2
- - - - - -
มัน…ไม่เหมือนจะเป็นแบบที่คุณทำเลยอ่ะ
(-_-)
- - - - - -
นี่ฉันห่วย หรือฉันห่วยกันแน่?
“ฮือออออออออ ป๊ะ น้องฉันทำผิดอะไร” ในระหว่างที่ฟูมฟายโทรคุยกับคุณป๋าของตนนั้น ฉันชนกก็เหลือบตามองกองขยะอารมณ์ที่เคยเป็นขนมปังและผักสดต่างๆมาก่อน
“เราอาจจะต้องใช้ซอสสำเร็จแล้วล่ะน้องฉัน ป๊ะว่าทำเองไม่น่ารอด”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะสิ”
“อ้าว…แล้วมันยังไง”
“ก็มันไม่มีรสชาติอ่ะ”
“…”
“ป๊ะ บอกผมหน่อยว่าผมลืมใส่อะไร” บางทีฉันก็จะเรียกตัวเองว่าน้องฉันเพราะ ‘ป๊ะและคุณพ่อ’ จะเรียกกันว่าน้องฉัน แต่บางครั้งก็แทนตัวว่าผมบ้าง ก็แหงสิ…ไม่ใช่น้องฉันห้าขวบซะหน่อย จะให้แอ๊บแบ๊วมากมายน่าหมั่นไส้ก็เกรงใจอายุอยู่เหมือนกัน
“ป๊ะว่าน้องฉันลืมว่าตัวเองไม่รับรสนะลูก” เออ ฉันก็ลืมไป…
ใช่เสียที่ไหนเล่า!
‘วธิน’ หรือคนที่ฉันชนกเรียกว่าพ่อและ ‘การันต์’ ที่น้องฉันเรียกว่าป๊ะนั้น ดูจากชื่อแล้วก็รู้ว่าเราสองคนเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ จึงไม่มีคนไหนเลยที่เป็นคนคลอดเด็กคนนี้ขึ้นมา ด้วยความเป็นกำพร้าที่ถูกเลี้ยงมาในสถานรับเลี้ยงเด็กหลังจากที่ถูกพ่อหรือแม่พามาปล่อยทิ้งไว้ ตัวฉันเองและใครๆก็ไม่ทราบได้ว่าบิดามารดาที่แท้จริงคือใคร
วธินกับการันต์เป็นคู่รักเพศชายพวกเขาไม่ได้อุปการะน้องฉันโดยตรงหรอก ทว่าพี่สาวของวธินนั้นเป็นคนทำเรื่อง และหลังจากรับน้องฉันมาเลี้ยงได้ไม่นานเธอก็เสียไป เด็กคนนี้ที่ไม่มีญาติที่ไหนจึงถูกรับต่อมาให้วธินที่เป็นญาติสนิทของคุณแม่บุญธรรมที่จากไปได้ดูแลต่อ
พวกเขานั้นพยายามกันหลายครั้งแล้วที่จะรักษาโรคไม่รู้รสของฉันชนก แต่พาไปหาหมอที่ไหนก็ไม่มีใครบอกได้ว่ามาจากอะไร บ้างก็ว่าเป็นกรรมพันธุ์ และบ้างก็ว่าเป็นเพราะความเครียด ซึ่งก็พอเข้าใจได้ น้องฉันไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น แม้จะถูกเลี้ยงด้วยความรักมาโดยตลอด แต่ก็ไม่ได้หมายความในส่วนลึกของเด็กคนนี้จะไม่ขาดอะไร และเรื่องของความรู้สึกที่เจ้าตัวบ่ายเบี่ยงเสมอนี่
ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ปกครองปัจจุบันจะหยั่งรู้ได้จริงๆ
และเป็นอีกครั้งที่การันต์ปลอบโยนน้องฉันไม่ให้น้อยใจในโชคชะตา พวกเขาไม่อาจจะช่วยรักษาโรคนี้ได้แต่ก็พยายามทดแทนให้ด้วยสิ่งอื่นเสมอ เราวางสายแยกกันไป แต่สิ่งหนึ่งก็ยังคาใจคนที่โทรมาอยู่ดี
ทำไมเมื่อวานรับรสได้
แต่วันนี้…ไม่ได้แล้วล่ะ
“เฮ้อ” เพราะแซนด์วิชที่ได้กินเมื่อวานเป็นเหตุ ทำให้คนได้ลิ้มรสอยากจะกลับมาลองทำกินเองสักครั้งเพื่อพิสูจน์ว่าอาการป่วยของตนได้หายลงไปแล้ว แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ก็ไม่เห็นผลอะไร ยิ่งพยายามก็ยิ่งท้อใจจนพาลไปทำตัวน่ารำคาญใส่คนอื่นเสียได้
