คุณแม่บ่นนิดหน่อยเรื่องที่พิ่นิวพาเพื่อนมาบ้านไม่บอกล่วงหน้า เพราะเตรียมสถานที่ไม่ทัน อาหารก็ไม่พอ
แต่ผมไม่วิตก เพราะกับข้าวสดเต็มตู้เย็น อาจจะเลยเวลานิดหน่อยกว่าจะได้นั่งโต๊ะอาหารกัน
แต่ทุกคนก็ช่วยผมเตรียมอาหารด้วยความสนุกสนาน กว่าผมจะทำกับข้าวเสร็จ ทุกคนก็ช่วยไปชิมไปจนเกือบจะอิ่มกันแล้ว
คุณแม่ออกความเห็นว่า จะให้ไปนอนโรงแรมกันหมด แต่เพื่อนพี่นิวทุกคนก็ปฏิเสธบอกว่าอยากอยู่บ้านมากกว่า
เพราะมีบริเวณให้นั่งเล่น พักโรงแรมก็อุดอู้เปล่า ๆ แถมขาดทุนอีกต่างหาก เพราะโรงแรมก็คงเป็นแค่ที่ซุกหัวนอน
ส่วนกลางวันมีโปรแกรมเที่ยวเต็มเหยียด สรุปว่าทุกคนนอนในห้องพี่นิวกันหมด
เราไปซื้อเครื่องนอนมาเพิ่มอีก 1 ชุด มีฟูกยางกับหมอนหนุนและหมอนข้าง
“เกรงใจจังเลยครับ พวกผมมารบกวนแม่แย่เลย”
พี่หน่องคนที่เรียบร้อยที่สุดในกลุ่มพูดขึ้น
“ไม่รบกวนหรอกลูก ซื้อของพวกนี้เก็บไว้ยังไงก็ได้ใช้อยู่แล้ว คราวหน้ามากันอีกจะได้เอามาใช้”
“ขอบคุณครับ”
ทุกคนกล่าวขอบคุณคุณแม่เป็นเสียงเดียวกัน
“จะอยู่กี่วันก็ตามสบายนะลูก มะรืนนี้แม่จะไปหาพ่อ ว่าจะไปดูเขาหน่อย ขาดเหลืออะไรให้นิวกับนูเขาจัดการไป
ค่าใช้จ่ายเดือนนี้แม่จะเพิ่มให้นะนู ไปถึงที่โน่นแล้วแม่จะโอนเข้าบัญชีให้”
“ขอบคุณครับคุณแม่”
ผมเป็นคนถือค่าใช้จ่ายในบ้านเวลาที่คุณแม่ไปดูแลคุณพ่อ ก็ราว ๆ 3 อาทิตย์ และอยู่ที่บ้านนี้ 1 อาทิตย์
ป้าที่เป็นแม่บ้านจะได้รับเฉพาะค่ากับข้าวสดที่ต้องไปซื้อที่ตลาด คุณแม่จะเป็นคนจัดงบประมาณให้เอง
ถ้าเงินเหลือ ป้าก็จะเอามาคืนผม ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเหลือ ผมก็เก็บใส่กล่อง จดบัญชีไว้ให้คุณแม่ดูทุกครั้งที่กลับมา
รวมกับเงินส่วนที่ผมดูแลอยู่ก็ไม่มากมายนักและคุณแม่ดูแล้วก็ไม่ได้สนใจเท่าไร
หลายเดือนเข้า พอมันเริ่มที่จะเป็นเงินก้อนหลายพันบาทอยู่ผมก็ใส่ซองคืนให้คุณแม่ซักทีหนึ่ง
แต่คุณแม่ก็เอากลับเข้าบัญชีผมเสมอ หลัง ๆ ผมบอกคุณแม่ว่าผมไม่สบายใจกับเรื่องนี้
คุณแม่ก็เลยแนะนำว่า พี่นิวกลับมาเมื่อไร ก็ให้ไปเปิดบัญชีชื่อสองคนเสียเลย
ดังนั้น พอพี่นิวกลับมาคุณแม่ก็ถือโอกาสพูดเรื่องนี้ก่อน เพราะรู้ว่าผมไม่สบายใจจริง ๆ
“มีชื่อนูด้วย จะได้เบิกใช้ได้เวลาฉุกเฉินขึ้นมา ส่วนชื่อนิวน่ะ ทำเพื่อความสบายใจของนู
แม่ไม่มีปัญหาหรอก แม่รู้ว่านูใช้เงินเป็น”
“พี่ไม่รู้ว่านูจะทำให้มันยุ่งยากไปทำไม มีบัญชีของตัวเองอยู่แล้ว ก็ทำไปอย่างที่เคยทำ มันก็สะดวกดีออก”
