หลงตะวัน : 3
ดูเหมือนผมจะพูดแรงไป... ไอ้ตี๋ถึงได้ไม่เอ่ยอะไรอีกเลย
ที่คิดไว้ว่าพอได้ยินคำประชดประชันของผมแล้วมันจะเปลี่ยนใจ กลับกลายเป็นว่ามันเอาแต่นิ่งเงียบเหมือนกำลังคิดอะไรมาตลอดทาง จนกระทั่งกินข้าวเย็นเสร็จแล้วมาที่ร้านเราก็ยังไม่ได้คุยกัน
“ไหงคู่ข้าวใหม่ปลามันถึงได้ทำท่าเหมือนทะเลาะกันล่ะครับ”
มึงก็จมูกไวจังเลย
ผมถลึงตาใส่ไอ้นายที่ยังเสนอหน้าอยู่ในร้านทั้งที่ผมยังต้องเข้ากะแทนมันไปถึงวันพรุ่งนี้ มันมารับไอ้มิ่งน่ะครับ เห็นว่าหลังเลิกงานมีนัดไปดูหนังกัน ชีวิตคู่แม่งสุขสันต์เหลือเกิน
อันที่จริงพี่โมจะทำโทษให้ผมกับไอ้ตี๋ทำแทนกะของไอ้มิ่งเหมือนกัน เพราะตอนพวกเราไม่อยู่ก็ได้มันนี่แหละมาช่วย แต่เจ้าตัวกลับปฏิเสธ ขอเปลี่ยนเป็นเพิ่มเงินตามจำนวนวันที่มันมาทำงานแทน ซึ่งก็ต้องขอบคุณที่มันทำแบบนั้น ไม่ใช่ว่าผมขี้เกียจหรืออะไร แต่แค่ไม่อยากให้ไอ้ตี๋ทำงานเพิ่มอีก คนอะไรป่วยง่ายอย่างกับอะไรดี ถ้าต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำอีกคงได้ตายขึ้นมาจริงๆ
“เฮ้ย นี่พี่ทะเลาะกันจริงดิ” พอเห็นว่าผมไม่เถียงอะไร ไอ้นายก็ทำตาโตอย่างตกใจ ยื่นหน้าข้ามเคาน์เตอร์มาถามอย่างคนขี้เสือกเหมือนเคย “โกรธกันเรื่องไรอ่ะ”ผมเหลือบสายตามองไอ้ตี๋ที่ยืนชงกาแฟ สีหน้ามันเหมือนไม่สนใจ แต่ผมรู้ว่ามันกำลังหูผึ่งฟังบทสนทนา
“มีคนไม่อยากให้กูเปิดเผยเรื่องคบกัน” ผมพูดเสียงดัง รู้ว่าไอ้ตี๋ต้องได้ยิน มันถึงได้ขมวดคิ้ว ชะงักมือที่กำลังผสมกาแฟแวบหนึ่งก่อนจะกลับมาตีหน้านิ่งเหมือนเดิม
“อ้าว แต่ผมบอกไอ้มิ่งไปแล้วอ่ะ เป็นไรมั้ยพี่โช”
แล้วไหงมึงพูดจาเหมือนเข้าข้างไอ้ตี๋ซะงั้นวะไอ้เด็กเวร
“มึงต้องบอกว่ามันเหลวไหลสิ้นดีสิวะ” ผมผลักหัวไอ้นาย แต่สายตาเหลือบมองอีกคนที่ตั้งใจพูดประโยคนี้ให้ได้ยิน “เป็นแฟนกัน แล้วจะหลบๆ ซ่อนๆ ทำไม”
ไอ้ตี๋ไม่ได้มีท่าทีอะไร มันชงกาแฟเสร็จก็จัดใส่ถาดเดินไปเสิร์ฟให้ลูกค้าด้วยรอยยิ้มตามมารยาทเหมือนเคย ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่อึดอัดกับความเงียบระหว่างเราแทบบ้าตาย
อันที่จริงก็ไม่ได้อยากจะเล่นแง่นักหรอก แต่ถ้ามันยังยืนยันว่าจะให้เรื่องที่คบกันเป็นความลับ ผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน
ทำไมต้องสนใจสายตาคนอื่นขนาดนั้น คำนินทาเวรๆ นั่นก็เหมือนกัน ไม่เห็นจำเป็นต้องแคร์
“พี่นี่แม่ง...” ผมละสายตาจากไอ้ตี๋มามองไอ้นายที่ส่ายหัวเอือมระอา “ทำไมไม่คุยกันดีๆ อ่ะ”
“...”
