็จแล้วก็ขึ้นไปปลุก พาเด็กก้อนกลมไปอาบน้ำ เดี๋ยวนี้เขาสบายหน่อยที่น้องคีนแต่งตัวเองคล่องแล้ว เพียงแต่อาจจะต้องมีรีเช็คเผื่อติดกระดุมผิดหรือใส่ถุงเท้าสลับด้านบ้าง
น้องคีนจะถึงโรงเรียนนานาชาติใกล้กันกับที่บ้านตอนเจ็ดโมงห้าสิบนาที ผู้ปกครองต้องไปส่งถึงห้องในลำดับชั้นอนุบาลเนื่องจากทางโรงเรียนไม่มีนโยบายให้เด็กเข้าแถวหน้าเสาธง เด็กทุกคนจะเคารพธงชาติพร้อมกันในห้องเรียนและเริ่มโฮมรูมหลังแปดโมงเช้า
หลังจากส่งลูกเสร็จเขาจึงจะมีเวลากลับมาเฝ้าร้าน เข้ามาทำเมนูขนมอบประจำวันที่จะหมุนเวียนไปทุกวันด้วย อันไหนขายดีหน่อยก็ค่อยปรับมาเป็นเมนูประจำ และตอนนี้ที่ร้านก็เริ่มขยายไลน์อาหารเพิ่มขึ้นด้วย
ร้านคราม คาเฟ่ เปิดให้บริการลูกค้าทุกวันตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าถึงหกโมงเย็น เว้นแต่ว่าวันอาทิตย์เขาจะไม่อยู่ร้านเนื่องจากเป็นวันพาลูกไปเที่ยวเพื่อสร้างประสบการณ์และกระตุ้นพัฒนาการ
น้องคีนไม่เหมือนเด็กคนอื่นตั้งแต่อยู่ในท้อง การที่เด็กคนนี้ปฏิสนธิอยู่ในร่างของมนุษย์เพศชายที่มีอวัยวะสามสิบสามชิ้นอย่างเขานับว่าเป็นครรภ์เสี่ยง
ทีแรกทั้งครามและคุณหมอต่างก็กังวลถึงเรื่องพัฒนาการ น้องคีนพูดช้ากว่าเด็กทั่วไปเล็กน้อย และเข้าใจอะไรได้ช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน จึงต้องเข้าเรียนช้ากว่าปกติหนึ่งปี โชคดีที่ตอนนี้สติปัญญาและการรับรู้ของน้องคีนเริ่มอยู่ในเกณฑ์เทียบเท่ากับเด็กปกติ ทั้งนี้ทั้งนั้นครามก็ยังปรึกษากุมารแพทย์เรื่องการกระตุ้นพัฒนาการลูกอยู่เสมอ
ทั้งชีวิตของน้องคีนมีแค่ปะป๊าครามคนเดียวเท่านั้น เขาต้องเตรียมการให้ลูกเติบโตได้อย่างดีด้วยตัวเอง เนื่องจากไม่มีใครรู้อนาคต อะไรที่คิดว่าวางใจได้ก็ยังมาพลิกกลับในนาทีสุดท้าย
“ตื่นได้แล้วลูก วันนี้เปิดเทอมวันแรกนะครับ” ดวงตาของน้องคีนปิดสนิท ถึงมือจะเริ่มขยับนิดหน่อยแต่ก็เท่านั้นเอง ครามมองนาฬิกา ตอนนี้หกโมงสี่สิบห้านาที
“ตื่นกันดีกว่าน้องคีน เป็นลูกปะป๊าต้องเป็นยังไง” ครามก้มลงจูบแก้มซ้ายแก้มขวา ช่วงเวลานี้ยังเป็นช่วงเวลาทองคำสำหรับคนเป็นพ่อแม่ ให้น้องคีนโตกว่านี้สักสามสี่ปีจะให้กอดให้ฟัดคงยากกว่านี้มาก
