สวัสดีครับ มาแล้วๆๆๆ ช่วงนี้พยายามอัพให้ถี่จะปิดเรื่องให้ได้ครับ จะได้ไปปั่นเรื่องเดิมต่อ
เหลืออีกไม่กี่ตอนแล้ว ฝากด้วยนะครับ +1 ให้กับทุกเมนต์ด้วยครับ ขอบคุณจริงๆ
ตอนที่ ๑๑ "อย่างที่รู้ว่าน้าน้ำเป็นคนดูแลเครื่องไอศกรีมนี้ ดังนั้น เด็ก ๆ จะต้องช่วยน้าเข้าใจไหมคะ" ปรายฟ้ายืนกอดอกหน้าเครื่องทำไอศกรีม มองดูเด็กตัวน้อยสองคนที่ยืนส่งสายตาใสแจ๋ว "แล้วถ้าเป็นเด็กดี สงกรานต์นี้ น้าสัญญาว่าจะซื้อปืนฉีดน้ำให้กับทุกคน"
ชาฮิดและมีราส่งเสียงเฮ กระโดดโลดเต้นดีใจไปตามประสาเด็ก ๆ
เด็กก็มักจะเป็นอย่างนี้ มีความสุขกับเรื่องง่าย ๆ ที่ผู้ใหญ่เห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระไม่มีค่า ตรงไปตรงมา ไม่มีเตียงสามารยาแบบผู้ใหญ่ แสงไฟจากโคมที่ติดบนเพดานสร้างบรรยากาศของร้านอาหารขนาดย่อมแห่งนี้ให้แตกต่างไปจากโลกที่แสนร้อนระอุภายนอก ในร้านเป็นเหมือนสวรรค์เล็ก ๆ สำหรับผู้ที่ต้องการพักผ่อน ไม่ต้องโก้หรู มีพิธีรีตรอง เป็นร้านประเภทที่สามารถสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นมานั่งทานอะไรสบาย ๆ ได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมองว่าผิดมารยาท หญิงสาวตระเตรียมข้าวของที่ส่วนมากจะเป็นผลไม้กับของเชื่อมต่าง ๆ เพื่อใช้สำหรับแต่งหน้าไอศกรีม เสร็จเรียบร้อยแล้วก็หยิบผ้าผืนเล็ก ๆ มาใช้ทำความสะอาดไปทั่วเคาน์เตอร์โดยมีลูกสมุนเป็นเด็กตัวน้อยสองคนที่คอยช่วยอย่างแข็งขัน
"แล้วธีมหายไปไหนกันนะ มีใครเห็นหรือเปล่า" ปรายฟ้าหันไปถามเด็ก ๆ ทั้งสอง แต่ทั้งชาฮิดและมีราก็ส่ายหัวไม่รู้ "ลูกฉัน ให้มันได้อย่างนี้สิน่า" ปรายฟ้าบ่นพึมพำกับตัวเองแล้วหันไปทำงานต่อ
สักพักใหญ่ ๆ ประตูร้านก็เปิดขึ้นพร้อมกับร่างของเด็กตัวน้อยที่มอมไปทั้งตัว ธีมยกมือขึ้นซับเหงื่อบนแก้ม แผลถลอกสด ๆ ที่อยู่บนนั้นทำให้เด็กตัวน้อยสะดุ้ง แต่พอเห็นผู้เป็นแม่มองอยู่ เจ้าตัวแสบก็ตั้งท่าวิ่งหนี
"หยุดอยู่ตรงนั้นแหละธีม" เสียงของปรายฟ้าทำให้ขาเล็ก ๆ หยุดชะงัก "ไปต่อยตีกับใครมาอีกแล้ว"
เด็กตัวน้อยปากแข็งกว่าที่คิด ปิดปากเงียบจนปรายฟ้าอ่อนใจ
มีราที่เห็นธีมมีแผลก็รีบเดินมาถามด้วยความเป็นห่วง "พี่ธีมเจ็บไหม"