ก็ดูในคลิปสอนทำอาหารก็ไม่น่าจะยาก แต่ว่าผู้ชายคนนั้นเขาใส่อะไรลงไปหนอ มันไม่ใช่แค่อร่อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับการรับรู้ของคนทั่วไป ฉันชนกยังอ่อนประสบการณ์ทางการชิมนัก จึงไม่อาจจะบอกได้ว่าที่กินไปเรียกว่าอร่อยหรือยัง แต่ว่าในด้านความรู้สึก นั่นคืออาหารจากแรกเลย…ที่อร่อยจนรู้สึกตื้นตันประทับใจ
จะถามดีไหมน้า…ฉันก็ลังเล
แต่ไปติดๆกันเขาจะมองว่าเราแปลกไหม…ฉันนั้นถามในใจ
“โอ้ย เบื่อ!” ตัดสินใจอะไรไม่ได้สักอย่างแล้วยังต้องมาชำระความกับซากขยะเหล่านี้อีก
แต่ก็ต้องทำไหม? ไม่ทำก็เน่าอยู่ตรงนี้แหละ ไม่มีใครมาทำให้ด้วย เพราะเป็นผู้ใหญ่แล้ว บางทีฉันชนกก็นึกอยากจะกลับบ้านไปให้บุพการีที่รับอุปการะกันเลี้ยงอีกสักครั้ง การย้ายออกมาอยู่คนเดียวเพราะบ้านไกลจากที่ทำงานนั้นบีบบังคับให้ต้องเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่มันก็สมควรนั่นแหละ อายุก็ไม่ใช่จะน้อยๆแล้ว
จริงๆฉันนั้นมีความลับอยู่อย่างซึ่งไม่ได้บอกให้ใครรู้ เดิมทีชื่อของตนนั้นก็ไม่ใช่ ‘ฉันชนก’ หรอก เป็นแค่ ‘ไอ้จิ๋ว’แต่พอได้รับการอุปถัมภ์ต่อมาจนถึงมือของป๊ะและคุณพ่อ ไอ้จิ๋วที่ผอมกะหร่องในวันนั้นก็กลายเป็นน้องฉันของทุกคนในครอบครัว
ด้วยเพราะคู่รักแบบทั้งสองนั้นต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายจากรอบด้านจนกระทั่งมีวันนี้ ไอ้จิ๋วที่ดูจะโชคร้ายไปซะหมดจึงถูกตั้งชื่อใหม่ให้ ด้วยความอยากให้แกร่งให้เหมือนพวกเขาทั้งสอง ฉันชนกที่แปลว่าเหมือนผู้เป็นพ่อจึงถูกนำมาใช้เป็นชื่อของเด็กกำพร้าที่จะเข้ามาเป็นลูกชายครอบครัว
สรุปโดยรวมคือฉันชนกเป็นเด็กกำพร้าที่ได้รับความรักมากมายจากบิดาและบิดา
จนบางทีอาจจะเรียกได้ว่าได้รับมากเกินไป…
แต่ก็ใช่ว่าฉันจะนิสัยเสียเอาแต่ใจอยากได้อะไรก็ต้องได้ มีหลายเรื่องที่ขัดใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างเรื่องกินแล้วรับรสไม่ได้ก็เช่นกัน วธินกับการันต์นั้นก็พยายามแล้ว ฉันในวัยเด็กที่เห็นคนซึ่งไม่ใช่พ่อแท้ๆของตนพยายามให้กันถึงเพียงนั้นก็ซาบซึ้งใจ จนตนเองต้องเป็นคนเอ่ยยอมแพ้เพราะแค่นั้นที่ได้รับมาก็มีค่ามากพอ ชีวิตจะขาดนิดขาดหน่อยไปบ้างก็ไม่อะไรหรอก
ได้ความรักความเอาใจใส่มาทดแทนก็เป็นสีสันชีวิตที่งดงาม
หลังจากกำจัดซากอาหารด้วยการกินบ้างและทิ้งบ้างให้เกษตรกรต้องร้องไห้ คนที่ผอมบางก็พาร่างอันอ่อนระโหยโรยแรงของตนออกมาจากคอนโด วันนี้เป็นวันหยุด ก็เป็นไปได้ที่ว่าร้านนั้นจะคนเยอะและพนักงานร้านที่รู้ใจกันยิ่งกว่าที่ตัวเองรู้มาตลอดชีวิตก็คงจะยุ่งจนไม่ได้สนใจว่าใครเป็นใคร
เดิมทีฉันนั้นตั้งใจว่าจะไม่ไปเพราะเขินแบบบอกไม่ถูก แต่ก็เปลี่ยนใจ พอกินอะไรไม่อร่อยก็ดึงสติขึ้นมาได้ว่าจะเขินทำไม ไปซื้อของกินไม่ได้ไปจีบใครนี่หว่า!