“เป็นลูกปะป๊าต้องขยัน เย้...” เสียงร้องเย้ของเด็กน้อยอ่อยเหลือเกิน ครามหัวเราะ มองลูกค่อย ๆ ชันตัวขึ้นนั่ง เขาช่วยอุ้มน้องคีนลงจากเตียงเพราะก่อนหน้านี้เคยให้ก้าวลงเอง แต่คงง่วงมากสุดท้ายเลยสะดุด เอาหน้าลงไปวัดพื้นเสียอย่างนั้น
“ตื่นแล้วต้องทำยังไงก่อน” เด็กชายขยี้ตา หันซ้ายไปคว้าเอาชายผ้าห่มของตัวเองมาชูขึ้น
ครามแบ่งกันจับชายผ้ากับลูกคนละด้าน พอต้องพับครึ่งก็เอาชายผ้าของเขากับลูกประกบกันจนได้ผ้าห่มพับเรียบร้อยขนาดที่พอดี
“เก่งมาก” ครามส่งผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กให้ลูก พากันเดินเข้าห้องน้ำไป
คุณพ่อเอาเก้าอี้ไม้ขัดสีอ่อนขนาดใหญ่หน่อยมาวางหน้าอ่างให้ลูกขึ้นไปยืนล้างหน้าได้ เขาบีบยาสีฟันให้น้องคีนและจ้องมองการทำความสะอาดฟันว่าครบถ้วนทุกขั้นตอนดีหรือไม่
เขาช่วยน้องคีนอาบน้ำ เอาผ้าขนหนูนุ่มสีเหลืองพันตัวลูกชายจนเป็นดักแด้ คุณพ่อเทแป้งให้หนุ่มน้อยทา เขาเผลอหันไปรับออเดอร์ทางโทรศัพท์แป๊บเดียวลูกก็เอาแป้งมาเทเพิ่ม พอกตัวเสียพร้อมทอดในกระทะทอง
“น้องคีนแต่งเอง” เด็กชายแบมือของกางเกงในลายพี่หมีจากปะป๊า
เด็กชายจัดการตัวเองอย่างทะลักทุเลนิดหน่อยแต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี กระดุมตั้งแต่เม็ดแรกจนเม็สุดท้ายติดกัดถูกตำแหน่ง กางเกงลายสก๊อตถูกสวมขึ้นมาบนพุงกลม ๆ ถุงเท้านักเรียนใส่ถูกข้างโดยไม่ต้องทวงถาม
“ข้าวต้มกู้งงงง” น้องคีนปีนขึ้นเก้าอี้เด็ก ดึงบานพับลงมาเป็นโต๊ะด้วยตัวเอง พอเห็นอาหารเช้าแล้วก็ร้องเสียงดัง
“ของโปรดใครน้า” ครามตักเข้าต้มขึ้นมาแตะปาก กลัวว่าจะร้อนไปจนลวกปากลูก
“ปะป๊า...” มือป้อม ๆ ถือช้อนพลาสติก คอยคุณพ่อเอาผ้ากันเปื้อนยางมาสวมให้
“มั่วแล้ว ของน้องคีนต่างหาก” คุณพ่อหัวเราะ หอมแก้มลูกไปทีก่อนจะวางถ้วยข้าวต้มให้ “กินข้าวลูก จะได้ไปโรงเรียนกัน”
กว่าจะไปส่งเจ้าตัวดีถึงมือคุณครูได้ครามก็แทบหมดแรงข้าวต้ม น้องคีนออดอ้อนสารพัด ทั้งกอดทั้งรัด บอกว่าไม่อยากไปเรียน เพราะที่โรงเรียนไม่มีปะป๊า อย่างนี้พ่อแม่คนไหนฟังรับรองใจเหลวกันทุกรายไป