"ไม่ต้องมายุ่งน่า" คำตอบนั้นสำหรับมีราและปรายฟ้าผู้เป็นแม่
ชาฮิดเห็นท่าทางของธีมก็เป็นห่วง แล้วพอเห็นน้าน้ำที่ปกติดูใจดีนักหนาหน้าเคร่งขึ้นมาก็รีบเดินเข้ามาขอ "น้าน้ำอย่าตีธีมเลยนะครับ ถ้าจะตี ตีผมแทนแล้วกัน เพราะน้าน้ำฝากให้ดูแลแล้วแต่ผมกลับดูแลไม่ดีเอง"
"อุ๊ยต๊าย...น่าเอ็นดู"คำตอบของเด็กผู้ชายที่สูงที่สุดในกลุ่มทำเอาหญิงสาวอารมณ์ดีขึ้นทันตา
"น้าไม่ตีหรอกจ๊ะ สัญญา" ปรายฟ้าหัวเราะคิก ไม่รู้ว่าอมริตาเลี้ยงลูกแบบไหนถึงได้น่ารักน่าชังแบบนี้ "แต่ชาฮิดดูแลน้องธีมให้น้าได้ไหม อย่าให้มีเรื่องแบบนี้อีก ไม่อย่างนั้นคราวหน้า น้าจะชาฮิดเป็นคนตีธีมแทนหน้า"
ต้นเหตุที่ยืนเงียบอยู่หลังพี่ชายตัวโตส่งเสียงประท้วงขึ้นทันที "แม่อ่า...ไม่ต้องเลยนะ"
"ทำไมยะ"
เด็กชายชวิศโวยวายดังลั่น "แม่พูดยะได้ยังไง แล้วพูดแบบนั้นกับชาฮิดได้ไง ไม่ต้องเลยนะ ไม่ยอม ยังไงก็ไม่ยอม ไม่ได้นะ !" ไม่พูดเปล่า ดึงชาฮิดไปซ่อนด้านหลังอีก
โถ...ตัวเท่าเมี่ยง เขาสูงกว่าเธอไหมจ๊ะธีมน้อย
"ไม่ได้นะคะ น้าน้ำห้ามทำพี่ธีมร้องไห้นะคะ" พอเห็นธีมทำท่าจะร้องไห้ มีราก็ชิงปล่อยโฮออกมาก่อนเพื่อน ร้อนถึงพี่คนโตสุดอีกรอบที่ต้องมาปลอบน้องสาวแท้ ๆ ของตัวเองไม่ให้ร้อง
"มีราไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวพี่ดูแลเอง มีราก็อย่าร้องไห้นะ"
"ค่ะพี่"
ไม่เท่าไร เด็กหญิงก็ดูจะสะอื้นน้อยลง มีราเป็นเด็กหัวอ่อน ว่านอนสอนง่าย ลองถ้าเป็นลูกชายตัวแสบของเธอสิ จะมีแบบนี้ไหมล่ะ ดูสิดู ดูเจ้าธีมเสียก่อน ยังมีหน้ายกนิ้วขึ้นมาอุดหู ทั้งที่มีราเป็นคนช่วยตัวเองแท้ ๆ
"ช่วยน้าน้ำนะ เดี๋ยวพี่จะไปดูพี่ธีมให้" ชาฮิดหันไปกำชับกับน้องสาว ปรายฟ้ามองดูเด็กหญิงพยักหย้าหงึก ๆ เชื่อฟังที่พี่ชายสอนทุกอย่าง แปลกแสนแปลกทั้งที่ชาฮิดดูจะเป็นคนใจดีแท้ ไม่ค่อยจะเอ็ดตะโรใครแท้ ๆ แต่กลับกล่อมใครต่อใครได้อยู่หมัด มีราก็หนึ่ง ไหนจะลูกของเธออีก ดูเหมือนจะถูกความใจดีของพี่ชาฮิดทำให้ติดแจไม่ไปไหน ตกดึกก็ร่ำ ๆ ว่าจะเอาพี่ชาฮิดกลับมาบ้านทุกคืนจนปรายฟ้าไม่รู้จะตอบคำถามลูกตัวเองยังไง
"เลี้ยงลูกยังไงกันนะคะ น้ำละนับถือจริง ๆ" เธอส่งเสียงถามอมริตาที่อยู่ใกล้ ๆ