นี่แหละหนา…บาปที่มาจากความตะกละ ก็เพิ่งมารู้จักก็ตอนอายุ 24 นี่แหละ
แต่ถึงจะทำใจกล้าท่องคำว่าไม่จีบๆซ้ำไปซ้ำมา แต่เอาเข้าจริงก็เดินวนจนจะทั่วซอยอารีย์แล้วก็ยังไม่มีความกล้าจะเข้าไป อยู่นานจนเริ่มจะตัดใจเดินเข้าไปพึ่งอาหารเซเว่นที่ไม่มีรสเหมือนเคย ฉันชนกถอนหายใจออกมาก่อนจะเดินผ่านร้านนั้นที่เป็นจุดหมายราวกับว่าไม่เคยเห็นมันอยู่ในสายตามาก่อน
หมับ!
“…”
ตึกตัก ตึกตัก
“คุณฉันมาทำอะไรที่นี่อ่ะ” ก็คือ…
“สาจ๋า?” ที่เราใจเต้นตึกตักไปเมื่อครู่นั้นอ่ะ
ให้คิดซะว่าไม่เคยเกิดขึ้นเถอะนะ!!!
“อ๋อ คอนโดอยู่แถวนี้นี่เนอะ”
“ใช่ๆๆ แล้วทำไมสามาอยู่ที่นี่อ่ะ บ้านอยู่ประชาชื่น หอพักอยู่อ่อนนุชไม่ใช่เหรอ” พอดูท่าว่าความลับของตนจะไม่ถูกเปิดเผย แหงอยู่แล้ว นี่สาจ๋านะ สาที่โง่ๆไง ถ้าฉลาดไปก็ไม่คบด้วยหรอก เพราะโง่นี่แหละถึงเป็นเพื่อนกัน
“เออ..ก็ไม่อะไรหรอก ไปเก็บของย้ายเสร็จแล้วพี่ชายเราพามาที่นี่อ่ะ”
“พี่สนอะเหรอ”
“อืม บอกว่าเพื่อนทำร้านคาเฟ่เปิดใหม่ที่นี่เลยมาแวะอุดหนุนหน่อยอ่ะ ช่วยเจิมร้านให้ประมาณนั้น”
“แล้วไหนพี่สนอ่ะ”
“อยากเจอเหรอ ถ่านไฟเก่ามอดไม่จริงสินะ”
“ถ่านไฟเก่ามอดแล้ว แต่ไฟแค้นที่มีให้สาจ๋ายังคุกรุ่นเลย เจอพี่สนแล้วจะชวนคุยเรื่องโมเดลรถที่พังซะหน่อย” เพียงเท่านั้นคู่กรณีตัวดีก็เริ่มโวยวาย
“แอ้ยยยยย ทำไมเป็นคนขี้ฟ้องอย่างนี้ เราแค่อยากให้คืนดีกันหรอก”
“อะไรที่เป็นไปไม่ได้ก็คือเป็นไปไม่ได้นะโยม” จริงๆกับสารินนั้นเราก็มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนต่อกันประมาณหนึ่ง
มันเริ่มจากการเป็นแฟนของพี่ชายเจ้าตัวแสบมาก่อนต่างหาก
“สา อ้าว…น้องฉัน” ว่าแล้วคู่กรณีที่โมเดลรถพังก็เปิดประตูกระจกออกมาเรียกน้องชายที่เล่นตัวอยู่นานไม่ยอมเข้าไปเสียที และเขาไม่คิดเลยว่าตนจะได้เจอกับแฟนเก่าที่ตอนนี้คือเพื่อนสนิทคนใหม่ของน้องชายเสียแล้ว
“หวัดดีครับพี่สน”
“ไม่เจอตั้งนาน สบายดีไหม”
“ก็สบายดีนะครับ” อา…จะว่าไป
ก็สบายดีแต่มันก็อึดอัดนิดๆนะ
“เข้ามากินกาแฟหน่อยไหม เดี๋ยวพี่เลี้ยง” ไม่น่าอึดอัดหรอก ก็แค่คนที่เคยรู้จักแต่ไม่ได้สนิทสนมกันมากนะ เพราะถ้ารักกันจริง ก็คงจำได้ว่าแฟนเก่าของตนไม่ดื่มกาแฟ