“ดื้อทั้งคู่ระวังจะคบไม่ยืดนะพี่”
“อ้าว แช่งกู” ผมแยกเขี้ยว แต่ไอ้นายกลับหัวเราะ
“เปล่าแช่ง นี่พูดจริง” มันว่าพลางยืดตัวขึ้นเตรียมตัวเพราะไอ้มิ่งออกมาจากหลังร้านพอดี “กว่าจะได้คบกันก็ลุ้นตั้งนาน”
“...”
“อย่าให้มันพังเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย” พูดจบก็ขอตัวเดินต้อยๆ ตามแฟนตัวเองออกไปจากร้าน ในขณะที่ผมหันกลับมามองไอ้ตี๋อีกครั้ง ถอนหายใจกับตัวเอง
อดยอมรับไม่ได้ว่า ก็จริงของไอ้นายมัน
แต่ถึงอย่างนั้นจะให้ยอมง่ายๆ มันก็ไม่ใช่
บอกแล้วไงว่าผมอยากกำจัดปมในใจของไอ้ตี๋ให้หายไป ไม่อยากให้มันแคร์ใครที่ไม่ควรแคร์... แต่ไม่ได้ตั้งใจประชดประชันแบบนั้นหรอก อยากหาวิธีที่ค่อยเป็นค่อยไปกว่านี้เหมือนกัน แต่ก็นึกไม่ออกว่าควรทำยังไง ตอนที่มีข่าวลือของมันใหม่ๆ ผมก็บอกไปแล้วว่าไม่ต้องสนใจ แต่เห็นได้ชัดว่ามันทำไม่ได้ คำพูดร้ายๆ ของคนรอบข้างยังมีอิทธิพลกับมันไม่ต่างจากสมัยมัธยม มันทำให้ผมอดรู้สึกเสียดายขึ้นมาไม่ได้ที่ไม่ได้รู้จักมันตั้งแต่ตอนนั้น ไม่ได้ปกป้องมันจากคำนินทาที่สร้างปมในใจที่ยากเกินเยียวยาให้มัน
ผมถอนหายใจเกินร้อยครั้งแล้วตั้งแต่เข้าร้านจนปิดร้าน หรือกระทั่งกลับหอมาก็ยังทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจซ้ำๆ
อึดอัดชิบหายเลยโว้ย
ยิ่งไอ้ตี๋ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ในใจผมก็ยิ่งหงุดหงิด มันทำท่าเหมือนไม่เป็นไร ผมจะทำอะไรก็ตามใจแบบนี้ยิ่งทำผมร้อนใจ
ทำไมถึงได้ดื้อขนาดนี้วะเนี่ยตี๋
แต่ถึงจะหงุดหงิดแค่ไหน ความหน้าด้านของผมก็มากพอจะทำให้ยังตีหน้ามึนขึ้นมานอนบนเตียงมันอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายตีโพยตีพายงอนเขาเอง
“ปิดไฟนะครับ”
“อืม”
แถมยังทิ้งทิฐิทั้งหมดทันทีที่ทั้งห้องมืดลง ถือวิสาสะรวบคนตัวเล็กมากอดไว้อย่างทุกวัน
ก็ผมติดหมอนข้างนี่ครับ ให้ทำไง... ถึงวันนี้หมอนข้างจะหันหลังให้ ไม่กอดกลับเหมือนคืนก่อนๆ ก็ตามที
นึกเสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้คุยอะไรกันมากกว่านี้ แต่ก็รู้แหละว่าคุยตอนนี้คงไม่ได้อะไร ต้องปล่อยให้ไอ้ตี๋มันเปิดใจก่อนถึงจะเริ่มเคลียร์กันได้ ผมไม่ควรรีบร้อนเกินไป ยิ่งไอ้ตี๋ไม่เคยคบใครมาก่อนยิ่งต้องใจเย็น ไม่อย่างนั้นความสัมพันธ์อาจจะพังไม่เป็นท่าอย่างที่ไอ้นายว่าจริงๆ
“คุณซัน” ผมบอกตัวเองให้ปลงและพยายามข่มตา แต่คนที่ปล่อยให้กอดอยู่นานกลับเรียกชื่อผมออกมาเบาๆ