“นั่นบัญชีค่าใช้จ่ายส่วนตัวผมนี่ครับ ผมไม่อยากเอาไปปนกัน”
“ก็ตามใจนะ แต่บอกซะก่อนว่าพี่ไม่ยุ่งด้วย แค่มีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีก็พอ พี่ตามใจนูหรอกนะ”
พี่นิวไม่ค่อยเต็มใจกับเรื่องนี้นัก นิสัยของเขาไม่ค่อยชอบยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเงิน ๆทอง ๆ
(ทุกวันนี้ก็ยังเป็นแบบนี้ ผมต้องเข้าไปดูแลบัญชีรายรับรายจ่ายของเขาเป็นระยะ ๆ)
หลังจากนั้นคุณแม่ก็โอนเงินค่าใช้จ่ายเข้าบัญชีใหม่ของเรา ส่วนผมก็เบิกมาใช้เท่าที่จำเป็น
เงินส่วนที่เหลือก็พอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ จนปัจจุบันนี้ผมก็ไม่เคยถอนออกมาใช้เกินกว่าค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนเลย
(ก็หลายอยู่ครับ จะ10ปีเข้านี่แล้ว)
ช่วงที่พี่นิวกลับบ้านน่าจะเป็นเวลาที่ผมมีความสุข แต่ก็เปล่าเลย ใจหนึ่งผมก็ดีใจที่พี่นิวมีเพื่อน ๆ ที่น่ารัก
ทุกคนมีอัธยาศัยดี มีมารยาท และเมื่อพวกเขาอยู่กันเป็นกลุ่ม ก็พูดคุยเฮฮาตลกทะลึ่งหยาบโลนตามประสาวัยรุ่น
อีกใจหนึ่งผมกลับรู้สึกว่าตัวเองเป็นติ่งอะไรสักอย่างที่ไม่มีความจำเป็นสำหรับบ้านนี้เลย ไม่มีผมเขาก็อยู่กันได้
ส่วนเกินอย่างผมก็ได้แต่หาที่หลบมุม อ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือไม่ก็ปลูกต้นไม้ ตามลำพัง
โปรแกรมเที่ยวจัดขึ้นอย่างง่าย ๆ เจ้าถิ่นอย่างพี่นิวตามใจเพื่อนสุด ๆผมได้ยินพวกเขาตกลงกันอย่างสนุกสนาน
ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน บนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็ก มีขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มที่ผมเป็นคนจัดหาไปให้
มุมนี้เป็นมุมที่น่านั่งที่สุดของบ้าน เพราะได้เงาบ้านช่วยบังแดดบ่ายได้ดี ยิ่งตอนเย็นแดดร่มลมตกก็ยิ่งเย็นสบาย
“ไปทะเลก่อนเลย ตอนเช้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้น เล่นน้ำแล้วค่อยไปต่อ”
พี่นิวเปิดโปรแกรมก่อน
“ไปไหว้พระด้วย วัดเก่าแก่แถวอำเภอ.........น่ะ เออ...แล้วจะเลยไปถึง........ได้รึเปล่าอะนิว ไกลไปไหม”
พี่เนย์เอ่ยถึงสถานที่ท่องเที่ยวในจัดหวัดใกล้เคียง ซึ่งใช้เวลาเดินทางไปมาไม่นานมาก
คงเคยรู้จักสถานที่สำคัญของที่นี่มาบ้างแล้ว
“ไม่ไกลหรอก แต่ถนนไม่ค่อยดี ยังเป็นดินลูกรังอยู่ กูไม่เคยไปเส้นนั้นด้วยดิ”
“เออ ๆ งั้นก็กลับมาตั้งหลักที่บ้านก็ได้วะ”
“................”
“................”