“ถ้ายังงั้นฉันจะสั่งแพงๆเลย” มันเป็นภาวะที่จะเรียกว่าขมก็ไม่ใช่ ฉันเพียงแค่คิดว่าเข้าไปดื่มกินด้วยก็ดี อย่างน้อยจะได้พิสูจน์ตัวเองจริงๆว่าหมดใจแล้ว แต่โดยคิดไม่ถี่ถ้วนจึงไม่เคยรู้เลยว่าเป้าหมายที่แฝงเร้นนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม
ในที่สุดตัวเองก็พาตัวเองเข้าไปในร้านที่ตัดใจไปแบบงงๆ…
“…”
“สั่งเลยคุณฉัน เอาให้พี่สนกระอักอ้วกไปเล้ย” สาจ๋าที่ไม่รู้อะไรก็เอาแต่เชียร์ ส่วนฉันนะเหรอ คาดว่าตัวอยู่ใกล้ แต่ใจหลุดไปโน้นแล้ว
“เอ่อ…”
“หรือจะรับเป็นชุดแซนด์วิชแบบวันนั้นดีครับ” น้ำเสียงละมุนของผู้ชายที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์นั้นทำให้ลมหายใจติดขัด ที่คิดว่าเขาจำไม่ได้นั้นไม่จริงเลย เขาจำได้และจำได้อย่างละเอียดด้วย
“อ้าว ฉันเป็นลูกค้าประจำเหรอ” ในความเป็นจริงคือเคยมาแค่ครั้งเดียว แต่ในสายตาคนนอกที่ควรจะเคยรู้ใจอย่างสนกลับคิดเช่นนั้น
“คงเป็นเรื่องต่อจากนี้สินะครับ” ไม่รู้คำถามนี้คือคำถามที่เอาไว้ตอบคนถาม หรือเอาไว้ถามกลับให้คนที่ถูกสมอ้างว่าเป็นลูกค้าประจำกันแน่ ฉันชนกรู้สึกเหมือนคอตัวเองมันเหนียวเกินทน นี่ตนมาซื้อกาแฟหรือมาถูกสอบสวนกันเนี่ย!
“เอาแซนด์วิชแบบวันก่อนและก็ชามะนาวก็ได้ครับ” หลังจากหาปากและสมองของตัวเองเจอก็สั่งออกไป เจ้าของคำถามไม่ค่อยกำกวมเท่าไหร่นั้นยิ้มรับในคำสั่งซื้อก่อนจะกดคิดเงิน
ฉันชนกไม่คิดว่าแซนด์วิชที่อยากกินมาตลอดจะมาอยู่ตรงหน้าตัวเองง่ายๆแบบนี้เลย คนจ่ายเงินนั้นหายไปยืนคุยกับพนักงานร้านคนนั้น ได้ความจากสารินว่าเขาเป็นเพื่อนในชมรมเดียวกันอะไรสักอย่าง และไม่ใช่พนักงานแต่เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งของร้านที่เข้ามาวางระบบและอื่นๆ
ฉันชนกพยายามท่องเนื้อเพลงในหัวเพื่อไม่ให้ตนเองรับฟังเรื่องไร้สาระพวกนั้นจนเกินไป พลางหยิบแซนด์วิชขึ้นมากิน แต่ค้นพบว่าเรื่องไร้สาระเกี่ยวกับเจ้าของร้านที่ตนไม่อยากฟัง นั้นไหลเข้าระบบความทรงจำของตัวเองหมดแล้ว ทำไมสมองมีระบบเซฟอัตโนมัตดีกว่าคอมที่ทำงานแบบนี้ล่ะ
เขาชื่อว่า ไพร์ม....ใช่ไหม
“ก็เป็นเพื่อนที่รู้จักกันตอนพี่สนเรียนมหาลัยนั่นแหละ” ซึ่งตอนนั้นเราสองคนเพิ่งขึ้นมัธยมปลาย ฉันยังไม่รู้จักสาเพราะยังอยู่ในระหว่างการตามจีบพี่สนอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ไม่ยักกะรู้มาก่อนว่าคนที่ตนเคยชอบมากๆจะมีเพื่อนชื่อไพร์มด้วย
ไหนว่าฉันชอบพี่สนมากๆมาก่อนยังไงเล่า?