“...” ผมไม่ได้ตอบ แค่กระชับอ้อมกอดให้รู้ว่ายังไม่หลับ และกำลังรอฟัง
“เรากำลังทะเลาะกันจริงๆ เหรอครับ” ไอ้ตี๋เงียบไปนานก่อนจะเอ่ยถาม น้ำเสียงฟังดูประหม่าขณะไล้มือไปตามปลายนิ้วของผมที่โอบรอบเอวตัวเองไว้เหมือนไม่รู้จะพูดยังไง
“เปล่า” ผมตอบตามจริง เราไม่ได้ทะเลาะกัน มันยังไม่ถึงขั้นนั้น
ถึงจะรู้จักกันมานาน แต่ผมรู้ดีว่าการเปลี่ยนสถานะมันยังมีเรื่องมากมายที่ต้องเรียนรู้ร่วมกันใหม่ มีระยะห่างระหว่างเราที่ถ้าอยากให้มันลดลง ต่างคนต่างต้องเปิดใจปล่อยให้อีกฝ่ายเดินเข้าไปอย่างเต็มใจ และตอนนี้ผมกำลังพยายามทำลายระยะห่างที่ว่านั่นอย่างใจเย็น
“ผมไม่อยากให้เราทะเลาะกัน” เอ่ยเสียงเบาพลางสอดประสานนิ้วตัวเองกับนิ้วผมแล้วจับไว้แน่น “ขอโทษนะครับที่พูดออกไปแบบนั้น”
ผมหลุดยิ้มกว้างออกมา ถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะเอื้อมมือข้างที่เหลือไปเปิดโคมไฟที่เพิ่งถูกดับ แล้วลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงโดยที่ยังกอดคนตัวเล็กไว้แนบกาย บังคับให้นั่งอยู่บนตักกัน
“กูก็เหมือนกัน” ซุกใบหน้าลงกับซอกคอก่อนจะขบเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยวคนตัวเล็กที่ตีหน้ามึนอยู่นาน เข้าใจในทันทีที่วันนี้มันเอาแต่นิ่งไม่ใช่เพราะไม่รู้สึกอะไร
แค่ไม่รู้จะแสดงออกมายังไงเท่านั้นเอง
"กูไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น ไม่อยากให้เราทะเลาะกัน”
เจ้าของดวงตาเรียวหันกลับมาสบตาด้วยสีหน้าเหมือนโล่งใจ แต่แววตายังแฝงไปด้วยความกังวลจนสังเกตได้
“คุณเคยคบแต่ผู้หญิง แล้วอยู่ๆ ก็...”
เดาไม่ยากเลยสักนิดว่ามันกำลังกังวลเรื่องอะไร
“ถ้าคนอื่นรู้ว่าเราคบกันคุณจะโดนนินทา”
“กูไม่แคร์” ผมส่ายหน้าพลางกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นกว่าเดิม
“แต่ผมแคร์” ไอ้ตี๋เถียง ทำสีหน้ายุ่งยากก่อนจะถอนหายใจ มองมาด้วยสายตาจริงจัง “ผมเคยผ่านมันมาก่อน เข้าใจดีว่ามันรู้สึกแย่แค่ไหน และผมก็ไม่อยากให้เรื่องแย่ๆ แบบนี้มันเกิดขึ้นกับคุณ”
“...”
“ผมเป็นห่วงนะครับ”
รู้แหละว่าไม่ใช่เวลา แต่สารภาพว่าพอได้ยินอะไรแบบนี้ตรงๆ แล้วหัวใจมันโคตรจะพองโต
ทำไมทำตัวน่ารักอีกแล้ววะเนี่ยตี๋
“กูรู้” ผมยิ้มกว้าง พลางก้มลงไปกดจูบหนักๆ ลงบนริมฝีปากบาง จนถูกดันออกแล้วขมวดคิ้วมุ่นมองด้วยสีหน้าเหมือนไม่ชอบใจ
“ผมซีเรียสนะครับ” ผมหลุดหัวเราะเบาๆ แต่ไม่วายกดจูบลงไปอีกครั้ง
“รู้แล้วครับ”
“คุณซัน...!”