การพูดคุยวนไปเวียนมาอยู่แค่เรื่องเที่ยวกับเรื่องกิน ผมอยากรู้ว่าเขาคุยอะไรกันบ้างก็เลยไม่ได้ไปไหนไกลครับ
ทำเป็นเดินเข้า ๆ ออก ๆ ในบ้านกับ สวนหน้าบ้าน
“พานูไปด้วยนะนิว ไปหลาย ๆ คนสนุกดี”
ผมหูผึ่งทันทีที่ได้ยินชื่อตัวเองอยู่ในวงสนทนา
“อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ไปกันสี่คนน่ะดีแล้ว”
คำตอบของพี่นิวเล่นเอาผมสะเทือนสิครับ พูดแบบนี้เหมือนตัดผมออกจากวงโคจรเลยนะนั่น
ใช่ว่าผมจะอยากไปกับเขาที่ไหนกัน แถวนี้มันก็ถิ่นผม ไปมาแล้วทั้งนั้น ผมแค่หวังว่าพี่นิวจะคิดเหมือนผม
คิดว่าเขาจะพาผมไปด้วย แค่ได้อยู่ใกล้กัน ได้เห็นกันตลอดเวลา ผมก็ดีใจจะตายแล้ว
ไม่ต้องมานุงนังนัวเนียกับผมก็ได้ แต่คำพูดนั้นมันบาดหูนะ บาดไปถึงใจผมเลย พอมีเพื่อน เขาก็ลืมผมได้เลยเหรอ
ผมไม่มีความหมายอะไรกับพี่นิวเลยเหรอ
ผมลุกออกจากแปลงต้นไม้ที่ผมกำลังพรวนดินอยู่เดี๋ยวนั้น และเข้าไปเก็บตัวอยู่ในห้อง
จนเกือบจะได้เวลาอาหารผมก็เดินลงมา พบกับพี่ ๆ 3 คนกำลังนั่งดูโทรทัศน์กันอยู่ แต่ไม่เห็นพี่นิว
“จะไปไหนเหรอนู”
พี่เนย์ทักผมก่อน ท่าทางพี่เนย์จะเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดีกว่าใครในกลุ่ม เพราะเขามักจะเป็นคนชวนผมคุยเสมอ
ในขณะที่คนอื่น ๆ เพียงแค่คุยเสริม ที่เขาถามก็คงเห็นว่าผมแต่งตัวพร้อมที่จะออกจากบ้าน
ด้วยกางเกงยีนส์กับเสื้อยืดแขนยาว
“ไปบ้านแม่ในตลาดครับพี่เนย์”
ผมไม่รู้ว่าผมบอกแบบนี้แล้วเขาจะเข้าใจหรือเปล่า แต่ผมเดาว่าพี่นิวคงบอกเพื่อนสนิทบางคนว่าผมไม่ใช่น้องแท้ ๆ
“ไม่กินข้าวก่อนล่ะ”
“ผมจะไปกินกับแม่ครับ”
“แม่รู้รึยังว่าจะไปน่ะ”
เสียงคนที่หายไปจากกลุ่ม โผล่มาได้จังหวะพอดี ตอนที่ลงมาไม่เห็นพี่นิวนั่งอยู่
ผมก็คิดว่าดีเหมือนกัน จะได้ไม่โดนดักคอเสียก่อน ที่ไหนได้ มาทันตอนผมกำลังหยิบกุญแจรถจนได้สิน่า
“ไม่เห็นต้องบอกเลย ผมไปแม่ก็เห็นเองแหละ”
“กินข้าวก่อนแล้วค่อยไป”
พี่นิวเสียงแข็ง...ผมไม่ใช่น้องชายนะ ไม่ต้องมาดุ
“ผมจะไปกินกับแม่”
“ไม่บอกล่วงหน้า แม่เขาจะมีอะไรให้กินไหมล่ะ”
“ผมกินง่ายไม่เรื่องมากหรอกครับ มีอะไรผมก็กินไอ้นั่นแหละ”
“กินข้าวก่อนแล้วเดี๋ยวพี่ไปส่ง อย่าขี่รถไปเองเลย มืดแล้ว”
เรายืนต่อตากันอยู่อึดใจ ผมก็ตัดสินใจเดินออกมาพร้อมกุญแจรถในมือยังไม่ทันจะเอารถออกจากชายคา
พี่นิวก็มายืนขวางหน้าไว้
“ทำไมดื้อนักนะ”
“ผมก็แค่อยากไปหาแม่”
“เป็นอะไรไปอีก เห็นหายไปตั้งแต่เย็นแล้ว ลงมาก็เป็นแบบนี้ ใครทำอะไรให้ไม่ถูกใจเหรอครับ”
“เปล่าครับ”
“อย่ามาโกหก”
ได้ยินคำนี้ผมยิ่งแน่นอกด้วยความแค้นใจ ก็รู้ทั้งรู้ว่าผมมีอะไรในใจ จะมาถามทำไม
แน่จริงก็ถามให้มันตรงจุดไปเลยดีกว่า
“รู้ดีนักแล้วทำไมถึงไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร”
“ก็พี่....”