ครามจอดรถ หน้าร้านยังมีพนักงานออฟฟิศและคนทั่วไปเดินเข้าออกในปริมาณที่เหมาะสม ไม่โหรงเหรงและไม่หนาแน่นเกินไป เขามองตึกแถวห้องข้าง ๆ ที่ปิดมาสักพักอย่างชั่งใจ ใจหนึ่งก็อยากจะขอซื้อแล้วขยายหน้าร้านเพิ่มเป็นสองคูหา อีกใจหนึ่งก็คิดว่าถ้าขยายขนาดร้าน เขาอาจจะต้องหาพนักงานเพิ่ม ต้องเพิ่มเมนูอาหารทั้งที่คนทำได้มีแค่เขากับน้องพนักงานที่อยู่กันมาแต่ต้น
แบบนี้เวลาที่จะมีให้ลูกคงลดลงอย่างช่วยไม่ได้ ครามถอนหายใจ น้องคีนโตขึ้นทุกวัน แน่นอนว่ารายจ่ายก็เพิ่มขึ้นด้วย สุดท้ายการลงทุนซื้อห้องข้าง ๆ เพิ่มเพื่อขยายกิจการคงมาถึงไม่ช้าก็เร็ว
เจ้าของร้านเข้าไปด้านใน หน้าบาร์เริ่มวุ่นนิดหน่อยเนื่องจากมีพนักงานเพียงสองคน คนหนึ่งชง คนหนึ่งเสิร์ฟ ในครัวไม่ค่อยวุ่นวายนักเนื่องจากเขาเตรียมการเอาไว้แล้วตั้งแต่เมื่อคืน ขนมปังที่เขาอบเมื่อเช้าถูกบรรจุห่อและเริ่มขายแล้ว พายหวานและขนมเค้กสองอย่างก็ตัดและเอาขึ้นโชว์ในตู้แช่เรียบร้อย โซนของคาวขนาดเล็กกำลังเทซุปข้นที่ทำแช่ตู้เย็นไว้เมื่อคืนออกมาอุ่น ผักสลัดจากร้านที่ไว้ใจได้ ถูกล้างและแช่น้ำไว้เพื่อความสดกรอบ
เมื่อแน่ใจแล้วว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยความราบรื่น เขาก็สวมผ้ากันเปื้อนออกมาประจำที่หน้าบาร์ ช่วยรับออเดอร์และประจำเครื่องคิดเงิน
“อเมริกาโน่เย็น ไซส์เอ็มครับ”
...เขาอีกแล้ว...
ครามไม่ได้กล่าวทักทายเหมือนที่ปฏิบัติกับลูกค้าคนอื่น มือเรียวหยิบแก้วพลาสติกขึ้นไล่เขาว่าเมื่อได้เครื่องดื่มแล้วรีบไปอย่างอ้อม ๆ มือเรียวจรดปากกาเตรียมจะเขียนออเดอร์ไว้ด้านข้างหากเสียงทุ้มกลับทัดทานเสีย
“ผมดื่มที่นี่ แล้วก็เอาสลัดกุ้งทอดครับ” สายตาของธาริตลึกล้ำ สบกันกับสายตาครามคล้ายจะค้นให้ลึกเพื่อควานหาบางสิ่งบางอย่าง
“ครับ หนึ่งร้อยสามสิบบาท คุณลูกค้านั่งรอที่โต๊ะได้เลยครับ” เจ้าของร้านหลบตา รับเงินเขามาแล้วตีเฉยเสีย ครามกดชื่อเมนูลงไปในแท็บเล็ต รอสัญญาณตอบรับจากคนในครัวที่จะขึ้นเป็นสถานะเตรียมอาหารบนหน้าจอ
ทีแรกครามคิดว่าเขาจะป่วน แต่โชคดีที่ธาริตยังมีมารยาทอยู่บ้าง ชายหนุ่มเข้าไปนั่งข้างกระถางต้นไม้ เลือกทำเลที่จะมองเห็นบาร์ชัดที่สุด
เขามองทิวทัศน์มาจนเอียน ตอนนี้สิ่งที่อยากมองมากที่สุด อยากมองไปจนวันสุดท้ายของชีวิตคงมีแต่เจ้าของร้านนี้เท่านั้นเอง