“ซันก็เป็นห่วงตี๋เหมือนกัน” จากที่อ้าปากจะด่าคนตรงหน้าก็ได้แต่อ้าปากค้างทันทีที่ได้ยินผมเปลี่ยนสรรพนามเรียกตัวเอง
ตั้งแต่รู้จักกันมาจนกระทั่งคบกันผมไม่เคยเรียกแทนตัวด้วยชื่อเลยสักครั้ง แต่คราวนี้ผมต้องอ้อน เพราะต้องการให้มันฟังผมอย่างจริงจัง
“ตี๋” ผมเรียก ยื่นหน้าเข้าไปคลอเคลียจมูกเข้ากับปลายจมูกของคนที่นั่งนิ่งแต่แก้มเปลี่ยนสีขึ้นมา “ซันรู้นะว่าตี๋คิดอะไร รู้ว่าพูดแบบนั้นทำไม เข้าใจหมดทุกอย่างนั่นแหละ... แต่ซันไม่ได้แคร์จริงๆ”
“...”
“จะโดนนินทา จะโดนหาว่าคบผู้หญิงบังหน้าอะไรก็ช่าง ปากใครใครก็พูดได้ เขาไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำว่าคนฟังจะรู้สึกยังไง แล้วเราจะไปให้ค่าทำไม”
“...”
“สิ่งที่ซันสนใจมีอย่างเดียวคือความรู้สึกตี๋นะ เข้าใจมั้ย”
“คุณซัน...” มันทำท่าจะเถียงอะไรอีก แต่ผมก็ขัดขึ้นมา
“ตอนนี้ตี๋มัวแต่สนใจคำนินทา เอาคำพูดบ้าๆ ของใครไม่รู้มาใส่ใจ แล้วซันอ่ะ คำพูดซันไม่มีความหมายเลยหรือไง...”
“เดี๋ยวก่อน” เสียงของผมหายไปทันทีที่ถูกมือบางยกขึ้นมาปิดปากไว้ ส่งสายตาจริงจังว่าให้หยุดพูดเสียที
“ทำไมถึงไม่เข้าใจ...” ผมดึงมือมันออก กำลังจะพูดต่ออย่างไม่ยอม แต่ก็ถูกขัดขึ้นเสียงดัง
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ”
“...”
“เข้าใจแล้ว แต่ว่า...” อยู่ๆ ก็อึกอัก ขมวดคิ้วมุ่น มองผมเคืองๆ ก่อนที่สุดท้ายจะหลบสายตายกหัวเข่าตัวเองขึ้นมาแล้วซุกใบหน้าลงไปบ่นพึมพำ “ให้ตาย... ใครสั่งใครสอนให้พูดแบบนี้กัน”
งงอยู่สักพัก กว่าจะรู้ความหมายของคำพูดนั้นผ่านใบหูที่เป็นสีแดงจัดของคนตัวเล็กที่แทบจะขดตัวเป็นก้อนกลม
แล้วใครสั่งใครสอนให้เขินแล้วน่ารักขนาดนี้วะเนี่ยตี๋
ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะแกล้งก้มหน้าลงไปเกยคางไว้บ่นไหล่ กระซิบเบาๆ ให้ลมหายใจคลอเคลียกับหูแดงๆ อย่างได้ใจ
“แล้วได้ผลป่ะ”
“ไม่” มันส่ายหน้าส่งเสียงปฏิเสธในลำคอทั้งที่เห็นอยู่ทนโท่ว่าความจริงเป็นยังไง
น่ามันเขี้ยวชะมัด
...ว่าแล้วก็ของับหูสักที
“...!” ไอ้ตี๋สะดุ้งโหยง แต่ก็ยังคงซุกหน้ากับเข่าไม่ยอมหันมาเผชิญหน้ากัน ผมเลยแกล้งเซ้าซี้ซุกหน้าลงกับกลุ่มผมหอมไล่จูบจากกระหม่อม ขมับ จนถึงใบหูที่โผล่พ้นออกมาเพียงส่วนเดียวอีกครั้ง
“ทีนี้จะเลิกใส่ใจคนอื่นได้หรือยัง” เอ่ยถาม
รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ แต่ก็แค่อยากให้มันรับปากเท่านั้น
“สนแค่คำพูดซันคนเดียวนะครับโช”
รับปากว่าจากนี้จะแคร์ผมแค่คนเดียว
“..." ไอ้ตี๋เงียบไปนาน เอาแต่นั่งซุกหน้ากับเข่าตัวเองอยู่อย่างนั้น ซึ่งผมก็ไม่คิดจะทำอะไรนอกจากรอ