พี่นิวสะดุดคำพูดลง
“เฮ้ย...นิว มึงก็ไปส่งน้องก่อน แล้วก็รีบกลับมากินข้าวสิวะ พวกกูรอก็ได้”
พี่เนย์ตะโกนบอกมาจากประตูหน้าบ้าน ผมเหลียวไปดู ก็เห็นเงามืดที่บังแสงอยู่
ดูใหญ่โตน่ากลัวในความรู้สึกเหลือเกิน เงานั้นเคลื่อนกลับเข้าไปในบ้าน
ผมก็บิดกุญแจ เตรียมออกรถ แต่มือใหญ่ ๆ ก็ฉกเอากุญแจไปไว้ในกระเป๋ากางเกงของเขาซะก่อน
“ผมมีกุญแจสำรอง”
“นู...อย่าดื้อกับพี่”
“ผมอยากกลับบ้าน”
“แล้วที่นี่ไม่ใช่บ้านรึไง”
“มะ...”
“อย่าพูดออกมานะ!!!”
เสียงแข็งของพี่นิวพูดสวนขึ้นมาพร้อมกับผม ทำให้ผมต้องหยุดตัวเองไว้แค่นั้น
และคำพูดประโยคหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ก็ย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำ
.....ที่นี่เป็นบ้านของพี่มาตั้งแต่เล็ก ถึงจะไม่ได้เกิดที่นี่ แต่พี่ก็ผูกพันเพราะใช้ชีวิตในบ้านนี้มาตลอด
ต่อไปนี้บ้านหลังนี้ก็เป็นบ้านของนูด้วยเหมือนกัน พี่ฝากนูดูแลบ้าน ดูแลแม่ ดูแลหัวใจของพี่ด้วยนะครับ.....
เป็นคำพูดในค่ำคืนสุดท้ายที่เราได้อยู่ด้วยกันก่อนพี่นิวเดินทางไปเรียนที่กรุงเทพผมตอบรับไป
ด้วยความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกัน ความอบอุ่นที่ผมได้รับจากคนในบ้านมากมายท่วมท้นเกินกว่าที่ผมคาดคิดไว้
ระยะเวลาไม่ถึงปีที่ผมได้มาอยู่ที่นี่ ทำให้ผมรู้สึกกลมกลืนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งอย่างแยกไม่ออก
แล้วความคิดที่ว่าตัวเองเป็นติ่งอะไรสักอย่างที่เหมือนส่วนเกินก็หายไปจากความคิดผม
มันทำให้ผมเริ่มยิ้มออก (แค่ในใจ) รับรู้ถึงความรู้สึกของคนตรงหน้า
ยิ่งเงยหน้าขึ้นสบตาก็ยิ่งทำให้อยากกัดลิ้นตัวเองนัก แววตาพี่นิวมันฟ้องทุกอย่างที่เขาคิดเกี่ยวกับตัวผม
แล้วผมมัวคิดอะไรที่มันเหลวไหลอย่างนั้นไปได้ยังไงกัน
ผมน่าจะเดาได้ว่าการที่พี่นิวไม่อยากให้ผมร่วมทางไปเที่ยวด้วย ก็คงเพราะผมมักจะมีอาการเมารถเสมอ
ถ้าต้องนั่งรถไกล ๆ ยิ่งอยู่บนรถตลอดวัน เดี๋ยวโดนแอร์ เดี๋ยวเจอแดด อาจจะทำให้ถึงกับไม่สบาย
ช่วงเวลาสั้น ๆ ของปิดเทอม แทนที่เราจะได้ทำอะไรด้วยกันอย่างมีความสุข กลับต้องมานอนซม
เพราะพิษแดดผสมกับอาการเมา มันก็ไม่ใช่เรื่อง...ผมเข้าใจแล้วครับ แต่.....
อยากแกล้ง
“ไม่อยากให้ไป ผมไม่ไปก็ได้ครับ”
“ดีครับ งั้นก็เข้าบ้านกัน”
ไงล่ะ ยิ้มออกล่ะสิพี่นิวของผม
ผมแบมือขอกุญแจรถ เพื่อจะใช้ล็อกรถ พี่นิวล้วงกระเป๋าหยิบออกมาให้ก่อนจะกำชับด้วยใบหน้าที่ยิ้มอย่างผู้ชนะ
“เสร็จแล้วตามไปนะครับ พี่จะไปรอที่โต๊ะกินข้าว”
ผมสอดกุญแจ แล้วติดเครื่องสตาร์ท เมื่อมองผ่านกระจกรถเห็นแผ่นหลังกว้างลับหายเข้าบ้านไปแล้ว
รถทะยานออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว ผมไม่ได้รับปากว่าจะกินข้าวด้วยซะหน่อย แต่ไม่อยากให้ไปบ้านแม่
ผมไม่ไปก็ได้ ผมก็เลยไปหาอะไรกินตามลำพังให้เรียบร้อยก่อน ถึงจะกลับ....รอไปเถอะพี่นิว อิอิ
..........มีต่อครับ......