ครามเปลี่ยนไปมาก เขาบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าอย่างไร จะว่ามีน้ำมีนวลขึ้นก็ไม่ใช่ แต่จะเรียกว่าดูอ่อนหวานขึ้นก็คงได้ ร่างผอมบางขยับไปมาอยู่หลังบาร์ ทั้งรับโทรศัพท์ คุยกับลูกค้า และคิดเงิน ตอนนี้พนักงานหน้าบาร์เหลือเพียงสองคนคือครามและน้องพนักงานที่ชงกาแฟ อีกคนกำลังไปเอาไม้กวาดละที่โกยมากอบเศษแก้วกาแฟเซรามิกที่ลูกค้าสูงวัยทำตกพื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
อาหารของเขาได้หลังกาแฟไม่นาน เจ้าของร้านเป็นคนนำมาเสิร์ฟเองทั้งที่คงไม่ได้อยากทำ ทว่ามีแต่ครามเท่านั้นที่ว่าง น้ำเปล่าถูกกดใส่แก้วมาพร้อมอาหารจานใหญ่ ผักกาดแก้ว กรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค หอมใหญ่หั่นบางเฉียบ และมะเขือเทศราชินีฝานครึ่งถูกจัดมาอย่างสวยงาม ด้านบนมีกุ้งชุบแป้งทอดตัวโตวางเรียงกัน น้ำสลัดเทาซันไอส์แลนด์สีส้มนวลแยกถ้วยมาให้ลูกค้าเติมได้ตามความต้องการ
“อาหารที่สั่งได้ครบแล้ว ทานให้อร่อยนะครับ”
“ผมคิดว่ามันคงอร่อยกว่านี้แน่ ถ้าได้กินฝีมือเจ้าของร้าน” ธาริตเปรย เขาเคยเกลียดผักสด ต่างจากครามที่นั่งแทะแคร์รอตไปดูทีวีไปได้เป็นแท่ง ๆ
ครามหันหลัง ไม่ต่อปากต่อคำกับเขา แค่ธาริตมาปรากฏตัวขึ้นเท่านี้ก็สร้างความหวั่นใจให้เขามากแล้ว โชคดีที่น้องคีนไปโรงเรียน สองคนนี้ถึงยังไม่เจอกัน
“คราม... ผมขอโทษ” ธาริตรั้ง น่าเสียดายที่ครามเย็บแผลสดของตัวเองทั้งที่มันยังกลัดหนองแล้วปิดประตูตายใส่มันมานานแล้ว
“ผมไม่รู้จักคุณ” น้ำเสียงไพเราะเอ่ยเยียบเย็น ถ้อยคำเดียวกันกับที่ธาริตเคยทำร้ายให้เขาเหมือนตายทั้งเป็น
คำที่คนรักกันบอกปัดปฏิเสธว่าไม่เคยข้องเกี่ยวต่อหน้ามารดาผู้เย่อหยิ่งในยศศักดิ์
คนในชุดผ้ากันเปื้อนวางถาดลงหน้าเคาน์เตอร์ ฝากลูกน้องช่วยดูหน้าร้านเนื่องจากพอเริ่มสายคนก็ซาลง เขาเข้าครัว หยิบช็อคโกแลตมาชั่งแล้วหั่นหยาบ มันคงเป็นวิถีทางเดียวที่จะทำให้ครามใจเย็นลงได้
“อ้าวพี่คราม ทำไมอยู่ดี ๆ ทำเพิ่ม” แวววรรณเป็นลูกจ้างคนแรกของเขา ช่วงแรกเขาจ้างเธอมาเป็นพี่เลี้ยงให้น้องคีน พอน้องคีนโตขึ้นหน่อย แวววรรณก็ขยับตัวเองลงมาช่วยครามในครัว
“มีคนบ่นอยากกินมูสช็อกโกแล็ตนานแล้ว ยังไม่ว่างทำให้สักที” ครามอมยิ้ม รู้ว่าลูกน้องคนนี้คลั่งใคล้ผลิตภัณฑ์จากโกโก้มากเพียงใด