“แต่แบบไม่ใช่เพื่อนมหาลัยหรอก น่าจะรู้จักกันที่อื่นมากกว่า”
“อา…” ซึ่งนั่นทำให้ฉันรับรู้อยู่อย่างเกี่ยวกับคนๆนี้ หากเป็นคนที่ฉันไม่เคยรู้จัก ก็แปลว่าเป็นคนที่อยู่ในด้านที่พี่สนไม่อยากให้รู้ เป็นด้านที่ไม่ดีต่อเด็ก สตรี และคนชราสักเท่าไหร่ และนั่นหมายความว่า
คุณไพร์มอะไรนี่อันตรายไม่ใช่น้อย…
“คุณฉันๆ”
“อะ เอ่อ โทษที”
“คิดอะไรอยู่วะ ไหวป่ะเนี่ย” ฉันนั้นเผลอคิดนู่นนี่จนแทบไม่ได้สนใจเจ้าหมากระเป๋าตัวนี้เลย แต่นั่นแหละใครมันจะฟังทัน การฟังที่มีคุณภาพคือฟังไปคิดไปนั่นแหละ รู้ไว้ซะ!
“คิดไปเรื่อยแหละสา”
“จริงเหรอๆ แซนด์วิชอร่อยไหม เราขอคำหนึ่งได้ป่ะ”
“ไม่ได้!”
“คุณฉัน…”
“ล้อเล่นน้า” เมื่อนึกได้ว่าตนนั้นเกรี้ยวกราดเกินไป ฉันก็กลบเกลื่อนด้วยมุกประจำกาย เจ้าตัวดีที่เห็นเพื่อนอนุญาตก็หยิบขึ้นมากินหน้าตาระรื่นและนั่นสร้างความคุกกรุ่นในใจโดยแท้
เดิมทีฉันชนกที่ไม่เคยมีความเจริญอาหารสามารถแบ่งปันทุกอย่างที่เข้าปากเคี้ยวและกลืนได้ให้ทั้งเด็ก สตรี และคนชรา รวมทั้งหมาจรจัดอย่างเอื้ออารี ทว่าวันนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว กิเลสดังกล่าวที่ไม่เคยมีมาตลอดชีวิตนั้นเหมือนพร้อมใจกันสะสมตัวมาเพื่อใช้วันนี้ ต่อมความริษยานั้นพากันทำให้วุ่นวายใจ ทว่าสีหน้ากลับยิ้มให้อย่างเป็นธรรมชาติ
ไม่เคยเคืองสาจ๋าขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
เคืองยิ่งกว่าตอนที่สาจ๋าเดินมาบอกว่าพี่สนนอกใจ อย่าโง่คบต่อไปเลยเสียอีก!
“สา…ถ้าอยากกินก็สั่งมาใหม่สิ ไปแย่งฉันกินทำไม” ว่าแล้วพี่สนผู้ใจดีกับทุกคนแม้แต่แฟนเก่าก็เดินมาตักเตือน
“ก็สากินไม่หมด แย่งฉันกินดีกว่า” ถ้าเป็นปกติจะจับป้อนเข้าปากเลย แต่นี่มันใช่ปกติที่ไหนกันเล่า
“ขอโทษฉันด้วยนะ น้องชายพี่วุ่นวายกับเราอีกแล้ว” สนธยานั้นเอ่ยออกมา จริงๆเขาไม่ต้องเดินมาพูดนั่นนี่เลยก็ได้ กะแค่น้องชายคนเดียวที่เป็นเพื่อนสนิทของแฟนเก่า ฉันย่อมรู้และรับมือสารินได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว จะว่าเพราะเขามีน้ำใจก็ได้
ถ้าแววตาของเขาไม่ส่อความนัยบางอย่างออกมา
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” แต่ฉันนั้นไม่อยากจะสานความนัยนั้นๆให้ยืดยาว กับสนธยานั้นเรามีประวัติต่อกันมามากเกินพอ…พอจนคิดว่าไม่จำเป็นต้องเปิดโอกาสอีกครั้งจะดีกว่า
การแสดงออกทางสีหน้าและคำพูดอาจจะไม่ชัดเจน แต่สนธยาก็ไม่ได้ทุ่มเทให้กับการ ‘อ่อย’ เหยื่อเก่าของตนสักเท่าไหร่ ฉันชนกที่เติบโตขึ้นนั้นดูมีเสน่ห์ ในวันวานนั้นออร่าของเจ้าตัวไม่ได้แรงเท่าวันนี้ แต่อดีตส่งผลถึงปัจจุบัน ในเมื่อเจ้าตัวไม่ได้มีแนวโน้มอยากจะเป็นมากกว่าเพื่อนน้องชายในตอนนี้ สนธยาก็ไม่ทู่ซี้แต่อย่างใด เมื่อถึงเวลาเขาก็พาสารินกลับไปด้วย คาดว่าคงมีธุระที่ต้องไปทำต่อ เมื่อคนแย่งของกินไม่อยู่แล้ว ฉันก็คิดว่าจะสั่งมากินอีก
แต่เจ้าของรอยยิ้มน่าลุ่มหลงนั้นกลับเดินมาหากันพร้อมกับจานอาหารในมือ
“กินแต่แซนด์วิชน่าเบื่อแย่เลย ลองทานคาโบนาร่าดูไหมครับ” แม้แววตาของเจ้าของบริการจะไม่ได้ถ่ายทอดชัดเจนถึงเจตนาว่าคล้ายกับอดีตแฟนเก่าคนนั้นไหม แต่ฉันก็คิดว่าเขาช่างรู้ใจทีเดียว ฉันเป็นคนกินง่ายเพราะไม่เคยรับรสอะไรได้ วันนี้ก็ยังกินง่าย เพราะคาดหวังไปหมดว่าอะไรที่เขายกมา มันต้องอร่อยเป็นแน่!