"ทำไมมีเรื่องอีกแล้ว ไหนสัญญากันแล้วไงว่าจะไม่มีเรื่องกับใครอีก พี่โกรธนะ รู้ไหม"
"แทบไม่มีเวลาเลยค่ะ แต่คงเพราะว่าเขาติดพ่อมาก เคยรับปากพ่อไว้ว่าจะดูแลน้องอย่างดี ก็เลยเหมือนจะตั้งใจรักษาสัญญาเอาไว้ให้ได้น่ะค่ะ"
ฟังแล้วปรายฟ้าก็อมยิ้ม มองชาฮิดที่วิ่งตามลูกเธอไปไหนต่อไหนแล้ว "คล้ายกับธีมเลยค่ะ เด็กคนนั้นจริง ๆ แล้วก็รักพ่อมาก"
อมริตาเดินมาสบทบกับปรายฟ้าที่มองดูเด็กชายตัวเล็กสองคนแล้วก็หมาตัวอ้วนปุ้มปุ้ยอีกสองตัวที่วิ่งตาม ๆ กันไปบนทางเดินเล็ก ๆ ในซอยที่ขวักไขว่ไปด้วยผู้คน "เด็กผู้ชายมักติดพ่อน่ะค่ะ เราก็ดูแลเขาไปเท่าที่จะทำได้"
ชาฮิดคว้าชายเสื้อของร่างเล็กที่วิ่งอยู่ตรงหน้า ธีมก็เลิกวิ่งแต่โดยดี เด็กชายสองคนหอบแฮ่ก พร้อมกับลูกสมุนสองชีวิตที่วิ่งตามกันมาเพราะนึกว่ากำลังเล่นไล่จับกัน ลิ้นห้อยกันไปตาม ๆ กัน
"ธีมไม่รู้เหรอว่าพี่เป็นห่วงนะ ลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่กด้วย เห็นไหม"
ตัวปัญหาเงยหน้ามองชาฮิดแล้วมองสุนัขสองตัวที่นั่งแลบลิื้นแดง ๆ จนเกือบจะถึงพื้นอย่างรู้สึกผิด "ขอโทษครับ"
ชาฮิดจูงมือธีมไปที่เดิมซึ่งทั้งสองเคยมานั่งเล่นกันคราวก่อน พี่ชายดูแผลแล้วทำท่าเจ็บแทน เด็กน้อยดึงผ้าเช็ดหน้าลายโปรดขึ้นมาซ้บแก้มน้องเบา ๆ แล้วหยิบยาที่ติดมือก่อนออกจากร้านมาเปิดฝา "พี่ทายาให้"
"แต่..."
"ไม่ต้องแต่"
"แม่บอกว่าลูกผู้ชายค้องห้ามแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น" ธีมอิดออด "โดยเฉพาะ...คนที่เรารัก"
ชาฮิดฉีกยิ้มกว้างจนธีมก้มหน้าหลบด้วยความเขิน
"แต่พี่อยากให้ธีมร้องไห้กับพี่ เพราะพี่จะได้ดูแลธีมได้ไง"
"ได้เหรอ ?" ดวงตาเล็ก ๆ ของเด็กชายชวิศเป็นประกาย
"ได้สิ เป็นความลับของเราสองคนไง"
สิ้นคำ ธีมก็โผเข้ากอดชาฮิดแล้วร้องไห้โฮจนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาหันกลับมามอง "ชาฮิด...ชาฮิดดดด..."
อุ้งมือเล็ก ๆ ของคนที่ตัวสูงกว่าลูบเบา ๆ ไปบนผมที่ยุ่งเหยิงนั้นก่อนจะสวมกอดคนที่ร้องไห้อยู่จนแนบแน่น "ไม่เป็นไรแล้วนะ พี่อยู่ตรงนี้"
"ขอโทษนะ จะไม่ทำให้เป็นห่วงอีกแล้ว สัญญา"
"โอ๋ ๆ เจ็บไหมเนี่ย"
ธีมสะอื้นจนตัวสั่น "เจ็บมากกก...เจ็บมากเลยยยย...โฮฮฮฮ..."