จนกระทั่งได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ เจ้าของใบหูแดงเถือกยอมโผล่ดวงตาเรียวขึ้นมามองหน้าผมที่ยิ้มกว้างทันทีที่เห็นใบหน้าเสี้ยวหนึ่งขึ้นสีชัดยิ่งกว่า
“ถ้ารับปากแล้ว จะเลิกพูดแบบนี้หรือเปล่าครับ” แต่ยังไม่วายตีมึนทำน้ำเสียงงุ่นง่านเอือมระอาเหมือนเคย
“แบบไหน” ผมแกล้งไขสือ
“ที่เรียกตัวเองว่าซัน... ห้ามพูดอีกเด็ดขาดเลย” ผมหัวเราะลั่น ยื่นหน้าเข้าไปจนหน้าผากชิดกัน ใช้ปลายจมูกดุนดันแก้มใสให้มันยอมเผยใบหน้าส่วนที่เหลือออกมา
“ไม่ชอบเหรอ”
“ไม่...” ตอบพึมพำ มุดหน้าลงยิ่งกว่าเดิม
โกหกไม่เนียนเหมือนเคย
“แล้วทำไมหน้าแดง” แต่คราวนี้ผมไม่ยอมให้หนีหรอก พอทำท่าจะซุกหน้าลงไปอีกครั้งก็ยกมือขึ้นมาประคองใบหน้ามันไว้ บังคับให้เงยหน้าขึ้นมาจนได้
จะเรียกบังคับก็ไม่ถูก เพราะเจ้าของใบหน้าใสก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร เพียงแค่ตีหน้ามุ่ย ทำน้ำเสียงบูดบึ้งเอาแต่ใจ
“เพราะร้อนน่ะครับ”
“เหรอ” ผมยิ้มขำถือวิสาสะทาบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากที่ยังดื้อดึงไม่ยอมรับความรู้สึกตัวเองทั้งที่ร่างกายกำลังแสดงออกชัดเจน
“แล้วตอนนี้ร้อนกว่าป่ะ” แกล้งถามยียวน เมื่อถอนจูบออกมาแล้วพบว่าหน้ามันยิ่งแดงกว่าเดิม แต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไร นอกจากแรงบีบจากฝ่ามือที่ยกขึ้นมากำคอเสื้อผมไว้จนแน่นดูคล้ายกับเด็กเล็กๆ ที่กำลังประหม่า ขณะกัดริมฝีปากล่างตัวเองเหมือนไม่รู้จะทำยังไง
อยู่ๆ ก็เหมือนจะมีลูกระเบิดหล่นลงมากลางกบาลทันทีที่ได้เห็นสีหน้าแบบที่ไม่เคยคิดว่าชาตินี้จะได้เห็น
ทนมองได้ไม่นาน สุดท้ายก็ฉกฉวยริมฝีปากลงไปอย่างอดใจไม่ไหว บังคับให้เปิดปาก มอบสัมผัสที่ทวีความหนักหน่วงกว่าเดิม จนกระทั่งได้รับการตอบกลับอย่างเต็มใจ เรียวลิ้นที่ตอบสนองราวกับจะเพิ่มความร้อนให้ร่างกายที่เกาะเกี่ยวแนบสนิทจนสัมผัสได้ถึงจังหวะหัวใจของกันและกัน
“หึ” ผมหลุดหัวเราะในลำคอขณะที่ผละออกมาให้คนตัวเล็กได้ตักตวงอากาศหายใจอีกครั้ง แตะหน้าผากค้างไว้กับหน้าผากใสปล่อยลมหายใจร้อนๆ คลอเคลียไม่ห่าง แล้วกระซิบชิดริมฝีปากเบาๆ
“เชื่อละว่าร้อนจริง”
ถูกมองค้อนเข้าให้ แต่ก็ยังหัวเราะอย่างไม่สะทกสะท้านใดๆ หวังจะเข้าครอบครองลมหายใจซ้ำ แต่ก็ถูกเรียกด้วยน้ำเสียงสั่นพร่าจนต้องชะงัก
“คุณซัน” ดวงตาเรียวสวยยังคงฉายแววความกังวล แบบที่ทำให้ผมไม่ชอบใจ แต่ไม่ได้หงุดหงิด กลับอยากปลอบประโลมจนประกายความกังวลนี้หายไป
“ครับ?”