“ขอบคุณมากครับ”
“เห็นลูกค้าชอบ พ่อค้าก็ชื่นใจครับ” เขายิ้มให้ ประกายวิบวับในตาทำให้สัญชาตญาณนักล่าของฉันชนกทำปฏิกิริยา และคาดว่ามันออกจะชัดเจน กับพ่อค้าคนนี้นี่…อะไรๆก็ควบคุมยากไปหมด
เดิมทีฉันชนกที่เป็นลูกที่น่ารักของป๊ะกับคุณพ่อนั้นไม่ใช่เด็กไม่ดีอย่างนั้นเลย แม้จะมีคิดไม่ดีอยู่บ้าง ทว่าการกระทำล้วนไม่เคยแสดงออกเกินหน้าเกินตา ถ้าป๊ะรู้ว่าลูกรักมองผู้ชายด้วยสายตากระหายเช่นนั้น มีหวังน้องฉันโดนตีตายแน่ แต่จะให้ทำยังไง ในเมื่ออยู่ฉันชนกก็คิดว่าคุณคนนั้นน่ากินกว่าคาโบนาร่าที่เขาทำเสียอีก
“อืม…อร่อย” เปลี่ยนใจแล้ว คาโบนาร่าน่าจะอร่อยกว่า
ทว่าแทนที่จะกินอย่างมูมมามเพื่อบรรเทาความต้องการที่มากมายก่อนหน้านี้ ฉันชนกกลับเลือกที่จะละเลียดกินช้าๆ เฝ้ามองความเป็นไปของคนที่เดินผ่านไปผ่านมา และลูกค้าที่เข้ามาในร้านเพื่อซื้อและกลับไป น่าแปลกที่ทั้งร้านมีเพียงตนที่นั่งอยู่
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” เขาคงรู้ว่าถูกมองอยู่จึงหันมาถาม ในตอนนี้จะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็ไม่ได้แล้ว ฉันชนกจึงปั้นยิ้มที่คิดว่าน่ามองที่สุดออกไป
“รู้สึกแปลกๆนิดหน่อยครับ ผมมานั่งนานแล้ว”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ”
“ส่วนใหญ่ลูกค้าจะซื้อกลับกันเหรอครับ” หรือจริงๆแล้วฉันชนกก็ควรทำเช่นนั้น
“ครับ ปกติจะเป็นพนักงานออฟฟิศมาซื้อกลับไป วันหยุดอย่างนี้คนก็จะน้อยหน่อย”
“ร้านปิดวันไหนบ้างครับเนี่ย”
“ตอนนี้เปิดทุกวันครับ”
“เหนื่อยแย่เลย”
“ก็เฉพาะช่วงนี้ละครับ สักพักผมก็พักงานตรงนี้แล้ว”
อ้าว?!
“ต้องไปดูงานที่อื่นบ้างนะครับ ตรงนี้ผมแค่มาเริ่มให้ ช่วงสอนงานก็จะมาอยู่แบบนี้”
“ว้า…” น่าเสียดาย
“ครับ?”