แดดกลางฤดูร้อนส่องสว่างไปทั่วกรุงเทพ ท้องฟ้าใสสะอาด แดดจ้าและร้อนจัดติดต่อกันมาหลายวันอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด พรุ่งนี้จะเป็นวันที่มีอากาศร้อนที่สุดกว่าทุกปีที่ผ่านมา สายลมเอื่อยโชยพัดมาสะกิดผิว นาน ๆ ทีอาร์มจะได้สัมผัสกับกระแสลมที่ปกติจะพัดอยู่ตลอดเวลาในบริเวณนี้ บ้านของหนึ่งเป็นบ้านเรียกลม เย็นสบายตลอดทั้งปี จะเว้นก็แต่ปีนี้ที่พระอาทิตย์ชนะทุกสิ่ง เรียกว่าสาดแดดแจ๋ทั้งวันกะจะฆ่ากันให้ตาย
ถังขยะยืนหลบแสงแดดอยู่มุมเสาไฟฟ้า อริยะเดินผ่านทางที่คุ้นเคยด้วยแรงเฉื่อย ร้อนจนเหนอะหนะไปทั้งตัว ร้อนจนขี้เกียจ ร้อนจนไม่อยากจะทำอะไร แม่บอกว่าหนึ่งไม่อยู่บ้าน เพิ่งจะออกไปเมื่อกี้
ร้อนแบบนี้จะออกไปไหนกันนะ อริยะได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเองแล้วทำหน้าเบื่อ นั่นเท่ากับว่าวันนี้เสียเที่ยวอย่างนั้นสินะ กระจกบนแว่นสะท้อนเป็นแนวรั้วสลับกับกำแพงทาสีขาวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนที่ปลายเท้าทั้งสองข้างจะชะงักงันเมื่อเงาสะท้อนที่อยู่บนสายตานั้นเปลี่ยนไปเป็นภาพของหนึ่ง...กับอีกคนที่คุ้นตา
คุยอะไรกันนะ แล้วทำไมรินถึงมาอยู่ที่นี่ อาร์มตั้งคำถามกับตัวเองด้วยความสงสัย เขาควรจะเดินเข้าไปไหม แต่การที่รินมาหาหนึ่งโดยไม่บอกอะไรเลยอาจจะมีธุระส่วนตัวก็ได้มั้ง เรื่องขี่จักรยานอย่างนั้นเหรอ จะว่าไปแล้วเขาก็ยังไม่ได้บอกเธอเลย คิดดูแล้วอาร์มก็เลือกที่จะยืนหลบอยู่ที่หัวมุมถนน เด็กหนุ่มถอนใจ กระพือเสื้อตรงอกแล้วมองแดดซึ่งลามเลียอยู่ที่รองเท้าผ้าใบทั้งสองข้าง
"ขอโทษนะที่มารบกวนโดยไม่บอกล่วงหน้า" เสียงเล็ก ๆ ของรินดังขึ้นในความเงียบ ไม่บอกก็รู้ว่าเธอกำลังทำหน้ายังไง
"ไม่เป็นไรหรอก แต่รู้จักบ้านเราด้วยเหรอ" หนึ่งตอบ ยิ้มน้อย ๆ ให้คนที่นั่งอยู่เคียงข้าง "มีธุระอะไรน่ะ เรื่องทริปจักรยานหรือเปล่า ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ เราคงไปไม่ได้ เราถีบจักรยานไม่เป็นน่ะ ขอบคุณนะที่ชวน"
"อย่างนั้นเหรอ" เสียงของระรินดูเจื่อนลงจนรู้สึกได้ เธอเงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง "หนึ่งดูสนิทกับอาร์มมากเลยนะ แต่เราสองคนก็อยู่เอกเดียวกัน เรียนด้วยกันหลายวิชา กลับไม่ค่อยมีโอกาสได้คุยกันเลย"
พิธานนิ่งเหมือนจมอยู่กับความคิดตัวเอง พูดทุกคำออกมาอย่างยากลำบาก "ก็เป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานานแล้วน่ะ"