มองหน้าผมอย่างลังเลอยู่พักใหญ่กว่าจะยอมถามสิ่งที่ติดค้างอยู่ออกมา “แน่ใจแล้วจริงๆ เหรอครับ?”
“...”
“ยอมรับได้จริงๆ เหรอครับที่ต้องคบกับผู้ชาย” น้ำเสียงฟังดูไม่มั่นใจ หวั่นไหวรุนแรงจนผมต้องยื่นหน้าเข้าไปจูบหน้าผากเบาๆ
“ถ้ารับไม่ได้จะมาอยู่ตรงนี้ทำไม” พูดจบก็ไม่รอให้เจ้าหนูจำไมได้ถามอะไรต่อ ปิดปากอีกฝ่ายไว้ด้วยริมฝีปากตัวเอง...
ผมกระชับอ้อมกอดแน่น แนบริมฝีปากลงไปซ้ำๆ บดเบียด... เน้นย้ำ... ส่งผ่านทุกความรู้สึกออกไปด้วยสัมผัสอันแสนหวาน ในขณะที่อีกฝ่ายก็ตอบรับมันและส่งกลับมาไม่ต่างกัน...
ไม่นาน... ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจก็ค่อยๆ ปะทุขึ้นมามากมายเกินต้านทาน
ผมพลิกตัวขึ้นมาดันร่างเล็กให้นอนราบ ก่อนจะโถมทับร่างกายตัวเองตามไปอย่างรวดเร็ว การกระทำทุกอย่างดำเนินไปทั้งที่ริมฝีปากยังไม่ผละออกจากกัน มือข้างหนึ่งของผมประคองไว้ที่แผ่นหลังบอบบาง ลูบไล้แผ่วเบา ในขณะที่อีกข้างนวดเฟ้นตามส่วนอื่นของร่างกาย... ยิ่งสัมผัส ความต้องการทบทวีจนอดไม่ได้ ถือวิสาสะสอดมือเข้าไปใต้สาบเสื้อเพื่อสัมผัสผิวเนียน
เคล้าคลึง...บีบคั้น จนได้ยินเสียงครางหวานปนเสียงหายใจหนักๆ อย่างเร้าอารมณ์
ผมผละจูบออกมาแล้วไล้ริมฝีปากไปตามใบหน้าใส ไล่ไปจนถึงปลายคาง ฉกฉวยลงไปที่ซอกคอหอมกรุ่น กดจูบ... ดูดดุน ทิ้งร่องรอยแสดงความเป็นเจ้าของอย่างเอาแต่ใจ คนตัวเล็กสะดุ้งสุดตัว เมื่อผมถือวิสาสะถลกเสื้อยืดสีขาวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วเคลื่อนริมฝีปากลงไปพรมจูบทั่วผิวบอบบาง
“ดะ... เดี๋ยวครับ...” เสียงแหบสั่นพยายามร้องห้าม แต่ร่างบางกลับบิดเร่าทันทีที่เรียวลิ้นลากไล้ไปยังจุดอ่อนไหวบนแผ่นอก โลมเลียชิมรสจนพอใจ ทว่าปลอบประโลมจนคนที่ผลักไสยอมโอนอ่อนผ่อนตาม
ผมยิ้มมุมปากก่อนจะฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายตกอยู่ในห้วงความรู้สึกหวามไหว เคลื่อนริมฝีปากต่ำลงไป... กดจูบลงบนจุดอ่อนไหวที่กำลังตื่นตัว
“คะ... คุณซัน!” สะดุ้งเฮือกเรียกชื่อผมอย่าตื่นตระหนก ทำท่าจะกระถดตัวหนีแต่ผมก็รั้งสะโพกไว้ เงยหน้าขึ้นสบตาอย่างเว้าวอน
“ไม่... ไม่เอา” มองคนที่ส่ายหน้ารัวแต่ร่างกายกลับตอบสนองตรงกันข้ามแล้วได้แต่ยิ้มขำ กดจูบลงไปตรงส่วนเดิมอีกครั้ง...