“อา…เปล่าหรอกครับ คือผมแค่เสียดาย นานๆที่จะได้กินอาหารถูกปาก”
“รู้สึกผิดนิดๆ แต่ว่าดีใจมากกว่าที่คุณลูกค้าชอบขนาดนี้” ฉันเผลอหย่นจมูก และภาพปฏิกิริยาโต้ตอบของคุณลูกค้าก็ทำให้พ่อค้าหัวเราะออกมา เมื่อรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปก็เขินหน้าแดง ปกติก็ไม่ใช่คนหน้าบาง แต่กลับคนหล่อก็ไม่แน่
เผลอยอมรับกับตัวเองอีกแล้วว่าคิดไม่ดี
สุดท้ายแล้วก็ให้เขาช่วยแนะนำอาหารมาให้อีกอย่างและซื้อกลับบ้านมาสองกล่อง ที่คอนโดของฉันชนกมีเครื่องไมโครเวฟอยู่และเป็นสิ่งที่ได้ใช้บ่อยๆเพราะแม้จะรับรสไม่ได้แต่ก็รับรู้ถึงกลิ่นเหม็นบูดและความเย็นของอาหารที่ถูกแช่เย็นไว้ จึงยังต้องมีเครื่องอุ่นทำความร้อนให้อาหารก่อนจะทานมันลงไป และอาหารสำหรับสองมื้อก็ถูกจัดใส่กล่องส่งมอบให้หลังจากชำระเงิน
“หวังว่าจะยังเทรนไม่เสร็จนะครับ ผมจะแวะมาบ่อยๆ”
“น่าเสียดายจังครับ คิดว่าอาทิตย์หน้าก็คงต้องไปแล้ว” น่าเสียดายจริงๆ น่าเสียดายจริงๆ
จากนี้ไปฉันชนกคงต้องพยายามหักห้ามใจต่อสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกครั้ง
ร่างเล็กนั้นกลับมาที่ห้อง ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ไม่รู้ว่าอาหารจานหนึ่งมันดึงดูดให้คนเราอยู่ในร้านนั้นได้นานจนกระทั่งเย็นขนาดนี้ได้อย่างไร จริงๆแล้วฉันชนกกินเสร็จนานแล้ว แต่หนังสือ มือถือ และขนมหวานต่างหลอกล่อใจให้นั่งต่อก่อนจะจากลาอย่างน่าเสียดาย
“นี่เอาไว้กินมื้อเช้า ส่วนนี้มื้อกลางวัน” ฉันหยิบกล่องอาหารจากถุงพลาสติก ตั้งใจจะแช่ตู้เย็นเอาไว้ไม่ให้เสีย ทว่าแผ่นกระดาษบางๆเล็กๆใบหนึ่งก็หลุดล่วงลงมา สะดุดตาให้หยุดกระทำสิ่งที่ตั้งใจและหยิบมันขึ้นมาดู
เป็นนามบัตรของร้าน
และเฟซบุคแอคเคาท์หนึ่งที่ถูกเขียนด้วยปากกาเพิ่มมา
“เผื่อคุณลูกค้าสนใจอยากติดตามผลงาน…งั้นเหรอ” มันถูกเขียนไว้เช่นนั้นด้วย
พ่อค้นคนนั้นได้บอกกันอยู่ว่าเขามีหุ้นอยู่ในธุรกิจหลายๆอย่าง และมักไม่อยู่กับที่ใดที่หนึ่งนานนัก การติดตามเพจของร้านจึงไม่อาจจะช่วยให้เจอเขาโดยง่าย แต่การติดตามเฟซส่วนตัว สามารถระบุจุดที่อยู่ได้ไม่ยาก
“คิดว่าเราสนใจขนาดนั้นเชียวเหรอ” ฉันชนกเค้นเสียงถามกับหน้าบัตรราวกับจะส่งไปให้ยังเจ้าของ แต่ใบหน้ากับเห่อร้อนขึ้นมาเมื่อคิดถึงเจตนาที่ซ่อนเร้นของเจ้าตัว อยากกินก็อยากกินนะ แต่อายมากกว่า
ทว่าหลังจากค้นพบความสุขทางการกินครั้งหนึ่งก็พบว่าความเขินอายไม่ได้มีรสชาติที่อร่อยเท่าไหร่ หลังจากที่ไตร่ตรองดีแล้วจึงหยิบมือถือขึ้นมาเปิดแอพพลิเคชั่นสีน้ำเงิน และเสิร์ชชื่อตามนามบัตรนั้น
‘Prime Phuwanai’
และอย่างที่พ่อค้าคนนั้นคาดไว้…
Chanchanok C. ได้ add friend
- - - - - -
อ่อยเก่งเหมือนที่ทำอาหารเก่งเลยอ่ะ
เอ๊ะ! ว่าแต่เขาอ่อยกันอยู่เหรอ?