"นั่นสินะ เป็นเพื่อนกันก็เลยสนิทกัน" ระรินมองจ้อง ดวงตาคู่นั้นบอกอะไรมากกว่าสิ่งที่เธอพูด "รินคิดมาตลอดเลยนะว่าหนึ่งเป็นคนดีนะ เรียนก็เก่ง สอบได้คะแนนสูง ๆ เกือบทุกวิชา แล้วก็หน้าตาก็ดีด้วย"
"สู้อาร์มไม่ได้หรอก" หนึ่งก้มหน้าลง หัวเราะน้อย ๆ ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่อยู่ตรงนี้ รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะสดใสก็ช่างตามมาหลอกหลอนกันให้เจ็บปวด "มีอะไรหรือเปล่าริน พูดมาตรง ๆ เถอะ ไม่ต้องอ้อมค้อมหรอก"
"ขอโทษค่ะ" เสียงนั้นเบาแผ่ว แต่เน้นความหมายในทุกพยางค์กว่าทุกครั้ง
"หนึ่งมีคนที่ชอบอยู่หรือเปล่า"
ฝ่ามือทั้งสองข้างของหนึ่งรวบเข้าหาตัวเองโดยไม่รู้ตัว เล็บทั้งห้าฝังลงที่กลางมือจนขึ้นรอยแดง "เรื่องนั้น...จะไปมีได้ยังไงกัน"
ผู้หญิงเนี่ย ทำไมถึงชอบทำอะไรแบบนี้นักนะ อาร์มบ่นกับตัวเองแบบนั้น ร่างสูงเอนหลังพิงกำแพงแล้วถอนใจเหนื่อย ยิ้มเบื่อ ๆ ให้กับตัวเอง
ระรินเงียบไปนาน เหมือนถ้อยคำมากมายในใจนั้นกำลังกร่อนลงในร่างเล็กที่ไหวสะท้านน้อย ๆ นั้น ทุกอย่างเป็นไปอย่างเชื่องเช้า ช้าจนระรินได้ยินเสียงหัวใจเต้นจนนับครั้งได้ เด็กสาวตั้งสติ พร่ำบอกกับตัวเองว่าทุกอย่างกำลังจะเข้าที่ทางแบบที่มันควรจะเป็น
"ถ้าอย่างนั้น คบกับเราได้ไหม"
พูดจบแล้วก็ก็ก้มหน้างุด เส้นเลือดเล็ก ๆ บนสองแก้มย้อมผิวขาวจนปลั่งสีฝาดเลือด ระรินดูลนลาน ทำอะไรไม่ถูก มือไม้ดูจะอยู่ผิดที่ผิดทางไปหมด "เอ่อ...ขอโทษนะ มันดูแย่ใช่ไหม ขอโทษนะ จะถือว่าไม่เคยได้ยินก็ได้"
อาร์มยืนอึ้ง ร่างกายเหมือนจะไร้เรี่ยวแรงขึ้นมากะทันหัน พอ ๆ กับความรู้สึกหงุดหงิดที่พลุ่งพล่านขึ้นมาในใจ
"เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น แต่รินคบอยู่กับอาร์มไม่ใช่เหรอ"
ระรินตอบ "ไม่ใช่นะ ไม่ใช่แบบนั้น เป็นแค่เพื่อนกันจริง ๆ"
"นั่นเพราะว่าอาร์มสนิทกับหนึ่งต่างหาก เพราะเราไม่กล้าที่จะคุยหรือพูดอะไรกับหนึ่งตรง ๆ เราก็เลย..." เด็กสาวละล่ำละลัก "เรื่องแบบนี้ผู้หญิงพูดมันดูไม่ดีไม่ใช่เหรอ"
แขนขาไร้กำลังจะทรงตัว อาร์มทรุดขาลงนั่งกับพื้น เขาหายใจแรง นึกโมโหที่ทุกอย่างลงเอยแบบนี้