แต่คราวนี้ลากลิ้นผ่านผิวผ้าบางอย่างเชื่องช้า... แสดงความต้องการ
จนกระทั่งเสียงปฏิเสธเปลี่ยนเป็นเสียงครางหวาน จึงใช้นิ้วเกี่ยวรั้งขอบกางเกงลงเผยให้เห็นส่วนที่กำลังขยายตัวด้วยแรงอารมณ์
ผมเผลอเลียริมฝีปาก พลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยความรู้สึกประหลาดที่เข้าจู่โจมจนรู้สึกปวดหนึบบริเวณส่วนลับที่กำลังพองโตคับแน่นไม่แพ้กัน ร้อนรุ่มไปหมดราวกับยืนอยู่ท่ามกลางเปลวไฟ... ไฟปรารถนา ที่ผลักดันให้ผมตัดสินใจเคลื่อนใบหน้าลงไป ครอบครองส่วนที่กำลังร้อนจัดไว้... ด้วยริมฝีปากตัวเอง
“คุณซัน...” ไม่สนใจเสียงร้องห้าม หรือมือบางอันไร้เรี่ยวแรงที่พยายามจะดันไหล่ผมออกไป ก้มหน้าลงไล้เลียส่วนร้อนตรงหน้าด้วยความรู้สึกคล้ายกับเด็กที่กำลังละเลียดของหวานอันโอชะที่ไม่เคยลิ้มลอง
มอบสัมผัสลึกซึ้งแบบที่ไม่เคยมอบให้ผู้ชายคนไหน โดยไม่รู้สึกรังเกียจ หรือตะขัดตะขวงใจใดๆ ...ตรงกันข้าม... กลับเป็นฝ่ายสุขสมขึ้นมาเสียเอง
“ซัน...” ได้ยินเสียงแหบพร่าเรียกชื่อผมเบาๆ ขณะที่ร่างกายเริ่มตอบสนองตามจังหวะของเรียวลิ้นและริมฝีปากที่กำลังอุกอาจอย่างเอาแต่ใจ มือบางเลื่อนขึ้นมาขยุ้มกลุ่มผมของผมไว้ แต่มืออีกข้างกลับปัดป่ายสะเปะสะปะอย่างหาที่ยึดเหนี่ยวไม่ได้ จนผมต้องเอื้อมมือไปคว้ามือบางสอดประสานนิ้วมือเข้าด้วยกันแล้วกุมไว้อย่างนั้นอย่างปลอบประโลม
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างไม่อาจห้าม ไฟปรารถนาลามเลีย โหมกระหน่ำ จนร่างกายคล้ายจะลุกไหม้
ผมใช้ริมฝีปากปรนเปรอพร้อมกับตักตวงรสสัมผัสหวานล้ำด้วยความรู้สึกมากมายที่เอ่อล้นขึ้นมาในใจ พร้อมกับมองเจ้าของใบหน้าใสที่ชุ่มเหงื่อ เจือหยาดน้ำตาแห่งความเสียวซ่านแล้วรู้สึกคล้ายกับทุกส่วนข้างในกำลังจะระเบิดออกมาในทุกวินาที
“ซัน...” ยิ่งได้ยินเสียงแหบพร่าเอ่ยชื่อผมซ้ำไปซ้ำมา พยายามรั้งใบหน้าขึ้นไปหา ผมยิ่งดื้อดึง ครองครองตัวตนอีกฝ่ายด้วยริมฝีปากตัวเองอยู่อย่างนั้น... เร่งเร้าจังหวะ รุกไล่รุนแรง... จนกว่ามันจะคลายความทรมาน
เพียงไม่นาน... เสียงครางหวานก็ดังลั่น ร่างบอบบางกระตุกเกร็ง ปลดปล่อยออกมาจนเต็มโพรงปาก ล้นทะลักอย่างไม่อาจควบคุม... ซึ่งผมก็พร้อมจะกลืนกินทุกหยาดหยดโดยไม่มีความลังเล