- - - - - -
“บอสวันนี้อารมณ์ดีออกหน้าออกตานะครับ” เด็กในร้านที่ดูจะใจกล้ากว่าคนอื่นๆนั้นกล้าทัก แต่เขาก็กล้ายอมรับเพราะมันเป็นเช่นนั้นจริง เขาอารมณ์ดีที่หาลูกค้าประจำได้อีกราย
ที่มั่นใจว่าเหยื่อติดเบ็ดแล้วก็เพราะเห็นรีเควสเมื่อครู่นี้เลย
“ว่าแต่ลูกค้าที่บอสลงมือทำอาหารให้เองเมื่อครู่นี้…”
“ชู่ว…” ไพร์มเลือกที่จะสั่งห้ามไม่ให้พูด เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปกติสักเท่าไหร่ แต่จะอย่างไรรอบตัวของเขาก็ไม่ค่อยมีคนปกติอยู่แล้ว
อย่างที่เขาได้บอกอีกคนไป ไพร์มนั้นอาจจะทำงานที่ร้านนี้ แต่ก็มีงานอื่นๆที่เขาต้องทำเช่นกัน ด้วยธุรกิจของที่บ้านและความสนใจที่หลากหลาย จึงไม่แปลกที่จะนำเอางานอดิเรกต่างๆมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับยุคสมัยหรือสถานการณ์ เช่นการทำอาหารเป็นต้น
แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมลงครัวทำทุกจาน
แต่เพราะลูกค้าตัวน้อยแสดงใบหน้าอย่างนั้นมันเลยทำให้คนใจแข็งต้องอ่อนยวบ ในที่สุดครัวก็เรียกหาบอกกันว่าเลิกใจแข็งเสียที นายเอาไม่อยู่หรอก ยิ่งดวงตาวาววับที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นสีแดงคู่นั้นมองมาอย่างอ้อนวอน มือไม้เขาก็สั่นไปหมด
“แม้แต่พี่เองก็ต้านทานไม่ไหวเหรอเนี่ย” น้องคนหนึ่งนั้นนินทากันซึ่งๆหน้า แต่เขาคิดว่าเรื่องแบบนี้มันอยู่ที่ความรู้สึก ไพร์มนั้นเจอะเจอคนมาหลายแบบ เขาถือเป็นตัวอย่างที่แข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์ ทว่าเจ้าของร่างเล็กซึ่งดูจะกลืนหายในฝูงคนกลับสะกดเขาได้
“ว่าแต่อาทิตย์หน้าพี่จะไปจริงๆแล้วเหรอครับ ผมยังอ่อนอยู่เลยพี่” เด็กหนุ่มที่เขาจ้างให้มาดูแลร้านนั้นโอดครวญ แม้ว่าจะเจอลูกค้าที่ถูกใจแล้ว แต่การเดินทางของเขามันยังไม่จบสิ้น ภูวนัยยังต้องทำอีกหลายสิ่งหลายอย่าง ธุรกิจของเขาไปได้ดี และเหมือนว่าจะได้ดีในกลุ่มลูกค้าเฉพาะทางมากๆเสียด้วย
“ไม่เสียดายลูกค้าคนเมื่อกี้เหรอพี่” ก็ยังคงโน้มน้าวแต่เขากลับส่ายหน้า ตารางเวลาของสัปดาห์หน้าถูกกำหนดไว้แล้วและคงเลื่อนไม่ได้
“ถ้ามีเวลาจะเข้ามาดูล่ะกัน อย่าทำร้านนี้เจ๊งล่ะ” และเขาต้องมีเวลาแน่ เพราะคิดว่าตัวเองจะมาพักที่นี่บ่อยๆ
จริงๆแล้วภูวนัยผู้ชื่นชอบการลงทุนหลายๆแบบและมักประสบความสำเร็จกับการทำนายตลาดต่างๆล่วงหน้า แม้แต่ตลาดอสังหา เขาก็ได้ยื่นขาเข้าไปลองดูด้วยนิดหน่อย จึงมีคอนโดอยู่สองสามห้องที่ยังไม่ได้ปล่อยขายในละแวกนี้เหมือนกัน ว่าจะขายแล้วเชียวเพราะมีคนติดต่อบอกว่าสนใจมา แต่ว่านะ…เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนดีกว่า เอาเป็นว่าตอนนี้…
เขาจะตอบรับคำขอเป็นเพื่อน ของคนที่อาศัยอยู่ละแวกนี้
และสังเกตตลาดอารีย์ ว่า ‘น่าพอใจหรือไม่’ ไปก่อนแล้วกัน
TALK
มาเงียบๆแต่มานะจ๊ะเรื่องนี้ ._.