ผู้หญิงน่ะขี้โกง ทั้งที่เป็นเขาไม่ใช่หรือที่สมควรจะพูดแบบนั้นกับหนึ่งมากกว่า ทั้งที่เขาใช้เวลากับเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยกัน หัวเราะ ร้องไห้ เรื่องที่ดี ๆ เรื่องที่แย่ ๆ ทั้งที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านอะไรด้วยกันตั้งมากมาย สั่งสมความรู้สึกทีละเล็กทีละน้อยทุก ๆ วัน และทำแบบนี้ทุกวันโดยไม่มีขาด เธอรู้หรือเปล่าว่าหนึ่งมีความสุขกับเรื่องอะไร ชอบฟังเพลงไหน ชอบกินอะไร ชอบทำอะไร เธอไม่รู้อะไรเลย เธอไม่รู้เลย
ขี้โกง ! ขี้โกงชัด ๆ ! ทั้งที่อยากจะพูดคำ ๆ นี้มาตั้งนานแสนนาน แต่ก็ทำไม่ได้ แต่ผู้หญิงเนี่ย...เพราะว่าเป็นผู้หญิงถึงพูดเรื่องแบบนั้นกับหนึ่งได้ง่าย ๆ แค่เพราะว่าเธอไม่ใช่ผู้ชายเหมือนกันแค่นั้นเอง ทั้งที่ตั้งใจจะกันให้ห่างแท้ ๆ ทั้งที่ทำทุกอย่างแล้วแท้ ๆ
บ้า...บ้าจริง มันคงจบลงแล้วสินะ
"ไม่จริงน่า" หนึ่งพึมพำกับตัวเองอย่างไม่เชื่อหู
"ถ้าหนึ่งไม่มีใคร รินก็อยากจะลองเสี่ยงดู กว่าจะถึงวันนี้ ต้องรวบรวมความกล้ามาก ๆ เลย แต่ถ้าช้าไปกว่านี้ รินก็กลัวว่าหนึ่งจะชอบใคร"
"นี่มันงงไปหมดแล้ว เรื่องจริงหรือล้อกันเล่นเนี่ย" และยังคงพูดกับตัวเองเหมือนสิ่งที่เพิ่งได้ยินนั้นไม่ใช่เรื่องจริง "เอ่อ...คือ...ขอโทษที มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย"
เขาเคยชอบแอบมองระริน เธอเป็นผู้หญิงที่สวย ทว่าในแต่ละวัน คนที่ดึงความสนใจไปเกือบทั้งหมดคืออาร์ม ตัวติดกัน ไปไหนก็ไปด้วยกันตลอด จากคำว่าเพื่อน ความรู้สึกดี ๆ มันไปไกลมากมายกว่านั้นจนต้องทนเจ็บเก็บเอาไว้แบบนี้ พอได้มายินอย่างนี้ มันทำให้เขางงจนทำอะไรไม่ถูก
หนึ่งตั้งสติ พยายามรวบรวมความคิดที่ระเนระนาดของตัวเองประกอบขึ้นมาเป็นชิ้นส่วนอีกครั้ง
"ขอบคุณมากนะริน แต่เราต้องขอโทษจริง ๆ อย่าโกรธกันเลยนะ ยังไงก็ไม่ได้หรอก ยังไงก็เป็นไปไม่ได้จริง ๆ" หมัดทั้งสองข้างกำจนแน่นเหมือนไม่รู้เจ็บปวด "อาร์มรักรินมากนะ"
รอยยิ้มเฝื่อนของระรินฝาดไปด้วยความปวดร้าว คำตอบที่ค้างคาอยู่ในใจมานานนั้นชัดเจนพอแล้วที่จะยอมรับกับความเป็นจริง เด็กสาวลุกขึ้นยืนอย่างโงนเงน แต่ก็แข็งแรงพอที่จะทรงตัวอยู่บนปลายเท้าทั้งสองข้าง
"ขอโทษนะ" พิธานเอ่ยซ้ำ ๆ
ดวงหน้าที่พยักเบา ๆ นั้นคล้ายกับเป็นการยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างโดยดี ระรินเดินกลับไปที่ที่เธอมาอย่างเชื่องช้า แต่ละก้าวไม่ได้ง่ายนัก กระนั้นก็ไม่ยากเกินกว่าที่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แบบเธอจะทำได้ "รินมีเรื่องอยากจะขอร้องได้ไหม อย่าจับเราไปคู่กับใครเลยนะ ได้ไหม ?"