“เดี๋ยวจอร์จก็หึงหนูอีกหรอก” ครามหัวเราะ พลางหยิบสตรอเบอรี่แช่แข็งขึ้นตั้งเตาเตรียมทำเป็นซอส
แฟนหนุ่มของแวววรรณเป็นชาวอเมริกัน เขาเป็นผู้จัดการห้องอาหารในโรงแรมชื่อดังริมหาด เคยมีช่วงที่น้องคีนไม่สบายหนัก ๆ จนแววต้องมานอนที่ร้าน พ่อจอร์จหัวฟัดหัวเหวี่ยงหาว่าเขาเอาตัวลูกน้องมากกไว้ เกือบจะวางมวยกันทีเดียว
“เอาไปฝากเขาด้วยแล้วกัน”
“พี่คราม อย่าว่าหนูอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ” เธอเริ่ม “พี่รู้จักลูกค้าตัวสูง ๆ ที่นั่งริมกระถางต้นไม้ไหม เมื่อวานเขามาถามหาพี่ด้วย”
“ไม่รู้สิ สงสัยคงจะมาสั่งอาหารล่ะมั้ง” ชายหนุ่มทำไม่รู้ไม่ชี้ แม้ในใจจะพยายามจับต้นชนปลายว่าธาริตจะมาทำอะไรที่นี่ ทั้งบ้านทั้งงานของอีกฝ่ายอยู่ในกรุงเทพฯ
คงมาสัมมนา... อย่างเก่งก็อยู่กวนเขาได้ไม่เกินอาทิตย์
“ค่อยยังชั่ว นึกว่าคุณหมอของหนูจะมีคู่แข่ง” แวววรรณประสานมือไว้กลางอก แสดงสีหน้าโล่งอกโล่งใจเหลือประมาณ
“เพ้อเจ้อ” เขาชั่งน้ำตาลทราย เทใส่ซอสสตรอเบอรี่บนเตา พอน้ำตาลละลายหมดก็เติมเจลาตินหน่อยให้ซอสเกาะตัว
“ค่า หนูมันคนเพ้อเจ้อ” ลูกน้องรับคำ เดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ออกไปโซนทำของคาวเมื่อมีสัญญาณเตือนออเดอร์
ร่างสูงโปร่งถอดเสื้อกาวน์ใส่ถุงซิป เขาถือมันไปคู่กับกระเป๋าทำงาน ใบหน้าแสดงร่องรอยของความอารมณ์ดีอยู่เป็นนิจยิ้มกว้างขึ้นอีกเมื่อนางฟ้าชุดขาวหลายคนยิ้กยิ้มให้ บ้างก็ยกมือไหว้
เขาหยิบมือถือขึ้นมากดหาเบอร์คุ้นเคย ถึงจะไม่ได้โทรทุกวัน แต่ก็บ่อยรองลงมาจากสายของโรงพยาบาลและพ่อแม่เท่านั้นเอง
“คราม ผมเลิกงานแล้ว เดี๋ยวแวะไปรับน้องคีนให้ครับ”
“โธ่ คุณดิศ... ผมเกรงใจ” เสียงจากอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกว่าครามเกรงใจจริง ๆ ไม่ใช่แกล้งทำ
“ผมโทรมาบอกก่อน คุณจะได้ไม่ต้องออกมา” รดิศปลดล็อกรถ โยนสารพัดข้าวของใส่ด้านหลัง เขาโทรบอกครามก่อนเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องเหนื่อย และเพื่อที่จะให้ผู้ปกครองตัวจริงแจ้งแก่คุณครูประจำชั้นว่าจะมีคนมารับแทน
“แบบนี้ห้ามก็ไม่ฟังแล้วใช่ไหมครับ” เสียงจากปลายสายลอดออกมา คนฟังยิ้มเต็มหน้ามากกว่าเดิมอีก “ขับรถดี ๆ นะครับคุณดิศ เตรียมท้องมาใส่ของหวานที่นี่ด้วย”