“ซัน... ซันครับ” คราวนี้ผมเคลื่อนตัวขึ้นไปอย่างไม่คิดอิดออด มองใบหน้าที่ผ่านความรู้สึกสุขสมและยังเต็มไปด้วยอารมณ์ปรารถนาอย่างพึงพอใจ ยิ้มบางๆ ขณะปล่อยให้นิ้วเรียวปาดคราบน้ำรักออกจากริมฝีปากให้เบาๆ ดวงตาคู่สวยหยาดเยิ้มด้วยน้ำตามองหน้าผมนิ่งอยู่นาน ก่อนจะกระซิบเรียกชื่อผมอีกครั้ง แล้วเป็นฝ่ายรั้งใบหน้าของผมลงไปประทับจูบเสียงเอง
บดริมฝีปากแนบแน่น ไล้ลิ้นสอดเข้ามาตามรอยแยกของฟัน เกี่ยวกระหวัดกวาดสะเปะสะปะไปทั่วราวกับจะชำระล้างริมฝีปากให้กัน จนผมหลุดเสียงครางต่ำในลำคอกับสัมผัสวาบหวาม ที่โหมกระหน่ำไฟปรารถนาซึ่งยังไม่ได้รับการปลดปล่อยให้ทวีความรุนแรง
เริ่มไล้ลากริมฝีปากไปตามใบหน้าและซอกคอหอมกรุ่นที่เคยพรมจูบทั่วทุกตารางนิ้วอีกครั้ง ก่อนจะหยุดอยู่ที่แผ่นอกซึ่งกำลังกระเพื่อมไหวตามจังหวะหายใจ แช่สัมผัสอยู่ตรงนั้นเมื่อรับรู้ได้ถึงความถี่ของการเต้นของหัวใจ แล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ เคลื่อนใบหน้าขึ้นไปกดจูบบนริมฝีปากบาง แล้วกระซิบเบาๆ
“รัก”
เอ่ยย้ำเหตุผลของทุกการกระทำ เพื่อให้อีกฝ่ายได้เข้าใจ
“ได้ยินมั้ย?” กระซิบถามทั้งที่รู้คำตอบผ่านจังหวะการเต้นของหัวใจที่เปลี่ยนไป แต่ก็ยังอยากได้คำยืนยันจากเจ้าของร่างกายที่นิ่งไป ปล่อยให้หยาดน้ำหยดหนึ่งไหลลงมาจากดวงตา เผยรอยยิ้มกว้าง พลางพยักหน้ารัว
ผมหัวเราะ กดจูบอีกครั้ง แล้วก้มลงกัดปลายคางด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะเลื่อนริมฝีปากลงมากดจูบซ้ำลงตรงตำแหน่งหัวใจ ปลอบประโลมด้วยกลัวว่ามันจะทำงานหนักเกินไปจนพังทั้งที่ยังไม่ทันได้ทำในสิ่งที่ค้างอยู่ให้แล้วเสร็จไป
“โชกุนครับ”
ยังหรอก... ยังไม่อนุญาตให้หัวใจวาย
“ต่อเลยนะ”
เพราะถ้ามันจะวาย... ก็ต้องตายพร้อมกัน
...บนสวรรค์ชั้นสูงสุดที่ผมกำลังจะพาไป
------------------------------------------------------------------------------
น่าจะเป็นตอนที่ตรงกับชื่อหลงตะวันที่สุดแล้วล่ะค่ะ
อยากทอล์กมากมาย แต่เขินอ่ะ เอาไว้เม้าท์มอยใหม่ตอนหน้านะคะ 55555