"ได้สิ เรารับปาก"
"หนึ่ง..." เสียงหวานนั้นแผ่วเหมือนจะละลายไปในแสงแดดฤดูร้อน
"ไม่รู้จริง ๆ น่ะเหรอว่าคนที่อาร์มรักเป็นใคร"
ระรินเดินจากไปแล้ว แต่หนึ่งยังคงนิ่งขึงอยู่กับที่ หัวสมองจับเรียงระบบความคิดที่ทะลักทลายเข้ามาอย่างรวดเร็วกว่าจะเข้าใจและจัดการได้ คำถามประเภทที่ว่าเป็นไปได้รึ มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน นับจากนี้ทุกอย่างจะเป็นอย่างไร ต่างรุมเร้ารอบตัวจนทำอะไรไม่ถูก
พระอาทิตย์เปล่งแสงเข้มข้นกว่าทุกวัน ความร้อนนั้นแทงทะลุผ่านชั้นผิวหนัง ซึมเข้าสู่กระแสโลหิตแล้วไหลเข้าสู่หัวใจ กล้ามเนื้อที่เล็กเท่ากำปั้นกำลังเต้นแรงเหมือนจะระเบิด มันไม่ได้เจ็บปวดทรมาน ความร้อนที่มากับคำถามสั้น ๆ นั้นแค่เคาะประตูสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่แอบซ่อนในเงามืด จูงมือให้เดินออกมายืหยัดตรงที่ควรอยู่ จับมือให้กางแขนออก และขยับปากให้ฉีกยิ้มกว้างที่สุด...เพื่อรับแสงแดดของฤดูร้อนที่ร้อนกว่าทุกปี
หนึ่งเดินผ่านหัวมุมถนนด้วยปลายเท้าที่เหมือนก้าวย่างอยู่บนเมฆ ไม่รู้เลยว่าไม่กี่นาทีก่อน มีใครคนหนึ่งนั่งมองเขาจากมุมเล็ก ๆ ตรงนี้
ตรีเดินตัวปลิวออกมาจากฉากพร้อมกับเสียงปรบมือตามมารยาทของทีมงาน พอไม่มีดนัยแล้ว ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาวะเดิมแบบที่เคยเป็๋นมา ก่อนหน้านี้ ในแต่ละวันเขาก็แค่มาทำงาน อ่านข่าวไปตามสคริปต์ รายการประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์อะไรเลย ไม่จำเป็นต้องมีความรู้อะไรมากมาย อาศัยแค่เป็นคนพูดเก่ง คุ้นกล้อง อ่านภาษาไทยแตกฉาน แล้วจากนั้นก็พูดไปตามเทปข่าวที่ทีมงานเตรียมไว้ หรือไม่ก็ตามที่หนังสือพิมพ์เขียน ใส่ความคิดเห็นอะไรไปแบบชาวบ้าน ๆ กลุ่มเป้าหมายจริง ๆ ของคนดูรายการประเภทนี้คือคนที่ขี้เกียจจะอ่านหนังสือพิมพ์เอง หรือไม่ก็คนที่ว่างไม่มีอะไรจะดู น่าเศร้าที่รายการประเภทนี้ดูจะเป็นที่นิยมมากขึ้นในโลกปัจจุบันนี้ ทั้งที่รายการจำพวกนี้อักแน่นไปด้วยสปอนเซอร์เกือบทั้งรายการ สาระที่ได้ไปเรียกว่าน้อยจนแทบจะไม่มี
ในตอนนั้นที่เข้ามาคัดเลือก ด้วยภาพลักษณ์ที่เป็นคนรุ่นใหม่ พูดภาษาอังกฤษฉะฉาน แถมจบมาด้านการวิเคราะห์ตลาดโดยตรงทำให้ผู้ใหญ่ยัดตรีลงมาที่รายการเล่าข่าวที่ใคร ๆ ก็อยากมานั่งตรงนี้
แต่ไม่ใช่ตรี พงษ์พิพัฒน์
เพราะตรี พงษ์พิพัฒน์ไม่ใช่แค่ใคร ๆ คุณพ่อบอกมาเสมอว่าลูกเป็นคนพิเศษ และตรีก็จำคนนั้นได้ขึ้นใจ เวลาไปทานอาหาร เขาไม่เคยสั่งแบบธรรมดา คำว่าธรรมดาถือเป็นของแสลงหูสำหรับตรีกว่าที่ใครจะคาดคิด
"พี่โอนเปอร์เซ็นต์ค่าสปอนเซอร์ให้น้องตรีแล้วนะคะ" ดาน่าส่งข้อความมาทางไลน์
"น้องตรีรอก่อนนะคะ อย่าเพิ่งกลับ"