“ครับ อีกครึ่งชั่วโมงเจอกัน” นายแพทย์หนุ่มวางสาย เขามองหน้าปัดนาฬิกา อีกประมาณสิบหานาทีจะได้เวลาน้องคีนเลิกเรียน กว่าจะไปถึง กว่าจะหาที่จอดรถคงพอดี
ที่หัวหินรถไม่ติดหนึบหนับเหมือนสมัยเรียนในกรุงเทพ รดิศกะเวลาได้พอดีเป๊ะ พอเขาจอดรถ สัญญาณเพลงบอกเวลาเลิกเรียนก็ดังพอดีกัน
สนามเด็กเล่นเริ่มถูกจับจองด้วยเด็กช่วงวัยเดียวกันที่มีผู้ปกครองมาคอยอยู่ รดิศมองหาห้องอนุบาลหนึ่งทับหนึ่ง ยื่นบัตร visitor ที่แลกมาจากด้านหน้าส่งให้คุณครูประจำชั้น หล่อนแสกนบาร์โค้ดก่อนจะส่งให้ เพื่อให้นำไปแลกเป็นบัตรประชาชนคืนด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยของเด็กนักเรียน
โรงเรียนเอกชนที่จ่ายแพงหน่อยก็ดีอย่างนี้ หากมีการมารับ มาส่ง จะมีแจ้งเตือนเข้าแอพพลิเคชั่นในโทรศัพท์ของผู้ปกครอง ดังนั้นครามจะเห็นบันทึกว่าวันนี้ลูกชายเขาไปเรียนกับใคร กลับกับใคร กี่โมง มีการบ้านหรือกิจกรรมพิเศษอะไรบ้าง
“วันนี้ใครมารับน้องคีนเอ่ย”
“อาหมอ! ” น้ำเสียงเริงร่าดังมาก่อนตัว น้องคินวิ่งโผออกมากอดขาเขาทันที รดิศปล่อยให้เด็กชายสวมรองเท้าด้วยตัวเองก่อนจะเอาหลานขึ้นอุ้ม
“คิดถึงจังเล้ย” เสียงแจ้ว ๆ ทำให้คุณอาใจพองฟูคับอก ไม่รู้ไปเรียนคำนี้มาจากไหน
“คิดถึงเหมือนกันครับ อาไปออสเตรเลียมาตั้งสองอาทิตย์ เอาแกงกะรูมาฝากน้องคีนด้วย” รดิศถือกระเป๋านักเรียนมือหนึ่ง อุ้มน้องคีนมือหนึ่ง มาดเหมือนคุณพ่อทั้งที่ยังไม่แต่งงานเหลือเกิน
“แกงกะรู้ตัวใหญ่มั้ยฮะ” แขนสั้นโอบลงบนลาดไหล่ของคุณหมออย่างเคยชิน คงเป็นความไว้อกไว้ใจ ตั้งแต่ลืมตามาไม่กี่วันก็เจอคุณอารดิศแล้ว
“แกงกะรูลูก แกงกะรู”
นายแพทย์หนุ่มหัวเราะ ก้าวขาเดินฝ่ากลุ่มคุณพ่อคุณแม่ไปยังลานจอดรถ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังถูกใครจ้องมองอยู่ ร่างสูงใหญ่เดินตามหลังมาโดยรักษาระยะ ท่าทางสนิทสนมกับลูกชายของครามราวกับเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน
...ในใจของธาริตมีแต่คำถาม...
...ใคร...
--------------------------
มุมแดงปะทะมุมน้ำเงินแล้วค่ะ เชิญเลือกได้ตามสะดวกใจ 5555555555555555555