ตรีแค่เปิดอ่านแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับเพราะมันไม่ใช่สาระสำคัญ สำหรับการทำงานตรงนี้ คนอื่นอาจจะหวังรายได้เงินทองที่ได้รับเป็นเปอร์เซ็นต์จากเหล่าสปอนเซอร์ตลอดทุกช่วงโฆษณาและทุกวัน แต่ไม่ใช่ตรี เพราะว่าตรีรวยมาก
ย้ำอีกครั้งว่า...รวยมาก
ดังนั้นความใฝ่ฝันของตรีจึงไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่เป็นการที่จะได้เป็นพิธีกรรายการประเภทวาไรตี้ เน้นความหลากหลาย ความพิเศษ แบบที่ไม่มีในวงการโทรทัศน์ประเทศไทยจริง ๆ อย่างไรก็ตาม ตรีไม่ชอบใจนักที่ผู้ใหญ่คิดจะมาถอดตัวเองออกจากรายการที่ทำอยู่ ถ้าเบื่อแล้ว เขาจะลาออกเอง ไม่ใช่ให้มากดดันกันแบบนี้
"หมดทุกข์หมดโศกแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมทำหน้าเหมือนกับตกนรก" เสียงคุ้นหูดังขึ้น และโดยไม่ต้องหันกลับไปมอง เจ้าตัวก็นั่งจ่อมลงข้าง ๆ เขา
ตรีมองคนตัวสูงที่นั่งหน้าเฉย ด้วยความรู้สึกกรุ่นนิด ๆ "วันนี้ไม่มีอัดของคุณ โผล่มาทำไม"
"คุณดาน่าบอกว่ามีเอกสารที่ต้องจัดการนิดหน่อย เลยให้ผมมาที่นี่" ดนัยตอบ
"แล้วคุณไม่ไปจัดการล่ะ"
เจ้าตัวยักไหล่ทำนองว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เฉไฉไปพูดอีกเรื่อง "วันนี้เขามีปาร์ตี้กัน คุณจะไปด้วยไหม"
โดยไม่ต้องคิด "ผมจะไปเฉพาะ Exclusive Party เท่านั้น"
ดนัยขมวดคิ้ว มันต่างกันก็แค่วิธีเรียกให้ดูดีขึ้นในบัตรเชิญไม่ใช่หรือ หากแต่ความรู้จักคนที่นั่งชูคอมาพอสมควร ชายหนุ่มจึงตอบไปแบบให้มันจบ ๆ "แน่นอนว่ามันพิเศษ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เทปนั้น ไจแอนท์โคลาได้รับผลตอบรับที่ดีมากจนน่าตกใจ แม้แต่รายการของคุณเรตติ้งก็สูงสุดเท่าที่เคยมีมาเลยไม่ใช่หรือ"
แทนที่จะฟังแล้วรู้สึกหน้าบานเป็นดอกทานตะวันแบบที่ดนัยคิด ตรี พงษ์พิพัฒน์กลับทำหน้าเป็นจวักใส่เขา
"กำลังงอนผมอยู่หรือเปล่า"
เมื่ออีกฝ่ายเปิดช่องให้ พิธีกรหนุ่มก็หันไปปาระเบิดใส่ทันที "จำที่คุณทำไว้ไม่ได้หรือไง เมื่อวานคุณทำผมแสบมาก คิดว่ามาร์ก จาคอบจะรู้สึกอย่างไรที่ต้องเห็นเสื้อผ้าที่ตัวเองออกแบบมาเป็นอย่างดีเลอะเทอะไปหมดแบบนั้น"
"ก็คงดีใจ เพราะเดี๋ยวก็คงจะขายเสื้อตัวใหม่ได้อีกตัวสองตัว"
ตรีหยิกเข้าที่ต้นแขนไปหนึ่งดอกเน้นๆ แต่เขาไม่รู้สึก จนคนหยิกต้องค้อนกลับตาเหลือก "นี่ไม่ตลกนะ คุณรู้อะไรไหม ไม่ว่าจะที่โรงเรียนโยคะ ที่สปา ซูเปอร์มาร์เก็ต เดินไปที่ไหนคนยิ้มให้ผมทั้งเมือง"
"คนยิ้มให้ก็โกรธเหรอ"
ตรี พงษ์พิพัฒน์อ้าปากพะงาบ เผลอมองรอยยิ้มตรงหน้าอย่าลืมตัว ไปต่อไม่ถูก
เห็นอีกฝ่ายไม่ว่าอะไร ซ้ำยังดูจะเขินด้วยซ้ำ เจ้าของรอยยิ้มชวนมองจึงแจกต่อแบบไม่ใคร่หวง
"ยิ้มอะไร" พิธีกรหนุ่มแกล้งกลบเกลื่อน เขม่นตาใส่
"ดูว่าคุณจะโกรธผมไหม"
(ยังมีต่อครับ)